๒๕

ขณะนั้นเค็กก๋งซึ่งได้เป็นเจ้าเมืองเกีย อยู่แดนเมืองจิ้นภาคใต้ ถือตัวว่ามีกำลังและฝีมือหาผู้ใดจะเสมอมิได้ ยกทัพมากระทำกับปลายแดนเมืองจิ้นเนืองๆ ชาวด่านบอกหนังสือเข้าไปให้กับจิ้นเฮียนก๋ง จิ้นเฮียนก๋งโกรธนักคิดจะยกทัพไปตีเมืองเกีย พอสุยสิดเข้ามาจิ้นเฮียนก๋งจึงบอกว่า เค็กก๋งเข้ามายํ่ายีในแดนเมืองเรา เราคิดจะยกไปตีเมืองเกียกำจัดเค็กก๋งเสียท่านจะเห็นประการใด สุยสิดจึงว่า เค็กก๋งกับงูก๋งสองเมืองนี้เป็นคนชอบใจนัก ถ้ายกไปตีเมืองเกีย เมืองหงอก็จะไปช่วย ถ้าเราตีเมืองหงอเล่าเมืองเกียก็จะไปช่วย ครั้นจะทำทั้งสองเมืองให้พร้อมกันทีเดียวก็เห็นเหลือกำลังทหารเราจะเอาชัยชนะมิได้ จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า ความคิดของท่านจะให้ทำประการใดเล่า สุยสิดจึงว่า เค็กก๋งเป็นคนเมายศตั้งตัวเป็นใหญ่ แต่ใจเค็กก๋งมักผูกพันในการสตรี ข้าพเจ้าคิดว่าจะจัดหญิงในเมืองเราที่รูปดีเสียงเพราะมาฝึกสอนขับรำให้ชำนาญเอาไปให้เค็กก๋ง ถ้าเค็กก๋งหลงไปด้วยหญิงคนรำของเราแล้ว จึงแต่งคนที่มีสติปัญญาถือหนังสือคุมของกำนัลไปให้เจ้าเมืองเกียงหยง คิดว่ากล่าวให้ยกมาตีเมืองเกีย ถ้าเมืองเกียกับเมืองเกียงหยงทำศึกติดพันกันเข้า เราจะยกไปตีเมืองเกียเห็นจะได้โดยสะดวก

จิ้นเฮียนก๋งเห็นชอบด้วย จึงจัดหญิงคนรำมอบให้สุยสิดแล้วว่าไตหูจงเอาไปทำตามสบายของท่านเถิด สุยสิดจึงรับหญิงนั้นมาฝึกสอนให้ชำนาญแล้วก็พาไปให้เค็กก๋งเจ้าเมืองเกียว่า จิ้นเฮียนก๋งนายข้าพเจ้าคิดจะใคร่ผูกไมตรีไว้กับท่าน ให้จัดหญิงร้องรำมาให้ท่านฟังเล่นสำรับหนึ่ง เค็กก๋งเป็นคนโลภสตรีกำเริบอิสริยยศ สำคัญใจว่าจิ้นเฮียนก๋งเกรงสติปัญญาและฝีมือก็มีความยินดีรับเอาไว้ สุยสิดก็ลาเค็กก๋งกลับออกมา เอาของคำนับไปให้เจ้าเมืองเกียงหยงตามซึ่งคิดไว้ ฝ่ายจุนจีเกียวเป็นขุนนางที่ไตหูอยู่ในเมืองเกีย จึงเข้าไปห้ามเค็กก๋งว่า เมืองจิ้นเขาเกี่ยวเหยื่อมาตก ทำไมท่านจึงกลืนเหยื่อเขา เค็กก๋งได้ฟังดังนั้นก็ขัดใจมิได้ตอบประการใด จุนจีเกียวก็กลับออกมา เค็กก๋งนั้นเพลิดเพลินด้วยนางขับร้องทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ออกว่าราชการบ้านเมือง ไตหูจุนจีเกียวเห็นดังนั้นจึงเข้าไปคำนับเค็กก๋งแล้วว่า ซึ่งท่านจะมาละราชการเมืองเสียลุ่มหลงไปด้วยนางทั้งนี้หาควรไม่ เจ้าเมืองเกียได้ฟังจุนจีเกียวว่าก็โกรธ จึงให้จุนจีเกียวไปรักษาด่านแฮเอียง

ฝ่ายเจ้าเมืองเกียงหยง ครั้นได้สินบนเจ้าเมืองจิ้นแล้วเกณฑ์กองทัพยกไปตีเมืองเกียถึงตำบลอุยแขง เจ้าเมืองเกียรู้จัดแจงทหารยกมาตีทัพเมืองเกียงหยงแตกยับเยินไป แล้วเจ้าเมืองเกียงหยงจัดกองทัพทวีคนขึ้นอีก ยกล่วงเข้ามาประทัพเมืองเกีย ณ ตำบลทรงเถียนปลายแดน ตั้งประชิดติดพันกันอยู่ กองสอดแนมเมืองจิ้นเห็นดังนั้นก็เอาความมาแจ้งกับจิ้นเฮียนก๋ง จิ้นเฮียนก๋งจึงถามสุยสิดว่า ทัพเมืองเกียงหยงมา ติดเมืองเกียอยู่แล้ว เราจะยกไปตีซ้ำหลังเอาเห็นจะได้ง่าย สุยสิดจึงว่า ถึงทัพเมืองเกียงหยงมาติดเมืองเกียอยู่ก็จริง แต่เมืองเกียกับเมืองหงอยังเป็นไมตรีกันอยู่ ข้าพเจ้ามีอุบายอันหนึ่ง วันนี้จะให้ได้เมืองเกีย พรุ่งนี้จะให้ได้เมืองหงอ จิ้นเฮียนก๋งจึงถามว่าอุบายของท่านนั้นจะทำประการใด สุยสิดจึงว่า จะเอาของที่ชอบใจไปให้แก่งูก๋ง ถ้างูก๋งรับของกำนัลแล้วเราจะยืมทางเมืองหงอไปตีเมืองเกีย แต่ข้าพเจ้ากลัวท่านจะมิยอม จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า ท่านจะเอาสิ่งใดจงว่าให้เราฟังก่อน สุยสิดจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอเอาแก้วอันวิเศษกับม้าซึ่งเป็นของดีหามีของผู้ใดไม่ เอาไปเป็นของกำนัล ถ้าเจ้าเมืองหงอรับของสองสิ่งนี้แล้ว อุบายของข้าพเจ้าก็จะสำเร็จ จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า ของสองสิ่งนี้เป็นของปู่และบิดาเราสืบต่อๆ กันมาหาควรที่จะไปให้กับผู้อื่นไม่

สุยสิดจึงว่า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าเป็นของรักของท่าน แต่ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้อุปมาเหมือนของอยู่คลังนี้ เอาย้ายไปไว้คลังโน้นจะเป็นอะไรมี ไตหูลีเค็กได้ยินดังนั้นจึงว่ากับสุยสิดว่า เจ้าเมืองหงอมีขุนนางอยู่สามคนเป็นคนมีสติปัญญามากประมาณการสิ่งใดมิได้ผิด จะทัดทานห้ามงูก๋งไว้การเราจะมิเสียไปหรือ สุยสิดจึงตอบลีเค็กว่า ซึ่งท่านว่านั้นเราก็รู้อยู่ แต่เห็นว่าเจ้าเมืองหงอเป็นคนมักได้ ถ้าเห็นของสิ่งนี้ก็จะมีใจรักถึงผู้ใดจะห้ามก็เห็นหาฟังไม่ จิ้นเฮียนก๋งเห็นชอบด้วย จึงเอาแก้วกับม้ามาให้สุยสิด สุยสิดก็ไปยังเมืองหงอจะเอาของไปให้งูก๋ง

ขณะนั้นมีผู้มาแจ้งแก่งูก๋งว่า เจ้าเมืองจิ้นจะยกทัพมาตีเมืองเกียบัดนี้ให้ขุนนางมาหาท่าน งูก๋งได้ยินว่าจะไปตีเมืองเกียก็โกรธ พอสุยสิดเอาแก้วกับม้าเข้าไปให้แล้วว่า จิ้นเฮียนก๋งให้เอาของสองสิ่งนี้มาให้ท่าน งูก๋งเป็นคนโลภยินดีรับเอามือถือแก้วตาแลดูม้าจึงถามสุยสิดว่า ของนี้เป็นของวิเศษหายากนัก เหตุใดนายท่านจึงให้กับเรา สุยสิดจึงว่า นายข้าพเจ้าเห็นว่าท่านมีสติปัญญาทั้งทแกล้วทหารก็มาก นานไปจะได้เป็นใหญ่ จิ้นเฮียนก๋งนายข้าพเจ้าจึงให้ข้าพเจ้าเอามาให้ท่านชมจะได้เป็นไมตรีไปภายหน้า งูก๋งจึงว่า ซึ่งนายท่านคิดดังนั้นก็ชอบแล้วยังมีธุระอะไรอีกบ้างหรือ สุยสิดจึงว่า ซึ่งธุระของนายข้าพเจ้านั้น ด้วยเมืองเกียกับเมืองจิ้นนั้นแต่ก่อนก็ได้ไปทำสัตย์กันไว้ เจ้าเมืองเกียทิ้งความสัตย์เสีย ยกทัพมายํ่ายีปลายแดนเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นคิดจะยกไปตอบแทนบ้าง แต่คิดเกรงท่านอยู่จึงให้ข้าพเจ้ามา ยืมทางจะไปตีเมืองเกีย ถ้าตีได้แล้วสิ่งของอันใดในเมืองเกียจะให้กับท่านทั้งสิ้นแล้ว จิ้นเฮียนก๋งนายข้าพเจ้าขอเป็นไมตรีกับท่านต่อไปชั่วลูกและหลาน

