- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๖๕
ฝ่ายซุยทู้ซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายทหารอยู่ในเมืองเจ๋ เป็นอริกันอยู่กับเจ๋จงก๋งคิดจะทำร้ายอยู่มิได้ขาด มีเพื่อนสนิทคิดการด้วยกันคนหนึ่งชื่อเค่งหองเป็นขุนนางฝ่ายทหารเบื้องขวา นัดกันว่าถ้าเราคิดฆ่าเจ้าเมืองเจ๋เสียได้ เราจะแบ่งสมบัติกันคนละกึ่ง คิดหาช่องซึ่งจะทำร้ายเจ้าเมืองเจ๋อยู่มิได้ขาด ครั้นได้ข่าวหัวเมืองทั้งห้าจะยกมาตีเมืองเจ๋ ก็ดีใจจะได้แก้แค้นเจ้าเมืองเจ๋ ครั้นเห็นกองทัพกลับไปเสียเพราะนํ้ามากก็เสียใจ เจ้าเมืองเจ๋นั้นมีคนใช้สนิทอยู่คนหนึ่งชื่อก๋าตี๋ แต่เจ้าเมืองเจ๋มักกระทำโทษอยู่เนืองๆ ถ้าก๋าตี๋ทำผิดเล็กน้อยก็ให้ตีร้อยหนึ่งบ้างกว่าร้อยบ้าง ก๋าตี๋มีความแค้นอยู่ ซุยทู้แจ้งความดังนั้นก็มีความยินดี จึงให้คนสนิทไปชวนก๋าตี๋ให้ไปมาพูดจากินนอนด้วยกัน เห็นรักใคร่สนิทแล้ว ซุยทู้จึงว่าท่านกับเราก็มีความแค้นเจ๋จงก๋ง ท่านเป็นคนใช้เจ๋จงก๋งสนิท จงคอยดูถ้าเห็นเจ๋จงก๋งประมาทไปเที่ยวตำบลใดท่านจงรีบมาบอกเรา เราจะได้คิดกระทำแก้แค้น
ขณะนั้นพระเจ้าจิวเลงอ๋องเสวยราชย์ได้ยี่สิบสามปี เหลปีก๋งเจ้าเมืองกี๋มาขึ้นกับเมืองเจ๋ได้สิบเอ็ดปี แต่งขุนนางมาคำนับเจ้าเมืองเจ๋ทุกปีมิได้ขาด แต่ครั้งนี้เจ้าเมืองกี๋จัดแจงเครื่องบรรณาการตัวมาเอง ครั้นถึงแดนเมืองเจ๋ก็ตั้งประทับอยู่กงก๊วน ตำบลปักก๊กนอกเมือง เจ๋จงก๋งแจ้งว่าเจ้าเมืองกี๋มาคำนับก็มีความยินดี จึงสั่งให้ขุนนางจัดแจงโต๊ะแล้วก็ออกไปรับเจ้าเมืองกี๋ ขณะนั้นขุนนางตามเจ้าเมืองเจ๋ไปเป็นอันมาก แต่ซุยทู้นั้นบอกป่วยเสียหาตามไปไม่ ครั้นเจ้าเมืองเจ๋ออกไปรับเจ้าเมืองกี๋แล้ว ก๋าตี๋จึงเอาเนื้อความรีบไปบอกแก่ซุยทู้ว่าวันนี้เจ๋จงก๋งออกไปรับเจ้าเมืองกี๋ เลี้ยงดูกันแล้วเมื่อกลับว่าจะแวะมาเยี่ยมท่านป่วย
ซุยทู้ได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งเจ้าเมืองเจ๋จะมาวันนี้ ใช่จะมาเยี่ยมโดยเมตตาสุจริตนั้นหามิได้ มาวันนี้ปรารถนาจะมาหยอกภรรยาเราให้ได้ความละอายดอก ก๋าตี๋บอกความแล้วก็กลับไป ซุยทู้จึงเรียกนางซงขยงเข้ามาแล้วว่า วันนี้เจ๋จงก๋งจะมาเยี่ยมเรา เราเห็นได้ทีเราก็จะฆ่าเสียเจ้าจะคิดประการใด ถ้าเจ้าเมื่อยังมีความรักคิดถึงเราอยู่มากช่วยกันคิดล่อลวงให้เจ้าเมืองงวยงงหลงใหล ถ้าได้ท่วงทีจะฆ่าเสีย เราก็จะเลี้ยงเจ้าต่อไป บุตรเจ้าก็จะได้เป็นที่แทนเรา ถ้าเจ้าชอบข้างยศถาบรรดาศักดิ์รักเจ๋จงก๋งอยู่ เราก็จะฆ่าเจ้าเสียให้ตายไปตามกัน
นางซงขยงจึงตอบว่า ซึ่งท่านไม่เอาโทษโปรดมาทั้งนี้ เพราะท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นเพื่อนยากพระคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นอิสตรีถึงจะชั่วก็ไม่ให้ซ้ำเป็นสอง ข้าพเจ้าก็คงปรองดองไปตามท่าน ซุยทู้ได้ฟังภรรยาตอบก็ชอบใจ ถ้ากระนั้นเจ้าคอยต้อนรับเจ้าเมืองเจ๋ปฏิบัติตามเคยอย่าให้เจ้าเมืองเจ๋มีความรังเกียจสงสัยได้ แล้วจึงเรียกทั่งม่อกี๋วเข้ามาสั่งว่า ท่านจงคุมทหารที่มีฝีมือถืออาวุธพร้อมร้อยหนึ่งเข้าไปคอยอยู่ในฉาก แล้วซุยเสงซุยเกียงผู้บุตรซึ่งเกิดแต่ภรรยาเก่าคุมทหารไปคอยแอบอยู่ที่ประตู จึงให้ตังออกเอียมออกไปคอยอยู่ที่สำคัญนอกประตูแห่งหนึ่ง แล้วกำชับทหารทั้งปวงว่าท่านจงคอยฟังเสียงระฆังสัญญาตีขึ้นเมื่อใด จงพาทหารรีบเข้ามาจับเจ้าเมืองเจ๋กับขุนนางฆ่าเสียให้สิ้นเมื่อนั้น แล้วให้คนสนิทลอบไปบอกความกับก๋าตี๋ ผู้เป็นเพื่อนสนิทร่วมคิดกันว่า เพลาวันนี้เจ้าเมืองเจ๋จะมาเยี่ยมเรา การซึ่งเราคิดนั้นจัดแจงไว้พร้อมแล้ว ท่านสิจะตามเจ้าเมืองเจ๋ออกไปรับเจ้าเมืองกี๋ ถ้าเห็นเจ้าเมืองเจ๋รังเกียจอยู่จะไม่มา ท่านจงพูดจาให้สิ้นสงสัย สุดแท้แต่อย่าให้เสียการของเราในวันนี้ ก๋าตี๋ก็รับคำทุกประการ
ฝ่ายเจ้าเมืองเจ๋ครั้นจัดแจงการเสร็จแล้วก็พาขุนนางไปรับเจ้าเมืองกี๋ที่กงก๊วนนอกเมือง ครั้นถึงต่างคนคำนับไต่ถามกันตามธรรมเนียมแล้วเชิญให้เจ้าเมืองกี๋กินโต๊ะ ขณะเมื่อเสพสุราอยู่นั้นเจ้าเมืองเจ๋จิตผูกอยู่แต่นางซงขยงภรรยาซุยทู้หาขาดไม่ ครั้นกินโต๊ะแล้วก็ขึ้นเกวียนพาขุนนางรีบมาบ้านซุยทู้ ครั้นถึงประตูนายประตูจึงออกมาแกล้งบอกว่าวันนี้เสียงก๊กนอนป่วยมาก หมอประกอบยาให้รับประทานแล้วนอนหลับไป เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังก็มีความยินดีจึงถามว่า เสียงก๊กนอนป่วยอยู่ที่ห้องใด นายประตูจึงบอกว่านอนอยู่ห้องนอก เจ้าเมืองเจ๋จึงคิดว่าชะรอยนางซงขยงจะอยู่ห้องในเป็นมั่นคง คิดแล้วก็เข้าไปข้างในปรารถนาจะไปหานางซงขยง
ขณะนั้นขุนนางทั้งปวงตามเจ้าเมืองเจ๋ไปมาก ขุนนางทั้งปวงพักอยู่ข้างนอกสิ้น แต่จิวเซียก เกียกือ กงซุนเหงา ลูอิน สี่คนนี้เป็นขุนนางฝ่ายทหาร จะตามเจ้าเมืองเจ๋เข้าไปด้วย ก๋าตี๋ซึ่งเป็นเพื่อนกับซุยทู้จึงห้ามไว้ว่า เสียงก๊กเป็นขุนนางผู้ใหญ่มียศถาบรรดาศักดิ์ ป่วยมากจนเจ้าเมืองเจ๋ออกมาเยี่ยม ก็ควรแล้วที่จะเข้าไปเยี่ยมถึงข้างในนั้นแต่เจ้าเมืองเจ๋ผู้เดียว อันเราทั้งปวงเป็นแต่ขุนนางผู้น้อยรักใคร่เสียงก๊ก จะมีใจมาเยี่ยมก็อยู่แต่เพียงภายนอกเถิด ก็จัดได้ว่ามาเยี่ยมถึงตัวเสียงก๊กเหมือนกัน เกียกือจึงตอบว่า ท่านว่านี้ก็ควรอยู่ แต่เจ้าเมืองเจ๋เป็นผู้ใหญ่ จะปล่อยให้เข้าไปแต่ผู้เดียวนั้นหาสมควรไม่ ท่านทั้งสามจะไม่เข้าไปก็ตามเถิด แต่เราจะต้องเข้าไปด้วยเจ้าเมืองเจ๋จึงจะชอบ ว่าแล้วก็ตามเจ้าเมืองเจ๋เข้าไปในประตูชั้นกลาง ก๋าตี๋เห็นดังนั้นก็เอากุญแจลั่นประตูชั้นกลางเสีย ขณะนั้นเจ๋จงก๋งกับเกียกือเข้าไปถึงที่ข้างใน เกียกือจึงคิดว่าซึ่งเราตามเจ้าเมืองเจ๋เข้ามาถึงเพียงนี้ก็ดีอยู่แล้ว เราจะเข้าไปถึงในห้องเขาเหมือนเจ้าเมืองเจ๋นั้นเห็นไม่สมควร คิดแล้วก็หยุดนั่งอยู่แต่เพียงห้องกลาง
เจ๋จงก๋งก็เข้าไปถึงห้องนางซงขยง นางซงขยงก็ออกมารับเจ้าเมืองเจ๋ พอหญิงคนใช้เข้ามาบอกนางซงขยงว่า เสียงก๊กตื่นนอนขึ้นมาคอแห้ง ท่านจงเอานํ้าผึ้งรีบไปให้เสียงก๊กรับประทานแก้คอแห้งจงเร็ว นางซงขยงจึงแกล้งคำนับเจ๋จงก๋งว่าเชิญท่านจงพักอยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าจะลาไประงับความไข้เสียก่อนแล้วจะกลับมาสนทนากับท่านจึงจะมีความสุข ว่าแล้วก็หลีกหลบไปเสียมิให้เห็นตัว
ขณะเมื่อเจ๋จงก๋งนั่งคอยนางซงขยงอยู่ที่หน้าห้องครั้งนั้น ได้ยินเสียงข้างในฉากประหนึ่งเสียงอาวุธกระทบกันก็ตกใจ จึงเรียกหาก๋าตี๋ซึ่งเป็นคนใช้สนิทของตัวก็หาเห็นไม่ ครั้นจะออกไปหาเกียกือประตูก็เปิดออกไปไม่ได้ จึงคิดว่าซุยทู้เห็นจะรู้ความ คิดฆ่าเราวันนี้เป็นมั่นคง คิดแล้วก็หนีออกทางหลังบ้าน เห็นประตูปิดอยู่ก็ตรงเข้าดันประตูด้วยกำลังแรงกลอนประตูก็หักเปิดออกไปได้ เห็นหอสูงสำหรับเสียงก๊กนั่งเล่นเป็นที่ชอบกลพอจะแอบแฝงได้จึงขึ้นไปซ่อนตัวอยู่บนนั้น
ฝ่ายทั่งม่อกี๋วกับคนร้อยหนึ่งซึ่งเตรียมอยู่แลเห็นเจ๋จงก๋งหนีขึ้นไปบนหอสูงได้ที ทั่งม่อกี๋วจึงร้องขึ้นว่าเสียงก๊กสั่งให้เราท่านทั้งปวงมาคอยจับคนลักเมีย เราจงเร่งลงมือเถิด เจ๋จงก๋งได้ยินดังนั้นก็ตกใจแต่มีสติร้องตอบลงมาว่า ท่านทั้งปวงล้วนแต่เป็นคนดีรู้จักผิดแลชอบจะพากันมาทำร้ายแก่เราผู้เป็นเจ้าเมืองมีคุณแก่คนทั้งปวงเห็นสมควรแล้วหรือ ทั่งม่อกี๋วจึงตอบว่าเสียงก๊กสั่งข้าพเจ้าไว้เป็นคำขาดแล้ว ซึ่งจะปล่อยท่านไปนั้นไม่ได้ ถึงท่านเป็นเจ้าเมืองมีคุณก็จริง แต่เป็นคนกระทำชั่วจะฆ่าเสียก็จะเป็นไรมี
