- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๗๒
ฝ่ายฮุยบอเก๊กอยู่ ณ บ้านคิดวิตกว่านานไปไทจูเกี๋ยนได้เป็นเจ้าเมืองขึ้นเขาหาเลี้ยงเราไม่จะฆ่าเราเสีย ครั้นคิดดังนั้นแล้วจึงเข้าไปหาฌ้อเพงอ๋องแจ้งว่า ไทจูเกี๋ยนได้หงอเซียไปเป็นที่ปรึกษามีใจกำเริบหมายจะตั้งตัวเป็นใหญ่ บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าไทจูเกี๋ยนไปขอกองทัพเมืองจิ๋นเมืองเจ๋มาจะตีเมืองท่าน ท่านจงระวังตัวเถิด ฌ้อเพงอ๋องหาเชื่อไม่จึงตอบว่า อันไทจูเกี๋ยนบุตรเราคนนี้เป็นคนกตัญญูสัตย์ซื่อเห็นจะหาเป็นเช่นท่านว่าไม่
ฮุยบอเก๊กจึงว่า ไทจูเกี๋ยนคิดโกรธท่านว่าเอานางเม่งหยงมาเป็นภรรยาเสียพยาบาทท่านอยู่ ข้าพเจ้าแจ้งว่าทุกวันนี้ไทจูเกี๋ยนให้ซ้อมหัดทแกล้วทหารมิได้ขาด ถ้าท่านไม่กำจัดไทจูเกี๋ยนแล้ว ข้าพเจ้าก็จะลาท่านตายเสีย ครั้นจะขืนอยู่ไทจูเกี๋ยนก็จะกลับฆ่าข้าพเจ้าเป็นมั่นคง ฌ้อเพงอ๋องได้ฟังฮุยบอเก๊กชี้แจงเห็นดีด้วยจึงว่า ถ้าดังนั้นเราจะให้ไปถอดไทจูเกี๋ยนเสียจากที่ไทจู จะตั้งจิ๋นจูให้เป็นไทจูแทน ฮุยบอเก๊กจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ไปถอดไทจูเกี๋ยนนั้นยังไม่ได้ ด้วยไทจูเกี๋ยนมีทแกล้วทหารเป็นอันมาก ประการหนึ่งหงอเซียเป็นคนมีสติปัญญา จะให้ไปขอทหารเมืองจิ๋นเมืองเจ๋มาช่วยเราก็จะขัดสนเสีย ข้าพเจ้าคิดว่าให้ท่านมีหนังสือไปให้หาตัวหงอเซียมาขังเสีย แล้วจึงให้ทหารไปจับตัวไทจูเกี๋ยนก็จะได้โดยง่าย ฌ้อเพงอ๋องเห็นชอบด้วยจึงให้ทำหนังสือฉบับหนึ่งเป็นหนังสือรับสั่งให้หาหงอเซียกลับเข้าเมือง ให้คนใช้เอาไปให้หงอเซียที่ตำบลเซงหู หงอเซียครั้นแจ้งในหนังสือนั้นหารู้ตัวไม่ ก็รีบมากับผู้ถือหนังสือจึงเข้าไปคำนับฌ้อเพงอ๋อง ฌ้อเพงอ๋องจึงถามหงอเซียว่าท่านคบคิดกับไทจูเกี๋ยนคิดร้ายเราจริงหรือไม่
หงอเซียได้ฟังฌ้อเพงอ๋องถามดังนั้นโกรธนัก ด้วยถือว่าตัวซื่อสัตย์ต่อฌ้อเพงอ๋อง จึงตอบว่า ท่านเอาบุตรสะใภ้เป็นภรรยาแล้วมิหนำซ้ำเชื่อคนสอพลอประจบประแจงยุยงดังนี้ ท่านสิ้นกรุณาข้าพเจ้าผู้บ่าวและบุตรของท่านแล้วหรือ ฌ้อเพงอ๋องได้ฟังหงอเซียลำเลิกเอาความนางเม่งหยงมาว่าขึ้นต่อหน้าขุนนางทั้งปวงดังนั้นมีความโกรธนัก จึงสั่งบูซูคำไทยว่าตำรวจ ให้เอาตัวหงอเซียไปจำไว้ที่สงัด ฮุยบอเก๊กเห็นฌ้อเพงอ๋องสั่งให้จำหงอเซียได้ทีจึงซ้ำว่า หงอเซียยกเอาความนางเม่งหยงซึ่งเป็นความลับของท่านมาว่าให้ได้อัปยศดังนี้ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าหงอเซียหานับถือเกรงกลัวท่านเหมือนข้ากับเจ้าไม่ อนึ่งซึ่งท่านให้จำหงอเซียเสียนั้น ถ้าไทจูเกี๋ยนรู้ก็จะโกรธท่าน ด้วยไทจูเกี๋ยนนับถือหงอเซียว่าเป็นอาจารย์ ข้าพเจ้าเห็นว่าไทจูเกี๋ยนจะไปขอกองทัพเมืองจิ๋น เมืองเจ๋ยกมาแก้แค้นแทนหงอเซียเป็นมั่นคง ซึ่งเราจะต่อสู้ทหารสองเมืองได้ละหรือ
ฌ้อเพงอ๋องได้ฟังเห็นดีด้วย จึงปรึกษาฮุยบอเก๊กว่า เราจะฆ่าไทจูเกี๋ยนเสียนั้นท่านจะเห็นประการใด ฮุยบอเก๊กจึงว่า ซึ่งจะให้คนข้างนอกไปจับไทจูเกี๋ยนนั้น เห็นว่าไทจูเกี๋ยนรู้ตัวจะหายอมโดยดีไม่ จะต้องป่วยการทแกล้วทหาร ข้าพเจ้าคิดเห็นอุบายอย่างหนึ่ง ให้ท่านมีหนังสือไปถึงขุนนางของท่านซึ่งให้ไปรักษาตำบลเซงหูอยู่กับไทจูเกี๋ยนแต่ก่อนนั้น ให้ลอบจับไทจูเกี๋ยนฆ่าเสียก็จะได้โดยสะดวก เหมือนหนึ่งจับสุกรและไก่ก็เหมือนกัน ฌ้อเพงอ๋องจึงให้ทำหนังสือฉบับหนึ่งไปถึงฮุ้ยเอี๋ยง ซึ่งรักษาตำบลเซงหูอยู่แต่ก่อนนั้น ใจความว่าให้จับไทจูเกี๋ยนฆ่าเสีย ถ้าสำเร็จราชการแล้วจะตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าฮุ้ยเอี๋ยงรู้หนังสือนี้แล้วหาทำตามเราสั่งไม่จะเอาโทษถึงสิ้นชีวิต ครั้นทำหนังสือเสร็จแล้วจึงให้คนใช้เอาไปให้ฮุ้ยเอี๋ยงยังตำบลเซงหู ฮุ้ยเอี๋ยงแจ้งในหนังสือดังนั้นคิดสงสารไทจูเกี๋ยนเป็นอันมากด้วยหามีข้อผิดไม่ จึงให้คนสนิทลอบรีบไปแจ้งแก่ไทจูเกี๋ยนให้เร่งหนีไปเสียแต่ในเวลานี้ ไทจูเกี๋ยนครั้นแจ้งความดังนั้นตกใจนัก จึงเข้าไปบอกแก่นางเจ๋หนึง เจ๋หนึงคนนี้มีบุตรกับไทจูเกี๋ยนคนหนึ่งชื่อก๋งจูเซ่ง ไทจูเกี๋ยนก็พาบุตรและภรรยาหนีไปอยู่เมืองซอง ครั้นไทจูเกี๋ยนหนีไปแล้วฮุ้ยเอี๋ยงจึงเอาโซ่ตรวนจำตัวเข้าแล้วให้ทหารที่รักษาตำบลเซงหนั้นคุมตัวขึ้นไปหาฌ้อเพงอ๋อง จึงลุกะโทษกับฌ้อเพงอ๋องว่า บัดนี้ไทจูเกี๋ยนรู้ตัวหนีไป ข้าพเจ้าตามจับหาทันไม่ โทษข้าพเจ้าก็ถึงตายอยู่แล้วแต่ท่านจะโปรดเถิด
ฌ้อเพงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงมีกระทู้ถามว่า เราให้เอาหนังสือไปให้แก่ตัวผู้เดียว หามีผู้ใดรู้เป็นสองไม่ เหตุใดไทจูเกี๋ยนรู้ตัวหนีไปก่อนเล่า ฮุ้ยเอี๋ยงจึงตอบว่า ไทจูเกี๋ยนรู้ตัวนั้นข้าพเจ้าบอกความแก่ไทจูเกี๋ยนเอง ด้วยแต่ก่อนนั้นท่านสั่งไปว่าให้ดูแลเอาใจไทจูเกี๋ยนเหมือนหนึ่งตัวท่าน ครั้นจะไม่เจ็บร้อนด้วยไทจูเกี๋ยนเล่า ก็เหมือนไม่อยู่ในถ้อยคำของท่าน ฌ้อเพงอ๋องว่าเมื่อตัวบอกแก่เขาแล้วกลับมาหาเรานั้น หากลัวความตายไม่หรือ ฮุ้ยเอี๋ยงจึงว่า ท่านมีหนังสือไปถึงข้าพเจ้าให้จับตัวไทจูเกี๋ยนฆ่าเสีย ข้าพเจ้าหาทำตามหนังสือไม่ผิดข้อหนึ่ง ข้อหนึ่งข้าพเจ้าจับไทจูเกี๋ยนไม่ได้และตัวจะซ้ำหนีไปเสียนั้นจะมิผิดเป็นสองข้อหรือ ข้าพเจ้าคิดเห็นอย่างนี้จึงเข้ามาหาท่านหวังจะให้ผิดอยู่ข้อเดียว ท่านจะเอาโทษข้าพเจ้าสิ้นชีวิตข้าพเจ้าก็หาว่าไม่ แต่ให้บุตรท่านรอดจากความตายเถิดจะได้สืบวงศ์ท่านต่อไป