งูก๋งได้ฟังดังนั้นมีความยินดี ยอมให้ทางตามคำสุยสิด ขณะนั้นจงจีกีขุนนางเข้ามาห้ามงูก๋งว่า ท่านจะให้จิ้นเฮียนก๋งยืมทาง ด้วยเมืองเกียกับเมืองเราเหมือนหนึ่งริมฝีปากกับฟัน ถ้าเมืองเกียเป็นอันตรายแล้วภัยก็จะมาถึงเมืองเรา อันเมืองจิ้นนั้น แต่เขาเป็นแซ่เดียวกันยังไปตีเอาได้เป็นหลายเมือง ซึ่งไม่อาจมาทำกับเรานั้นเพราะเห็นว่าเมืองเกียกับเมืองหงอชอบกันคิดเกรงใจอยู่ ถ้าเมืองเกียเสียวันนี้ พรุ่งนี้ทัพก็จะมาถึงเมืองเรา งูก๋งจึงตอบว่า จิ้นเฮียนก๋งเอาของรักมาให้เรานั้นก็หมายจะเป็นไมตรีกับเรา ทำไมจะไม่รักแผ่นดินเมืองเกีย ถึงเสียเมืองเกีย ก็จะได้เป็นไมตรีกับเมืองจิ้นดีกว่าเมืองเกียสักสิบส่วน จงจีกีฟังงูก๋งว่ากล่าวนั้นดื้อดึงอยู่จะห้ามอีกแล้วงูก๋งจะโกรธ เป๊กลีเหจึงเข้าไปชักเอาชายเสื้อจงจีกี จงจีกีก็ถอยหลังออกมาข้างนอกจึงว่า ท่านไม่ช่วยเราสักคำหนึ่ง กลับมาชักชายเสื้ออีกเล่า เป๊กลีเหจึงว่ากับจงจีกีว่า อันจะเอาความคิดของท่านซึ่งเห็นการณ์ไปข้างหน้ามาพูดกับคนโฉดหาปัญญามิได้นั้น ดังเอาแก้วไปทิ้งไว้กลางทางก็เหมือนกัน เมื่อครั้งพระเจ้าเคียดอ๋องฆ่ากวนเลงหองเสีย ครั้งพระเจ้าคิวอ๋องฆ่าปีกันเสียด้วยขืนเพ็ดทูลทัดทาน ถ้าท่านขืนห้ามงูก๋งไปอีกก็เห็นจะเป็นอันตรายเช่นกวนเลงหองกับปีกัน จงจีกีจึงว่า ซึ่งถ้อยคำของท่านว่านั้นควรนัก อันเมืองหงอนี้เราเห็นจะฉิบหายเสียแท้เพราะงูก๋งเป็นมั่นคง ซึ่งเราจะอยู่ทำราชการกับงูก๋งภายหน้าไปก็จะได้ความลำบากหาต้องการไม่ เราคิดจะไปหาที่พึ่งอื่น ตัวท่านจะเห็นประการใด เป๊กลีเหจึงตอบว่า ท่านคิดนั้นควรอยู่ เมื่อท่านไปหาที่พึ่งอื่นได้แล้ว ข้าพเจ้าจึงจะตามไปต่อภายหลัง จงจีกีพูดกับเป๊กลีเหแล้วกลับมาบ้าน จึงให้บุตรภรรยาสมัครพรรคพวกเก็บเอาสิ่งของพากันหนีไปจากเมืองหงอ งูก๋งรู้ว่าจงจีกีพาบุตรภรรยาหนีออกจากเมืองก็มิได้ให้ไปติดตาม

ฝ่ายสุยสิดกลับมาถึงจิ้นเฮียนก๋งแจ้งความว่า ข้าพเจ้าเอาแก้วกับม้าไปให้เจ้าเมืองหงอ เจ้าเมืองหงอดีใจนักยอมให้ยืมหนทางแล้ว จิ้นเฮียนก๋งได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษากับลีเค็กว่า ซึ่งเจ้าเมืองหงอให้ยืมทางไปเมืองเกียท่านจะเห็นประการใด ลีเค็กจึงว่า อันเมืองเกียนั้นตั้งอยู่ที่เสียงเอียง ทางจะเข้าออกนั้นอยู่ข้างแฮเอียงต่อแดนเมืองหงอ ถ้าตีด่านแฮเอียงแตกแล้วก็เหมือนได้เมืองเกีย จิ้นเฮียนก๋งได้ฟังมีความยินดีนัก จึงตั้งลีเค็กเป็นแม่ทัพ สุยสิดเป็นปลัดทัพ คุมทหารห้าหมื่นเกวียนสองร้อยเล่ม ครั้นถึงวันฤกษ์ดีลีเค็กสุยสิดก็ยกทหารมาถึงเมืองหงอ สุยสิดก็เข้าไปแจ้งความกับงูก๋งว่า ทัพเมืองจิ้นยกมาถึงแล้ว งูก๋งจึงว่า ซึ่งจิ้นเฮียนก๋งเอาแก้วกับม้ามาให้เราได้รับไว้นั้นหามีอันใดจะตอบแทนไม่ เราจะจัดทหารยกไปช่วยกองหนึ่ง สุยสิดจึงว่า ซึ่งท่านคิดถึงไมตรีนายข้าพเจ้านั้นขอบใจแล้ว ถ้าท่านช่วยเปิดด่านแฮเอียงให้ก็ดีกว่าท่านให้กองทัพไปช่วยอีก งูก๋งจึงตอบว่า ตำบลแฮเอียงนี้ เค็กก๋งเจ้าเมืองเกียจัดทหารมาอยู่รักษา อันเราจะเปิดด่านให้นั้นไม่ได้ สุยสิดจึงว่า ถ้าท่านเมตตาจะช่วยเปิดให้แล้วยากอะไรมี ด้วยเมืองเกียงหยงกับเมืองเกียทำศึกติดพันกันอยู่ที่ทรงเถียนแดนต่อแดน ขอให้ท่านไปว่ากับชาวด่านว่าท่านจะให้กองทัพไปช่วยเมืองเกีย เห็นชาวด่านก็จะหาขัดท่านไม่ ถ้าเปิดด่านตำบลนี้ได้แล้ว เกวียนรบหุ้มเหล็กของข้าพเจ้าร้อยหนึ่งนั้นจะยกให้แก่ท่าน งูก๋งได้ฟังสุยสิดว่าดังนั้นมีความยินดีนักก็รีบไปถึงด่านแฮเอียง

จุนจีเกียวนายด่านนั้นเดิมเป็นขุนนางอยู่เมืองเกีย เห็นว่าเค็กก๋งลุ่มหลงไปด้วยสตรีละราชการเมืองเสีย จุนจีเกียวเข้าไปว่ากล่าวเตือนสติ เค็กก๋งโกรธจึงให้จุนจีเกียวไปรักษาด่านแฮเอียง จุนจีเกียวรู้ว่างูก๋งมาก็ออกไปคำนับ งูก๋งจึงว่าเราจะยกทัพไปช่วยเมืองเกียรบกับเจ้าเมืองเกียงหยง จุนจีเกียวก็เปิดด่านให้ เมื่องูก๋งมาว่ากับจุนจีเกียวนั้น ลีเค็กจัดทหารที่มีฝีมือซ่อนไว้ในเกวียน ครั้นงูก๋งเปิดด่านแฮเอียงแล้วก็รีบขับเกวียนเข้าไปในด่าน ทหารลีเค็กออกมาฆ่าฟันชาวด่านล้มตายเป็นอันมาก จุนจีเกียวเห็นดังนั้นก็รู้ว่ากลอุบายเมืองจิ้น ครั้นจะสู้รบเล่าทั้งทหารทั้งไม่ทันรู้ตัวล้มตายแตกตื่นไปสิ้น ครั้นจะหนีกลับไปเมืองเกียก็กลัวเค็กก๋งจะเอาโทษ จึงเข้ายอมอยู่กับลีเค็ก ลีเค็กก็ให้จุนจีเกียวนำทางไปตีเสียงเอียง

ฝ่ายเค็กก๋งเมื่อไปตั้งประชิดอยู่ ณ กองทัพเจ้าเมืองเกียงหยงตำบลทรงเถียน ครั้นรู้ว่ากองทัพเมืองจิ้นยกมาตีด่านแฮเอียงได้ก็ตกใจยกทหารออกจากค่ายรีบเข้ามารักษาเมือง ทัพเมืองเกียงหยงเห็นได้ทีเข้าไล่ฆ่าฟันทหารเมืองเกียแตกระส่ำระสายล้มตายเป็นอันมาก เหลือเกวียนกลับมาเมืองได้ประมาณสามสิบเล่ม ก็เปิดประตูเมืองให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินแล้วคิดจะจัดแจงทหารเพิ่มเติมขึ้นไปสู้รบก็เห็นว่าข้าศึกมีกำลังนัก ด้วยทัพเมืองจิ้นกับเมืองเกียงหยงเป็นสองแรงจะเอาชัยชนะมิได้ก็รักษาเมืองมั่นไว้

ฝ่ายลีเค็กตั้งล้อมเมืองอยู่แต่เดือนแปดจนถึงเดือนสิบสอง ชาวเมืองทั้งปวงสิ้นเสบียงอาหารได้ความอดอยาก หนีมาหากองทัพเมืองจิ้นเป็นอันมาก ลีเค็กจึงให้จุนจีเกียวเขียนหนังสือผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมืองเป็นใจความว่า ให้เค็กก๋ง เจ้าเมืองเกียออกมาสวามิภักดิ์กับเราโดยดี เค็กก๋งแจ้งความดังนั้นจึงคิดว่า ตัวเรานี้เป็นข้าราชการผู้ใหญ่อยู่ในเมืองหลวง ซึ่งจะมาสวามิภักดิ์กับหัวเมืองมีความอัปยศนัก ครั้นจะรักษามั่นอยู่ในเมืองเล่า เสบียงก็สิ้นลงทุกวัน ราษฎรอดอยากระส่ำระสายนัก จำจะละเมืองเสียคิดหนีเอาชีวิตรอด ครั้นเวลากลางคืนก็พาบุตรภรรยาพรรคพวกหนีไปเมืองหลวง

ลีเค็กรู้ว่าเค็กก๋งเจ้าเมืองเกียหนีแล้วก็มิได้ตาม ยกเข้าไปในเมือง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงก็จุดธูปเทียนขึ้นรับทุกหน้าบ้าน แล้วต่างคนต่างเข้าคำนับลีเค็ก ลีเค็กครั้นเข้ามาตั้งอยู่ในเมืองแล้ว ก็กำชับนายทัพนายกองและทหารทั้งปวงมิให้ทำอันตรายแก่ราษฎรบ้านชาวเมือง ถ้าผู้ใดมิฟังจะเอาโทษถึงสิ้นชีวิต ลีเค็กเกลี้ยกล่อมราษฎรชาวเมืองเป็นปกติแล้ว จึงให้เอาทรัพย์สิ่งของทองเงินบรรดามีในคลังมาแบ่งออกเป็นสิบส่วน ให้ไปกับเจ้าเมืองหงอสามส่วน นางระบำซึ่งจิ้นเฮียนก๋งให้มากับเจ้าเมืองเกียแต่ก่อนนั้น ก็ให้เอาไปให้กับเจ้าเมืองหงอด้วย งูก๋งครั้นได้เงินทองและนางระบำมีความยินดีนัก

