- คำนำ
- คำปรารภ
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
- บทที่ ๓๕
- บทที่ ๓๖
- บทที่ ๓๗
- บทที่ ๓๘
- บทที่ ๓๙
- บทที่ ๔๐
- บทที่ ๔๑
- บทที่ ๔๒
- บทที่ ๔๓
- บทที่ ๔๔
- บทที่ ๔๕
- บทที่ ๔๖
- บทที่ ๔๗
- บทที่ ๔๘
- บทที่ ๔๙
- บทที่ ๕๐
- บทที่ ๕๑
- บทที่ ๕๒
- บทที่ ๕๓
- บทที่ ๕๔
- บทที่ ๕๕
- บทที่ ๕๖
บทที่ ๑๙
๑
นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้เห็นเหลียงควงผู้หญิงสาวสวยไปเที่ยวตามสวนสาธารณะ โดยไม่สะทกสะท้านต่อสายตาของใคร
ข้าพเจ้าได้เคยเห็นเขาเดินอยู่กับผู้หญิงสวย ๆ โดยไม่ซ้ำหน้ากันเลย ถ้าไม่ใช่ในกงหยวนก็ในโรงภาพยนตร์ แต่ในบางครั้งเขาก็ไปกับวารยา ราเนฟสกายา ผู้ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าควรจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ที่ข้าพเจ้าจะต้องค้นหาให้พบ
วารยาเป็นคนเรียบร้อยเกินไปที่จะไปคบค้าสมาคมกับเหลียง แต่ทำไมวารยาจึงต้องทำเช่นนั้น ? ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าวารยาจะเป็นผู้หญิงอย่างที่บัวหรือแอลเลน บราวน์คาดหน้าไว้ ข้าพเจ้าเชื่อตัวเองว่าคงจะไม่มองคนผิดจนกระทั่งจะเห็นสีดำเป็นสีขาว วารยาเป็นคนมีความรู้สึกลึกมาก เก็บความรู้สึกชนิดที่ยากจะมีใครรู้เข้าไปได้ถึงหัวใจ วารยาจะต้องมีเหตุผล หรือสาเหตุอันใดอันหนึ่ง ที่ทำให้ต้องพบเหลียงและติดต่อกับเหลียง ซึ่งทำให้คนเป็นอันมากเข้าใจว่าวารยาเป็นผู้หญิงที่มีชีวิตอยู่กับความง่ายความสะดวก ดูเหมือนปักกิ่งจะมีประชามติว่าอย่างนี้ แต่ข้าพเจ้าเป็นคนหัวดื้อ ไม่ยอมว่าอะไรว่าตามกันโดยไม่มีการพิสูจน์ คำลือเป็นคำที่น่ากลัว เป็นการฆ่าอย่างเหี้ยมโหด โดยผู้ลือส่วนใหญ่ก็ไม่เจตนาจะฆ่า แต่เขาก็ไม่รู้ว่าคำพูดที่ต้องการแต่เพียงความสนุกปากและไร้ข้อพิสูจน์ของเขานั่นแหละคือการฆ่า เพื่อเขาจะได้มีบัตรผ่านประตูลงไปในเมืองนรก ข้าพเจ้าพบกลอนบทหนึ่งเขียนไว้เพราะมาก ท่านรจนาวาดภาพปากคนไว้ว่าดังนี้
อันปากยาวเยี่ยงปากกาท่านว่าไว้
ยังพอใช้ขีดเขียนเรียนอักษร
แม้ปากยาวอย่างหมายังอาทร
ใช้เห่าหอนเฝ้าเคหาในราตรี
อ้นมนุษย์สุดยากเมื่อปากยาว
เที่ยวพูดฉาวสารพัดเรื่องบัดสี
ล้วนกล่าวกุมุสาเป็นราคี
ตัวเรานี้แสนลำบากเพราะปากคน
เจียงเหมยบอกว่า เหลียงจะแต่งงานกับผู้หญิงแซ่หวางคนนี้ นั่นก็ฟังมาจากคำลือ เพราะบางคนก็บอกข้าพเจ้าว่าเหลียงจะแต่งงานกับผู้หญิงแซ่นั้น–แซ่นี้ เอาเป็นที่ยุติไม่ได้ แต่มันก็มีความจริงว่า เหลียงมีผู้หญิงสาวสวยควงไม่ซ้ำหน้า เขาเป็นผู้กว้างขวางอยู่ในหมู่ผู้หญิงสาวและต้องสวยด้วย แต่มันก็เป็นสิทธิของเขา ใครจะทำไม ?
