บทที่ ๑๔

อาการนิ่งของวลาดิมีร์ เป็นการสารภาพความจริงสองประการ ประการแรก เขาไม่ปฏิเสธเรื่องที่ข้าพเจ้าพูด คือเรื่องคณะเสนาบดีกดขี่รังแกราษฎรถึงขั้นอุกฤษฏ์ และข้าราชการคอร์รัปชั่นโกงเงินหลวงกินสินบน เป็นผลทางหนึ่งให้ราชบัลลังก์พินาศ ประการที่สอง เขาแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่า เขาเป็นรอแยลิสต์อย่างปิดหูหลับตา ไม่คำนึงถึงเหตุผลและความทุกข์ยากของประชาชน วลาดิมีร์เป็นใครข้าพเจ้าไม่รู้ แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ารู้ก็คือเขาเป็นพวกที่บูชาระบอบซาริสม์ ของ Ivan the Terrible แน่นอน

ข้าพเจ้าถือวิสาสะรินเบียร์ห้าดาวใส่แก้วของชายชราเคราสำลี ซึ่งเขายกขึ้นดื่มดับอารมณ์จนแทบไม่เหลือแม้แต่หยดเดียวเมื่อตะกี้ ข้าพเจ้าต้องการจะประจบเขานิดหน่อย และข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าควรจะลองหยั่งความรู้สึกนึกคิดของเขาต่อไปอีกสักครู่ เพื่อประโยชน์ที่ข้าพเจ้าจะได้รู้จักวารยา ราเนฟสกายา ดีขึ้นอีก

“ผมรู้เรื่องรัสเซียไม่มากนัก แต่ผมมีความรู้สึกซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะผิดหรือถูก” ข้าพเจ้าค่อย ๆ พูดอย่างระมัดระวัง “ผมว่าพระเจ้าซาร์ทุกพระองค์ เป็นผู้มีบุญคุณต่อราษฎรอย่างล้นเหลือ เพราะทรงเป็นผู้สร้างรัสเซีย จากเมืองป่าเมืองดงขึ้นมา จนกระทั่งเป็นมหาอำนาจของโลกประเทศหนึ่ง ผมอ่านเรื่องพระเจ้าอีแวนซาร์องค์แรก เรื่องพระเจ้าปีเต้อร์มหาราช ผู้สร้างรัสเซียใหม่ ตลอดจนเรื่องพระนางเจ้าคัทรินมหาราชินี ผมรู้สึกว่าทุกพระองค์เป็นจักรพรรดิที่ปรีชาสามารถ”

“ใช่” วลาดิมีร์สอดขึ้นมาในทันทีทันใด “เรามีจักรพรรดิที่เก่งทุกองค์ แต่ราษฎรไม่เข้าใจ”

