บทที่ ๑๖

เสียงที่แล่นมาตามสายโทรศัพท์ซึ่งยาว ๑๐ ไมล์กว่า ระหว่างนครปักกิ่งกับมหาวิทยาลัยเยียนจิงทางทิศตะวันตก เป็นเสียงที่มีกังวานเพราะและแจ่มใสเหมือนเสียงระฆังเงิน เจียงเหมยพูดมาว่า เธอจะเข้ามาในเมืองอีกสองวัน คือวันเสาร์ และจะพบข้าพเจ้าที่หอสมุดแห่งชาติหรือเป่ผิงถูซูก่วนริมทะเลสาบเป๋ห่าย เพราะข้าพเจ้าได้นัดไว้เมื่อปลายเดือนก่อน ด้วยเหตุผลที่ข้าพเจ้ามักจะชอบอ้างอย่างไม่อายตัวเอง คือต้องการให้ราชินีแห่งเยียนจิงผู้นี้มาเลือกหนังสือให้อ่าน ซึ่งเธอควรจะเลือกได้ดีกว่าข้าพเจ้า

เมื่อเสร็จจากการพูดโทรศัพท์แล้ว ข้าพเจ้ารีบเข้าไปในห้องอาหารอีก พอโผล่ประตูก็ต้องตะลึง ที่โต๊ะซึ่งข้าพเจ้านั่งอยู่เมื่อตะกี้ไม่มีวารยาเสียแล้ว บัวนั่งหั่นเค้กอยู่คนเดียว

ข้าพเจ้าเดินเข้าไปหา นั่งลงเตรียมจะเอ่ยปากถามบัวก็พูดขึ้นก่อนว่า

“วารยาไปกับมิสซิสฮูเวอร์ บอกว่าจะไป วาย.ดับยู.ซี.เอ. ที่ตงอันซื่อฉ่าง”

“แล้วสั่งอะไรไว้บ้างไหม ?” ข้าพเจ้าถามอย่างไม่สบายใจ

“เปล่า”

คำตอบของบัวซึ่งสั้นและห้วนในน้ำเสียง และไม่มีคำอธิบายต่อไป เป็นคำตอบที่มีความหมาย ข้าพเจ้าสงบใจให้เป็นปกติก่อนจะถามเขาต่อไปว่า

“วารยาไม่พอใจอะไรหรือ ?”

บัวหัวเราะอย่างมีนัย ดื่มน้ำชาเข้าไปอึกหนึ่ง เอาลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะตอบ

“ก็ไม่รู้ซี ผมก็คิดว่าเขาควรจะคุยกับผม เพราะผมก็พยายามจะเป็นตัวแทนของคุณอยู่แล้ว”

“ตัวแทน” ข้าพเจ้าไม่เข้าใจคำพูดของเขา

“อ้าว ก็คุณไปโทรศัพท์ ผมก็รับแขกแทน ไม่ได้เป็นตัวแทนอะไรหรอกน่า หมู่นี้คิดมากไปหน่อยแล้วละ มิสเตอร์ซู !”

เขาเรียกชื่อซึ่งข้าพเจ้าใช้ในฮ่องกงตามที่ครูเซนต์สะตีเฟนส์ คอลเลชตั้งให้เพื่อจะให้เป็นลูกหลานของซูตงปอ กวีแห่งราชสำนักกษัตริย์ราชวงศ์ซ้อง ท่าทีของบัวยียวนพอดู ข้าพเจ้าเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นในใจเพราะหงุดหงิดอยู่แล้วที่วารยาทิ้งไปโดยไม่บอกกล่าว

แต่ข้าพเจ้าก็พยายามดับอารมณ์ร้ายที่พลุ่งขึ้นมา ยังไม่ทันจะพูดอะไร บัวก็จับสีหน้าข้าพเจ้าได้ เขาหัวเราะดังจนฝรั่งมิชชันนารีคนหนึ่งที่นั่งอยู่โต๊ะใกล้ ๆ กันต้องหันมาดู

