- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๙๙
ฝ่ายงุยอันลี้อ๋อง ตั้งแต่สินเลงกุ๋นเอาหนังสือเตียวสินเข้าไปแจ้งก็ใช้ให้ทหารเอกคนหนึ่งชื่อจิ้นพี้ให้คุมทหารสิบหมื่นยกไปช่วยเมืองเตียว ขณะนั้นเจียวเสียงอ๋องแจ้งกิตติศัพท์ว่า เมืองฌ้อ เมืองงุยยกมาช่วยเมืองเตียวก็โกรธ ตัวจึงยกมาช่วยอองงึด แล้วมีหนังสือให้ขุนนางไปแจ้งกับเมืองงุยว่า เรายกทัพมาตีเมืองเตียวครั้งนี้ก็จวนจะได้อยู่แล้วตั้งแต่เช้าไม่ทันเย็นก็จะแตก แม้นเมืองใดไปช่วยเมืองเตียวเราจะยกทัพไปตีเมืองนั้น ถ้าเห็นจะสู้ทหารเมืองจิ๋นได้ก็ให้ยกไปเถิด งุยอันลี้อ๋องเจ้าเมืองงุยแจ้งดังนั้นก็ตกใจด้วยคิดเกรงทหารเมืองจิ๋นอยู่ จึงใช้ให้คนไปบอกจิ้นพี้ ซึ่งตัวให้ไปช่วยเมืองเตียวนั้นให้หยุดอยู่ที่ตำบลเอียบเอ๋มิให้ไปช่วยเมืองเตียว
ฝ่ายอึงเทียดซึ่งเป็นที่ซุนซินกุ๋น เจ้าเมืองฌ้อใช้ให้มาช่วยเจ้าเมืองเตียว ตั้งค่ายอยู่ที่ด่านบู๊กวน ครั้นแจ้งว่าเจ้าเมืองจิ๋นหนุนอองงึดมาอีก จึงมิได้ยกไปช่วยเมืองเตียว ก็ตั้งค่ายคอยดูเล่น
ฝ่ายอองซุนอิหยินหลานเจียวเสียงอ๋องเจ้าเมืองจิ๋น ลูกไทจูเถียวซึ่งเป็นอันก๊กกุ๋น อันก๊กกุ๋นคนนี้มีบุตรกว่ายี่สิบคน แต่หาใช่เมียหลวงไม่ มีแต่บุตรเมียน้อยต่างมารดากันทุกคน ไทจูเถียวรักเมียน้อยคนหนึ่งชื่อนางหยูจึงตั้งเป็นฮัวเอียงฮูหยิน แต่หามีบุตรไม่ มารดาอองซุนอิหยินก็ตายเสียแล้ว ครั้นเจ้าเมืองจิ๋นไปกระทำสัตย์กับเจ้าเมืองเตียวที่ตำบลซินตี๋ เจ้าเมืองจิ๋นก็ให้อองซุนอิหยินผู้หลานไปอยู่กับเจ้าเมืองเตียวเป็นตัวจำนำ ครั้นเมืองจิ๋นมาตีแดนเมืองเตียว เตียวเฮาเซงอ๋องก็โกรธ จะให้เอาตัวอองซุนอิหยินมาฆ่าเสีย เตียวสินซึ่งเป็นที่เพงง่วนกุนจึงห้ามว่า อองซุนอิหยินคนนี้เป็นแต่หลานเจ้าเมืองจิ๋น ทั้งเป็นลูกเมียน้อยของไทจูเถียวดอก หาควรที่จะฆ่าเสียไม่ เขามาเป็นจำนำอยู่ก็จริง แต่นานแล้วครั้งบิดาท่านบ้านเมืองก็เป็นสุข ซึ่งท่านจะฆ่าเสียครั้งนี้ หัวเมืองทั้งปวงรู้ไปก็จะครหานินทาท่าน หาอาจมาทำไมตรีกับเมืองเราต่อไปอีกไม่ ท่านจงงดไว้ก่อนจึงจะชอบ
เตียวเฮาเซงอ๋องแจ้งดังนั้นก็มิได้ฆ่า แต่ถอดอองซุนอิหยินเสียเป็นไพร่ ให้กงซุนเขียนคุมไว้ที่ตำบลจั้งไต๋ ถ้าอองซุนอิหยินจะไปไหนก็มิให้ขี่เกวียนและม้าเหมือนแต่ก่อน ทั้งส่วยสาอากรซึ่งให้ขึ้นกับอองซุนอิหยินก็ห้ามเสียมิให้ไปส่งเหมือนอย่างเคย แต่นั้นมาอองซุนอิหยินจะไปไหนก็ต้องมีคนคุมไปได้ความลำบากเป็นอันมาก
ฝ่ายลีปุดอุยบ้านอยู่ยั่งก๊กแดนเมืองตีน เป็นบุตรพ่อค้าใหญ่ขายหยกอย่างดีสีต่างๆ แต่เที่ยวขายไปกับบิดาทุกหัวเมือง ครั้นมาถึงเมืองเตียวก็เช่าที่เขาตั้งร้านขายของอยู่ในเมืองเตียวประมาณได้หกปีเจ็ดปี ลีปุดอุยได้เมียคนหนึ่งชื่อนางเตียวกี วันหนึ่งลีปุดอุยไปเที่ยวพบอองซุนอิหยินเดินเที่ยวอยู่หน้าบ้าน เห็นลักษณะผิดประหลาดกว่าคนทั้งปวง ก็พิศดูหน้านั้นมีสีเลือดขึ้นเปรียบเหมือนผลมะปรางสุก ริมฝีปากแดงดังลิ้นจี่ จึงรู้ว่าเป็นคนมีบุญถึงจะจนอย่างนี้นานไปข้างหน้าคงได้เป็นเจ้านายคน นี่เหตุใดจึงมาจนอยู่อย่างนี้ ลีปุดอุยคิดแล้วจึงถามชายคนหนึ่งว่า คนผู้นี้ชื่อไรท่านยังรู้จักบ้างหรือไม่ คนผู้นั้นจึงบอกว่าชื่ออองซุนอิหยินเป็นหลานเจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นให้มาเป็นจำนำอยู่เมืองนี้ ครั้นเจ้าเมืองจิ๋นยกมาตีเมืองเตียว เตียวเฮาเซงอ๋องโกรธจะให้ฆ่าเสีย เตียวสินห้ามไว้จึงให้ถอดเสียจากที่ลงเป็นไพร่ มอบให้กงซุนเขียนคุมไว้อยู่ที่ตำบลจั้งไต๋
ลีปุดอุยครั้นแจ้งว่าชื่ออองซุนอิหยินเป็นหลานเจ้าเมืองจิ๋นดังนั้นมีความยินดีนัก ด้วยสมที่ตัวนึกไว้แต่แรกได้เห็นลักษณะ จึงคิดว่าจำเราจะช่วยสงเคราะห์อองซุนอิหยินให้ได้กลับไปเมืองจิ๋น นานไปเบื้องหน้าจะได้เป็นใหญ่เป็นมั่นคง เราจะพลอยมียศศักดิ์ขึ้นด้วย ดีกว่าเที่ยวค้าขายหากำไรกินอยู่ดังนี้อีก คิดแล้วก็รีบกลับมาบ้านเข้าไปคำนับบิดาแกล้งถามเป็นอุบายว่า แม้นเราจะทำมาหากินด้วยการไร่นาจะได้กำไรมากหรือน้อย
บิดาลีปุดอุยจึงบอกว่า แม้นฝนตกบริบูรณ์ก็ได้ผลมาก ลีปุดอุยจึงถามต่อไปอีกว่า ถ้าแม้นจะขายแก้วและหยกอย่างดีจะมีกำไรสักกี่ส่วน บิดาจึงตอบว่า เมื่อจะไปซื้อเขามาขายนั้น ถ้ารู้จักดูดีและชั่วต่อให้ถอยราคาลงมาได้ ก็ขายมีกำไรหลายส่วน ลีปุดอุยได้ฟังดังนั้นจึงว่า ถ้าได้ผู้มีบุญจะเลี้ยงไว้และช่วยอุปถัมภ์บำรุง นานไปผู้นั้นได้เป็นเจ้าบ้านผ่านเมืองขึ้น บิดาเห็นว่าจะได้กำไรมากน้อยประการใดบ้าง บิดาได้ยินลีปุดอุยว่าดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า แม้นได้ช่วยทำนุบำรุงผู้มีบุญยังเจ้ามาแล้ว อย่าว่าเลยถึงกำไร ราคาคงได้มากเหลือที่จะประมาณได้
ลีปุดอุยจึงบอกบิดาตามจริงว่า ข้าพเจ้าไปพบหลานเจ้าเมืองจิ๋นคนหนึ่งชื่ออองซุนอิหยินลักษณะดียิ่งนัก ต้องกับตำราว่าเป็นคนมีบุญ สืบไปภายหน้าก็จะได้เป็นใหญ่มั่นคง บัดนี้ตกมาอยู่ในเมืองเตียว เตียวเฮาเซงอ๋องให้กงซุนเขียนคุมตัวไว้ ณ บ้านได้ความลำบากนัก ข้าพเจ้าจะคิดอ่านด้วยสติปัญญาให้อองซุนอิหยินกลับไปเมืองจิ๋นให้จงได้ อองซุนอิหยินก็จะคิดถึงคุณข้าพเจ้าเห็นว่าจะได้เงินทองและยศศักดิ์ยิ่งกว่าทำนาและค้าขายเสียอีก บิดาลีปุดอุยแจ้งดังนั้นจึงว่าเจ้าอย่าประมาทอันการนี้ใหญ่อยู่จงตรึกตรองดูให้ดี ถ้าเห็นดีแล้วก็ตามใจเถิด ลีปุดอุยจึงว่าบิดาอย่าปรารมภ์เลย ข้าพเจ้าตรองเห็นความแล้วคงได้สมความคิดเรา แล้วก็คำนับลากลับมาที่อยู่ เวลาวันหนึ่งลีปุดอุยจัดแจงสิ่งของอย่างดีมีราคาได้หลายสิ่ง ให้คนขนไปยังบ้านกงซุนเขียน ครั้นถึงก็เข้าไปหาคนสนิทของกงซุนเขียนให้ช่วยเป็นนายหน้าพาไปหากงซุนเขียน คำนับแล้วเอาสิ่งของทั้งปวงให้เป็นกำนัล แจ้งความว่าข้าพเจ้าแซ่ลีชื่อปุดอุยเป็นพ่อค้าขายของ ข้าพเจ้านี้หมายจะพึ่งบุญท่าน ถ้าไปมาค้าขายจะได้มีความสุข