“ผมว่าเขาเข้าใจครับ แต่เขาทนความอดอยากยากจนไม่ไหว” ข้าพเจ้าหัวเราะเบา ๆ เพื่อไม่ให้น้ำเสียงเกิดความเคร่งเครียดและแห้งแล้ง “ที่จริงพระนางเจ้าคัทรินมหาราชินี ก็ได้ทรงพยายามแก้ไขเหมือนกัน ก่อนเวลาที่เลนินจะยึดอำนาจจากพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่สองถึง ๑๕๐ กว่าปี ผมจำได้ว่ายุคพระนางเจ้าคัทริน เป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ยิ่งในยุโรป คือยุคฝรั่งเศสปฏิวัติ ยุคของวอลแตร์และรูซโซ วอลแตร์บูชานิวตัน–บูชาเสรีภาพในการพูด การเขียนของคนอังกฤษ วอลแตร์เขียนหนังสือมาก, เขียนทั้งประวัติศาสตร์, ปรัชญา, ละคร, บทความ, นิยาย ซึ่งล้วนแต่พุ่งไปหาเป้าหมายที่ไม่เปลี่ยนเป้าเดียวของเขา–คือระบอบของการใช้เหตุผล และการก้าวของสังคมออกจากความมืดไปสู่ความสว่าง วอลแตร์พยายามตัดโลกเก่าออกไปจากจิตใจของคน คือโลกของความงมงาย และโลกของการสูบเลือดกินแรงประชาชนที่งมงาย เขาต่อสู้กับอำนาจที่บังคับข่มขี่ ริดรอนสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ในทางที่ไม่เป็นธรรม เขาได้บุกเบิกดงดิบของมนุษย์ชาติออกมาสู่ที่ราบอันโล่งแจ้ง เขาได้หว่านเมล็ดพืชที่ให้กำเนิดแก่โลกใหม่ ซึ่งมนุษย์จะมีสิทธิเสรีภาพในการมีชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียมกัน รูซโซเขียน “สัญญาประชาคม” ประกาศให้ประชาชนสำนึกว่า รัฐบาลที่ถูกต้องนั้น คือรัฐบาลที่มีเจตน์จำนงของประชาชนเป็นพื้นฐาน เจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงนั้นต้องเป็นประชาชน ไม่ใช่คนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่ง หรือมนุษย์คนหนึ่ง วอลแตร์กับรูซโซเป็นพระเจ้าองค์ใหม่ ที่เปิดโลกใหม่ให้แก่ยุโรป พวกกษัตริย์และนักปกครองพากันสนใจกับความคิดของเขา พระเจ้าเฟรเดอริคมหาราชแห่งปรัสเซีย พระเจ้าโจเซฟที่สองแห่งออสเตรีย ตลอดจนสมเด็จพระนางเจ้าคัทรินมหาราชินีแห่งรัสเซีย ก็ได้ทรงศึกษาข้อเขียนของวอลแตร์กับรูซโซ และได้ทรงพยายามนำไปใช้ปรับปรุงบ้านเมืองให้ดีขึ้น พระนางเจ้าคัทรินได้พยายามแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ของการปกครอง แต่ไม่ได้แก้ที่รากฐาน คือสาเหตุที่ทำให้ประชาชนอดอยากยากจน ปรัชญาของวอลแตร์กับรูซโซจึงเป็นเพียงแสงฟ้าที่แวบเข้ามาในถ้ำมืดเพียงปลาบเดียวแล้วก็หายไป รัสเซียจึงมืดอยู่เรื่อยมา จนถึงยุคพระเจ้าซาร์นิโคลาสที่สอง ซึ่งเป็นยุคที่ไฟได้ลุกไหม้ลามมาถึงปราสาทราชวัง แล้วที่ร้ายที่สุดก็คือพวกเสนาบดีซึ่งใช้แต่อำนาจ แทนที่จะเอาน้ำดับ กลับเทน้ำมันราดลงไปบนกองไฟ รัสเซียจึงต้องพบกับการปฏิวัติที่โหดเหี้ยมทารุณที่สุด ไม่แพ้การปฏิวัติในฝรั่งเศส”

วลาดิมีร์ฟังข้าพเจ้าพูดอย่างอดทน มือทั้งสองข้างกำพนักเก้าอี้แน่น ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง เขาไม่สบตาข้าพเจ้า ดูคล้ายกับว่าเขาได้สำนึกถึงความผิดพลาด ที่ซาร์ทุกพระองค์ได้ทรงกระทำไว้แก่พสกนิกรเชื้อชาติสลาฟ ซึ่งเป็นทาสติดแผ่นดินถูกพันธนาการแช่น้ำแข็งอยู่นับด้วยศตวรรษ

แต่ข้าพเจ้าคงจะคาดผิด วลาดิมีร์คงจะไม่ได้สำนึกถึงอดีตที่ผิดมากกว่าถูก เขาโยนคำพูดกลับมาให้ข้าพเจ้าอย่างเผ็ดร้อน

“ฉันว่าเธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจรัสเซียได้อย่างถูกต้อง เธอพูดอย่างคนฝัน ถ้าเธอเกิดในรัสเซีย อยู่ในรัสเซียอย่างฉัน เธอจะไม่พูดอย่างนี้ พระเจ้าซาร์ของเราปกครองอย่างพ่อกับลูก รัสเซียเป็นมหาอำนาจ มีราชอาณาจักรใหญ่โตตั้งแต่ยุโรปจนถึงอาเซีย ก็เพราะพระปรีชาสามารถของพระองค์ ไม่เคยมีจักรพรรดิองค์ไหนที่ครองแผ่นดินกว้างใหญ่คลุมถึงสองทวีป ได้อย่างยืนยาวเหมือนพระเจ้าซาร์ ราษฎรมันเนรคุณไม่มีกตัญญูกตเวที มันทำตัวเป็นกบเลือกนาย ผลที่สุดมันก็ได้นกกะสา สมน้ำหน้ามัน !”