ลีเค็กจึงมีหนังสือลับไปถึงจิ้นเฮียนก๋งเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าตีได้เมืองเกียแล้ว การทั้งปวงซึ่งคิดไว้นั้นก็จัดแจงเสร็จแล้ว ขอให้ท่านรีบยกทัพมาเถิด ครั้นทำหนังสือแล้วให้ทหารคนสนิทรีบไปเมืองจิ้น ลีเค็กก็จัดทหารที่มีอัชฌาสัยให้อยู่รักษาเมืองเกีย ลีเค็กก็รีบยกทหารมาตั้งค่ายอยู่ริมกำแพงเมืองหงอคอยกองทัพจิ้นเฮียนก๋ง แล้วให้ทหารไปบอกงูก๋งว่า ข้าพเจ้าป่วยอยู่เมื่อข้าพเจ้าคลายแล้วจึงจะไปยกเมือง งูก๋งให้เอายามาให้แก่ลีเค็กแล้วไปเยี่ยมเยียนอยู่เนืองๆ

ฝ่ายจิ้นเฮียนก๋งรู้หนังสือแล้ว ก็จัดแจงกองทัพยกมาถึงแดนเมืองหงอ จึงให้ทหารรีบอ้อมทางไปบอกกับลีเค็ก ขณะนั้นงูก๋งรู้ว่าเจ้าเมืองจิ้นยกทัพมา จึงให้ทหารออกไปสืบดูกลับมาแจ้งความว่า จิ้นเฮียนก๋งเห็นทัพลีเค็กช้าไปกลัวจะเสียทีกับเค็กก๋งจึงยกทหารมาช่วยลีเค็ก เจ้าเมืองหงอจึงว่า จิ้นเฮียนก๋งยกมาก็ดีแล้วจะได้พบสนทนาเป็นไมตรีกันกับเรา ว่าแล้วก็จัดทหารรีบออกไปรับ จิ้นเฮียนก๋งครั้นเห็นเจ้าเมืองหงอออกมารับโดยสุจริตก็มีความยินดี ต่างคนต่างคำนับกันตามธรรมเนียม งูก๋งจึงแจ้งความซึ่งลีเค็กยกไปรบมีชัยแก่เค็กก๋งได้เมืองเกียจนกลับมาป่วยให้จิ้นเฮียนก๋งฟัง แล้วว่า ท่านให้เอาแก้วกับม้าอันเป็นของวิเศษมาให้นั้นขอบใจท่านนัก จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า อันแก้วกับม้าเป็นของวิเศษแต่เป็นของนอกกาย อันไมตรีของท่านซึ่งให้ยืมทางแล้วเปิดด่านแฮเอียงให้นั้นเหมือนท่านช่วยบำรุงเกียรติยศให้หัวเมืองทั้งปวงยำเกรง ควรจะขอบคุณท่านยิ่งนัก จิ้นเฮียนก๋งกับงูก๋งสนทนากันจวนเวลาเย็น จิ้นเฮียนก๋งจึงว่าการทั้งปวงก็สำเร็จแล้ว คิดว่าเวลาพรุ่งนี้จะใคร่ชวนท่านไปไล่เนื้อเล่น ณ เขากีสาน เจ้าเมืองหงอได้ฟังดังนั้นคิดจะใคร่อวดฝีมือทหาร ก็รับคำจิ้นเฮียนก๋งแล้วกลับเข้ามาเมืองให้จัดแจงแต่งเกวียนรบเลือกเอาทหารที่มีฝีมือ ม้าที่มีฝีเท้าเตรียมพร้อมไว้แต่เวลาคํ่า ครั้นรุ่งเช้าขึ้นก็ยกทหารออกจากเมืองไปกับจิ้นเฮียนก๋งถึงตำบลเขากีสานไล่เนื้ออยู่แต่เวลาเช้าจนบ่าย

ขณะนั้นทหารมาบอกงูก๋งว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นในเมือง จิ้นเฮียนก๋งได้ยินดังนั้นจึงว่า ไฟอาณาประชาราษฎร์หุงต้มกินทำให้ติดบ้านเมืองขึ้นสักหน่อยก็จะดับไปเอง แล้วจิ้นเฮียนก๋งชวนงูก๋งว่าเราไปล้อมเนื้อเข้าอีก พอเป๊กลีเหเข้ามากระซิบบอกงูก๋งว่า บัดนี้ในเมืองเราเกิดวุ่นวายขึ้นท่านอย่าช้าเลย งูก๋งก็ลาจิ้นเฮียนก๋งกลับมา ครั้นถึงกลางทางเห็นทหารและราษฎรชาวเมืองวิ่งแข่งกันออกมาบอกว่า ทหารเมืองจิ้นมาตีเมืองแล้ว

งูก๋งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ เร่งขับเกวียนมาถึงริมกำแพงเห็นทหารเมืองจิ้นขึ้นอยู่บนเชิงเทินเป็นอันมาก แลเห็นทหารผู้หนึ่งยืนพิงลูกกรงอยู่ร้องลงมาว่า แต่ก่อนเรายืมทางท่านไปตีเมืองเกียก็ขอบคุณท่านอยู่แล้ว บัดนี้เราจะยืมเมืองท่านอีก งูก๋งได้ฟังดังนั้นมีความแค้นใจนักขับทหารให้ทลายประตูเมืองเข้าไป ลีเค็กอยู่บนเชิงเทินก็จุดประทัดสัญญาณขึ้น ทหารก็ยิงเกาทัณฑ์ลงมาดังห่าฝน งูก๋งเห็นทหารถูกเกาทัณฑ์เจ็บป่วยเป็นอันมากก็ถอยทัพห่างออกไป แล้วก็ให้ม้าใช้ไปเร่งทหารกองหลังขึ้นมาโดยเร็ว ม้าใช้ก็กลับมาแจ้งความว่าทหารจิ้นเฮียนก๋งสกัดทัพเราไว้ เก็บเอาเกวียนและม้าฆ่าฟันทหารล้มตายเป็นอันมาก ที่เหลืออยู่นั้นก็เข้าสวามิภักดิ์กับจิ้นเฮียนก๋งทั้งสิ้น

งูก๋งได้ฟังดังนั้นตกใจนัก คิดจะใคร่หักเอาเมืองทหารก็น้อยตัว ทัพจิ้นเฮียนก๋งก็ยกกระหนาบเข้ามา จะสู้ก็มิได้จะหนีก็มิพ้น งูก๋งสิ้นสติทอดใจใหญ่แล้วว่า เพราะไม่ฟังจงจีกีห้ามจึงได้เกิดเหตุทั้งนี้ พอแลเห็นเป๊กลีเหยืนเคียงข้างม้าอยู่ งูก๋งจึงว่าเหตุใดตัวท่านจึงไม่ทัดทานเรา เป๊กลีเหจึงว่าแต่จงจีกีมีสติปัญญามากห้ามท่าน ท่านก็มิฟัง ข้าพเจ้าจะทัดทานนั้นคิดกลัวท่านอยู่ ซึ่งมิได้เตือนสติท่านนั้นโทษมีแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์ติดตามท่านมาจนบัดนี้ เมื่องูก๋งพูดกับเป๊กลีเหดังนั้น พอแลเห็นจงจีกีขับเกวียนเข้ามางูก๋งคิดอายใจนัก จงจีกีจึงร้องว่า ท่านหลงเชื่อเขาจนเสียเมืองเกียแล้วบัดนี้มาเสียเมืองหงออีก ซึ่งท่านจะหนีไปเมืองอื่นนั้นอย่าคิดเลย เข้าสวามิภักดิ์กับเจ้าเมืองจิ้นเถิด เห็นว่าจิ้นเฮียนก๋งจะมีใจเอ็นดูไม่ทำอันตรายท่าน ว่าขาดคำลงพอจิ้นเฮียนก๋งมาถึงเจ้าเมืองหงอก็ลงจากเกวียนเข้าไปคำนับ จิ้นเฮียนก๋งหัวเราะแล้วว่าเราหาทำอันตรายไม่อย่าวิตกเลย ว่าแล้วก็เอางูก๋งใส่ท้ายเกวียนกลับเข้าค่าย

ฝ่ายลีเค็กครั้นเข้าในเมืองได้แล้ว จัดทหารไปตั้งรักษาประตูวังทั้งปวง มิให้ผู้ใดกระทำยํ่ายีเก็บเอาทรัพย์สิ่งของไปได้ แล้วลีเค็กให้ประกาศแก่ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงว่า เรามิได้ทำอันตรายจงตั้งอยู่ตามภูมิลำเนาของตัวเถิด ฝ่ายจิ้นเฮียนก๋งครั้นเวลาเช้าก็พางูก๋งเข้าไปในเมือง พอเห็นสุยสิดเดินมามือขวาถือแก้วมือซ้ายจูงม้า แล้วสุยสิดว่ากับจิ้นเฮียนก๋งเป็นที่สัพยอกว่า อุบายของข้าพเจ้าสำเร็จแล้วจะขอเอาแก้วคืนเข้าไว้ในคลัง ม้าคืนเข้าไว้ตามเดิม จิ้นเฮียนก๋งได้ยินสุยสิดว่ามีความยินดีนักจึงตอบว่า เรารู้อยู่แต่เดิมว่าการทั้งปวงจะสำเร็จก็เพราะสติปัญญาท่าน แล้วจิ้นเฮียนก๋งจัดแจงอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่เย็นเป็นสุข จึงสั่งทหารให้เลิกทัพกลับไปเมือง พาเอางูก๋งเจ้าเมืองหงอไปด้วย ครั้นมาถึงเมืองจิ้น สุยสิดเข้าไปคำนับจิ้นเฮียนก๋งแล้วว่า ขอให้ท่านปล่อยงูก๋งกลับคืนไปบ้านเมืองเถิด จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า เห็นงูก๋งจะมีใจเจ็บแค้นพยาบาทเราอยู่ ครั้นจะปล่อยเสียเล่าภายหน้าก็จะเป็นเสี้ยนหนามกับเมืองเรา คิดจะฆ่างูก๋งเสีย สุยสิดจึงว่าการของเราข้างหน้ายังอยู่ งูก๋งเป็นคนโฉดหาปัญหามิได้ มีแต่โลภเป็นสันดานจะทำอะไรกับเราได้ ท่านจงเลี้ยงไว้ให้กลับไปรักษาเมืองตามเดิม เดิมทีเราได้ว่ากับเขานั้นอย่าให้เสียความสัจเลย จิ้นเฮียนก๋งเห็นชอบด้วยจึงเอาแก้วอื่นเปลี่ยนให้ด้วย ให้กลับไปรักษาเมืองหงอขึ้นกับเมืองจิ้น