เจ๋จงก๋งจึงถามว่า เดี๋ยวนี้เสียงก๊กอยู่แห่งใดเล่า ถึงท่านจะไม่เมตตาปล่อยเราก็ตามเถิด แต่เอ็นดูเราช่วยพาไปให้พบปากเสียงก๊กผู้สั่งท่านสักหน่อยหนึ่ง เราจะได้อ้อนวอนขอโทษตัวแล้วจะให้สัจสาบานกับเสียงก๊กว่าตั้งแต่นี้ไปจะร่วมสุขทุกข์มิให้คิดทำร้ายกันสืบไป ทั่งม่อกี๋วหัวเราะแล้วตอบว่า ถึงท่านจะไปพบเสียงก๊กก็หาประโยชน์ไม่ ด้วยเสียงก๊กป่วยมากปากอ้าไม่ได้พูดไม่ออก อย่าไปเลย จงลงมาให้เราจับโดยดีเถิด เจ๋จงก๋งจึงตอบว่า คำโบราณท่านว่าไว้ธรรมดาผู้มีวาสนาเจ้าบ้านภารเมืองนั้นรู้จักกฎหมายผิดและชอบอยู่ในตัวเอง หาต้องมีผู้อื่นมาชี้ขาดปรับไหมไม่ บัดนี้เราก็รู้สึกโทษตัวว่าถึงที่ตายแล้วท่านจงเอ็นดูเราอย่าให้ตายด้วยมือผู้อื่นเสียเกียรติยศเลย จงคุมเราไปที่หอไทเบี้ยวซึ่งปู่ย่าตายายเรา เราจะเชือดคอตายเสียในที่นั้น แต่พอพยุงที่ชื่อชั่วของเราไปภายหน้า ทั่งม่อกี๋วจึงตอบว่า ท่านมาเจรจาลวงเราดังนี้ประดุจดังเราเป็นทารกหาควรไม่ ถ้าท่านเป็นคนดีรู้จักธรรมเนียมแล้ว จะไปไยที่ไทเบี้ยว ด้วยกฎหมายในไทเบี้ยวนั้นว่าคนไม่มีสัจธรรมและอกตัญญูห้ามมิให้เข้าไป ท่านสิรู้โทษตัวแล้วจงเชือดคอตายเสียบนเหลาไต้นั้นเถิด อย่าได้เจรจาล่อลวงเราสืบไปเลย
เจ๋จงก๋งได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วคิดว่าเราเกิดมาในตระกูลอันสูงหาควรที่จะนิ่งให้เขามามัดเอาไปกระทำโทษไม่ ครั้งนี้ก็สิ้นปัญญาแล้ว ยังแต่กำลัง กำแพงบ้านกับที่เราอยู่ก็พอจะกระโจนพ้น คิดแล้วก็รวบชายเสื้อขึ้นเหน็บไว้ให้มั่นคง ถีบกระโดดออกไปโดยกำลังแรงหวังจะข้ามกำแพงให้พ้นภัย ทั่งม่อกี๋วเห็นดังนั้นก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกแขนขวาเจ๋จงก๋ง เจ๋จงก๋งก็ตกลงมาในกำแพง พวกทหารทั้งปวงก็กลุ้มรุมกันทิ่มแทงจนถึงแก่ความตาย ขณะนั้นเป็นเพลาคํ่าทั่งม่อกี๋วก็ไปตีระฆังสัญญาขึ้น ฝ่ายเกียกือซึ่งเข้าไปค้างอยู่ข้างในครั้นได้ยินระฆังก็ตกใจ คิดว่าเห็นจะมีเหตุแก่เจ้าเมืองเจ๋เป็นมั่นคง พอแลเห็นก๋าตี๋คนใช้เจ๋จงก๋งเดินออกมาจึงถามว่าท่านออกมาด้วยธุระอันใด ก๋าตี๋จึงบอกว่าภายในบังเกิดความร้ายขึ้นใหญ่โต ท่านจงเร่งเข้าไปโดยเร็วเถิด เกียกือจึงร้องว่า ถ้าดังนั้นเพลานี้ก็คํ่ามืด ท่านจงส่งเทียนมาให้เรา ก๋าตี๋ก็แกล้งทำให้เทียนตกลงเทียนนั้นก็ดับแล้วฉวยเทียนเดินไปจุดไฟ เกียกือครั้นจะคอยเพลิงก็กลัวจะช้า มือหนึ่งถือดาบค่อยย่องคลำเข้าไปถึงประตูชั้นกลาง พอสะดุดเชือกซึ่งพวกทหารซุยเกี๋ยงขึงไว้ล้มลง ซุยเกี๋ยงเห็นดังนั้นก็สะอึกเข้าไปเอาดาบฟันเกียกือตาย
ฝ่ายตงก๊กเอียงซึ่งเป็นพี่ชายนางซงขยง เป็นใจเข้าด้วยซุยทู้ครั้นได้ยินเสียงระฆังก็เข้าใจว่าการข้างในสำเร็จแล้ว จึงแสร้งออกมาชวนจิ๋วโต๋กับขุนนางซึ่งอยู่ภายนอกว่า ท่านจะมานั่งให้เจ็บหลังไยเชิญไปรับประทานสุรากับข้าพเจ้าให้สบายดีกว่า จิ๋วโต๋กับขุนนางทั้งปวงหามีความสงสัยไม่ ก็วางอาวุธสำหรับมือลงไว้แล้วก็เดินเข้าไปเสพสุราในห้องระเบียงกับตงก๊กเอียง ขณะนั้นจิ๋วโต๋ได้ยินเสียงระฆังข้างในประหลาด ก็ถามว่าเหตุใดข้างภายในจึงตีระฆัง ตงก๊กเอียงจึงแสร้งบอกว่า เจ๋จงก๋งเสพสุรากับนางซงขยงวันนี้สิ้นวิตกสนุกสบายนัก จึงตีระฆังเป็นจังหวะขับร้องเล่น จิ๋วโต๋จึงว่าเสียงก๊กสิป่วยอยู่ เจ๋จงก๋งมาเยี่ยมไข้ทำดังนี้สมควรกับผู้ใหญ่แล้วหรือ ตงก๊กเอียงตอบว่าเสียงก๊กป่วยยังก็แต่จะตายอยู่แล้ว จะกลัวเกรงอันใดมี ขณะเมื่อพูดกันอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงระฆังอีก ตงก๊กเอียงกลัวจิ๋วโต๋จะสงสัยจึงแสร้งว่าท่านทั้งปวงจงเสพสุราอยู่ที่นี่ให้สบาย ข้าพเจ้าจะเข้าไปดูเจ๋จงก๋ง เผื่อจะเมาสุรามาก ว่าแล้วก็ลุกเดินเข้าไป จิ๋วโต๋กับขุนนางทั้งปวงก็ยิ่งมีความสงสัยมากขึ้น ต่างคนต่างก็ไปหยิบเอาอาวุธของตัวก็หาได้ไม่ ด้วยพวกตงก๊กเอียงเก็บเอาไปเสีย จิ๋วโต๋ยิ่งตกใจนัก จึงว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า เห็นเราท่านทั้งปวงจะพากันตายเสียวันนี้ แล้วก็พากันเที่ยวหาอาวุธจะเข้าไปช่วยเจ๋จงก๋ง พอเดินคลำไปพบเกวียนเล่มหนึ่ง บรรทุกศิลาเต็มอยู่ที่มืด จึงหยิบเอาศิลาคนละก้อนสองก้อนแล้วรีบเข้าไปภายใน มีขุนนางคนหนึ่งชื่อโลอี๋น วิ่งหนีออกมาสะดุดเกวียนเข้าขาหัก ล้มลงหมอบอยู่ที่นั้น แต่ตัวกงซุนเหงานั้นเข้าถอนเอาหลักผูกม้า ถือเป็นอาวุธพากันทำลายประตูเข้าไป พอพบซุยเสงซุยเกี๋ยงพี่น้องสองคนพาทหารพ้นออกมา กงซุนเหงาก็เอาหลักม้าตีถูกซุยเสงแขนหักข้างหนึ่ง ซุยเกี๋ยงก็เอาทวนแทงถูกกงซุนเหงาล้มลงตาย แล้วซุยเกี๋ยงรีบออกมาพบโลอี๋นขาหักล้มอยู่ก็เอาทวนแทงซ้ำไปตายอีกคนหนึ่ง จิ๋วโต๋รบมาถึงข้างในแลเห็นตงก๊กเอียงก็โกรธนัก ก็เอาก้อนศิลาปาไปจนสิ้นมือ แล้วชิงเอาทวนจากทหารที่ยืนอยู่เหล่านั้นได้เล่มหนึ่ง ก็ตรงเข้าไปจะแทงตงก๊กเอียง ตงก๊กเอียงจึงร้องว่าท่านทั้งปวงจงหยุดฟังเราก่อน อันเจ๋จงก๋งนั้นเป็นคนชั่วไม่อยู่ในสัจธรรม หามีเมตตากับเราท่านไม่ เราจะมาฆ่าฟันกันเองตายเสียเปล่าไม่ต้องการ จงช่วยกันคิดอ่านหาเจ้านายมาตั้งจัดแจงการแผ่นดินใหม่จะได้มีชื่อเสียงสืบไปภายหน้า ผู้มีปัญญาจึงจะสรรเสริญ
จิ๋วโต๋ได้ฟังดังนั้นก็ทิ้งทวนลงถอนใจใหญ่แล้วว่า เราเป็นคนพลัดมาแต่เมืองอื่น หมายจะฝากชีวิตกับเจ๋จงก๋งเหมือนบิดามารดา บัดนี้ตามเจ้าออกมาก็รักษาไว้ไม่ได้ ปล่อยให้เป็นอันตรายดังนี้ไม่สมควร เราจะอยู่พึ่งผู้ใดเล่า วันนี้จะเอาชีวิตสนองคุณเจ๋จงก๋งจึงจะชอบ ว่าแล้วก็เอาศีรษะโดนเสาศิลาหลายทีจนเสาหักศีรษะก็แตกตาย ฝ่ายเปียซือซึ่งเป็นขุนนางรักษาวังครั้นแจ้งความว่าเจ๋จงก๋งหลงกลซุยทู้ ซุยทู้คิดฆ่าเสียแล้ว ก็มีความอาลัยร้องไห้รักเป็นอันมาก แล้วเชือดคอตายเสียที่ประตูตึกเจ๋จงก๋ง ห่องกูขุนนางผู้หนึ่งคิดกตัญญูดังเปียซือก็ผูกคอตายเสียที่บ้าน ฝ่ายต๊กหูกับเสียงอุ๊นขุนนางสองคนครั้นแจ้งข่าวว่าเจ๋จงก๋งไปบ้านซุยทู้ ซุยทู้คิดฆ่าเสียก็ตกใจ จึงพากันไปบ้านซุยทู้ปรารถนาจะดูศพเจ๋จงก๋ง ครั้นไปถึงกลางทางได้ยินข่าวว่าเกียกือเพื่อนรักของตัวตายก็เสียใจร้องไห้รักเป็นอันมาก จึงชวนกันเชือดคอตายเสียที่นั้น
ยังมีขุนนางซึ่งเป็นพรรคพวกกตัญญูกับเจ๋จงก๋งสองคน ชื่ออองโห โลโปกุ้ย อองโหจึงปรึกษากับโลโปกุ้ยว่าเราทุกวันนี้ก็ได้พึ่งเจ๋จงก๋ง เดี๋ยวนี้เจ๋จงก๋งก็ตายเราจะพึ่งผู้ใด เราตายตามเจ๋จงก๋งไปพึ่งกันเมืองผีเถิด จะอยู่ไปอ้ายพวกขบถมันจะคิดทำร้ายเรา โลโปกุ้ยจึงว่าท่านคิดดังนี้ไม่ชอบ ชีวิตเป็นของหายากยังไม่ควรจะตายอย่าเพ่อให้ตายเสีย สติปัญญายังมีอยู่จงคิดไปหาที่พึ่งอื่นพอให้พ้นภัย แล้วค่อยฟังข่าวดูว่าผู้ใดเป็นเจ้าเมืองใหม่มีใจอารีจึงค่อยพากันกลับมา อองโหจึงว่าท่านคิดนี้ชอบนัก ถ้ากระนั้นท่านกับเราจงสาบานกันเสียว่าถ้าผู้ใดกลับมาเมืองได้ดีแล้วอย่าลืมกัน แล้วสาบานว่าจะเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกันเสร็จแล้ว อองโหก็หนีไปอยู่เมืองกี๋ เมื่อโลโปกุ้ยจะหนีไปนั้น จึงเรียกโลโปปีผู้น้องมาสั่งว่า ธรรมดาขุนนางซึ่งกินเบี้ยหวัดของเจ้านาย เจ้านายเลี้ยงไว้ปรารถนาจะได้เป็นเพื่อนตัว บัดนี้มีผู้ทำร้ายเจ้านายตาย เราช่วยป้องกันไม่ได้ก็เป็นความชั่วของเรา อนึ่งเราจะฆ่าตัวตายตามเจ้าให้ลือชื่อไปภายหน้าก็หาประโยชน์ไม่ ถ้ารักษาชีวิตไว้ได้หวังที่จะได้แก้แค้นแทนเจ้าเห็นจะดีกว่า พี่เป็นคนสำคัญกว่าจะต้องหลบไปอาศัยอยู่เมืองอื่น เจ้าจงอยู่ในเมืองนี้คิดประจบประแจงฝากตัวซุยทู้เค่งหองสองคนนั้นให้รักใคร่สนิทอย่าให้มีใจรังเกียจเลย แล้วจงบอกไปให้พี่รู้ ถ้าพี่ได้กลับมาสนองคุณเจ้าสำเร็จแล้ว ถึงจะตายก็ไม่เสียดายแก่ชีวิต สั่งน้องแล้วลอบหนีไปอาศัยอยู่เมืองจิ้น โลโปปีก็อุตส่าห์ไปฝากตัวให้เค่งหองใช้สอยสนิท เค่งหองก็ตั้งให้โลโปปีเป็นทหารสำหรับรักษาตัวเช้าเย็น แต่สินเสียนงูนั้นหนีไปทำราชการอยู่ ณ เมืองฌ้อ