ฌ้อเพงอ๋องได้ฟังฮุ้ยเอี๋ยงรับสภาพดังนั้น จึงคิดว่าฮุ้ยเอี๋ยงปล่อยไทจูเกี๋ยนไปเสียนั้นโทษก็ผิดจริง แต่จำจะภาคทัณฑ์ไว้ครั้งหนึ่งด้วยฮุ้ยเอี๋ยงเป็นคนซื่อสัตย์อยู่ จึงให้ฮุ้ยเอี๋ยงไปรักษาตำบลเซงหูอยู่ตามเดิม ฮุ้ยเอี๋ยงก็คำนับไปตามสั่ง ฌ้อเพงอ๋องจึงตั้งบุตรซึ่งเกิดกับนางเม่งหยงนั้นให้เป็นที่ไทจูด้วย ตั้งฮุยบอเก๊กให้เป็นไทซือ สำหรับสอนหนังสือและดูผิดชอบอยู่ในไทจูด้วย ฮุยบอเก๊กจึงว่าแก่ฌ้อเพงอ๋องว่า หงอเซียยังมีบุตรอยู่สองคน ชื่อหงอเสียงคนหนึ่ง ชื่อหงอหวันคนหนึ่งมีสติปัญญาอยู่ ถ้าท่านละไว้ก็เห็นจะหนีไปตั้งตัวอยู่เป็นศัตรูขึ้น เมืองเราก็หามีความสุขมิได้ ข้าพเจ้ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ให้เอาหงอเซียมาเขียนหนังสือใจความว่า ถ้าหงอเสียงหงอหวันรู้หนังสือนี้แล้วให้รีบมาโดยเร็วจึงจะไม่มีโทษ หงอเสียงหงอหวันเห็นหนังสือเป็นลายมือของบิดาก็จะมาหาท่าน ท่านจึงจับฆ่าเสียให้พร้อมกันทั้งพ่อลูกจึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม
ฌ้อเพงอ๋องได้ฟังฮุยบอเก๊กว่า จึงให้เอาตัวหงอเซียมาแล้วทำเป็นว่า ซึ่งท่านร่วมคิดกับไทจูเกี๋ยนเป็นกบฏนั้น โทษท่านก็ถึงตาย แต่เราจะยกให้ด้วยแต่ก่อนปู่และบิดาท่านได้มีความชอบไว้ในแผ่นดิน อันความดีกับความชั่วนั้นเป็นกลบลบกัน ท่านก็เป็นคนมีกตัญญูอยู่ ท่านจงเขียนหนังสือไปถึงบุตรสองคนให้เข้ามาทำราชการแทนท่าน ท่านเล่าก็ชราแล้วจงไปทำมาหากินเลี้ยงชีวิตอยู่ตามลำเนาให้สบายเถิด แล้วให้เอากระดาษกับพู่กันส่งให้ หงอเซียได้ฟังก็แจ้งว่าฌ้อเพงอ๋องจะให้เราเขียนหนังสือถึงบุตรให้มานั้นจะฆ่าบุตรเราเสีย ครั้นเราจะไม่เขียนหนังสือตามฌ้อเพงอ๋องเล่า คนทั้งปวงก็จะนินทาว่าเราหามีกตัญญูไม่ ก็จะเสียชื่อเสียงตลอดไปถึงปู่และบิดาด้วย ครั้นคิดดังนั้นแล้วจึงว่า ซึ่งท่านจะให้เขียนหนังสือไปถึงบุตรสองคนให้มานั้นก็ได้ดอก แต่ข้าพเจ้าจะว่าให้ท่านฟังด้วยบุตรคนใหญ่นั้นมีความกตัญญูรู้จักคุณข้าพเจ้าอยู่ เห็นว่าจะมาตามหนังสือ ซึ่งบุตรคนน้อยนั้นจะมามิมา ข้าพเจ้าไม่แจ้งด้วยเขาหาอยู่ในถ้อยคำข้าพเจ้าไม่
ฌ้อเพงอ๋องจึงว่า ซึ่งบุตรท่านจะมามิมานั้นก็ไม่มีโทษแก่ท่าน แต่ท่านเร่งเขียนหนังสือเถิด หงอเซียก็เขียนต่อหน้าฌ้อเพงอ๋องใจความว่าลูกสองคนรู้หนังสือแล้วให้รีบมาโดยเร็ว ครั้นเขียนหนังสือแล้วส่งให้ฌ้อเพงอ๋อง ฌ้อเพงอ๋องจึงอ่านดูแล้วส่งให้เอี๋ยนเจียงซือถือไปถึงหงอเสียงหงอหวัน เอี๋ยนเจียงซือคำนับรับหนังสือมาขึ้นเกวียน แล้วรีบไปตำบลทั้งอิบซึ่งเป็นบ้านเดิม ก็หาพบหงอเสียงหงอหวันไม่ ด้วยหงอเสียงหงอหวันแจ้งว่าฌ้อเพงอ๋องให้คนมาจับตัวบิดาไปทำโทษ ก็หนีไปอยู่ตำบลเซงหู เอี๋ยนเจียงซือครั้นแจ้งความดังนั้นก็ตามไปตำบลเซงหู หงอเสียงแจ้งว่าเอี๋ยนเจียงซือมาแต่เมืองฌ้อก็ออกมารับเข้าไปในตึกให้นั่งที่สมควร เอี๋ยนเจียงซือจึงว่าหงอเซียผู้บิดาให้เราเอาหนังสือมาถึงท่าน เราได้ยินฌ้อเพงอ๋องจะตั้งให้ท่านสองคนพี่น้องเป็นขุนนางแทนบิดา ว่าบิดาท่านชราแล้วจะให้ไปทำมาหากินอยู่บ้านเดิม หงอเสียงแจ้งดังนั้นยังสงสัยอยู่ จึงเอาหนังสือเข้าไปให้หงอหวันน้องชายดู หงอหวันคนนี้สูงหกศอกหน้ายาวสองคืบสีหน้าเหมือนสีหยก หงอหวันรับเอาหนังสืออ๋านดูแจ้งความแล้วจึงว่ากับพี่ชายว่า ซึ่งฌ้อเพงอ๋องปล่อยบิดาแล้วจะตั้งให้เราเป็นขุนนางนั้นหาจริงไม่คำลวงดอก ถ้าเราไปหาก็จะฆ่าเสีย หงอเสียงจึงว่า หนังสือนี้เป็นลายมือของบิดาเรา ถ้าร้ายดีประการใดก็จะบอกมาให้เรารู้เจ้าอย่าสงสัยเลย ถ้าเราจะขัดขืนเล่าก็เป็นคนหามีกตัญญูไม่ ถึงมาตรว่าจะเป็นตายประการใดก็คงจะไปตามหนังสือบิดาบอกมา หงอหวันยังแคลงอยู่จึงเอาอีแปะมาเสี่ยงทายแล้วมาทอดลงต่อหน้าหงอเสียงแจ้งว่าหาดีไม่ หงอเสียงว่าเราคิดถึงบิดาจะเข้าไปพอเห็นหน้าใช่จะอยากเป็นขุนนางนั้นหามิได้ หงอหวันจึงตอบว่า ฌ้อเพงอ๋องเกรงฝีมือเราอยู่หาอาจฆ่าบิดาเราไม่ ถ้าเราเข้าไปหาแล้วก็ไม่มีที่จะกีดขวางเหมือนหนึ่งแกล้งให้บิดาเราหาชีวิตไม่ ก็จะฆ่าเสียทั้งสามคน เมื่อท่านไม่เห็นด้วยจะขืนเข้าไปแล้วข้าพเจ้าจะลาท่านไปอยู่เมืองอื่น พี่ชายจึงถามว่าเจ้าจะไปอยู่เมืองไหน หงอหวันจึงตอบว่า เมืองไหนเป็นข้าศึกกับเมืองฌ้อก็จะไปอยู่เมืองนั้น หงอเสียงจึงว่า ถ้าเจ้ามีชีวิตอยู่จงคิดอ่านแก้แค้นฌ้อเพงอ๋องให้จงได้ อันตัวเรากับบิดานี้เห็นจะหารอดชีวิตไม่ ว่าพลางก็ร้องไห้ต่างคนต่างคำนับกัน หงอเสียงก็ออกมาหาเอี๋ยนเจียงซือแจ้งความว่า น้องเราเขาไม่อยากเป็นขุนนางเขาหาไปไม่
เอี๋ยนเจียงซือแจ้งดังนั้น ครั้นจะเข้าจับกุมหงอหวันเล่าก็เกรงอยู่ ครั้นคิดดังนั้นแล้วก็พาหงอเสียงมาขึ้นเกวียนรีบไปเมืองฌ้อ จึงเข้าไปคำนับฌ้อเพงอ๋อง ฌ้อเพงอ๋องจึงสั่งให้เอาตัวหงอเสียงไปจำไว้กับหงอเซียผู้บิดา บิดาเห็นหงอเสียงมา หัวเราะแล้วว่า เราได้พูดไว้เมื่อแรกว่าหงอเสียงนั้นคงมา แต่หงอหวันหามาไม่ ก็สมเหมือนคำเราทำนายไว้ ขณะเมื่อฌ้อเพงอ๋องสั่งให้เอาตัวหงอเสียงไปจำนั้น ฮุยบอเก๊กจึงว่าแก่ฌ้อเพงอ๋องว่า บัดนี้ได้ตัวหงอเสียงมาแล้วยังแต่หงอหวัน ท่านจงให้คนไปตามจับตัวมาฆ่าเสียจึงจะสิ้นศัตรูของท่าน ถ้าละไว้ช้าหงอหวันรู้ตัวเข้าก็จะหนี เห็นจะจับตัวยาก ฌ้อเพงอ๋องเห็นด้วย จึงให้บูเซงเอกคุมทหารเลวสองร้อยไปจับตัวหงอหวัน บูเซงเอกก็คำนับลาพาทหารรีบไปตำบลเซงหู หงอหวันแจ้งกิตติศัพท์ว่าฌ้อเพงอ๋องให้ทหารมาจับก็เข้าใจว่าบิดากับพี่นั้นคงจะตาย จึงเดินร้องไห้เข้าไปแจ้งความแก่นางเกียสีผู้ภรรยาว่า ฌ้อเพงอ๋องเห็นจะฆ่าบิดากับพี่ชายเราเสียเป็นแท้แล้ว จึงให้ทหารมาจับตัวเรา การก็จวนตัวถึงเพียงนี้ ครั้นจะพาเจ้าไปด้วยเล่า เจ้าก็เป็นผู้หญิงขี่ม้าหาได้ไม่ ข้าคิดจะไปแต่ตัวขอยืมทหารเมืองอื่นมาทำการแก้แค้นแทนบิดา เจ้าจะเห็นประการใด
