- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๘๘
ฝ่ายกุยก๊กซินแส ครั้นโซจิ๋นเตียวหงีไปแล้วประมาณสองวัน กุยก๊กซินแสไม่มีความสบายก็ออกจากเขากุยก๊กเที่ยวไป ฝ่ายซุนปินครั้นมาถึงเมืองงุยจึงไปหาบังก๋วน บังก๋วนเห็นซุนปินมาถึงก็ออกไปรับเชิญขึ้นนั่งที่สมควร ทั้งสองคำนับกันตามธรรมเนียมสนทนาปราศรัยกันเหมือนฉันญาติอันสนิท แล้วบังก๋วนก็จัดแจงที่อยู่ให้ซุนปินอาศัยหลับนอนเป็นปกติ ครั้นเพลารุ่งเช้าบังก๋วนก็พาซุนปินเข้าไปเฝ้างุยอ๋อง งุยอ๋องจึงบอกซุนปินว่าอาจารย์เหกเต๊กมาเยี่ยมเยียนเรา แล้วสรรเสริญออกชื่อท่านว่ามีสติปัญญาได้เรียนวิชากลศึก กุยก๊กซินแสสั่งสอนขบวนศึกของซุนบู๊จู๋ให้แก่ท่าน เราจึงให้ไปเชิญมาหวังจะตั้งแต่งเป็นขุนนาง ท่านมาถึงเราวันนี้เรายินดี อุปมาเหมือนคนกระหายน้ำเดินทางพบหนองน้ำอันเย็นใสได้อาบกินเป็นสุข ซุนปินจึงว่าข้าพเจ้าไปอยู่กับกุยก๊กซินแสเหมือนดังคนป่า ซึ่งท่านกรุณาให้ไปรับมาทั้งนี้คุณท่านหาที่สุดมิได้ จะขอสนองคุณโดยสติปัญญาและวิชาซึ่งได้เล่าเรียนมากว่าจะสิ้นชีวิต
งุยอ๋องได้ฟังดังนั้นยินดีนัก จึงจัดแจงเสื้อหมวกอย่างดีและสิ่งของเครื่องยศตามธรรมเนียมแขกเมืองให้แก่ซุนปิน แล้วให้ไปอาศัยอยู่ที่กงก๊วนเคยรับแขก หวังจะทดลองวิชาและน้ำใจซุนปินให้รู้ว่าชั่วและดีก่อน จึงจะตั้งแต่งเป็นขุนนางต่อภายหลัง ซุนปินรับเสื้อหมวกสิ่งของแล้วคำนับลาออกมาอยู่ที่กงก๊วน ซุนปินก็ไปมาหาบังก๋วนมิได้ขาด บังก๋วนจึงแกล้งไต่ถามถึงขบวนศึกซึ่งได้เล่าเรียนมาครูเดียวกัน ซุนปินก็ว่าไปตามตำราโดยขึ้นปากจนใจมิได้คลาดเคลื่อน แต่ตำรับซุนบู๊จู๋นั้นบังก๋วนฟังหาต้องกับที่เล่าเรียนมาไม่ จึงถามซุนปินว่าตำรับนี้ได้มาแต่ไหนเล่า ซุนปินจึงว่าตำราซุนบู๊จู๋ครูเราแปลข้อความซึ่งไม่แจ้งชี้แจงออกให้จะแจ้ง สั่งสอนเราให้เล่าเรียนไว้โดยขึ้นใจข้อความซึ่งแปลออกไป บังก๋วนจะใคร่ได้ตำราซุนบู๊จู๋ไว้บ้าง คิดจะขอก็เห็นซุนปินจะไม่ให้ยังเกรงใจซุนปินอยู่
ฝ่ายงุยอ๋องครั้นได้ซุนปินมาไว้ประมาณสี่ห้าวัน จึงคิดว่าบังก๋วนชำนาญในการศึกหาผู้จะเสมอมิได้ อาจารย์เหกเต๊กมาสรรเสริญซุนปินว่าดีกว่าบังก๋วนนั้นยังมิได้เห็นสติปัญญาว่าชั่วดีประการใด จำจะให้ซุนปินกับบังก๋วนตั้งขบวนศึกสอบสวนกันดูให้ประจักษ์แก่ตาก่อน งุยอ๋องคิดแล้วก็พาบังก๋วนกับซุนปินและนายทหารทั้งปวงออกไป ณ ที่สนามหัดนอกเมืองงุยอ๋อง จึงให้บังก๋วนกับซุนปินจัดแจงตั้งค่ายกลขบวนศึกตามที่บังก๋วนซุนปินได้เล่าเรียนมา บังก๋วนก็คำนับลาออกมาพาทหารไปตั้งขบวนทัพต่างๆ แล้วถามซุนปิน ซุนปินก็บอกขบวนทัพและขบวนที่จะแก้ไขเอาชัยชนะถูกถ้วนทุกประการ บังก๋วนครั้นตั้งขบวนศึกตามที่ได้เล่าเรียนมาสิ้นแล้ว จึงให้ซุนปินตั้งขบวนทัพให้แปลกประหลาดออกไป ซุนปินก็ตั้งขบวนทัพสลับกันมีที่เข้าออกแปดแห่งผิดกันกับขบวนทัพบังก๋วน บังก๋วนมิได้รู้จึงถามว่าค่ายนี้ชื่อใด ซุนปินก็บอกว่าชื่อเตียนโตปัดบุนตี๋น บังก๋วนแจ้งความแล้วก็เข้ามาเฝ้า ทูลชี้แจงขบวนทัพซึ่งซุนปินบอกให้งุยอ๋องฟัง งุยอ๋องสำคัญว่าบังก๋วนรู้ขบวนทัพของซุนปิน ครั้นซุนปินตั้งขบวนค่ายเสร็จแล้วเข้ามาคำนับงุยอ๋อง งุยอ๋องถามชื่อขบวนทัพ ซุนปินก็ทูลบอกชื่อค่ายเหมือนบอกบังก๋วนทุกประการ
งุยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจว่าบังก๋วนกับซุนปินรู้ขบวนศึกหรือเสมอกัน แล้วงุยอ๋องก็พาขุนนางและทหารทั้งปวงกลับเข้าเมือง บังก๋วนมาถึงบ้านจึงคิดว่าซุนปินรู้การกลศึกลึกซึ้งกว่าเราเป็นอันมาก เบื้องหน้าไปซุนปินได้ทำศึกชนะมีความชอบเห็นจะยํ่ายีเรา จำจะคิดอุบายหาความผิดทูลยุยงให้งุยอ๋องแคลงใจ แล้วจะคิดฆ่าซุนปินเสียให้จงได้จึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม อยู่วันหนึ่งซุนปินมาหาบังก๋วน บังก๋วนจึงแกล้งไต่ถามว่าแต่ก่อนญาติพี่น้องครอบครัวท่านอยู่เมืองเจ๋ ท่านไปเรียนวิชากับกุยก๊กซินแสครูเดียวกันกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากับท่านได้สาบานเป็นพี่น้องกัน บัดนี้ท่านมาทำราชการอยู่ ณ เมืองงุยแล้ว เหตุใดจึงไม่ไปรับครอบครัวมาเล่า ซุนปินได้ฟังบังก๋วนถามดังนั้น คิดขึ้นมาถึงความหลังก็กลั้นนํ้าตามิได้ ร้องไห้พลางพูดกับบังก๋วนว่าแต่ข้าพเจ้ากับท่านไปอยู่ครูเดียวกันก็ช้านาน การบ้านเรือนบังเกิดวิบัติข้าพเจ้าก็ยังหาได้เล่าให้ท่านฟังไม่ ตัวข้าพเจ้านี้เกิดมาเป็นกำพร้ามารดาตายจากแค่อายุได้สี่ขวบ ครั้นอายุเก้าขวบบิดาตาย ซุนเกียวผู้อาเอาไปเลี้ยงไว้เมืองเจ๋ อาข้าพเจ้าเข้ามาทำราชการอยู่ในเจ๋จงก๋ง ครั้นเมืองเกิดวิบัติข้าพเจ้าจึงได้พลัดอาข้าพเจ้ากับซุนเบ๋งซุนไต๋ผู้เป็นพี่ มิได้รู้ว่าจะไปอยู่แห่งใด แต่ตัวข้าพเจ้าผู้เดียวไปอยู่เป็นศิษย์กุยก๊กซินแส และท่านจะมาถามถึงพี่น้องและครอบครัวนั้นจะเป็นประการใดข้าพเจ้ายังมิได้รู้ บังก๋วนจึงว่าท่านยังคิดถึงบ้านเมืองเก่าและคิดถึงที่ฝังศพบิดามารดาท่านอยู่บ้างหรือหามิได้ ซุนปินจึงบอกโดยข้อว่าข้าพเจ้าก็เป็นมนุษย์มิใช่สัตว์เดรฉาน ก็ย่อมมีความกตัญญูคิดถึงคุณบิดามารดาอยู่ อนึ่งเมื่อข้าพเจ้าลาอาจารย์ อาจารย์ก็บอกมาว่าให้ไปทำราชการ ณ เมืองปู่ย่าตายายจึงจะได้ดี บัดนี้ได้มาทำราชการอยู่ในเมืองงุยแล้วก็คงจะสนองคุณงุยอ๋องไปกว่าจะตาย บังก๋วนจึงว่าซึ่งที่ว่าทั้งนี้ชอบแล้ว อันเกิดมาเป็นชายเมื่อใจรักจะทำราชการเมืองไหนๆ ก็ได้เหมือนกัน จำเพาะแต่ไปทำราชการเมืองปู่ย่าตายายจึงจะได้ดีเจียวหรือ ซุนปินได้ฟังบังก๋วนว่าดังนั้นมิได้โต้ตอบประการใด ครั้นเวลาเย็นก็ลาบังก๋วนไปที่อาศัย
ฝ่ายบังก๋วนครั้นพูดล่อลวงได้ความในซุนปินแล้วคิดจะหาความผิดซุนปิน จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งเป็นหนังสือซุนเบ๋งฝากมาถึงซุนปิน แล้วจึงให้ซือกะเป็นคนสนิทเข้ามากระซิบบอกว่า ท่านจงเอาหนังสือนี้ไปให้ซุนปิน ถ้าซุนปินถามท่านจงบอกว่าชื่อเตงอิดขุนนางเมืองเจ๋ ซุนเบ๋งใช้ให้ถือหนังสือมาถึงซุนปินรับไปเมืองเจ๋ ซือกะก็รับหนังสือลอบไปหาซุนปิน ครั้นถึงกงก๊วนจึงเข้าไปคำนับซุนปิน ซุนปินไม่รู้จักจึงถามว่าท่านชื่อใดมาแต่ไหนมีธุระสิ่งไรหรือ ซือกะจึงแกล้งพูดเป็นชาวตะวันออก บอกซุนปินว่าข้าพเจ้าชื่อเตงอิด เดิมอยู่เมืองยิมจู๋ไปเป็นขุนนางอยู่เมืองเจ๋ ซุนเบ๋งใช้ให้ถือหนังสือมาถึงซุนปินผู้น้อง ณ เขากุยก๊ก ข้าพเจ้าไปหามิได้พบ สืบรู้ว่าซุนปินเข้ามาอยู่ในเมืองงุยจึงตามมาถาม มีผู้บอกว่าซุนปินมาอาศัยอยู่ที่นี่ ชื่อซุนปินคนใดยังมิได้รู้จักตัว ท่านชื่อซุนปินเป็นน้องซุนเบ๋งหรือ ซุนปินก็รับว่าเราชื่อซุนปินเป็นน้องซุนเบ๋ง ซือกะก็ส่งหนังสือให้ซุนปิน ซุนปินฉีกผนึกออกอ่านใจความว่าซุนเบ๋งพี่ท่านอวยพรมาถึงซุนปินผู้น้อง ด้วยแต่พลัดพรากจากเมืองมาช้านานมิได้พบกัน บัดนี้ได้มาเป็นขุนนางทำราชการอยู่เมืองเจ๋แล้วพี่มีความอาลัยคิดถึงน้องนัก สืบรู้ว่าน้องท่านมาเรียนวิชาอยู่กับกุยก๊กซินแสจึงให้เตงอิดถือหนังสือมา ครั้นน้องท่านรู้หนังสือนี้แล้วอย่าให้ไปทำราชการเมืองอื่นเลย เชิญไปทำราชการเมืองเจ๋ด้วยกันเถิด
ซุนปินแจ้งความในหนังสือนั้นสำคัญว่าเป็นหนังสือซุนเบ๋งก็ร้องไห้ เตงอิดเห็นดังนั้นจึงแกล้งว่า ซุนเบ๋งกำชับสั่งข้าพเจ้ามาว่าพบท่านแล้ว ให้ท่านเร่งรีบไปหาซุนเบ๋ง ณ เมืองเจ๋ อย่าให้ช้าเดือนวันอยู่ พี่น้องจะได้เห็นหน้ากัน ซุนปินจึงว่าข้าพเจ้าได้เข้ามาทำราชการอยู่ในเมืองนี้แล้ว ครั้นจะไปอยู่เมืองเจ๋เล่า คนทั้งปวงก็จะนินทาว่าเป็นข้าสองเจ้า จะขอทำราชการสนองคุณงุยอ๋องก่อน จึงจะค่อยไปเมืองเจ๋ต่อภายหลัง ซุนปินก็แต่งหนังสือตอบฉบับหนึ่งใจความตามที่พูดกันกับเตงอิด จึงส่งหนังสือให้เตงอิดแล้วสั่งว่า ท่านจงกลับไปบอกแก่ซุนเบ๋งพี่ข้าพเจ้าเถิด ว่าข้าพเจ้าจะทำราชการอยู่ในงุยอ๋องก่อน ถ้างุยอ๋องไม่ชุบเลี้ยงแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะคิดอ่านหนีไปหาท่านต่อภายหลัง