“ใจเย็นซีคุณ–มันสำคัญที่ใจเย็น” เขาพูดพลางหัวเราะพลาง “ผู้หญิงถ้าไม่โกรธก็ไม่รัก เรื่องหัวใจของผู้หญิงละก้อเชื่อผมดีกว่า ผมบุกมามากกว่าคุณ”

“คุณพูดอะไรผมไม่เข้าใจ” ข้าพเจ้ารินกาแฟใส่ถ้วย ไม่พยายามสบตากับหัวหน้าคณะหมวกทรงมะนาวตัดแห่งกระทรวงธรรมการ ผู้บุกกรุงเทพ ฯ ราตรีมาแล้วอย่างโชกโชนก่อนจะออกไปญี่ปุ่น

“อะไร–ไม่เข้าใจ คุณควรจะเข้าใจ” บัวหัวเราะในคอ

“คุณบุกผู้หญิงมามาก คุณก็เลยเห็นอะไร ๆ เป็นความรักไปหมด” ข้าพเจ้าโคลงศีรษะไปมา “เรื่องของผมไม่ใช่เรื่องความรัก”

“ถ้าผมพูดความจริงออกไป คุณก็คงโมโห ผมไม่พูดละ” บัวเลิกคิ้วแล้วก็ยิ้มอย่างไว้เชิง

“ความจริงอะไร”

“คุณจะโมโหไหมล่ะ ? ระพินทร์”

“ผมใจเย็นน่า”

“เอาละ ถ้างั้นก็จะพูดให้ฟัง คุณกำลังสนใจทั้งวารยาและเจียงเหมยใช่ไหมล่ะ ?” เขาจ้องตาข้าพเจ้าเขม็ง

ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีเข็มมาแทงที่หัวใจ

“ผมรับว่าผมสนใจ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่คุณเข้าใจเอาเอง” ข้าพเจ้าตอบ

“ผมไม่ได้เข้าใจเอาเองนา” บัวหัวเราะอีก “คุณทำให้ผมเข้าใจต่างหาก”

“ผมไปทำอะไรให้คุณเข้าใจ คุณคิดไปเอง การที่ผู้ชายคนหนึ่งจะไปสนใจกับผู้หญิงสักสองคน หรือตั้งร้อยตั้งพันคนน่ะ คุณจะเหมาเอาเป็นเรื่องรักไปเสียหมดยังงั้นหรือ ? มันก็แปลกน่ะซี”

“ไม่แปลก มันเป็นกฎธรรมดา”

“กฎธรรมดา ?”

“ครับ–กฎธรรมดา ความรักเกิดจากอะไรคุณรู้ไหม ?”

ข้าพเจ้าจ้องหน้าเขาอย่างรู้สึกรำคาญ

“นี่ บัว คุณจะมาสอบไล่ผมใช่ไหม ?”

บัวหัวเราะอย่างสนุกสนานตามนิสัยของเขา

“ไม่ใช่สอบไล่ แต่ถามดู ถ้าคุณรู้ว่าความรักเกิดจากอะไร คุณก็จะรู้ต่อไปว่าที่คุณไปสนใจกับวารยา–แล้วก็–เจียงเหมยน่ะ มันเป็นบันไดแห่งความรัก!”

“ความรักมีบันได–ปรัชญาของคุณ !” ข้าพเจ้าหัวเราะบ้าง

“ความรักมันต้องมีบันได ถ้าไม่มีบันไดแล้ว คุณอาจจะรักผู้หญิงได้ทุกคน แม้แต่ผู้หญิงขี้เรือนที่โรงพยาบาลพระประแดง” บัวพูดเสียงแข็ง “วารยากับเจียงเหมยไม่ใช่ผู้หญิงขี้เรื้อน ทั้งสองคนเป็นผู้หญิงที่ผู้ชายต้องสนใจ ผมก็สนใจ แต่เดี๋ยวนี้ผมเลิกแล้ว”

“ทำไม ?”

“เพราะคุณสนใจน่ะซี เรื่องอะไรผมจะต้องไปทำตัวเป็นพระรอง”

ข้าพเจ้าส่ายหน้าแล้วครางออกมาดังเฮอ !