ขณะเมื่อซุยทู้ฆ่าเจ้าเมืองเจ๋ครั้งนั้น ขุนนางที่เหลืออยู่ต่างคนปิดประตูบ้านคอยฟังข่าวดีร้าย แต่วันเอ๋งขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือนคนหนึ่งรีบมา ณ บ้านซุยทู้เข้ากอดศพเจ๋จงก๋ง ซบศีรษะลงกลิ้งเกลือกร้องไห้รักเป็นอันมาก จึงโจนขึ้นไปจากพื้นสามครั้งแล้วคำนับศพลากลับไปบ้าน
ฝ่ายซงบูกี๋วซึ่งเป็นขุนนางญาติของนางซงขยงเห็นดังนั้น จึงว่ากับซุยทู้ว่า เราฆ่าวันเอ๋งเสียเถิดหรือ ซุยทู้จึงว่า อย่าทำวุ่นวาย วันเอ๋งคนนี้อาณาประชาราษฎร์รักใคร่มาก วันเอ๋งตายคนหนึ่งดุจดังทำร้ายคนทั้งเมืองเหมือนกัน เราจะหาความสุขมิได้ ฝ่ายวันเอ๋งเมื่อมาจากบ้านซุยทู้ก็รีบไปบ้านตันซูบู ครั้นถึงจึงถามว่า ท่านก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ เหตุไรจึงนิ่งให้บ้านเมืองว่างไม่มีเจ้านายหลายวันนี้สมควรแล้วหรือ ตันซูบูจึงว่าราชการในบ้านเมืองเราทุกวันนี้ก็สิทธิ์ขาดอยู่กับโกจีก๊กแฮสองคน การอาญาสิทธิ์ฝ่ายทหารเล่าก็สำเร็จเด็ดขาดอยู่กับซุยทู้เค่งหอง วันเอ๋งได้ฟังดังนั้นก็เสียนํ้าใจลาตันซูบูกลับไปบ้าน
ฝ่ายตันซูบูจึงคิดแต่ในใจว่า เมืองเจ๋ทุกวันนี้คนดีมีสติปัญญาหามีไม่ มีแต่คนชั่วอกตัญญู เราจะอยู่ร่วมบ้านเมืองกับไอ้พวกนี้ก็จะพาเสียชื่อด้วย ว่าแล้วก็อพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่ ณ เมืองซอง ฝ่ายวันเอ๋งครั้นแจ้งว่าตันซูบูหลบตัวไปอยู่เมืองอื่น ไม่มีที่จะปรึกษาหารือก็รำคาญใจ วันหนึ่งทำเดินไปหาโกจีก๊กแฮซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการข้างพลเรือน ครั้นถึงต่างคำนับกันแล้ววันเอ๋งจึงถามว่า ทุกวันนี้ท่านทั้งสองก็เป็นผู้ใหญ่สำเร็จราชการ ซึ่งบ้านเมืองว่างเปล่าอยู่ไม่มีเจ้าเป็นหลายวันดังนี้ท่านเห็นสมควรแล้วหรือ ปัญญาท่านจะคิดประการใด โกจีก๊กแฮจึงตอบว่า ท่านไม่รู้หรือราชการบ้านเมืองทุกวันนี้สิทธิ์ขาดอยู่กับซุยทู้เค่งหอง ถ้าสิทธิ์ขาดอยู่กับข้าพเจ้าเหมือนหนหลังที่ไหนการเป็นเช่นนี้ วันเอ๋งได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่คิดว่าเมืองเจ๋นี้เห็นจะสิ้นเชื้อสายตระกูลเจ้าเมืองเก่าเป็นมั่นคง คิดแล้วก็ลาไปบ้าน
ฝ่ายเค่งหองเมื่อคิดกับซุยทู้ทำร้ายเจ้าเมืองเจ๋แล้วก็ยังไม่หายความแค้น จึงใช้เค่งเซียผู้บุตรไปเที่ยวสืบจับลูกหลานพวกพ้องเจ้าเมืองเจ๋มาฆ่าเสียอีกเป็นหลายคน จึงคิดอ่านกับพวกจัดแจงเกวียนกระบวนแห่ออกไปรับซุยทู้เข้ามาในเมืองที่เจ้าเมืองเจ๋ออกว่าราชการ แล้วให้คนไปเชิญโกจีกับก๊กแฮเข้ามาปรึกษาว่า เจ๋จงก๋งเป็นคนชั่วถึงแก่กรรมแล้ว บัดนี้บ้านเมืองว่างอยู่ท่านจะเห็นผู้ใดที่จะว่าราชการเมืองได้เล่า โกจีกับก๊กแฮจึงว่า การทั้งนี้ก็สุดแต่ท่านทั้งสองจะจัดแจงเถิด เค่งหองจึงว่าบรรดาข้าราชการในเมืองเจ๋ทุกวันนี้ ที่ใครจะหลักแหลมเข้มแข็งมีผู้กลัวเกรงมากเหมือนเสียงก๊กซุยทู้นั้นหามีไม่ การครั้งนี้ก็สุดแต่เสียงก๊กจะจัดแจง ข้าพเจ้าทั้งปวงก็จะปฏิบัติตาม
ซุยทู้ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านทั้งปวงยอมให้เราเป็นผู้จัดแจงเราก็ขอบใจอยู่แล้ว ทุกวันนี้ซึ่งจะสืบเอาเชื้อสายของเจ้าเมืองเจ๋ผู้ตายมารักษาแผ่นดินสืบไปนั้นไม่มีตัวแล้ว เราเห็นแต่หงอกีวบุตรเจ้าเมืองเจ๋คนเก่าซึ่งร่วมบิดากับเจ้าเมืองเจ๋ผู้ตายคนเดียว หงอกีวเป็นบุตรของบุตรสาวขุนนางที่ไตหูอยู่เมืองฬ่อ ถ้าเราตั้งหงอกีวเป็นเจ้าเมืองแล้ว เมืองฬ่อกับเมืองเราก็จะได้เป็นพวกพ้องกันสืบไป ขุนนางทั้งปวงก็เห็นด้วย ครั้นฤกษ์ดีก็จัดแจงล้อเกวียนกระบวนแห่ พาขุนนางพลเรือนออกไปรับหงอกีวที่บ้านเข้ามาตั้งเป็นเจ้าเมืองเจ๋ชื่อเก๋งก๋ง
เก๋งก๋งนี้เมื่อเป็นเจ้าเมืองอายุยังเด็กนัก หารู้จักขนบธรรมเนียมราชการบ้านเมืองไม่ ซุยทู้ก็เป็นผู้สำเร็จราชการทั้งเมืองเจ๋ ตั้งตัวเองเป็นเสียงก๊กใหญ่ฝ่ายขวา เค่งหองนั้นเป็นเสียงก๊กรองฝ่ายซ้าย ขุนนางนอกนั้นให้คงอยู่ตามที่ดังเก่า ถึงวันดีซุยทู้ก็ให้ประชุมขุนนางฝ่ายทหารพลเรือนพร้อมกันที่ตำแหน่งเฝ้าเก๋งก๋ง แล้วซุยทู้จึงประกาศว่าเก๋งก๋งทุกวันนี้ยังเยาว์อยู่ หามีสติปัญญารอบคอบไปในราชการบ้านเมืองไม่ ท่านทั้งปวงจะทำราชการกับเก๋งก๋งสืบไป จงเอาโลหิตออกสาบานตัวให้ทั่วทุกคน เก๋งก๋งจึงวางใจสนิท ขุนนางทั้งปวงก็กระทำตามเสียงก๊กสั่ง แล้วสาบานตัวว่าข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอทำราชการซื่อสัตย์สุจริตเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกับเสียงก๊กทั้งสอง ถ้ามิสัจดังนี้ก็ขอให้เทพยดาประหารชีวิตข้าพเจ้าทั้งหลายให้ตายตามกันดุจตะวันตกเมื่อเพลาเย็นนั้นเถิด
แต่วันเอ๋งนั้นสาบานตัวผิดกับคนทั้งปวง ในคำสาบานนั้นว่า ท่านทั้งปวงจะมีใจกตัญญูต่อเจ้านาย และมีเมตตาแก่ประชาราษฎร์ นํ้าจิตข้าพเจ้าไม่สุจริตเหมือนดังว่า ก็ให้เทพยดาเป็นสักขีทิพยพยานในคำสาบานข้าพเจ้าเถิด ซุยทู้กับเค่งหองได้ฟังวันเอ๋งสาบานประชดดังนั้นก็หน้าตึงเคืองอยู่ โกจีกับก๊กแฮเห็นเสียงก๊กทั้งสองเคืองวันเอ๋งกลัวจะเกิดความขึ้นในที่ประชุมจะเสียการใหญ่จึงแสร้งร้องขึ้นว่า ท่านทั้งสองทำการทั้งนี้ด้วยสุจริตต่อแผ่นดินโดยแท้ หามีที่สงสัยไม่แล้ว ท่านทั้งปวงจงสงบเถิด
ขณะเมื่อเจ๋จงก๋งตายนั้น เหลปีก๋งเจ้าเมืองกี๋มาคำนับศพเจ๋จงก๋งอยู่ยังหาได้กลับเมืองไม่ เสียงก๊กซุยทู้เค่งหองสองคนจึงพาเข้ามาคำนับเก๋งก๋ง สาบานเป็นมิตรกันสืบไป แล้วก็สั่งเหลปีก๋งกลับไปเมืองกี๋ แล้วซุยทู้จึงสั่งซงบูกี๋วไปเก็บศพเจ้าเมืองเจ๋กับศพขุนนางที่บรรดาตายด้วยกันนั้นไปฝังเสียนอกเมืองทั้งสิ้น