เจียงเหมยยังไม่หมดความสนใจกับเหลียง เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ บรรยากาศอันเร้าอารมณ์ของอุทยานเป๋ห่ายในยามเย็น ก็ทำให้เธอเอ่ยถึงเรื่องของชีวิต อันเป็นทะเลของความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง
“พวกเรารู้เรื่องวารยากับเหลียง เราก็แปลกใจที่สองคนนี้ทำไมถึงยังไม่แต่งงานกัน”
“มันเรื่องของคนสองคน เราไม่มีสิทธิอะไรที่จะรู้” ข้าพเจ้าตอบตายังคงจับอยู่ที่เหลียงและคนสวยของเขา “เธอรู้จักวารยาดีไหม ?”
“ก็เรียกว่ารู้จัก วารยาไปที่เยียนจิงบ่อย ๆ เราเคยพบกันที่ซิสเต้อร์ฮอลล์หลายครั้ง”
“ไปกับเหลียง ?”
“ส่วนมาก”
“เธอคงจะสนใจกับวารยา ?” ข้าพเจ้าหันมาจ้องหน้าเจียงเหมย พยายามจะล้วงเอาความรู้สึกที่แววตาและสีหน้า
“ก็สนใจบ้าง แล้วเธอล่ะ ? เธอคงจะสนใจมากไม่ใช่หรือ ?” หญิงสาวหัวเราะคล้ายกับจะพยายามกลบความรู้สึก
ข้าพเจ้าคิดว่า เจียงเหมยมีความรู้สึกบางอย่างซ่อนอยู่หลังคำพูดเพียงสองสามคำนี้ กังวานเสียงของเธอมีพิรุธมากพอที่ข้าพเจ้าจะสงสัยได้
“ฉันสนใจกับทุกคนที่ฉันพบในปักกิ่ง” ข้าพเจ้าตอบ
“รวมทั้งพวกฉันที่เยียนจิง ?” ราชินีสาวจ้องหน้าข้าพเจ้า
“โดยเฉพาะ–เธอ” ข้าพเจ้าตอบ “เธอควรจะถามต่อไปว่าทำไม ? เธอจะถามไหม ?”
เจียงเหมยมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย เมื่อถูกข้าพเจ้ารุกเข้าถึงตัวอย่างนึกไม่ถึง แต่เธอก็ยังคงเก็บความรู้สึกไว้เป็นอย่างดี ไม่แสดงอาการประหม่าหรือครั่นคร้ามแต่อย่างใด
“ฉันก็อยากจะถาม มีอะไรในตัวฉันหรือจ๊ะ ระพินทร์ ที่เธอสนใจ ?”
ข้าพเจ้ายืดอกขึ้น ทำให้กล้า แล้วก็ตอบว่า
“ฉันสนใจเธอเพราะเธอมีบรรพบุรุษเป็นคนสำคัญในประวัติศาสตร์ของชนชาติจีน ปู่ของเธอเป็นนักคิดและนักรบที่ฉันสนใจมาก”
“ขอบใจที่เธอสนใจปู่ คนจีนค่อนประเทศเขาลืมกันหมดแล้ว ?” เจียงเหมยพูด “แล้วอะไรอีกที่เธอสนใจ ?”
“พูดกันอย่างไม่เกรงใจนะ” ข้าพเจ้าหัวเราะให้ใจกล้า “ฉันสนใจเพราะเธอเป็นผู้หญิง”
“งั้นเธอก็ต้องสนใจกับผู้หญิงทั้งปักกิ่ง ?”