นางเกียสีได้ฟังจึงตอบว่า ธรรมเนียมเกิดเป็นลูกผู้ชาย ให้มีกตัญญูต่อบิดามารดาจึงจะควร ซึ่งท่านจะห่วงด้วยข้าพเจ้าผู้เป็นภรรยานั้นหาควรไม่ พูดดังนั้นแล้วทำเป็นเดินเข้าไปห้องตึกแล้วก็ผูกคอตายเสียหวังจะให้ผัวสิ้นกังวลหลัง หงอหวันครั้นเห็นภรรยาไปในห้องช้าก็คิดสงสัย จึงเข้าไปดูเห็นนางเกียสีผูกคอตายเสียดังนั้นมีความอาลัยนางนัก กลั้นน้ำตามิได้ก็ร้องไห้จึงเอาผ้าห่อศพภรรยาเข้าโดยด่วนซ่อนไว้ในห้องตึก ได้กระบี่คู่มือกับเกาทัณฑ์แล้วรีบหนีล่วงทางไปได้ครึ่งวัน
บูเซงเอกครั้นยกมาถึงตำบลเซงหู จึงให้ทหารเข้าไปค้นในตึกก็หาพบหงอหวันไม่ จึงให้เที่ยวสืบดูตามราษฎรชาวบ้านแจ้งว่าหงอหวันหนีไปทางทิศตะวันออก ก็รีบตามไปทางประมาณสามร้อยลี้คิดเป็นทางสามพันเจ็ดร้อยห้าสิบเส้น หงอหวันหนีมาวันนั้น เหลียวหลังมาดูข้างหลังเห็นผงคลีฟุ้งขึ้น ก็เข้าใจว่าทหารเมืองฌ้อตามมา ครั้นจะหนีเล่าเห็นจะหาพ้นไม่ จึงเข้าไปแอบต้นไม้อยู่ข้างทาง ครั้นเกวียนบูเซงเอกคุมทหารมาถึงเข้า หงอหวันเห็นได้ทีจึงเอาเกาทัณฑ์ยิงคนขับเกวียนบูเซงเอกพลัดตกลงจากเกวียนตาย บูเซงเอกเห็นดังนั้นตกใจเป็นกำลัง โดดลงจากเกวียนจะหนีเอาตัวรอด หงอหวันร้องห้ามว่า ท่านอย่าหนีเลยเราหาทำร้ายท่านไม่ แต่ท่านนำเอาความของเราไปแจ้งแก่ฌ้อเพงอ๋อง ถ้าฌ้อเพงอ๋องรักชีวิตก็อย่าได้ฆ่าบิดากับพี่ชายเราเสีย แม้นไม่ฟังคำขืนฆ่าบิดาและพี่ชายเรา เราก็คงจะคิดอ่านกลับไปตัดศีรษะฌ้อเพงอ๋องเสียบ้าง
บูเซงเอกก็กลับมาแจ้งความกับฌ้อเพงอ๋องตามคำหงอหวันว่าทุกประการ ฌ้อเพงอ๋องได้ฟังโกรธนัก จึงสั่งให้ฮุยบอเก๊กเอาตัวหงอเซียหงอเสียงพ่อลูกไปฆ่าเสีย ฮุยบอเก๊กก็ออกมาสั่งบูซูเอาตัวพ่อลูกไปที่ตะแลงแกง หงอเสียงจึงด่าฮุยบอเก๊กเป็นข้อหยาบช้าต่างๆ หงอเซียจึงห้ามว่าอย่าด่าเขาเลย อันใครผิดและชอบนั้น เทพยดาและมนุษย์ก็ย่อมแจ้งอยู่ ถึงเราตายก็หาเสียดายชีวิตไม่ แต่เราวิตกอยู่ข้อหนึ่ง ถ้าเราหาบุญไม่แล้วฌ้อเพงอ๋องและขุนนางทั้งปวงจะหาความสุขมิได้ ว่าแล้วก็ยื่นคอพยักหน้าให้ฆ่าเสีย ฮุยบอเก๊กสั่งให้ตัดศีรษะเสียทั้งสองคน เมื่อขณะฆ่าหงอเซียหงอเสียงนั้นให้มืดมัวเป็นพยับลมไปทั้งเมือง ราษฎรชาวเมืองมีความกรุณาพ่อลูกว่าหามีความผิดไม่ ก็ชวนกันร้องไห้รักเป็นอันมาก ฮุยบอเก๊กก็กลับเข้ามาหาฌ้อเพงอ๋อง แล้วแจ้งความตามซึ่งหงอเซียหงอเสียงว่าให้ฌ้อเพงอ๋องฟังทุกประการ ฌ้อเพงอ๋องจึงสั่งให้ซิมอึนส่วนเป็นแม่ทัพคุมทหารเลวสามพัน ตามไปจับหงอหวันฆ่าเสียให้จงได้ ซิมอึนส่วนก็คำนับออกมาจัดทหารพร้อมแล้วก็ยกไป
ฝ่ายหงอหวันครั้นหนีมาถึงแม่นํ้าใหญ่อันหนึ่ง จึงทำเป็นอุบายปรารถนาจะให้ว่าตัวตายเสียในนํ้า จึงเอาเสื้อขึ้นแขวนไว้บนต้นไม้เอารองเท้านั้นไปทิ้งไว้ริมนํ้า แล้วก็ย้อนรอยหลังมาทางเก่าปรารถนาจะให้สูญรอยก็รีบหนีต่อไป ซิมอึนส่วนครั้นตามหงอหวันมาถึงริมนํ้าได้เสื้อกับรองเท้าจึงพิจารณาดูรอยเท้าก็สูญไปที่ริมนํ้า หาเห็นมีร่องรอยต่อไปข้างหน้าไม่ เข้าใจว่าตัวหงอหวันนั้นเห็นจะจมนํ้าตายเสีย จึงทิ้งเสื้อกับรองเท้าไว้ดังนี้ ครั้นคิดดังนั้นแล้วก็ยกกลับมาเมืองฌ้อ เอาเสื้อและรองเท้าไปให้ฌ้อเพงอ๋องแล้วเล่าความตามซึ่งได้เสื้อและรองเท้าให้ฌ้อเพงอ๋องฟังทุกประการ ว่าตัวหงอหวันนั้นจะตายเสียในนํ้าหรือ หรือจะหนีต่อไปก็หาแจ้งไม่ ฌ้อเพงอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงตรึกตรองอยู่ยังหาว่าประการใดไม่
ฮุยบอเก๊กจึงว่า ข้าพเจ้ามีอุบายอย่างหนึ่ง ให้เขียนรูปหงอหวันมีลักษณะตามตำหนิไปแขวนไว้ที่ด่านทางทุกตำบล จึงได้มีหนังสือกำกับประกาศว่า ถ้าผู้ใดจับตัวหงอหวันได้จะตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ แล้วจะให้บ้านส่วยกับข้าวเปลือกหมื่นเจียะ เจียะหนึ่งสิบถังๆ หนึ่งคิดเป็นน้ำหนักสิบหกชั่ง ประการหนึ่งถ้าผู้ใดคบค้าและปกปิดหงอหวันไว้ จะเอาโทษถึงตายเจ็ดชั่วโคตร อนึ่งให้ทำเป็นหนังสือของท่านไปถึงหัวเมืองทั้งปวงว่าอย่าให้เลี้ยงหงอหวันไว้ ให้จับตัวส่งมาจะเป็นไมตรีกันต่อไป ถ้าท่านทำดังนั้นแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าหงอหวันจะคับแค้นขัดสนเข้า คงจะจับตัวได้เป็นแท้ ฌ้อเพงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงให้จัดแจงทำตามถ้อยคำฮุยบอเก๊กว่าทุกประการ แล้วคิดว่าอันด่านเจียวก๊วนข้างทิศตะวันออกนี้เป็นทางร่วมกับเมืองเตียว ถ้าพวกเมืองเตียวและเมืองเราจะไปเมืองหงอแล้วก็ต้องไปทางนั้น อนึ่ง ผู้ที่รักษาด่านเจียวก๊วนก็หาสู้มีฝีมือและสติปัญญาไม่ จำจะจัดทหารที่มีสติปัญญาและฝีมือไปรักษาอยู่จึงจะชอบ คิดแล้วจึงสั่งสุม้าอวดว่า ท่านจงคุมทหารไปตั้งค่ายอยู่ที่ด่านเจียวก๊วน ถ้าแม้นอ้ายหงอหวันหนีไปทางนั้นแล้ว จงจับตัวเป็นมาให้เราดูหน้าให้จงได้ สุม้าอวดก็คำนับลามาจัดแจงทหารยกไปตั้งอยู่ตามฌ้อเพงอ๋องสั่ง จึงให้เขียนรูปหงอหวันแขวนไว้ที่ด่านเจียวก๊วน แล้วจารึกอักษรไว้ว่า ถ้าผู้ใดจับตัวหงอหวันได้ เราจะบำเหน็จรางวัลแล้วจะตั้งให้เป็นขุนนางด้วย