“คุณนี่จะยัดเยียดผมให้เป็นพระเอกท่าเดียว ผมไม่ใช่พระเอก ผมเป็นนักศึกษาชีวิตต่างหาก”

บัวเลิกคิ้ว ตีหน้าอย่างไม่เชื่อ

“นักศึกษาชนิด ! เออ ก็เข้าที คุณก็ลอดช่องไปได้เหมือนกันนะ” เขาหยิบเค้กมาใส่ปากแล้วเคี้ยวอย่างอร่อย “นี่ ระพินทร์ ในปักกิ่งที่คุณเห็นจะต้องการศึกษาชวกเพียงคนสองคนนี้เท่านั้นใช่ไหม ?”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่า บัวแสดงความสนใจกับวารยาและเจียงเหมยผิดปกติไปสักหน่อยในวันนี้ ตามธรรมดาเขาไม่เอ่ยถึงคนทั้งสองนี้เลย การที่เขาไม่เอ่ยและมาเอ่ยเอามากมายไม่หยุดปากในครั้งนี้ จึงเป็นข้อที่น่าสังเกตมาก ข้าพเจ้าต้องการจะศึกษาจิตใจของเขาต่อไป จึงกล่าวว่า

“คุณว่าคุณก็สนใจกับวารยาและเจียงเหมย แล้วคุณก็ว่า ความรักมีบันได เอาละสมมติว่าคุณกำลังขึ้นบันไดแห่งความรัก คุณจะชี้แจงได้ไหมว่าบันไดของคุณรูปร่างมันเป็นยังไง ?”

“คุณจะเหมาว่าผมรักผู้หญิงสองคนนี้ฉันหรือ ?” บัวมีท่าทางระวังตัวขึ้น เมื่อรู้สึกว่ากำลังโดนศอกกลับ

“คุณก็เหมาผม ผมก็ลองเหมาคุณดูบ้าง ติ๋ต่างว่าอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าคุณรักสองคนนี้ คุณรักอะไร ? อะไรเป็นบันไดให้คุณรัก ?”

บัวหรี่ตามองข้าพเจ้าในท่าที่เขามักจะทำเมื่อถูกต้อนให้คิด ยิ้มนิดหนึ่งอย่างไว้เชิงซึ่งคงจะติดมาจากระบบการยิ้มของคณะทรงมะนาวตัดที่กรุงเทพฯ เขาพูดขึ้นอย่างช้า ๆ คล้ายกับระวังตัวว่า

“ก็ได้ จะให้ผมชี้แจงก็ได้ ถ้าผมจะรักวารยา ผมก็รักความสวยเหมือนผีเสื้อ ถ้าผมจะรักเจียงเหมย ผมรักความสวยของราชินีเยียนจิง”

“ไม่ชัด บันไดรักของคุณยังไม่แจ่มแจ้ง แล้วก็มีสิ่งที่ไม่ตรงกับผม” ข้าพเจ้าพูดอย่างจริงใจและสวนขึ้นทันทีเมื่อเขาพูดจบ เพราะทนความกดดันของความรู้สึกไม่ได้ “คุณว่าวารยาสวยเหมือนผีเสื้อ ผมว่าไม่ใช่ วารยาสวยอย่างเยือกเย็น ส่วนเจียงเหมยสวยอย่างอบอุ่น”

“อ้อ สวยก็มีเยือกเย็นด้วยหรือ มีทั้งเยือกเย็นอบอุ่น ผมต้องเรียนปรัชญาของความสวยเสียก่อน จึงจะเข้าใจทฤษฎีของคุณได้”

ข้าพเจ้าหัวเราะ

“แต่ความสวยอย่างเดียวไม่ใช่บันไดของความรัก”

“คนทั้งโลกเขารักความสวยของผู้หญิงกันทั้งนั้น” บัวสวนขึ้นทันที “ในวรรณคดี คุณจะไม่พบนางเอกที่ไม่สวย”

“แปลว่าคุณรักความสวยของผู้หญิงอย่างเดียวเท่านั้นใช่ไหม ?”

