บทที่ ๑๒

ข้าพเจ้ายังไม่ลืม วารยา ราเนฟสกายา–ไม่ลืมจดหมายฉบับสุดท้ายที่ส่งมาจากฮาร์บิน วารยาได้หนีโลกหายสูญไปในโบสถ์เซนต์แมรี่ที่นครฮาร์บิน ในอาณาจักรของจางโซเหลียง กษัตริย์ผู้ไร้มงกุฎแห่งแมนจูเรีย อย่างน้อย ๓๕ ปีมาแล้ว ข้าพเจ้าได้พบวารยาที่ต้าหยวน หลังจากที่ได้มีโอกาสสนทนากับเธอหลายครั้งภายในกำแพงเมืองปักกิ่ง และที่ต้าหยวนซึ่งอยู่นอกกำแพงเมืองออกไป ราว ๑๐ ไมล์นี้ ข้าพเจ้าได้รับความสะเทือนใจเป็นครั้งแรก ซึ่งข้าพเจ้ากล้าพอที่จะสารภาพกับตัวเองว่า วารยาเป็นผู้หญิงที่ได้เข้ามานั่งอยู่ในหัวใจของข้าพเจ้า ที่ว่าเข้ามานั่งอยู่ในหัวใจ ไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้ารักวารยา ข้าพเจ้ายังไม่พร้อมที่จะรักใคร เพราะยังมีหน้าที่และความรับผิดชอบเรื่องราวอยู่ข้างหน้าอีกมากมายนัก แต่ข้าพเจ้าได้เริ่มเข้าใจและเห็นใจวารยา–เริ่มคิดว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาที่ควรจะผ่านสายตาไปโดยไม่เอามาคิด ? ทำไมจึงต้องเอามาคิด ? ข้าพเจ้าถามแล้วก็ตอบตัวเองว่า เพราะวารยาเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว มีความจริงใจและความเห็นใจซึ่งเป็นสมบัติที่หาได้ยากในมวลมนุษย์ส่วนใหญ่ซึ่งเกิดมาด้วยหัวใจของเปรต–คือมนุษย์ผู้มองคนในแง่ร้าย–มีชีวิตอยู่ด้วยการนินทา–ชอบพูดถึงคนอื่นในทางเลว–หาความเพลิดเพลินชั่วขณะในวงการสนทนาฮาเฮ โดยเอาชีวิตของใครต่อใครมาใช้สังเวย เป็นการกระทำที่โหดร้ายโดยที่เขาไม่รู้ว่าโหดร้าย วารยา ราเนฟสกายา เป็นผู้ดี มีจิตใจสูง มีความหลังในแผ่นดินซึ่งครั้งหนึ่งเป็นสมบัติของพระเจ้าซาร์ แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ความหลังของวารยาเป็นความหลังที่ขมขื่น แต่ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินวารยาสาปแช่งคนที่สร้างความขมขื่นให้แก่เธอ ข้าพเจ้าได้ยินแต่มนต์ที่เธอท่องบ่นต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า หัวใจของเธอเป็นหัวใจของผู้แสวงบุญ, ปรารถนาความรักของมนุษยชาติ, เสาะหาแต่สันติสุขและสันติธรรม ซึ่งแห้งขอดลงไปทุกวัน บนฝั่งพิภพที่กำลังจะกลายเป็นทะเลทรายของความกดขี่ และความเหี้ยมเกรียม

ข้าพเจ้ายังเก็บจดหมายของวารยาที่เขียนมาจากฮาร์บินเมื่อ ๓๕ ปีก่อนไว้ในหีบเหล็กที่ปลวกจะเจาะเข้าไปกัดกินไม่ได้ จดหมายฉบับนี้ตอนหนึ่งวารยาเขียนว่าดังนี้ :

