บทที่ ๑๐

“เธอคิดจะเป็นเจ้าเมืองอย่างคุณพ่อเธอไหม, มิสเตอร์ระพินทร์” เจียงเหมยถามยิ้ม ๆ

“เรียกฉันว่า ระพินทร์เฉย ๆ เถอะ” ข้าพเจ้าเลื่อนจานหมานโท่วไปให้ “เธออยากเห็นฉันเป็นเจ้าเมืองงั้นหรือ ? ถ้าฉันเป็นเจ้าเมือง ฉันก็คงถูกไล่ออกไม่เกินสามวัน”

“ทำไม ?” แววตาของเจียงเหมยเต็มไปด้วยความสงสัย

“เพราะฉันยิ่งแย่กว่าคุณพ่อน่ะซี ประจบก็ไม่เป็น ยังแถมดื้อรั้นอวดดีชอบมีความเห็น”

“ก็ถ้าเธอมีดีจะอวดล่ะ ?”

“ผู้ใหญ่เขาไม่ชอบคนมีความเห็น มันไม่ใช่เรื่องมีดีจะอวดหรือไม่มี เขาขายหน้าถ้าเขาฟังความเห็นของคนอื่น”

เจียงเหมยหัวเราะอย่างขบขัน

“มันก็ตลกดี ถ้าเธอไม่คิดจะเป็นเจ้าเมืองเธอจะเป็นอะไร ?” เธอถามมีท่าทางอยากรู้

ข้าพเจ้าปล่อยเวลาให้ผ่านกับป๋ายช่ายผัดน้ำมันหอย เพื่อหาโอกาสคิดก่อนพูด

“บอกไม่ได้หรอกว่าข้างหน้าใครจะเป็นอะไร อนาคตไม่มีใครรู้ แต่ฉันอยากเป็นคนอิสระ ไม่อยากอยู่ใต้ส้นรองเท้าของใคร นี่คือสิ่งเดียวที่ฉันคนเดียวรู้คนอื่นไม่รู้”

“เธอพูดถึงส้นรองเท้า ฉันว่าในเมืองจีนมีส้นรองเท้ามากมาย เราต้องทนอยู่เหมือนสัตว์เหมือนแมลง เรายังไม่รู้เลยว่าจะเลือกเอารองเท้าคู่ไหน” เจียงเหมยหัวเราะแต่น้ำเสียงบอกความรู้สึกบางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในใจ

“ฉันเห็นใจเธอที่สุด” ข้าพเจ้าพูดอย่างซื่อต่อตัวเอง “ยิ่งปฏิวัติส้นรองเท้าก็ยิ่งมีมากขึ้น เมืองไทยของฉันดีหน่อยที่ไม่มีการปฏิวัติ แต่ก็มีข่าวว่ากำลังจะมี ฉันก็วิตกไว้ล่วงหน้าว่าอาจจะเป็นเหมือนเธอก็ได้ คืออาจจะต้องเจอรองเท้าหลายคู่ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเลือกเอาคู่ไหน เพราะมันคงจะหนัก ๆ ทั้งนั้น ท่านย่ำลงมาแต่ละที เราก็แหลกเป็นผง ถ้าไม่แหลกก็ผอมเหลือง อดโซเป็นพวกผีตองเหลือง”

“เธอคิดหรือว่าเมืองไทยจะปฏิวัติ” เจียงเหมยถามอย่างสนใจ

“ไม่อยากคิด เพราะมันร้ายเกินไปที่จะคิด”

“คนไทยต้องการปฏิวัติไหม ?”

“ไม่คิดว่าจะมีใครต้องการ เราต้องการปฏิรูปมากกว่า”

“อาจจะมีเธอคนเดียวกระมัง ?”

“ฉันไม่เชื่อว่าจะมีฉันเพียงคนเดียว เราไม่โง่พอที่จะรื้อหลังคาบ้านไทยของเราลงมา เพราะบ้านของเรายังอยู่กันได้ เราอยากจะซ่อมมากกว่ารื้อลงมากองกะดินแล้ว ถ้าสร้างใหม่ไม่สำเร็จ เราก็จะต้องนอนตากแดดตากฝน พวกยุงพวกเหลือบมันก็สูบเหลือดเราแย่ ฉันรักบ้านไทยของฉัน มันยังใช้ได้ดี

“ฉันก็รักบ้านจีนของฉันเหมือนเธอรักบ้านไทยของเธอ ระพินทร์” เจียงเหมยพูดเสียงเบาแต่เคร่งเครียด “แต่เดี๋ยวนี้เราบ้านแตกสาแหรกขาด บ้านของเราถูกรื้อไม่มีที่จะอยู่ มีแต่บ้านพวกนายพลกับพรรคพวกวงศาคณาญาติของเขา แต่ละบ้านกำลังจะกลายเป็นปราสาทราชวังขึ้นมาอีก เพราะนายพลทุกคนเขาคิดว่าเขาเป็นฮ่องเต้ เป็นเจ้าชีวิต จะออกโองการอะไรก็ได้ จะยิงเป้าใครก็ได้ ชีวิตของพวกเรากำลังไม่มีราคา มันจะกลายเป็นชีวิตของผักปลามดปลวก เราจะต้องอยู่กันอย่างทาส อยู่อย่างวัวควายที่เขาใช้ไถนา พอแก่หมดแรงจะให้เขาไถอะไรได้ เขาก็จะแล่เนื้อเราขาย”