ขณะเมื่อเจ๋จงก๋งตายนั้น ไทสือเป๊กซึ่งเป็นผู้จดหมายเหตุจึงจดว่า ณ วันเดือนเจ็ดข้างขึ้นปีนั้น เสียงก๊กซุยทู้ฆ่าเจ้าเมืองเจ๋ชื่อเจ๋จงก๋งตาย เพลาวันหนึ่งซุยทู้เข้าไปเที่ยวเล่น ณ ตึกอาลักษณ์ เห็นหนังสือจดชื่อตัวไว้ดังนั้นก็โกรธ จึงเรียกไทสือเป๊กเข้ามาว่า ท่านจงแปลงจดหมายเหตุเสียใหม่ว่าเจ๋จงก๋งเป็นไข้ตาย ไทสือเป๊กจึงว่า ซึ่งจะให้แปลงจดหมายเหตุอย่างท่านว่านั้นไม่ได้ สุดแล้วแต่จะโปรดเถิด ซุยทู้ก็สั่งให้เอาไทสือเป๊กไปฆ่าเสียแล้วเอาน้องไทสือเป๊กที่สองชื่อตงมาตั้งเป็นไทสือ ให้แปลงจดหมายเสีย ไทสือตงก็ไม่แปลงขืนจดลงดังเก่า ก็ให้ฆ่าเสียอีกแล้วเอาน้องคนที่สามชื่อยกมาตั้งก็จดหมายดังเก่า ก็สั่งให้เอาไปฆ่าเป็นสามคนด้วยกัน ยังแต่น้องไทสือเป๊กที่สี่ชื่อกุย เอามาตั้งเป็นไทสือกุย ไทสือกุยก็จดว่า ซุยทู้ฆ่าเจ๋จงก๋งตายเหมือนพี่ชายจดนั้น ซุยทู้จึงว่าอันพี่ชายตัวตายมาเป็นสามคนแล้ว ตัวไม่รักชีวิตหรือจึงขืนทำดังนี้ ตัวจงแปลงเสียหน่อยเถิด เราจะบำเหน็จรางวัลชุบเลี้ยงให้ถึงขนาด ไทสือกุยจึงว่าอย่างธรรมเนียมแต่โบราณว่า บุคคลผู้ใดจะเป็นขุนนางรับราชการที่ไทสือ ก็ให้มีใจสัตย์ซื่อโดยสุจริตอย่าทำให้เส้นพู่กันผิดกับความจริง ดีและชั่วอย่าให้กลัวความตาย ถึงปู่ย่าตายายและบิดามารดาและลูกหลานพวกพ้องทั้งปวง ถ้าทำการทุจริตและสุจริตก็ต้องมิได้คิดแก่หน้า ถึงท่านไม่เมตตาจะฆ่าเสียก็จะก้มหน้าตาย รักษาจดหมายไว้ในแผ่นดินแล้วแต่จะโปรด อย่างธรรมเนียมก็มีอยู่ไม่สู้นานนักครั้งจิ้นเลงก๋งเจ้าเมืองจิ้น เตียวฉวนซึ่งเป็นน้องร่วมแซ่เตียวกับเตียวตุน เตียวฉวนฆ่าเจ้าเมืองจิ้นเสียครั้งนั้น ท่านลืมไปแล้วหรือ ตังหอซึ่งเป็นไทสืออยู่เมืองจิ้นก็จดหมายเอาเตียวตุนว่าฆ่าเจ้าเมืองเสีย เพราะเตียวตุนเป็นผู้สำเร็จราชการหาอยู่รักษาเจ้านายไม่ เตียวตุนก็ยอมให้ไทสือจด ถึงข้าพเจ้าไม่จดอาณาประชาราษฎร์ซึ่งมีสติปัญญาเขาคงเขียนเรื่องราวไว้ ท่านอย่าซ่อนเลยไม่มิดแล้ว
ซุยทู้ได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ นิ่งอยู่ประมาณครู่หนึ่งแล้วตอบว่า ซึ่งเราทำการทั้งนี้มิใช่จะคิดเอาประโยชน์แก่ตัวนั้นหามิได้ ทำการทั้งนี้ก็เพราะเมตตากับอาณาประชาราษฎร์ ด้วยเจ๋จงก๋งเป็นคนชั่วหามีความเมตตาแก่เราท่านทั้งปวงไม่ ถ้าละไว้ราษฎรในเมืองเจ๋คงจะไม่มีความสุขท่านก็รู้อยู่เอง ท่านเห็นดีแล้วก็ตามใจท่านเถิด ไทสือกุยมิได้ตอบประการใดก็คำนับลาไปบ้าน ถึงกลางทางพบลำซูซึ่งเป็นขุนนางผู้น้อยซึ่งอยู่ในอาลักษณ์วิ่งมาถามว่า ข้าพเจ้ากลัวว่าซุยทู้จะฆ่าท่านเสียอีกจะหามีผู้จดหมายเหตุนี้ไม่ บ้านเมืองจะแปรปรวนไป ข้าพเจ้าจึงรีบมาหวังว่าจะได้รับราชการแทนท่านต่อไป ไทสือกุยจึงว่าท่านอย่ามีความวิตกเลย อย่างธรรมเนียมของเรานั้นไม่แปรปรวน ว่าแล้วต่างคนต่างก็ไปบ้าน ฝ่ายซุยทู้กลับไปบ้านไม่มีความสบายด้วยกลัวชื่อตัวจะชั่วไปภายหน้า ก็ให้ไปจับเอาตัวเกียกือซึ่งเป็นคนใช้ของเจ๋จงก๋ง เป็นคนสนิทของตัวมาฆ่าเสียให้หายคาวเหมือนเตียวตุนเมืองจิ้น
ฝ่ายจิ้นเปงก๋งเจ้าเมืองจิ้น ซึ่งนัดกองทัพหัวเมืองจะมาตีเมืองเจ๋ค้างน้ำมาอยู่ครั้งนั้น ครั้นเห็นน้ำแห้งลงแล้วก็ชวนหัวเมืองซึ่งนัดไว้เก่านั้นให้ยกกองทัพมาพร้อมกันที่ตำบลอีหยีจะมาตีเมืองเจ๋ เสียงก๊กซุยทู้แจ้งข่าวดังนั้นก็ตกใจ จึงใช้เค่งหองไปเจรจากับจิ้นเปงก๋งว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในเมืองเจ๋นี้ รู้อยู่ว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ได้มีคุณไว้กับเจ้าเมืองเจ๋นายข้าพเจ้า นายของข้าพเจ้าไม่ดีเองท่านจึงต้องยกทัพมาเหนื่อยยาก ข้าพเจ้าทั้งปวงจึงพร้อมใจกันจับเอาตัวเจ๋จงก๋งฆ่าแก้แค้นแทนท่าน เชิญท่านยกกลับไปเมืองเถิด อันเก๋งก๋งซึ่งเป็นเจ้าเมืองเจ๋ใหม่นี้ก็ได้เป็นเชื้อสายกับเจ้าเมืองฬ่อ และก็หมายจะฝากตัวกับท่านสืบไป อันตำบลเตียวโก๋นั้นข้าพเจ้าก็จะคืนให้ท่านด้วย แล้วจะจัดเครื่องมโหรีอย่างดีในเมืองเจ๋มาคำนับท่านต่อภายหลัง
จิ้นเปงก๋งได้ฟังมีความยินดี รับว่าจะกลับไป เค่งหองก็เอาเนื้อความมาแจ้งกับซุยทู้ ซุยทู้ก็จัดแจงสิ่งของตามที่ว่าไว้จะให้เจ้าเมืองจิ้นและเสบียงอาหารข้าวของซึ่งจะกำนัลหัวเมืองบรรดาซึ่งมากับเจ้าเมืองจิ้นเป็นอันมาก ก็มอบให้คนใช้เอาออกมาคำนับเจ้าเมืองจิ้นกับหัวเมือง เจ้าเมืองจิ้นก็พาหัวเมืองทั้งปวงเลิกทัพกลับไป ตั้งแต่นั้นมาเมืองจิ้นกับเมืองเจ๋ก็ขาดศึกกันมา
ฝ่ายสิดโต๋ซึ่งเป็นทหารอยู่เมืองเจ๋ หนีมาอยู่เมืองโอยก่อนนั้น ครั้นรู้ว่าจิ๋วโต๋กับเฮงโก้ยตายก็คิดจะกลับมาเมืองเจ๋ดังเก่า โอยเหียนก๋งแจ้งกิตติศัพท์ดังนั้นก็เสียดายด้วยเป็นคนมีฝีมือ จึงใช้ให้กงซุนเต๋งไปพูดจาเกลี้ยกล่อม สิดโต๋ก็ยอมอยู่ โอยเหียนก๋งจึงตั้งให้เป็นทหารเอกอยู่ในเมืองโอย
ฝ่ายหงออ๋องเจ้าเมืองหงอเป็นอริกันอยู่กับฌ้อคังอ๋อง ครั้นถึงวันดีก็ยกกองทัพจะไปตีเมืองฌ้อ ครั้นยกมาถึงเมืองโกเจ๋าก็ขับทหารเข้าระดมตี งูสินซึ่งเป็นทหารรักษาหน้าที่อยู่บนเชิงเทินเมืองโกเจ๋า แลเห็นหงออ๋องขี่เกวียนขับทหารถลำเข้ามาริมเชิงกำแพง ก็เอาเกาทัณฑ์ยิงลงไปถูกหงออ๋องตาย เมื่อหงออ๋องจะตายนั้น สั่งขุนนางไว้ว่าให้ตั้งอีเจ้เป็นเจ้าเมืองแทนตัว ขุนนางเมืองหงอก็เลิกกองทัพกลับมาเมือง ตั้งอีเจ้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองตามหงออ๋องสั่ง
ขณะเมื่ออีเจ้ได้เป็นเจ้าเมืองแล้วมิได้คิดจะทำการสิ่งใด เพลาคํ่าก็จุดธูปเทียนบวงสรวงเทพยดา ขออย่าให้ชีวิตตัวยืดยาว จงตายเสียในวันนี้พรุ่งนี้เถิด ขุนนางทั้งปวงแจ้งความดังนั้นก็นึกประหลาด จึงพากันเข้าไปคำนับอีเจ้เจ้าเมืองแล้วถามว่า อย่างธรรมเนียมคนทั้งปวง เขาบูชาเทวดาก็มีแต่ขออายุให้ยืนยาว นี่ท่านมาขอให้ตายเสียเร็วๆ นั้นด้วยเหตุสิ่งใด อีเจ้จึงตอบว่าเดิมบิดาเราได้เป็นเจ้าเมืองนี้มีบุตรชายสี่คน เมื่อจะตายสั่งให้พี่ใหญ่เราเป็นเจ้าเมือง แล้วให้พี่ถัดเราและตัวเรากับตัวน้องสุดท้องให้ได้เป็นเจ้าเมืองหงอทุกคน บัดนี้ได้เป็นสามคนทั้งตัวเราแล้ว เรามีความวิตกด้วยน้องสุดท้องจะไม่ได้เป็นเจ้าเมืองเพราะกลัวอายุเราจะยืดยาว น้องจะตายเสียก่อน จึงบนเทวดาว่าให้ตัวตายเสียเร็วๆ น้องจะได้แทนที่ เราพี่น้องทั้งสามจะได้มีชื่อว่ามีกตัญญูมิได้ล่วงคำบิดาสั่ง
ฝ่ายขุนนางเมืองโอยสองคนชื่อซุนเลียงฮูหนี่ง ชื่อเป๊กสิดหนี่ง ขุนนางสองคนนี้สิทธิ์ขาดอยู่ในเหียนก๋งเจ้าเมืองโอย ครั้นเห็นเหียนก๋งทำการไม่ชอบใจตัวก็เนรเทศเสีย แล้วเอากงจูเผียวผู้น้องเหียนก๋งมาตั้งเป็นเสียงก๋งเจ้าเมืองโอย เป๊กสิดก็ได้สำเร็จราชการมาช้านานจนตัวป่วยลง คิดถึงความชั่วของตัวซึ่งพาโลถอดเจ้าเมืองเก่าเสียนั้นก็เสียใจ คิดจะทำการแก้ตัวก็หารู้แห่งจะทำประการใดไม่ด้วยตัวป่วยหนัก จึงเรียกเป๊กฮีผู้บุตรเข้ามาสั่งว่า แต่ต้นแซ่ของเรามาได้มีความชอบไว้ในแผ่นดินเมืองโอยเป็นอันมาก จนถึงตัวเรามาทำเสียไปหน่อยหนึ่งด้วยความเจ้าเมืองเก่า ถ้าบิดาหาบุญไม่แล้วเจ้าจงคิดหาความผิดถอดเสียงก๋งออกเสียจากที่ ไปรับเอาเหียนก๋งซึ่งบิดาถอดมาตั้งให้เป็นเจ้าเมืองดังเก่าจึงจะสิ้นชื่อชั่วในตัวบิดา เป๊กฮีก็รับคำ เป๊กสิดก็ขาดใจตาย เป๊กฮีก็ได้เป็นที่แทนบิดา คิดถึงคำบิดาสั่งนั้นไม่ขาด คอยดูจะหาความผิดเสียงก๋งทุกวันก็หาเห็นโทษสิ่งใดไม่
ขณะนั้นพระเจ้าจิวเลงอ๋องเสวยราชสมบัติได้ยี่สิบสี่ปี เหียนก๋งซึ่งเป็นเจ้าเมืองโอยเก่า เป๊กสิดเนรเทศเสียนั้นไปอาศัยอยู่เมืองเจ๋ จึงขอกองทัพเจ้าเมืองเจ๋ยกมาตี ได้ตำบลอีหยีซึ่งขึ้นกับเมืองโอยได้แล้ว ก็ใช้กงซุนเต๋งลอบเข้าไปหาเป๊กฮีในเมืองโอยบอกว่า ท่านก็ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองโอยแทนบิดา อันตัวเรานี้บิดาท่านไม่ชอบใจก็ถอดเราออกเสียจากที่เจ้าเมือง ยกเสียงก๋งขึ้นเป็นแทนที่เรา บัดนี้บิดาท่านก็ถึงแก่ความตายแล้ว สั่งเสียท่านไว้ให้ทำนุบำรุงเสียงก๋งอย่างไร ท่านจงกลับคำสั่งบิดามาทำนุบำรุงให้เราได้เป็นเจ้าเมืองดังเก่าแล้ว เราจะให้ท่านเป็นขุนนางสำเร็จราชการทั้งเมืองโอย เราจะขออาศัยแต่พอเซ่นปู่ย่าตายายต้นแซ่ของเรา ซึ่งเหียนก๋งว่ากล่าวบนบานเป๊กฮีไปทั้งนี้ เพราะหารู้ไม่ว่าเป๊กสิดสั่งเป๊กฮีไว้ให้รับตัวมาเป็นเจ้าเมืองใหม่