“....ชีวิตในปักกิ่งของฉันเดี๋ยวนี้ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว เช่นเดียวกับชีวิตในมอสโคว์ และในฮาร์บิน เมื่อสมัยฉันเป็นเด็ก ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเหตุการณ์เหล่านั้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่ง เมื่อเอาม่านลงแล้วก็แล้วกัน ไม่มีอะไรเหลืออยู่อีกนอกจากความหลัง วันนั้นเมื่อรถไฟแล่นลับเหลี่ยมกำแพงใหญ่ของกรุงปักกิ่งไปแล้ว ฉันยังคงยืนอยู่ที่หน้าต่าง ไม่รู้จะเชื่อตัวเองว่ากำลังจะจากเธอไป แต่เสียงล้อรถที่บดกับรางเหล็ก ได้คอยบอกกับฉันว่า เรากำลังจากกันจริง ๆ และเรื่องระหว่างเธอกับฉันได้กลายเป็นความหลังไปเสียแล้ว

“.....ใครจะคิดบ้างว่า โชคชาตาจะพาฉันกลับมาอยู่ที่ฮาร์บินอีก นครเก่าแห่งนี้เคยเป็นที่พักอาศัยของเราสมัยที่เราหนีออกมาจากรัสเซีย เมื่อเกิดปฏิวัติใหญ่ คอมมิวนิสต์ยึดอำนาจและปลงพระชนม์พระเจ้าซาร์ ชีวิตของฉันในสมัยเด็กได้ปิดฉากไปนานแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ฉันมาเปิดฉากชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้ฉันโตเป็นผู้ใหญ่ ได้ผ่านชีวิตมาอย่างช่ำใจ เหน็ดเหนื่อยและบอบช้ำ เมื่อสมัยเป็นเด็กวิ่งอยู่ในโรงเรียนที่ฮาร์บิน ฉันเคยคิดว่าชีวิตเป็นสิ่งที่สวยงาม และความสวยงามนั้นจะต้องยั่งยืนอยู่ ไม่มีวันเปลี่ยน แต่เมื่อฉันกลับมาฮาร์บินอีกครั้งหนึ่งในขณะนี้ฉันได้พาเอาความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งติดมาด้วย คือรู้สึกว่าชีวิตเต็มไปด้วยภาพลวงตา–เต็มไปด้วยสิ่งสมมติ ไม่มีอะไรเป็นจริง เราหลอกตัวเองแม้ในขณะที่เรากำลังหลับ

เธอคงจะเดาได้ดีแล้วว่า ฉันจะมาทำอะไรในฮาร์บิน...อุดมคติของชีวิตที่ฉันได้รับจากเธอ ทำให้ฉันตัดสินใจว่า ฉันจะต้องละทิ้งชีวิตเก่าให้หมดสิ้น ฉันจะต้องตั้งต้นชีวิตใหม่ที่บริสุทธิ์ และปลอดภัยอยู่ในวงแขนของพระเจ้า ฉันได้เดินเข้าไปในโบสถ์แล้วด้วยความเต็มใจ.....พ่อคงจะหมดห่วง...พระเจ้าคงจะป้องกันไม่ให้ความชั่วผ่านเข้ามาในชีวิตของฉันได้อีก.......

“...คิดถึงชีวิตเก่า ๆ ของเราแล้วก็เสียดาย ต่อไปนี้ฉันจะมีโอกาสได้รับประทานอาหารกับเธอที่คาบารอฟสก์อีกหรือ ? แต่ช่างเถอะ, นั่นเป็นความฝันเพียงชั่วขณะเท่านั้น เป็นสิ่งสมมติที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไป–หายสูญไปไม่มีอะไรเหลือให้เห็นอีก......

“....คิดถึงเธอเหลือเกิน, ระพินทร์ เราจะไม่ได้พบหน้ากันอีกแล้วหรือจนวันตาย ? ขอให้เธอจงมีความสุข ความรุ่งเรือง...ขอให้เธอเป็นลูกผู้ชายที่ดีสำหรับประนุทของเธอ

ด้วยความรักสนิท

วารยา”

ม่านชีวิตได้ปิดลง สำหรับข้าพเจ้ากับวารยา ราเนฟสกายา–ปิดมา ๓๕ ปีแล้ว แม้ชีวิตจะเป็นได้เพียงสิ่งสมมติ ที่ความโง่หลอกเราว่าเป็นของจริง, แต่ใครจะมาทำลายความจดจำของมนุษย์ได้ ถ้าเขาจะต้องเป็นทาสของความทรงจำที่เป็นธรรมชาติของจิต ? ข้าพเจ้าไม่ลืมวารยา–ไม่ลืมปักกิ่งที่สร้างความโง่ให้แก่ข้าพเจ้า–คือโง่เพราะได้หลงคิดไปว่า โลกนี้เป็นโลกของความดี และคนดีคือคนที่โลกต้องการ