ข้าพเจ้ารู้สึกว่า ดวงตาของเจียงเหมยมีแววกล้าแข็งและโศกสลด เต็มไปด้วยความอดกลั้นที่พร้อมจะระเบิดออกมาเป็นเรื่องใหญ่ ข้าพเจ้าไม่คิดเลยว่า ผู้หญิงที่สวยเหมือนเทพธิดาอย่างเธอ จะมีความรู้สึกต่อชาติและชีวิตของประชาชนล้ำลึกถึงเพียงนี้ เธอควรจะเป็นดอกเหมยในฤดูชุนเทียน สดใสสวยงามอยู่ในสายลมเย็น และท้องฟ้าเขียวครามที่ปราศจากเมฆ ข้าพเจ้าสงสัยว่าคนจีนทุกคนจะรู้สึกเหมือนเจียงเหมยหรือเปล่า ข้าพเจ้านิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เพราะความตื้นตันใจ เจียงเหมยก็นั่งนิ่ง, เม้มริมฝีปาก, หลบตาลงต่ำ, ดูเหมือนว่าเธอกำลังพยายามดับความเจ็บแค้นที่ลุกโพลงขึ้นในใจ

ในที่สุดข้าพเจ้าก็พยายามเปลี่ยนบรรยากาศเรื่องนายพลที่เคร่งเครียดไปอย่างไม่รู้ตัวนั้นให้ผ่อนคลายลง ข้าพเจ้ากล่าวว่า

ฉันคุยกับเจียงเฟพี่ชายเธอเมื่อวานที่ตึกหวาเหวิน เขาพูดถึงแมนจูเรีย รู้สึกว่าเขาเดือดร้อนมาก

“พี่เฟมีความคิดรุนแรงยิ่งกว่าฉันหลายเท่านัก เรื่องญี่ปุ่นจะต้องเป็นเรื่องใหญ่ ถ้ารัฐบาลของพวกนายพลไม่คิดสู้ให้ดี” เจียงเหมยสบตาข้าพเจ้า แววตาของเธอเป็นประกาย “พี่เฟบอกฉันว่า พวกนักศึกษาจะต้องลุกขึ้นทั้งประเทศ เราจะไม่ยอมให้ใครขายแผ่นดินของเราเหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อนอีกแล้ว มันจะต้องนองเลือดแน่ ๆ”

“เจียงเฟก็พูดทำนองนี้ เขาว่าเขาห่วงเธอ”

“ห่วงทำไม ?” เจียงเหมยตวัดตามองหน้าข้าพเจ้าทันที

“เขารู้ว่าเธอจะต้องเข้าขบวนด้วย”

“อ๋อ, แน่ ฉันได้ตั้งใจแล้ว”

ข้าพเจ้าแอบถอนใจเบา ๆ มอ ๆ มองเห็นดอกเหมยที่สวยสดอยู่บนกิ่งในเวลาเช้าตรู่ มีหยดน้ำค้างเกาะอยู่ตามกลีบ ภาพนี้เป็นภาพประทับใจ แล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังจะเข้ามาทำลายดอกไม้ที่น่ารักดอกนี้ ข้าพเจ้าเห็นเมฆดำอันเป็นสัญลักษณ์ของพายุใหญ่เลื่อนเข้ามาจากขอบฟ้าทิศตะวันออกเฉียงเหนือ คือทิศที่แมนจูเรียของจางโซเหลียงตั้งอยู่

“เธอคงรำคาญเต็มทีกระมังจ๊ะ, ระพินทร์” เจียงเหมยคลายความเครียดในสีหน้าด้วยการยิ้มอย่างอ่อนโยน

ข้าพเจ้าหัวเราะเบา ๆ

“เวลาเธอพูด ไม่มีอะไรจะทำให้ฉันรำคาญได้เลย แต่ว่า–ฉันเกิดความเสียดาย ฉันอยากเห็นเธอเหมือนเห็นดอกเหมยบนกิ่งก่อนตะวันจะขึ้น เห็นน้ำค้างที่เกาะอยู่ตามกลีบ เห็นความสดชื่นเต็มไปด้วยชีวิตที่มีแต่ความบริสุทธิ์ แต่ฉันเสียดาย....ฉันรู้ว่าพายุจะพัดมา”

เจียงเหมยสบตาข้าพเจ้า แล้วก็มองออกไปนอกหน้าต่าง นิ่งเงียบไม่พูดอะไร แต่จากกิริยาของเธอ ข้าพเจ้าคิดว่าหัวใจของเธอกำลังพูด จะพูดว่ากระไรนั้นยากที่จะเดา

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