ซุนปินจึงให้ทองคำแก่เตงอิดไปซื้อจ่ายเป็นเสบียงกลางทาง ซือกะได้ทองกับหนังสือแล้วลาซุนปินมาหาบังก๋วน จึงเอาหนังสือส่งให้บังก๋วน แล้วเล่าความซึ่งซุนปินพูดมานั้นให้บังก๋วนฟังทุกประการ บังก๋วนได้ฟังก็ยินดีด้วยสมคิด จึงคลี่หนังสือซุนปินออกอ่านแจ้งความแล้ว แปลงปลายหนังสือซุนปินต่อความออกไปอีกว่า ข้าพเจ้าผู้เป็นน้องตกอยู่ในเมืองงุย แต่ใจนั้นคิดถึงเมืองเจ๋ซึ่งเป็นเมืองบิดามารดาอยู่ทุกเช้าคํ่ามิได้ขาด ถ้าเจ้าเมืองเจ๋จะใคร่ได้เรา เราก็จะคิดอ่านหนีจากเมืองงุยไปทำราชการด้วยเจ้าเมืองเจ๋ให้จงได้ ครั้นแปลงหนังสือแล้วก็เข้าไปเฝ้างุยอ๋อง ณ ที่ข้างในจึงกระซิบทูลว่า เมื่อวันวานนี้ขุนนางเมืองเจ๋ลอบมาพูดจากับซุนปิน ข้าพเจ้าเห็นผิดประหลาด ข้าพเจ้าจึงให้คนใช้ออกไปคอยอยู่ต้นทางจะไปเมืองเจ๋ คนใช้เห็นขุนนางเมืองเจ๋ออกจากซุนปินจะกลับไปเมืองจึงไล่จับตัว ขุนนางเมืองเจ๋วิ่งหนีไปได้แต่หนังสือตกอยู่เอามาให้ข้าพเจ้า เป็นหนังสือซุนปินจะคิดเอาตัวออกหาก บังก๋วนก็ส่งหนังสือนั้นให้แก่งุยอ๋อง งุยอ๋องคลี่หนังสือออกอ่านแจ้งความแล้วสำคัญว่าเป็นหนังสือซุนปินจริง จึงว่าซุนปินจะไปอยู่ในเมืองเจ๋ครั้งนี้เพราะเราชุบเลี้ยงไม่ถึงขนาด
บังก๋วนจึงทูลว่าซุนปินคนนี้เป็นหลานซุนบู๊จู๋ แต่ก่อนซุนบู๊จู๋เป็นขุนนางนายทหารผู้ใหญ่อยู่ในเมืองหงอ ครั้นอยู่มาหนีเจ้าเมืองหงอไปอยู่ในเมืองเจ๋ ซึ่งเป็นเมืองปู่ย่าตายายของซุนบู๊จู๋ ถึงท่านจะเลี้ยงซุนปินขึ้นให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ซุนปินก็คงจะหนีไปอยู่เมืองเจ๋เหมือนซุนบู๊จู๋ อันซุนปินคนนี้เป็นคนมีสติปัญญา ได้เรียนวิชาการขบวนศึกเป็นอันมาก ถ้าซุนปินได้ไปอยู่เมืองเจ๋แล้วเห็นจะคุมทัพเมืองเจ๋มากระทำแก่เมืองท่านเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าคิดว่าจะจับซุนปินฆ่าเสียจึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม งุยอ๋องจึงว่า เราได้ให้ไปเชิญซุนปินมาแต่เขากุยก๊กจะชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนาง ซึ่งท่านได้หนังสือมานี้ก็เป็นแต่หนังสือซุนปินฝากไปถึงพี่ชาย จะยกข้อขึ้นว่าซุนปินผิดก็ยังไม่ได้ ครั้นจะฆ่าเสียคนทั้งปวงก็จะพากันนินทาไปเบื้องหน้า ผู้ซึ่งจะมาทำราชการด้วยนั้นเห็นจะท้อใจต่างคนจะไปอยู่เมืองอื่น บังก๋วนจึงว่าถ้าดังนั้นข้าพเจ้าจะไปถามซุนปินดูก่อน ถ้าซุนปินออกปากว่าจะสมัครทำราชการอยู่ในท่านกว่าจะตาย ข้าพเจ้าจึงจะมาทูลท่านจงตั้งซุนปินขึ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถ้าซุนปินไม่สมัครอยู่กับท่านจะมาลาท่านไปเมืองเจ๋แล้ว ขอท่านจงให้ข้าพเจ้าไปปรึกษาโทษซุนปิน ถ้าโทษซุนปินถึงตายฆ่าเสียตามกฎหมายสำหรับเมืองก็เห็นหามีผู้ใดนินทาไม่
งุยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็นิ่งตรึกตรองอยู่ บังก๋วนก็ลาออกมาบ้านจึงให้คนใช้ไปเชิญซุนปินมาแล้วถามซุนปินว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าพี่ชายท่านฝากหนังสือมาแต่บ้านจริงหรือประการใด ซุนปินมิได้รู้ว่าบังก๋วนจะคิดประทุษร้าย ก็บอกความจริงให้บังก๋วนตามเรื่องราวในหนังสือนั้นทุกประการ แล้วว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้าคิดจะลางุยอ๋องไปเยี่ยมเยียนพี่น้องก็คิดเกรงงุยอ๋องจะมิให้ไป บังก๋วนจึงว่าเป็นประเพณีพี่น้องอยู่ต่างเมือง คิดถึงกันก็ควรจะไปเยี่ยมเยียน ซึ่งท่านเกรงงุยอ๋องจะมิให้ไปนั้น อย่าวิตกเลยข้าพเจ้าจะช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่าย ซุนปินได้ฟังดังนั้นคิดว่าบังก๋วนรักโดยสุจริตก็ยินดี จึงว่าถ้าท่านกรุณาข้าพเจ้าแล้ว เวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะทำเรื่องราวเข้าไปทูลลา ซุนปินพูดกับบังก๋วนแล้วก็ลากลับมาที่อาศัย ครั้นรุ่งเช้าซุนปินกับขุนนางทั้งปวงก็เข้าไปเฝ้างุยอ๋อง ซุนปินจึงส่งหนังสือเรื่องราวให้งุยอ๋องแล้วทูลลาว่าจะไปทำบุญเซ่นศพบิดามารดา ณ เมืองเจ๋
