๘๐

ฝ่ายหงออ๋องคิดว่าเราล้อมเมืองอยู่นี้ก็ช้านานแล้วหาได้สมควรคิดไม่ จึงสั่งให้หงอจูสู่เป็นปีกซ้าย เป๊กพีเป็นปีกขวายกเข้าไปตั้งค่ายประชิดเชิงกำแพงเมืองไว้เป็นมั่นคง ครั้นฮวมเล้ผู้รักษาเมืองรู้ว่ากองทัพยกมาประชิดเข้า จึงใช้ให้ทหารลัดลอดไปบอกกับอวดอ๋อง ณ ป้อมฮวยกีซัวว่า หงออ๋องตั้งค่ายประชิดเข้ามาถึงเชิงกำแพงเมืองแล้ว อวดอ๋องได้ฟังก็ตกใจจึงปรึกษากับบุนจงว่า ทหารของเราจะรวบรวมได้สักห้าพันหกพัน ท่านจะคิดผ่อนผันประการใด

บุนจงจึงว่าการครั้งนี้หนักแน่นจวนตัวนัก จำจะคิดออกคำนับรับผิดผ่อนการให้ออกไปก่อนจึงค่อยคิดอ่านต่อไป อวดอ๋องจึงว่าถ้าเขาไม่ยอมจะคิดประการใด บุนจงจึงว่า ในเมืองหงอนี้มีขุนนางคนหนึ่งชื่อเป๊กพีเป็นคนโลภอยากได้ จะอ้อนวอนให้นำเข้าไปหาหงออ๋อง ถึงหงอจูสู่ผู้มีสติปัญญาจะว่ากล่าวทัดทานก็หาทันเป๊กพีไม่ ด้วยหงออ๋องทุกวันนี้รักใคร่เป๊กพีมากกว่าหงอจูสู่ หงอจูสู่เป็นคนซื่อ เป๊กพีเป็นคนประจบประแจงอิจฉาหงอจูสู่อยู่เป็นนิจ ข้าพเจ้าจะคิดมิให้เสียการ ท่านจงเร่งจัดของคำนับโดยเร็วเถิด อวดอ๋องจึงว่าท่านเห็นจะเอาของอันใดไปคำนับดีเล่า บุนจงจึงว่า มาราชการทัพอย่างอิสตรีเป็นขัดสน จำจะจัดหญิงที่รูปงามไปให้เป๊กพีเห็นจะชอบใจ อวดอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้คนใช้ไปหาฮูหยินภรรยาที่ในเมือง ให้จัดแจงอิสตรีรูปงามแปดคน กับกำไลหยกยี่สิบคู่ ทองคำร้อยชั่งกับสิ่งของเครื่องคำนับส่งมา ภรรยาอวดอ๋องก็จัดแจงสิ่งของกับหญิงแปดคนตามคำอวดอ๋องสั่ง ส่งให้คนใช้ไปให้กับอวดอ๋อง อวดอ๋องจึงสั่งให้บุนจงคุมหญิงแปดคนกับสิ่งของไปให้เป๊กพี บุนจงก็คำนับรับสิ่งของกับหญิงไปพักอยู่นอกค่าย จึงให้นายประตูไปแจ้งความกับเป๊กพี เป๊กพีให้คนใช้ออกไปดูว่ามีข้าวของมาหรือไม่ ครั้นรู้ว่ามีข้าวของกำนัลมาก็ออกมาหาบุนจง บุนจงก็คุกเข่าลงคำนับ เป๊กพีเห็นบุนจงนำหญิงแปดคนกับสิ่งของมาคำนับก็ยินดี แต่แข็งใจทำเป็นโกรธพูดเสียงดังถามว่า ท่านจะมาหาเรานี้ว่ากระไร บุนจงจึงว่า อวดอ๋องใช้ให้ข้าพเจ้ามาพึ่งบุญท่าน เพราะว่าเจ้าข้าพเจ้าหามีสติปัญญาไม่ มารบสู้กับท่านทั้งนี้มีความผิดอยู่เป็นอันมาก จึงให้ข้าพเจ้านำเอาสิ่งของมาคำนับรับผิดมายอมเป็นเมืองขึ้นแก่หงออ๋อง ขอท่านได้เมตตานำเอาความทั้งนี้ไปแจ้งแก่หงออ๋องด้วย เป๊กพีจึงว่าสิ่งของซึ่งท่านนำมาทั้งนี้ดูน้อยนัก หาควรที่เราจะนำเข้าไปให้แก่หงออ๋องไม่ เมืองท่านก็จะแตกในสองวันสามวันนี้แล้ว หาทนฝีมือทแกล้วทหารเราได้ไม่ ของในเมืองนั้นก็จะเป็นของนายเราอยู่เอง

บุนจงจึงว่า ซึ่งท่านวิตกว่าข้าวของทั้งนี้น้อยหาควรที่จะเอาไปให้หงออ๋องไม่นั้นก็ชอบอยู่ ของนี้อวดอ๋องจัดแจงให้เป็นการเร็ว หวังจะให้ท่านอย่าถือโทษเลย แม้นรับธุระแล้วก็จะจัดแจงของมาคำนับหงออ๋องต่อภายหลัง บัดนี้นายข้าพเจ้าหนีไปอยู่ฮวยกีซัว ยังมีทหารอยู่ห้าพัน ถ้าท่านมิรับของคำนับโดยไมตรี จำเป็นจำจะสู้รบท่านกว่าจะสิ้นฝีมือ เมื่อสู้ท่านมิได้ก็จะเผาข้าวของในคลังและเสบียงอาหารในเมืองเสีย ถึงท่านจะตีได้ก็จะได้แต่เปลือกเมืองเปล่า นายข้าพเจ้าก็หนีไปอยู่เมืองอื่น คิดอ่านกลับมาตีเอาเมืองคืนให้จงได้ ที่ท่านหมายไว้นั้นก็จะหาสมความคิดไม่ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็ทราบอยู่ว่าท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ไว้ใจหงออ๋อง ราชการในเมืองหงอก็สิทธิ์ขาดอยู่ในท่าน ถึงสมบัติในเมืองหงอก็เปรียบเหมือนเป็นของหงออ๋องกึ่งหนึ่ง เป็นของท่านกึ่งหนึ่ง นายข้าพเจ้าจึงจำเพาะใช้ให้มาพึ่งท่าน ถ้าหาไม่มิไปหาหงอจูสู่ผู้เป็นเสียงก๊กหรือ ขอท่านเห็นแก่ไมตรีข้าพเจ้าที่บากหน้าเข้ามาพึ่งท่านด้วยเถิด เป๊กพีได้ฟังคำบุนจงพูดสรรเสริญก็ยิ้มแย้มยินดีแล้วเรียกให้บุนจงขึ้นนั่งเก้าอี้ตามสมควร บุนจงเห็นกิริยาเป๊กพีค่อยคลายหายโกรธอยู่แล้ว จึงหยิบจดหมายรายสิ่งของนั้นส่งให้เป๊กพีแล้วบอกว่าหญิงทั้งแปดคนนี้เป็นมโหรีของเจ้าเมืองอวดให้จัดเอามาให้ท่าน ถ้าสำเร็จการเมื่อใดแล้วจะหาหญิงชาวเมืองที่รูปงามมาแทนคุณท่านอีก

เป๊กพีจึงว่าท่านไม่ไปหาหงอจูสู่มาหาแต่เราผู้เดียวนั้นก็ควรอยู่ อันใจเรานี้ไม่อยากให้คนทั้งปวงได้ความเดือดร้อน ต่อเพลาพรุ่งนี้เราจึงจะพาไปคำนับหงออ๋อง จะได้อ้อนวอนหงออ๋องให้เลิกกองทัพกลับไปให้จงได้ เป๊กพีก็สั่งให้ทหารรับเอาหญิงแปดคนกับสิ่งของทั้งปวงไว้ จึงว่าท่านจงนอนอยู่กับเราสักคืนหนึ่งเถิด แล้วให้ทหารพาตัวบุนจงไปเลี้ยงดูหลับนอนอยู่ ณ หลังค่าย ครั้นรุ่งขึ้นก็พาบุนจงไปยังค่ายหงออ๋อง เป๊กพีก็ให้บุนจงอยู่นอกค่าย ตัวก็เข้าไปคำนับหงออ๋องแล้วแจ้งความว่า เกาเจียนเจ้าเมืองอวดให้บุนจงมาคำนับจะขอเป็นเมืองขึ้นกับท่าน

หงออ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธนัก เอามือตบโต๊ะลงว่า อันเมืองอวดกับเมืองเราไม่อยากอยู่ร่วมฟ้าร่วมดินกันเลย ซึ่งท่านมาว่าจะให้เป็นไมตรีกันนั้นเราหายอมไม่ เป๊กพีจึงว่าท่านลืมคำซุ่นบู๊เสียแล้วหรือว่า อันธรรมดาทำศึกสงครามกัน ถ้าข้าศึกคำนับแล้วก็ต้องงดไว้ บัดนี้เจ้าเมืองมาขึ้นแก่ท่านแต่โดยดี ควรท่านจะรับเป็นไมตรีกับเกาเจียนจึงจะชอบ ชื่อเสียงจะได้ปรากฏไปแก่หัวเมืองทั้งปวง ประการหนึ่งถ้าท่านจะขืนทำศึกกับเมืองอวด ถ้าอวดอ๋องสิ้นคิดจะฆ่าบุตรภรรยาเสียแล้วจะเอาไฟเผาเมืองและข้าวของทั้งปวงเสียสิ้น แล้วจะจัดแจงทหารที่เหลืออยู่ห้าพันนั้นออกมาสู้รบท่าน อันคนห้าพันนั้นเหมือนคนตาย ทหารของเราเป็นคน ถ้าเสียท่วงทีลงก็จะมีความอายต่อหัวเมืองทั้งปวง ขอท่านตรึกตรองดูให้จงควรเถิด หงออ๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงถามเป๊กพีว่าบุนจงอยู่ไหน เป๊กพีบอกว่าบุนจงอยู่นอกค่าย หงออ๋องสั่งคนใช้ให้ไปหาตัวบุนจงเข้ามา คนใช้ก็ไปบอกบุนจง บุนจงแจ้งดังนั้นก็เข้าไปในค่าย ให้คิดกลัวหงออ๋องเป็นอันมาก จึงคุกเข่าคลานเข้าไปจนถึงหงออ๋อง คำนับหงออ๋องแล้วก็สรรเสริญหงออ๋องต่างๆ หงออ๋องได้ฟังดังนั้นจึงว่าแก่บุนจงว่า นายท่านใช้ให้มาขอขึ้นแก่เรานั้นก็ชอบอยู่แล้ว บัดนี้เราจะพานายท่านไปอยู่เมืองเราด้วย นายของท่านยังจะยอมแล้วหรือ บุนจงจึงตอบว่า อันนายข้าพเจ้าประมาณดูเห็นว่าสิ้นวาสนาแล้วจึงมาพึ่งบุญท่าน การซึ่งให้อยู่ให้ไปนั้นก็สุดแต่ท่านจะโปรด เป๊กพีจึงว่าแก่หงออ๋องว่า ตัวเกาเจียนกับภรรยามายอมขึ้นแก่ท่านนั้น เหมือนหนึ่งท่านได้เมืองอวดเป็นของท่านแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าดีกว่ารบพุ่งกันต่อไปอีก หงออ๋องจึงยอมตามคำเป๊กพี