กงซุนเขียนได้สิ่งของยินดีนักจึงว่ากับลีปุดอุยว่า เราขอบใจท่านนัก แม้นมีกิจธุระประการใดจงมาหาเราเถิดจะช่วยสงเคราะห์ ลีปุดอุยก็คำนับลากลับไปบ้านของตัว แต่นั้นมาลีปุดอุยก็ค่อยคุ้นเคยเข้ากับกงซุนเขียน มีของสิ่งใดก็เอาไปให้เนืองๆ คิดอ่านพูดจาประจบประแจงด้วยสติปัญญาจนชอบอัชฌาสัยเป็นอันมาก กงซุนเขียนมิได้รู้กลแต่ไปมาหากันอยู่ช้านาน ลีปุดอุยเห็นอองซุนอิหยินก็แกล้งทำไม่รู้จัก แล้วถามกงซุนเขียนว่าชายผู้นี้มาแต่ไหน ข้าพเจ้าเห็นมิใช่ชาวเมืองเตียว กงซุนเขียนมิได้สงสัยก็เล่าความหลังให้ฟังทุกประการจนเจ้าเมืองเตียวเอามาขังไว้ ลีปุดอุยก็นิ่งอยู่ ครั้นเพลาเย็นก็ลากลับมาบ้าน วันหนึ่งลีปุดอุยไปหากงซุนเขียน กงซุนเขียนให้แต่งโต๊ะมากินด้วยลีปุดอุย ลีปุดอุยจึงว่าขอท่านจงเรียกอองซุนอิหยินออกมานั่งกินโต๊ะเสพสุราพูดจาไต่ถามกันเล่นบ้าง พอกงซุนเขียนปวดท้องจึงเข้าไปถ่ายอุจจาระในที่ลับ ลีปุดอุยเห็นได้ช่องชอบกลจึงพูดกับอองซุนอิหยินแต่เบาๆ ว่า ทุกวันนี้เจียวเสียงอ๋องปู่ท่านชราแล้วมีบุตรอยู่แต่บิดาท่าน คงจะได้เป็นที่แทนเจียวเสียงอ๋องเป็นมั่นคง บิดาท่านมีบุตรก็มากแต่ยังไม่ตั้งใครเป็นใหญ่ ด้วยรักนางฮัวเอียงฮูหยินจะให้มีบุตรก็หามีไม่ ถ้าท่านกลับไปประจบประแจงนางฮัวเอียงฮูหยินนับถือเขาเหมือนหนึ่งมารดา ท่านก็จะได้เป็นใหญ่กว่าบุตรทั้งปวง นี่เหตุใดท่านจึงนิ่งอยู่ฉะนี้เล่า อองซุนอิหยินได้ฟังดังนั้นซบหน้าลงร้องไห้แล้วว่ากับลีปุดอุยว่า ท่านช่วยเตือนสติก็เป็นบุญของข้าพเจ้า ท่านอย่าว่าถึงไปเป็นใหญ่เลย แต่จะคิดกลับไปเมืองเท่านั้นก็หามีสติปัญญาที่จะคิดอ่านไปได้ไม่ ลีปุดอุยจึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าก็เป็นพ่อค้า แต่จะคิดอ่านหาข้าวของทองเงินไปให้บิดาท่านกับนางฮัวเอียงฮูหยิน จะช่วยว่ากล่าวให้กลับมารับท่านจงได้อย่าวิตกเลย อองซุนอิหยินได้ฟังดังนั้นก็ดีใจแล้วจึงว่าแก่ลีปุดอุยว่า ถ้าท่านช่วยธุระข้าพเจ้าครั้งนี้ให้สำเร็จได้ก็จะสมนาคุณท่านให้ถึงขนาด
ขณะนั้นกงซุนเขียนเดินออกมา อองซุนอิหยินเหลียวมาเห็นเข้าก็นิ่งเสีย กงซุนเขียนได้ยินเสียงพูดกันแต่หาได้ความว่าประการใดไม่ จึงนั่งลงถามลีปุดอุยว่า เมื่อกี้ท่านพูดอะไรกับอองซุนอิหยิน ลีปุดอุยจึงแก้ว่า ข้าพเจ้าถามถึงราคาสินค้าซึ่งจะไปขายเมืองจิ๋นว่าสิ่งใดจะมีราคาได้กำไรบ้าง กงซุนเขียนได้ยินดังนั้นก็พาซื่อไม่สงสัย จึงชวนลีปุดอุยกับอองซุนอิหยินกินโต๊ะพูดจาเล่นอยู่จนเพลาเย็น
ลีปุดอุยก็ลาไปที่อาศัย แล้วลีปุดอุยก็เอาทองลอบไปให้อองซุนอิหยินห้าสิบตำลึง บอกว่าท่านจงเอาไว้ใช้สอยชดเชยพวกแคะเคงซึ่งเป็นคนชอบของกงซุนเขียนบ้าง ท่านจะได้มีความสบาย แล้วลีปุดอุยก็กลับไป อองซุนอิหยินจึงเอาทองนั้นจับจ่ายให้พวกซึ่งเป็นคนสนิทของกงซุนเขียนก็ค่อยได้ความสุข
ฝ่ายลีปุดอุยก็จัดแจงของประหลาดอย่างดีมีราคาต่างๆ กันเป็นอันมากได้เสร็จแล้ว ลีปุดอุยก็เอาไปให้กงซุนเขียนแล้วแจ้งความว่าข้าพเจ้าจะลาท่านไปเที่ยวเมืองไกล แต่ไม่ช้าหรอกคงจะกลับมาโดยเร็ว บิดากับภรรยาข้าพเจ้าอยู่ในเมืองนี้ ขอฝากไว้กับท่านด้วย แม้นบิดาข้าพเจ้ามีสุขทุกข์ประการใดท่านได้เมตตา จงเอาธุระอย่าให้ได้ความลำบากหน่อยเลย กงซุนเขียนก็รับคำลีปุดอุย ลีปุดอุยก็คำนับลากลับมายังบ้านไปหาบิดาของตัวบอกว่าจะไปเมืองจิ๋น บิดาแจ้งดังนั้นจึงกำชับสั่งว่าเจ้าจงตรึกตรองระวังตัวให้จงดีอย่าประมาท ลีปุดอุยก็คำนับรับคำแล้วมาจัดแจงข้าวของทองเงินเครื่องสินค้าบรรทุกเกวียนเสร็จแล้ว ก็ชวนพวกพ้องของตัวขึ้นเกวียนออกจากเมืองเตียว รีบเดินมาทางอ้อมมิให้ทัพเมืองจิ๋นเห็น ข้ามบ้านเมืองมาหลายตำบลก็ถึงเมืองจิ๋น ลีปุดอุยจึงคิดว่าครั้นเราจะไปหานางฮัวเอียงฮูหยินก็ไม่ได้ด้วยเราเป็นเพียงพ่อค้าเขาเป็นถึงฮูหยินภรรยาไทจู จำจะไปหาพี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินจึงจะชอบ คิดแล้วก็เข้าไปในเมืองทำเป็นเที่ยวขายของ สืบดูว่าพี่เมียไทจูเถียงจะอยู่บ้านไหน
ขณะนั้นเจียวเสียงอ๋องยกกองทัพไปตั้งประชิดค่ายด่านเมืองเตียว ครั้นเมืองฌ้อเมืองหงอมิได้ยกมาช่วยเมืองเตียว จึงตั้งให้อองงึดเป็นแม่ทัพอยู่ตำบลนั้นแล้วตัวก็ยกกลับมาเมือง
ฝ่ายลีปุดอุยก็เที่ยวสืบถามราษฎรว่าบ้านพี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินภรรยาไทจูเถียวอยู่แห่งใด ชาวบ้านก็ชี้บอกให้ ลีปุดอุยแจ้งแล้วก็กลับมาที่อยู่ จึงจัดแจงของหลายสิ่งกับแก้วอย่างดีรีบมาบ้านพี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยิน เข้าไปหาหญิงคนใช้แจ้งความว่า ข้าพเจ้าเป็นพ่อค้ามาแต่เมืองเตียว จะขอเอาของทั้งปวงนี้ให้แก่นายท่าน ท่านจงช่วยเอาเข้าไปให้หน่อยเถิด หญิงคนใช้ก็ดีใจช่วยกันขนสิ่งของเข้าไปให้กับพี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยิน แจ้งความให้ฟังทุกประการ พี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินได้ฟังดังนั้นยินดีนัก จึงออกมาหาลีปุดอุยแล้วถามว่าท่านชื่อใดมีธุระสิ่งใดหรือจึงเอาของมาให้เรา ลีปุดอุยคำนับแล้วแจ้งความว่า ข้าพเจ้าชื่อลีปุดอุยเป็นพ่อค้าอยู่เมืองเตียว ได้รู้จักชอบพอกับอองซุนอิหยิน อองซุนอิหยินคิดถึงบิดาและญาติทั้งปวง ด้วยตัวตกอยู่ในเมืองเตียวมิได้มาเยี่ยมเยือน จึงให้ข้าพเจ้าเอาของนี้มาคำนับท่านหวังจะสืบข่าวโรคภัยร้ายดีและสุขทุกข์ของญาติทั้งปวงว่าจะเป็นประการใดบ้าง พี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินแจ้งดังนั้นบอกว่า บรรดาญาติและบิดาของอองซุนอิหยินเป็นสุขหามีอันตรายสิ่งใดไม่ แต่อองซุนอิหยินตกไปอยู่เมืองเตียวยังค่อยมีความสุขบ้างหรือ ลีปุดอุยจึงบอกว่าอองซุนอิหยินพูดกับข้าพเจ้าอยู่เนืองๆ ว่ามารดาตัวก็ตายเสียแล้ว ยังบิดากับมารดาเลี้ยงชื่อนางฮัวเอียงฮูหยิน อองซุนอิหยินรักใคร่เหมือนหนึ่งมารดาตัว อยากจะมาปฏิบัติรักษาแทนคุณท่านทั้งสองอยู่มิได้ขาด แต่หามาได้ไม่ก็ต้องจนใจอยู่ เมื่อครั้งเจียวเสียงอ๋องยกทัพใหญ่ไปตีเมืองเตียวนั้น เตียวเฮาเซงอ๋องเจ้าเมืองเตียวโกรธ จะให้ฆ่าอองซุนอิหยินเสีย หากขุนนางทั้งปวงขอไว้จึงได้รอดชีวิตอยู่ แต่เจ้าเมืองเตียวให้กักขังคุมไว้ได้ความลำบากนัก พี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า เหตุใดขุนนางจึงขออองซุนอิหยินไว้ ลีปุดอุยจึงแจ้งว่าขุนนางในเมืองเตียวเห็นว่าอองซุนอิหยินมีความกตัญญูรู้จักคุณบิดามารดาเป็นคนสัตย์อยู่ พี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินจึงถามว่า อองซุนอิหยินทำเป็นประการใดขุนนางทั้งปวงจึงเห็นว่าเป็นคนซื่อตรงเล่า ลีปุดอุยจึงตอบว่า อองซุนอิหยินไปอยู่เมืองเตียวนั้นคิดถึงคุณบิดามารดาพูดสรรเสริญและอวยพรอยู่เนืองๆ ว่าให้ท่านทั้งสองอายุยืนกว่าร้อยปีพันปี ครั้นถึงวันสิบห้าคํ่าและคํ่าหนึ่งเป็นวันเกิดของบิดามารดา อองซุนอิหยินก็เอากระดาษเผาแล้วจุดเทียนคำนับบิดามารดาผันหน้ามาข้างเมืองจิ๋น ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นจึงรู้ว่าเป็นคนสัตย์ซื่อมีกตัญญูเป็นอันมาก บัดนี้อองซุนอิหยินฝากของมาให้บิดาและนางฮัวเอียงฮูหยินมารดาด้วย แต่ยังอยู่ที่เกวียนข้าพเจ้า
ลีปุดอุยก็คำนับลาไปจัดแจงของดีมีราคาได้ห้าร้อยตำลึงรีบกลับมาให้พี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยิน แล้วว่าท่านจงช่วยเอาของสองส่วนนี้ไปให้กับไทจูเถียวและนางฮัวเอียงฮูหยินด้วย แล้วจงบอกกับนางฮัวเอียงฮูหยินว่า อองซุนอิหยินสั่งมาว่าอยู่เมืองเตียวนั้นหาสบายไม่ ให้ช่วยคิดอ่านเอาตัวกลับมาเสียจากเมืองจิ๋นเถิด พี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินก็รับคำ ให้คนใช้ขนของตามไปให้นางฮัวเอียงฮูหยิน แล้วแจ้งความตามคำลีปุดอุยพูดจานั้นให้ฟังทุกประการ จึงว่าของนี้อองซุนอิหยินฝากมาให้บิดาส่วนหนึ่ง เหลือนั้นฝากมาให้ท่าน