งุยอ๋องก็อ่านเรื่องราวซุนปินเห็นสมกับคำบังก๋วนว่าไว้ ก็โกรธด่าซุนปินว่าแต่ก่อนเราคิดว่าตัวเป็นคนมีสติปัญญาจึงให้ไปเชิญมาจะตั้งเป็นขุนนาง ตัวเป็นคนอกตัญญูไปคบคิดกับขุนนางเมืองเจ๋เอาใจออกหากคิดจะหนีไปโดยซึ่งหน้าเห็นจะมิพ้น จึงคิดกลอุบายทำเรื่องราวมาลา งุยอ๋องจึงสั่งขุนนางให้เอาตัวซุนปินไปให้บังก๋วนปรึกษาโทษ ขุนนางนายทหารก็คุมตัวซุนปินออกจากที่เฝ้าไปบ้านบังก๋วน
ฝ่ายบังก๋วนนั่งอยู่บนตึกรับแขกแลเห็นทหารคุมตัวซุนปินมาถึงก็แกล้งทำตกใจลุกจากเก้าอี้ พอผู้คุมพาซุนปินมาคำนับ บังก๋วนจึงถามว่าเป็นเหตุประการใดจึงได้คุมตัวพี่เรามา งุยอ๋องขัดเคืองพี่เราด้วยข้อความประการใดหรือ ผู้คุมจึงบอกว่าซุนปินทำเรื่องราวเข้าไปกราบทูล งุยอ๋องโกรธให้คุมตัวมาให้ท่านปรึกษาโทษ บังก๋วนจึงคิดว่าเราล่อลวงให้ซุนปินทูลลาจนงุยอ๋องโกรธ จะปรึกษาโทษให้ถึงตายงุยอ๋องก็จะฆ่าซุนปินเสีย ครั้นซุนปินตายแล้วตำราซุนบู๊จู๋ซึ่งซุนปินได้ไว้ก็จะสาบสูญเสียด้วย จำจะคิดอ่านเอาตำราซุนบู๊จู๋ให้ได้ก่อน จึงจะฆ่าเสียเมื่อภายหลัง บังก๋วนคิดแล้วจึงว่ากับซุนปินว่า พี่มีโทษแต่เพียงนี้อย่าทุกข์ร้อนเลย ข้าพเจ้าจะเข้าไปทูลแก้ไขให้งุยอ๋องคลายความโกรธ บังก๋วนก็ให้ผู้คุมคุมตัวซุนปินไว้ ณ บ้าน แล้วจึงเข้าไปเฝ้าทูลงุยอ๋องว่า ซุนปินเข้ามาทูลลาจะไปเมืองเจ๋นั้นโทษผิดแต่ไม่ถึงตาย ขอให้ตัดนิ้วตีนเสียทั้งซ้ายขวาอย่าให้หนีได้
งุยอ๋องก็เห็นด้วย จึงว่าซุนปินทำนั้นถึงที่ตัดตีนก็ให้ตัดตีนเสียตามกฎหมาย บังก๋วนก็คำนับลาออกมาถึงบ้านบอกซุนปินว่างุยอ๋องเคืองท่านนัก จะให้ฆ่าท่านเสีย เราทูลขอโทษถึงสองครั้งสามครั้งจึงโปรดให้ตัดนิ้วตีนท่านเสียทั้งซ้ายขวาตามกฎหมายอย่างธรรมเนียม เป็นกรรมของท่านที่จะทนทุกข์ลำบาก แต่ไม่เสียชีวิตก็เป็นบุญของท่านอยู่แล้ว ซุนปินได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่แล้วว่า ขณะเมื่อข้าพเจ้าลาครูมานั้น ครูก็ทำนายมาว่าจะได้ความลำบากแทบจะถึงชีวิต ซึ่งท่านช่วยทูลแก้ไขได้รอดจากความตายครั้งนี้ขอบใจท่านนัก ต้องกันกับคำครูที่ว่าไว้ โทษข้าพเจ้าประการใดก็ทำตามโทษเถิด
บังก๋วนก็พยักหน้าให้ทหารเอาซุนปินไปมัดมือไพล่หลังไว้กับหลักแล้วตัดตีนสักหน้าซุนปินเสียตามโทษ ทหารก็ทำตามคำสั่ง ขณะเมื่อทหารเอาขวานฟันนิ้วเท้าซุนปินขาด ซุนปินร้องขึ้นคำเดียวก็สลบเหมือดนิ่งไป ทหารก็สักหน้าซุนปินเป็นอักษรสี่ตัว ซุนปินค่อยฟื้นสมฤดีลืมตาขึ้นได้ บังก๋วนทำตกใจวิ่งไปแก้มัดออกร้องไห้รักซุนปิน พลางให้คนใช้เอายามาทาห้ามโลหิตหยุด ให้หามขึ้นไปไว้บนตึก บังก๋วนปฏิบัติรักษาซุนปินเหมือนดังพี่น้องอันสนิท ด้วยจะใคร่เกลี้ยกล่อมเอาตำรับซุนบู๊จู๋ที่ซุนปินได้ไว้ อยู่มาประมาณเดือนหนึ่ง เท้าซุนปินที่ต้องตัดนิ้วนั้นหายบาดแผล ซุนปินเป็นคนพิการเดินมิถนัด บังก๋วนให้กินอยู่เป็นปกติ วันหนึ่งบังก๋วนเข้าไปพูดด้วยการขบวนศึกกับซุนปินต่างๆ แล้วขอตำรับซุนบู๊จู๋ ซุนปินเป็นคนซื่อคิดถึงคุณบังก๋วนว่าได้ปฏิบัติรักษาพยาบาล จึงว่าท่านจะใคร่ได้ตำรับซุนบู๊จู๋ซึ่งแปลแล้วนั้น ข้าพเจ้าก็จะให้แก่ท่าน