ฝ่ายหงอหวันหนีครั้งนั้นไปทางตะวันออกจะไปเมืองหงอ จึงคิดว่าที่เมืองหงอเล่า ก็หามีผู้ใดก็คู่คิดไม่ จึงนึกได้ว่าไทจูเกี๋ยนซึ่งฌ้อเพงอ๋องจะให้ฆ่าเสียนั้น หนีไปอยู่เมืองซอง จำเราจะไปปรึกษาด้วย ครั้นคิดแล้วก็บากทางตัดไปตะวันออก เฉียงใต้จะไปเมืองซอง มาถึงกลางทางแลไปข้างหน้าเห็นคนขับเกวียนมาหลายเล่ม หงอหวันตกใจกลัวว่าจะเป็นทหารเมืองฌ้อ จึงแวะเข้าแอบต้นไม้อยู่ริมทาง ครั้นเกวียนใกล้เข้ามามองดูเห็นซินเป่าสู ซินเป่าสูเห็นหงอหวันเดินมาหาก็มีความยินดี จึงลงเสียจากเกวียนแล้วต่างคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียม
ซินเป่าสูจึงถามว่า ท่านจะไปไหนทำไมจึงมาแต่ผู้เดียวดังนี้ หงอหวันจึงเล่าความหลังซึ่งฌ้อเพงอ๋องฆ่าบิดาและพี่ชายเสียให้ฟังแล้วร้องไห้ ซินเป่าสูได้ฟังดังนั้น คิดสงสารหงอหวันนักจึงถามว่า ท่านเดี๋ยวนี้จะหนีไปไหนเล่า หงอหวันบอกว่าเราจะไปเที่ยวขอยืมทหารเมืองอื่นกลับมาตีเมืองฌ้อ กระทำตอบแทนแก้แค้นฌ้อเพงอ๋องให้จงได้ ซินเป่าสูจึงตอบว่า ฌ้อเพงอ๋องกระทำต่อบิดาท่านก็มีผิดอยู่ แต่เราคิดเห็นว่าท่านได้รับเบี้ยหวัดผ้าปีของฌ้อเพงอ๋อง ฌ้อเพงอ๋องได้มีคุณมาแต่ก่อน ซึ่งคิดจะทำทดแทนนั้นหาต้องด้วยอย่างธรรมเนียมไม่ หงอหวันจึงว่า ท่านไม่รู้หรือ เราจะเล่าให้ฟัง ยังมีเจ้าเมืองหนึ่งชื่อเจ๊กตี๋วครั้งแผ่นดินห้องสินทำการทุจริตต่างๆ ขุนนางจึงคิดฆ่าเสียก็หามีผู้ใดนินทาไม่ อันฌ้อเพงอ๋องเล่าเป็นเจ้านายของเราก็จริง แต่ประพฤติการงานไม่อยู่ในยุติธรรม เชื่อคนประจบประแจง ฉ้อเอาลูกสะใภ้มาเป็นเมียแล้วมิหนำซ้ำกำจัดไทจูเกี๋ยน ซึ่งเป็นบุตรหาความผิดมิได้ต้องไปพึ่งอยู่เมืองอื่น ถ้าแม้นเราฆ่าฌ้อเพงอ๋องไม่ได้ ก็หาอยู่ให้หนักแผ่นดินไม่ตายเสียดีกว่า ซินเป่าสูจึงว่า การซึ่งท่านว่านี้ก็ควรอยู่แต่ท่านอย่าน้อยใจเลย ครั้นเราจะช่วยท่านคิดอ่านเล่าเหมือนไม่ซื่อสัตย์ต่อฌ้อเพงอ๋อง แต่การซึ่งพูดกันนี้เราหาแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ไม่ ว่าแล้วก็คำนับลามาขึ้นเกวียนต่างคนต่างไป
หงอหวันก็ไป ณ เมืองซอง จึงสืบหาไทจูเกี๋ยนตามบ้านราษฎร แจ้งความแล้วก็ไปหาไทจูเกี๋ยน ณ บ้าน ไทจูเกี๋ยนเห็นหงอหวันมากอดคอเข้าแล้วก็ร้องไห้ ต่างคนแจ้งความทุกข์ซึ่งกันและกันเสร็จแล้วหงอหวันถามไทจูเกี๋ยนว่า ท่านได้เข้าไปหาเจ้าเมืองซองแล้วหรือ ไทจูเกี๋ยนจึงบอกว่าบัดนี้ในเมืองซองเกิดความวิวาทกันขึ้น เราจึงหาได้เข้าไปคำนับไม่ ท่านยังไม่รู้เราจะเล่าให้ฟัง เมื่อเดิมนั้นเจ้าเมืองคนนี้ยังไม่ได้เป็นเจ้าเมืองนั้นชื่อก๋งจูจ๋อ เป็นลูกเมียน้อยของเจ้าเมืองคนก่อน เจ้าเมืองคนก่อนชื่อซองเพงก๋ง ซองเพงก๋งเป็นคนโลเลหูเบาเชื่อถือขันทียุยง ฆ่าไทจูจ๋อลูกเมียหลวงเสียจึงตั้งก๋งจูจ๋อขึ้นเป็นไทจูแทน ครั้นศักราชพระเจ้าจิวเกงอ๋องเสวยราชย์ในเมืองตังจิวได้สิบสามปี ซองเพงอ๋องถึงแก่กรรม ขุนนางจึงยกไทจูจ๋อขึ้นเป็นเจ้าเมืองชื่อซองง่วนก๋ง ซองง่วนก๋งคนนี้รูปร่างหางดงามสมควรเป็นเจ้าเมืองไม่ ทั้งนิสัยใจคอก็ไม่ยั่งยืนซื่อตรง คิดจะฆ่าพวกแซ่ฮัวเสีย พวกแซ่ฮัวเล่าก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ต่อกันมาหลายชั่ว มีความชอบเป็นอันมาก ซองง่วนก๋งจึงปรึกษาก๋งจูอี๋นก๋งจู่งี๋หยงเฮียงเซ่งเฮียงหังว่าจะฆ่าพวกแซ่ฮัวเสีย เฮียงเซ่งจึงเอาความนี้ไปเล่าให้เฮียงเลงฟัง เฮียงเลงคนนี้ชอบกับพวกแซ่ฮัวจึงนำเอาคดีนี้ไปชี้แจงกับฮัวเฮียง ฮัวเต๋ง ฮัวไห สามคนนี้ครั้นรู้ตัวก็บอกป่วยเสีย หาไปทำราชการในซองง่วนก๋งไม่ ก๋งจูอี๋น ก๋งจูงี๋หยง เฮียงเซ่ง เฮียงหังหารู้กันไม่ก็ไปเยี่ยมที่บ้าน ฮัวเฮียง ฮัวเต๋ง ฮัวไห ให้จับตัวก๋งจูอี๋นก๋งจูงี๋หยงฆ่าเสีย แต่เฮียงเซ่งเฮียงหังนั้นให้จำขังไว้ในฉางข้าว ซองง่วนก๋งรู้จึงไปขอโทษเฮียงเซ่งเฮียงหังไว้ ฮัวไหจึงว่าท่านจะขอโทษนั้น จงเอาบุตรมาไว้ให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะยกโทษให้ ซองง่วนก๋งก็เอาก๋งจูลวนบุตรกับก๋งจูตี้ก๋งจูสินขุนนางไว้ให้เป็นจำนำ ฮัวไหจึงให้ฮัวขีบุตรกับบอเซกเฮียงลอสามคนนี้ มอบให้ซองง่วนก๋งแล้วก็ถอดเฮียงหังเฮียงเซ่งให้ ซองง่วนก๋งก็กลับมา ภรรยาซองง่วนก๋งซึ่งเป็นมารดาซือจูลวนรำลึกถึงบุตร จึงไปเยี่ยมที่บ้านฮัวไห ฮัวไหเห็นจึงว่าอย่ามาเลย เราจะปล่อยซือจูลวนบุตรท่านคืนไป นางมารดาจึงเอาความมาบอกแก่ซองง่วนก๋ง ซองง่วนก๋งก็ดีใจ ฝ่ายฮัวไหจึงปรึกษากับฮัวเฮียงว่าจะปล่อยบุตรซองง่วนก๋งเสีย ฮัวเฮียงไม่ยอม ฮัวไหก็นิ่งอยู่ ซองง่วนก๋งรู้ว่าฮัวไหไม่ปล่อยบุตรก็โกรธ จึงหาตัวฮัวฮุยซุยเป็นที่ซือม้า เป็นแซ่เดียวกับแซ่ฮัวมาสั่งว่า ให้ไปตีบ้านฮัวไหให้คืนเอาบุตรของเรามา ฮัวฮุยซุยก็คำนับลาคุมทหารไป ณ บ้านฮัวไห เมื่อขณะซือม้ายกไปนั้น ซองง่วนก๋งจึงเอาตัวฮัวขีบุตรฮัวไหกับบอเซกเฮียงลอสามคนนี้ฆ่าเสีย ฮัวไหแจ้งว่าฮัวฮุยซุยคุมทหารมาตีบ้านดังนั้นก็โกรธ จะฆ่าซือจูลวนบุตรซองง่วนก๋งเสีย ฮัวเตงจึงห้ามว่าท่านจะฆ่าบุตรเขานั้นความผิดจะมีมากไป ฮัวไหก็หาฆ่าไม่ แล้วก็อพยพพากันหนีไปอยู่เมืองตี๋น