ในขณะนั้นมีผู้ไปบอกแก่หงอจูสู่ทุกประการ หงอจูสู่แจ้งว่าเจ้าเมืองหงอรับคำเจ้าเมืองอวดแล้วมีความน้อยใจนัก จึงรีบเข้าไปในค่ายเห็นเป๊กพีกับบุนจงยืนอยู่ข้างหงออ๋องดังนั้นยิ่งโกรธนัก จึงถามหงออ๋องว่าท่านรับคำนับเขาแล้วหรือ หงออ๋องจึงบอกแก่หงอจูสู่ว่าเรารับแล้ว หงอจูสู่จึงร้องด้วยเสียงอันดังว่าไม่ได้ ท่านจงตรึกตรองก่อน บุนจงได้ยินดังนั้นก็ตกใจตัวสั่นถอยหลังลงมาอยู่ที่ชั้นกลาง คอยฟังหงอจูสู่จะว่าประการใด หงอจูสู่จึงว่าแก่หงออ๋องว่า เดิมท่านว่าเมืองอวดกับเมืองหงอนี้ไม่ขอตั้งร่วมแผ่นดินกัน เหตุใดท่านจึงรับคำนับเขาดังนี้ ถ้าท่านมิทำแก่เมืองอวดนานไปเมืองอวดก็จะกลับทำอันตรายแก่เมืองหงอเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะเปรียบความให้ฟังสักข้อหนึ่ง อันเมืองอวดนี้เป็นทางทะเลร่วมกันกับเมืองเราไม่เหมือนกับเมืองจิ้นเมืองจิ๋น สองเมืองนี้เป็นทางบกมิได้ร่วมกัน ถึงเราจะไปตีสองเมืองนี้ได้ พวกเราก็ตั้งรักษาอยู่ไม่ติด ถึงได้เกวียนก็ไม่ได้ขี่ ด้วยมิได้ร่วมพื้นแผ่นดินกัน ถึงจะรับเป็นไมตรีกันเช่นสองเมืองนั้นก็ควรอยู่ อันเมืองหงอกับเมืองอวดนี้ร่วมทางนํ้าทะเลเดียวกันไปมาง่าย ถ้าจะละไว้ไม่ตัดรากเหง้าให้เด็ดขาดคงอยู่แต่เมืองเดียวแล้ว ที่ไหนพวกเราจะมีความสุข อนึ่งคำปู่ท่านสั่งไว้นั้นท่านลืมเสียแล้วหรือ หงออ๋องได้ฟังหงอจูสู่ว่าถึงความหลังดังนั้น ก็นิ่งอั้นไปพูดไม่ออกชำเลืองดูตาเป๊กพีตะลึงอยู่

เป๊กพีเห็นดังนั้นจึงพูดกับหงอจูสู่ว่า เสียงก๊กมาเจรจาดังนี้ยังถูกไม่ อันเมืองซึ่งร่วมทางน้ำทางบกต้องเป็นเมืองเดียวกันนั้น ก็เมืองจิ้น เมืองจิ๋น เมืองเจ๋ เมืองฬ่อ สี่เมืองนี้เป็นทางบกร่วมกันทั้งนั้น ทำไมจึงไม่เป็นเมืองเดียวกันเล่า ทุกวันนี้ดูแต่การเป็นประมาณจึงจะชอบ บัดนี้เจ้าเมืองอวดกับภรรยาก็ยอมเป็นเชลยให้ใช้สอยอยู่เมืองเรา ก็เหมือนหนึ่งเราได้แผ่นดินเมืองอวดไว้ทั้งสิ้นแล้วจะเอาอย่างไรอีกเล่า ที่ว่าเจ้าเมืองอวดทำความแค้นไว้ จะให้เมืองอวดเสียนั้น ก็ครั้งเมื่อฌ้อเพงอ๋องฆ่าบิดาและพี่ชายท่าน ท่านลั่นวาจาว่าจะล้างเมืองฌ้อแก้แค้นให้ได้ ครั้นไปรบเมืองฌ้อชนะได้แต่โอเซงวงศ์วานเจ้าเมืองฌ้อมาแต่คนเดียว ท่านอัชฌาสัยกลับส่งให้ไปเป็นขุนนางเมืองฌ้อเอาความดีใส่ตัว ครั้งนี้ได้ตัวเจ้าเมืองอวด เจ้าเมืองอวดจะขอชีวิตไว้ยอมตัวไปเป็นข้าให้ใช้ทั้งผัวเมีย ท่านมิได้เห็นด้วย ส่วนท่านสิจะหาความดีใส่ตัว ส่วนเจ้าจะยุให้ทำชั่วลือชื่อในแผ่นดิน อย่างนี้จะจัดว่าเป็นคนกตัญญูกับเจ้านายแล้วหรือ

หงออ๋องได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ จึงว่าอันคำเป๊กพีนี้เราชอบด้วย แล้วว่ากับหงอจูสู่ว่า เชิญเสียงก๊กไปยับยั้งอยู่ ณ ค่ายก่อนเถิด ถ้าเจ้าเมืองอวดเอาของกำนัลมาให้เราเมื่อใด เราจึงจะแบ่งให้ท่านบ้าง หงอจูสู่ได้ฟังดังนั้นเสียใจหนักหน้าดำไปหาอาจแลดูหน้าผู้ใดไม่ จึงคิดว่าเราไม่เชื่อคำพีหลีจึงได้ความอายถึงเพียงนี้ คิดแล้วก็เดินออกมาข้างนอก พอพบไตหูกองซุนทีหยงเข้าที่ประตูค่ายจึงบอกว่า เราอุตส่าห์ทำศึกกับเมืองอวดเกือบจะได้อยู่แล้ว บัดนี้เสบียงอาหารก็น้อย ราษฎรหาออกทำนาได้ไม่จึงได้มาขอขึ้นด้วย ถ้าหงออ๋องยกทัพกลับคืนไปเมื่อใด ราษฎรก็จะออกทำนาได้ ไม่ช้าประมาณปีเสบียงอาหารก็จะบริบูรณ์ อวดอ๋องก็จะซ่องสุมทหารพร้อมมูลขึ้นเมื่อใดก็จะยกมาเอาเมืองเราเป็นมั่นคง กงซุนทีหยงมิได้เชื่อฟังก็เข้าไปในที่หงออ๋องอยู่ หงอจูสู่ก็กลับไปในค่าย

ฝ่ายหงออ๋อง ครั้นหงอจูสู่ไปแล้วจึงว่าแก่บุนจงว่า ท่านจงกลับไปบอกนายท่านว่าเราจะกลับไปเมืองแล้ว ให้นายท่านจัดแจงครอบครัวมาไปด้วยเรา บุนจงจึงว่าไหนๆ ท่านก็ได้เอ็นดูนายข้าพเจ้าแล้วบุญคุณของท่านเป็นอันมาก ขอท่านงดให้นายข้าพเจ้าจัดแจงหญิงรูปงามและเงินทองจะได้มาแทนคุณท่าน ต่อเดือนห้ากลางเดือนจึงจะมา แม้นมิสมคำดังข้าพเจ้าสัญญานี้ ให้ท่านยกทัพไปตีเมืองอวดฆ่าอวดอ๋องกับข้าพเจ้าเสียให้สิ้นแซ่ หงออ๋องได้ฟังดังนั้นยังสงสัยอยู่จึงสั่งให้กองซุนทีหยงไปด้วย กองซุนทีหยงกับบุนจงก็คำนับลา หงออ๋องจึงสั่งเป๊กพีว่า ท่านจงคุมทหารของตัวหมื่นหนึ่งจงไปคอยอยู่ที่เขาเงาซัวนี้ ถ้าอวดอ๋องมิมาดังสัญญาก็ให้ท่านยกไปตีเอาเมืองอวดให้ได้ ครั้นสั่งเป๊กพีแล้วหงออ๋องก็จัดแจงกองทัพกลับไปเมือง

ฝ่ายบุนจงกองซุนทีหยง ครั้นมาถึงเมืองอวดก็พากันเข้าไปหาอวดอ๋อง บุนจงคำนับแล้วเล่าความที่ตัวไปว่ากล่าวกับหงออ๋องนั้นให้อวดอ๋องฟังทุกประการ แล้วว่าบัดนี้หงออ๋องให้กองซุนทีหยงมาคอยพาท่านไป แล้วให้เป๊กพีตั้งคอยท่าท่านอยู่ที่เงาซัว ท่านจงเร่งจัดแจงไปตามคำข้าพเจ้าสัญญาไว้กับหงออ๋องเถิด อวดอ๋องได้ฟังก็ร้องไห้มิได้ว่าประการใด บุนจงเห็นดังนั้นจึงว่าแก่อวดอ๋องว่า อันท่านจะร้องไห้อยู่นี้หาควรไม่ เดี๋ยวนี้ก็เกือบจะถึงเดือนห้ากลางเดือนแล้ว ท่านจงเข้าในเมืองเห็นอาณาประชาราษฎร์เป็นสุขอยู่ จึงคิดว่าเราทำศึกครั้งนี้ก็แพ้เขาให้นึกอายแก่ราษฎรนัก จึงรีบไปยังที่ว่าราชการจัดแจงให้กองซุนทีหยงอยู่ เสร็จแล้วจึงสั่งให้เลือกหญิงรูปงามไว้สามร้อยสามสิบคน กับสิ่งของทองเงินให้พร้อม เราจะไปให้ทันกำหนด แล้วให้ฮวมเล้เอาเรือไปคอยอยู่ที่ท่าจิดกัง อยู่มาวันหนึ่งกองซุนทีหยงก็ไปเตือนอวดอ๋องว่า จวนจะถึงกำหนดแล้วท่านจะจัดแจงสิ่งไรก็เร่งจัดแจงเถิดเราจะพาท่านไป ว่าแล้วกองซุนทีหยงก็กลับมาที่อยู่

อวดอ๋องจึงให้หาขุนนางทั้งปวงมาพร้อมแล้วอวดอ๋องก็ร้องไห้เล่าความให้ขุนนางทั้งปวงฟังว่า แต่ก่อนปู่เราได้ครองเมืองสืบแซ่กันมาก็นานแล้วหาเหมือนตัวเราครั้งนี้ไม่ แพ้ข้าศึกแต่ครั้งเดียวก็มิได้อยู่เมืองตัวก็ต้องไปเป็นบ่าวหงออ๋อง ตั้งแต่วันนี้ไปจะได้กลับมาหรือมิได้กลับมาก็ไม่รู้เลย ว่าแล้วก็ร้องไห้ ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันร้องไห้รักอวดอ๋องเป็นอันมาก บุนจงจึงว่าครั้งแผ่นดินก่อนห้องสินนั้น มีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามชื่อว่าพระเจ้าเคียดอ๋องครองเมืองจิวโก๋ จับเอาพระเจ้าเสียงทางไปขังไว้ที่แฮถ้าย ภายหลังก็ได้เป็นกษัตริย์ ทรงพระนามพระเจ้าเสียงทางอ๋อง ข้อหนึ่งพระเจ้าติวอ๋องเอาตัวบุนอ๋องไปขังไว้ที่จิวลี้ ครั้นนานมาบุตรได้เป็นกษัตริย์ทรงนามว่าพระเจ้าบูอ๋อง ข้อหนึ่งก๋งจูเสียวแปะหนีไปอยู่เมืองกี๋ ครั้นบิดาตายแล้วกลับมาก็ได้เมืองเจ๋ชื่อเจ๋ฮวนก๋ง ข้อหนึ่งต๋งนีหนีบิดาไปอยู่เมืองเต๊กครั้นกลับมาก็ได้เป็นเจ้าเมืองจิ้นชื่อจิ้นบุนก๋ง อันความข้าพเจ้าว่ามานี้ก็เหมือนกันกับท่านที่ไปเมืองหงอ ครั้งนี้ท่านจงรักษาสัจสุจริต เทพยดาก็คงจะช่วยทำนุบำรุงให้ได้กลับมาเมือง

อวดอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ดีใจคิดได้ จึงสั่งให้เอาเครื่องเซ่นมาคำนับศพบิดามารดาแล้ว ก็ไปบอกกองซุนทีหยงว่าท่านไปก่อนเถิดต่อรุ่งเช้าเราจึงจะตามไป กองซุนทีหยงก็ลามาขึ้นเกวียนกลับไป ครั้นรุ่งเช้าอวดอ๋องก็เรียกภรรยาออกมาจึงว่า เจ้าจงจัดแจงให้หญิงสามร้อยสามสิบคนมาให้ไปด้วยเราให้เงินทองสิ่งของทั้งปวงไปให้มากจะได้เป็นเสบียงของเรา จึงให้ขุนนางเจ้าพนักงานจัดแจงเครื่องบรรณาการและสิ่งของบรรทุกเกวียน อวดอ๋องก็ชวนภรรยามาขึ้นเกวียน ขุนนางทั้งปวงก็ตามไปถึงชายทะเลตำบลจิดกัง

ฝ่ายฮวมเล้ซึ่งอวดอ๋องให้คุมเรือมาคอยอยู่ที่ท่าจิดกัง ครั้นรู้ว่าอวดอ๋องมา ก็ให้จัดแจงแต่งโต๊ะไว้เป็นอันมาก สำหรับจะได้เลี้ยงขุนนางและทหารซึ่งตามอวดอ๋องมา อวดอ๋องครั้นถึงชายทะเลก็สั่งให้ทหารขนข้าวของลงบรรทุกเรือ ฮวมเล้ยกโต๊ะมาเลี้ยงอวดอ๋องกับขุนนางทั้งปวง ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็รินสุราเข้าไปคำนับส่งให้อวดอ๋องรับเอาถ้วยสุรามาถือไว้ถอนใจใหญ่ แล้วแลดูหน้าขุนนางทั้งปวงจึงนึกว่าจะไม่ได้มาเห็นหน้ากันอีกแล้ว คิดถึงตัวขึ้นมานํ้าตาไหล ฮวมเล้เห็นดังนั้นจึงว่า อันธรรมดาเกิดมาเป็นคนก็ย่อมมีทุกข์และสุขต่างๆ ซึ่งท่านจะมาอาลัยด้วยบ้านเมืองนั้นหาควรไม่ อวดอ๋องจึงว่า อันความวิตกของเราครั้งนี้เป็นอันมากเราจะว่าให้ท่านฟัง เมื่อครั้งพระเจ้าเงียวเต้มีพระราชบุตรองค์หนึ่ง ไม่มีสติปัญญาหาควรจะครองสมบัติไม่ จึงไปเอาลูกชาวนามาเลี้ยงเป็นพระราชบุตร ครั้นพระเจ้าเงียวเต้สิ้นพระชนม์ บุตรชาวนาก็ไปได้เป็นกษัตริย์คือพระเจ้าซุนเต้ ครั้งนั้นบังเกิดนํ้าท่วมเมืองราษฎรได้เกิดความเดือดร้อน

พระเจ้าซุนเต้มีขุนนางสัตย์ซื่อ ช่วยทำนุบำรุงเอาข้าวในยุ้งออกแจกจ่ายให้ราษฎรจึงได้เป็นสุขมา อันตัวเราจะไปเมืองหงอครั้งนี้วิตกด้วยราษฎรจะได้ความลำบาก หามีขุนนางผู้หนึ่งผู้ใดจะช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เหมือนครั้งพระเจ้าซุนเต้ไม่ จึงร้องไห้เพราะเหตุดังนี้

ฮวมเล้จึงว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า ท่านทั้งหลายก็เป็นขุนนางอยู่ในเมืองอวด ครั้งนี้มีความวิตกอยู่ด้วยบ้านเมือง จงช่วยกันทุกพนักงานทำนุบำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขอย่าให้อวดอ๋องมีความกังวลเลย ขุนนางทั้งปวงได้ฟังฮวมเล้ว่า ต่างคนคุกเข่าลงคำนับอวดอ๋องแล้วว่า ท่านจะบังคับบัญชาประการใด ข้าพเจ้าทั้งปวงก็จะช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองของท่านตามสติปัญญา ท่านอย่าได้วิตกเลย อวดอ๋องจึงว่าซึ่งท่านว่าทั้งนี้เราขอบใจนัก แต่ซึ่งผู้ใดจะไปกับเราจะอยู่รักษาเมือง จงบอกให้เราแจ้งด้วย บุนจงจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นฮวมเล้มีสติปัญญาและฝีมือควรจะไปกับท่านด้วย ถ้ามีทุกข์จะได้ปรึกษากัน การซึ่งจะรักษาเมืองนั้นไว้ธุระข้าพเจ้าท่านอย่าวิตกเลย ฮวมเล้จึงว่ากับอวดอ๋องว่า อันบุนจงจะอยู่รักษาเมืองนั้นชอบแล้วจะได้เกลี้ยกล่อมฝึกหัดทแกล้วทหาร และทำไร่นาเอาข้าวขึ้นยุ้งฉางไว้ให้บริบูรณ์ ข้าพเจ้าไปกับท่านก็จะได้แก้ไขให้ท่านมาเมืองจะได้กลับไปแก้แค้นเจ้าเมืองหงอให้จงได้ ท่านทั้งปวงจงตั้งใจทำการอาสาเจ้าอย่าให้มีความวิตกเลย

โคเสงไทไจจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะอยู่รักษาเมืองนี้ จะทำนุบำรุงบ้านเมืองตามประเพณี โดยจะมีกิจทุกข์สุขประการใดก็จะตัดสินให้เป็นสัจธรรม แล้วจะรักษาเกียรติยศชื่อเสียงอวดอ๋องมิให้ราษฎรติเตียนได้ อนึ่งท่านจะสั่งเสียต้องการสิ่งใดมา ข้าพเจ้าจะจัดแจงหาส่งไปมิให้ขัดสน เทียนหยงเป็นที่เกียหยินจึงว่า ข้าพเจ้าจะรับว่ากล่าวหัวเมืองขึ้นของท่านให้ปกติ ถ้าขุนนางจะเข้าออกในเมืองข้าพเจ้าจะจัดแจงมิให้ขายหน้าท่าน อนึ่งราษฎรจะไปมาค้าขายก็มิให้ทะเลาะวิวาทกัน ขอท่านอย่าเป็นกังวลเลย เฮาจีนเป็นที่ซีติดจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอทักท้วงว่ากล่าวผู้ตัดสินข้าราชการมิสุจริตนั้นให้สุจริตเป็นสัจธรรมจงได้ ถึงจะเป็นญาติวงศ์ของท่านและขุนนางผู้ใหญ่จะกระทำผิดข้าพเจ้าจะตักเตือนว่ากล่าวให้ทำแต่โดยชอบ อนึ่งจะเป็นบิดาและญาติวงศ์ของข้าพเจ้ากระทำผิด ข้าพเจ้าจะตักเตือนผู้กระทำโทษให้ทำโทษตามผิดมิให้เสียธรรมเนียมได้ จูกีข้างเป็นที่ซื่อเบ้จึงว่า ข้าพเจ้าจะเตรียมทหารและเครื่องศัสตราวุธไว้ให้พร้อม แม้ข้าศึกมีมาเมื่อใดก็จะยกออกต่อสู้ไปกว่าจะหาชีวิตไม่ ข้าพเจ้าจะเอาชีวิตข้าพเจ้าแทนคุณท่าน เกาอยู่เป็นที่ชีหยงจึงว่า ญาติพี่น้องของท่าน และอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงจะขัดสนประการใด ข้าพเจ้าจะจัดแจงผ่อนปรนให้ได้ความสุข ถึงจะเจ็บไข้ก็จะให้เงินทองไปรักษา ถ้าตายจะจัดแจงฝังศพ แล้วจะให้ราษฎรทำไร่นาให้มากขึ้น อันข้าวในฉางนั้นจะจำหน่ายเสีย แล้วจะเอาข้าวใหม่ขึ้นใส่ให้เต็มฉางจงได้ จะได้เป็นกำลังแก่ทหารต่อไปภายหน้า

เคยหงีเป็นที่ไทซือตำแหน่งโหรจึงว่า การซึ่งจะดูชะตาเมืองและดวงดาวฤกษ์บนดีและชั่วนั้น ข้าพเจ้าก็จะบอกบุนจงให้แจ้ง กับจะบูชาบวงสรวงเทพารักษ์ตามประเพณีให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขสืบแซ่ของท่านให้ยืนยาวไป อวดอ๋องจึงว่า ซึ่งท่านทั้งปวงนี้มีวิชาสติปัญญาสัตย์ซื่อตั้งใจจะทำนุบำรุงบ้านเมืองเราให้เป็นสุขนั้น ถึงเราจะไปเมืองหงอครั้งนี้ก็หาเป็นกังวลวิตกไม่ ท่านทั้งปวงจงพากันไปรักษาเมืองเถิด ตัวเรากับฮวมเล้จะลาท่าน ว่าแล้วก็จูงมือฮวมเล้มาที่ท่าเรือจอด ขุนนางทั้งปวงก็ตามมาส่ง ครั้นเห็นอวดอ๋องลงเรือแล้วขุนนางทั้งปวงก็ร้องไห้

อวดอ๋องเหลียวมาดูขุนนางยิ่งมีความอาลัยนัก จึงแหงนหน้าไปดูบนอากาศแล้วถอนใจใหญ่จึงว่า แต่ก่อนเรากลัวความตายเสียดายชีวิตอยู่ บัดนี้ท่านทั้งปวงรักใคร่ต่อเราเป็นอันมาก เราไปเมืองหงอครั้งนี้ ถึงหงออ๋องจะฆ่าเราเสียก็หาเสียดายชีวิตไม่ ว่าแล้วก็ให้ออกเรือ ขุนนางทั้งปวงคำนับส่งอวดอ๋องแล้วก็กลับมารักษาเมือง

ฝ่ายอวดอ๋องกับฮูหยินภรรยามาด้วยกันในเรือหามีความสบายไม่ ฮูหยินเห็นกาทำรังอยู่บนต้นไม้อันหนึ่ง แล้วบินข้ามฟากไปคาบได้กุ้งตายตัวหนึ่งที่ชายเลนริมตลิ่ง แล้วก็บินข้ามกลับมารัง ฮูหยินจึงนึกว่าแต่กาบินข้ามฟากไปแล้วยังอุตส่าห์กลับมาได้ ตัวท่านกับข้าพเจ้าจะไปเมืองหงอครั้งนี้ จะได้กลับมาเมืองหรือมิได้กลับมาก็ยังหารู้ไม่ คิดแล้วจึงถอนใจใหญ่ จึงร้องเพลงขึ้นว่า เงียปุยเจียวฮีโอเอียน เลงเอียนฮือฮีเพียนๆ จินจิวสู้ฮีฮือๆ ฮุ้นเกียนเก๊กฮีฮุยเกี้ยน โต๊ะซูเฮฮิอี๋มซุย ยีมเดดแซฮีหวังฮ้วนเซียบบ๊อจวยฮีฮู่ตี้ อุยห้อจ๋วยฮีเถียนเทียน ห้องเพียวๆ ฮีไซยหวั้ง ใจ่ใจ๊ฮ้อนฮีห้อหนีซินชวดๆ ฮีเยียกกัว ลุ่ยเอียนเฮี้ยนเฮี่ยนเทียนฮีซังหุย แปลเป็นคำไทยใจความว่า เงยหน้าเห็นนกดูเหมือนขึ้นกางปีกอยู่บนอากาศ ลงมาหาดทรายเที่ยวหาอาหาร กินกุ้งกินปลาอิ่มแล้วลงมาเล่นนํ้า ไซ้ปีกหางสบายก็บินไปรัง ตัวเราเอ๋ยหาความผิดไม่เหตุใดเทวดามาให้โทษ ลมพัดเย็นๆ ไปทิศตะวันตกเมืองเรา เหตุใดจึงกลับได้ทุกข์ร้อนเล่า เราไปครั้งนี้กี่ปีจะได้กลับ ใจเราไม่สบายเหมือนมีดแทงอยู่ในอก นํ้าตาไหลดังฝนตกมิได้หยุดยั้งทั้งสองตา