นางฮัวเอียงฮูหยินได้ฟังดังนั้นจึงว่า อองซุนอิหยินนี้ดีกว่าพี่น้องทั้งปวง ข้าพเจ้าคิดสงสารอยู่จะคอยให้ได้ช่องจึงจะบอกไทจูเถียวให้ไปรับกลับคืนมาให้จงได้ พี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินก็พลอยสรรเสริญอองซุนอิหยินต่างๆ แล้วกลับมาแจ้งความกับลีปุดอุยว่า นางฮัวเอียงฮูหยินขอบใจอองซุนอิหยินนัก สั่งมาว่าต่อได้ช่องจึงจะช่วยอ้อนวอนไทจูเถียวให้ไปรับอองซุนอิหยินกลับมาเมืองจิ๋น ลีปุดอุยได้ฟังดังนั้นคิดกลัวนางฮัวเอียงฮูหยินจะนิ่งนอนใจเสีย จึงแกล้งอุบายพูดว่าข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่อย่างหนึ่ง แต่ข้าพเจ้าเป็นพ่อค้าสติปัญญาน้อย น้องสาวท่านถึงที่ฮูหยินหาควรที่ข้าพเจ้าจะเจรจาข้อความอันนี้ไม่ ดูเป็นประมาทไป จึงต้องนิ่งเสียมิได้บอกแก่ท่าน พี่สาวนางอัวเอียงฮูหยินจึงว่า ท่านคิดวิตกประการใดจงว่าไปเถิด อย่าเกรงใจเลย
ลีปุดอุยทำเป็นอิดเอื้อนมิใคร่จะบอก พี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินอยากจะรู้ก็ซักถามเป็นหลายครั้ง ลีปุดอุยจึงแกล้งถามว่า น้องสาวท่านมีบุตรหรือเปล่า พี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินจึงบอกว่ายังหามีบุตรไม่ ลีปุดอุยจึงว่า น้องสาวของท่านทุกวันนี้ยังสาวงดงามอยู่ ไทจูเถียวรักใคร่จึงได้ตั้งให้เป็นที่ฮูหยินใหญ่กว่าภรรยาทั้งปวง แต่ธรรมดาชายหญิงในแผ่นดินทุกวันนี้ ถ้าเป็นสาวแล้วก็ย่อมจะแก่ตัวลงทุกวัน รูปทรงและลักษณะก็จะคลายลงหาเป็นที่จริงใจไม่ ไทจูเถียวก็จะไม่สู้รักใคร่ น้องท่านก็จะมีความทุกข์ด้วยไม่มีที่พึ่ง ข้าพเจ้าตรองเห็นว่าบุตรไทจูเถียวก็มีอยู่มาก จงบอกกับน้องท่านให้เลือกเอาที่สัตย์ซื่อมีสติปัญญาเลี้ยงไว้เป็นบุตรสักคนหนึ่ง ไปภายหน้าจะได้พึ่งบุตรผู้นั้นสืบไปจึงจะชอบด้วยขนบธรรมเนียม ข้าพเจ้าเห็นว่าอองซุนอิหยินตกไปอยู่เมืองเตียวเป็นที่คับขันอยู่ แล้วทั้งเป็นคนมีกตัญญูซื่อตรงต่อบิดามารดานับถือน้องท่านว่าเหมือนมารดาตัว ควรที่จะรับอองซุนอิหยินมาเลี้ยงไว้เป็นบุตร อองซุนอิหยินก็คงคิดถึงคุณเกรงกลัวน้องสาวท่านเป็นอันมาก ข้าพเจ้าคิดเห็นดังนี้ ท่านก็มีสติปัญญาจงตรึกตรองดูเถิด
พี่สาวนางฮัวเอียงฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงด้วย จึงมาหานางฮัวเอียงฮูหยินแจ้งความตามลีปุดอุยว่ากล่าวทุกประการแล้วว่า จงตรึกตรองดูเถิด แต่เรานั้นเห็นจริงด้วยเขาแล้ว นางฮัวเอียงฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงว่า ข้าพเจ้าจะไปว่ากับไทจูเถียวให้ไปรับอองซุนอิหยินกลับมาให้จงได้ ครั้นถึงเวลาคํ่าเคยไปปฏิบัติไทจูเถียวก็เข้าไปหาไทจูเถียว แกล้งทำจริตกิริยาให้น่ารัก ไทจูเถียวครั้นเห็นนางฮัวเอียงฮูหยินมา จึงสั่งให้คนใช้ยกโต๊ะมานั่งเสพสุราด้วยนางฮัวเอียงฮูหยิน นางฮัวเอียงฮูหยินก็รินสุราส่งให้ไทจูเถียว แล้วแกล้งทำชายหางตาปรารถนาจะให้ยวนใจไทจูเถียวให้รักใคร่ ไทจูเถียวก็มีความรักในนางฮัวเอียงฮูหยินขึ้นเป็นอันมาก ต่างก็ยิ้มแย้มพูดหยอกเอินกันเล่นตามสบาย นางฮัวเอียงฮูหยินเห็นได้ช่องก็แกล้งทำเป็นตะลึงอยู่เป็นครู่ แล้วเอามือเสื้อทั้งสองขึ้นปิดหน้าร้องไห้
ไทจูเถียวเห็นดังนั้นมิได้รู้อุบายตกใจถามว่า เจ้านั่งพูดเล่นอยู่กับเราดีๆ เป็นเหตุประการใดจึงร้องไห้ นางฮัวเอียงฮูหยินก็แกล้งทำเป็นเช็ดนํ้าตาแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าคิดถึงตัวว่ามาอยู่กับท่านก็นานแล้วยังหามีบุตรไม่ บัดนี้ท่านกรุณาชุบเลี้ยงข้าพเจ้าให้เป็นถึงฮูหยินใหญ่กว่าภรรยาทั้งปวงก็เป็นบุญตัวของข้าพเจ้าแล้ว แต่คิดวิตกอยู่ว่าถ้าได้สุขแล้วก็จะได้ทุกข์บ้าง ไปภายหน้าจะเป็นประการใดก็ยังหาแจ้งไม่ ข้าพเจ้าอยากจะได้อองซุนอิหยินซึ่งตกอยู่ในเมืองเตียวมาเลี้ยงเป็นบุตร ตั้งให้เป็นที่ใหญ่กว่าพี่น้องทั้งปวง ด้วยอองซุนอิหยินนี้ซื่อตรงมีกตัญญูนับถือข้าพเจ้าเหมือนมารดา แต่บัดนี้เจ้าเมืองเตียวโกรธบิดาท่าน ให้กักขังอองซุนอิหยินไว้ได้ความลำบากนัก เห็นจะไม่ได้กลับเมืองจิ๋นแล้ว นางฮัวเอียงฮูหยินก็แกล้งทำซบหน้าลงร้องไห้อีก ไทจูเถียวเห็นดังนั้นก็ห้ามว่าไม่ควรเจ้าจะโศกเศร้าเลย การเพียงนี้เราพอจะจัดแจงให้สมคิดเจ้าได้ นางฮัวเอียงฮูหยินยังแคลงใจอยู่ จึงตอบว่าซึ่งท่านจะช่วยให้สมคิดข้าพเจ้านั้น คุณหาที่จะเปรียบประมาณมิได้ แต่ข้าพเจ้ายังเคลือบแคลงอยู่ว่าจะมีผู้มายุยงท่าน ท่านจะลืมคำข้าพเจ้าเสีย
ไทจูเถียวได้ฟังดังนั้น จึงหยิบเอาหยกอย่างดีมาจารึกเป็นอักษรสี่ตัวว่า เต๊กฮืออิหยิน แปลว่าอิหยินเป็นบุตรผู้ใหญ่แล้วตัดออกสองซีก ให้แก่นางฮัวเอียงฮูหยินซีกหนึ่ง ซีกหนึ่งตัวเอาไว้ นางฮัวเอียงฮูหยินยินดีนัก คุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่าอองซุนอิหยินให้เพื่อนรักมาหาพี่สาวข้าพเจ้าคนหนึ่งชื่อลีปุดอุยเป็นคนรู้จักขนบธรรมเนียม คุมของมาให้ท่านด้วยแต่ของนั้นยังอยู่ที่ตึกข้าพเจ้า จึงให้หญิงคนใช้ไปขนของมาให้ไทจูเถียว ไทจูเถียวเห็นสิ่งของก็คิดถึงบุตรขึ้นมา กลั้นนํ้าตามิใคร่จะได้จึงว่าไม่ควรที่อองซุนอิหยินจะได้ความลำบากถึงเพียงนี้เลย เราจะคิดพูดจาให้บิดาไปรับมาให้จงได้ นางฮัวเอียงฮูหยินได้ฟังดังนั้นเห็นว่าจะสมคิดของตัวเป็นมั่นคงจึงคำนับลากลับมาที่อยู่ ครั้นเวลาเช้าไทจูเถียวก็เข้าไปหาเจียวเสียงอ๋องในที่ว่าราชการ
ขณะนั้นอองงึดให้ม้าใช้ถือหนังสือมาให้เจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องฉีกผนึกออกมาอ่านดูได้ความว่า เจ้าเมืองเตียวให้ทหารออกมาร้องท้าทายว่าหยาบช้าต่างๆ ครั้นให้ทหารออกสู้รบหาได้ชัยชนะไม่ เจียวเสียงอ๋องโกรธเจ้าเมืองเตียวนัก ไทจูเถียวหาพิจารณาไม่ เห็นว่าได้ช่องจึงเล่าความสุขทุกข์ของอองซุนอิหยินให้ฟังทุกประการ เจียวเสียงอ๋องกำลังปรึกษาขุนนางถึงไปทำศึกด้วยเจ้าเมืองเตียวอยู่ หาได้ยินคำของไทจูเถียวไม่ ไทจูเถียวเห็นบิดาไม่พูดด้วยก็เลยเสียน้ำใจคำนับลากลับมาบ้าน