จากกับวารยาที่ตาหยวนวันนั้นแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องเคร่งเครียดอยู่ในห้องเล็กๆ กว้างสองเมตรยาวสองเมตร กับเจียงเฟ ที่โรงเรียนหวาเหวิน เลี่ยงเฟเอาจริงเอาจังกับการสอนภาษาพูด และหนังสือภาพ อันเป็นสัญญลักษณ์ของอักษรจีนให้แก่ข้าพเจ้าตัวต่อตัวทุกวัน เขาสอนอย่างเดียว ไม่ยอมพูดถึงอะไรที่ไม่อยู่ในแผนการสอน เราได้คุยกันบ้างถึงเหตุการณ์ในจีนเหนือ ซึ่งทวีความร้ายแรงยิ่งขึ้น ก็เฉพาะเมื่อเราอยู่นอกห้องเรียนเท่านั้น ญี่ปุ่นต้องบุกแมนจูเรียและจีนเหนือแน่ เจียงเฟบอกข้าพเจ้า

วันเสาร์ หลังจากที่ข้าพเจ้าได้พบกับวารยาที่ต้าหยวน สามสัปดาห์เศษ ข้าพเจ้าไปเยี่ยมเธอที่บ้าน–คือโรงแรมคาบารอฟสก์ วารยาออกไปตลาดตุงอันซื่อฉ่าง พบแต่วลาดิมีร์ บิดาผู้ชราแล้วของเธอ วลาดิมีร์เปิดเบียร์ห้าดาวรับรองข้าพเจ้าอย่างเป็นกันเอง เพราะข้าพเจ้าเคยได้พบปะสนทนาด้วยหลายครั้งแล้ว

วลาดิมีร์มีอารมณ์ดีเป็นพิเศษ คงจะเป็นเพราะท้องฟ้าแจ่มใสมาก ไม่มืดคลุ้มไปด้วยพายุหิมะเหมือนเมื่อสองสามวันก่อน ชายชราเลือดสลาฟผู้มีหนวดเคราสีขาว แต่งให้รับกับดวงหน้าที่เต็มไปด้วยความมีสกุล พูดเสียงดังมีกังวานชัด ทุกอิริยาบถเต็มไปด้วยชีวิตอันสดชื่น ต่างกับบางครั้งที่ข้าพเจ้าได้พบแต่ความเงียบขรึมและเหี่ยวแห้ง

“วารยาเล่าให้ฉันฟัง” เจ้าของเคราสีขาวเป็นสำลีเอ่ยขึ้นในตอนหนึ่ง “เธอไปเที่ยวที่ต้าหยวนมาหรือ ?”

“ครับ ผมไปเดินเล่น พบกับวารยาโดยบังเอิญ” ข้าพเจ้าพูดแล้วยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม “วารยามีความคิดดี ๆ ผมคุยไม่เบื่อ”

“เธอคงมาหาวารยา” วลาดีมีร์ยิ้มแล้วสบตาข้าพเจ้าอย่างมีความหมาย

“ไม่ได้คุยกันเกือบเดือน ผมรู้สึกว่าชีวิตมันว่างไปหน่อย” ข้าพเจ้าหัวเราะ

“คุยกับฉันสักครู่ เดี๋ยววารยาก็คงมา คุยกับคนแก่คงไม่เบื่อไม่ใช่หรือ ?”

“ผมหาโอกาสมานานแล้วครับ วันนี้ได้โอกาสพอดี”

“ได้โอกาสเพื่อจะคุยกับฉันน่ะหรือ ?”