“ผู้หญิงที่มีเลือดของนักสู้ ฉันสนใจ เธอมีเลือดของท่านเจียงไน่อาน ทหารเอกของราชบัลลังก์ ผู้ปราบกบฎท่ายผิง”
ทายาทหญิงเลือดนักรบผู้มีกำเนิดที่เมืองซูเจามองตาข้าพเจ้าอย่างฉงนสนเท่ห์ เพราะไม่นึกว่าข้าพเจ้าจะรู้จักจอมทัพเจียงไน่อานยุคฮ่องเต้อย่างมากมายเช่นนี้
“เธอคงเข้าใจว่าฉันเป็นนักรบ ?” ในที่สุดเจียงเหมยก็ถามขึ้น
“ไม่ใช่เข้าใจ ฉันเชื่อ”
“เพราะเหตุใด ?”
“เพราะเธอเหมือนเจียงเฟ นั่นก็นักสู้เหมือนคุณปู่ ฉันพบเจียงเฟที่โรงเรียนหวาเหวิน แต่ฉันได้พบเจียงเฟที่เป็นหลานท่านเจียงไน่อาน เป็นครั้งแรกทมหาวิทยาลัยฝู่เหริน”
“หมายความว่ายังไงกันจ๊ะ ระพินทร์ ?”
“ฉันพบเจียงเฟอย่างครูที่โรงเรียนของ ดร. เพทตัส แต่ฉันพบเจียงเฟอย่างนักสู้–อย่างผู้นำ–ที่มหาวิทยาลัยฝู่เหริน ที่ว่าพบครั้งแรก ก็เพราะฉันไม่เคยเห็นเจียงเฟเหมือนที่เห็นในที่ประชุมนักศึกษามหาวิทยาลัยฝู่เหรินในวันนั้น มันเป็นครั้งแรกจริง ๆ ที่ฉันได้เห็นผู้นำของจีนใหม่–ฉันหมายถึงจีนเสรี–เป็นประชาธิปไตย–เป็นปึกแผ่นไม่แตกแยกกระจุยกระจายอย่างนี้”
๒
เจียงเหมยมัแววตาเครียดแบบแววตาของพี่ชาย เมื่อพูดถึงเรื่องชาติบ้านเมือง เธอเป็นผู้หญิงสาวชาวจีนคนแรก ซึ่งข้าพเจ้าพบในปักกิ่ง ที่มีความเข้มแข็ง จริงจัง เป็นห่วงใยต่อความล่มจมของประเทศชาติ เพราะสงครามบ้านแตกที่รบกันเอง เพื่อจะผลักไสให้แผ่นดินจีนตกไปเป็นเหยื่อของตาอยู่สตาลิน ผู้กำลังส่งจารชนเข้ามายั่วยุบ่อนทำลายชาติจีนทั้งกลางวันกลางคืน
“เธอพูดคล้ายกับจะจับตัวฉันกับพี่เฟให้ไปรบ รบกับใครกัน ?” กังวานเสียงของหญิงสาวแม้จะยังเครียดด้วยอารมณ์เก่า แต่ยิ้มของเธอเป็นยิ้มที่มีความขบขันเจือปนอยู่
ข้าพเจ้ารินน้ำชาใส่ถ้วยของเจียงเหมยพลางพูดว่า
“ฉันมาอยู่ปักกิ่งไม่นานเลย แต่ฉันก็ได้สำนึกว่าปักกิ่งจะต้องรบ นานกิงก็จะต้องรบ กวางตุ้งก็จะต้องรบ จักรวรรดินิยมซามูไรจะต้องบุกเมืองจีนแน่นอน”
“เธอเห็นตรงกับฉัน”
“วันนั้นจะมาถึง แล้วเธอกับเจียงเฟก็จะต้องรบ ฉันเคยคุยกับหลูผิงเฟ
“หลูผิงเฟ” เจียงเหมยทวนคำ “เธอรู้จักหรือ ?”
“เจียงเฟแนะนำให้รู้จัก” ข้าพเจ้าตอบ “หลูผิงเฟก็เป็นนักสู้อีกคนหนึ่งที่ฉันสนใจ ฉันคุยกับเขาเป็นครั้งแรกในห้องพักของเจียงเฟ เป็นคนที่น่าคบมาก ฉันเชื่อว่าหลูผิงเฟจะต้องเป็นผู้นำคนหนึ่ง ที่นำกองทัพเยาวชนจีนเข้าสู้กับญี่ปุ่นทางใต้ดิน”
“เธอเชื่อได้อย่างไร ?”