จุนจีเกียวที่สามิภักดิ์กับลีเค็กนั้น ครั้นมาถึงเมืองจิ้น จิ้นเฮียนก๋งรู้ว่าเป็นคนมีปัญญาก็ตั้งให้เป็นไตหู จุนจีเกียวจึงบอกจิ้นเฮียนก๋งว่า งูก๋งมีขุนนางคนหนึ่งชื่อเป๊กลีเหสติปัญญาเฉลียวฉลาดพอจะใช้ราชการได้ บัดนี้ตกมาอยู่เมืองจิ้น จิ้นเฮียนก๋งจึงให้จุนจีเกียวไปถามเป๊กลีเหว่าถ้ายอมทำราชการจะเลี้ยง เป๊กลีเหจึงตอบจุนจีเกียวว่า เมืองจิ้นกับเมืองหงอเป็นอริกันอยู่ ซึ่งเราจะทำราชการด้วยนั้นไม่ได้ จุนจีเกียวกลับมาบอกจิ้นเฮียนก๋ง จิ้นเฮียนก๋งมิได้ว่าประการใด

ฝ่ายก๋งจูบุนซึ่งเป็นจิ๋นมกก๋งครองเมืองจิ๋นได้หกปียังหามีฮูหยินไม่ จึงใช้ให้ก๋งจูจีมาขอลูกสาวจิ้นเฮียนก๋ง ชื่อนางเป๊กกีเป็นน้องซีนเซง ก๋งจูจีมาถึงเมืองจิ้นก็เข้าไปคำนับจิ้นเฮียนก๋ง แล้วแจ้งความซึ่งก๋งจูบุนใช้มานั้นทุกประการ จิ้นเฮียนก๋งจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่ากล่าวทั้งนี้เป็นการมงคลก็ชอบด้วยประเพณีอยู่ แต่เราของดปรึกษาขุนนางทั้งปวงก่อน แล้วว่าให้ก๋งจูจีไปอยู่ ณ ตึกรับแขก จิ้นเฮียนก๋งจึงให้กวยกิวซึ่งเป็นหมอดูเสี่ยงทายว่าจะดีหรือร้ายกวยกิวจึงเอาอีแปะใส่ในรูปเต่าลันดูแล้วทายตามตำราว่า เมืองจิ๋นนั้นเปรียบเหมือนต้นสนอันใหญ่ กิ่งก้านสาขาอาจบังแสงพระอาทิตย์ได้เมื่อเวลาตะวันเที่ยง ถ้าท่านได้ไว้เป็นเขยแล้วเมืองเราก็จะมีศักดิ์เหมือนได้บังเงาสนอันใหญ่ ประการหนึ่งข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่า เจ้าเมืองจิ๋นนั้นพระเจ้าจิวเซียงอ๋องตั้งให้เป็นเจ้า ทั้งทแกล้วทหารก็มีเป็นอันมาก นานไปเห็นจะได้เป็นใหญ่ เมื่อเมืองจิ๋นกับเมืองเราปรองดองกันเข้าแล้วหัวเมืองทั้งปวงก็ยำเกรงท่าน จิ้นเฮียนก๋งเห็นชอบด้วย ก็ยอมให้นางเป๊กกีกับก๋งจูบุน จึงหาก๋งจูจีเข้ามาว่าท่านกลับไปบอกนายท่านให้จัดแจงมารับตามธรรมเนียมเถิด ก๋งจูจีก็คำนับลาจิ้นเฮียนก๋งกลับไป

ครั้นออกมาจากเมืองถึงกลางทาง เห็นชาวนาผู้หนึ่งหน้าแดงมีหนวดเครามาก ถือจอบฟันดินมือละเล่มผิดกว่าชาวนาทั้งปวง และมีกำลังมากฟันทีหนึ่งลึกลงประมาณสองศอก ก๋งจูจีเห็นประหลาดจึงให้คนใช้ไปยืมจอบนั้นมาดู คนที่ไปยืมนั้นยกจอบเล่มหนึ่งไม่ไหว ก๋งจูจีเห็นดังนั้นก็เดินเข้าไปใกล้แล้วถามว่า ท่านนี้ชื่ออะไรแซ่อันใด กงซุนกีจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อกงซุนกี ข้าพเจ้าเป็นคนจนไม่มีบุตรภรรยา ซึ่งมาขุดดินฟันดินหาเลี้ยงชีวิตนี้ด้วยมีความขัดสนนัก ซึ่งท่านมาถามชื่อและแซ่นั้นจะประสงค์อันใด ก๋งจูจีจึงว่า เราดูลักษณะท่านเห็นจะมีวาสนา หาควรที่จะถากไร่ไถนาไม่ คิดว่าจะชวนท่านไปอยู่เมืองกับเรา เราจะช่วยทำนุบำรุงท่านตามวาสนา กงซุนกีจึงว่า ถ้าท่านเอ็นดูข้าพเจ้าดังนั้นพระคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าก็จะยอมไปทำราชการกับท่าน ก๋งจูจีให้กงซุนกีขึ้นเกวียนไปเมืองจิ๋น ครั้นถึงพากงซุนกีเข้าไปคำนับก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋น

ก๋งจูจีแจ้งความกับก๋งจูบุนว่า จิ้นเฮียนก๋งนั้นรู้ว่าท่านให้ขอลูกสาวก็มีความยินดียอมให้ สั่งให้ท่านดูวันฤกษ์ดีแล้วแต่งเครื่องบรรณาการไปรับตามธรรมเนียม เมื่อข้าพเจ้ามากลางทางพบกงซุนกีคนนี้ทำนาอยู่ แล้วเล่าความซึ่งได้เห็นนั้นให้ฟังทุกประการ ก๋งจูบุนพิเคราะห์ดูลักษณะกงซุนกีเห็นรูปร่างใหญ่โตหน้าตาคมสัน สมควรที่จะเป็นนายทหารได้จึงตั้งให้กงซุนกีเป็นที่ต๋งไตฮูขุนนางนายทหาร แล้วจัดแจงเครื่องบรรณาการให้ก๋งจูจีกลับไปเมืองจิ้นรับนางเป๊กกี ก๋งจูจีก็เอาเครื่องบรรณาการเข้าไปให้แก่จิ้นเฮียนก๋ง จิ้นเฮียนก๋งจึงให้แต่งรถสำหรับบุตรีจะขี่ไป แล้วจัดหญิงคนใช้ให้เป็นอันมาก แล้วจิ้นเฮียนก๋งจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวง จะให้ขุนนางผู้ใดไปกับบุตรีเรา จุนจีเกียวจึงว่า เป๊กลีเหหายอมทำราชการในเมืองจิ้นไม่ขอให้ไปกับบุตรีท่านเถิด เกลือกวาสนาเป๊กลีเหจะชอบทำราชการในเมืองจิ๋นก็จะได้เป็นเพื่อนเป๊กกีบุตรีท่าน จิ้นเฮียนก๋งเห็นด้วย จึงให้เป๊กลีเหไปกับก๋งจูจี ก๋งจูจีก็พานางเป๊กกีออกจากเมืองจิ้น เป๊กลีเหเป็นผู้กำกับไปด้วยและเป๊กลีเหจึงคิดแต่ในใจว่าตัวเรานี้เป็นคนบุญน้อย เสียแรงมีสติปัญญาเสียเปล่า หาพบเจ้านายที่เป็นสัจธรรมนํ้าใจกว้างขวางโอบอ้อมอารีควรจะเป็นที่พึ่งได้ไม่ คนข้างนอกจึงมิได้ปรากฏความคิดของเราจนอายุเราก็แก่แล้ว จะไปเมืองจิ๋นบัดนี้เล่าก็เหมือนไปเป็นทาสให้เขาใช้เรามีความอายนัก ครั้นมาถึงกลางทางเป๊กลีเหหนีไปเมืองฌ้ออาศัยอยู่บ้านอวนเสีย ชาวบ้านว่าเป๊กลีเหเป็นข้าศึกมาสอดแนมก็มัดเอาตัวไป เป๊กลีเหจึงว่า เราเป็นชาวเมืองหงอ เพราะเราเสียเมืองจึงหนีทุกข์มา ชาวบ้านจึงแก้มัดออกเสียแล้วใช้ให้เป๊กลีเหเลี้ยงโค ครั้นโคอ้วนพีขึ้นชาวบ้านสรรเสริญว่าเป๊กลีเหเลี้ยงโคดี รู้ถึงฌ้อเซียงอ๋อง ฌ้อเซียงอ๋องให้หาเป๊กลีเหเข้าไปถามวิชาเลี้ยงโค เป๊กลีเหว่าให้กินเป็นเวลาใช้มิให้เหลือแรง ใช่แต่โคคนก็เหมือนกัน ฌ้อเซียงอ๋องจึงว่าคำของท่านว่านั้นควรนัก แล้วว่าอันโคกับม้าก็เห็นจะเหมือนกัน จึงให้คนรักษาม้าพาเป๊กลีเหไปเลี้ยงม้าอยู่ที่ลามไฮ