บังก๋วนได้ฟังก็ดีใจ จึงหยิบกระดาษกับหมึกและพู่กันส่งให้ซุนปิน ซุนปินก็เขียนหนังสือตำรับซุนบู๊จู๋ซึ่งได้เล่าไว้ขึ้นใจหวังจะให้แก่บังก๋วน บังก๋วนให้เสงหยีกำกับซุนปินเขียนตำรับขบวนศึกทุกวัน บังก๋วนคิดจะใคร่ได้ตำรับซุนปินโดยเร็วจึงหาตัวเสงหยีมาถามว่าซุนปินเขียนหนังสือได้วันละเท่าไร เสงหยีบอกว่าซุนปินเป็นคนพิการนั่งเขียนหนังสือไม่ถนัด เขียนได้แต่วันละสองบรรทัดบ้าง บังก๋วนได้ฟังก็โกรธจึงว่าท่านไม่เร่งรัดตักเตือน เมื่อไรจะได้ตำรามิช้าไปหรือ เสงหยีได้ฟังก็คิดสงสัยจึงคำนับลาบังก๋วนออกไป พบคนสนิทซึ่งบังก๋วนเคยวางใจไว้ความลับจึงกระซิบถามว่า นายเราเร่งรัดให้ซุนปินเขียนหนังสือจะให้แล้วโดยเร็วนั้นเราสงสัยนัก ท่านรู้ความประการใดบ้างหรือ คนสนิทจึงกระซิบบอกว่าเราเข้าใจ อันนายเรากับซุนปินนั้นภายนอกดูเห็นเป็นรักใคร่กันสนิท แต่ในใจนายเราคิดพยาบาทซุนปินอยู่ ซุนปินรอดจากความตายก็เพราะหนังสือฉบับนี้ ถ้าซุนปินเขียนหนังสือให้นายเราเสร็จสิ้นแล้ว ซุนปินก็คงจะตาย ท่านรู้ความแล้วอย่าให้แพร่งพรายไป
เสงหยีแจ้งดังนั้นคิดสงสารซุนปินนัก ก็มากระซิบบอกความลับแก่ซุนปิน ซุนปินรู้ก็ตกใจจึงคิดว่าบังก๋วนเป็นคนอกตัญญู คิดประทุษร้ายต่อเราไม่ควรจะให้หนังสือฉบับนี้ ครั้นจะหนีเอาตัวรอดก็เดินมิถนัด จึงคิดขึ้นได้ว่ากุยก๊กซินแสให้หนังสือมาสำหรับตัวแก้อับจนฉบับหนึ่ง ซุนปินจึงเอาหนังสือออกจากกลีบเสื้อ ฉีกผนึกออกอ่านอักษรสามตัวว่าทำเป็นบ้า ครั้นเวลาเย็นคนใช้บังก๋วนยกข้าวปลามาให้กินตามเคย ซุนปินหยิบตะเกียบขึ้นจะกินก็ทำทิ้งตะเกียบเสีย ทำรากออกมาล้มลงหลับตากลั้นใจนิ่งไปประมาณครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้นร้องว่าใครเอายามาเบื่อเรา ว่าแล้วหยิบถ้วยชามทิ้งขว้างแตกสิ้นทั้งสำรับ หยิบเอาหนังสือที่เขียนนั้นเผาไฟเสีย
ฝ่ายเสงหยีได้ยินเสียงอื้ออึง เข้าไปดูมิได้รู้ว่าซุนปินแกล้งทำ สำคัญว่าเป็นบ้าก็ไปบอกบังก๋วน บังก๋วนแจ้งดังนั้นยังไม่เชื่อ จึงมาเยี่ยมเยียนเห็นซุนปินลงไปอยู่กลางดินบ่นว่าเพ้อไปต่างๆ ดูกิริยาซุนปินเป็นคนพิกลจริตแต่ยังหาเชื่อไม่ ให้คนใช้ทดลองจับแยบคายดูต่างๆ ซุนปินก็ยิ่งทำคลั่งเพ้อหนักไป เที่ยวร้องรำทำเพลงกลางตลาด เวลาคํ่าก็นอนกลิ้งเกลือกกลางฝุ่นทราย ได้อาหารกินบ้างอดบ้าง คนทั้งปวงเห็นดังนั้นต่างว่าซุนปินเป็นบ้ามิใช่แกล้งทำ แต่บังก๋วนนั้นมิไว้ใจจึงสั่งนายบ้านนายอำเภอทุกตำบลว่า ถ้าซุนปินไปอยู่แห่งใดก็ให้นายบ้านนายอำเภอนั้นนำความมาบอกจงทุกวัน ห้ามอย่าให้ซุนปินเที่ยวไปนอกเมืองเป็นอันขาด นายบ้านนายอำเภอทั้งปวงก็ทำตามบังก๋วนสั่งทุกประการ
ฝ่ายเหกเต๊กซึ่งเป็นซินแสหมอยาเที่ยวรักษาคนไข้ป่วยไปถึงเมืองเจ๋ จึงเข้าอาศัยสำนัก ณ บ้านฉันกี๋ขุนนางผู้ใหญ่เมืองเจ๋ พอกิมคุดสานุศิษย์เหกเต๊กซึ่งมาแต่เมืองงุย เข้าไปคำนับเหกเต๊ก เหกเต๊กจึงถามข่าวถึงซุนปิน กิมคุดก็เล่าความซุนปินให้เหกเต๊กฟังทุกประการ เหกเต๊กได้ฟังดังนั้นก็เสียนํ้าใจทอดใจใหญ่แล้วบอกฉันกี๋ว่าเราชักชวนซุนปินเป็นคนมีวิชา ศิษย์กุยก๊กไปอยู่ด้วยงุยอ๋อง บังก๋วนขุนนางผู้ใหญ่เป็นคนคดคิดริษยาซุนปิน ซึ่งซุนปินเป็นบ้านั้นเห็นจะเป็นอุบายคิดอ่านแก้ตัวไว้พอรอดชีวิต ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้เห็นแก่ข้าพเจ้าเถิด ช่วยนำเนื้อความเข้าไปทูลให้อุยอ๋องคิดอ่านเอาตัวซุนปินมาชุบเลี้ยง แล้วซุนปินก็จะรู้จักคุณ คิดอ่านบำรุงอุยอ๋องโดยสุจริต อันซุนปินคนนี้มีสติปัญญาชำนาญการกลขบวนศึกหาผู้เสมอมิได้ แม้นมิช่วยแก้ไขเอาซุนปินมาจากเมืองงุยเห็นซุนปินจะตาย เสียดายความรู้วิชาของซุนปินนัก ฉันกี๋ก็รับคำ พอเวลาอุยอ๋องออกว่าราชการ ฉันกี๋ก็เข้าไปทูลความซุนปินตามคำเหกเต๊กทุกประการ