ขณะเมื่อเป๊กฮีแจ้งความเหียนก๋งสั่งมาว่าดังนั้นก็มีความยินดี ด้วยได้สมคำบิดาสั่งโดยง่ายแล้วได้ลาภโตใหญ่ด้วย จึงคิดว่าซึ่งเหียนก๋งมาประจบประแจงเราดังนี้ก็เพราะอยากจะใคร่ได้เมืองโอย ได้แล้วจะกลับคำเสียดอกกระมัง ถ้าได้ตัวก๋งจูจวนเข้ามาพูดกับเราจึงจะเชื่อฟังได้ ด้วยก๋งจูจวนเป็นคนอยู่ในสัจธรรมราษฎรนับถือมาก คิดแล้วก็เขียนหนังสือให้กับก๋งจูต๋ง ฝากไปถึงเหียนก๋งเป็นใจความว่า อันการบ้านนี้มิใช่การเล็กน้อยเป็นการใหญ่ ข้าพเจ้าสติปัญญาน้อยซึ่งจะคิดแต่ผู้เดียวนั้นเหลือกำลังนัก ขอท่านจงให้ก๋งจูจวนซึ่งมีสติปัญญาน้องชายท่านเข้ามาช่วยคิดราชการจึงจะสำเร็จโดยเร็ว
เหียนก๋งได้แจ้งในหนังสือดังนั้นจึงเรียกก๋งจูจวนเข้ามาว่า ตัวเราซึ่งได้สมบัติในเมืองโอยคืนครั้งนี้ ก็เพราะพึ่งสติปัญญาเป๊กฮีผู้เดียว เจ้าจงเข้าไปช่วยคิดอ่านกับเขาหน่อยเถิด ก๋งจูจวนเสียมิได้ก็รับไว้แต่ปากเพราะกลัวความจะกลับกลอก เหียนก๋งจึงซ้ำเตือนอีกเป็นหลายครั้ง ก๋งจูจวนจึงแสร้งตอบว่า ที่ทางส่วยสาอากรสิจะยกให้เป็นสินบนกับเขาสิ้น แล้วจะเข้าไปเป็นเจ้าเมืองเปล่าๆ นั้นหาต้องการไม่ ถ้าฉวยว่าพลิกแพลงไปก็จะเป็นความเท็จกับเป๊กฮี เหียนก๋งจึงว่า ทุกวันนี้เราพี่น้องจะหาที่อาศัยแต่พอเป็นสุขของตัวแท้ก็ทั้งยาก การทั้งนี้เจ้าอย่าวิตกเลยพี่หาให้เจ้าเสียสัจกับเป๊กฮีไม่ ผิดชอบก็ไปรักษาหอไทเบี้ยวจนสืบลูกหลานสิ้นตระกูล ก๋งจูจวนจึงว่าถ้าใจท่านเป็นหนึ่งแน่แล้ว ข้าพเจ้าก็จะลาไปหาเป๊กฮีตามท่านใช้ ว่าแล้วก็เข้าไปในเมืองถึงบ้านเป๊กฮีก็แจ้งความตามเหียนก๋งสั่งมาทุกประการ
เป๊กฮีได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า การจึงเหียนก๋งว่ามากับท่านดังนี้ ถ้าท่านรู้เห็นเป็นประการใดแล้ว ข้าพเจ้าก็คงจะช่วยให้สมความปรารถนาของเหียนก๋ง ก๋งจูจวนก็ลุกออกไปกลางแจ้งแหงนหน้าขึ้นดูฟ้าแล้วสาบานตัวว่า การครั้งนี้ถ้าข้าพเจ้ากลับถ้อยคืนคำไป ก็อย่าให้ข้าพเจ้าได้อยู่กินข้าวในเมืองโอยสืบไปเลย เป๊กฮีได้ฟังก็มีความยินดีแล้วว่า คำซึ่งท่านสาบานให้เราวันนี้ฉกรรจ์นัก ด้วยรักเราโดยสุจริต เราขอบใจท่านแล้ว ท่านจงออกไปบอกกับเหียนก๋งให้ยับยั้งอยู่ที่ตำบลอีหยีก่อน การในเมืองนี้เราคิดได้ท่วงทีประการใดจึงจะได้ให้คนใช้ลอบไปแจ้งความให้รู้ ก๋งจูจวนก็คำนับลาออกไปแจ้งความแก่เหียนก๋งตามเป๊กฮีสั่งทุกประการ เมื่อก๋งจูจวนลาไปแล้ว เป๊กฮีจึงเอาความซึ่งบิดาสั่งไว้ไปปรึกษากับกูอวนซึ่งเป็นเพื่อนราชการกัน ด้วยกูอวนเป็นคนตรงจะว่ากล่าวประการใดบ้าง
กูอวนได้ฟังเป๊กฮีว่า ก็เอามือปิดหูเสียไม่ขอฟังแล้วว่า เดิมเมื่อบิดาท่านเนรเทศโอยเหียนก๋งเสีย แล้วตั้งเจ้าเมืองเดี๋ยวนี้ขึ้น เราก็หาได้รู้เห็นด้วยไม่ ท่านจะเอาความซึ่งกระทำกันต่อไปนี้มาบอกเราด้วยเหตุสิ่งใดเล่า ทุกวันนี้ท่านก็ได้สำเร็จราชการเป็นผู้ใหญ่แต่ผู้เดียวแล้ว จงทำตามอัชฌาสัยท่านเถิด เป๊กฮีได้ฟังกูอวนว่าดังนั้นก็หาตอบประการใดไม่ แล้วลาไปหาไตหูเจียวออกปักจงอุ๋ยปรึกษาความเหมือนกับกูอวน ไตหูเจียวออกปักจงอุ๋ยได้ฟังดังนั้นแล้วตอบว่า การทั้งนี้ท่านคิดชอบข้าพเจ้าทั้งสองก็เห็นด้วย เป๊กฮีก็มีความยินดี เพราะขุนนางทั้งปวงก็ปรองดองด้วย แล้วก็ลาไปบ้านอิวไจ้ก๊ก เอาความทั้งปวงปรึกษากับอิวไจ้ก๊ก อิวไจ้ก๊กจึงตอบว่า อันเสียงก๋งนี้ได้เป็นเจ้าเมืองมาถึงสิบสองปีแล้ว อาณาประชาราษฎร์ก็อยู่เย็นเป็นสุขหามีความผิดไม่ ซึ่งท่านจะยกออกเสีย และเอาเหียนก๋งซึ่งบิดาท่านถอดเสียนั้น ความผิดจะมิมีกับตัวพ่อลูกหรือ ท่านก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่จงตรึกตรองดูแต่ควร
เป๊กฮีได้ฟังจึงตอบว่า การทั้งนี้มิใช่ข้าพเจ้าจะคิดเอง บิดาข้าพเจ้าเมื่อจะตายสั่งไว้ ครั้นข้าพเจ้านิ่งเสียจะเป็นคนอกตัญญูละเมิดคำสั่งบิดา อิวไจ้ก๊กได้ฟังจึงตอบว่า ถ้าดังนั้นท่านจงงดรอแต่พอข้าพเจ้าได้ออกไปพบเหียนก๋ง ดูกิริยาพาทีจะมีแยบคายประการใดบ้างแล้วจึงค่อยปรึกษากันต่อภายหลัง เป๊กฮีก็เห็นชอบด้วย ครั้นเพลาคํ่าลงอิวไจ้ก๊กเรียกคนใช้สนิทสองสามคนพอเป็นเพื่อนแล้วก็รีบออกไปตำบลอีหยี ขณะเมื่ออิวไจ้ก๊กไปถึงนั้นเป็นเพลาคํ่า เหียนก๋งชำระเท้าจะเข้านอน พอแลเห็นอิวไจ้ก๊กออกมาหาก็มีความยินดีนักจนลืมใส่รองเท้าเดินตีนเปล่าออกมารับอิวไจ้ก๊กแล้วว่า ท่านออกมาจากเป๊กฮีนำข่าวดีมาให้ข้าพเจ้าหรือ
อิวไจ้ก๊กคำนับแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าจะได้ออกมาจากสำนักเป๊กฮีนั้นหามิได้ ข้าพเจ้ามาทั้งนี้เพราะแจ้งข่าวว่าท่านมาอยู่ในแดนเมืองโอย จึงอุตส่าห์เล็ดลอดออกมาเยือนท่านดอก เหียนก๋งได้ฟังอิวไจ้ก๊กว่าก็พิจารณาตรึกตรองดูก็รู้ว่าเป๊กฮีกับอิวไจ้ก๊กจะปรึกษากันเป็นมั่นคง ซึ่งออกมาทั้งนี้ปรารถนาจะดูกำลังเรา คิดแล้วจึงตอบว่า ท่านอย่าพูดจาบิดพลิ้วไปเลย ท่านจงเห็นกับความหนหลัง ช่วยคิดอ่านกับเป๊กฮีให้เราสมความปรารถนาแล้วเราก็จะชุบเลี้ยงท่านให้ถึงขนาด ถึงตัวเป๊กฮีก็ให้คิดถึงที่จะได้สิทธิ์ขาดอยู่ในเมืองโอย ท่านจงนำคำของเราไปบอกด้วยเถิด อิวไจ้ก๊กจึงตอบว่า ธรรมดาผู้มีความปรารถนาจะเป็นเจ้าบ้านภารเมืองนั้น ก็เพราะจะเป็นอิสริยยศสิทธิ์ขาดอยู่ในตนหามีผู้ขัดขวางไม่ นี่ข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ว่าท่านยกเอาราชการทั้งปวงไปบนเป๊กฮีให้สำเร็จอยู่ในเขาแล้ว ท่านจะเป็นเจ้าเมืองเหมือนดังเจว็ดไม้นั้นจะประโยชน์สิ่งใด
เหียนก๋งจึงบอกว่า ท่านไม่รู้หรือ บรรดาผู้มียศที่ได้เป็นเจ้าเมืองนั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง จะนุ่งห่มก็งดงาม จะบริโภคหลับนอนก็ล้วนของดีๆ มีอิสตรีรับใช้ จะไปไหนก็มีคนแห่แหนแน่นหนาหน้าหลังประกอบไปด้วยยศศักดิ์เป็นอันมาก เราจะว่าราชการเองให้หนักอกทำไม เรารักความสุขดังนี้ อิวไจ้ก๊กได้ฟังดังนั้นก็คิดแต่ในใจว่า เหียนก๋งนี้ยังหาทิ้งพยศไม่ ถ้าได้เป็นเจ้าเมืองแล้วราษฎรก็จะได้ความยาก คิดแล้วก็ลาเหียนก๋งไปหาก๋งจูจวน เอาคำซึ่งเหียนก๋งพูดเล่าให้ฟังทุกประการ
ก๋งจูจวนจึงตอบว่า นายเรานี้แต่ได้ความทุกข์ยากมานมนานเปรียบเหมือนได้เสพรสขมแล้วอยากจะใคร่เสพรสหวาน จึงพูดจาเอาแต่ได้อย่างเดียว ลักษณะเจ้านายอยู่ในธรรมเนียมนั้นต้องรู้จักคนดีและชั่ว จะใช้การให้ถูกกับปัญญา ให้รู้อัชฌาสัยโอบอ้อมอารี รักใคร่ในราษฎรให้เหมือนบุตรในอุรา จะเจรจาก็ให้อยู่ในสัตย์ธรรมไม่กลับกลอก พูดอย่างใดทำได้อย่างนั้น ไม่เลี้ยงคนชั่วให้เกินคนดี ชื่อเสียงจึงจะมีไปภายหน้า ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ก็ย่อมรู้ทั่วทุกตัวเจ้าเมืองว่าผิดและชอบ แต่ได้เป็นที่แล้วหารอบคอบไปได้ไม่ โบราณว่าไว้ว่าดีแต่พูดไม่เอาการ คำซึ่งข้าพเจ้าว่านี้ท่านรู้สิ้น อิวไจ้ก๊กก็ลาก๋งจูจวนเข้าไปในเมือง แจ้งความแก่เป๊กฮีว่า ข้าพเจ้าออกไปดูแยบคายเหียนก๋ง เหียนก๋งคิดอ่านพูดจาการงานฟังโสโครกหูนัก ยังหาละพยศเก่าไม่
เป๊กฮีจึงว่าเมื่อท่านออกไปค่ายเหียนก๋งนั้น ได้พบปะพูดจากับก๋งจูจวนบ้างหรือไม่ อิวไจ้ก๊กจึงว่าข้าพเจ้าก็ได้พบกับก๋งจูจวน ก๋งจูจวนคนนี้เป็นคนมีสติปัญญา พูดจาก็อยู่ในขนบธรรมเนียม ถ้าเหียนก๋งเชื่อฟังก๋งจูจวนแล้วก็จะดี ข้าพเจ้ากลัวแต่เหียนก๋งจะหากลับตัวประพฤติตามแบบโบราณเหมือนคำก๋งจูจวนไม่ เป๊กฮีจึงตอบว่า ถึงเหียนก๋งจะละความชั่วเดิมก็ดีมิละก็ดี เราคงจะกระทำตามคำบิดาสั่งการ ทุกวันนี้ เราหาถือเอาเหียนก๋งเป็นประธานไม่ เรายึดเอาก๋งจูจวนซึ่งว่าไว้กับเรานั้นแหละเป็นหลัก อิวไจ้ก๊กจึงตอบว่า ท่านว่านี้ชอบแล้ว อันเราจะทำการครั้งนี้จะมักง่ายนั้นไม่ได้ ด้วยซุนเลียงฮูขุนนางผู้ใหญ่กีดขวางอยู่ เป๊กฮีก็ชอบด้วย การครั้งนี้ถ้าเราได้ช่องเมื่อใดจึงจะเชิญท่านมาปรึกษากัน
ฝ่ายซุนเลียงฮูซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองโอย จึงพาบุตรผู้ใหญ่ชื่อซุนกวยออกไปตั้งอยู่ ณ เมืองเซกซึ่งเสียงก๋งยกให้นั้น แต่ซุนแก๋ ซุนเสียงบุตรที่สองที่สามนี้มีกำลังมาก กระทำราชการอยู่กับเสียงก๋งในเมืองโอย
เสียงก๋งเจ้าเมืองโอยใช้ให้ซุนแก่คุมของกำนัลไปคำนับเมืองเจ๋ อยู่แต่ซุนเสียงผู้เดียว เหียนก๋งรู้ข่าวจึงใช้ให้กงซุนเต๋งเข้าไปหาเป๊กฮี อิวไจ๊ก๊กเห็นหน้ากงซุนเต๋งเข้ามา ได้ทีก็เตือนเป๊กฮีว่าการครั้งนี้ก็ได้ช่องแล้ว ด้วยซุนเลียงฮูออกไปอยู่เมืองเซก ตัวซุนแก๋ก็ใช้ไปเมืองเจ๋ ยังแต่ซุนเสียงคนเดียว เราคิดจับซุนเสียงเสียก่อนแล้วเสียงก๋งก็จะสิ้นกำลังลงการทั้งปวงก็จะสำเร็จโดยง่าย เป๊กฮีก็เห็นชอบด้วย จึงใช้อิวไจ้ก๊กกับกงซุนเต๋งให้คุมทหารไปล้อมบ้านจับตัวซุนเสียง
ฝ่ายซุนเสียงเห็นอิวไจ้ก๊กกับกงซุนเต๋งมาล้อมบ้านดังนั้น ก็แจ้งว่าคนเหล่านี้คิดทำร้ายแก่ตัวและจะชิงเอาสมบัติในเมืองโอยให้เหียนก๋งด้วย จึงเรียกยงจูกับทู้ต้ายทหารรองของตัวเข้ามา สั่งให้คุมคนพันหนึ่งออกไปรักษาประตูบ้าน ขณะนั้นอิวไจ้ก๊กจึงร้องเรียกเข้าไปว่าท่านจงเชิญซุนเสียงออกมาหาเราสักหน่อยเราจะสนทนาด้วย ทู้ต้ายจึงว่าท่านจะมาพูดจาแล้วทำไมจึงยกผู้คนมามากมายดังนี้ จงกลับไปเสีย ถ้ามิกลับเราจะสั่งให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิง อิวไจ้ก๊กก็ถอยออกมาหน่อยหนึ่งแล้ว ก็สั่งให้ทหารรุมกันเข้าไปทลายประตูบ้านซุนเสียง ซุนเสียงจึงสั่งให้ทหารที่แม่นเกาทัณฑ์ระดมยิงลงไป ถูกทหารอิวไจ้ก๊กล้มตายหลายคน ยงจูเห็นได้ทีก็เปิดประตูคุมทหารรุกไล่ออกมา ซุนเสียงขึ้นม้าตามไล่ออกไปทันอิวไจ้ก๊กแล้วเอาขอเหล็กยาวเกี่ยวเกวียนอิวไจ้ก๊กไว้ อิวไจ้ก๊กจึงเรียกให้กงซุนเต๋งเอาเกาทัณฑ์ยิงซุนเสียง กงซุนเต๋งยิงไปถูกอกซุนเสียง ยงจูกับทู้ต้ายสองคนเข้าช่วยนายป้องกันเอาเข้าไปในบ้านได้
อิวไจ้ก๊กก็ถอยกลับมาแจ้งความแก่เป๊กฮีว่า อันบ้านซุนเสียงนี้แน่นหนาโตใหญ่ ตัวซุนเสียงเข้มแข็ง วันนี้ถ้าไม่ได้กงซุนเต๋งแล้ว ข้าพเจ้าเกือบจะเสียที เป๊กฮีจึงว่า เพลานี้ซุนเสียงก็ถูกเกาทัณฑ์กงซุนเต๋งเจ็บปวดนักเห็นพวกพ้องมันจะท้อใจอยู่แล้ว เพลาคํ่าวันนี้ตัวเราจะไปด้วยช่วยกันล้อมบ้านกระทำการให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จเราก็ไม่ขออยู่ดูหน้าชาวเมืองโอยสืบไป ว่าแล้วก็สั่งให้คนใช้ไปเอาเกวียนมาบรรทุกทรัพย์สิ่งของผ้าผ่อนบุตรและภรรยาออกไปพักอยู่นอกเมืองก่อน แล้วสั่งให้คนสนิทไปสอดแนมดูบ้านซุนเสียง เพลาพลบคํ่าคนใช้กลับมาแจ้งความว่าในบ้านซุนเสียงนั้นหาเห็นคิดการสิ่งใดไม่ ได้ยินแต่คนร้องอื้ออึงอยู่ เป๊กฮีได้แจ้งดังนั้นแล้วก็มีความยินดีว่าซุนเสียงถูกเกาทัณฑ์ตายเป็นมั่นคงจึงมีเสียงร้องไห้อยู่ฉะนี้ พอปักจงอุ๋ยซึ่งเป็นพวกพ้องของเป๊กฮียกทหารมาช่วยเป๊กฮี บอกเป๊กฮีว่าซุนเสียงก็ถึงแก่ความตายแล้ว เหมือนหนึ่งเรือนหาเจ้าของมิได้ ท่านจงยกไปโดยเร็วเถิด เพลานั้นดึกประมาณสองยามเป๊กฮีก็พากงซุนเต๋ง อิวไจ้ก๊ก ปักจงอุ๋ย ยกไปตีบ้านซุนเสียง ก็ทลายประตูเข้าไปได้ในบ้านซุนเสียง
ยงจูทหารซุนเสียงเห็นเหลือกำลังก็หนีออกทางหลังบ้านรีบไปหาซุนเลียงฮูเมืองเซก แต่ทู้ต้ายนั้นถูกอาวุธตายอยู่ในบ้าน พอเพลาสว่างขึ้นเป๊กฮีก็เข้าไปในห้องเห็นซุนเสียงนอนตายอยู่จึงตรงเข้าไปตัดศีรษะซุนเสียงแล้วตรงเข้าไปในที่อยู่เจ้าเมืองโอย ร้องบอกว่าแซ่ซุนนี้ได้เป็นผู้สำเร็จราชการมานานแล้ว บัดนี้คิดขบถข้าพเจ้าจึงตัดศีรษะมาให้ท่าน เสียงก๋งเห็นศีรษะซุนเสียงก็ตกใจแล้วว่า ซึ่งท่านว่าแซ่ซุนเป็นขบถ เหตุใดท่านจึงไม่บอกความให้เราผู้เป็นเจ้าเมืองรู้บ้าง เดิมก็ไม่บอกให้เรารู้ ไปทำตามลำพังใจแล้วเดี๋ยวนี้จะเอาศีรษะซุนเสียงมาให้เราดูไยเล่า
เป๊กฮีได้ฟังเสียงก๋งพูดดังนั้นก็หัวเราะ แล้วชักกระบี่ออกรำร้องว่ากับเสียงก๋งว่า ซึ่งท่านได้เป็นเจ้าเมืองครั้งนี้ เพราะพวกแซ่ซุนเป็นขบถยกท่าน ใช่บิดาเรากับขุนนางทั้งปวงยินยอมยกย่องหามิได้ บัดนี้เจ้าของเก่าเขามาแล้ว อาณาประชาราษฎร์และขุนนางทั้งปวงก็พร้อมใจกันจะคืนสมบัติให้กับเหียนก๋ง ท่านจงออกเสียจากที่เถิด
เสียงก๋งได้ฟังดังนั้นก็โกรธเป็นกำลังแล้วร้องว่า พวกมึงเหล่านี้แหละคิดขบถ ฆ่าขุนนางผู้ใหญ่แล้วมิหนำซ้ำจะมาถอดกูผู้เป็นเจ้าเมืองมาได้สิบสามปีมิได้มีผิด จะสู้ตายอยู่ในที่นี่มิยอมให้มึง แล้วก็ชักกระบี่ออกไล่ฟันเป๊กฮี เป๊กฮีก็หนีออกไปภายนอก ทหารเสียงก๋งเห็นผู้คนพวกเป๊กฮีถือเครื่องศัสตราวุธแน่นหนามากก็ถอยหลังเข้ามา เป๊กฮีก็ร้องประกาศให้ทหารของตัวจับเสียงก๋งให้จงได้
ขณะนั้นบุตรเสียงก๋งคนหนึ่งชื่อก๋งจูกัก ครั้นเห็นเขามาล้อมบิดาดังนั้นก็ชักกระบี่วิ่งออกมาช่วย กงซุนเต๋งก็เอาทวนแทงก๋งจูกักล้มลงตาย พวกทหารเป๊กฮีก็เข้ากลุ้มรุมจับเสียงก๋งได้ให้เอาไปขังไว้ในกรงเหล็กแล้วประกอบยาพิษให้คนสนิทนำมาให้เสียงก๋งกินตาย
ขณะนั้นพระเจ้าจิวเลงอ๋องเสวยราชย์ได้ยี่สิบหกปี เป็นเดือนสี่ข้างขึ้น เป๊กฮีจึงให้คนออกไปรับครอบครัวมาอยู่บ้านดังเก่า แล้วป่าวร้องขุนนางและอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงให้เข้ามาประชุมพร้อมกัน คิดจะจัดการซึ่งจะออกไปรับเหียนก๋งเข้ามาเป็นเจ้าเมือง แล้วเป๊กฮีก็เข้าไปซ่อมแซมที่อยู่เจ้าเมืองซึ่งปรักหักพังให้ใหม่หมดจดงดงามดังเก่า แล้วก็ชวนอิวไจ้ก๊ก ปักจงอุ๋ย กงซุนเต๋งกับขุนนางใหญ่น้อยทั้งปวงตั้งกระบวนแห่ออกไปรับเหียนก๋ง ณ ตำบลอีหยี ครั้นถึงเป๊กฮีกับขุนนางทั้งปวงก็เข้าไปคำนับเหียนก๋ง แล้วเชิญเหียนก๋งชำระกายแต่งตัวใส่เสื้อหมวกอย่างเจ้าเมืองแล้วก็ขึ้นเกวียนกลับ กระบวนแห่เข้ามาถึงกลางทาง พบกงซุนเบียนอู๋ซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในเมืองโอยและเป็นเชื้อสายเหียนก๋งอยู่ด้วยออกมาคำนับ เหียนก๋งเห็นดังนั้นก็มีความยินดีลงจากเกวียนรับคำนับแล้วยึดเอามือกล่าวคำว่า เราไม่สังเกตเห็นว่าจะได้มาเป็นนายเป็นบ่าวกันอีก ว่าแล้วก็ขึ้นเกวียนรีบเข้าไปในเมือง หนทางตั้งแต่ตำบลอีหยีมาถึงเมืองโอยนั้นไกลถึงสามคืน
ขณะเมื่อเหียนก๋งมาถึงเมืองนั้น ขุนนางทั้งปวงซึ่งอยู่รักษาเมืองก็ออกมารับถึงนอกกำแพงเมืองพร้อมกัน ขาดอยู่แต่ไทซกหงีผู้เดียวแสร้งบอกป่วยหามาไม่ ไทซกหงีคนนี้เป็นบุตรเสียงก๋งเป็นหลานของบุญก๋งเจ้าเมืองโอยเก่า ถ้าจะนับกันก็มิใช่ผู้อื่น เป็นอาของเหียนก๋งเจ้าเมืองประเดี๋ยวนี้ ไทซกหงีอายุประมาณหกสิบเศษ ขุนนางทั้งปวงไม่เห็นไทซกหงีมารับเหียนก๋ง ก็ไปถามว่าเหตุใดท่านผู้เฒ่าจึงนิ่งเฉยเสีย ไม่ออกไปรับเจ้านายใหม่เล่า
ไทซกหงีจึงตอบไปว่า ใหม่เก่าก็เป็นเจ้าเหมือนกัน เดี๋ยวนี้บ้านเมืองก็ฟั่นเฟือนแปรปรวนวิปริต ทุกวันนี้อายุเราก็ชราเปรียบเหมือนไม้ผุ ถึงจะออกไปรับมิออกไปรับก็หาประโยชน์ไม่ ขณะเมื่อเหียนก๋งเข้ามาถึงก็นั่งที่เจ้าเมือง ขุนนางประชุมพร้อมขาดหน้าอยู่แต่ไทซกหงีคนเดียว