ฝ่ายลีปุดอุยตั้งแต่ไปหานางฮัวเอียงฮูหยินกลับมาแล้วก็คอยซับทราบฟังข่าวอยู่ ครั้นแจ้งกิตติศัพท์ว่าไทจูเถียวไปบอกความกับเจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องเฉยเสียมิได้ว่าประการใด ลีปุดอุยวิตกนักกลัวการจะไม่สำเร็จ จึงไปสืบหาคนที่จะช่วยว่ากล่าวเจียวเสียงอ๋องได้ ครั้นแจ้งว่าเอียอองโหภรรยาเจ้าเมืองจิ๋นพอจะช่วยว่ากล่าวได้ แล้วก็มีน้องคนหนึ่งเป็นที่เอียจัวกุ๋นขุนนางผู้ใหญ่ จำจะไปหาเอียจัวกุ๋นให้ไปว่ากับนางเอียอองโห ให้ช่วยอ้อนวอนเจียวเสียงอ๋องให้ไปรับอองซุนอิหยินกลับมาเมืองให้จงได้ คิดแล้วจึงรีบไปยังบ้านเอียจัวกุ๋นบอกแก่นายประตูว่า เราชื่อลีปุดอุยจะขอเข้าไปหานายท่าน นายประตูก็เอาเนื้อความไปแจ้งกับเอียจัวกุ๋น เอียจัวกุ๋นก็ให้ไปรับลีปุดอุยเข้ามาแล้วถามว่าท่านมาแต่ไหนเหตุใดจึงมาหาเรา ลีปุดอุยคำนับแล้วแจ้งความว่าข้าพเจ้าชื่อลีปุดอุย เป็นพ่อค้ามาขายของอยู่ในเมืองนี้นานแล้วเห็นท่านก็มีความรักใคร่นัก บัดนี้ข้าพเจ้าตรองเห็นการอย่างหนึ่งจะมาแจ้งแก่ท่านแต่ยังเกรงใจท่านอยู่ ด้วยข้าพเจ้าเป็นผู้น้อย ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่เห็นหาควรไม่
เอียจัวกุ๋นจึงว่าอย่าเกรงใจเลย ท่านเห็นประการใดจงว่าไปเถิดเราหาถือไม่ ลีปุดอุยจึงแกล้งว่า ข้าพเจ้าเห็นว่านานไปอันตรายจะมีกับท่านเป็นมั่นคง ท่านยังจะรู้สึกตัวแล้วหรือ เอียจัวกุ๋นมิได้แจ้งก็ตกใจ จึงซักถามลีปุดอุยว่าท่านเห็นเหตุประการใดจึงว่าดังนี้
ลีปุยอุยจึงตอบว่า ตัวท่านและพวกพ้องที่แซ่เดียวกับท่านนั้นบริบูรณ์กว่าพวกพ้องไทจูเถียวประการหนึ่ง ท่านเลือกเอาม้าที่ดีมีฝีเท้ามาเลี้ยงไว้ที่บ้านกับหญิงรูปงามสำหรับจะได้ใช้สอยก็มีเป็นอันมาก หาผู้ใดจะมั่งมีเสมอท่านไม่ ทุกวันนี้เจียวเสียงอ๋องก็ชราลงกว่าแต่ก่อน แม้หาบุญไม่ไทจูเถียวก็จะได้เป็นเจ้าเมืองขึ้น พวกไทจูเถียวเห็นว่าพวกท่านบริบูรณ์ก็อิจฉายุยงต่างๆ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าท่านจะมีอันตราย
เอียจัวกุ๋นได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงด้วย จึงถามว่าถ้าดังนั้นท่านจะคิดประการใดจึงจะพ้นภัยเล่า ลีปุดอุยจึงตอบว่า ข้าพเจ้าคิดได้อย่างหนึ่ง ครั้นจะบอกท่านก็กลัวจะไม่เชื่อถือถ้อยคำด้วยตัวข้าพเจ้าเป็นผู้น้อย แต่ว่าถ้าท่านทำตามคำข้าพเจ้าแล้วก็คงจะมีความสุข ถึงผู้ใดจะมายุยงไทจูเถียวประการใดก็หาเป็นอันตรายไม่ เปรียบประดุจเขาไทซัวอันใหญ่ ถึงบุคคลผู้ใดจะทำลายก็ไม่หวาดไหว เอียจัวกุ๋นได้ฟังดังนั้นเห็นว่าลีปุดอุยมีปัญญาจึงลุกขึ้นคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าอยากจะรู้ความคิดท่านอย่าถ่อมตัวเลย จงเล่าความจริงซึ่งท่านคิดเห็นนั้นให้ข้าพเจ้าแจ้งด้วยเถิด ลีปุดอุยลุกขึ้นรับคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าอองซุนอิหยินบุตรไทจูเถียวซึ่งตกไปอยู่เมืองเตียวนั้นเป็นคนมีกตัญญูชาวเมืองย่อมสรรเสริญอยู่เนืองๆ บัดนี้ เจ้าเมืองเตียวกักขังไว้ได้ความลำบากนัก คิดจะกลับมาเมืองมิได้ขาด ถ้าท่านไปบอกนางเอียอองโหให้ช่วยว่ากล่าวเจียวเสียงอ๋องไปรับอองซุนอิหยินกลับมาเมืองได้ นานไปก็จะได้เป็นที่ไทจูแทนบิดา อองซุนอิหยินกับไทจูเถียวจะคิดถึงคุณท่าน ท่านก็จะมีความสุขสืบไป
เอียจัวกุ๋นก็เห็นชอบด้วยมีความยินดีนักสรรเสริญลีปุดอุยว่า ซึ่งท่านมาสั่งสอนนี้บุญคุณหาที่สุดมิได้ เวลาพรุ่งนี้เราจะไปว่ากล่าวกับนางเอียอองโห ลีปุดอุยก็ลากลับมาที่อาศัย ครั้นเวลาเช้าเอียจัวกุ๋นก็เข้าไปหานางเอียอองโห เล่าความตามลีปุดอุยว่าให้ฟังทุกประการ นางเอียอองโหแจ้งดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ครั้นถึงเวลาไปหาเจียวเสียงอ๋องก็เข้าไปปฏิบัติตามเคย เห็นได้ช่องจึงว่าข้าพเจ้าทุกวันนี้มีความกรุณาอองซุนอิหยินนัก ด้วยเป็นลูกกำพร้าหามารดาไม่ ตกไปอยู่เมืองเตียวได้ความลำบากนัก เพราะมีกตัญญูสู้ไปเป็นจำนำแทนตัวตามคำท่าน
บัดนี้ท่านกับเจ้าเมืองเตียวก็ขาดไมตรีกันแล้ว ขอท่านจงเมตตาไปรับอองซุนอิหยินกลับมาไว้เถิด เจียวเสียงอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงว่าถ้าเราจะไปรับอองซุนอิหยินมาโดยดีที่ไหนเจ้าเมืองเตียวจะให้ จะต้องยกทัพใหญ่ไปตีเมืองเตียวให้ได้ก่อนจึงจะได้อองซุนอิหยินกลับมา นางเอียอองโหจึงตอบว่า ท่านจงคิดอ่านตีเมืองเตียวให้ได้โดยเร็ว ว่าแล้วก็คำนับลากลับมาที่อยู่
ฝ่ายไทจูเถียวตั้งแต่ไม่สมคิดก็ไม่สบายใจ ให้มีความวิตกเป็นอันมาก จึงถามนางฮัวเอียงฮูหยินว่า ลีปุดอุยซึ่งมาแต่เมืองเตียวนั้นอยู่ไหนเล่า เจ้าจงให้คนใช้ไปเรียกมาหาเราสักหน่อยเถิด นางฮัวเอียงฮูหยินก็ใช้ให้คนไปเรียกลีปุดอุยมาหาไทจูเถียว ไทจูเถียวเห็นลีปุดอุยเข้ามาจึงว่าท่านก็มีสติปัญญาอยู่ จะคิดประการใดให้อองซุนอิหยินกลับมาเมืองจิ๋นได้ ลีปุดอุยคำนับแล้วตอบว่า บัดนี้เจ้าเมืองเตียวให้กงซุนเขียนคุมตัวอองซุนอิหยินไว้มั่นคงอยู่ แต่ข้าพเจ้าจะอาสากลับไปคิดอ่านพาตัวอองซุนอิหยินมาหาท่านให้จงได้ ไทจูเถียวกับนางฮัวเอียงฮูหยินได้ฟังลีปุดอุยว่าดังนั้นยินดีนัก จึงว่าขอบใจท่านเป็นอันมาก ไทจูเถียวจึงเอาทองมาให้ลีปุดอุยพันตำลึง แล้วฝากไปให้อองซุนอิหยินพันตำลึงสำหรับจะได้ใช้สอยกว่าจะกลับมาถึงเมือง นางอัวเฮียงฮูหยินก็จัดหาเสื้อกางเกงอย่างดีใส่หีบฝากไปให้อีก แล้วว่ากับลีปุดอุยว่าท่านก็มีสติปัญญาอยู่ จงช่วยคิดอ่านให้อองซุนอิหยินกลับมาเมืองจิ๋นให้จงได้เราจะขอบใจท่านเป็นอันมาก ไทจูเถียวจึงว่ากับลีปุดอุยว่า ถ้าท่านสงเคราะห์ได้ครั้งนี้ เราจะตั้งท่านให้เป็นที่ปรึกษาของอองซุนอิหยินสืบไป ลีปุดอุยก็คำนับลากลับมายังที่อาศัยแล้วจัดแจงของบรรทุกเกวียน ชวนพวกพ้องของตัวค่อยลัดลอดมาทางหลังเมืองเตียวด้วยกลัวทัพอองงึดทหารเมืองจิ๋นอยู่ ครั้นถึงเมืองเตียวก็มายังบ้านบิดาเล่าความให้ฟังทุกประการ บิดาลีปุดอุยก็ดีใจจึงว่าเจ้าอย่าเพิ่งประมาท จะคิดอ่านสิ่งใดก็ให้ตรึกตรองเสียก่อนอย่าทำใจเร็วนั้นหาดีไม่
ลีปุดอุยก็คำนับรับคำลากลับมาที่อยู่ของตัวถามถึงสุขทุกข์ภรรยาแล้ว ก็จัดแจงของพอสมควรรีบไปบ้านกงซุนเขียน แล้วแกล้งว่าข้าพเจ้าไปค้าขายคราวนี้หาสู้มีกำไรไม่ ได้แต่ของเล็กน้อยมาฝากท่าน กงซุนเขียนก็ยินดีจึงตอบว่า ท่านคิดถึงคุณอุตส่าห์หาของมาฝากเราเพียงนี้ก็ขอบใจแล้ว แม้นมีธุระสิ่งใดอย่าเกรงใจเลยจงมาบอกเราเถิด จะได้ช่วยท่านตามสติกำลัง แล้วก็ให้ยกโต๊ะมากินด้วยลีปุดอุย ลีปุดอุยจึงถามว่า อองซุนอิหยินไปไหนเล่า กงซุนเขียนจึงบอกว่านั่งอยู่ในห้อง ถ้าท่านอยากจะพบจงเข้าไปหาเถิด เราหาแคลงใจท่านไม่ ด้วยท่านเป็นคนชอบพอกันกับเรา ลีปุดอุยยินดีนักก็ลาเข้าไปหาอองซุนอิหยิน กระซิบเล่าความซึ่งไปเมืองจิ๋นให้ฟังทุกประการ แล้วว่าทองพันตำลึงกับหีบเสื้อและกางเกงยังอยู่ที่บ้านข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะเอามาให้ท่าน