อุยอ๋องได้ฟังจึงปรึกษาฉันกี๋ว่า ซึ่งจะไปรับซุนปินครั้งนี้จะต้องกะเกณฑ์ทหารยกเป็นขบวนทัพหรือจะคิดอ่านประการใด ฉันกี๋จึงทูลว่าซุนปินคนนี้เป็นชาวเมืองเรา ข้าพเจ้าเห็นว่าใจซุนปินคิดจะใคร่หนีจึงทำเป็นบ้าเสียจริต หวังจะให้บังก๋วนสิ้นสงสัยไม่ระวัง บังก๋วนก็ยังให้ชาวบ้านคอยสอดแนมดูกิริยาว่าเป็นบ้าหรือแกล้งทำ แล้วกักขังไว้มิให้ออกมาเที่ยวนอกเมือง ซึ่งจะยกเป็นขบวนทัพไปชิงเอาซุนปินนั้นเห็นว่ากิตติศัพท์จะฟุ้งเฟื่อง อนึ่งชีวิตซุนปินก็อยู่ในเงื้อมมือบังก๋วนเห็นซุนปินจะมีอันตราย ข้าพเจ้าคิดเห็นอุบายประการหนึ่ง ขอให้จัดสิ่งของไปเยี่ยมเยียนงุยอ๋องเป็นทางไมตรีมิให้มีความกินแหนงสงสัย เมื่อจะกลับมาจึงจัดคนที่รูปร่างละม้ายเหมือนซุนปินนั้นให้ทำเป็นบ้าแทนตัวซุนปินอยู่ เอาตัวซุนปินซ่อนเร้นเสียในเกวียนหนีมาเห็นจะได้ซุนปินโดยง่าย อุยอ๋องเห็นชอบด้วยจึงสั่งซุนอูคูนให้จัดใบชาอย่างดีร้อยหีบกับสิ่งของตามธรรมเนียมไปเยี่ยมเยียนเจ้าเมืองงุยโดยไมตรีคิดอ่านลักเอาซุนปินมาให้จงได้ ซุนอูคูนก็คำนับลาออกมา ให้กิมคุดเลือกหาคนที่รูปร่างเหมือนซุนปินได้คนหนึ่งซึ่งเหงหงี จึงให้กิมคุดที่รู้จักตัวซุนปินไปด้วยซุนอูคูนกับคนใช้ห้าสิบคน ก็คุมเกวียนบรรทุกใบชาออกจากเมืองเจ๋ ครั้นไปถึงแดนเมืองงุยบอกชาวด่านว่า เจ้าเมืองเจ๋ให้คุมสิ่งของมาเฝ้างุยอ๋องโดยทางไมตรี งุยอ๋องยินดีนักสั่งเจ้าพนักงานจัดแจงเลี้ยงดูตามธรรมเนียม ขุนนางพนักงานก็พาแขกเมืองไปเลี้ยงดู จัดแจงที่ให้อยู่ ณ กงก๊วนตามงุยอ๋องสั่ง
ฝ่ายกิมคุดครั้นเวลาเย็น ออกจากกงก๊วนไปเที่ยวเสาะหาซุนปินพอแลเห็นซุนปินนุ่งกางเกงและเสื้อขาด ผมและหนวดหน้ามัวมอมด้วยฝุ่นทราย เดินบ่นเพ้อกลางตลาด กิมคุดก็แกล้งเดินเที่ยวไปมาคอยดูซุนปินจวนเวลาพลบคํ่าลง เห็นซุนปินเดินไปถึงปากบ่อน้ำหลังบ้าน แล้วนั่งบ่นเพ้อพึมพำอยู่ผู้เดียว กิมคุดดูผู้คนไม่มีผู้ใดเดินไปมาแล้วก็เข้าไปหาซุนปิน กิมคุดคิดสงสารซุนปินนัก ร้องไห้พลางค่อยพูดแต่เบาๆ บอกซุนปินว่าข้าพเจ้าชื่อกิมคุด เห็นท่านได้ความลำบากมิรู้ที่จะช่วยท่านประการใดเลย ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์ไปเที่ยวตามหาเหกเต๊ก พบเหกเต๊ก ณ เมืองเจ๋ ข้าพเจ้าเล่าเนื้อความของท่านที่ได้ทนทุกข์ยากให้เหกเต๊กฟัง เหกเต๊กวิตกถึงท่านนัก จึงให้ฉันกี๋เข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋คิดอุบายให้ซุนอูคูนคุมสิ่งของมาให้งุยอ๋องเป็นทางไมตรี หวังจะลักเอาตัวท่านไปให้ถึงเมืองเจ๋จงได้ ถ้าเดชะบุญท่านได้พ้นอันตรายไปถึงเมืองเจ๋แล้ว อุยอ๋องชุบเลี้ยงท่านขึ้นเป็นขุนนาง ท่านก็คงจะได้แก้แค้นบังก๋วน
ซุนปินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ สำคัญว่าบังก๋วนแต่งคนมาพูดก็แกล้งทำบ่นเพ้อด่าว่าต่างๆ เหมือนดังไม่ได้ยิน ขณะนั้นเป็นเดือนห้าขึ้นสิบสามคํ่าแสงพระจันทร์ส่องสว่าง ซุนปินบ่นพลางตาชำเลืองแลดูจะใคร่รู้จัก พอเห็นหน้าจำได้ถนัดว่ากิมคุดก็สิ้นความสงสัย จับมือกิมคุดเข้าซบหน้าลงร้องไห้ว่า อ้ายบังก๋วนมันทำข้าพเจ้าครั้งนี้ก็คิดว่าชีวิตคงจะตายอยู่ในเมืองงุย ไม่รู้เลยว่าท่านจะนำความดีมาบอก อุปมาเหมือนตกอยู่ในเหวอันลึก มีผู้มาช่วยหย่อนเชือกให้เรายุดหน่วงขึ้นมาได้จากเหว เห็นแสงพระจันทร์พระอาทิตย์ครั้งนี้ความยินดีหาที่สุดมิได้ ซึ่งข้าอุตส่าห์ทรมานตัวเป็นคนเสียจริต หวังจะให้บังก๋วนเชื่อมิให้ระวังภายหลังจึงจะคิดหนี บังก๋วนก็ยังระแวงแคลงอยู่ ให้คนมาสอดแนมจับกิริยาเราแล้วกักขังไว้แต่ในเมือง ซึ่งจะคิดพาข้าหนีนั้นมีอุบายประการใดบอกให้ข้าเต็มใจก่อน กิมคุดจึงว่าการที่จะคิดพาท่านไปให้พ้นบังก๋วนนั้นจัดแจงไว้แล้วท่านอย่าวิตกเลย จึงค่อยรู้ต่อภายหลัง ยังอีกสองวันซุนอูคูนจะลางุยอ๋องไปเมืองเจ๋ พรุ่งนี้เวลาคํ่าท่านจงมาคอยข้าพเจ้าอยู่ ณ ปากบ่อนํ้านี้จะเอาเกวียนมารับ ซุนปินก็รับคำกิมคุดก็ลากลับไปกงก๊วนกระซิบบอกให้ซุนอูคูนฟังทุกประการ