“หลูมีแผน”
“ฉันเคยพบหลู เขาเป็นญาติกับหลูกวงหรือเปล่าไม่รู้ ?”
“ไม่ทราบ แต่หลูผิงเฟไม่ใช่ฝ่ายซ้าย เขาต้องการประชาธิปไตยที่มีเสรีภาพ แต่ไม่ใช่เสรีภาพแบบมือใครยาวสาวได้สาวเอาหรอกนะ”
นิ่งกันไปสักครู่หนึ่ง เจียงเหมยก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนว่า
“เมื่อกี้เธอว่าเธอสนใจกับผู้หญิงทุกคนในปักกิ่งที่มีเลือดนักสู้ ฉันขอถามสักหน่อย เธอสนใจกับวารยา เพราะวารยามีเลือดนักสู้ยังงั้นหรือ ?”
ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนถูกผลักเข้าไปอยู่ในห้องมืด งงอยู่ประเดี๋ยวหนึ่งจึงหาคำตอบได้
“การต่อสู้มีอยู่สองชนิด ชนิดหนึ่งสู้ทางใจ อีกชนิดหนึ่งสู้ทางกาย วารยาเป็นคนสู้ทางใจ”
เจียงเหมยหัวเราะด้วยอารมณ์สนุก ดูเหมือนจะพอใจที่ทำให้ข้าพเจ้าต้องหมดเปลืองกำลังสมองไปเพราะคำถามของเธอ ขณะนั้นเด็กเข้ามาเติมน้ำร้อนลงในป้านชา แล้วเอาเมล็ดแตงโมสีแดงมาใส่ในจานเล็ก พร้อมทั้งเอาผ้าขนหนูชุบน้ำหอมมาให้เช็ดหน้า ข้าพเจ้ากวาดตาดูท้องน้ำอันราบเรียบในทะเลสาบเป๋ห่าย เห็นเรือกรรเชียงแล่นไปมาอยู่หลายลำ บางลำมีคนนั่งหลายคน บางลำก็มีเพียงสองคน หญิงสาวกับชายหนุ่ม การพายเรือเล่นในทะเลสาบที่มีน้ำเรียบเหมือนแผ่นกระจกเมื่อพระอาทิตย์ตกดินแล้ว เป็นการพักผ่อนหย่อนใจอย่างดียิ่ง ในนครโบราณซึ่งมีฝุ่นมากที่สุดในโลกแห่งนี้ ข้าพเจ้าเคยเช่าเรือออกไปกรรเชียงเล่นบ่อย ๆ ในเวลาเย็นตามลำพังไม่เคยมีใครนั่งไปด้วยที่เป็นเพศตรงกันข้าม แต่ข้าพเจ้าคิดว่า สักวันหนึ่งควรจะมีใครสักคนหนึ่งนั่งไปด้วยแน่นอน และคนผู้นั้นก็ยากที่จะเป็นเจียงเหมย หรือวารยา ที่ข้าพเจ้าสนใจในบุคลิกภาพที่แตกต่างไปจากผู้หญิงในปักกิ่งที่ข้าพเจ้าพบ
แล้วในวินาทีที่ความคิดของข้าพเจ้าล่องลอยไปบนผิวน้ำอันใสเป็นกระจกนั้นเอง เรือบดลำหนึ่งมีผู้ชายกรรเชียงมาคนเดียว ก็แล่นนั่งใกล้เข้ามายังเฉลียงริมน้ำที่เรานั่งอยู่ เจียงเหมยกเห็นพร้อม ๆ กับข้าพเจ้า เธอลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น และโบกมือร้องเรียก บุรุษหนุ่มผู้นั้นโบกมือตอบและในบัดนั้นเอง ข้าพเจ้าก็กระซิบบอกตัวเองว่า “สนานมาแล้ว โบกมือให้เขาซี !”