“ครับ ผมอยากรู้เรื่องรัสเซีย”

วลาดิมีร์หงายหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วแอบถอนใจเบา ๆ แต่ในที่สุดก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง

“เธอจะรู้ไปทำไม ?” เขาถามเสียงค่อนข้างเครียด

“รัสเซียมีเรื่องที่ผมอยากจะเรียนครับ” ข้าพเจ้าตอบ

มีเสียงหัวเราะหึ ๆ ดังขึ้น ความยิ้มแย้มแจ่มใสในสีหน้าของชายชราหายไป คิ้วเริ่มขมวดเหมือนอย่างทุกวัน

สักครู่ข้าพเจ้าก็ได้ยินคำตอบที่ข้าพเจ้าต้องการ

“รัสเซียมีเรื่องที่ฉันจะเล่าให้เธอฟังเยอะแยะ แต่ฉันไม่อยากจะเล่าเลย มันไม่สบายใจ มันเป็นเรื่องที่พูดไม่ออก ฉันต้องรับสารภาพว่า พระเจ้าซาร์ของฉันอ่อนแอมาก ถ้าเป็นคนเข้มแข็งกว่านี้ เราจะไม่มีเลนิน–ไม่มีสตาลิน แล้วเราจะไม่ต้องมาเดินเตะฝุ่นปักกิ่งอยู่อย่างนี้ เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร ?”

ข้าพเจ้ามองหน้าสุภาพบุรุษชราชาวรัสเซียขาวอย่างสงสัย น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่

“ก็–ท่านเป็นใครล่ะครับ ?” ข้าพเจ้าพูดอย่างระมัดระวัง แล้วพยายามยิ้มเพื่อทำให้บรรยากาศเบาตัวขึ้น

วลาดิมีร์ดูเหมือนจะรู้ตัวว่าได้พูดอะไรถลำมากไปสักหน่อย จึงรีบตั้งสติเสียใหม่ให้มั่นคง ไม่ปล่อยให้เลื่อนลอยไปตามกระแสเบียร์ห้าดาว

“ฉันจะเป็นใคร แล้วเธอก็จะรู้เองสักวันหนึ่ง” เขาพูดเสียงหนักแน่น “แต่เอากันเพียงว่าฉันเกิดมาในตระกูลเก่าตระกูลหนึ่งก็แล้วกัน–ตระกูลของฉันเวลานี้ เหลือแต่ฉันกับวารยาเท่านั้น นอกนั้นถูกยิงตายหมดในวันเดียว” หยุดเม้มริมฝีปาก คล้ายกับจะพยายามสะกดความรู้สึกบางอย่างที่พลุ่งขึ้นมา “ฉันจะไม่ยอมให้อภัยไอ้พวกบอลเชวิคป่าเถื่อนพวกนี้เลย ฉันหมดอำนาจ ฉันทำอะไรมันไม่ได้–แต่ฉันจะไม่ยอมแพ้มัน–มันจะมาเป็นนายฉันไม่ได้”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่า อารมณ์ของวลาดิมีร์ได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนข้าพเจ้าติดตามไม่ทัน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเก่า ๆ ที่คั่งอยู่ในใจเป็นเวลาช้านาน มันได้ระเบิดออกมาเป็นประกายวาวที่น่ากลัว

“เธอคงไม่รู้หรอกว่า มันทำกับพระเจ้าซาร์อย่างไร” ชายชราเคราสำลีเน้นเสียงพูดตามอารมณ์ที่กำลังเดือดพลุ่ง “ฉันไม่ลืมห้องที่มันขังพระเจ้าซาร์กับพระราชวงศ์......ห้องที่เต็มไปด้วยเลือด...ฉันมีรูปให้เธอดูมันถ่ายเอาไว้ แล้วก็พิมพ์ออกมาหยามหน้าพวกเรา เธอต้องการดูไหม มันเป็นภาพประวัติศาสตร์นะ, ระพินทร์” ข้าพเจ้ายังไม่ทันจะตอบ, วลาดีมีร์ก็ลุกขึ้นไปที่ตู้หนังสือ ค้นอยู่สักประเดี๋ยวก็กลับมาพร้อมด้วยซองใหญ่ซองหนึ่ง

เขาเปิดซองแล้วหยิบภาพถ่ายภาพหนึ่ง ยื่นมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารับมาดู แล้วก็ต้องตกตะลึงด้วยความตื่นเต้นและหวาดเสียว

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