ฮัวฮุยซุยแจ้งว่าพวกแซ่ฮัวหนีไปแล้วก็ยกกลับมาแจ้งกับซองง่วนก๋ง ฮัวฮุยซุยคนนี้มีบุตรสามคน ฮัวคูพี่ใหญ่ ฮัวตอเหลียวคนรอง แต่ฮัวเต๋งคนเล็กนั้นหนีไปอยู่เมืองตี๋น ฮัวคูฮัวตอเหลียวนั้นหาชอบกันไม่ ฮัวตอเหลียวจึงไปยุซองง่วนก๋งว่า ซึ่งพวกแซ่ฮัวหนีไปอยู่เมืองตี๋นจะขอยืมทหารมาตีเมืองท่าน ฮัวคูพี่ข้าพเจ้าจะรับเป็นไส้ศึกในเมือง ซองง่วนก๋งแจ้งความแล้วจึงใช้งี่เหลียวไปบอกฮัวฮุยซุย ฮัวฮุยซุยว่าให้ซองง่วนก๋งขับตัวฮัวคูเสีย ขณะนั้นเตี้ยวมังเป็นคนสนิทของฮัวคู รู้ความจึงไปถามงี่เหลียวว่าเหตุอันนี้ต้นเดิมเป็นประการใด งี่เหลียวว่าเราหารู้ไม่ เตี้ยวมังโกรธจะฟันเสีย งี่เหลียวกลัวตายก็บอกตามจริง เตี้ยวมังได้ความแล้วก็มาบอกแก่ฮัวคู ฮัวคูจึงพาเตี้ยวมังไปหาฮัวฮุยซุยผู้บิดา ขณะนั้นฮัวฮุยซุยไปหาซองง่วนก๋งขึ้นเกวียนกลับมา ฮัวตอเหลียวเป็นคนขับเกวียน เตี้ยวมังเห็นฮัวตอเหลียวเข้าก็โกรธ จึงฆ่าฮัวตอเหลียวเสีย ฮัวคูก็พาบิดาหนีออกจากเมืองซอง ไปตั้งชุมนุมอยู่ตำบลนํ้าสือ ฮัวฮุยซุยจึงให้หนังสือไปถึงฮัวเต่งผู้บิดากับพวกแซ่ฮัวที่หนีไปอยู่เมืองตี๋น ให้กลับมาอยู่ด้วยกัน ซองง่วนก๋งรู้ก็โกรธ จึงให้ลักไต้ซิมคุมทหารออกไปตี ฮัวเต่งรู้กิตติศัพท์จึงไปขอทหารเมืองฌ้อ เมืองฌ้อให้อ้วนออกเป็นแม่ทัพคุมทหารยกมาช่วย
ไทจูเกี๋ยนจึงว่าแก่หงอหวันว่า ในเมืองซองเกิดความอย่างนี้เราจึงยังหาเข้าไปคำนับเจ้าเมืองซองไม่ หงอหวันจึงว่า บัดนี้ทหารเมืองฌ้อซึ่งเป็นอริแก่เรายกมา เชิญท่านหนีไปอยู่เมืองเตงเถิดจึงจะพ้นภัย ไทจูเกียนเห็นชอบด้วย ก็พาภรรยาจะไปอยู่เมืองเตง
ฝ่ายจิ้นควังก๋งเจ้าเมืองจิ้นแจ้งกิตติศัพท์ว่าแซ่ฮัวทำศึกกับเมืองซอง จึงปรึกษาขุนนางว่าเราจะยกไปช่วยศึกเมืองซอง ขุนนางจึงว่า ซึ่งท่านจะไปช่วยเมืองซองเป็นไมตรีไว้ก็ควรอยู่ แต่ทุกวันนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าพวกแซ่ฮัววิวาทกันขึ้นกับซองง่วนก๋ง หนีออกมาตั้งอยู่นอกเมือง ซองง่วนก๋งโกรธจะยกทหารไปรบ แซ่ฮัวจึงไปขอกองทัพเมืองฌ้อมาช่วย ถ้าท่านยกไปช่วยเมืองซองก็เหมือนไปทำศึกกับเมืองฌ้อ เมืองฌ้อกับท่านก็จะขัดเคืองเป็นเสี้ยนหนามกันขึ้นหาต้องการไม่ ข้าพเจ้าทั้งปวงคิดเห็นว่า ให้ท่านแต่งคนมีฝีมือไปห้ามทัพเมืองฌ้อให้ยกกลับไปเสีย หาต้องป่วยการทแกล้วทหารไม่ เจ้าเมืองซองรู้ก็จะขอบคุณท่าน ทั้งเมืองฌ้อเล่าก็ไม่เกิดร้าวฉานกันอย่างนี้จึงจะดี จิ้นควังก๋งเห็นชอบด้วย จึงให้ทำหนังสือฉบับหนึ่งมาถึงแม่ทัพเมืองฌ้อ เป็นใจความว่าจงเห็นแก่ไมตรีซึ่งมีมาแต่ก่อน ให้เลิกทัพกลับไปอย่าทำศึกแก่เมืองซองเลย ครั้นเสร็จแล้วก็เข้าผนึกส่งให้คนซึ่งมีสติปัญญาและอัชฌาสัยรีบถือไปให้แม่ทัพเมืองฌ้อ แม่ทัพเมืองฌ้อแจ้งหนังสือจิ้นควังก๋งดังนั้น จึงเลิกกองทัพกลับไป พวกแซ่ฮัวครั้นทัพเมืองฌ้อเลิกไปแล้วก็ตกใจด้วยจะสู้กองทัพเมืองซองมิได้ ก็อพยพตามไปอยู่ ณ เมืองฌ้อด้วย
ฝ่ายกงซุ่นเจียบขุนนางผู้ใหญ่เมืองเตงถึงแก่กรรม เตงเต้งก๋งมีความอาลัยนัก จึงเอาศพไปฝังไว้ตามตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ แต่ยังคิดอาลัยถึงกงซุ่นเจียบอยู่เนืองๆ จึงคิดไปถึงหงอเซียบิดาหงอหวันทำราชการเป็นคนซื่อสัตย์อยู่ในเมืองฌ้อ หาผู้ใดเสมอมิได้ ทุกวันนี้อันเมืองจิ้น เมืองเตงนั้นเป็นไมตรีกันอยู่ แต่เมืองฌ้อนั้นหาชอบกับเมืองเราไม่ ขณะนั้นเตงเต้งก๋งแจ้งว่าก๋งจูเกี๋ยนกับหงอหวันจะมา จึงให้คนออกไปรับมาไว้ ณ กงก๊วน สั่งให้ประคับประคองเอาเนื้อเอาใจมิให้ขุ่นเคือง เพลาวันหนึ่ง หงอหวันกับก๋งจูเกี๋ยนเข้าไปหาเตงเต้งก๋ง ทำคำนับเหมือนฉันข้ากับเจ้า เตงเต้งก๋งจึงให้ก๋งจูเกี๋ยนนั่งตำแหน่งที่ลูกเจ้าเมือง หงอหวันให้นั่งที่ขุนนาง ไทจูเกี๋ยนกับหงอหวันร้องไห้แล้วเล่าความทุกข์ยากแต่หนหลังให้เตงเต้งก๋งฟังทุกประการ
เตงเต้งก๋งได้ฟังจึงว่า ซึ่งท่านเล่าความหนหลังให้เราฟังนี้ก็คิดสงสารอยู่ แต่ทุกวันนี้ในเมืองเราทแกล้วทหารและเสบียงเล่าก็เบาบางหามีบริบูรณ์เหมือนเขาทั้งปวงไม่ ถ้าท่านจะคิดการทดแทนแก้แค้นฌ้อเพงอ๋องซึ่งเป็นบิดาท่านนั้น จงไป ณ เมืองจิ้นเถิด เห็นจะสำเร็จการงานของท่าน ไทจูเกี๋ยนจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่านี้ก็ควรอยู่ ไทจูเกี๋ยนจึงให้หงอหวันอยู่เมืองเตง แล้วคำนับลาเตงเต้งก๋งรีบไป ณ เมืองจิ้น ก็เข้าไปคำนับจิ้นควังก๋งเล่าความแต่หลังให้ฟังทุกประการแล้วว่า ข้าพเจ้ามาบัดนี้จะพึ่งบุญท่าน ขอกองทัพไปตีเมืองฌ้อ จิ้นควังก๋งได้ฟังนิ่งตรึกตรองอยู่ยังหาตกลงไม่แล้วจึงว่ากับไทจูเกี๋ยนว่า ท่านจงกลับออกไปสำนักพักผ่อนให้สบายอยู่ที่กงก๊วนเถิด เราจะปรึกษากันดูก่อน ไทจูเกี๋ยนก็คำนับลามาอาศัยอยู่ที่กงก๊วน