ข้าพเจ้ารีบทำตามเสียงกระซิบ สนานตะโกนมาเป็นภาษาไทย อีกประเดี๋ยวหนึ่งเขาก็เชิญตัวเองเข้ามานั่งอยู่ระหว่างข้าพเจ้ากับเจียงเหมย
“โลกมันกลม” เขาพูดเป็นภาษาไทยแล้วหันไปพูดอังกฤษกับราชินีแห่งเยียนจิง “มานานแล้วหรือ ? ฉันมากับคุณบัว คุณจรินทร์ นั่งอยู่ฝั่งโน้น นั่นไง เห็นไหม ?”
เจียงเหมยกับข้าพเจ้าหรี่ตามองข้ามพื้นน้ำที่ทอดไปไกลลิบ ข้าพเจ้ายังไม่เห็นใครในโรงเตี๊ยมฝั่งโน้นที่ควรจะเป็นบัวกับจรินทร์ เจียงเหมยคงเช่นเดียวกัน เพราะไม่ได้ยินว่าพูดอะไรออกมา สนานจึงชี้มือไปเราจึงเห็นจุดดำ ๆ สองจุด ที่โต๊ะใต้ต้นหลิวซึ่งสยายถึงปลิวสะบัดไปมาตามสายลมเหมือนฉากกำบัง
“เธอมีนัดอะไรกับบัว ?” เจียงเหมยถาม
“เปล่า ไม่มีนัด เราพบกันโดยบังเอิญ” สนานตอบ
“ที่นี่ ?”
“เปล่า”
“ไม่ใช่ที่นี่” เจียงเหมยทำท่าฉงน “แล้วที่ไหนล่ะจ๊ะ”
สนานทำท่าอึกอักคล้ายกับมีอะไรในใจแต่ครั้นแล้วก็ตอบว่า
“พบที่หน้าถูซูก่วน ฉันเดินออกมา เขากำลังผ่านมาทางเป๋ห่าย”
“ฉันก็อยู่ที่ถูซูก่วนกับระพินทร์เมื่อตอนบ่าย”
“อ้อ...”
“เธอไม่เห็นฉันหรอกหรือ ?”
“ไม่เห็น”
“ฉันพบหลูกวง”
“อ้อ...”
“เธอพบหลูกวงหรือเปล่า ?”
สนานนิ่ง ไม่ตอบในทันที ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเขาหลบตาลงต่ำ คล้ายกับไม่สู้ตาเจียงเหมย ในแววตาของเขามีความรู้สึกวุ่นวายที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ
“เธอคงพบหลูกวงใช่ไหม ?” เจียงเหมยรุกประชิดอย่างมีเจตนา คล้าย ๆ กับจะเดาอะไรได้
“เอ้อ...” สนานพยายามหาคำพูด “ฉันบังเอิญเข้าไปในห้องวรรณคดี...”
“แล้วพบหลูกวง” เจียงเหมยพูดต่อให้ทันที
สนานพยายามหัวเราะเบา ๆ คงจะพยายามกลบรอยพิรุธในสีหน้า แต่เขาทำไม่สำเร็จ เพราะหัวเราะของเขาแห้งแล้ง และรอยพิรุธก็ยังอยู่ แล้วยิ่งจะมากขึ้น เขาต้องมีอะไรในใจ ข้าพเจ้าคิด
เมื่อไม่มีคำตอบจากสนาน ตั้งเรืองแสง เพื่อนชายผู้สนิทที่สุดของเจียงเหมย ราชินีแห่งเยียนจิงก็มีสีหน้าไม่พอใจ นิ่งอึ้งอยู่สักประเดี๋ยวพูดว่า
“นี่เธอยังจะพบกับหลูกวงอีกหรือจ๊ะสนาน ?”
“ก็พบโดยบังเอิญ เราไม่มีอะไรกัน” สนานตอบ แล้วมองออกไปทางขอบฟ้าเหนือฝั่งตรงข้าม
หญิงสาวถอนใจยาว แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย
-
๑. หมายเหตุ อยู่ในเรื่อง “ขบวนเสรีจีน” โดยผู้เขียนคนเดียวกัน ↩