อวดอ๋องได้ฟังนางฮูหยินทำเพลงดังนั้น ก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นกว่าแต่ก่อน หากว่ากลัวนางฮูหยินรู้จะเสียใจ จึงแกล้งชื่นใจหัวเราะแล้วปลอบว่า เจ้าอย่าเศร้าโศกนักเลย เราไปอยู่ไม่ช้าเท่าใดมิวันหนึ่งก็วันหนึ่งคงจะได้กลับมา เปรียบเหมือนนกในเรื่องเพลงเจ้าขับนั้นบินข้ามไปเที่ยวหาเหยื่อ ได้แล้วกลับมาก็เหมือนกัน เจ้าอย่าวิตกเลย ครั้นเมื่อมาถึงเขาเงาซัวจึงสั่งฮวมเล้ให้เอาข้าวของเงินทองบรรทุกเกวียนเล่มหนึ่ง กับหญิงสามสิบคนขึ้นไปให้เป๊กพี ฮวมเล้คำนับลาไปจัดแจงสิ่งของทั้งปวงเสร็จแล้ว ก็พาหญิงสามสิบคนไปคำนับเป๊กพีแล้วแจ้งว่า อวดอ๋องคิดถึงคุณท่าน ให้ข้าพเจ้าเอาของทั้งนี้มาคำนับ เป๊กพีครั้นเห็นหญิงรูปงามกับของที่อวดอ๋องเอามาให้นั้นก็มีความยินดีนัก ด้วยตัวนั้นเป็นคนโลภจึงปราศรัยฮวมเล้ว่า ท่านมีความสุขอยู่หรือ บุนจงอยู่ไหนจึงไม่มา ฮวมเล้บอกว่าข้าพเจ้าได้พึ่งท่านครั้งนี้จึงได้มีความสุข อันบุนจงนั้นอวดอ๋องให้รักษาเมืองอยู่ เป๊กพีจึงว่าอวดอ๋องมาแล้วอยู่ไหนเล่า ฮวมเล้บอกว่าอวดอ๋องจอดเรืออยู่หน้าค่าย เป๊กพีได้ฟังดังนั้นก็ชวนฮวมเล้ไปหาอวดอ๋องถึงเรือ อวดอ๋องเห็นเป๊กพีมาก็ต้อนรับเชิญให้นั่งที่สมควรแล้วจึงว่ากับเป๊กพีว่า ท่านช่วยข้าพเจ้าครั้งนี้บุญหาที่สุดไม่ นานไปข้างหน้าข้าพเจ้าได้กลับไปเมืองแล้วเมื่อใดจะแทนคุณท่านให้ถึงขนาด

เป๊กพีได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ จึงว่าแก่อวดอ๋องว่าท่านอย่าได้วิตกเลย ถึงท่านจะมาอยู่เมืองหงอนี้ ข้าพเจ้าจะทำนุบำรุงให้เป็นสุขนานไปข้างหน้าจึงจะค่อยคิดอ่านให้กลับเมืองจงได้ ท่านเร่งขนของซึ่งจะไปคำนับหงออ๋องนั้นขึ้นบรรทุกเกวียนให้พร้อมเถิด เราจะได้พาไป อวดอ๋องได้ฟังเป๊กพีว่าก็ค่อยคลายทุกข์ จึงให้ขนของขึ้นจากเรือบรรทุกเกวียนเสร็จแล้ว จึงสั่งทหารที่เรือนั้นให้กลับไป แล้วชวนภรรยากับหญิงสามร้อยคนมาขึ้นเกวียน เป๊กพีก็ให้ทหารกำกับไปด้วย ตัวเป๊กพีก็ยกทัพตามไปต่อภายหลัง ครั้นถึงเมืองหงอพร้อมกัน อวดอ๋องก็ถอดเสื้อที่ตัวใส่ตามเคยนั้นออกเสีย แล้วจัดแจงแต่งตัวตามอย่างธรรมเนียมคนโทษมาแต่ก่อน สั่งให้ฮวมเล้ถือหนังสือรายชื่อสิ่งของซึ่งจะไปคำนับหงออ๋องนั้นตามไปด้วย เสร็จแล้วก็พากันไปหาเป๊กพี

เป๊กพีก็นำอวดอ๋องกับภรรยาและฮวมเล้เข้าไปคุกเข่าลงคำนับหงออ๋องพร้อมกัน แล้วเป๊กพีก็ให้ไปนั่งตามตำแหน่งของตัว อวดอ๋องจึงว่ากับหงออ๋องว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าคิดผิดหาปัญญามิได้ มารบแก่ท่านก็แพ้ โทษข้าพเจ้าถึงที่ตายอยู่แล้ว ท่านก็มิเอาโทษ คุณนั้นหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้ากับภรรยาจะขออยู่พึ่งบุญท่านไปกว่าจะสิ้นชีวิต หงออ๋องได้ฟังจึงว่ากับอวดอ๋องว่า ครั้งก่อนท่านฆ่าปู่เรานั้นโทษก็ถึงที่ตาย เรามีความโกรธเป็นอันมาก ครั้นเราจะฆ่าเสียบัดนี้ ท่านรู้สึกตัวกลับมาอ่อนน้อมยอมอยู่ด้วยเราแล้ว เราจะยกโทษให้ท่าน ท่านอย่าได้วิตกเลย

อวดอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ดีใจนัก จึงเรียกเอาหนังสือที่ฮวมเล้มาแล้วคำนับส่งให้หงออ๋อง หงออ๋องรับเอาหนังสือมาดูก็รู้ว่าอวดอ๋องเอาหญิงสามร้อยคนกับเครื่องบรรณาการมาให้เป็นอันมากก็ยินดี จึงสั่งให้คนใช้ไปรับหญิงนั้นเข้ามาข้างใน ฝ่ายหงอจูสู่อยู่ที่ตำแหน่งของตัว ได้ยินหงออ๋องยกโทษอวดอ๋องเสียแค้นใจนัก แล้วลุกขึ้นยืนถลึงตาร้องว่าไปกับหงออ๋องด้วยเสียงอันดังว่า ท่านจงตรองดูก่อน อันธรรมดานกบินอยู่บนอากาศท่านอยากได้ก็จะต้องลำบาก ด้วยหาเกาทัณฑ์ไปยิงจึงจะได้ บัดนี้อวดอ๋องก็มาถึงนี่แล้ว เหตุใดท่านจึงมิให้ทำโทษ เหมือนหนึ่งท่านได้เสือมาไว้แล้วก็ปล่อยเสือไปในป่า ได้ปลามาไว้แล้วก็เอาไปทิ้งเสียที่ทะเลก็ยิ่งมีกำลังมากขึ้น ถึงท่านจะอยากได้อีกเล่าก็คงจะหาสมคิดไม่ อันอวดอ๋องเหมือนปลา ท่านได้มาเกือบจะแกงกินอยู่แล้ว อวดอ๋องเอาของมาให้นั้นก็เหมือนมาซื้อปลาไปปล่อยก็เหมือนกัน ขอท่านจงตรึกตรองดูให้จงดีเถิด

หงออ๋องได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า เราก็รู้อยู่แล้วว่าเมืองอวดกับเมืองหงอมีความพยาบาทกันมาถึงสามชั่วแผ่นดินแล้ว จนถึงเราได้ครองสมบัติ ครั้นได้ตัวอวดอ๋องมาแล้ว เดี๋ยวนี้จะฆ่าเสียนั้นก็ตายเปล่า เราก็จะมีกรรมติดตัวไปภายหน้า เทพยดาทั้งปวงก็จะทำให้เรามีอันตรายต่างๆ เราคิดดังนี้จึงมิเอาโทษอวดอ๋อง

เป๊กพีจึงว่าแก่หงออ๋องว่า หงอจูสู่จะให้ฆ่าอวดอ๋องเสียเดี๋ยวนี้ก็เพราะมิได้รู้ว่าท่านงดโทษอวดอ๋อง เพื่อจะให้อาณาประชาราษฎร์และหัวเมืองทั้งปวงเลื่องลือไปว่าท่านมีใจโอบอ้อมอารีมิได้ทำร้ายแก่ผู้มาอ่อนน้อมข้าพเจ้าก็เห็นชอบแล้ว หงออ๋องได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด หงอจูสู่เห็นดังนั้นก็แจ้งว่าหงออ๋องเชื่อคำเป๊กพีมิได้เชื่อคำตัวคิดเสียใจนัก ถอนใจใหญ่แล้วคำนับลาไปบ้าน หงออ๋องเห็นหงอจูสู่ไปแล้วก็เรียกไตหูกองซุนทีหยงเข้ามาจึงสั่งว่า แต่ก่อนอวดอ๋องทำร้ายแก่ปู่เรา ท่านจงไปปลูกเรือนให้อยู่รักษาศพอับหลีซึ่งเป็นปู่เรานั้น อย่าให้เป็นอันตรายได้ กองซุนทีหยงก็ไปทำตามสั่ง แล้วหงออ๋องจึงว่าแก่อวดอ๋องว่า ท่านกับภรรยาจงไปอยู่รักษาศพปู่เราเถิด ที่นั่นก็ดีอยู่เราจะฝากม้าไปเลี้ยงด้วย ท่านอย่าใส่เสื้อแต่งตัวให้เหมือนกับอยู่ในเมืองเลย จงแต่งให้เหมือนกับคนโทษจึงจะชอบ

อวดอ๋องได้ฟังดังนั้นเสียใจนัก แต่ต้องจำใจแล้วคำนับลาพาภรรยากับฮวมเล้ไปรักษาศพ และเลี้ยงม้าอยู่ด้วยกลัวอาชญาหงออ๋องเป็นอันมาก ครั้นอยู่มาเป๊กพีก็ลอบเอาเสบียงอาหารไปให้อวดอ๋องอยู่เนืองๆ มิได้ขาด อวดอ๋องจึงได้มีความสุขสืบไป ถ้าหงออ๋องจะไปเที่ยวแห่งใด อวดอ๋องผูกม้าไปเทียมเกวียนถือแส้คอยท่าหงออ๋องอยู่ แล้วก็จูงม้านำเกวียนหงออ๋องไปด้วยทุกครั้ง ชาวเมืองทั้งปวงเห็นดังนั้น จึงบอกเพื่อนกันว่า ท่านยังไม่รู้จักอวดอ๋องแล้วก็จงมาดูเถิด อวดอ๋องจูงม้าเทียมเกวียนมาโน่นแล้ว ต่างคนต่างไปดูเป็นอันมาก