โอยเหียนก๋งจึงใช้คนสนิทไปถามว่า ท่านไม่อยากให้เรามาเป็นเจ้าเมืองโอยหรือ ไทซกหงีจึงตอบว่าท่านจงนำเอาคำของเราไปแจ้งกับเจ้าเมืองดังนี้ ด้วยเรามีโทษอยู่ถึงสามประการ ประการหนึ่งเมื่อศัตรูเนรเทศเจ้าเสียเราก็หาได้มีกตัญญูติดตามไปให้ใช้สอยเมื่อคราวทุกข์ยาก ประการหนึ่งตัวอยู่ในเจ้าไปอยู่นอก เราก็หาทำสองใจบอกข่าวไปมาให้รู้ไม่ ประการหนึ่งเจ้าเมืองมาบนบานขุนนาง เราก็หาได้ช่วยกล่าวรับบนบานด้วยไม่ ทุกวันนี้เราก็เข้าใจอยู่ว่าตัวมีโทษคอยรับอาญาว่าเมื่อใดเจ้าเมืองจะมาทำโทษ ก็จะก้มหน้าลาตายไปตามความผิด เราหาอยากอยู่ในเมืองโอยดูหน้าคนทั้งปวงไม่ ถ้าเจ้าเมืองไม่เอาโทษแล้วก็จะลาไปอยู่เมืองอื่น ท่านจงไปแจ้งกับเหียนก๋งเถิด คนใช้คำนับลาไทซกหงีนำเอาความไปแจ้งกับเหียนก๋ง เหียนก๋งได้ฟังก็ตกใจ จึงชวนขุนนางคนสนิทรีบไปบ้านไทซกหงี ไทซกหงีเห็นก็รีบออกมาคำนับแล้วก็ร้องไห้รํ่าไรไปต่างๆ โอยเหียนก๋งก็อ้อนวอนว่าท่านอย่าไปอยู่เมืองอื่นเลยจงอยู่เป็นเพื่อนกันเถิด คำซึ่งท่านว่าโทษตัวมีอยู่สามประการนั้นมิใช่ผิดคนเดียว ข้าพเจ้าก็มีโทษผิดเหมือนกัน ท่านอย่าถือโทษโกรธเราเลย ไทซกหงีจึงตอบว่าท่านเมตตาข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะขอทุเลาก่อน ทำการคำนับศพเสียงก๋งตามอย่างเจ้าเมืองเสียก่อนแล้วข้าพเจ้าจึงจะเข้ามารับราชการสืบไป เหียนก๋งก็ยอมให้แล้วลากลับมาที่อยู่ ตั้งแต่งขุนนางให้เป๊กฮีเป็นเสียงก๊กสำเร็จราชการพลเรือนในเมืองโอยสิ้น และยกบ้านส่วยให้ขึ้นสามพันบ้าน อิวไจ้ก๊ก ปักจงอุ๋ย เตียวออก กงซุนเบียนอู๋ คงที่ดังเก่า แต่เติมเบี้ยหวัดเงินเดือนขึ้น กงซุนเต๋งกับสิดโต๋มีความชอบมากได้ตกทุกข์ยากด้วยกันตั้งให้เป็นทหารเอก กงซุนบู๊เตกับกงซุนสิตสองคนนี้มีความชอบนัก ด้วยบิดาเขาไปกระทำศึกกับเราจนตัวตาย ตั้งให้เป็นที่ไตหูผู้ใหญ่ ไทซกหงี เจออกคองตี้ทู้ซู เป็นไตหูคงที่ดังเก่า
ขณะนั้นเหียนก๋งหาเห็นหน้ากูอวนไม่ จึงถามเป๊กฮีว่ากูอวนขุนนางเก่าของเราคนหนึ่งไปอยู่ที่ไหนจึงไม่เห็นหน้า เป๊กฮีจึงบอกว่าขณะเมื่อข้าพเจ้าเอาข้อราชการเสียงก๋งกับท่านไปปรึกษากูอวนครั้งนั้น กูอวนปิดหูเสียหาฟังไม่ แล้วพาบุตรและภรรยาไปอยู่เมืองฬ่อ เหียนก๋งได้ฟังดังนั้นก็ใช้คนซึ่งชอบอัชฌาสัยไปเชิญกูอวนกลับมาตั้งให้คงอยู่ในยศศักดิ์ดังเก่า
ฝ่ายซุนแก๋ซึ่งเสียงก๋งใช้คุมของกำนัลไปเมืองเจ๋ครั้งนั้น กลับมากลางทางได้ยินข่าวว่าในเมืองโอยเกิดวุ่นวาย เป๊กฮีฆ่าเสียงก๋งเสียแล้วรับเอาโอยเหียนก๋งเข้ามาเป็นเจ้าเมืองดังเก่า ซุนเสียงผู้น้องก็ตายแล้วจึงคิดว่าถ้าเราจะเข้าไปในเมืองโอยครั้งนี้จะประโยชน์อันใด ด้วยที่พึ่งและญาติก็หามีไม่แล้ว เหมือนเข้าไปหาที่ตาย เราจะไปหาบิดาดีกว่า คิดแล้วก็แยกทางไปเมืองเซกเข้าหาบิดาแล้วแจ้งความทั้งปวงให้บิดาฟังทุกประการ ซุนเลียงฮูได้ฟังดังนั้นก็คิดโกรธเหียนก๋งกับเป๊กฮีเป็นอันมาก จึงว่าเหียนก๋งกับเราคงจะเป็นข้าศึกกันไปตราบเท่าวันตาย แล้วเอาเมืองเซกที่ตัวอยู่นั้นไปขึ้นเสียกับเมืองจิ้น กล่าวโทษเป๊กฮีกับเหียนก๋งให้จิ้นเปงก๋งฟังทุกประการ ขอกองทัพจิ้นเปงก๋งให้ยกไปช่วยเมืองเซก ด้วยกลัวเหียนก๋งกับเป๊กฮีจะมาตี จิ้นเปงก๋งเสียไม่ได้ก็เกณฑ์ทหารให้ไปแต่สามร้อยคน ซุนเลียงฮูเห็นดังนั้นก็เสียใจ จึงคิดว่าเราจะอุบายให้จิ้นเปงก๋งโกรธโอยเหียนก๋งเจ้าเมืองโอยให้จงได้ แล้วให้ทหารเมืองจิ้นสามร้อยคนไปรักษาทิศตะวันออกซึ่งเป็นแดนต่อกับเมืองโอย ซุนกวยผู้เป็นบุตรเห็นดังนั้นจึงว่าทหารเมืองจิ้นแต่สามร้อยคนเท่านี้จะป้องกันรับรองกองทัพเมืองโอยได้หรือ ซุนเลียงฮูจึงหัวเราะแล้วว่า เจ้ายังเด็กอ่อนแก่ความนัก ซึ่งบิดากระทำดังนี้เพราะเจ้าเมืองจิ้นเสียเราไม่ได้จึงให้ทหารมาแต่น้อย เราจึงให้ออกไปรักษาพรมแดนหวังจะให้ทหารเมืองโอยมาฆ่าเสียโดยง่าย จิ้นเปงก๋งจึงจะมีใจพยาบาทอาฆาตชาวเมืองโอย ยกกองทัพมารบกันจะได้ไม่เสียของกำนัลเปล่ากับเจ้าเมืองจิ้น ซุนกวยได้ฟังบิดาว่าดังนั้นก็มีความยินดี คำนับแล้วสรรเสริญว่าความคิดบิดานี้ลึกซึ้งยืดยาวข้าพเจ้าคิดหาถึงไม่
ฝ่ายเสียงก๊กเป๊กฮีครั้นแจ้งกิตติศัพท์ดังนั้นก็หัวเราะด้วยรู้เท่าว่าเจ้าเมืองจิ้นให้ทหารน้อยเพราะเสียไม่ได้ จึงสั่งให้สิดโต๋คุมทหารพันหนึ่งยกออกไปจับคนสามร้อยคนฆ่าเสีย สิดโต๋คำนับลาออกมาจัดแจงทหารและเครื่องศัสตราวุธเสร็จแล้วยกไปตำบลเบาสี สั่งทหารให้เข้าตีค่ายแล้วจับทหารเมืองจิ้นได้สามร้อยคน สิดโต๋จึงสั่งให้ตัดศีรษะคนสามร้อยนั้นเสียจึงให้ตั้งค่ายลงใหม่ ตัวสิดโต๋เข้ารักษาค่ายอยู่ แล้วให้ทหารไปแจ้งแก่โอยเหียนก๋งตามซึ่งได้รบพุ่งฆ่าคนสามร้อยเสียนั้น ซุนเลียงฮูครั้นแจ้งว่าสิดโต๋นายทหารเมืองโอยยกมาฆ่าคนสามร้อยเสียก็มีความยินดีนัก จึงสั่งให้ซุนไคว่ผู้บุตรกับยงซูคุมทหารไปตั้งรับทัพเมืองโอยไว้ ซุนไคว่กับยงซูก็คำนับลายกไป ครั้นมาถึงกลางทางจึงปรึกษากันว่า สิดโต๋นายทหารเมืองโอยคนนี้เดิมเป็นนายทหารเมืองเจ๋ เคยกระทำศึกมีชัยมามาก แต่ทหารเมืองจิ้นทั้งสามร้อยยังจับฆ่าเสียประเดี๋ยวเดียวเราจะสู้เขาได้หรือ ครั้นปรึกษาเห็นพร้อมกันก็เลิกทัพกลับมาจึงเข้าไปแจ้งกับซุนเลียงฮูตามซึ่งปรึกษากันนั้น
ซุนเลียงฮูโกรธจึงว่า ตัวเป็นทหารยกออกไปยังหาทันได้สู้รบให้เห็นฝีมือข้าศึกว่าดีและชั่วไม่ แต่สิดโต๋ผู้เดียวยังคิดย่อหย่อน ถ้ามีทัพใหญ่ยกมามากจะไม่ออกไปป้องกันรักษาบ้านเมืองของตัวหรือ ถ้ายกออกไปครั้งนี้ไม่มีชัยก็อย่ากลับมาดูหน้าเราเลย ซุนไคว่ครั้นได้ฟังบิดาว่ากล่าวตัดพ้อดังนั้นมีความละอายนักจึงสะกิดยงซูออกมาให้ลับหน้าบิดาแล้ว ซุนไคว่จึงว่ากับยงซูว่า สิดโต๋คนนี้มีฝีมือเข้มแข็งนัก เราจะสู้รบซึ่งหน้านั้นเห็นจะเอาชัยชนะได้โดยยาก จำจะคิดจับสิดโต๋ด้วยอุบายจึงจะมีชัยชนะ เราเห็นที่ตำบลบ้านอีซึงนี้ชอบกลแห่งหนึ่งมีป่าไม้ใหญ่รอบบ้าน กลางบ้านนั้นมีภูเขาน้อยชื่อทูซัว ที่เชิงเขานั้นเป็นที่เตียน เราจะคิดขุดดินให้กว้างแล้วจะเอาแตะตีบนเกลี่ยดินและหญ้ามากลบไว้มิให้ข้าศึกสงสัย จัดทหารมีฝีมือซุ่มไว้รอบนอก แล้วตัวเราจะขึ้นอยู่บนเขา ท่านจงไปรบกับสิดโต๋ ล่อให้ไล่เข้ามาให้ถึงที่สำคัญของเราทำไว้ก็จะตกลงในหลุมจับได้โดยง่าย ยงซูก็เห็นด้วยจึงสั่งให้ทหารไปจัดแจงตามคิด แล้วเกณฑ์ทหารให้ยงซูร้อยหนึ่งออกไปรบล่อ ตัวซุนไคว่ก็คุมทหารสามร้อยคนขึ้นไปคอยดูการอยู่บนเขาทูซัว ยงซูก็คุมทหารร้อยหนึ่งยกไปยั่วที่ค่ายสิดโต๋ พอสิดโต๋แต่งตัวใส่เกราะขึ้นเกวียนมาตรวจค่าย ยงซูแลเห็นก็ทำกลัวขับเกวียนหนี สิดโต๋เห็นดังนั้นจึงเรียกทหารเลวประมาณสามสิบคนขับเกวียนไล่ถือใจว่าตัวเป็นคนมีฝีมือ ยงซูก็ทำรบพลางหนีพลาง ล่อให้ไล่เข้าไปจนถึงที่ป่าไม้แล้วก็พาทหารเลยไปซุ่มเสียข้างป่าแห่งหนึ่ง สิดโต๋ไล่เข้ามาถึงเชิงป่าไม่เห็นยงซู และเห็นแต่เขาน้อยมีทหารคนหนึ่งใส่เกราะทองหมวกทองยืนอยู่บนเขาไม่รู้จัก มิอาจไล่เข้าไปด้วยเกรงจะเป็นกลอุบาย ซุนไคว่เห็นสิดโต๋ไม่ไล่ยงซูเข้ามาก็ร้องด่าลงไปว่า อ้ายทหารข้าหลายเจ้าบ่าวหลายนายกินข้าวแดงอยู่เมืองนี้ประเดี๋ยวหนีไปอยู่เมืองโน้นเหมือนชาติสัตว์เดรฉาน ยังจะมีหน้ามาสู้กับกูผู้เป็นทหารใหญ่เมืองโอยหรือ