ซุนอูคูนแจ้งความว่ากิมคุดพบตัวซุนปินได้นัดวันกันไว้สมความคิดก็ดีใจ ซุนอูคูนอาศัยอยู่ ณ ที่กงก๊วนได้สองวัน เวลาเย็นจึงให้กิมคุดจัดเกวียนสำหรับที่จะซ่อนเร้นตัวซุนปินปิดมิดชิด เอาสิ่งของบรรทุกเบื้องบนเกวียนหาผู้ใดสงสัยมิได้ส่งให้ กิมคุดก็พาเหงหงีขึ้นขับเกวียนไปทางหลังบ้าน ถึงปากบ่อนํ้าเห็นซุนปินนั่งอยู่ตามสัญญาก็ลงจากเกวียนเอาเสื้อกางเกงส่งให้ซุนปินผลัดใหม่ ให้เหงหงีนุ่งห่มเสื้อกางเกงขาดของซุนปิน นั่งบ่นเป็นบ้าแทนตัวซุนปินมิให้ผู้ใดสงสัย ซุนปินก็เข้าซ่อนตัวในเกวียน กิมคุดก็ขับเกวียนกลับมาที่อาศัย พอรุ่งสว่างกิมคุดก็เข้าไปกระซิบบอกซุนอูคูนว่า การที่ท่านใช้ไปได้ตัวซุนปินมาสำเร็จความคิดแล้ว ซุนอูคูนได้ฟังยินดีนัก พอเวลาเช้าก็เข้าไปทูลลางุยอ๋อง งุยอ๋องจึงให้จัดสิ่งของตอบส่งให้ซุนอูคูน ซุนอูคูนก็คำนับลามาขึ้นเกวียนออกจากเมือง
ฝ่ายบังก๋วนรู้ว่าแขกเมืองจะไป คิดเกรงว่าซุนปินจะปลอมเป็นชาวเมืองเจ๋หนีจึงให้ทหารแต่งโต๊ะรีบไปคอยส่งแขกเมือง ณ ที่จับหลีเต๋งตามธรรมเนียม ทั้งจะระวังซุนปินมิให้หนีนั้นด้วย ครั้นแขกเมืองมาถึงบังก๋วนก็เลี้ยงโต๊ะมิได้เห็นซุนปิน ครั้นแขกเมืองไปแล้วบังก๋วนก็กลับมาถึงบ้าน จึงใช้คนไปดูซุนปิน คนใช้ไปดูไม่ทันพิเคราะห์ ก็กลับมาบอกบังก๋วนว่าซุนปินนั่งบ่นเพ้ออยู่ปากบ่อหลังบ้าน บังก๋วนก็สิ้นสงสัยด้วยสำคัญว่าซุนปินยังอยู่
ฝ่ายเหงหงีซึ่งเปลี่ยนตัวทำเป็นบ้าอยู่แทนซุนปินนั้นเที่ยวร้องรำทำเพลงหัวเราะบ้างร้องไห้บ้างอยู่กลางถนน ชาวตลาดสำคัญว่าซุนปินต่างคนให้ทานกินพอเลี้ยงชีวิตล่วงมาถึงเจ็ดวัน เหงหงีประมาณระยะทางเห็นว่ากิมคุดพาซุนปินหนีออกไปพ้นแดนเมืองงุยแล้ว ครั้นเวลาคํ่าลงก็ไปที่ปากบ่อนํ้า หยิบเสื้อกางเกงซึ่งซ่อนไว้นุ่งห่มผลัดเสื้อกางเกงขาดทิ้งไร้ริมปากบ่อ แล้วก็หนีตามซุนอูคูนไปในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งเช้ามีผู้มาบอกบังก๋วนว่าซุนปินหายไป เห็นแต่เสื้อกับกางเกงตกเรี่ยรายอยู่ริมปากบ่อนํ้า บังก๋วนได้ฟังดังนั้นสำคัญว่าซุนปินตกบ่อนํ้าตาย ก็ให้คนใช้ลงไปควานคว้าในบ่อก็หาพบศพซุนปินไม่ บังก๋วนก็เข้าใจว่าซุนปินหนี เกรงความจะทราบถึงงุยอ๋อง บังก๋วนจึงสั่งกำชับขุนนางทั้งปวงว่าถ้างุยอ๋องถามถึงซุนปิน ก็ให้ทูลว่าซุนปินเป็นบ้าตกบ่อนํ้าตายหลายวันแล้ว บังก๋วนก็พาขุนนางเข้าไปเฝ้าทูลงุยอ๋องตามถ้อยคำที่ได้ซักซ้อมไว้นั้น งุยอ๋องก็มิได้ว่าประการใด ปรึกษาด้วยราชการบ้านเมืองอื่นไปจนสิ้นเวลาก็กลับเข้าข้างใน บังก๋วนกับขุนนางทั้งปวงก็กลับไปบ้าน
ฝ่ายซุนอูคูนให้กิมคุดขับเกวียนพาซุนปินมาเข้าถึงแดนเมืองเจ๋แล้ว จึงหยุดเกวียนที่ร่มไม้ใหญ่ริมธารนํ้าเย็นใสสะอาด จึงเชิญซุนปินออกจากเกวียนให้ลงอาบนํ้า ชำระเหงื่อไคลและฝุ่นเถ้าอันติดตัวอยู่เมื่อขณะทำเป็นบ้านั้นให้หมดใส แล้วให้นุ่งกางเกงห่มเสื้อใหม่กินข้าวปลาอาหาร ซุนปินค่อยมีความสุขสบายแล้วจึงว่ากับซุนอูคูนว่า ท่านกับกิมคุดช่วยเอาชีวิตข้าพเจ้าให้รอดพ้นความตายครั้งนี้ขอบคุณนัก ซุนอูคูนกับกิมคุดก็พูดจาปราศรัยกับซุนปินเป็นสุข พอตะวันบ่ายเย็นซุนอูคูนก็เชิญซุนปินขึ้นเกวียน ไปตามระยะทางถึงที่สำนักจับหลีเต๋ง พอเห็นฉันกี๋ขุนนางผู้ใหญ่มาคอยอยู่ ซุนอูคูนก็พาซุนปินลงจากเกวียนเข้าไปคำนับเล่าความให้ฉันกี๋ฟังทุกประการ ฉันกี๋จึงบอกแก่ซุนปินว่าอุยอ๋องวิตกอยู่ว่าจะไม่ได้ตัวท่านมา จึงให้ข้าพเจ้ามาคอยฟังข่าวอยู่ที่นี่หลายวันแล้ว ซึ่งท่านรอดพ้นจากเงื้อมมือบังก๋วนมาได้ครั้งนี้ ก็เป็นบุญอุยอ๋องที่จะได้ท่านมาช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินเมืองเจ๋สืบไป
ซุนปินได้ฟังก็ดีใจ พูดกับฉันกี๋สรรเสริญอุยอ๋องต่างๆ ฉันกี๋ก็เชิญซุนปินเข้าไปในเมืองเจ๋ พอเวลาอุยอ๋องว่าราชการ ฉันกี๋ก็พาซุนปินเข้าเฝ้าทูลแจ้งความให้อุยอ๋องฟังทุกประการ อุยอ๋องเห็นรูปร่างซุนปินสมควรเป็นผู้มีวิชา จึงลงจากเก้าอี้มาจูงซุนปินขึ้นนั่งที่สมควร เห็นซุนปินนั้นนิ้วเท้าด้วนทั้งซ้ายขวา จึงถามว่าท่านทำความผิดประการใด เจ้าเมืองงุยจึงทำโทษถึงสาหัสฉะนี้ ซุนปินก็ทูลเล่าความให้อุยอ๋องฟังทุกประการ แล้วว่าซึ่งท่านคิดกรุณาให้ไปเอาตัวข้าพเจ้ามาพ้นความตายครั้งนี้ คุณท่านหาที่สุดมิได้ จะขออาสาทำราชการสนองคุณท่านกว่าจะสิ้นชีวิต อุยอ๋องได้ฟังซุนปินเล่าความทุกข์ยากแต่หลังมีความสงสารนัก จึงว่าบังก๋วนเป็นคนเสียสัตย์ประทุษร้ายต่อท่านเพราะใจริษยา บังก๋วนได้เป็นขุนนางเจ้าเมืองงุยไม่ชุบเลี้ยงท่าน ท่านได้มาอยู่กับเรา เราก็จะตั้งแต่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่มิให้น้อยหน้าบังก๋วน