อวดอ๋องได้ฟังดังนั้นให้คิดละอายแก่ชาวเมืองนัก ก็จูงม้าก้มหน้าเดินไปมิได้เหลียวแล เร่งขับเกวียนไปส่งหงออ๋องตามเคยแล้วก็กลับมาบ้าน แต่อวดอ๋องรักษาศพและเลี้ยงม้ามาได้สองปีแล้ว ฮวมเล้นั้นคอยระวังอวดอ๋องอยู่มิได้คลาดไปทั้งกลางวันกลางคืน เวลาวันหนึ่งหงออ๋องว่าราชการจึงสั่งคนใช้ไปเรียกอวดอ๋องเข้ามา เมื่ออวดอ๋องเข้าไปคำนับหงออ๋องนั้น ฮวมเล้ก็ตามเข้าไปคำนับยืนอยู่ข้างหลังด้วย หงออ๋องเห็นดังนั้นจึงสรรเสริญฮวมเล้ว่า ท่านมีสติปัญญาและความเพียรเป็นอันมาก เราคิดเมตตาแก่ท่านจะเปรียบความให้ฟังข้อหนึ่งว่า อิสตรีรูปงามมีความเพียรปฏิบัติสามีดีอยู่แล้ว เหตุใดชายจึงจะไม่รัก ถึงจะหาผัวจำจะเลือกเอาที่มียศศักดิ์จึงจะชอบ อันธรรมเนียมหญิงที่จะมีผัวอันตํ่าไร้หาบ้านช่องมิได้นั้นหามิได้ อนึ่งชายที่มีสติปัญญาและฝีมือ ก็ย่อมหาเจ้านายที่แข็งแรงและมียศจึงจะเข้าทำราชการ หาพอใจที่จะอยู่กับคนไร้บ้านเมืองไม่ ตัวท่านมาอยู่กับอวดอ๋องนี้ไม่คิดอายแก่คนทั้งปวงหรือ บัดนี้อวดอ๋องกับท่านก็ยอมมาอยู่กับเราแล้วเราก็ยกโทษให้ เราจะเอาท่านมาไว้ใช้ตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่จะได้มีความสุขสืบไป ท่านจงยอมอยู่ทำราชการกับเราเถิด

อวดอ๋องได้ฟังดังนั้นกลัวฮวมเล้จะเชื่อคำหงออ๋องก็ก้มหน้าลงร้องไห้แล้วเหลียวหลังมาดูฮวมเล้ ฮวมเล้เห็นดังนั้นจึงว่ากับหงออ๋องว่า ข้าพเจ้าเป็นข้าอวดอ๋องผู้เสียเมือง มิอาจที่จะว่าราชการของท่านได้เปรียบเหมือนทหารเข้ารบกับข้าศึกแพ้เขามาแล้วกลับอวดตัวว่ามีฝีมือนั้นควรอยู่หรือ เมื่อข้าพเจ้าอยู่เมืองอวดนั้นหาสติปัญญาจะทำนุบำรุงให้อวดอ๋องเป็นสุขได้ไม่จนอวดอ๋องตกมาอยู่เมืองท่าน ทั้งนี้โทษข้าพเจ้าก็ผิดเป็นอันมาก ซึ่งท่านมิได้ฆ่าเสียนั้นคุณท่านหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าบ่าวนายจึงรอดชีวิตอยู่ ท่านเอาไว้ใช้แต่เพียงนี้ก็ควรอยู่กับสติปัญญาข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาตั้งตัวเป็นใหญ่ต่อไปแล้ว หงออ๋องเห็นว่าฮวมเล้มิยอมก็จนใจ จึงว่าท่านชอบอยู่แต่เพียงนั้นก็ตามใจท่านเถิด อวดอ๋องกับฮวมเล้ก็คำนับลามาที่อยู่ ฮวมเล้จัดแจงเตรียมหญ้ามาเลี้ยงม้า ไปหาฟืนมาหุงข้าวสู่กันกินมิได้เว้นวันจนรูปร่างหน้าตาฮวมเล้นั้นเหมือนคนตัดฟืนอยู่ในป่า

ฝ่ายนางฮูหยินภรรยาอวดอ๋องมิเคยตกยาก แต่มาอยู่เมืองหงอนั้นได้ความลำบากเป็นสาหัส สู้อุตส่าห์ตักนํ้าหุงข้าวเลี้ยงอวดอ๋องกับฮวมเล้กินทุกเวลามิได้ขาด พิศดูตัวจะนุ่งห่มเสื้อผ้าก็หาเหมือนแต่ก่อนไม่ ยิ่งไม่มีความสบายเสียใจเป็นอันมาก อนึ่งหงออ๋องก็ให้คนมาสอดแนมดูว่าอวดอ๋องจะคิดอ่านประการใด ก็หาเห็นอวดอ๋องคิดอ่านไม่ ตั้งหน้าหากินเป็นปกติอยู่จึงคิดว่าอวดอ๋องนี้เป็นคนสัตย์ซื่อหาปัญญามิได้ เห็นจะไม่คิดร้ายต่อเราสืบไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมาก็วางใจหาความรังเกียจไม่ วันหนึ่งหงออ๋องขึ้นไปเล่นอยู่บนโกโซไถหวังจะให้มีความสบาย

ขณะนั้นเป๊กพีอยู่ที่นั้นด้วย ครั้นแลเห็นอวดอ๋องนั่งอยู่ริมกองมูลม้ากับภรรยา พอฮวมเล้หาบหญ้าม้ามาถึงก็วางลง ยกฟ่อนหญ้าไปให้อวดอ๋องแล้วคำนับกันตามธรรมเนียมเจ้าข้ากันมาแต่ก่อน แล้วเห็นฮูหยินยังกลัวเกรงปฏิบัติสามีด้วยความสัตย์ซื่ออยู่ หงออ๋องเหลียวหน้ามาพูดกับเป๊กพีว่าอวดอ๋องเป็นแต่เจ้าเมืองเล็กน้อย ทั้งตัวก็ตกทุกข์ได้ยากถึงเพียงนี้ ฮวมเล้กับภรรยามีความสัตย์ซื่อกลัวเกรงคำนับกันอยู่ตามธรรมเนียมฉันผัวเมียบ่าวนายอยู่มิได้ขาด เราเห็นคนทั้งสามนี้มีความปรานียิ่งนัก

เป๊กพีจึงว่า แต่อวดอ๋องมาอยู่ในเมืองเรานี้ ข้าพเจ้าให้คนไปซับทราบสอดแนมดูอยู่เนืองๆ ก็เห็นว่าอวดอ๋องอ่อนน้อมสัตย์ซื่อต่อท่านโดยสุจริต ซึ่งท่านมีความกรุณาก็ชอบอยู่ หงออ๋องได้ฟังเป๊กพีว่าก็ยิ่งรักอวดอ๋องมากขึ้น จึงเรียกเป๊กพีว่าไทไจ เห็นอวดอ๋องสัตย์ซื่อมิได้คิดร้ายต่อเรา เราจะยกโทษให้ ท่านจะเห็นประการใด เป๊กพีจึงว่าท่านโปรดยกโทษให้อวดอ๋องได้กลับไปเมืองแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่า อวดอ๋องจะสนองคุณท่านไปกว่าจะสิ้นชีวิต ประการหนึ่งกิตติศัพท์จะเลื่องลือไปแก่อาณาประชาราษฎร์และหัวเมืองทั้งปวงๆ จะมีความเกรงกลัวแก่ท่านเป็นอันมาก

หงออ๋องได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วยมีความยินดีนัก แล้วให้โหรดูฤกษ์ว่าวันไรดีเราจะยกโทษอวดอ๋อง ให้เข้ามาอยู่ตามตำแหน่งขุนนางนอกทำเนียบพอเป็นสุข ว่าแล้วก็พากันไปที่อยู่ เป๊กพีครั้นมาถึงบ้านจึงใช้คนสนิทเอาเนื้อความไปลอบบอกแก่อวดอ๋องให้ทันแต่ในตีสิบเอ็ด อวดอ๋องแจ้งดังนั้นก็ดีใจ จึงใช้ให้ฮวมเล้ดูว่าเป๊กพีใช้ให้มาบอกเวลาวันนี้ ยังจะสมคำเป๊กพีหรือประการใด ฮวมเล้พิจารณาดูด้วยตำราแล้วจึงบอกแก่อวดอ๋องว่า วันนี้เป็นวันเสือแต่เวลาเป็นกระต่าย อันเสือกับกระต่ายนี้ไม่ชอบกัน ขอท่านอย่าเพ่อยินดีก่อนในตำรานั้นว่าเป็นทุกข์ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านจะพ้นโทษเร็วอยู่แล้วแต่ยังหาเป็นสุขไม่ อวดอ๋องได้ฟังฮวมเล้ทำนายดังนั้นยิ่งมีความวิตกเป็นอันมาก

ฝ่ายหงอจูสู่รู้ว่าหงออ๋องจะปล่อยอวดอ๋องเสียก็ตกใจ จึงรีบเข้าไปคำนับหงออ๋อง แลเห็นเป๊กพีอยู่ที่นั่นก็ยิ่งมีความแค้นขึ้นเป็นอันมาก หงออ๋องเห็นหงอจูสู่มาจึงถามว่าเสียงก๊กมีธุระสิ่งไร หงอจูสู่จึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่าท่านจะปล่อยอวดอ๋องไปเมืองเสียจริงหรือ หงออ๋องก็รับคำหงอจูสู่ว่าจริง หงอจูสู่จึงว่า ข้าพเจ้าจะว่าให้ท่านฟัง ตั้งแต่ครั้งแผ่นดินก่อนห้องสินนั้น พระเจ้าเคียดอ๋องครองเมืองจิวโก๋ จับพระเจ้าเสียงทางไปขังไว้ที่แฮถาย อนึ่งพระเจ้าติวอ๋องจับบุนอ๋องไปขังไว้ที่จิกลี้ พระเจ้าเคียดอ๋องกับพระเจ้าติวอ๋องมิได้ฆ่าบุนอ๋อง พระเจ้าเสียงทางเสียปล่อยไปนั้น ครั้นนานมาท่านทั้งสองก็ตั้งตัวได้กลับเป็นใหญ่กว่าหัวเมืองทั้งปวง ถ้าท่านไม่ฆ่าอวดอ๋องเสียจะปล่อยไปนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าก็เหมือนกันกับกษัตริย์ทั้งสองพระองค์ นานไปเห็นจะมีอันตรายแก่ท่านเป็นมั่นคง

หงออ๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งคนใช้ให้ไปเอาตัวอวดอ๋องมา สั่งแล้วหงออ๋องไม่สบายใจตัวร้อนขึ้นก็เข้าไปข้างใน ขุนนางก็พากันไปบ้าน ขณะหงออ๋องสั่งคนใช้นั้น เป๊กพีกระซิบสั่งคนใช้ของตัวให้ลอบไปบอกอวดอ๋องว่าหงออ๋องให้หามาจะฆ่าเสีย คนใช้ก็รีบไปแจ้งความแก่อวดอ๋องดังนั้นทุกประการ อวดอ๋องแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงปรึกษาฮวมเล้ว่า หงออ๋องจะหาตัวเราครั้งนี้เห็นจะมีอันตรายเป็นมั่นคง ท่านจะคิดอ่านประการใด ฮวมเล้จึงตอบว่า ท่านมาอยู่เมืองหงอนี้ถึงสามปีแล้ว หงออ๋องหาทำร้ายท่านได้ไม่ ครั้งนี้จะเข้าไปหาหงออ๋องพอถึงก็จะฆ่าเสียทีเดียวหรือท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะตามท่านไปด้วย อวดอ๋องจึงว่าเรามาอยู่เมืองนี้ถึงสามปีก็ได้อาศัยท่านจึงรอดชีวิต ครั้งนี้ท่านจะไปด้วยเรา เราก็สิ้นวิตก