“มันเป็นจุดตั้งต้นของความสนใจ” บัวตอบ

“ต่างกับผม นี่ผมไม่ได้รักนะ อย่ามาทึกทักเอาผมเข้านะ ผมสนใจเท่านั้น อะไรทำให้ผมสนใจ ? มันไม่ใช่ความสวย เพราะความสวยมันต่ำกว่าความงาม แต่ความงามสำหรับผมมันก็ไม่ใช่จุดแรกที่ทำให้ผมสนใจอีกน่ะแหละ ผู้หญิงงามมีอยู่เต็มโลก ผมไม่เคยสนใจเลย”

“งั้นอะไรล่ะที่ทำให้คุณสนใจ ?” บัวหรี่ตามองข้าพเจ้า

“มันมากกว่าความสวยความงามอย่างเยอะแยะทีเดียว” ข้าพเจ้าตอบแล้วยกถ้วยชาขึ้นดื่ม “แต่ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไรคุณถึงจะเข้าใจได้”

“ดูคุณช่างคิดลึกเสียเหลือเกิน อย่าให้มันปรัชญามากนักนะ ผมจะเตือนให้ ถ้าขืนไม่เชื่อคุณจะพบแต่ความฝัน”

“มันไม่ใช่ความฝัน มันเป็นความจริง วารยากับเจียงเหมยมีอะไรมากกว่าความสวยความงาม ที่ทำให้ผมต้องสนใจ ผมพบผู้หญิงมาก็ไม่น้อยแต่ไม่ใช่ผู้หญิงตามซ่องหรอกนะ ผมยังไม่เคยพบใครที่ทำให้ผมสนใจ”

“ก็อะไรล่ะที่ทำให้คุณต้องสนใจ”

คำถามของเขาจี้ข้าพเจ้าอย่างชิดตัว ข้าพเจ้านิ่งคิดก่อนจะเอ่ยปากตอบออกไป

“เอาเรื่องวารยาก่อนนะ ผมต้องสนใจ เพราะผมต้องการรู้เรื่องรัสเซีย คุณต้องไม่ลืมว่าผมสนใจมิสปอปอฟ เลขาของ ดร. เพทตัสเหมือนกัน แต่มีสปอปอฟไม่มีอะไรที่ควรสนใจเท่าวารยา”

“เพราะมิสปอปอฟแกไม่สวย แกควรจะเป็นนักมวยปล้ำมากกว่านางเอก” บัวขัดขึ้นมาทันที

“ผมก็บอกแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องของความสวย” ข้าพเจ้าตอบไปทันทีเหมือนกัน “มันเรื่องของเบื้องหลังวารยา ผมเชื่อว่าวารยามีเบื้องหลัง ผมไปคุยกับวลาดิมีร์พ่อของเธอ ผมได้อะไรมาหลายอย่าง”

“เป็นคอมมิวนิสต์ใช่ไหม ?”

“เป็นฝ่ายตรงกันข้าม เป็นพวกรัสเซียขาวที่เกลียดสตาลิน แต่ตามที่วลาดิมีร์พูดกับผม แกเป็นพวกพระเจ้าซาร์แน่ แต่จะเป็นโรมานอฟคนหนึ่งหรือไม่ผมไม่ทราบ”

“แปลว่าคุณสนใจกับวารยาเพราะคุณอยากรู้เบื้องหลังของเธอ คุณมีเหตุผลข้อเดียวใช่ไหม ?”

“ไม่ใช่” ข้าพเจ้าตอบแล้วหยุดเว้นระยะเพื่อจะคิด “ความไว้ตัว ดวงตาที่เศร้าและมีอะไรซ่อนอยู่ลึกมาก ท่าทางเป็นผู้ดี ยิ้มที่ดูเหมือนจะท้าทายชีวิต เหล่านี้ทำให้ผมสนใจ”