ฝ่ายก๋งจูบุนครั้นก๋งจูจีมาถึงมีความยินดีนัก ให้รับนางเป๊กกีเข้าไปจัดแจงที่ให้อยู่ตามตำแหน่งฮูหยินแล้ว ก๋งจูบุนเห็นบัญชีคนซึ่งจิ้นเฮียนก๋งให้มามีชื่อเป๊กลีเห ครั้นตรวจดูคนหาได้ตัวเป๊กลีเหไม่ จึงถามก๋งจูจี ก๋งจูจีบอกว่าเป๊กลีเหนั้นเห็นจะหนีไป ก๋งจูบุนจึงถามกงซุนกีว่า ตัวท่านอยู่เมืองจิ้นยังรู้ว่าเป๊กลีเหเป็นคนกระไรอยู่ กงซุนกีจึงว่า ข้าพเจ้ารู้จักอยู่ว่าเป๊กลีเหนั้นเป็นชาวเมืองหงอมีสติปัญญาฉลาดเฉลียวนัก แต่เป็นคนหาวาสนาไม่ เมื่ออายุเป๊กลีเหได้สามสิบปีนั้น มีภรรยาคนหนึ่งชื่อเตาซี มีบุตรชายคนหนึ่ง เป๊กลีเหเป็นคนจนหามีอันจะกินไม่ ครั้นจะไปทำมาหากินต่างเมืองก็กลัวบุตรภรรยาจะอดอยาก เป็นคนไร้ญาติหามีที่จะฝากฝังใดไม่ ภรรยาจึงว่าได้ยินคำโบราณว่า เกิดมาเป็นชายย่อมมีมานะขวนขวายไปในทิศทั้งสี่ ถ้าเดชะบุญได้เป็นขุนนางมียศถาบรรดาศักดิ์ก็มีบ้าง ไปค้าขายได้ทรัพย์สินบริบูรณ์มั่งคั่งก็มี ท่านจะมาเป็นห่วงอยู่ด้วยลูกกับเมียนั้นไม่ชอบ จงคิดอ่านไปหาเจ้านาย เข้าทำราชการแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์เถิด อย่าทุกข์ถึงลูกเมียเลย เป๊กลีเหได้ยินนางเตาซีว่าดังนั้นก็คิดมานะจึงว่า ถ้าดังนั้นเราจะไปหัวเมืองหาที่พึ่งเข้าทำราชการ เจ้าจงอยู่เลี้ยงบุตรชายของเราจงดี นางเตาซีไม่มีสิ่งใดจะให้เป็นเสบียงกลางทาง จึงทำไก่ขึ้นตัวหนึ่งเป็นกับข้าวให้เป๊กลีเหไปกิน เมื่อเป๊กลีเหจะลงจากเรือนไปนั้นนางเตาซีอุ้มลูกออกมาแล้วก็ร้องไห้ จึงสั่งว่าท่านได้ดีแล้วอย่าลืมข้าเสีย เป๊กลีเหรับคำภรรยาแล้วตรงไปเมืองเจ๋ จะเข้าทำราชการกับเจ๋เสียงก๋งหามีผู้จะชักนำเข้าไปไม่ เป๊กลีเหขัดสนนักไปอาศัยขอทานกินอยู่บ้านเตียก แต่เป๊กลีเหอยู่ ณ เมืองเจ๋ช้านานจนอายุได้สี่สิบปี เที่ยวขอทานมาถึงบ้านกวนซก กวนซกเห็นลักษณะเป๊กลีเหหาเป็นคนยากไม่ จึงเรียกเข้ามาถามชื่อถามแซ่แล้วให้กินอาหาร ครั้นอิ่มแล้วกวนซกชวนพูด แล้วถามเป๊กลีเหด้วยเรื่องราวโบราณและการแผ่นดิน เป๊กลีเหแก้ไขข้อความให้ฟังมิได้ขัด ต้องตามขนบธรรมเนียม กวนซกเห็นว่าเป๊กลีเหมีสติปัญญาจึงชวนเป๊กลีเหไว้ด้วย และสาบานตัวเป็นพี่น้องกัน กวนซกแก่กว่าปีหนึ่ง เป๊กลีเหเรียกว่าพี่อยู่ในเมืองเจ๋

ครั้งนั้นก๋งจูบอดีคิดกับเสียนซินฆ่าก๋งจูหยี ซึ่งเป็นเจ๋เสียงก๋งเจ้าเมืองเจ๋เสีย ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมือง จึงเขียนหนังสือไปปิดไว้เกลี้ยกล่อมคนมีสติปัญญา เป๊กลีเหจะไปเข้าเกลี้ยกล่อม กวนซกจึงว่าถึงเจ๋เสียงก๋งตายแล้ว ก็ยังลูกชายใหญ่สองคนออกไปอยู่เมืองอื่น ซึ่งก๋งจูบอดีได้ว่าราชการนั้นเหมือนลักเขาขึ้นเป็นเจ้าเห็นหายืดไม่ ท่านจะเข้าทำราชการด้วยนั้นภายหลังจะได้ความลำบาก เป๊กลีเหเชื่อคำกวนซกก็มิได้ไปเข้าเกลี้ยกล่อม ภายหลังได้ยินว่าก๋งจูโตยเจ้าเมืองจิวนั้นรักโคถ้าผู้ใดเลี้ยงโคดีจะให้บำเหน็จรางวัลมาก เป๊กลีเหก็ลากวนซกจะไปเมืองจิว กวนซกจึงว่า เจ้าจะไปเราก็ไม่ขัด แต่เป็นลูกผู้ชายอย่าเบาความ ซึ่งจะหามูลนายนั้นจงตรึกตรองให้ดีก่อนเราจะเสียตัวเข้าเป็นบ่าว ภายหลังจะเห็นว่าท่านผู้เป็นนายนั้นหาปัญญาไม่ ทั้งน้ำใจก็ไม่กว้างขวาง จะคิดถอนตัวไปหาที่พึ่งอื่นจะมีผู้นินทาว่าเราไม่ตรง ครั้นจะรักษากตัญญูอยู่ไปด้วย ถึงที่อับจนเข้าแก้ตัวมิได้ ก็จะมีผู้ติเตียนว่าเป็นคนโฉดหาปัญญาไม่ น้องจะไปครั้งนี้รักษาตัวให้จงหนัก เราจะจัดแจงบ้านช่องก่อนแล้วจะตามไปต่อภายหลัง เป๊กลีเหก็ลากวนซกไปถึงเมืองจิวเข้าไปหาก๋งจูโตยแล้วบอกวิชาเลี้ยงโคให้ก๋งจูโตย ก๋งจูโตยจึงเลี้ยงเป๊กลีเหไว้เป็นคนสนิท

ฝ่ายกวนซกครั้นจัดแจงบ้านเรือนแล้ว ก็ตามเป๊กลีเหไป ณ เมืองจิวพากันเข้าไปหาก๋งจูโตย กวนซกดูท่าทีฟังถ้อยคำซึ่งก๋งจูโตยพูดจากวนซกก็นิ่งไว้แต่ในใจ ครั้นเมื่อพากันกลับออกมาจากก๋งจูโตย กวนซกจึงว่ากับเป๊กลีเหว่า เราดูอัธยาศัยก๋งจูโตยนั้น จะใคร่ทำกว้างขวางคิดการสิ่งไรรักจะให้ใหญ่โต แต่สติปัญญาน้อย ทั้งนํ้าใจก็คับแคบ แล้วคบคนพาลไม่ช้าความวิบัติจะมาถึงเป็นแท้ ซึ่งเราจะอยู่ด้วยนั้นเห็นป่วยการเปล่า เป๊กลีเหนั้นคิดถึงบุตรภรรยาด้วยจากเมืองหงอมาช้านาน ครั้นได้ยินกวนซกว่าดังนั้นจึงว่า ข้าพเจ้าก็คิดอยู่จะใคร่กลับไปเมืองหงอ กวนซกจึงว่า เพื่อนเราของรักคนหนึ่งชื่อก๋งจูจีได้เป็นขุนนางเมืองหงอ แต่จากกันมานานแล้ว เราคิดอยู่จะใคร่พบ ถ้าเจ้าจะไปเมืองหงอเราจะไปด้วย แล้วเป๊กลีเหกับกวนซกพากันไปถึงเมืองหงอ เป๊กลีเหรู้ว่าภรรยายากจนนักเที่ยวซัดเซไป เป๊กลีเหมีความวิตกทุกข์ร้อนถึงภรรยา กวนซกจึงว่ากล่าวเอาเป๊กลีเห แล้วพาเป๊กลีเหไปหาก๋งจูจี ณ บ้าน บอกความก๋งจูจีว่าเป๊กลีเหคนนี้มีสติปัญญามาก ก๋งจูจีเข้าไปแจ้งแก่งูก๋ง งูก๋งให้หาเป๊กลีเหเข้าไป งูก๋งถามด้วยการบ้านเมืองและขนบธรรมเนียม เป๊กลีเหว่าให้ฟังทุกประการ งูก๋งเห็นเป๊กลีเหเป็นคนมีสติปัญญามาก ก็ตั้งให้เป็นขุนนางที่ตงไตหู เป๊กลีเหมีความยินดีรับที่ขุนนาง ครั้นกลับออกมาถึงบ้านกวนซกจึงว่ากับเป๊กลีเหว่า ซึ่งท่านยอมทำราชการกับงูก๋งนั้นยังกระไรรึ เราดูภูมิฐานงูก๋งเล็กนัก ใจคอไม่กว้างขวางที่ไหนจะทำการใหญ่ได้ ทั้งสติปัญญาก็น้อยหาควรจะทำการด้วยไม่ เป๊กลีเหจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนอนาถามาช้านานจนอายุได้สี่สิบเศษแล้ว อุปมาเหมือนปลาอยู่บนดอนเที่ยวเลือกมาพบห้วงนํ้าอันน้อยก็พอเป็นสุขอยู่แล้ว กวนซกจึงว่า น้องเราต้องเข้าทำราชการอยู่กับงูก๋งเพราะมีความขัดสนก็ตามเถิด แต่ตัวเราจะลากลับไป แม้นนานไปมื้อหน้าเจ้าคิดถึงจะไปหาเราก็ให้ไปเมืองซอง ที่บ้านแขงลกฉุน เราจะไปอยู่ที่ตำบลนั้น ว่าแล้วกวนซกก็ลาไป

ฝ่ายเป๊กลีเหอยู่ในเมืองหงอ ครั้นงูก๋งเสียเมืองเป๊กลีเหก็สู้ติดตามมิได้ทิ้งงูก๋งเสีย จนตกมาอยู่กับจิ้นเฮียนก๋ง แล้วงูก๋งได้กลับคืนมาเมืองหงอ เจ้าเมืองจิ้นรู้ว่าเป๊กลีเหมีสติปัญญาจึงเอาเป๊กลีเหไว้จะตั้งให้เป็นขุนนาง เป๊กลีเหบิดพลิ้วหารับไม่ ครั้นเมื่อจิ้นเฮียนก๋งจะส่งบุตรีมาจึงให้เป๊กลีเหมาด้วย

เจ้าเมืองจิ๋นแจ้งดังนั้นจึงว่าทำประการใดจะได้เป๊กลีเหมาไว้ใช้ กงซุนกีจึงว่า ข้าพเจ้าได้ข่าวว่าเป๊กลีเหหนีมาอยู่เมืองฌ้อ จะแต่งคนไปสืบดูให้รู้แน่ แล้วกงซุนกีก็ออกมาสั่งคนใช้ให้ไป ณ เมืองฌ้อ ครั้นคนใช้ไปสืบได้ความแล้ว กลับมาแจ้งกับกงซุนกีทุกประการ กงซุนกีจึงเข้าไปหาก๋งจูบุนบอกว่าเป๊กลีเหหนีไปอยู่ ณ เมืองฌ้อ ฌ้อบุนอ๋องมิได้รู้ว่ามีสติปัญญาหานับถือไม่ ใช้ให้เป๊กลีเหเลี้ยงม้าอยู่ที่ลามไฮ