ขณะนั้นพอคนใช้หงออ๋องมาบอกอวดอ๋องว่า หงออ๋องให้หาเข้าไปที่ว่าราชการ อวดอ๋องแจ้งดังนั้นยิ่งกลัวมากขึ้น แต่หากไว้ใจฮวมเล้ชวนฮวมเล้ไปด้วย รอหงออ๋องอยู่ที่ว่าราชการถึงสามวันก็มิได้เห็นออกมา ขณะนั้นเป๊กพีก็เดินออกมาแต่ข้างใน จึงบอกแก่อวดอ๋องว่า หงออ๋องสั่งให้ท่านกลับไปอยู่บ้านก่อนเถิด อวดอ๋องจึงว่าเหตุใดจึงจะให้กลับไปเสียเล่า แต่ข้าพเจ้ามาคอยอยู่นี่ถึงสามวันแล้วก็หาพบไม่ ยังมีความวิตกอยู่ด้วยไม่รู้ว่าหงออ๋องจะมีกิจกังวลประการใด ตัวท่านนี้มีธุระอะไรหรือจึงเข้ามาอยู่ข้างใน ท่านยังรู้ว่าหงออ๋องให้หาข้าพเจ้ามานี้จะประสงค์สิ่งใด เป๊กพีจึงบอกว่า อันหงออ๋องให้หาท่านมานั้น หวังจะฆ่าท่านเสียเพราะเชื่อคำหงอจูสู่ เดี๋ยวนี้ตัวหงออ๋องก็ป่วยอยู่ออกมาไม่ได้ เรามาเยี่ยมทั้งนี้ก็เพราะธุระของท่าน เราก็ได้ว่ากล่าวแก่หงออ๋องว่าตัวหงออ๋องก็ยังป่วยอยู่ อันการซึ่งจะชำระท่านนั้นขอให้งดไว้ก่อน เมื่อใดโรคหายจึงค่อยชำระต่อไป หงออ๋องเห็นด้วยจึงให้มาบอกท่านกลับไป อวดอ๋องจึงว่าท่านช่วยข้าพเจ้าครั้งนี้ บุญคุณหาที่สุดมิได้ ถึงก่อนนั้นท่านไม่ช่วยธุระแล้วไหนชีวิตข้าพเจ้าจะได้รอดมาจนปานนี้ ว่าแล้วก็คำนับลาเป๊กพีกลับไปอยู่บ้านได้ประมาณสามเดือน แต่คอยสอดแนมฟังข่าวอยู่เนืองๆ มิได้ขาด จึงรู้ว่าหงออ๋องยังหาหายโรคไม่ ก็สั่งฮวมเล้ให้ดูหงออ๋องว่าเป็นประการใด

ฮวมเล้ก็พิจารณาดูตามตัวได้เรียนมา จึงบอกแก่อวดอ๋องว่าในตำราจีนว่า เมื่อล้มเจ็บลงนั้นเป็นกิจือหยิดไทยว่าวันงู ถึงจะเป็นโรคก็หาสู้เป็นไรไม่ อันหงออ๋องเป็นโรคนี้อีกสี่ห้าวันพอถึงยิมสินหยิดไทยว่าถึงเดือนห้าวันลิงก็หาย ถ้าท่านไปเยี่ยมเห็นจะดี แม้นไปเยี่ยมหงออ๋องแล้วจงขออุจจาระของหงออ๋องนั้นมาพิเคราะห์ดู ท่านจงเอามือจิ้มอุจจาระเข้าชิม แล้วจงบอกแก่หงออ๋องว่าโรคนั้นอีกห้าวันก็จะหาย ข้าพเจ้าเห็นว่าหงออ๋องจึงจะสิ้นสงสัย ก็จะปล่อยท่านไปเป็นมั่นคง อวดอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ร้องไห้ จึงว่าแก่ฮวมเล้ว่า อันตัวเราชั่วถึงจะตกยากเพียงนี้ แต่ก่อนก็ได้เป็นเจ้าเมือง มาครั้งนี้ท่านจะให้ไปชิมอุจจาระหงออ๋องนั้นจะทำไปได้หรือ เราคิดละอายแก่คนทั้งหลายนัก ฮวมเล้จึงว่า ท่านว่านี้หาชอบไม่ ข้าพเจ้าจะเปรียบความให้ฟังก่อน แต่ครั้งพระเจ้าติวอ๋องจับบุนอ๋องไปขังไว้ที่จิวลี้นั้น ติวอ๋องก็ฆ่าเป๊กกิบโกผู้บุตรเสีย เอาเนื้อทำกับข้าวไปให้บุนอ๋องกิน บุนอ๋องก็รู้ว่าเป็นเนื้อบุตรของตัว แต่ต้องจำใจกินด้วยคิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่ไปข้างหน้า ท่านเล่าก็คิดจะกลับไปเมืองตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่ ทั้งการข้างหน้าก็ยังมีเป็นอันมาก แต่เพียงนี้ท่านทำไปไม่ได้แล้ว การที่คิดนั้นก็จะหาสำเร็จไม่ ตัวหงออ๋องนี้พยาบาทท่านก็จริงอยู่ แต่ทำให้ชอบใจนั้นง่ายนัก ด้วยว่านํ้าใจหงออ๋องเป็นผู้หญิง จะตัดสินถ้อยความสิ่งใดก็โลเลหามั่นคงไม่ เดี๋ยวนี้คิดจะปล่อยท่านไปอยู่มิได้ขาด ถ้าและท่านมิทำได้ดังนี้ที่ไหนหงออ๋องจะไว้ใจท่าน การของเราที่คิดไว้นั้นก็คงจะไม่สมคิด

อวดอ๋องได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงไปหาเป๊กพีที่บ้านแต่ผู้เดียวแล้วบอกว่า อันธรรมเนียมผู้อยู่ในแผ่นดินของท่านแล้ว เจ้าเมืองเจ็บไข้ก็ย่อมมีความทุกข์เป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้หงออ๋องป่วยก็ยังหาหายไม่ ข้าพเจ้าคิดวิตกอยู่มิได้ขาด จนไม่เป็นอันกินอันนอน ข้าพเจ้าจะขอเข้าไปเยี่ยมท่านจงเอาเนื้อความของข้าพเจ้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองด้วยเกิด เป๊กพีจึงว่าท่านว่านี้ชอบอยู่ เราจะเข้าไปบอกแก่หงออ๋องก่อน ว่าแล้วเป๊กพีก็เข้าไปคำนับหงออ๋องที่ข้างในจึงว่าแก่หงออ๋องว่า อวดอ๋องมีใจสัตย์ซื่อ คิดวิตกถึงท่านอยู่อยากจะใคร่เข้ามาเยี่ยมเยียนท่าน ขอท่านจงให้อวดอ๋องเข้ามาเถิด หงออ๋องได้ฟังดังนั้นจึงสั่งเป๊กพีให้ไปเรียกอวดอ๋องเข้ามา เป๊กพีก็ไปพาอวดอ๋องเข้ามาในที่ข้างในคุกเข่าลงคำนับแล้วก็นิ่งอยู่ หงออ๋องนอนอยู่จึงอุตส่าห์ลืมตาขึ้นปราศรัยอวดอ๋องว่า ท่านมาเยี่ยมเราด้วยหรือ

อวดอ๋องได้ฟังดังนั้นคำนับแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโทษทั้งมาอยู่ในเมืองหงอได้พึ่งบุญท่านก็มีความสุข รู้ว่าเจ้านายเจ็บป่วยก็หามีความสบายไม่ด้วยวิตกถึงท่านเป็นอันมาก อยากจะเข้ามาเยี่ยมท่านอยู่เนืองๆ แต่หากเกรงท่านอยู่ ข้าพเจ้าอยากจะใคร่เห็นท่านก็หามีผู้จะพาเข้ามาไม่ อวดอ๋องพูดอยู่กับหงออ๋องยังมิทันจะสิ้นคำ หงออ๋องก็ปวดท้องมากขึ้นหามีความสบายไม่ ก็เรียกจออิวให้เอาถังที่สำหรับรองอุจจาระเข้ามา จออิวก็บอกอวดอ๋องให้ไปข้างนอก อวดอ๋องจึงบอกเป๊กพีว่า ก่อนนั้นข้าพเจ้าอยู่กับครูได้เรียนดูไข้มาแต่ครูเป็นอันมาก ถ้าได้ดูแล้วชิมอุจจาระแล้ว โรคนั้นจะหายหรือไม่หายข้าพเจ้าก็รู้สิ้น ว่าแล้วก็ลุกออกมาข้างนอกประตู พวกจออิวก็เอาถังเข้าไปรอง ช่วยกันพยุงหงออ๋องขึ้นถ่ายอุจจาระ แล้วเป๊กพีก็ให้คนใช้เอาออกไปให้อวดอ๋อง อวดอ๋องก็เปิดฝาถังขึ้นทำเป็นพิจารณาดูแล้ว จึงนั่งลงเอามือจิ้มอุจจาระเข้าชิม คนใช้เห็นดังนั้นมีความเกลียดนักก็ปิดจมูกเมินหน้าเสียมิได้แลดู อวดอ๋องก็เข้าไปคุกเข่าคำนับหงออ๋องแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าได้ชิมอุจจาระท่านแล้วก็สิ้นวิตกเห็นว่าท่านคงจะหายเป็นแท้ ด้วยในตำรานั้นว่าเมื่อล้มเจ็บเป็นวันงูหาสู้เป็นไรไม่ พอถึงวันลิงโรคท่านก็จะหายเป็นมั่นคง หงออ๋องจึงถามว่าเหตุใดท่านจึงรู้ อวดอ๋องก็ตอบว่าก่อนนั้นข้าพเจ้าได้ถามครู ครูบอกไว้ว่าปีหนึ่งมีฤดูใหญ่อยู่สองฤดูคือร้อนและหนาว แต่ฤดูนั้นมีสี่อย่าง จีนเรียกซุน จีนเรียกแห จีนเรียกซิว จีนเรียกตัง ซุนแปลว่า ร้อนน้อย แหแปลว่าร้อนมาก ซิวแปลว่าหนาวน้อย ตังแปลว่าหนาวมาก สี่ฤดูนี้แบ่งเอาแต่สองฤดู จึงเรียกว่าฤดูใหญ่ฤดูหนึ่ง ถ้าฤดูต่อฤดูต่อกันแล้ว ร้อนหนาวนั้นก็กล้าขึ้น ซึ่งท่านป่วยครั้งนั้ก็เป็นไข้ตามฤดู แต่ตกในฤดูซุนแห ด้วยร้อนกล้าหาเป็นไรไม่ ถ้าตกในฤดูซิวตัง หนาวเข้าแล้วก็จะรักษายากเห็นจะไม่หาย นี่ข้าพเจ้าได้ชิมอุจจาระของท่านแล้วก็เห็นดีอยู่ ด้วยกลิ่นนั้นมีกลิ่นอาหารรสเปรี้ยวขมพิษยังไม่กล้า ท่านจงให้แพทย์ประกอบยาถ่ายเสีย ถ้าสิ้นพิษเมื่อใดไข้ท่านก็จะหายโดยเร็ว

หงออ๋องได้ฟังดังนั้นก็ดีใจนัก จึงว่าแก่อวดอ๋องว่า ท่านนี้มีความกตัญญูสัตย์ซื่อนักหาผู้เสมอมิได้ แล้วก็ถามเป๊กพีว่า ท่านยังจะชิมอุจจาระเราได้เหมือนอวดอ๋องหรือ เป๊กพีคำนับแล้วจึงว่าอันตัวข้าพเจ้าก็รักท่านเป็นอันมาก แต่จะทำเหมือนอวดอ๋องนั้นหาได้ไม่ หงออ๋องจึงตอบว่าอย่าว่าแต่ท่านเลย ถึงบุตรของเราก็หาทำได้เหมือนอวดอ๋องไม่ แล้วว่าแก่อวดอ๋องว่า ท่านจงไปอยู่บ้านก่อนเถิด ถ้าเราหายป่วยเมื่อไรจึงจะส่งท่านคืนไปเมือง อวดอ๋องได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก ก็คำนับลาหงออ๋องไปที่อยู่