อองซุนอิหยินแจ้งดังนั้นก็ดีใจจึงว่ากับลีปุดอุยว่า ให้เอาแต่หีบเสื้อกางเกงมาเถิด อันทองนั้นท่านจงเอาไว้ใช้สอยคิดอ่านให้ข้าพเจ้ากลับไปเมือง จะสมนาคุณท่านอีกให้ถึงขนาด ลีปุดอุยจึงว่าท่านอย่าปรารมภ์เลย ข้าพเจ้าจะคิดอ่านให้ท่านกลับไปเมืองจงได้ แล้วก็ลุกออกมาลากงซุนเขียนกลับไปบ้าน ใช้ให้คนเอาหีบเสื้อกางเกงลอบไปให้อองซุนอิหยิน แล้วนั่งตรึกตรองคิดว่านางเตียวกีภรรยาเรามีท้องได้สองเดือนพร้อมไปด้วยลักษณะงดงามนัก แล้วก็ฉลาดร้องรำในการเพลงต่างๆ จะยกไปเป็นภรรยาอองซุนอิหยิน ไปภายหน้าอองซุนอิหยินได้เป็นเจ้าเมืองจิ๋นขึ้น บุตรเราก็เป็นเชื้อสายเจ้าสืบแซ่ต่อไป เราก็คงจะได้ความสุขเป็นอันมาก จึงจะไม่ป่วยการซึ่งได้เหน็ดเหนื่อยและลงทุนมา ครั้นคิดดังนั้นแล้วเวลาวันหนึ่งลีปุดอุยก็ไปหากงซุนเขียน กงซุนเขียนเห็นลีปุดอุยมาก็พูดจาปราศรัยต่างๆ จึงยกโต๊ะมากินด้วยลีปุดอุยแล้วว่า เราคิดถึงท่านจะไปหาท่านก็ยังมิได้ว่างธุระ ท่านมาวันนี้ดีนัก จงอยู่พูดเล่นให้นานๆ เถิดจึงค่อยไป แล้วเรียกอองซุนอิหยินมากินโต๊ะด้วย ลีปุดอุยจึงว่าข้าพเจ้าก็คิดถึงคุณท่านอยู่ทุกวันมิได้ขาด อยากจะใคร่เชิญท่านทั้งสองไปกินโต๊ะที่บ้าน แต่เกรงอยู่ด้วยตัวข้าพเจ้าเป็นแต่ผู้น้อย กงซุนเขียนได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ท่านกับเราชอบกันเหมือนหนึ่งญาติเราหาถือไม่ อย่าเกรงเลย ลีปุดอุยทำเป็นยินดีแล้วจึงว่าถ้าดังนั้นเวลาพรุ่งนี้ขอเชิญท่านไปกินโต๊ะที่บ้านข้าพเจ้า กงซุนเขียน อองซุนอิหยินก็รับคำ ลีปุดอุยก็ลากลับมาที่อยู่ ครั้นรุ่งเช้าจึงให้บ่าวจัดแจงโต๊ะเตรียมไว้ แล้วให้กวาดแผ้วปูลาดสะอาดสะอ้านมิให้มีที่รังเกียจ
ฝ่ายกงซุนเขียน ครั้นเวลาเช้าก็แต่งตัวชวนอองซุนอิหยินกับบ่าวไพร่มายังบ้านลีปุดอุย ลีปุดอุยก็ออกมาต้อนรับเชิญเข้าไปให้นั่งที่สมควร สั่งให้บ่าวยกโต๊ะไปเลี้ยงพวกที่ตามกงซุนเขียนมาแล้วก็ชวนกงซุนเขียน อองซุนอิหยินกินโต๊ะ ชวนพูดจาเล่นหวังจะให้เพลิดเพลิน กงซุนเขียน อองซุนอิหยินก็เสพสุรามิได้มีความรังเกียจ ลีปุดอุยเห็นคนทั้งสองเสพสุราพอเมาตึงตัวแล้วจึงพูดขึ้นว่า ท่านทั้งสองมาเสพสุราด้วยข้าพเจ้าวันนี้เป็นที่สบายยิ่งนัก แต่ยังหามีที่สนุกไม่ ข้าพเจ้ามีภรรยาอยู่คนหนึ่งเสียงเพราะ พอจะขับรำร้องให้ท่านฟังเล่นตามสบายได้อยู่ จึงสั่งคนใช้ให้เข้าไปเรียกนางเตียวกีออกมา แล้วให้คำนับกงซุนเขียน อองซุนอิหยิน
นางเตียวกีก็คุกเข่าลงคำนับกงซุนเขียน อองซุนอิหยินก็ลุกขึ้นคำนับ เห็นนางเตียวกีรูปร่างงามเกล้าผมเรียงเส้นเสมอดูเป็นมัน ขนคิ้วเส้นก็เล็กละเอียดอ่อน เมื่อแย้มยิ้มริมฝีปากออกนั้นเห็นฟันเรียบร้อยขาวเป็นแสงสะอาดนัก อองซุนอิหยินให้มีความรักใคร่ในนางเตียวกีเป็นอันมากจึงถามลีปุดอุยว่า นางคนนี้หรือเป็นคนขับรำได้ ลีปุดอุยก็รับคำว่านางคนนี้ แล้วจึงสั่งนางเตียวกีให้ลุกขึ้นขับรำไป นางเตียวกีก็คำนับแล้วลุกขึ้นเดินทำกิริยาออกไปให้ห่างหน้าโต๊ะ จัดแจงตัวให้มั่นคงแล้วก็ร้องรำไปตามขบวนสตรี กงซุนเขียนอองซุนอิหยินนั่งเสพสุราอยู่พลาง แลดูนางเตียวกีเห็นรำร้องว่องไวกิริยาก็งาม ท่วงทีเปรียบประดุจหนึ่งมังกรลงเล่นอยู่ในพระมหาสมุทร สะบัดแขนเสื้อรำเหมือนนกกระพือปีกบินร่อนอยู่บนอากาศ ต่างคนก็ตะลึงแลดูนางเตียวกีจนเพลิดเพลินไป
ลีปุดอุยเห็นดังนั้นก็แกล้งรินสุรา แล้วสะกิดบอกให้กงซุนเขียนอองซุนอิหยิน กงซุนเขียนอองซุนอิหยินก็ได้สติ ต่างคนก็หัวเราะพูดชมนางเตียวกีต่างๆ แต่อองซุนอิหยินนั้นให้คิดรักใคร่นางเตียวกีนัก ไม่เป็นอันที่จะเสพสุราเวียนชายตาดูอยู่มิได้ขาด ลีปุดอุยรู้กิริยาอองซุนอิหยินจึงให้คนใช้เอาถ้วยไปส่งให้นางเตียวกีรินสุราให้กงซุนเขียน อองซุนอิหยินกิน ปรารถนาจะให้อองซุนอิหยินมีความรักใคร่ในนางเตียวกีมากขึ้น นางเตียวกีรับเอาถ้วยมาเข้าไปคำนับส่งให้กงซุนเขียน อองซุนอิหยิน อองซุนอิหยินก็ยืนขึ้นรับถ้วยสุรามากิน กงซุนเขียนนั่งนิ่งอยู่มิได้ว่าประการใดด้วยเกรงใจลีปุดอุยอยู่ แต่อองซุนอิหยินนั้นเป็นใจหนุ่ม ให้รักใคร่ลุ่มหลงไปไม่ทันตรึกตรอง จึงพูดกับนางเตียวกีว่า เราได้เห็นผู้อื่นขับรำมาก็มากแล้วหาดีเหมือนเจ้าไม่ อันที่จะหาหญิงมาเปรียบกับเจ้านั้น เห็นว่าไม่มีผู้ใดสู้เจ้าได้ ลีปุดอุยได้ฟังดังนั้นเห็นว่าอองซุนอิหยินรักใคร่นางเตียวกีเป็นอันมากก็ยินดีนัก จึงให้นางเตียวกีเข้าไปเสียข้างใน แล้วลีปุดอุยก็แกล้งเอาถ้วยใหญ่มารินสุราคำนับส่งให้กงซุนเขียน กงซุนเขียนก็รับถ้วยสุรามากินไปหลายถ้วย จนเมาสิ้นสติก็ซบหน้าลงที่โต๊ะหลับไป อองซุนอิหยินเห็นกงซุนเขียนเมาสุราหลับอยู่ดังนั้น ได้ทีด้วยรักนางเตียวกีอยากจะได้เป็นภรรยา จึงแกล้งทำเป็นเมาสุราแล้วจึงว่ากับลีปุดอุยว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าตกมาอยู่ในเมืองเตียวแต่ผู้เดียวลำบากนักหามีความสบายไม่ แม้นได้นางเตียวกีไปด้วย ขับรำให้ฟังเห็นจะค่อยมีความสุข ท่านก็ได้เมตตาข้าพเจ้ามาแต่เดิมแล้ว จงช่วยให้สมความปรารถนาข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด
ลีปุดอุยได้ฟังดังนั้นก็แกล้งทำโกรธ แล้วว่าเราเชิญท่านมากินโต๊ะวันนี้หมายว่าเป็นคนสนิทกันเหมือนญาติ จึงให้ภรรยาซึ่งเป็นที่รักแห่งเราออกมาปฏิบัติ เหตุใดท่านจึงหาเกรงใจเราไม่ อาจมาขอเราดังนี้ให้ผิดอย่างธรรมเนียมไป อองซุนอิหยินเห็นลีปุดอุยโกรธตกใจนักคุกเข่าลงคำนับแล้วว่าซึ่งข้าพเจ้าพูดออกไปนั้นผิดแล้ว ด้วยกำลังเมาสุราเคลิ้มสติไปมิทันที่จะได้ตรึกตรอง ขอท่านอย่าได้ถือโทษข้าพเจ้าเลย ลีปุดอุยจึงก้มตัวลงจับข้อมืออองซุนอิหยินให้ยืนขึ้นโดยเร็ว แล้วจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้ามิได้ถือโทษด้วยคิดไว้ว่าจะทำนุบำรุงท่านให้ได้คืนกลับไปบ้านเมือง สู้เสียข้าวของเงินทองเป็นอันมากก็ยังหาสมคิดไม่ ทำไมกับเมียคนหนึ่งข้าพเจ้าคงจะสู้สละรักยกให้ท่านแต่ขอไว้สักหน่อยหนึ่งเถิด ด้วยนางเตียวกียังหารู้ตัวไม่เห็นจะมีความอาย จะต้องว่ากล่าวให้ยินยอมเป็นปกติดีแล้วจึงจะให้ไปปฏิบัติท่านให้ท่านใช้สอยตามสบาย
อองซุนอิหยินได้ฟังลีปุดอุยว่ายอมยกนางเตียวกีให้ดังนั้นมีความยินดีนัก ก้มตัวลงคำนับแต่ยังมิได้ตอบประการใด พอกงซุนเขียนสร่างเมาตื่นขึ้น อองซุนอิหยินว่าเวลานี้ก็จวนเย็นแล้ว เชิญท่านกลับไปบ้านเถิด กงซุนเขียนได้ยินดังนั้นจึงว่ากับลีปุดอุยว่าเรามากินโต๊ะที่บ้านท่านวันนี้สนุกสบายยิ่งนัก เราจะลาท่านไปบ้านก่อน ว่าดังนั้นแล้วก็ชวนอองซุนอิหยินลุกออกมาพาบ่าวไพร่กลับไปบ้าน ครั้นเวลาคํ่าลีปุดอุยเข้านอน นางเตียวกีเข้าไปปฏิบัติตามเคย ลีปุดอุยจึงว่าแก่นางเตียวกีว่า เมื่อเวลากลางวันอองซุนอิหยินมากินโต๊ะ เราให้เจ้าออกไปปฏิบัติอองซุนอิหยิน อองซุนอิหยินเห็นเจ้ามีความรักใคร่เป็นอันมาก จนสิ้นความเกรงใจเราออกปากขอเจ้าอยากจะใคร่ได้ไปเป็นภรรยา