ก๋งจูบุนจึงว่า เราจะไปขอเป๊กลีเห กลัวว่าฌ้อบุนอ๋องจะมิให้ ถ้าจะเอาเงินเอาทองไปขอแลกเอาเป๊กลีเห เขาก็จะรู้ว่าเป๊กลีเหเป็นคนมีสติปัญญา ฌ้อบุนอ๋องก็จะเอาไว้ใช้ที่ไหนจะให้มา กงซุนกีจึงว่า ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้มีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองฌ้อว่า เป๊กลีเหเป็นคนของเราหนีมาจะเอาตัวไปทำโทษอย่าให้ผู้อื่นดูเยี่ยงอย่าง ก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋นเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือตามคำกงซุนกีกับหนังแพะห้าผืน เป็นของกำนัลให้ทหารนำไปให้เจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองฌ้อรู้หนังสือดังนั้นแล้วจึงคิดว่าเป๊กลีเหเป็นแต่คนเลี้ยงโค เราจะขัดไว้ก็ไม่ต้องการจะเสียทางไมตรีไป จึงเอาตัวเป๊กลีเหใส่กรงมอบให้แก่ผู้ถือหนังสือ

บรรดาชาวบ้านที่รู้จักเป๊กลีเหนั้น พากันมาเยี่ยมด้วยมีความสงสารว่าเป๊กลีเหไปเมืองจิ๋นก๋งจูบุนจะฆ่าเสีย เป๊กลีเหหัวเราะด้วยเข้าใจว่าก๋งจูบุนให้มารับนั้นเพราะคิดจะเป็นใหญ่ จึงพูดกับชาวบ้านว่า ท่านทั้งปวงอย่าทุกข์ร้อนเลย เราไปถึงเมืองจิ๋นก็จะได้ดีอีก ว่าแล้วก็เข้าอยู่ในกรง ผู้ถือหนังสือก็พาเป๊กลีเหกลับมาเมือง กงซุนกีรู้ก็ออกไปรับนอกเมืองแล้วถอดเครื่องจำเป๊กลีเหออกเสียพาเข้ามาหาก๋งจูบุน ก๋งจูบุนเห็นเป๊กลีเหเข้ามาก็มีความยินดี ออกไปต้อนรับต่างคำนับเชิญให้นั่งที่สมควรจึงถามว่าท่านมีอายุสักเท่าใด เป๊กลีเหจึงบอกว่า อายุข้าพเจ้าได้เจ็ดสิบปี ก๋งจูบุนได้ฟังก็ถอนใจใหญ่ว่าเสียดายเป๊กลีเหเป็นคนสูงอายุอยู่แล้ว เป๊กลีเหจึงว่าเมื่อครั้งพระเจ้าบู๊อ๋อง ได้เกียงจูแหยไปเป็นผู้ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินนั้น อายุเกียงจูแหยถึงแปดสิบปีแล้ว ยังทำการสงครามมีชัยชนะแก่ข้าศึกไว้ด้วยกำลังปัญญาและฝีมือ พระเจ้าบู๊อ๋องจึงได้เป็นกษัตริย์สืบเชื้อพระวงศ์มา ข้าพเจ้าอายุเจ็ดสิบปีเท่านี้ จนอยู่แต่เพียงท่านจะใช้ให้ไปจับสัตว์ร้ายที่ในป่าและจับนกบนอากาศ แต่การอื่นทั้งปวงนั้นข้าพเจ้าพอจะรับกระทำได้

ก๋งจูบุนได้ฟังดังนั้นจึงว่า เราให้ไปเชิญท่านมาหวังจะขอสติปัญญาท่านช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองสืบไป ซึ่งเรารักษาเมืองจิ๋นอยู่นี้ใกล้กับเมืองเกียงหยง ต่างมิไว้ใจกันรักษาเขตแดนอยู่ด้วยกัน ท่านผู้เฒ่าจะสั่งสอนประการใดเราก็จะทำตาม เป๊กลีเหว่าข้าพเจ้าทำราชการอยู่ในงูก๋ง ซึ่งงูก๋งเสียเมืองกับข้าศึกนั้น ตัวข้าพเจ้าก็เป็นมลทินอยู่ ถ้าท่านไม่ติเตียนข้อนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะช่วยทำนุบำรุงท่านไปตามสติปัญญา อันเมืองจิ๋นนี้ข้าพเจ้าจะเห็นบริบูรณ์ไปภายหน้า ด้วยในแว่นแคว้นเกียงหยงฝ่ายตะวันตกนั้นมีบ้านเมืองเป็นอันมาก ถ้าได้เมืองเกียงหยงมาขึ้นกับเมืองจิ๋นแล้ว หัวเมืองทั้งปวงก็จะยำเกรง ถึงมาตรว่าจะมีข้าศึกศัตรูมา ฝ่ายเราก็ทำถนัดด้วยทางที่จะเข้าออกนั้นกันดารจำเพาะเดิน ถึงจะมามากก็พอจะคิดสู้รบเอาชัยชนะได้ ก๋งจูบุนจึงว่า ซึ่งเราได้ท่านมาไว้นั้น เหมือนกับเมืองเจ๋ได้กวนต๋งไว้เหมือนกัน ก๋งจูบุนพูดกับเป๊กลีเห เป๊กลีเหจะว่าความสิ่งใดก็ชอบใจเห็นด้วย จะตั้งให้เป๊กลีเหเป็นขุนนางที่เสียงเขง เป๊กลีเหจึงว่า ท่านเมตตาดังนี้คุณหาที่สุดมิได้ แต่ข้าพเจ้าเป็นคนปัญญาน้อย เกลือกจะว่าไปมิตลอดก็จะเสียการของท่าน ก๋งจูบุนได้ฟังดังนั้นจึงว่า เราทุกวันนี้ตั้งใจจะหาผู้มีสติปัญญาอยู่ช้านานเพิ่งมาพบท่านก็หมายใจว่าจะให้บำรุงบ้านเมืองจิ๋นสืบไป เหตุใดท่านกลับมาว่าดังนี้เล่า

เป๊กลีเหจึงว่า ข้าพเจ้าพูดกับท่านจะได้เป็นคำมารยาหามิได้ แต่ผู้มีสติปัญญานั้นมีอยู่ ชื่อกวนซกอยู่เมืองซองบ้านแขงลกฉุน ถ้าท่านไปรับตัวมาก็พอว่ากล่าวราชการเมืองได้ ก๋งจูบุนจึงว่า เรารู้แต่ว่าท่านมีสติปัญญา อันกวนซกนั้นเราไม่รู้จัก เป๊กลีเหจึงว่า อย่าว่าแต่ท่านเลย ถึงเมืองเจ๋เมืองซองก็หารู้จักกวนซกว่ามีสติปัญญาไม่ แต่ข้าพเจ้านั้นรู้อยู่ด้วยกวนซกกับข้าพเจ้าได้สาบานเป็นพี่น้องกัน เมื่อข้าพเจ้าอยู่ ณ เมืองเจ๋นั้น จะเข้าทำราชการกับก๋งจูบอดี กวนซกห้ามไว้ข้าพเจ้าพ้นภัยมาครั้งหนึ่ง แล้วกวนซกกับข้าพเจ้าไปอยู่ ณ เมืองจิว จะเข้าทำราชการอยู่กับก๋งจูโตย กวนซกก็ห้ามไว้อีก ข้าพเจ้าก็พ้นภัยเป็นสองครั้ง แล้วพากันมาเมืองหงอจะเข้าทำราชการกับงูก๋งกวนซกก็ห้ามอีก แต่ข้าพเจ้าจนนักเห็นกับได้เบี้ยหวัดไม่ฟังกวนซกห้าม เข้าทำราชการกับงูก๋งจนทัพเมืองจิ้นมาตีเมืองหงอได้ ครั้งนั้นข้าพเจ้าก็เหมือนคนตาย จึงรู้ว่ากวนซกมีปัญญาคาดการสิ่งใดมิได้ผิด ขอท่านให้รับเอามาว่าราชการเมืองเถิด

ก๋งจูบุนได้ยินเป๊กลีเหสรรเสริญกวนซกดังนั้น คิดจะใคร่ได้กวนซกมาไว้จึงว่ากับเป๊กลีเหว่า เราจะให้ไปหาตัวเกลือกกวนซกจะมิมา เป๊กลีเหจึงว่า ถ้าท่านสงสัยอยู่ดังนั้น ข้าพเจ้าจะให้หนังสือไปถึงกวนซกฉบับหนึ่ง เป๊กลีเหเขียนหนังสือส่งให้กับก๋งจูบุน ก๋งจูบุนจึงสั่งให้จัดเสื้อผ้าสิ่งของเงินทองกับหนังสือเป๊กลีเหมอบให้กับก๋งจูจี จึงสั่งว่า ท่านเอาหนังสือกับของทั้งนี้ไปให้กับกวนซก ณ เมืองซองแล้วเชิญตัวกวนซกมาหาเรา ก๋งจูจีรับหนังสือและสิ่งของแล้วก็ออกมาจัดเกวียนบรรทุกของเล่มหนึ่ง ตัวขี่เล่มหนึ่งแล้วปลอมเป็นพ่อค้าออกจากเมืองจิ๋นไปถึงแดนเมืองซอง ก๋งจูจีนั่งไปบนเกวียนเวลากลางวันเห็นชายคนหนึ่งไถนาอยู่ แดดร้อนก็วางไถเสียขึ้นนั่งอยู่บนคันนาใต้ร่มไม้ ก๋งจูจีขับเกวียนใกล้เข้ามาได้ยินชาวนาร้องเพลงบทหนึ่งว่า ประเพณีเกวียนจะข้ามเขาสูงนั้นยากนัก บทสองนั้นว่า หนทางอันใดไม่เคยเดินต้องหาคนนำ เหมือนหนึ่งกลางคืนต้องหาแสงไฟ บทสามนั้นว่า ที่อันนี้นํ้าสนิทกินก็ดี มีวิเศษมาอยู่แต่หามีผู้ใดรู้จักไม่ บทที่สี่นั้นว่า ตัวเราอุตส่าห์ทำนาด้วยมือสองมือ เท้าสองเท้าก็คงจะไม่ขัดสน บทห้านั้นว่า ทั้งสามฤดูเราก็บริบูรณ์มิได้อดอยาก บทหกนั้นว่า เราอยู่ที่นี่เราก็ไม่ได้ดีได้ชั่วตามแต่เทวดาจะโปรด ก๋งจูจีนั่งไปบนเกวียนได้ยินชาวนาร้องเพลงดังนั้น จึงสั่งให้คนใช้หยุดเกวียนไว้แล้วว่า คำโบราณว่าบ้านเมืองอันใดมีผู้มีสติปัญญาอยู่แล้ว คนในบ้านนั้นมักฉลาด จะพูดจาก็เฉียบแหลม ซึ่งเรามาได้ยินชาวนาทำเพลงเปรียบความดังนี้สงสัยนัก ก๋งจูจีลงจากเกวียนเดินเข้าไปถามชาวนาผู้นั้นว่า บ้านกวนซกอยู่แห่งใด ชาวนาจึงชี้มือบอกว่าตรงหน้านาเราออกไป หน้าบ้านนั้นมีกอไผ่ ข้างซ้ายมือมีแท่นศิลา ข้างขวามือมีลำธาร หลังบ้านมีภูเขา เรือนกวนซกนั้นอยู่กลาง