ฝ่ายหงออ๋องตั้งแต่อวดอ๋องมาเยี่ยมกลับไปแล้ว ก็ให้แพทย์ประกอบยาทุเลาถ่ายท้องเสีย พิษไข้จึงค่อยถอยน้อยลงกว่าแต่ก่อน โรคนั้นก็ค่อยคลายหายปกติขึ้นดังเก่า ยิ่งคิดถึงคุณอวดอ๋องนัก อยู่มาวันหนึ่งหงออ๋องออกว่าราชการพร้อมขุนนางทั้งปวง หงออ๋องจึงสั่งคนใช้ให้จัดแจงโต๊ะแล้วชวนขุนนางไปกินเลี้ยงบนเก๋งสูง จึงสั่งจออิวไปหาตัวอวดอ๋องมา ขณะเมื่ออวดอ๋องเข้ามาคำนับนั้น แต่งตัวตามอย่างคนเลี้ยงม้า แล้วฮวมเล้ก็ตามอวดอ๋องเข้ามาคำนับอยู่ข้างหลังด้วย หงออ๋องเห็นดังนั้นจึงสั่งคนใช้ให้ไปเอาเครื่องสำหรับเจ้าเมืองใส่นั้นมาให้อวดอ๋อง แล้วว่าท่านจงแต่งตัวเสียใหม่จะได้มาพูดจากันเล่นให้สบาย

อวดอ๋องคำนับแล้วจึงว่า อันตัวข้าพเจ้าเป็นคนโทษ หาสมควรจะใส่เสื้ออย่างเจ้าเมืองไม่ ด้วยข้าพเจ้ากลัวคนทั้งปวงจะนินทา ซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าแต่เพียงนี้ คุณท่านหาที่สุดมิได้ หงออ๋องจึงว่าไหนๆ เราก็รู้อยู่ว่าท่านเป็นคนสัตย์ซื่อ เราจะปล่อยกลับไปเมืองแล้ว จงแต่งตัวเสียเถิดเราจะได้กินโต๊ะด้วยกันให้สำราญ อวดอ๋องได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นแต่งตัว เสร็จแล้วก็คุกเข่าลงคำนับหงออ๋อง หงออ๋องจับมือให้ยืนขึ้นเสีย จึงบอกแก่ขุนนางทั้งปวงว่า อวดอ๋องนี้มีความสัตย์ซื่อและกตัญญูต่อเรานัก ซึ่งอวดอ๋องทำผิดมาแต่ก่อนเราก็ยกโทษให้กลับคืนไปเป็นเจ้าเมืองดังเก่า ว่าแล้วก็เชิญอวดอ๋องขึ้นนั่งกินโต๊ะตามตำแหน่งเจ้าเมืองแล้วสั่งให้ฮวมเล้ไปนั่งที่สมควรข้างหน้า ขุนนางทั้งปวงก็นับถืออวดอ๋องเหมือนแต่ก่อน

หงอจูสู่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งของตัว เห็นหงออ๋องมิได้เอาโทษอวดอ๋องก็คิดอายแก่ขุนนางทั้งปวงนัก ยิ่งมีความโกรธเป็นอันมากก็ลุกทะลึ่งยืนขึ้นถลึงตาสะบัดแขนเสื้อพันมือแล้วจับชายเสื้อของตัวหิ้วไว้มิให้กีดเท้า ก็รีบไปบ้านเสียโดยเร็ว เป๊กพีเห็นดังนั้นจึงว่าแก่หงออ๋องว่า ท่านนี้มีนํ้าใจโอบอ้อมอารีหามีผู้เสมอไม่ กิตติศัพท์ก็จะลือทั่วไปแก่หัวเมืองทั้งปวง อันอวดอ๋องเล่าก็สัตย์ซื่อทั้งมีกตัญญูหาผู้จะเปรียบเป็นอันยาก ข้างหงอจูสู่นี้เป็นคนใจแข็ง เห็นว่าท่านมิได้เอาโทษอวดอ๋องจึงโกรธ ซึ่งท่านทำคุณอวดอ๋องทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นสมควรอยู่แล้ว หงออ๋องยิ่งมีความยินดีนัก หัวเราะแล้วจึงว่าแก่เป๊กพีว่า อันไทไจนี้เหมือนนั่งอยู่ในใจหงอจูสู่ก็เหมือนกัน ซึ่งคำของท่านว่ามาเราก็เห็นจริงด้วยทุกประการ

ฝ่ายคนใช้ก็เที่ยวรินสุราให้เจ้าเมืองกับขุนนางทั้งปวงพร้อมกันแล้ว หงออ๋องกับอวดอ๋องและขุนนางทั้งปวง ต่างคนต่างนั่งกินโต๊ะตามสบาย ส่วนอวดอ๋องกับฮวมเล้ก็รินสุราเข้าไปคำนับให้กับหงออ๋อง แล้วขอให้อายุท่านอยู่ครองสมบัติไปให้ยืนนานเกิด หงออ๋องได้ฟังดังนั้นชอบใจนัก ยิ่งมีความรักอวดอ๋องมากขึ้นกว่าแต่ก่อน หงออ๋องก็เสพสุราตามสบาย พอเพลาเย็นลงจึงสั่งให้กองซุนทีหยงจัดแจงแต่งที่กงก๊วนสำหรับรับแขกเมืองไว้แล้วให้พาอวดอ๋องไปอาศัยอยู่ที่นั่นก่อน สักสามวันเราจึงจะจัดแจงส่งอวดอ๋องไปเมือง สั่งแล้วหงออ๋องก็เข้าไปข้างใน อวดอ๋องแลขุนนางทั้งปวงก็คำนับหงออ๋องพร้อมกันแล้วต่างคนก็กลับไปบ้านของตัว กองซุนทีหยงก็นำอวดอ๋องไปให้อยู่ที่กงก๊วนตามสั่งทุกประการ

หงอจูสู่ครั้นเพลารุ่งขึ้นก็เข้าไปคำนับหงออ๋องแล้วว่า วานนี้อวดอ๋องเข้ามากินโต๊ะ เหตุใดท่านจึงมิได้ฆ่าเสีย กลับตั้งอวดอ๋องให้เป็นเจ้าเมืองดังเก่าแล้วปล่อยตัวไปนั้นท่านคิดประการใด หรือท่านพิเคราะห์ดูนํ้าใจและหน้าตาอวดอ๋อง เห็นว่าเป็นคนสัตย์ซื่อนั้นข้าพเจ้าเห็นด้วยไม่ อวดอ๋องนี้หน้าซื่อก็จริงอยู่ แต่หน้าเหมือนหน้าเนื้อ อันนํ้าใจก็เหมือนใจเสือหาความสัจไม่ แม้ปล่อยไปเมืองเมื่อใดก็เหมือนหนึ่งท่านปล่อยเสือเข้าป่าก็เหมือนกัน อันธรรมดาเสือนั้นมิได้รู้จักคุณคนด้วยเป็นสัตว์เดรัจฉาน ภายหลังอันตรายก็จะมีแก่ท่านเป็นมั่นคง อันคนมีกตัญญูซื่อตรงมาพูดจาท่านก็หาเชื่อไม่ ท่านเชื่อแต่คำคนพาลไปข้างเดียวดังนี้ เหมือนท่านเอาผมเผาในอั้งโลไฟหมายจะให้ไหม้หมดเป็นเถ้าแล้ว แม้นท่านเชื่อคำเป๊กพีจะทำไมตรีไว้กับอวดอ๋องนั้น ข้าพเจ้าเห็นเหมือนกับไข่กระทบหินแตกออกแล้ว ถึงเป๊กพีจะมาติดกันเข้านั้นก็จะดีดังเก่าที่ไหน ย่อมจะเป็นรอยหาหายไม่ ท่านจงตรองดูจงควรเกิด

หงออ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่าแก่หงอจูสู่ว่า อันตัวนี้ดีแต่จะยุให้ฆ่าอวดอ๋องเสีย ตัวเราป่วยอยู่ถึงสามเดือนแล้ว ท่านหามีสิ่งไรมาเยี่ยมเยียนเราไม่ แม้นมาทีไรก็เอาแต่ความมิดีมาเจรจา หาให้เรามีความสบายไม่ กลับว่าอวดอ๋องเป็นคนชั่วเสียอีกเล่า อันอวดอ๋องนี้มีความกตัญญูสัตย์ซื่อต่อเรานัก ตัวก็อยู่ถึงเมืองอวดแต่สู้ทิ้งเมืองเสีย กลับเอาของข้าวอ่อนน้อมยอมอยู่ด้วย เมื่อครั้งเจ็บมาเยี่ยมเรา ทั้งชิมอุจจาระดูว่าจะดีและชั่วก็ชิมได้ จนเพียงนี้แล้วยังว่าไม่ดี ท่านกลับจะให้ฆ่าเสีย ถ้าเราทำตามท่านเทวดาก็จะทำอันตรายต่างๆ เราหาเห็นด้วยไม่ หงอจูสู่จึงตอบว่า ข้าพเจ้าว่านี้ก็หวังจะเตือนท่านด้วยเห็นว่าอวดอ๋องมาอยู่ในเงื้อมมือเรากลับได้ความสุข ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความแค้นแทนท่านประหนึ่งว่าศีรษะจะแตกทำลายไป ซึ่งท่านว่าดีนี้ก็เพราะรู้ไม่ถึงใจอวดอ๋อง อวดอ๋องกินอุจจาระท่านก็จริงใช่จะกินโดยสุจริตนั้นหาไม่ อันกินอุจจาระครั้งนี้ก็เหมือนมากินหัวใจของท่านเสียก็เหมือนกัน แม้นท่านมิเชื่อคำแล้วนานไปข้างหน้าเมืองหงอก็จะเป็นอันตรายไม่มีสุขสืบไปแล้ว

หงออ๋องได้ฟังหงอจูสู่ว่าก็มีความโกรธเป็นอันมากจึงว่า เสียงก๊กอย่าพูดต่อไปอีกเลยเราหาฟังไม่ วันพรุ่งนี้เราจะจัดแจงส่งอวดอ๋องให้กลับไปจงได้ หงอจูสู่ว่าหงออ๋องมิได้เชื่อคำตัว คิดเสียใจนักคำนับลาแล้วกลับไปบ้าน