จิ้นควังก๋งจึงให้หางุยสู่หนึ่ง เตี้ยวเอียนหนึ่ง ฮันปุดสิ้นหนึ่ง ซือเอียงหนึ่ง ซุ่นอี๋นหนึ่ง ซุ่นเอียกหนึ่ง ขุนนางหกคนเข้ามาปรึกษาว่า บัดนี้ไทจูเกี๋ยนบุตรฌ้อเพงอ๋องขัดเคืองกัน จะมาขอกองทัพเราไปแก้แค้นบิดา ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใดจงว่ามาให้เราแจ้ง ด้วยในเมืองจิ้นครั้งนั้นขุนนางทั้งหกคนนี้วาสนาเสมอกัน แต่งุยสู่กับฮันปุดสิ้น สองคนนี้มีสติปัญญาอยู่ จิ้นควังก๋งเล่าก็หาสู้เอาใจใส่บ้านเมืองไม่ ราชการสิทธิ์ขาดอยู่ในขุนนาง ซุ่นอี๋นนั่นเป็นคนโลภเห็นแต่จะได้ฝ่ายเดียว ซุ่นอี๋นแจ้งว่ากองซุ่นเกี๋ยวเป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการในเมืองเตงตาย อิวกิดได้ว่าแทนที่ ซุ่นอี๋นจึงให้หนังสือไปถึงอิวกิดว่าให้เอาของกำนัลมาคำนับซุ่นอี๋น ซุ่นอี๋นจะเสนอความชอบจิ้นควังก๋งให้ อิวกิดหายอมไม่ ซุ่นอี๋นโกรธพยาบาทอิวกิดขุนนางเมืองเตงอยู่ ครั้นจิ้นควังก๋งปรึกษาดังนั้น ได้ทีจึงเข้าไปใกล้แล้วกระซิบว่า อันเมืองเตงนี้เป็นคนนกสองหัว อาการภายนอกทำเป็นรักเรา แต่ในใจเขานั้นนับถือเมืองฌ้อ ข้าพเจ้าคิดว่าการทั้งนี้ก็เห็นได้ที ด้วยไทจูเกี๋ยนนั้นเตงเต้งก๋งก็ไว้ใจอยู่ ท่านจงพูดเอาใจไทจูเกี๋ยนให้รับเป็นไส้ศึกในเมือง ถ้าเรายกไปตีเมืองเตงได้จะให้ไทจูเกี๋ยนเป็นเจ้าเมือง เราได้เมืองเตงเป็นที่มั่นแล้ว จึงยกไปตีเมืองฌ้อก็จะได้โดยสะดวกทั้งจะได้แก้แค้นของไทจูเกี๋ยนด้วย จิ้นควังก๋งได้ฟังซุ่นอี๋นชี้แจงดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงใช้ซุ่นอี๋นออกพูดจายกยอให้ไทจูเกี๋ยนลงใจด้วยจงได้ ซุ่นอี๋นก็คำนับลาออกมาหาไทจูเกี๋ยน ณ กงก๊วน ต่างคนคำนับกันตามธรรมเนียม ซุ่นอี๋นก็เล่าความตามที่ปรึกษากับจิ้นควังก๋งนั้นให้ไทจูเกี๋ยนฟังทุกประการ
ไทจูเกี๋ยนได้ฟังซุนอี๋นว่าดังนั้นสมคะเนดังนึกไว้ที่จะได้แก้แค้นเมืองฌ้อ ทั้งจะได้เป็นที่เจ้าเมืองเตงด้วยความยินดีนัก จึงเข้าไปลาจิ้นควังก๋งแล้วรีบไปเมืองเตง จึงเอาความอันนี้เล่าให้หงอหวันฟัง หงอหวันจึงตอบว่า ท่านคิดดังนี้หาชอบกลไม่เราจะเล่าให้ฟัง เมื่อครั้งก่อนนั้นเมืองจิ้นมีทหารสองคนชื่ออิจือคนหนึ่ง เอียงซุ่นคนหนึ่ง หนีไปอยู่ด้วยเจ้าเมืองเตง เจ้าเมืองเตงก็มีความกรุณาให้เลี้ยงทหารสองคนมิให้อนาทร ทหารสองคนหามีความกตัญญูไม่ เอาใจออกห่างจากเจ้าเมืองเตงคิดเป็นไส้ศึกขึ้น ครั้งนั้นเทพยดาหาเข้าด้วยผู้ผิดไม่ จึงบันดาลดลใจให้เจ้าเมืองเตงรู้ความอันนี้เข้าก็จะจับทหารสองคน ทหารสองคนรู้ตัวก็หนี ครั้นจะไปพึ่งอยู่แห่งใดตำบลใดก็หามีใครสงเคราะห์ไม่ เพราะเหตุเป็นคนอกตัญญู ทุกวันนี้เตงเต้งก๋งเขาก็ได้มีคุณแก่เรา ซึ่งท่านจะคิดประทุษร้ายต่อผู้มีพระคุณอุปการะนั้น เทพยดาและมนุษย์ก็หาสรรเสริญไม่ ท่านอย่าคิดการเช่นนี้เลย
ไทจูเกี๋ยนจึงตอบหงอหวันว่า ท่านว่านี้ก็ควรอยู่ แต่เราได้รับคำจิ้นควังก๋งไว้ จะมิผิดใจกันเสียหรือ หงอหวันจึงว่า ท่านได้สัญญาไว้กับจิ้นควังก๋งก็จริงอยู่ แต่จิ้นควังก๋งหาได้เป็นเจ้าขุนมูลนายไม่ จะทำไมแก่ท่านได้ ถ้าท่านมิฟังคำข้าพเจ้า อันตรายจะมาถึงตัวท่านเป็นมั่นคง ไทจูเกี๋ยนได้ฟังหงอหวันห้ามปรามดังนั้นหาเชื่อถ้อยฟังคำไม่ ด้วยในใจอยากจะเป็นเจ้าเมืองเตง ครั้นพูดกันแล้วไทจูเกี๋ยนก็เอาเงินลอบไปให้จออิวซึ่งเป็นทหารซ้ายขวาของเตงเต้งก๋ง จออิวเป็นคนโลภเห็นแก่ลาภ ก็รับว่าจะร่วมคิดด้วย ฝ่ายจิ้นควังก๋งเจ้าเมืองจิ้นจึงให้คนมาหาไทจูเกี๋ยน ณ เมืองเตงว่า จิ้นควังก๋งนายข้าพเจ้าใช้ให้มานัดท่านว่าวันใดได้ทีก็ให้ท่านบอกไปให้แจ้งด้วย ขณะนั้นมีผู้เอาความอันนี้ไปแจ้งแก่เตงเต้งก๋งว่า ไทจูเกี๋ยนเห็นจะคิดร้ายต่อท่าน ข้าพเจ้าว่าไทจูเกี๋ยนเอาเงินทองไปติดสอยคบคิดกับจออิวซึ่งเป็นคนเคียงของท่าน แล้วไปคบคิดกับจิ้นควังก๋งว่าจะรับเป็นไส้ศึกในเมืองท่านด้วย
เตงเต้งก๋งได้ฟังโกรธนัก จึงคิดว่าถ้าไทจูเกี๋ยนคิดร้ายต่อเราดังนี้จะนิ่งไว้ช้า เห็นจะเกิดความใหญ่ลุกลามขึ้น จำจะกำจัดเสียแต่ต้นมือจึงจะได้ ครั้นคิดดังนั้นแล้วก็ให้ทหารคนสนิทไปซุ่มอยู่ในสวนดอกไม้ จึงให้จัดโต๊ะสุราเตรียมไว้พร้อมแล้วให้คนไปหาตัวไทจูเกี๋ยนมา คนก็คำนับลาไปแจ้งความแก่ไทจูเกี๋ยนต่อหน้าหงอหวันว่า เตงเต้งก๋งให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปปรึกษาราชการด้วย หงอหวันนั้นคิดสงสัยอยู่ ครั้นจะห้ามปรามไทจูเกี๋ยนมิให้ไปเล่าก็เกรงใจคนใช้เตงเต้งก๋งอยู่ ไทจูเกี๋ยนก็ไปหาเตงเต้งก๋ง เตงเต้งก๋งจึงว่า วันนี้เราสบายใจจึงให้เชิญท่านมาหวังจะเสพสุราด้วยท่านให้สำราญสักเพลาหนึ่ง ครั้นจะให้หาตัวผู้หนึ่งผู้ใดมาเล่า ก็หาชอบพอเหมือนท่านไม่ ไทจูเกี๋ยนไม่แจ้งในอุบายสำคัญว่าเตงเต้งก๋งมีใจกรุณาตัวจริงจึงว่า ท่านเป็นเจ้าเมืองไม่ถือยศศักดิ์มาเสพสุรากับข้าพเจ้าเป็นคนต่างนอกนั้น บุญคุณท่านหาที่สุดไม่
เตงเต้งก๋งได้ฟังไทจูเกี๋ยนว่าดังนั้นเห็นว่าหารู้เท่าไม่ ก็ชวนอิวกิดซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่กับไทจูเกี๋ยนไปในสวนดอกไม้ ห้ามมิให้ใครนอกนั้นเข้าไปด้วย ครั้นเสพสุราพอตึงตัวแล้ว เตงเต้งก๋งจึงถามไทจูเกี๋ยนว่า ท่านเอาเงินให้จออิวชักชวนกันร่วมคิดจะทำร้ายเราข้อหนึ่ง ท่านไปสมคบกับจิ้นควังก๋งว่าจะรับเป็นไส้ศึกในเมืองด้วย ความสองข้อนี้จริงหรือ ไทจูเกี๋ยนได้ฟังเตงเต้งก๋งถามดังนั้นตกใจนัก จึงแข็งใจปฏิเสธว่า ซึ่งข้าพเจ้าจะได้คิดร้ายเหมือนท่านว่านั้นหามิได้ เตงเต้งก๋งครั้นฟังไทจูเกี๋ยนให้การปฏิเสธดังนั้น จึงให้คนเอาตัวจออิวเข้ามาแล้วสอบว่า เองได้คบคิดแล้วรับเอาเงินของไทจูเกี๋ยนไว้จริงหรือ จออิวได้ฟังเตงเต้งก๋งถามต้องกับความในใจดังนั้น ครั้นจะไม่รับก็กลัวเตงเต้งก๋งจะฆ่าเสีย ครั้นคิดดังนั้นแล้วจึงว่า ซึ่งไทจูเกี๋ยนมาชวนให้ข้าพเจ้าร่วมคิดจะทำร้ายท่านนั้นจริง ข้าพเจ้าจะเอาความมาบอกท่านก็ยังหาทันได้มาแจ้งไม่ เตงเต้งก๋งจึงว่ากับไทจูเกี๋ยนว่า บัดนี้จออิวก็รับเป็นสัจแล้วท่านจะว่าประการใดเล่า ไทจูเกี๋ยนครั้นจออิวให้การยั่งยืนเอาดังนั้นก็นิ่งอยู่ด้วยความจริงใจ เตงเต้งก๋งเห็นไทจูเกี๋ยนจนด้วยถ้อยคำแล้วก็เรียกทหารซึ่งซุ่มไว้นั้นออกมาจับตัวไทจูเกี๋ยนตัดศีรษะเสีย แล้วให้เอาตัวจออิวและบุตรภรรยาญาติพี่น้องฆ่าเสีย ด้วยจออิวมิได้เอาความมาบอกแต่แรก ทหารก็ไปจับบุตรภรรยาและญาติพี่น้องจออิวฆ่าเสียตามเตงเต้งก๋งสั่ง