ข้าพเจ้าหัวเราะขบขันท่าทีกิริยาที่งกเงิ่นฉุนเฉียวของชายชราเคราสำลี ผู้ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าจะไม่เป็นภัยต่อใครได้อีกแล้ว เสียงหัวเราะทำให้วลาดิมีร์มองหน้าข้าพเจ้าอย่างไม่พอใจ

“เธอหัวเราะทำไม ? มันไม่จริงดอกหรือที่ไอ้พวกกบมันได้นกกะสาเป็นนาย ?” เสียงของเขาสั่นเครือเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ

ข้าพเจ้าลืมไปว่าข้าพเจ้าจะต้องประจบวลาดิมีร์ เพื่อจะได้มาหาวารยาได้บ่อย ๆ จึงตอบว่า

“ผมไม่เชื่อหรอกครับ ว่าชาวรัสเซียจะเป็นกบที่เลือกนกกะสา”

“ถ้าไม่เป็นกบแล้วมันจะเป็นอะไรที่ดีกว่ากบ ?” เสียงที่สวนขึ้นมายังคงเกรี้ยวกราดอยู่

ข้าพเจ้ายิ้มอย่างสนุก

“เขาก็เป็นคนน่ะซีครับ–เป็นคนอย่างประชาชนคนเดินถนนทุก ๆ ประเทศ คนเดินถนนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นชาติอะไรภาษาอะไร ก็มีความรู้สึกเหมือน ๆ กัน คือรู้สึกว่าต้องเอาชีวิตรอด ต้องหนีร้อนพึ่งเย็น ดูแต่ไอ้หนูที่ท่านเล่าเมื่อตะกี้ซีครับ จับมันใส่ท่อเหล็กเอาไฟเผา เมื่อมันออกไม่ได้มันก็กัดท้องอีตานั่นจนทะลุ แล้วก็กระเสือกกระสนหนีร้อนเข้าไปในท้องจนได้ ผมว่าชาวรัสเซียหรือชาวจีนก็เหมือนหนูนี่แหละครับ เมื่อทนร้อนไม่ได้มันก็ต้องดิ้น ต้องปฏิวัติหาทางออก สุดแต่จะไปเจอรูเข้าที่ไหน เลนินเจาะรูไว้รับ แกก็รีบมุดเข้าไป ไม่ใช่เพราะแกอยากเป็นบอลเชวิก แต่เพราะแกไม่เจอที่ไหนที่ดีกว่าต่างหาก ผมว่าโลกเราทุกวันนี้ ถ้าเราช่วยกันคิดหารูที่ดีกว่ารูคอมมิวนิสต์ คนที่หนีร้อนคงจะไม่มีใครมุดเข้ารูคอมมิวนิสต์แน่ ๆ เพราะทุกคนก็อยากมีชีวิตอย่างอิสระเสรี ไม่มีใครอยากเป็นขี้ข้า”

วลาดิมีร์มองข้าพเจ้าด้วยแววตาที่ยังมีความขุ่นเคืองเหมือนเดิม เขาโต้กลับมาว่า

“ความยากจนที่เธอว่า มันมีอยู่ทุกแห่งทั่วโลก ไม่ได้มีแต่ในรัสเซียเท่านั้น พระเจ้าซาร์ได้พยายามแก้ไข เราก็ได้มีการปลดปล่อยพวกเซิฟ เธอก็คงรู้”

“ครับผมทราบ” ข้าพเจ้าตอบเสียงเบาแต่หนักแน่น “แต่พวกเซิฟกลับกลายเป็นลูกหนี้รัฐบาล เพราะต้องซื้อที่ดินทำกินราคาแพงกว่าราคาจริงหลายเท่าตัว นั่นมันก็คอร์รัปชั่น ท่านก็ทราบดีไม่ใช่หรือครับว่า ในรัสเซียสมัยพระเจ้าซาร์ มีพวกเซิฟหรือที่เราเรียกว่าพวกทาสติดดินมากกว่าครึ่งของพลเมืองทั้งหมด คนพวกนี้อดอยากยากจน ต้องถูกบังคับให้ทำนาฟรี ให้แก่เจ้าขุนมูลนายถึงสัปดาห์ละสามวัน ชีวิตความเป็นอยู่ของคนพวกนี้ตกต่ำยากแค้น ไม่ผิดชีวิตมนุษย์เมื่อริม ๆ พันปีก่อน แล้วกรรมสิทธิ์ที่ดินในรัสเซีย ก็เป็นสมบัติของพวกเจ้าขุนมูลนายถึงเก้าในสิบ คนใหญ่คนโตพวกนี้นอนกินอยู่บนหลังของพวกเซิฟนับเป็นร้อย ๆ ปี ท่านคงเข้าใจดีว่าความรู้สึกของคนค่อนประเทศที่ถูกอัดแน่นอยู่เป็นร้อย ๆ ปีนี้ เมื่อมันระเบิดขึ้นมันก็ต้องรุนแรงมาก งั้นไม่ใช่หรือครับ ?”