ก๋งจูจีได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก เดินไปประมาณห้าร้อยก้าวถึงบ้านมีกอไผ่ล้อมเป็นภูเขาและลำธาร สมคำชาวนาบอกก็เข้าใจว่าบ้านกวนซก ก๋งจูจีพิเคราะห์ดูภูมิบ้านก็ราบรื่นเป็นที่รโหฐาน จึงคิดแต่ในใจว่ากวนซกนี้เห็นจะมีสติปัญญาจริง สมคำเป๊กลีเหว่า แล้วก๋งจูจีให้คนใช้เข้าไปเคาะประตูบ้าน เด็กอยู่ในนั้นเปิดประตูออกมาถามว่าท่านมาแต่ไหน ก๋งจูจีจึงว่าเรามาหากวนซก เด็กคนนั้นจึงบอกว่าซินแสไม่อยู่ ก๋งจูจีจึงถามว่าซินแสไปไหน เด็กคนนั้นจึงบอกว่าซินแสไปกับคนแก่สองคน ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านพากันไปเที่ยวเล่นหลังเขาสักหน่อยก็จะมา ก๋งจูจีได้ฟังดังนั้นก็หยุดนั่งบนก้อนศิลาหน้าบ้านคอยกวนซกอยู่ เด็กนั้นก็งับประตูไว้แล้วก็กลับเข้าไป

ขณะเมื่อก๋งจูจีนั่งอยู่นั้น เห็นคนหนึ่งเดินมารูปร่างสูงใหญ่คิ้วดกตากลมมีกำลังมาก สะพายเนื้อสองตัวเดินตรงมาจะเข้าบ้าน ก๋งจูจีพิเคราะห์ดูลักษณะเห็นมิใช่คนยากก็เดินออกไปรับผู้นั้น ผู้นั้นก็วางเนื้อลงต่างคนต่างคำนับกัน ก๋งจูจีจึงถามว่า ท่านชื่ออะไรเป็นแซ่อันใด ผู้นั้นก็บอกว่า ข้าพเจ้าแซ่กวนชื่อเป๊กอิดเปีย ก๋งจูจีว่าท่านกับกวนซกเป็นอะไรกัน เป๊กอิดเปียจึงบอกว่ากวนซกนั้นเป็นบิดาข้าพเจ้า ก๋งจูจีจึงบอกว่าเพื่อนเก่าของบิดาท่านชื่อเป๊กลีเหเป็นขุนนางอยู่ในเมืองจิ๋น ฝากหนังสือเรามาให้กับบิดาท่าน เป๊กอิดเปียได้ฟังดังนั้นก็พาก๋งจูจีเข้าไปในเรือนจัดแจงที่ให้นั่งตามสมควร แล้วสั่งชงภู่ให้หามเนื้อเข้าไปในครัว แล้วเป๊กอิดเปียจึงว่ากับก๋งจูจีว่า เชิญท่านกินน้ำชาให้สบายใจบิดาข้าพเจ้าก็จะมา จึงสั่งเด็กให้ไปคอยอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วเป๊กอิดเปียกับก๋งจูจีนั้นก็นั่งกินน้ำชาอยู่ด้วยกัน ก๋งจูจีจึงว่า เราดูลักษณะท่านเป็นคนมีกำลังและฝีมือเหตุใดจึงไม่คิดหาที่พึ่งเข้าทำราชการให้ปรากฏชื่อเสียงไปภายหน้า เป๊กอิดเปียจึงว่า ซึ่งท่านเตือนสติทั้งนี้ควรอยู่แล้ว ธรรมดาเกิดมาเป็นชายก็ย่อมหาความดีใส่ตัวด้วยกันสิ้น เมื่อวาสนาหาไม่แล้วก็ป่วยการคิดเสียเปล่า ก๋งจูจีได้ฟังเป๊กอิดเปียว่ากล่าวดังนั้นจึงคิดแต่ในใจว่า บุตรกวนซกคนนี้พูดจาหลักแหลมนัก ซึ่งเราอุตส่าห์มานี้หาเสียทีไม่ พอเด็กเข้ามาบอกว่าก๋งมาแล้ว เดินมากับคนแก่สองคน เป๊กอิดเปียแจ้งดังนั้นก็ออกไปเล่าความให้บิดาฟังทุกประการ กวนซกรู้ดังนั้นจึงว่ากับคนแก่สองคนว่า เราเดินมาแต่ไกลแลเห็นเกวียนมาปลงอยู่สองเล่มก็นึกประหลาดใจอยู่ เชิญขึ้นไปนั่งพูดเล่นบนเรือนก่อนเถิด กวนซกกับผู้เฒ่าสองคนก็พากันเข้าไปในเรือน กวนซกก็จัดแจงให้นั่งที่สมควร

กวนซกจึงถามก๋งจูจีว่า เด็กบอกเราว่าเป๊กลีเหน้องเราฝากหนังสือมากับท่าน ขอให้เราดูสักหน่อย ก๋งจูจีก็ส่งหนังสือให้กวนซก กวนซกรับเอามาฉีกผนึกออกอ่านดู เป็นใจความว่า ข้าพเจ้าเป๊กลีเหผู้น้องคำนับมาถึงกวนซกผู้พี่ ด้วยเดิมท่านห้ามมิให้ข้าพเจ้าทำราชการกับงูก๋ง ข้าพเจ้ามิฟังท่านเจียนจะเอาชีวิตไปทิ้งเสียที่เมืองหงอ จนต้องซัดเซไปตกยากอยู่ ณ เมืองฌ้อ เป็นเดชะบุญก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋นให้ไปถ่ายข้าพเจ้ามาจากเมืองฌ้อ จึงได้พ้นจากเลี้ยงโค บัดนี้เจ้าเมืองจิ๋นจะมอบให้ข้าพเจ้าว่าราชการเมือง ข้าพเจ้าคิดเจียมตัวว่าสติปัญญาหาเหมือนพี่ไม่ ขอเชิญพี่ไปทำราชการในเมืองจิ๋นกับข้าพเจ้า และเจ้าเมืองจิ๋นมีนํ้าใจรักจะใคร่ได้พี่ไปไว้ด้วยกัน อุปมาเหมือนคนเดินทางเมื่อเวลาเที่ยงคอแห้งกระหายน้ำ จึงให้ไตหูก๋งจูจีคุมสิ่งของมาคำนับท่าน ขอให้ท่านออกจากหุบเขาไปทำราชการด้วยกันเถิด ถ้าท่านมิไปข้าพเจ้าก็ไม่รับคำก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋น คงจะตามมาอยู่ด้วยท่าน กวนซกแจ้งในหนังสือดังนั้นจึงว่ากับก๋งจูจีว่า ทำไมเป๊กลีเหจึงเอาชื่อเราไปบอกกับก๋งจูบุน ก๋งจูจีจึงเล่าความซึ่งเจ้าเมืองจิ๋นให้เป๊กลีเหมากับบุตรีจนเจ้าเมืองจิ๋นไปถ่ายมาจากเมืองฌ้อให้กวนซกฟังทุกประการแล้วว่า บัดนี้ก๋งจูบุนจะตั้งเป๊กลีเหเป็นที่เสียงเขง เป๊กลีเหว่าสติปัญญาหาเหมือนท่านไม่ จึงให้มาเชิญท่านไปเมืองจิ๋น เป๊กลีเหจึงจะรับที่ขุนนาง เจ้าเมืองจิ๋นจึงให้ข้าพเจ้าคุมเสื้อผ้าและสิ่งของทองเงินมาเป็นคำนับเชิญตัวท่าน แล้วก๋งจูจีจึงสั่งคนใช้ให้ขนของเข้ามาไว้ ณ เรือนกวนซกที่ห้องกลาง

ผู้เฒ่าสองคนเห็นสิ่งของทั้งปวงจึงว่า เราเป็นคนแก่เกิดมาแต่เล็กจนถึงเพียงนี้แล้วเพิ่งได้เห็นของอย่างนี้ ต่างคนต่างดู แล้วผู้เฒ่านั้นว่ากับก๋งจูจีว่า เราหารู้จักว่าท่านเป็นขุนนางมาอยู่ที่นี่ไม่จึงมิได้คำนับยำเกรง ขอท่านอย่าถือความกับชาวบ้านนอกฉะนี้เลย ก๋งจูจีจึงว่า ทำไมผู้เฒ่าจึงพูดดังนี้ ข้าพเจ้าเป็นเด็กจะคำนับท่านให้ช่วยข้าพเจ้าอีก ด้วยข้าพเจ้าคอยหาซินแส อุปมาเหมือนชาวนาหว่านกล้าลงไว้แล้วคอยหาฝน ขอท่านทั้งสองช่วยว่ากับซินแสสักคำหนึ่ง ถ้าซินแสไปกับข้าพเจ้าแล้ว คุณท่านหาที่สุดมิได้