ฝ่ายหงอหวันอาศัยอยู่กงก๊วน ขณะเมื่อเตงเต้งก๋งให้ฆ่าไทจูเกี๋ยนเสียนั้นเผอิญให้เป็นลางประหลาดมึนตึงไปทั่วทั้งตัวหาสบายใจไม่ ก็เดินออกมาที่ชานชาลาหน้ากงก๊วนหมายจะให้มีความสุข จึงคิดว่าเตงเต้งก๋งให้หาไทจูเกี๋ยนเข้าไปนั้นเห็นจะมีอันตรายเป็นมั่นคง พอบ่าวไทจูเกี๋ยนเอาความมาบอกว่าไทจูเกี๋ยนนั้นเตงเต้งก๋ง ให้จับตัวฆ่าเสียแล้ว หงอหวันครั้งแจ้งดังนั้นก็ตกใจนัก จึงคิดว่าถ้าเราอยู่ที่กงก๊วนนี้ เห็นอันตรายจะมาถึงตัวเราเป็นมั่นคง จึงกลับเข้าไปในกงก๊วน จับข้อมือก๋งจูเซ่งซึ่งเป็นบุตรไทจูเกี๋ยน ครั้นจะบอกเล่าความสุขและทุกข์เล่าก็หาควรไม่ด้วยก๋งจูเซ่งนั้นยังเยาว์อยู่ จึงพาหนีรีบออกจากด่านเมืองเตง แล้วคิดกลัวเตงเต้งก๋งจะใช้ทหารมาติดตามก็รีบเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นมาถึงเมืองตี๋นเข้าจึงคิดว่าเราจะเข้าทำราชการอยู่ด้วยเจ้าเมืองตี๋นเล่าก็เห็นเป็นที่พึ่งคุ้มครองได้ไม่ ด้วยเมืองตี๋นเป็นเมืองเล็กน้อย จำจะไปอาศัยอยู่เมืองหงอเถิด ก็รีบเดินล่วงทางมาได้หลายวัน ครั้นถึงเขาหยกกงสันยังระยะทางอีกเจ็ดสิบห้าเส้นจะถึงด่านเจียวก๊วน หงอหวันอ่อนกำลังก็หยุดอยู่ใต้ร่มไม้
ขณะนั้นมีซินแสอยู่คนหนึ่งชื่อตงโกก๋ง เป็นแพทย์สำหรับรักษาโรคทั้งปวง ราษฎรชาวบ้านนับถือว่าเป็นหมอยาประเสริฐ ตงโกก๋งตั้งบ้านเรือนอยู่ริมเขาหยกกงสัน มีเพื่อนฝูงเป็นหลายคนเคยไปสนทนากันเล่นอยู่เนืองๆ วันนั้นออกเที่ยวหาสรรพยาตามเนินเขาหยกกงสัน ครั้นเห็นหงอหวันนั่งอยู่ใต้ร่มไม้ จึงพิศดูลักษณะผิดกว่าคนทั้งปวง สมควรเป็นขุนนางผู้ใหญ่ แต่รูปร่างนั้นเหมือนกับที่สุม้าอวดเขียนไว้ในป้ายที่ปักอยู่ด่านเจียวก๊วนนั้น ก็รู้แน่ว่าหงอหวัน จึงเข้าไปคำนับถามว่าท่านเป็นแซ่หงอหรือ หงอหวันได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนักจึงคำนับแล้วถามว่า เหตุใดท่านจึงรู้ว่าข้าพเจ้าเป็นแซ่หงอเล่า ตงโกก๋งจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นศิษย์เองเปียนเซียก ซึ่งคนทั้งปวงนับถือว่าเป็นหมอดี เมื่อข้าพเจ้ายังรุ่นหนุ่มนั้นได้เคยไปเที่ยวรักษาอยู่ตามบรรดาหัวเมืองทั้งปวงมิได้ขาด ครั้นข้าพเจ้าชราลงจึงได้มาสร้างบ้านอยู่ที่เขาหยกกงสัน แต่เมื่อเพลาวันวานนี้สุม้าอวดซึ่งเป็นทหารใหญ่เมืองฌ้อป่วยลง ให้มาหาตัวข้าพเจ้าไปรักษา จึงได้เห็นรูปที่สุม้าอวดให้เขียนไว้เหมือนกับท่านไม่เพี้ยนผิดเลย ข้าพเจ้าจึงได้รู้ว่าท่านเป็นแซ่หงอชื่อหวัน ซึ่งธุระของท่านมีมานี้ข้าพเจ้าจะช่วยแก้ไขอย่าได้วิตกเลย แต่พูดที่นี่นั้นมิได้ เกลือกผู้คนมาพบเข้าก็จะเสียที ขอเชิญเข้าไปในบ้านข้าพเจ้าจะได้สนทนากัน หงอหวันได้ฟังดังนั้นยินดีนัก จึงว่าถ้าช่วยธุระข้าพเจ้าครั้งนี้ได้แล้วมิได้ลืมคุณท่านเลย ตงโกก๋งก็พาหงอหวันกับก๋งจูเซ่งเข้าไปบ้าน
หงอหวันเข้าในบ้านตงโกก๋งนั้น พิจารณาดูภูมิฐานบ้านช่องน่าสบายยิ่งนัก สมควรที่จะเป็นบ้านซินแสอันมีสติปัญญาอยู่ ตงโกก๋งจึงว่า จะนั่งพูดกันในตึกข้าพเจ้านี้หาชอบกลไม่ ด้วยผู้คนเขาเดินไปมาพลุกพล่านอยู่ ขอเชิญท่านลงไปในสวนดอกไม้ เป็นที่เงียบสงัดจึงจะดี ว่าแล้วก็พาหงอหวันมายังเก๋งน้อยที่ในสวนริมสระ เชิญให้หงอหวันนั่งบนพื้นเก๋งเป็นที่สูงจึงจะสมควรแก่ท่าน หงอหวันหาขึ้นนั่งไม่ ให้แต่ก๋งจูเซ่งขึ้นนั่ง ส่วนตัวนั้นอยู่แต่ชั้นกลางเป็นที่เสมอกันกับตงโกก๋ง หงอหวันจึงถอนใจใหญ่แล้วเล่าความให้แก่ตงโกก๋งนั้นฟังว่า ก๋งจูเซ่งคนนี้เป็นบุตรไทจูเกี๋ยนซึ่งเป็นเจ้านายของข้าพเจ้า แล้วก็เล่าความตามเรื่องทุกข์ยากของตัวแต่หนหลังให้ตงโกก๋งนั้นฟังทุกประการแล้วว่า ท่านจงช่วยข้าพเจ้าคิดอ่านฆ่าเสียซึ่งฌ้อเพงอ๋อง แก้แค้นแก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด
ตงโกก๋งจึงตอบว่า อันใจเรานี้มีแต่จะช่วยคนทั้งปวงให้ได้ความสบาย ซึ่งท่านจะให้ช่วยคิดฆ่าผู้ใดนั้นเราทำหาได้ไม่ท่านอย่าน้อยใจเลย อนึ่งด่านเจียวก๊วนนี้ สุม้าอวดมารักษาอยู่เป็นแน่นหนามั่นคงนัก ถ้าท่านจะคิดหนีออกไปแล้วเราพอจะช่วยได้อยู่หาเป็นไรไม่ หงอหวันได้ฟังดังนั้นก็คุกเข่าลงคำนับสรรเสริญว่าซินแสนี้เป็นคนสัตย์ซื่อหาผู้เสมอมิได้ ถ้าท่านช่วยธุระข้าพเจ้าให้พ้นไปได้จากด่านเจียวก๊วนแล้ว บุญคุณท่านจะมีแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้ ตงโกก๋งจึงว่าถ้าดังนั้นท่านจงพักผ่อนนอนอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่สักสองสามวันเถิด การทั้งนี้ไม่พอเป็นไรดอก เราจึงค่อยคิดอ่านผ่อนปรนต่อไป แล้วเรียกศิษย์ให้จัดแจงโต๊ะยกออกมาตั้ง จึงเชิญให้หงอหวันกินกับก๋งจูเซ่ง หงอหวันก๋งจูเซ่งกินอยู่หลับนอนอยู่ที่บ้านตงโกก๋งประมาณได้เจ็ดวัน เพลาวันหนึ่งหงอหวันคิดว่าตงโกก๋งได้พูดจาว่ากับเราไว้ว่าจะช่วยคิดช่วยอ่านส่งเราออกจากด่านเจียวก๊วนนี้ให้จงได้ บัดนี้เล่าเราก็มาอยู่ด้วยตงโกก๋งนี้ก็หลายวันมาแล้ว ยังหาเห็นตงโกก๋งช่วยคิดอ่านสิ่งใดให้เราไม่ หงอหวันไม่สบายใจเลย ครั้นคํ่าลงก็นอนตรึกตรองอยู่ในที่ จะหนีไปให้พ้นด่านเจียวก๊วนนั้นจนหลับไป ขณะนั้นเทพยดาก็บันดาลให้ผมและหนวดหงอหวันนั้นหงอกขาวไปเหมือนหนึ่งคนผู้เฒ่า เพราะจะให้คนทั้งปวงแปลกหน้ามิให้รู้จักหงอหวัน ครั้นเพลาเช้าหงอหวันตื่นขึ้นก็ยังหารู้ตัวว่าตัวกลับกลายไปไม่ จึงคิดว่าจำเราจะไปหาตงโกก๋งถามว่าเมื่อไรจะสำเร็จ คิดแล้วจึงมาหาตงโกก๋งคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้ามาอยู่บ้านท่านก็หลายวันมาแล้วขอท่านจงได้เอ็นดูส่งข้าพเจ้าให้พ้นจากด่านเจียวก๊วนเถิด