“คุณมองผู้หญิงอย่างนี้เองน่ะหรือ ? ผมว่าคุณทำตัวเป็นนักปราชญ์มากไปเสียแล้วละ ระพินทร์” บัวโคลงศีรษะคล้ายกับจะพลอยแสดงความสมเพชออกมา “ผมว่าวารยาเล่นละครเก่งมาก เล่นเอาพระเอกจากกรุงเทพ ฯ งวยงงไปทีเดียว นี่ ระพินทร์ คุณไม่คิดบ้างหรือว่า วารยาเป็นคนรักของนายเหลียง ไอ้หมอนั่นมันก็ไอ้พวกเจ้าชู้ประตูดิน ไม่เห็นมีอะไรที่คนไว้ตัวอย่างวารยาจะไปรัก แต่วารยาก็รัก ผมไม่เข้าใจ”

ข้าพเจ้าถอนใจเบา ๆ แล้วโคลงศีรษะไปมา

“คุณไม่เข้าใจ ผมรู้ว่าคุณไม่เข้าใจเพราะคุณไม่สนใจคุณถึงได้ไม่เข้าใจ คุณรู้ไหมว่าทำไมวารยาจึงต้องไปเป็นคู่รักของนายเหลียงนักเรียนบอสตันจอมเบ่งคนนั้น มันมีอะไรที่น่าคิด”

“นั่นซี มันน่าคิด แต่ผมคิดว่าวารยาไม่ได้ไว้ตัวเลย !” บัวพูดตามอารมณ์ที่พลุ่งขึ้นมาโดยที่เขาระงับไม่ทัน ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจ

“คุณควรให้โอกาสวารยา” ข้าพเจ้าพยายามคุมสติ “วารยาต้องมีอะไรแน่ ไม่ใช่วารยาไม่ได้ตัว”

“ก็มันอะไรล่ะ ?” บัวหัวเราะหึ ๆ

“ผมกำลังค้นหาอยู่ แล้วผมเชื่อว่าผมคงจะช่วยวารยาได้”

บัวถอนใจดังเฮอ เม้มปากจนแก้มยุ้ย แล้วก็โคลงศีรษะไปมาอย่างทนรำคาญไม่ไหว

“เมื่ออยู่กรุงเทพ ฯ ถ้าผมดึงคุณเข้ามาเป็นสมาชิกคณะหมวกทรงมะนาวตัด–ท่องกรุงเทพ ฯ ราตรีเสียให้ราบ คุณคงจะไม่คิดแบบนี้ คุณว่าคุณจะช่วยวารยา! อนิจจัง! ช่วยอะไรกัน ? ช่วยไปทำไม ?”

ข้าพเจ้าใจเต้น รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า ข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัวกำลังดูหมิ่นวารยา ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ใครมาดูหมิ่นผู้หญิงคนนี้ เพราะข้าพเจ้ามั่นใจตัวเองว่า ข้าพเจ้าเข้าใจเธอ ข้าพเจ้ารู้ดีว่าวารยามีปัญหาชีวิตที่ชาตากรรมเป็นผู้รับผิดชอบ วารยาไม่ได้คิดผิด และไม่ได้ทำผิด มันเป็นเรื่องของกรรมเก่า มันเป็นเรื่องของมนุษยธรรม เราควรจะมีใจกว้างพอที่จะเข้าใจและแผ่เมตตา มากกว่าจะซ้ำเติม

ข้าพเจ้ายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบนิดหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ ต้องการเพียงแต่จะยืดเวลาการตอบโต้ เพื่อให้อารมณ์เสียผ่านเลยไปเสียก่อน

“บัว ผมขอบอกคุณว่า วารยาเป็นคนดี” ข้าพเจ้าพูดช้า ๆ แต่หนักแน่น “วารยาไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่คุณคิด วารยามีปัญหาชีวิตที่ไม่มีใครเข้าใจ ผมคนเดียวจะพยายามเข้าใจ ผมคนเดียวจะต้องช่วยเธอ !”

บัวหัวเราะเสียงดัง–และหัวเราะอย่างยืดยาว ข้าพเจ้ากำขอบโต๊ะแน่น พยายามหายใจให้ลึก เพื่อระงับอารมณ์ร้ายที่กำลังจะพลุ่งขึ้นมา...

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