นางเตียวกีได้ฟังลีปุดอุยว่าดังนั้นตกใจนัก คำนับแล้วจึงว่าแต่ข้าพเจ้าตกมาเป็นภรรยาท่านก็นานแล้ว สู้อุตส่าห์ปฏิบัติมิให้ขัดเคืองแต่สักสิ่งหนึ่ง จนข้าพเจ้ามีครรภ์ได้สองเดือนเศษ ก็ยังมิได้คิดเอาใจออกห่างปราศจากท่าน ซึ่งท่านมากล่าวคำดังนี้เห็นว่าท่านเบื่อหน่ายสิ้นเมตตาข้าพเจ้าผู้เพื่อนยากเป็นแท้แล้ว ลีปุดอุยได้ฟังนางเตียวกีพูดเป็นทางตัดพ้อดังนั้น ยิ้มแล้วขยับเข้าไปใกล้จึงปลอบว่า เจ้าผู้มีรูปตัวงดงามเป็นที่พึงใจแก่บุรุษทั้งปวง ที่เราจะเบื่อหน่ายและสิ้นความอาลัยในเจ้านั้นหามิได้ แต่เราวิตกอยู่ด้วยการสิ่งหนึ่งจะว่าให้เจ้าฟัง อันอองซุนอิหยินนี้เราพิจารณาดูลักษณะประกอบไปด้วยชะตาราศีอันบริบูรณ์ต้องในทำนายไว้ว่าจะได้เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ตัวเจ้าก็มีลักษณะพร้อมบริบูรณ์ควรจะตั้งอยู่ในที่ฮูหยินจึงจะชอบ ซึ่งเจ้ามาเป็นภรรยาเรานี้ คนทั้งปวงก็ขึ้นชื่อว่าเป็นแต่เมียตระกูลพ่อค้าหาสมควรกับรูปศรีของเจ้าไม่ อนึ่งถ้าสืบไปเบื้องหน้าอองซุนอิหยินได้เป็นกษัตริย์ขึ้น บุตรของเราในครรภ์แม้นเป็นผู้ชายก็จะได้เป็นไทจู เราทั้งสองจะได้พึ่งพำนักกันสืบไป ถ้าแม้นเจ้าเห็นจริงเชื่อถ้อยคำของเราแล้ว ก็อย่าได้สูญไมตรีของอองซุนอิหยินเลย
นางเตียวกีได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงด้วย เพราะอยากจะใคร่มียศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ยังมีความละอายอยู่จึงแสร้งทำเป็นร้องไห้ แล้วว่ากับลีปุดอุยว่า ข้าพเจ้ายังมีความอาลัยอยู่เป็นอันมาก ด้วยท่านยังมิได้ทำให้ข้าพเจ้าขัดเคืองประการใด แต่ถ้าว่าจะขัดขืนท่านก็ไม่ควร ด้วยข้าพเจ้าเป็นแต่ผู้น้อยท่านเป็นสามี ถ้าเห็นดีประการใดก็ตามแต่ท่านจะเมตตาเถิด
ลีปุดอุยได้ฟังนางเตียวกีว่าดังนั้นยินดีนัก จึงซ้ำปลอบว่าเจ้าอย่าเสียใจเลย ซึ่งเราว่ากล่าวทั้งนี้มิได้แกล้งมารยา หวังจะให้เจ้าได้ดีไปภายหน้า แม้นเจ้ายังมีเมตตาอยู่แล้ว ถ้านานไปเดชะวาสนาของเราก็จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก เจ้าจงอุตส่าห์หักใจไปก่อนเถิด แล้วลีปุดอุยกับนางเตียวกีก็กระทำสัตย์ว่าไม่ทิ้งขว้างกันจนหาชีวิตไม่ ครั้นพูดจาสั่งเสียกันเสร็จแล้วก็นอนหลับไป ครั้นเวลารุ่งเช้า ลีปุดอุยก็แต่งตัวตามตระกูลพ่อค้าไปยังบ้านกงซุนเขียน กงซุนเขียนเห็นลีปุดอุยก็ออกไปต้อนรับเชิญให้นั่งที่สมควร ลีปุดอุยจึงว่าเวลาวานนี้ข้าพเจ้าเชิญท่านผู้เป็นขุนนางไปกินโต๊ะที่บ้านข้าพเจ้าผู้น้อยนั้น จะผิดชอบประการใดข้าพเจ้าขออภัยเสียเถิด กงซุนเขียนจึงตอบว่าไม่ควรที่ท่านจะพูดดังนี้ ท่านมีคุณเราทั้งสองอีก วันนี้เราคิดอยู่ว่าจะชวนอองซุนอิหยินไปสรรเสริญคุณท่านถึงบ้าน พอท่านมาเสียก่อนเรามีความยินดีนัก ลีปุดอุยได้ฟังกงซุนเขียนพูดจาสนิทสนมมิได้มีความลับดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้ามีความอยู่ข้อหนึ่ง จะแจ้งแก่ท่านให้ทราบเสียจึงจะชอบ ด้วยเวลาวานนี้ อองซุนอิหยินพูดจาอ่อนน้อมขอนางเตียวกีภรรยาข้าพเจ้าหามีความเกรงใจไม่ ครั้นข้าพเจ้าจะขัดขืนมิให้เล่าก็กลัวอองซุนอิหยินจะวุ่นวายคิดหนีหายต่อไป ความผิดก็จะมีมาถึงท่าน ข้าพเจ้าคิดว่าจะยอมยกภรรยาให้เสียกับอองซุนอิหยิน เพราะเห็นว่าจะได้เป็นหลักแหล่งมิได้คิดหนีกลับคืนไปเมือง คำโบราณท่านย่อมว่าไว้แต่ก่อนว่า จะผูกผู้คนด้วยเชือกและพรวนนั้นเห็นหาอยู่ไม่ แม้นผูกด้วยการประเวณีสตรีแลจะมั่นคงยืดยาว การซึ่งเสียภรรยาเป็นของรักให้แก่อองซุนอิหยินครั้งนี้ก็เพราะเห็นว่าเป็นราชการเกี่ยวข้องอยู่ในท่าน กงซุนเขียนได้ฟังลีปุดอุยแจ้งดังนั้นเห็นชอบด้วย มีความยินดีนักจึงตอบว่าซึ่งท่านคิดดังนี้ควรแล้ว บุญคุณท่านมีแก่เราเป็นอันมาก
ขณะนั้นอองซุนอิหยินแจ้งว่าลีปุดอุยมาก็ออกไปหา ต่างคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียม แล้วพูดจายกบุญยอคุณและสรรเสริญลีปุดอุยต่างๆ ด้วยนํ้าใจของอองซุนอิหยินอยากจะใคร่ได้ภรรยาลีปุดอุย ลีปุดอุยครั้นได้ฟังอองซุนอิหยินพูดจายกย่องประจบประแจงมีกิริยามากกว่าแต่ก่อนดังนั้น ก็เข้าใจว่าอองซุนอิหยินอยากจะใคร่ได้ของรักแห่งเราจึงพูดดังนี้ การซึ่งเราตรึกตรองไว้แต่เดิมนั้นเห็นสมคิดเป็นมั่นคงมีความยินดีนัก แล้วว่าแก่อองซุนอิหยินว่า ความที่ท่านพูดไว้แก่เรานั้น ถ้าท่านมิได้มีความรังเกียจแล้วจะเลี้ยงดูกันโดยฉันประเพณีจริงแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้พูดจาว่ากล่าวนางก็ยินยอมพร้อมใจอยู่แล้ว คํ่าวันนี้ก็เป็นวันดี ข้าพเจ้าจะส่งตัวนางเตียวกีมาให้ท่านจะเห็นประการใด
อองซุนอิหยินได้ฟังลีปุดอุยว่าดังนั้นมีความยินดีเป็นกำลังยอบตัวลงคำนับแล้วว่า ท่านเมตตาข้าพเจ้าครั้งนี้ บุญคุณท่านอยู่แก่ข้าพเจ้าหาที่จะอุปมามิได้ คงจะสนองคุณท่านจนสิ้นชีวิตมิได้ลืมคุณเลย กงซุนเขียนจึงว่าดีแล้ว เราจะช่วยจัดแจงให้สมควรทั้งสองฝ่าย ว่าแล้วให้ยกโต๊ะออกมากินด้วยลีปุดอุย อองซุนอิหยินครั้นกินโต๊ะเสร็จแล้วลีปุดอุยก็คำนับลากลับไปบ้าน พอเวลาคํ่าลงกงซุนเขียนก็ให้จัดแจงเกวียนกับของคำนับตามสมควร ให้คนสนิทของตัวคุมเกวียนและของไปยังบ้านลีปุดอุย ลีปุดอุยเห็นดังนั้นมีความยินดีนัก ก็เข้าไปในห้องพูดจาปลอบโยนนางเตียวกีต่างๆ แล้วจึงจัดแจงแต่งตัวผลัดเสื้อกางเกงใหม่พาไปขึ้นเกวียน ลีปุดอุยนั้นก็มาด้วยนางเตียวกี ครั้นถึงบ้านกงซุนเขียนก็เข้าไปคำนับกงซุนเขียน
ขณะนั้นอองซุนอิหยินออกมานั่งอยู่ด้วยกงซุนเขียน ลีปุดอุยก็ส่งตัวนางเตียวกีเข้าไปอยู่ในห้องอองซุนอิหยิน แล้วกงซุนเขียน อองซุนอิหยิน ลีปุดอุย ก็พูดจาหยอกเอินกันจนเวลายามเศษ ลีปุดอุยก็ลากลับไปบ้าน อองซุนอิหยินเห็นลีปุดอุยกลับไปแล้ว ก็ลากงซุนเขียนเข้าไปหานางเตียวกีในห้อง พูดจาอ่อนน้อมเป็นทางไมตรีต่างๆ จนนางเตียวกียินยอมพร้อมใจด้วย ทั้งสองคนก็มิได้มีความรังเกียจกันอยู่เป็นปกติสบายมาได้ประมาณเดือนเศษ เวลาวันหนึ่งนางเตียวกีนั่งตรึกตรองคิดว่าตัวก็มีครรภ์ถึงสามเดือนแล้ว จำจะอุบายบอกแก่อองซุนอิหยินให้รู้เสียจึงจะสิ้นความกินแหนง
ขณะนั้นพออองซุนอิหยินไปหากงซุนเขียนกลับมา นางเตียวกีก็เข้าไปปฏิบัติตามเคยแล้วบอกแก่อองซุนอิหยินว่า บัดนี้ข้าพเจ้าขาดระดูหามีมาตามสังเกตไว้ไม่ผิดประหลาดอยู่ เห็นว่าจะมีครรภ์เป็นแน่ อองซุนอิหยินได้ฟังดังนั้นมิได้รู้ว่ากลนางเตียวกี สำคัญว่าบุตรในครรภ์นั้นเกิดด้วยตัวมีความยินดีนัก จึงว่าถ้าเป็นบุญของเราทั้งสองก็ให้บุตรในครรภ์เจ้าคลอดออกมาเป็นชายเถิด จะได้สืบแซ่และตระกูลต่อไป ครั้นอยู่ด้วยกันนานมาจนครรภ์นางเตียวกีครบสิบเดือนควรที่จะคลอดบุตรก็หาคลอดไม่ เพราะเหตุว่าเป็นบุญของบุตรในครรภ์จะมิให้คนทั้งปวงล่วงรู้ว่าเป็นบุตรลีปุดอุย ต่อถ้วนสิบสองเดือนเป็นวันข้างจีนเรียกว่าเจียง้วยชิวอิด แปลว่าปีใหม่ขึ้นคํ่าหนึ่งเป็นวันตรุษจีน นางเตียวกีก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย
ขณะนั้นบังเกิดนิมิตเป็นแสงสว่างทั่วไปทั้งบ้านกงซุนเขียนแล้วมีฝูงนกหลายพวกบินมาแต่ทิศต่างๆ ประชุมในจังหวัดที่อันนั้น บ้างก็บินร่อนร้องอยู่บนอากาศ บ้างก็จับไม้ไซ้ปีกหางอยู่ตามสบาย อันบุตรนางเตียวกีนั้นมีลักษณะประหลาดกว่าทารกทั้งปวง คลองตายาวหน้าผากสี่เหลี่ยม ในแก้วตาทั้งสองนั้นมีเงาข้างละสองคน ฟันก็งอกเป็นเงางามมาแต่กำเนิด ที่กลางสันหลังนั้นเป็นวงเท่าผลสะบ้าคล้ายเหมือนปานแห่งหนึ่ง ในวงนั้นเป็นเกล็ดดังหนึ่งเกล็ดมังกรเต็มทั่วไปทั้งวง ถ้าจะร้องไห้เสียงก็ดังได้ยินไปหลายชั่วบ้าน อองซุนอิหยินเห็นบุตรชายมีลักษณะและบังเกิดนิมิตดังนั้นมีความยินดีนัก จึงให้ชื่อบุตรนั้นตามแซ่นางเตียวกีกับที่เกิดวันปีใหม่ชื่อเตียวแจ้ง
ขณะนั้นเจียวเสียงอ๋องครองสมบัติในเมืองจิ๋นได้สี่สิบแปดปี ฝ่ายลีปุดอุยแจ้งว่าบุตรนางเตียวกีเป็นชาย สมเหมือนหนึ่งคิดไว้แต่เดิมมีความยินดีนัก จึงจัดแจงข้าวของทองเงินไปเยี่ยมอองซุนอิหยิน แล้วเอาเงินทองลอบไปให้นางเตียวกีเลี้ยงบุตรมิได้ขาด จนอายุเตียวแจ้งบุตรนางเตียวกีนั้นได้สามขวบ
ฝ่ายเจียวเสียงอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นแจ้งว่าอองงึดยังหักเอาด่านเมืองเตียวหาได้ไม่ก็โกรธ จึงจัดแจงทหารเป็นขบวนทัพ ให้ยกหนุนไปช่วยอองงึดตั้งอยู่ที่ตำบลฝั่งแม่นํ้าฮุนจุย ห่างค่ายอองงึดประมาณสิบสี่เส้น จึงจัดแม่ทัพให้คุมทหารไปช่วยอองงึดตีค่ายเมืองเตียว อองงึดครั้นได้ทหารเพิ่มเติมมาก็ยกเข้าหักเอาเมืองด่าน ทหารในเมืองก็ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินสู้ไว้เป็นสามารถ อองงึดให้ทหารเข้ารบหักเอาเป็นหลายครั้งหาได้ไม่ ตั้งรอกันอยู่ กิตติศัพท์รู้ไปถึงลีปุดอุย ลีปุดอุยเอาความไปแจ้งแก่อองซุนอิหยินว่า เจียวเสียงอ๋องยกหนุนมาตีเมืองด่านขึ้นเมืองเตียว บัดนี้ในเมืองเตียวก็ปิดประตูไว้ทั้งสี่ด้าน ข้าพเจ้าเห็นว่าเตียวเฮาเซงอ๋องเจ้าเมืองเตียวคงจะโกรธเจียวเสียงอ๋องเป็นอันมากก็จะพลอยฆ่าท่านเสียด้วย แม้นนิ่งอยู่ฉะนี้เห็นจะไม่พ้นภัย ท่านจงคิดอ่านหนีกลับไปเมืองเถิด
อองซุนอิหยินได้ฟังดังนั้นตกใจนัก จึงว่าข้าพเจ้านี้หามีสติปัญญาไม่ แม้นท่านกรุณาก็จงช่วยคิดอ่านให้ได้กลับไปเมืองเถิดข้าพเจ้าจะตามใจท่านทุกประการ ลีปุดอุยก็รับว่าท่านอย่าวิตกเลย แล้วลากลับมาบ้าน จึงหยิบเอาทองออกมาสามสิบชั่งเอาไปให้นายประตูข้างทิศเหนือ แล้วบอกว่าข้าพเจ้าเป็นพ่อค้าขายของติดอยู่ในเมืองนี้ ข้าศึกก็มารบกวนอยู่มิได้ขาดหามีความสบายไม่ ข้าพเจ้าขายของได้กำไรไว้สามสิบชั่งเอามาให้ท่าน ท่านได้กรุณาเปิดประตูส่งข้าพเจ้าด้วยเถิด นายประตูยินดีนักรับเอาทองไว้แล้วว่าท่านจะไปเมื่อใดก็มาเถิด เราจะช่วยสงเคราะห์อย่าวิตกเลย ลีปุดอุยก็ลากลับมาบ้าน จึงหยิบเอาทองอีกร้อยชั่งไปให้กงซุนเขียน บอกว่าข้าพเจ้ามาอยู่เมืองเตียวก็นานแล้วรำลึกถึงญาติข้าพเจ้านัก อีกสามวันจะลาท่านไปบ้านเดิมข้าพเจ้า แต่ขัดอยู่ด้วยประตูเมืองข้างทิศเหนือปิด ท่านได้โปรดด้วยช่วยสั่งให้เขาเปิดประตูส่งข้าพเจ้าหน่อยเถิด
กงซุนเขียนได้ฟังดังนั้นมิรู้กลอุบาย เสียดายลีปุดอุยนักจึงว่าถ้าท่านไปแล้ว จงกลับมาเยี่ยมเยือนเราบ้าง ว่าแล้วก็ไปสั่งนายประตูไว้ว่า ถ้าลีปุดอุยจะไปเมื่อใดก็ให้เปิดส่งด้วย นายประตูได้ทองไว้แต่เดิมแล้ว ครั้นกงซุนเขียนมาสั่งอีกดังนั้นก็ดีใจ พอกงซุนเขียนกลับไป นายประตูจึงแบ่งทองนั้นไปให้พวกชาวด่านรายทางเป็นหลายตำบล เพราะกลัวว่าชาวด่านจะมิให้ลีปุดอุยไป
ฝ่ายลีปุดอุยเมื่อขณะกงซุนเขียนไปสั่งนายประตูนั้นก็ลอบไปหาอองซุนอิหยินบอกว่า อีกสามวันข้าพเจ้าจะพาท่านหนีกลับไปเมืองจิ๋นให้จงได้ จงส่งภรรยากับบุตรของท่านไปไว้บ้านข้าพเจ้าก่อนเถิด อองซุนอิหยินแจ้งดังนั้นมีความยินดีนัก คำนับลีปุดอุยแล้วว่าเวลาคํ่าวันนี้ข้าพเจ้าจึงจะพาไปส่งท่าน ลีปุดอุยก็กลับมาบ้าน บอกบิดาให้แจ้งความดังนั้น มาจัดแจงทรัพย์สิ่งของและเสบียงอาหารของตัว ให้บ่าวขนลงบรรทุกเกวียนพร้อมแล้ว ครั้นเวลาค่ำอองซุนอิหยินก็ลอบพาบุตรและภรรยามาส่งไว้ที่บ้านลีปุดอุย รุ่งขึ้นเวลาเช้าลีปุดอุยก็จัดแจงแต่งโต๊ะมาเตรียมไว้ ครั้นเวลาบ่ายจึงไปเชิญกงซุนเขียนกับอองซุนอิหยินมากินโต๊ะที่บ้าน กงซุนเขียนมิได้มีความสงสัย ก็ชวนอองซุนอิหยินกับบ่าวไพร่มายังบ้านลีปุดอุย ลีปุดอุยจึงสั่งให้เลี้ยงบ่าวไพร่ซึ่งตามกงซุนเขียนมาที่ข้างนอกเหมือนอย่างครั้งก่อน แต่สุรานั้นเติมให้มากขึ้นกว่าตามธรรมเนียม ลีปุดอุยก็เชิญกงซุนเขียน อองซุนอิหยินให้กินโต๊ะ พูดจาเล่นอยู่ด้วยกันจนเวลาคํ่า ครั้นล่วงเข้ายามเศษลีปุดอุยก็แกล้งกล่าวว่า ข้าพเจ้ามีความอาลัยถึงท่านทั้งสองนัก จึงเชิญมาเสพสุราด้วยกันให้สบายเสียครั้งนี้ อีกสองวันข้าพเจ้าจะลาท่านไปแต่ว่าไม่นานดอกคงจะได้กลับมาเห็นกัน แล้วแกล้งทำหน้าสลดถอนใจใหญ่จึงรินสุราใส่ถ้วยใหญ่ให้กงซุนเขียน กงซุนเขียนมิได้รู้กลก็รับมาดื่มเข้าไป ลีปุดอุยก็รีบส่งให้อีกเป็นหลายถ้วย กงซุนเขียนเสพสุรามากเมาเหลือกำลังซบหน้าลงกับโต๊ะ
ฝ่ายบ่าวกงซุนเขียนรับประทานสุราเข้าไปเกินขนานก็นอนหลับอยู่ทั้งสิ้นมิได้รู้สึกตัว ลีปุดอุยเห็นดังนั้นยินดีนักด้วยสมความคิด จึงให้อองซุนอิหยินแต่งตัวเป็นไพร่ปนไปกับบ่าว ลีปุดอุยกับบิดาก็พาอองซุนอิหยินและบุตรภรรยาทั้งพรรคพวกของตัว รีบขับเกวียนออกจากบ้านโดยเร็ว ครั้นมาถึงประตูข้างทิศเหนือ ลีปุดอุยก็บอกนายประตู นายประตูเห็นลีปุดอุยมาก็เปิดประตูให้ไปด้วยไม่รู้จักอองซุนอิหยิน ลีปุดอุยลานายประตูพากันรีบออกจากเมืองเตียวไป ลีปุดอุยหนีมาทางทิศเหนือนี้เพราะบ้านของตัวอยู่ที่ตำบลฝ่างเต๊ก เคยเข้าใจรู้ทางที่จะอ้อมลัด แม้นมีผู้ติดตามมาจะได้หนีโดยง่าย ครั้นออกจากเมืองแล้วจึงอ้อมไปทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วยจะไปเมืองจิ๋น ครั้นพบค่ายอองงึดแม่ทัพเมืองจิ๋นตั้งอยู่ก็เลียบไปทางข้างค่าย
ฝ่ายทหารอองงึดที่ตรวจตราอยู่เห็นดังนั้นก็พากันออกมาจะจับตัวลีปุดอุย ลีปุดอุยจึงร้องบอกว่าเราพาหลานเจ้าเมืองมาชื่ออองซุนอิหยิน ทหารอองงึดรู้ดังนั้นก็ไปบอกอองงึด อองงึดยินดีนัก ให้เชิญเข้าไปในค่ายแล้วว่าเหตุใดท่านจึงหนีมาได้ อองซุนอิหยินก็เล่าความซึ่งลีปุดอุยคิดอ่านให้ฟังทุกประการ อองงึดจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเสร็จแล้วจึงบอกว่าเจ้าเมืองจิ๋นมาตั้งค่ายอยู่ยังทางอีกสิบลี้ ข้าพเจ้าจะให้ทหารไปส่ง แล้วจัดเกวียนและม้าให้อองซุนอิหยินกับพวกพ้องลีปุดอุยขี่ แล้วก็ให้ทหารพาไปส่งเจ้าเมืองจิ๋น ลีปุดอุยกับอองซุนอิหยินก็พากันไป ครั้นถึงค่ายเจียวเสียงอ๋อง อองซุนอิหยินก็เข้าไปคำนับเจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องเห็นมีความยินดีนักจึงถามว่าเหตุใดเจ้าจึงหนีได้ อองซุนอิหยินก็เล่าความให้ฟังทุกประการ