ตงโกก๋งจึงว่าท่านอย่าปรารมภ์เลย เราจะช่วยท่านให้สมความปรารถนาจงได้ แล้วแลดูหงอหวันเห็นเผ้าผมผิดประหลาดไป จึงถามว่าเหตุใดผมและหนวดของท่านจึงวิปริตไปดังนี้ แล้วจึงหยิบกระจกมาส่งให้หงอหวัน หงอหวันเอากระจกมาส่องดู เห็นหนวดและผมนั้นหงอกไปเหมือนหนึ่งผู้เฒ่าก็เสียใจ จึงทิ้งกระจกลงเสีย ตงโกก๋งเห็นหงอหวันทิ้งกระจกดังนั้นจึงว่าอย่าเสียใจเลย ซึ่งท่านแก่เฒ่านั้นไม่เป็นไรดอก ทั้งนี้เพราะท่านทุกข์ร้อนหามีความสบายไม่ หนวดและผมจึงวิปริตเป็นไปดังนี้ ประการหนึ่งก็เห็นว่าจะเป็นเทวดาอาเพศเพราะจะให้คนทั้งปวงแปลกท่าน ถ้าฮองฮูลับเพื่อนเรามาถึงเมื่อใด ก็จะส่งท่านให้ข้ามด่านไปได้โดยสะดวก หงอหวันได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายทุกข์แล้วว่า ฮองฮูลับเพื่อนของท่านอาจารย์อยู่แห่งใด ถ้าฮองฮูลับมาถึงแล้วอาจารย์จะคิดประการใด ตงโกก๋งจึงว่าฮองฮูลับอยู่ ณ เขายงดองสาน แปลว่าเขาถํ้ามังกร ทางไกลประมาณร้อยเส้น ฮองฮูลับนั้นสูงหกศอก ถ้าจะเปรียบกับท่านก็คล้ายคลึงกัน เราจะให้ฮองฮูลับพาท่านข้ามด่านไป ถ้าเห็นชาวด่านจับฮองฮูลับไว้แล้วท่านจงรีบหนีไปเอาตัวรอดเถิด หงอหวันจึงว่า อาจารย์คิดอุบายดังนี้ก็ดีอยู่ แต่ฮองฮูลับเพื่อนท่านจะพลอยเป็นโทษเพราะข้าพเจ้าหาต้องการไม่ ตงโกก๋งจึงว่า ท่านอย่าวิตกเลยเราจึงจะค่อยคิดไปแก้ไขฮองฮูลับเอง พูดยังมิทันขาดคำพอฮองฮูลับมาถึง ตงโกกงกับหงอหวันก็ออกไปเชิญเข้ามาในตึก ต่างคนคำนับกันตามธรรมเนียม หงอหวันพิเคราะห์ดูรูปร่างหน้าตาฮองฮูลับเห็นคล้ายเหมือนกับตัวก็มีความยินดี ตงโกก๋งจึงให้หงอหวันถอดเสื้อขาวออกให้ฮองฮูลับใส่ เอาเสื้ออื่นที่ไม่ดีให้หงอหวันใส่ แปลงตัวเป็นบ่าวฮองฮูลับ แล้วเอานํ้ายาเคลือบมาทาหน้าหงอหวันเสียให้ดำ เรียกชื่อหงอจูสู่ ก๋งจูเซ่งนั้นก็ให้ใส่เสื้อหมวกแปลงตัวทำเหมือนเด็กชาวบ้าน ตงโกก๋งจึงว่ากับหงอจูสู่ว่า ท่านจงตามฮองฮูลับไป ทำตามถ้อยคำเราสอนไว้เถิด หงอจูสู่ก๋งจูเซ่งคุกเข่าลงคำนับตงโกก๋งถ้วนสี่หน แล้วก็เดินตามฮองฮูลับไปถึงด่านเจียวก๊วน พอเวลาเช้าตรู่ชาวด่านก็ออกมาเปิดประตูด่าน ฮองฮูลับก็พาหงอจูสู่ก๋งจูเซ่งเดินเข้าไป ชาวด่านเห็นฮองฮูลับใส่เสื้อขาวรูปพรรณสูงใหญ่เหมือนกับรูปที่เขียนไว้ ทั้งกิริยาก็ตื่นพิรุธอยู่ ชาวด่านก็ชวนกันเข้าจับไว้แล้ว ไปบอกสุม้าอวดแม่ทัพให้มาดู สุม้าอวดก็ว่าหงอหวันจริงแล้วให้พาตัวฮองฮูลับเข้าไปในด่าน ฮองฮูลับก็แกล้งทำเป็นตกใจร้องว่า ขอชีวิตไว้ครั้งหนึ่งท่านเมตตาปล่อยข้าพเจ้าเสียเถิด ทหารทั้งปวงรู้ก็ชวนกันวิ่งวุ่นวายมาดูอื้ออึงไป หงอจูสู่เห็นผู้คนสับสนได้ทีก็พาก๋งจูเซ่งเดินปนเบียดเสียดคนทั้งปวงออกพ้นได้จากด่านอุปมาเหมือนปลาหลุดจากเบ็ด ก็มีความยินดีเร่งรีบเดินหนีไปโดยเร็ว
ฝ่ายสุม้าอวดนายทหารจึงให้จองจำฮองฮูลับมั่นคง จะส่งไปเมืองฌ้อ ฮองฮูลับจึงว่าข้าพเจ้าชื่อฮองฮูลับ เวลาคืนนี้มาค้างอยู่ ณ บ้านตงโกก๋งเพื่อนข้าพเจ้า ซึ่งอยู่หลังเขาหยกกงสัน บัดนี้ข้าพเจ้าจะกลับไปเขายงดองสานที่อยู่ เหตุใดท่านจึงจับไว้จะส่งไปเมืองฌ้อเล่า สุม้าอวดได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสัยด้วยหงอหวันนั้นเสียงพูดเหมือนเสียงระฆัง ลูกตาทั้งสองก็เป็นเหมือนสายฟ้าแลบ พิเคราะห์ดูฮองฮูลับรูปพรรณก็สูงใหญ่เหมือนกับหงอหวันสิ้น แปลกกันแต่ลูกตากับเสียงยังหาสิ้นสงสัยไม่ ก็ให้เอาตัวฮองฮูลับไปคุมไว้ดังเก่า พอคนใช้เข้ามาบอกสุม้าอวดว่า ตงโกก๋งจะเข้ามาหาท่าน สุม้าอวดก็ให้ไปรับมา ถ้อยทีคำนับกันตามธรรมเนียม ตงโกก๋งจึงว่าท่านจับหงอหวันได้แล้วหรือ สุม้าอวดจึงว่า ชาวด่านจับได้คนหนึ่งรูปร่างก็เหมือนหงอหวันแต่เขาหารับไม่ บอกว่าชื่อฮองฮูลับเป็นเพื่อนของท่าน ตงโกก๋งจึงว่า หงอหวันอยู่ในเมืองฌ้อด้วยกันกับท่าน เหตุใดจำไม่ได้เล่า สุม้าอวดจึงว่า หงอหวันนั้นตาทั้งสองข้างเหมือนสายฟ้าแลบ เสียงก็ดังเหมือนระฆัง ผู้ซึ่งจับไว้นี้เสียงกับตาหาเหมือนไม่ ข้าพเจ้าคิดสงสัยด้วยหงอหวันอดข้าวปลาอาหารเที่ยวชุกซ่อนอยู่ในป่านานแล้วจึงผิดสังเกตไป ตงโกก๋งจึงว่า ฮองฮูลับเป็นเพื่อนกับข้าพเจ้าจริงอยู่ ขอให้ไปพามาพบกับข้าพเจ้าเถิด สุม้าอวดก็ให้ทหารเอาตัวฮองฮูลับมา ตงโกก๋งเห็นฮองฮูลับก็ทำเป็นหัวเราะ แล้วว่ากับสุม้าอวดว่า ท่านจับฮองฮูลับเพื่อนข้าพเจ้าไว้ผิดตัวหงอหวันแล้ว จงปล่อยเขาเสียเถิด สุม้าอวดได้ฟังดังนั้นก็คิดอายลุกไปแก้มัดฮองฮูลับโดยเร็ว แล้วให้ทองคำกับแพรม้วนหนึ่งมาขอลุกะโทษฮองฮูลับ ว่าข้าพเจ้าจับท่านจำจองไว้ด้วยหาทันพิจารณาไม่ ท่านอย่าถือโทษข้าพเจ้าเลย ฮองฮูลับตงโกก๋งก็ลาสุม้าอวดกลับไปที่อยู่ สุม้าอวดก็กำชับสั่งทหารตรวจตราคอยจับหงอหวันเหมือนแต่ก่อน