ผู้เฒ่าสองคนจึงว่ากับกวนซกว่า เจ้าเมืองจิ๋นรักคนมีสติปัญญาถึงเพียงนี้ จึงให้ขุนนางมาเชิญท่าน ขอท่านอย่าให้เสียทีมาเลย กวนซกจึงว่ากับก๋งจูจีว่า ถ้าเจ้าเมืองจิ๋นตั้งใจรับผู้มีสติปัญญาจริง แต่เป๊กลีเหคนเดียวก็จะทำนุบำรุงเจ้าเมืองจิ๋นได้ อันเรานี้แก่แล้วไม่เคยคิดจะทำราชการ สิ่งของทั้งปวงนั้นท่านจงเอากลับไปเถิด แต่ท่านได้เอ็นดูบอกเจ้าเมืองจิ๋นว่าเราคำนับลาอยู่ในที่นี้ ก๋งจูจีจึงว่า ถ้าซินแสไม่ไปแล้ว เป๊กลีเหก็ไม่อยู่ทำราชการ ซึ่งเป๊กลีเหมีสติปัญญานั้นก็จะสูญเสียเปล่า หาเป็นประโยชน์สิ่งใดไม่ กวนซกได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วคิดว่าเป๊กลีเหนั้นเที่ยวหาที่พึ่งจะเข้าทำราชการไม่สมคิด จึงได้ความลำบากระหกระเหินนัก บัดนี้มาได้นายที่มีนํ้าใจโอบอ้อมอารีแล้ว ครั้นเราจะมิไปก็เหมือนห้ามวาสนาเป๊กลีเหหาควรไม่ จึงว่ากับก๋งจูจีว่า ซึ่งถ้อยคำของท่านว่านั้นควรนัก แล้วเป๊กลีเหกับเราก็ได้สาบานเป็นพี่น้องกัน เราเห็นเป๊กลีเหจะยอมไปตามคำท่าน แต่ท่านได้เอ็นดูงดให้จัดแจงบ้านช่องสักสองเวลาจึงค่อยไป พอชงภู่เอาเนื้อเข้าไปทำกับข้าวสุกแล้ว ยกเข้ามาให้กวนซก กวนซกจึงสั่งเด็กให้อุ่นเหล้ามาเลี้ยงแขกแล้วเชิญก๋งจูจีกับผู้เฒ่าทั้งสองกินอยู่ด้วยกันจนพลบคํ่า แล้วกวนซกก็จัดแจงให้ก๋งจูจีนอนอยู่ห้องกลาง ครั้นเวลาเช้าก๋งจูจีจึงว่ากับกวนซกว่า เป๊กอิดเปียบุตรท่านนั้นข้าพเจ้าดูลักษณะเป็นคนมีสติปัญญา ทั้งกำลังก็มาก ข้าพเจ้าจะเชิญไปทำราชการ ณ เมืองจิ๋นด้วย กวนซกก็ยอมให้ไป แล้วกวนซกจึงแบ่งเอาของซึ่งเจ้าเมืองจิ๋นให้มานั้นยกให้คนแก่สองคน จึงสั่งว่า ท่านทั้งสองเอาใจใส่บ้านช่องเราด้วย เราไปไม่ช้าจะกลับมา แล้วสั่งคนใช้ในเรือนให้จัดแจงทำไร่นาตามเคย อย่าให้ขาดฤดูได้ กับเครื่องทำกินของเราถ้าสิ่งใดชำารุดอย่าทิ้งเสีย อุตส่าห์ซ่อมแปลงขึ้นไว้ตัวเรากลับมาจะได้ทำมาหากินต่อไป กวนซกสั่งการทั้งปวงแล้วก็ขึ้นเกวียนไปกับก๋งจูจีคนละเล่ม เป๊กอิดเปียนั้นก็ขับเกวียนกวนซกไป ครั้นมาถึงแดนเมืองจิ๋น ก๋งจูจีก็รีบเข้าไปในเมืองก่อนแจ้งความกับเจ้าเมืองจิ๋นว่า กวนซกนั้นเข้ามาในเขตเมืองเราแล้วกับบุตรกวนซกคนหนึ่งชื่อเป๊กอิดเปีย ข้าพเจ้าเห็นว่ามีสติปัญญาอยู่จึงชวนเอามาด้วย

ก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋นได้ฟังดังนั้นยินดีนัก จึงสั่งให้เป๊กลีเหออกไปรับกวนซกกับเป๊กอิดเปียเข้ามาในเมือง ครั้นกวนซกเข้ามาถึงก๋งจูบุนก็ลงจากที่เดินออกไปรับ ต่างคำนับกันตามธรรมเนียม ก๋งจูบุนก็เชิญให้กวนซกนั่งที่สมควรแล้วจึงว่า เราได้ยินชื่อท่านปรากฏด้วยความรู้ดี ก็คิดจะใคร่ได้ท่านมาไว้ด้วย แต่ว่าหาได้สนทนากันไม่ เหตุใดท่านจึงไม่คิดเข้ามาทำราชการให้คนทั้งปวงปรากฏกำลังปัญญาท่าน กวนซกจึงว่า ตัวข้าพเจ้าก็อายุถึงเพียงนี้ อันยศศักดิ์ไม่รัก แล้วสติปัญญาก็เป็นประมาณหาเหมือนคำเขาเล่าลือไม่ จึงคิดไปหาความสุขทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิต เจ้าเมืองจิ๋นจึงว่า ซึ่งท่านว่ากล่าวทั้งนี้เหมือนไม่เมตตาเรา เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนดี แล้วเป๊กลีเหก็สรรเสริญว่าท่านมีสติปัญญามาก จึงให้เชิญมาหวังจะให้ช่วยจัดแจงการบ้านเมืองให้มีความสุขมิให้ข้าศึกทั้งปวงยํ่ายี ขอท่านอย่าบิดพลิ้วเลย กวนซกจึงว่า ข้าพเจ้าว่านั้นเป็นความจริง จะได้บิดพลิ้วนั้นหามิได้ แต่ท่านมีน้ำใจเอ็นดูนับถือแล้วจะช่วยว่ากล่าวไปตามสติปัญญา เจ้าเมืองจิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงว่าท่านยอมทำราชการด้วยเราด้วย เมืองจิ๋นก็จะได้ตั้งมั่นเป็นสุขสืบไป

กวนซกจึงว่า อันเมืองจิ๋นนี้ใกล้กับเมืองยองเต๊ก เมืองยองเต๊กตั้งอยู่ฝ่ายตะวันออกบังเมืองจิ๋นอยู่ หนทางซึ่งข้าศึกจะไปมานั้นกันดาร ทั้งทหารในเมืองจิ๋นเล่าก็ฝีมือกล้าแข็งเป็นอันมาก แม้นจะยกไปทำแก่เมืองก็จะได้ ถ้าจะตั้งมั่นอยู่เล่าถึงจะมีข้าศึกมายํ่ายี ก็พอจะคิดเอาชัยชนะโดยง่าย แต่ทว่าเมืองจิ๋นนี้เข้าปนอยู่ในแว่นแคว้นเมืองยองเต๊กเป็นปลายแดนไกลกันกับเมืองหลวงนัก ข้าราชการไพร่บ้านพลเมืองไม่รู้ขนบธรรมเนียมแผ่นดิน จึงมีนํ้าใจกระด้างไม่ราบคาบเป็นปกติ ท่านจงคิดทำให้ขุนนางและราษฎรรักใคร่กันโดยสุจริตแล้ว จึงตั้งกฎหมายอย่างธรรมเนียมเมืองให้คนทั้งปวงรู้จักที่ตํ่าสูงผิดและชอบจงทั่วก็จะยำเกรงท่านมากขึ้น เหมือนเจ๋ฮวนก๋งเจ้าเมืองเจ๋ซึ่งได้ระเบียบของกวนต๋งจัดแจงไว้ หัวเมืองทั้งปวงจึงเกรงกลัวเป็นอันมาก

ก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋นจึงว่า ถ้าเหมือนอาจารย์กวนซกว่าแล้วเราคงจะได้เป็นใหญ่ กวนซกจึงว่า ถ้าท่านจะใคร่เป็นใหญ่แล้ว จงละเสียอีกสามประการ คือโลภประการหนึ่ง โกรธประการหนึ่ง ทำสิ่งใดเร็วประการหนึ่ง ความทั้งนี้หาประโยชน์มิได้ อันโลภนั้นมักอันตรายแก่ประโยชน์ อันคนมากไปด้วยโทโสแล้ว จะพูดจาและจะทำสิ่งใดมักมีแต่ผิด อันใจเร็วนั้นจะทำการสิ่งใดรวดเร็วก็จริง แต่ปราศจากตรึกตรองแล้วทำการใหญ่ไปมิได้ ถ้าท่านผ่อนใจได้เหมือนข้าพเจ้าว่านี้ ซึ่งคิดจะตั้งตัวเป็นใหญ่นั้น ก็เห็นว่าใกล้เข้าอยู่แล้ว ก๋งจูบุนจึงว่า ซึ่งคำของท่านสั่งสอนเราจะทำตามทุกประการ และการซึ่งจะรักษาบ้านเมืองนั้นท่านจงช่วยจัดแจงให้สำเร็จเถิด กวนซกจึงว่า ภูมิเมืองจิ๋นนี้ดีอยู่แล้ว อันเมืองเจ๋นั้นบริบูรณ์มาช้านาน หัวเมืองทั้งปวงจึงยำเกรงเป็นอันมาก ทุกวันนี้เจ๋ฮวนก๋งก็ชราลงแล้ว ผู้ที่เคยกลัวเกรงนั้นก็คิดเอาใจออกห่างอยู่สิ้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองเจ๋เป็นคราวชะตาตก ขอท่านจงไปเกลี้ยกล่อมชาวบ้านหยงอุยให้เป็นอย่างลงไว้ แล้วจึงหาหัวเมืองตะวันตกซึ่งขึ้นอยู่กับเราแต่ก่อนนั้น มาให้ทรัพย์สิ่งของจงมากให้มีใจรักใคร่โดยสุจริต แล้วยกย่องสรรเสริญให้มีใจกำเริบ จึงให้เกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวง ถ้าเมืองใดมิมาให้ยกทหารไปตี เราจึงจัดกองทัพยกไปช่วยก็จะมีชัยชนะโดยง่าย ค่อยเพียรทำไปดังนี้เมืองเราก็คงจะเป็นเอกขึ้น

ก๋งจูบุนได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก ว่าเราได้ท่านผู้เฒ่าทั้งสองไว้ สมควรที่จะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ จึงตั้งกวนซกเป็นที่อีสูเตียงขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร ตั้งเป๊กลีเหเป็นโจสูเตียงขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน ให้เป๊กอิดเปียบุตรกวนซกนั้นเป็นไตหูช่วยราชการบิดา แล้วแจกกฎหมายแก่อาณาประชาราษฎร์ให้รู้จักขนบธรรมเนียมผิดและชอบ แต่นั้นมาเมืองจิ๋นก็อยู่เย็นเป็นสุข ก๋งจูบุนสั่งให้สืบเสาะหาผู้มีสติปัญญา ก๋งจูจีบอกว่าข้าพเจ้ารู้ว่าชื่อคิดสุดคนหนึ่งมีสติปัญญาพอจะเป็นข้าราชการได้ ก๋งจูบุนจึงหาตัวมาแล้วตั้งให้เป็นไตหู ซือคิดสุดก็รับราชการเป็นขุนนางอยู่ในเมืองจิ๋น

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