ฝ่ายหงออ๋องคิดว่าถึงวันกำหนดที่จะส่งอวดอ๋องเพลาพรุ่งนี้แล้ว จึงสั่งจออิวให้จัดแจงโต๊ะไปคอยอยู่ที่นอกกำแพงประตูตั้วหมึง จะได้เลี้ยงอวดอ๋องกับขุนนางทั้งปวง ครั้นเพลารุ่งเช้าหงออ๋องกับขุนนางทั้งปวงก็จัดแจงพากันไปส่งอวดอ๋องถึงประตู แต่หงอจูสู่หามาไม่ หงออ๋องก็เรียกจออิวให้รินสุรามาให้จึงส่งให้อวดอ๋อง แล้วว่าท่านกลับไปเมืองครั้งนี้จงมีความสุขเถิด อวดอ๋องรับถ้วยเหล้ามาแล้วก็คำนับหงออ๋อง หงออ๋องรับคำนับแล้วต่างอวยพรให้ตามธรรมเนียมเสร็จแล้ว หงออ๋องจึงว่ากับอวดอ๋องว่า ท่านจะกลับไปเมืองครั้งนี้อย่าลืมคุณเราเสีย ท่านอยู่ในเมืองหงอนี้ได้ตกยากประการใดนั้นจงขออภัยเสียเถิด ท่านจงคิดถึงคุณที่เราได้กระทำไว้ให้จงมาก อวดอ๋องจึงตอบว่าอันท่านปล่อยข้าพเจ้าไปครั้งนี้คุณหาที่สุดมิได้ นานไปข้างหน้าถ้าข้าพเจ้าคิดร้ายต่อท่านแล้วเทพยดาก็จะหาเข้าด้วยไม่ หงออ๋องจึงว่า เรารู้อยู่ว่าท่านก็กตัญญูและซื่อตรงต่อเราเป็นอันมาก จงพูดแต่เท่านั้นเราเชื่อแล้ว เชิญท่านกลับไปเมืองให้เป็นสุขเถิด อวดอ๋องก็คุกเข่าลงคำนับแล้วก็ทำประหนึ่งเศร้าโศกเป็นอันมาก หงออ๋องจับมืออวดอ๋องพาไปส่งให้ขึ้นเกวียนฮวมเล้นางฮูหยินอยู่

ฝ่ายนางฮูหยินก็เข้าไปคำนับหงออ๋องแล้วก็ขึ้นเกวียนเดียวกับอวดอ๋อง ฮวมเล้ก็ขับเกวียนไป หงออ๋องกับขุนนางทั้งปวงก็พากันกลับมาที่อยู่ ขณะเมื่อหงออ๋องปล่อยอวดอ๋องไปนั้น ศักราชพระเจ้าจิวเค่งอ๋องเสวยราชย์ได้ยี่สิบเก้าปี

ฝ่ายอวดอ๋องครั้นมาถึงที่ท่าข้ามตรงตำบลจิดกัง ก็พิจารณาดูบ้านเมืองของตัวเห็นสมบูรณ์ขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงบอกแก่ฮูหยินว่าแต่ก่อนเราตกไปอยู่เมืองหงอคิดว่าจะไม่ได้กลับคืนมาแล้ว นี่หากว่าบุญของเราจึงได้กลับมาเห็นบ้านเมือง นางฮูหยินได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่าที่อันนี้เมื่อเราจะลงเรือขุนนางทั้งปวงมาส่ง เรามีความอาลัยเป็นอันมาก ว่าแล้วผัวเมียก็พากันร้องไห้ ฮวมเล้ได้ยินดังนั้นคิดสงสารเจ้านายนักก็ร้องไห้

ฝ่ายบุนจงซึ่งรักษาเมืองอยู่นั้น รู้ว่าอวดอ๋องได้กลับมาแล้วมีความยินดีนัก จึงชวนขุนนางทั้งปวงพากันออกไปรับอวดอ๋องถึงที่ตำบลจิดกัง ชาวเมืองรู้ดังนั้นดีใจเป็นอันมากก็พากันตามบุนจงไปด้วย บุนจงก็จัดแจงเรือออกไปรับอวดอ๋องกับภรรยาและฮวมเล้ข้ามมาพักอยู่ที่จิดกัง บรรดาขุนนางและอาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงก็พากันเข้าไปคำนับอวดอ๋องตามธรรมเนียม อวดอ๋องเห็นดังนั้นก็ยิ่งมีความสบายขึ้นเป็นอันมาก จึงสั่งฮวมเล้ให้ดูว่าวันใดจะดี เราจึงจะยกเข้าไปในเมือง ฮวมเล้ได้ฟังดังนั้นคิดว่าเราจะให้อวดอ๋องคอยอยู่จนวันดีแล้ว แม้นมีผู้ยุยงหงออ๋อง หงออ๋องกลับใจไปใช้ให้ทหารมาเอาตัว ก็เห็นว่าจะเสียทีด้วยอวดอ๋องยังมิได้เข้าไปในเมือง คิดแล้วจึงว่ากับอวดอ๋องว่าท่านจะให้หาวันดีนั้นข้าพเจ้าเห็นอยู่แต่วันพรุ่งนี้ ถ้าพ้นพรุ่งนี้ไปก็หามีวันดีไม่ ท่านจงจัดแจงตัวเถิดจะได้รีบเข้าไปนั่งที่ว่าราชการให้ทันแต่ในเพลาเช้า

อวดอ๋องได้ฟังฮวมเล้ว่าจึงชวนภรรยาไปขึ้นเกวียนพร้อมขุนนางและราษฎรทั้งปวง ก็รีบไปเพลากลางคืน ครั้นถึงที่ว่าราชการพอสว่างอวดอ๋องก็ขึ้นไปนั่งที่ของตัวมาแต่ก่อน จึงปราศรัยแก่ขุนนางว่า ตั้งแต่เราจากไปได้สามปีเข้านี่แล้ว ท่านทั้งปวงยังค่อยเป็นสุขอยู่หรือ ซึ่งท่านช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองเราให้บริบูรณ์ขึ้นนี้ คุณของท่านมีแก่เราเป็นอันมาก

ขุนนางทั้งปวงได้ยินอวดอ๋องถาม ก็คุกเข่าลงคำนับพร้อมกันแล้วตอบว่า แต่ท่านจากไปข้าพเจ้าทั้งปวงหามีความสบายไม่ อันธรรมเนียมขุนนางที่ได้รับเบี้ยหวัดและเงินเดือนของท่านนั้นก็ย่อมทำนุบำรุงบ้านเมืองเป็นธรรมดา ซึ่งท่านเมตตายกความชอบข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ คุณท่านหาที่สิ้นสุดมิได้ ว่าแล้วต่างคนคำนับลาไปที่อยู่ ขณะเมื่อขุนนางกลับไปอวดอ๋องจึงว่าเมืองอวดนี้ที่ชัยภูมิหาดีไม่ จึงไปแพ้แก่ข้าศึกที่เขากวยกีซัวเราได้ความอายเป็นอันมาก ครั้งนี้จำจะต้องไปสร้างเมืองอยู่ที่เขานั้นจึงจะชอบ เราจะได้แก้ความอายของเราได้ คิดแล้วครั้นเพลารุ่งขึ้นอวดอ๋องออกที่ว่าราชการ จึงปรึกษากับฮวมเล้ว่าแต่ก่อนเราแพ้แก่ข้าศึกที่เขากวยกีซัว เรามีความเจ็บใจเป็นอันมาก บัดนี้เราคิดว่าจะไปตั้งเมืองอยู่ที่เขานั้น จึงจะแก้ความแค้นได้ เราคิดดังนี้ท่านจะเห็นประการใด

ฮวมเล้จึงว่า ท่านคิดเช่นนั้นข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย อวดอ๋องจึงว่า ถ้าท่านเห็นด้วย ท่านจงกะเกณฑ์ป่าวร้องหัวเมืองขึ้นและชาวเมืองของเราไปช่วยกันทำให้เสร็จ ฮวมเล้ก็คำนับลาออกไปกะเกณฑ์ป่าวร้องหัวเมืองและชาวเมืองให้ไปช่วย ครั้นเห็นหัวเมืองชาวเมืองมาพร้อม จึงจัดแจงทหารของตัวที่เป็นช่างนั้นให้หาเครื่องมือไว้ให้พร้อม เสร็จแล้วก็พากันไปที่เขากวยกีซัว จึงให้กะหน้าที่ที่จะทำกำแพงนั้นปักกรุยลงไว้ ทหารและคนทั้งปวงให้ช่วยกันถากถางที่รกชัฏเสียให้เตียน แล้วจึงสั่งให้ขุดที่ทำรากแล้วเอาหินถมให้แน่นหวังมิให้ทรุด จึงก่อเป็นกำแพงขึ้นรอบเขาแต่สามด้านไว้ทางตะวันตกด้านหนึ่ง ด้วยฮวมเล้คิดว่าจะยกทัพไปกำจัดหงออ๋องจึงจะไม่รู้ตัว คิดแล้วก็ประกาศแก่คนทั้งปวงว่า เราเว้นทางว่างไว้นี้ก็เพราะหวังว่าจะได้ส่งเครื่องบรรณาการไปเมืองหงอให้ง่าย

ฮวมเล้พูดทั้งนี้ก็เพราะจะให้กิตติศัพท์รู้ไปถึงหงออ๋องจะได้ไม่สงสัย ครั้นทำกำแพงเสร็จแล้วพอเพลาคํ่าวันนั้นมีเขาอันหนึ่งเหมือนรูปเต่าลอยมาแต่ทิศตะวันออก มาตกตั้งอยู่ในกำแพงซึ่งทำใหม่นั้นคนทั้งปวงก็หารู้ไม่ ครั้นเพลาเช้าคนซึ่งฮวมเล้ใช้ให้ไปตรวจหาที่นั้น ครั้นไปเห็นเขาเข้าคิดประหลาดใจนัก ตั้งแต่เรามาทำงานอยู่ที่นี่ก็หาเห็นไม่ เหตุใดมามีขึ้นดังนี้น่าอัศจรรย์ ขณะนั้นมีผู้คนมาดูเป็นอันมาก มีชายผู้หนึ่งแซ่และชื่อหาปรากฏไม่ พูดขึ้นว่าเราจำได้อยู่เขาอันนี้เห็นจะลอยมาแต่เมืองเจ๋ชื่อว่าเขาตั้งกูซัว อันเขานี้อยู่ที่ลังเหียว ฮวมเล้แจ้งดังนั้นก็กลับไปบอกแก่อวดอ๋องทุกประการแล้วว่า อันเหตุมีมาทั้งนี้ก็เพราะว่าบ้านเมืองเราจะได้ความสุขสืบไป

อวดอ๋องได้ฟังดังนั้นยินดีนักจึงตั้งชื่อเขานั้นเสียใหม่ให้ชื่อว่า เขาปวยไลซัว แปลว่าเขาลอยมา แล้วว่ากับฮวมเล้ว่า เขาลอยมานั้นก็เพราะบุญของเรา ท่านจงไปตั้งเป็นเหลาไตขึ้น แล้วให้มีชั้นสามชั้นจึงให้ชื่อว่าเลงไต ฮวมเล้ก็คำนับลากลับไปเขากวยกีซัวแล้วให้หาช่างมาประชุมพร้อมกัน ฮวมเล้ก็ทำอย่างไว้ให้ดู นายช่างทั้งปวงต่างคนดูอย่างแล้วก็รีบไปจัดแจงกะเกณฑ์กันทำเลงไตนั้นให้แล้วโดยเร็ว ฮวมเล้ก็มาตรวจตราดูนายช่างทั้งปวงให้ทำงานอยู่มิได้ขาด ครั้นเลงไตแล้วก็ให้ช่างทำป้อมปราการและเชิงเทินทั้งที่อยู่ของอวดอ๋องทั้งข้างหน้าข้างใน และทำตำแหน่งที่ขุนนางกับอาณาประชาราษฎร์ซึ่งเป็นข้าราชการพร้อมเสร็จแล้ว ฮวมเล้ก็กลับไปแจ้งแก่อวดอ๋องทุกประการ อวดอ๋องแจ้งดังนั้นดีใจนัก ครั้นถึงวันดีให้ป่าวร้องราษฎรทั้งปวงให้รู้ทั่วกันแล้ว อวดอ๋องก็อพยพครอบครัวไปตั้งอยู่ที่เขากวยกีซัว จึงออกนั่งที่ว่าราชการจัดแจงที่อยู่ให้ขุนนางเสร็จแล้วขุนนางทั้งปวงก็คำนับลาไปที่อยู่ใหม่ของตัวตามผาสุก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