“แต่มันจะไม่ระเบิดถ้าไม่มีไอ้พวกบอลเชวิก” เสียงวลาดิมีร์ยังคงแข็งกร้าวตามเดิม

“แต่พวกบอลเชวิกก็มาจากคนยากจนเหล่านี้ครับ ถ้าไม่มีคนยากจน พวกบอลเชวิกก็ไม่มี เลนินก็ประกาศศาสนาใหม่ไม่ได้ สตาลินก็จะฆ่าคนเล่นไม่ได้”

“เธอพูดอย่างนี้ เธอเห็นด้วยกับพวกบอลเชวิกที่ทำลายเสด็จพ่อองค์เล็กของรัสเซียใช่ไหม ? เธอคิดว่าปัญหาความยากจน จะต้องแก้ด้วยการปฏิวัติของพวกบอลเชวิกงั้นหรือ ระพินทร์”

“ผมไม่เคยเห็นด้วยกับศาสนาใหม่ของเลนิน” ข้าพเจ้าตอบอย่างมั่นใจ “ผมไม่เคยคิดว่าเลือดจะล้างโลกให้สะอาดได้”

“แล้วเธอจะเอายังไง” ชายชราเคราสำลีจ้องตาข้าพเจ้าเขม็ง

“ผมเชื่อมั่นว่าการแก้ปัญหาความยากจนแบบที่บอลเชวิกเคยทำ และคอมมิวนิสต์กำลังทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นวิธีการที่ผิด ทำไม่ได้ ไม่มีทางสำเร็จ เพราะการแก้ที่ทำลายสิทธิของมนุษย์ทั้งในทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ซึ่งขัดกับหลักธรรมชาติของจิตใจ ผมแน่ใจว่าในนาทีสุดท้าย คอมมิวนิสต์จะต้องถอย และนายทุนที่สร้างความยากจนให้แก่เพื่อนมนุษย์ทั่วโลก ก็จะต้องถอยเช่นเดียวกัน คนสองพวกนี้มาพบกันที่ทางสายกลาง ซึ่งเป็นทางออกทางเดียวของชาติมนุษย์ในอนาคต”

“ทางสายกลาง ?” แววตาของวลาดิมีร์ แสดงว่าไม่มีความเข้าใจความหมายของข้าพเจ้าเลย

“ครับ, ทางสายกลาง” ข้าพเจ้ายืนยัน “ผมหมายถึงทางสหกรณ์ ซึ่งเป็นลัทธิเศรษฐกิจที่เกิดมาในยุคเดียวกับมาร์กซ์ รัสเซียก็เคยเอาสหกรณ์เข้าไปใช้ เพื่อแก้ไขปัญหาความอดอยากยากจนของราษฎร แต่ผมว่ามันเป็นเคราะห์กรรมของพระเจ้าซาร์ครับ ที่ทนเลี้ยงพวกเสนาบดีขี้โกงไว้ พระเจ้าซาร์พยายามแก้ไขปรับปรุงบ้านเมือง แต่อะไรที่กระเทือนประโยชน์ของพวกเสนาบดี พวกเจ้าใหญ่นายโต คนพวกนี้ก็ไม่เอาด้วย พระเจ้าซาร์ท่านเป็นพ่อใจดี ท่านก็ต้องตามใจพวกเสนาบดีขี้โกง การแก้ไขปรับปรุงจึงทำไม่สำเร็จ บ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยคอร์รัปชั่น, กินสินบน, ข้าราชการทุจริต, ข้าราชการทำตัวเป็นเจ้าขุนมูลนาย, ราษฎรถูกกดขี่รังแก ใครมีอำนาจก็ทำตัวเป็นนักเลงใหญ่ นั่งอยู่บนหัวของประชาชนอย่างสบายใจ แล้วก็ถึงวัน ‘เร็ดซันเดย์’...แล้วก็ถึงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๑๙๑๗–รัสเซียปฏิวัติใหญ่–พระเจ้าซาร์สละราชสมบัติ”

วลาดิมีร์ถอนใจเบา ๆ คล้ายกับจะรับว่าความจริงที่ข้าพเจ้าพูด เป็นความจริงที่เขายังหาทางปฏิเสธไม่ได้ ระหว่างที่เขานิ่งอึ้งอยู่ ข้าพเจ้าก็พูดต่อไปว่า

“ผมอยากจะยืนยันความเห็นของผมสักข้อหนึ่ง โลกจะรอดก็เพราะมนุษย์หันมาเดินทางสายกลาง คือสายสหกรณ์ ไม่ใช่สายคอมมิวนิสต์, ไม่ใช่สายนายทุน สหกรณ์ไม่สร้างด้วยการทำลายแบบคอมมิวนิสต์ และไม่สร้างด้วยการเอาเปรียบกันแรงแบบนายทุน สหกรณ์สร้างด้วยการร่วมมือของมนุษยชาติทั่วโลก ในคติธรรมที่ว่า แรงงานเป็นสมบัติของแต่ละคน, ไม่มีใครกินแรงใคร, แม้แต่รัฐก็กินแรงประชาชนไม่ได้”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