เจียวเสียงอ๋องจึงสรรเสริญลีปุดอุยต่างๆ แล้วบอกอองซุนอิหยินว่า ไทจูเถียวบิดาเจ้าคิดถึงอยู่ทุกวันมิได้ขาด ซึ่งเจ้ารอดชีวิตพ้นจากเมืองเตียวมานี้เป็นบุญตัวนัก เจ้าจงกลับไปเมืองจิ๋นก่อนเถิดบิดามารดาพี่น้องทั้งปวงเห็นจะได้ดีใจ แล้วให้นายทหารที่มีฝีมือไปส่งอองซุนอิหยิน อองซุนอิหยินก็คำนับลาเจียวเสียงอ๋องออกมาพากันขึ้นขี่เกวียนรีบไปเมืองจิ๋น ครั้นมากลางทางอองซุนอิหยินก็ใช้ให้คนล่วงหน้าไปบอกไทจูเถียวผู้บิดาเสียก่อน ม้าใช้คำนับลารีบมาเมืองจิ๋นเข้าไปแจ้งความไทจูเถียวทุกประการ
ไทจูเถียวแจ้งดังนั้นจึงให้หญิงคนใช้ไปเรียกนางฮัวเอียงฮูหยินมาเล่าความนั้นให้ฟัง นางฮัวเอียงฮูหยินได้แจ้งมีความยินดีนัก ดวงหน้าสดชื่นดุจดังดอกไม้เมื่อแรกบานยังไม่ต้องแสงพระอาทิตย์ จึงว่ากับไทจูเถียวว่า ท่านกับข้าพเจ้าตั้งแต่นี้ไปก็จะมีความสุขปราศจากวิตกแล้ว
ขณะนั้นพอลีปุดอุยมาถึงเมืองจิ๋น จึงว่ากับอองซุนอิหยินว่า บัดนี้ท่านก็จะนับถือนางฮัวเอียงฮูหยินว่าเป็นมารดา อันนางฮัวเอียงฮูหยินเป็นชาวเมืองฌ้อ ท่านจงแต่งตัวเสียใหม่เถิด ให้เหมือนพวกเมืองฌ้อจึงจะเห็นว่านับถือและคิดถึงเขาจริง อองซุนอิหยินได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเสียใหม่ ครั้นเสร็จแล้วลีปุดอุยก็กระซิบบอกอุบายให้อองซุนอิหยินไปพูดกับนางฮัวเอียงฮูหยินต่างๆ แล้วลีปุดอุยก็พาพวกพ้องกับอองซุนอิหยินมายังบ้านไทจูเถียว ตัวลีปุดอุยนั้นหาเข้าไปหาไทจูเถียวไม่ ให้แต่อองซุนอิหยินไปผู้เดียว อองซุนอิหยินก็คำนับไทจูเถียวกับนางฮัวเอียงฮูหยิน แล้วซบหน้าลงร้องไห้รำพันว่าตัวข้าพเจ้าตกไปอยู่เมืองเตียวได้ความลำบากอยู่ช้านาน มิได้ปฏิบัติและแทนคุณท่านทั้งสองทั้งนี้ก็เหมือนหามีกตัญญูไม่ เพราะเป็นกรรมข้าพเจ้าเอง นางฮัวเอียงฮูหยินเห็นอองซุนอิหยินแต่งตัวตามอย่างชาวฌ้อดังนั้นก็คิดสงสัย จึงถามอองซุนอิหยินว่า เจ้าตกไปอยู่เมืองเตียวเหตุไรจึงแต่งตัวตามอย่างชาวเมืองฌ้อเล่า
อองซุนอิหยินจึงคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าไปอยู่เมืองเตียวครั้งนี้คิดถึงท่านทุกคืนวันมิได้ขาด ซึ่งแต่งตัวดังนี้ก็เพราะคิดถึงคุณท่าน นางฮัวเอียงฮูหยินได้ฟังดังนั้นยินดีนัก ยิ่งรักอองซุนอิหยินมากขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงว่าแต่บัดนี้ไปเจ้าจงเป็นบุตรเราเถิด เราก็นึกว่าเจ้าเกิดในครรภ์มิได้คิดรังเกียจ แล้วว่ากับไทจูเถียวว่าขอท่านจงเปลี่ยนชื่ออองซุนอิหยินเสียใหม่เถิด ไทจูเถียวจึงให้ชื่อว่าจูฌ้อ นางฮัวเอียงฮูหยินกับอองซุนอิหยินต่างคำนับไทจูเถียว แต่นั้นมาคนทั้งปวงจึงเรียกอองซุนอิหยินว่าจูฌ้อ ไทจูเถียวถามจูฌ้อว่า เจ้าไปอยู่เมืองเตียวครั้งนี้เป็นที่คับขันนัก เหตุใดเจ้าจึงหนีมาได้ จูฌ้อก็เล่าความให้ฟังว่าข้าพเจ้าอยู่ในเมืองเตียว เตียวเฮาเซงอ๋องคิดจะทำร้ายอยู่มิได้ขาด หากได้ลีปุดอุยคิดอ่านจึงไม่มีอันตราย ซึ่งหนีมาได้ทั้งนี้ก็เพราะลีปุดอุยทำอุบายล่อลวงจึงได้กลับมาสนองคุณท่านทั้งสอง
ไทจูเถียวได้ฟังดังนั้นจึงว่า เหตุใดลีปุดอุยจึงไม่เข้ามาหาเล่า แล้วใช้คนไปเรียกลีปุดอุยเข้ามาพูดสรรเสริญว่า ท่านนี้มีสติปัญญาอันประเสริฐหามีผู้เสมอมิได้ ช่วยคิดอ่านพาบุตรเรารอดจากความตายมาถึงนี่ได้ แม้นมิได้ท่านก็จะเสียบุตรซึ่งเป็นที่รักแห่งเราเป็นแน่ บัดนี้เหมือนหนึ่งท่านทำคุณไว้กับเราก็เหมือนกัน ความชอบของท่านนี้เป็นอันมาก ไทจูเถียวจึงยกบ้านส่วยของตัวให้เป็นบำเหน็จลีปุดอุยสองร้อยตำบลกับทองห้าสิบแท่ง สั่งให้จัดที่อยู่ให้ลีปุดอุยอยู่ตามสมควร แล้วว่าท่านจงไปหยุดพักให้สบายก่อนเถิด ถ้าเจียวเสียงอ๋องบิดาเรากลับเมื่อไร ก็จะบอกให้ตั้งท่านเป็นขุนนางขึ้น จึงจะสมความชอบของท่าน ลีปุดอุยครั้นได้รางวัลยินดีนัก คำนับลามาพาบิดากับพวกพ้องของตัวขนสิ่งของไปยังที่อยู่
ฝ่ายกงซุนเขียนครั้นรุ่งเช้าสร่างเมาได้สติก็ฟื้นตัวตื่นขึ้นมิได้เห็นลีปุดอุย อองซุนอิหยินที่กินโต๊ะ ก็คิดสงสัยจึงลุกออกมาดูข้างนอกก็ไม่พบ เห็นแต่บ่าวของตัวเมานอนหลับอยู่ แต่พวกลีปุดอุยนั้นหามีไม่ ทั้งข้างนอกข้างในก็เงียบสงัดอยู่ก็สะดุ้ง จึงปลุกพวกบ่าวไพร่ให้ลุกขึ้นเที่ยวค้นหาลีปุดอุยกับอองซุนอิหยินก็หาพบไม่ จึงพาบ่าวไพร่กลับมาบ้านของตัว กงซุนเขียนก็ถามผู้ที่อยู่บ้านว่าอองซุนอิหยินกลับมาก่อนเราหรือ ผู้รักษาบ้านบอกว่าหาเห็นไม่ ก็สั่งให้ไปค้นอองซุนอิหยินกับบุตรและภรรยาที่ในห้องก็พากันหายไปหมด กงซุนเขียนยิ่งตกใจเป็นอันมาก จึงสั่งให้คนใช้ให้รีบไปถามนายประตูข้างทิศเหนือว่าลีปุดอุยไปแล้วหรือ อองซุนอิหยินมาด้วยหรือเปล่า คนใช้ก็รีบไปถามนายประตูตามคำกงซุนเขียนสั่ง นายประตูจึงบอกว่าลีปุดอุยออกไปแล้ว แต่หาเห็นอองซุนอิหยินออกไปไม่ คนใช้ก็เอาความนั้นกลับไปบอกกับกงซุนเขียน
กงซุนเขียนแจ้งดังนั้นหน้าซีดตะลึงนิ่งไปเป็นครู่แล้วถอนใจใหญ่ คิดว่าลีปุดอุยแกล้งล่อลวงเราพาเอาอองซุนอิหยินหนีไปได้ เราเสียรู้กับตระกูลพ่อค้าครั้งนี้อัปยศแก่เทพยดาและมนุษย์เป็นอันมาก มิอาจที่จะอยู่ดูหน้าคนได้แล้ว อนึ่ง เตียวเฮาเซงอ๋องก็จะโกรธติเตียนเราว่าหามีสติปัญญาไม่ ตายเสียดีกว่าให้ชื่อเสียงปรากฏไว้ในแผ่นดิน คิดแล้วจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งใจความว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้คุมอองซุนอิหยินละเมิดประมาทเสียไม่ระไวระวัง เพราะมีใจกรุณาเชื่อถือว่าเป็นคนสัตย์ซื่อ บัดนี้หนีไปได้โทษข้าพเจ้าก็ถึงสิ้นชีวิตอยู่แล้ว จะขอลาท่านตายไปก่อน ครั้นเสร็จเข้าผนึกส่งให้คนสนิทสั่งว่า ท่านจงเอาไปให้กับเตียวเฮาเซงอ๋อง แล้วกงซุนเขียนก็ชักกระบี่เชือดคอถึงแก่ความตาย พวกบ่าวไพร่เห็นดังนั้นตกใจจะเข้าชิงก็ไม่ทัน ต่างคนต่างร้องไห้รักเป็นอันมาก คนสนิทผู้นั้นก็เอาหนังสือที่กงซุนเขียนให้ไว้รีบไปให้เตียวเฮาเซงอ๋องแล้วแจ้งความให้ฟังทุกประการ เตียวเฮาเซงอ๋องแจ้งดังนั้นจึงฉีกผนึกหนังสือออกอ่านดูรู้ความแล้วเสียใจนัก แต่มิรู้ที่จะโกรธผู้ใดได้ด้วยตัวกงซุนเขียนก็สิ้นชีวิตเสียแล้วก็ต้องนิ่งอยู่
ฝ่ายเจียวเสียงอ๋องครั้นลีปุดอุยพาอองซุนอิหยินหนีมาได้แล้วก็สิ้นห่วงมิได้มีความวิตก จึงจัดนายทหารที่มีฝีมือเป็นแม่ทัพยกไปตั้งประชิดตีเอาเมืองหน้าด่าน พวกทหารเมืองเตียวก็ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เป็นสามารถ