ทหารเลวของสิดโต๋ซึ่งยืนอยู่ข้างเกวียนจึงบอกกับสิดโต๋ว่าทหารคนนี้คือซุนไคว่บุตรซุนเลียงฮู ถ้าเราจับได้เหมือนผ่าตัวซุนเลียงฮูได้กึ่งหนึ่ง สิดโต๋ได้ฟังดังนั้นก็อยากได้บำเหน็จความชอบก็ขับเกวียนไล่เข้าไปปรารถนาจะจับตัวซุนไคว่ พอถึงที่หล่มใหญ่ไม่ทันสังเกตทั้งม้าทั้งเกวียนก็พลัดตกลงไปในหล่ม
ซุนไคว่เห็นดังนั้นก็มีความยินดี ครั้นจะให้เข้ากลุ้มรุมจับเป็นก็เกรงฝีมือสิดโต๋ จึงสั่งให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิงและก้อนศิลาระดมลงไปถูกสิดโต๋ตายอยู่ในหลุม ซุนไคว่จึงสั่งให้ทหารไปตัดเอาศีรษะสิดโต๋มาแล้วเลิกทัพกลับไปเมืองเซก เอาศีรษะสิดโต๋เข้าไปให้บิดา แล้วแจ้งความซึ่งกระทำการฆ่าสิดโต๋ให้ฟังทุกประการ
ซุนเลียงฮูก็มีความยินดีจึงว่า การทั้งนี้ยังจะยืดยาว เราเมืองน้อยจะต้องผูกพันกันต่อไป คิดแล้วจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งเป็นใจความว่าซึ่งจิ้นเปงก๋งมีใจกรุณาต่อข้าพเจ้าผู้เมืองน้อย และให้ทหารสามร้อยมาช่วยป้องกันกองทัพเมืองโอยนั้น พระเดชพระคุณหาที่สุดมิได้ บัดนี้เจ้าเมืองโอยให้ทหารออกมาฆ่าฟันทหารของท่านตายเสียสิ้นทั้งสามร้อยคน แล้วจึงสั่งให้คนใช้ไปแจ้งความกับจิ้นเปงก๋ง จิ้นเปงก๋งได้แจ้งดังนั้นก็โกรธชาวเมืองโอยนัก จึงสั่งให้เตียวบู๊กับขุนนางไตหูหลายคนให้จัดแจงเกณฑ์กองทัพให้พร้อมไว้ที่ตำบลทังเอียน ถึงวันดีเมื่อใดจะให้ยกไปตีเมืองโอย
ฝ่ายโอยเหียนก๋งครั้นได้แจ้งกิตติศัพท์ดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าเมืองจิ้นเป็นเมืองใหญ่เราเป็นเมืองน้อยจะสู้รบเขาได้หรือ การทั้งนี้เกิดขึ้นเพราะซุนเลียงฮู ครั้นจะให้คนอื่นไปพูดกลัวจะไม่เหมือนใจ จำเรากับเป๊กฮีไปเองจึงจะชอบ จะได้แจ้งเท็จจริงดีชั่วของเราให้เจ้าเมืองจิ้นฟังบ้าง คิดแล้วจึงจัดแจงฬ่อเกวียนและสิ่งของซึ่งจะนำไปกำนัลเจ้าเมืองจิ้นเป็นอันมากแล้ว โอยเหียนก๋งกับเป๊กฮีก็รีบไปถึงเมืองจิ้นจึงเข้าไปคำนับเจ้าเมืองจิ้นแจ้งความว่า ซุนเลียงฮูเป็นคนชั่วมีโทษตัวอยู่มาก ข้าพเจ้าคิดจะจับฆ่าเสียให้สิ้นแซ่แต่ติดอยู่ด้วยท่านผู้เป็นเมืองใหญ่ ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้รักษาตัวมิให้มีความผิดเกี่ยวข้องกับผู้ใหญ่ได้
จิ้นเปงก๋งได้ฟังก็โกรธแล้วจึงว่า อันการงานของผู้อื่นจะผิดชอบกันประการใดเราหารู้ด้วยไม่ แต่ท่านฆ่าทหารสามร้อยคนของเราเสีย เราก็จะเอากับท่าน ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารเอาเหียนก๋งกับเป๊กฮีไปคุมไว้ ฝ่ายวันเอ๋งซึ่งเป็นขุนนางไตหูอยู่เมืองเจ๋นั้น ครั้นได้ยินกิตติศัพท์เจ้าเมืองจิ้นเชื่อคำซุนเลียงฮูขุนนางเมืองโอยจับเอาโอยเหียนก๋งไว้ก็ไปคำนับเก๋งก๋งเจ้าเมืองเจ๋แล้วแจ้งความว่า เจ้าเมืองจิ้นกระทำการครั้งนี้ข้าพเจ้าหาเห็นชอบไม่ ด้วยจิ้นเปงก๋งเชื่อคำซุนเลียงฮูขุนนางเมืองโอยให้จับเอาเหียนก๋งนั้นไม่ควร ถึงเหียนก๋งจะชั่วดีประการใดก็เป็นเจ้า ซุนเลียงฮูเป็นข้าราชการอยู่ในโอยเหียนก๋ง หาควรจะเป็นคู่ความกันไม่
เมื่อเจ๋เก๋งก๋งได้ฟังก็ตอบว่าชอบแล้ว ท่านจะให้เราคิดประการใดเล่า วันเอ๋งจึงว่าการทั้งนี้ใหญ่มิใช่การเล็กน้อย อนึ่งเจ้าเมืองจิ้นก็เป็นคนถือตัวว่าเป็นใหญ่ ครั้นจะให้ผู้อื่นไปกลัวจะเสียการ ข้าพเจ้าเห็นว่าเชิญท่านไปเองจึงจะดี เจ้าเมืองจิ้นจะได้เห็นกับท่านบ้าง ข้าพเจ้าก็จะไป แล้วแวะไปเชิญเจ้าเมืองเตงซึ่งเป็นคนชอบอัชฌาสัยกับจิ้นเปงก๋งนั้นไปด้วย เจ้าเมืองเจ๋ก็เห็นชอบแล้วก็ชวนวันเอ๋งขึ้นเกวียนกับทหารพอสมควร ไปแวะเมืองเตงชวนเตงตันก๋งเจ้าเมืองรีบไปถึงเมืองจิ้น
จิ้นเปงก๋งครั้นแจ้งว่าสองเจ้าเมืองมาหาก็ออกไปรับคำนับกันตามธรรมเนียมผู้ใหญ่ผู้น้อย แล้วเชิญเข้าไปนั่งในที่สมควรแล้วกล่าวคำว่า ท่านทั้งสองอุตส่าห์มาหาข้าพเจ้าถึงเมืองครั้งนี้ข้าพเจ้าขอบใจนัก จะมีธุระประการใดหรือ เจ๋เก๋งก๋งเจ้าเมืองเจ๋ได้ช่องก็ขอโทษเจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองจิ้นพูดบิดเบือนไปหาให้ไม่ เจ๋เก๋งก๋งกับเตงตันก๋งก็ลาออกไปที่สำนัก ปรึกษาวันเอ๋งว่าเราจะทำประการใดดี วันเอ๋งจึงตอบว่า การครั้งนี้เราจะต้องเข้าหาคนสนิทของเจ้าเมืองจิ้นจึงจะสำเร็จ เจ๋เก๋งก๋งจึงว่าท่านจะคิดไปหาผู้ใดก็ตาม สุดแต่อย่าให้เราป่วยการมาได้ วันเอ๋งก็คำนับลาไปหาอีจีพัน ณ บ้าน อีจีพันเห็นวันเอ๋งมาก็ออกไปต้อนรับ คำนับกันแล้วเชิญให้นั่งที่สมควร
วันเอ๋งจึงพูดว่าทุกวันนี้หัวเมืองทั้งปวงมีทุกข์ร้อน ได้มาอาศัยพึ่งพาอยู่ก็แต่เมืองจิ้นเมืองเดียว ด้วยเป็นผู้ใหญ่ใจคอโอบอ้อมอารีเป็นที่พึ่งกับผู้น้อย บัดนี้ เจ้าเมืองโอยกับซุนเลียงฮูเป็นขุนนางในเมืองโอยวิวาทกัน เหียนก๋งเป็นเจ้า ซุนเลียงฮูเป็นข้า ควรที่จิ้นเปงก๋งจะเชื่อคำซุนเลียงฮูได้หรือ อนึ่งซุนเลียงฮูก็ได้ประทุษร้ายกับโอยเหียนก๋งมาก่อนปรากฏอยู่กับใจท่าน เหตุใดจิ้นเปงก๋งจึงหาชำระให้เป็นคุณและโทษไม่ อนึ่งจิ้นเปงก๋งเป็นแต่หัวเมืองโอยเหียนก๋งก็หัวเมืองเหมือนกัน มาจับคุมกักขังดังนี้มีธรรมเนียมอยู่หรือ วันเอ๋งว่าแล้วก็ทำเป็นกำชับว่าซึ่งข้าพเจ้าพูดกับท่านดังนี้ เพราะว่าท่านเป็นคนซื่อมีปัญญาและเมตตาข้าพเจ้ามากเป็นที่ไว้ใจ ท่านก็อย่าให้แพร่งพรายไป ด้วยเราเป็นผู้น้อยล่วงเจรจาติเตียนเจ้าหาสมควรไม่ ถ้าท่านเห็นด้วยข้าพเจ้าจะเอาความนี้พูดได้ก็กับเตียวบู๊ขุนนางผู้ใหญ่คนเดียว ถ้าเขารักเกียรติยศของเจ้ากลัวหัวเมืองจะนินทา จะได้คิดอ่านไปพูดจาให้จิ้นเปงก๋งปล่อยโอยเหียนก๋งจึงจะควร
อีจีพันได้ฟังวันเอ๋งว่าเห็นชอบด้วย แล้วว่าท่านจงไปบอกนายท่านอย่าเพ่อให้เสียใจ เราจะขอเอาความนี้ไปปรึกษากับเตียวบู๊ เตียวบู๊จะได้เอาความนี้ชี้แจงให้จิ้นเปงก๋งฟัง แล้ววันเอ๋งก็ลากลับไปแจ้งความกับเจ๋จงก๋งทุกประการ อีจีพันก็ไปหาเตียวบู๊ ณ บ้านแจ้งความตามคำวันเอ๋งว่าให้เตียวบู๊ฟังทุกประการ เตียวบู๊ก็เห็นชอบด้วย แล้วพากันเข้าไปคำนับจิ้นเปงก๋งเอาความทั้งปวงเสนอให้จิ้นเปงก๋งฟัง จิ้นเปงก๋งจึงว่า ท่านจะปล่อยเจ้าเมืองโอยด้วยกลัวความนินทาก็ตามเถิด แต่เป๊กฮีนั้นยังเกี่ยวข้องอยู่ อย่าปล่อยไป เตียวบู๊กับอีจีพันก็ลาไปปล่อยโอยเหียนก๋งแต่เป๊กฮีนั้นยังคุมไว้
ฝ่ายโอยเหียนก๋ง ครั้นออกจากโทษได้ก็ไปคำนับขอบใจเจ้าเมืองเจ๋เจ้าเมืองเตงแล้วก็ต่างคนต่างไปเมือง แต่โอยเหียนก๋งครั้นมาถึงเมืองจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า ตัวเราครั้งนี้รอดมาได้เพราะเจ้าเมืองเจ๋เจ้าเมืองเตงสงเคราะห์ แต่เป๊กฮีนั้นท่านทั้งปวงจะคิดประการใด อิวไจ้ก๊กขุนนางไตหูจึงตอบว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูว่าเกี่ยวข้องเป๊กฮีไว้เพราะจะเอาสินบน ขอท่านจงจัดอิสตรีรูปงามประมาณสักสิบคนไปเป็นกำนัลจิ้นเปงก๋ง แล้วขอเป๊กฮีก็เห็นจะได้โดยง่าย โอยเหียนก๋งได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงจัดหญิงสาวงามๆ สิบสองคนมอบให้คนใช้นำไปให้จิ้นเปงก๋ง แล้วขอตัวเป๊กฮี จิ้นเปงก๋งได้อิสตรีก็ชอบใจจึงสั่งให้ถอดเป๊กฮีให้กับโอยเหียนก๋ง ส่งกลับไปเมืองโอย ฝ่ายเป๊กฮีครั้นกลับมาถึงเมืองโอยคิดเคืองโอยเหียนก๋งอยู่แต่ในใจ การงานสิ่งใดมีมาก็หาบอกกล่าวให้โอยเหียนก๋งรู้ไม่ ชำระถ้อยความแต่ตามอำเภอใจกลับผิดเป็นชอบ ชอบเป็นผิด ขุนนางและราษฎรก็นับถือกลัวเกรงมาก หามีผู้ใดไปมาหาสู่โอยเหียนก๋งไม่