เจ๋อุยอ๋องก็ให้ยกหีบตราสำหรับตำแหน่งที่งวนโซยแม่ทัพมาจะมอบให้ซุนปิน ซุนปินคำนับแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นคนใหม่ยังไม่มีความชอบปรากฏแก่ขุนนางนายทหารทั้งปวงให้เห็นว่าชั่วและดี เมื่อท่านกรุณาชุบเลี้ยงจึงค่อยตั้งแต่งต่อภายหลัง ตราสำหรับที่งวนโซยนั้นข้าพเจ้าขอคืนไว้ก่อน อุยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็นึกชมว่าซุนปินเป็นคนมีสติปัญญาอัชฌาสัยมาก สมควรแล้วที่เป็นศิษย์กุยก๊กซินแส อุยอ๋องให้ทรัพย์เงินทองและเสื้อหมวกอย่างดีหลายสำรับ สั่งฉันกี๋ให้ทำนุบำรุงซุนปินให้เป็นสุข ฉันกี๋ก็คำนับลาพาซุนปินออกไปอยู่บ้าน ฉันกี๋นับถือเรียกซุนปินอาจารย์
ฝ่ายกิมคุดครั้นได้ซุนปินมาไว้ ณ เมืองเจ๋แล้วก็ไปแจ้งความแก่เหกเต๊ก เหกเต๊กมีความยินดีนักก็พากิมคุดออกจากเมืองเจ๋เที่ยวไปเมืองอื่น ซุนปินครั้นอาศัยอยู่บ้านฉันกี๋ได้ประมาณสามวัน คิดถึงคุณกิมคุดกับเหกเต๊ก ว่าได้ช่วยแนะนำให้ได้รอดพ้นภัยมาอยู่เมืองเจ๋มีความสุข จึงถามฉันกี๋ว่าอาจารย์เหกเต๊กนั้น ได้ยินว่ามาสำนักอยู่กับท่านทั้งกิมคุดด้วยบัดนี้ไปอยู่แห่งใด ฉันกี๋ก็ถามคนใช้ทั้งปวงต่อไป มีผู้มาบอกว่าเหกเต๊กกับกิมคุดออกจากบ้านแต่วานนี้ ยังไม่กลับมาหารู้ว่าจะไปแห่งใดไม่ ซุนปินได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ คิดถึงคุณเหกเต๊กกิมคุดอยู่มิได้ขาด
ฝ่ายอุยอ๋องครั้นได้ซุนปินมาแล้วก็สิ้นความวิตก วันหนึ่งอุยอ๋องชวนฉันกี๋กับขุนนางทั้งปวงออกไปเล่นสวน จึงชวนฉันกี๋ขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์พนัน ฉันกี๋แพ้เสียทองแก่อุยอ๋องพันหนึ่ง อุยอ๋องก็พาขุนนางกลับเข้าเมือง ฉันกี๋มาถึงบ้านจึงเล่าความซึ่งยิงเกาทัณฑ์แพ้แก่อุยอ๋องให้ซุนปินฟัง ซุนปินจึงให้ฉันกี๋ไปดูที่ยิงเกาทัณฑ์ พิเคราะห์ดูที่สนามแจ้งเหตุแล้ว จึงบอกกลเม็ดที่คะเนขณะเมื่อจะน้าวเกาทัณฑ์ยิงนั้นให้แก่ฉันกี๋ ฉันกี๋ก็ทำตามยิงเกาทัณฑ์แม่นยำถูกเหมือนใจนึกทุกครั้ง ฉันกี๋ยินดีนักก็พาซุนปินกลับบ้าน ครั้นเข้าไปเฝ้าอุยอ๋องขอยิงเกาทัณฑ์พนันแก้ตัวใหม่ อุยอ๋องได้ฟังจึงตอบว่าฝีมือเกาทัณฑ์ท่านสู้เราไม่ได้ จะมานะสู้อีกจะเอาสิ่งใดมาพนันเรา ฉันกี๋จึงว่าข้าพเจ้าแพ้ครั้งก่อนเสียทองพันหนึ่ง ถ้าข้าพเจ้าแพ้อีกครั้งนี้ ขอให้ริบเอาบุตรภรรยาข้าพเจ้าเข้ามาใช้เถิด อุยอ๋องก็หัวเราะแล้วชวนขุนนางทั้งปวงออกไปสวน ให้พนักงานไปปักเป้าไกลร้อยก้าว ให้ฉันกี๋ยิงถ้าไม่เข้าใจดำจะเอาเป็นแพ้
ฉันกี๋ขึ้นม้าขับย่างใหญ่ เข้าไปถึงที่กำหนดยิงก็น้าวเกาทัณฑ์ยิงคะเนส่วนตามคำซุนปินบอก ฉันกี๋ยิงถูกใจดำซ้ำกันเข้าไปถึงสามดอก แล้วลงจากม้าเข้าไปคำนับอุยอ๋อง อุยอ๋องก็ชมฉันกี๋ว่าวันนี้ท่านยิงเกาทัณฑ์แม่นยำนัก ชะรอยได้ครูดีบอกแยบคายให้มั่นคง ฉันกี๋จึงบอกอุยอ๋องว่า ข้าพเจ้าแพ้แก่ท่านวานนี้เสียทองถึงพันหนึ่ง ซุนปินบอกแยบคายให้จึงได้มาขอพนันยิงเกาทัณฑ์แก้ตัว อุยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าซุนปินรู้การเกาทัณฑ์แม่นยำเห็นจะมีวิชาการศึกลึกซึ้งอยู่ อุยอ๋องก็คืนทองพันหนึ่งให้ฉันกี๋ แล้วให้เงินทองแก่ฉันกี๋เป็นอันมากก็พาขุนนางกลับเข้าเมือง
ฝ่ายงุยอ๋องเจ้าเมืองงุย ครั้นเจ้าเมืองเตียวมาตีเมืองตงสันไปได้แล้ว กลับยกมาตีเมืองกำตั๋นได้อีกเมืองหนึ่ง ก็ยิ่งให้คิดแค้นเจ้าเมืองเตียวอยู่มิได้ขาด วันหนึ่งงุยอ๋องออกขุนนางจึงปรึกษาบังก๋วนว่าจะให้ยกทัพไปตีคืนเอาเมืองตงสัน บังก๋วนจึงทูลว่าเมืองกำตั๋นอยู่ต้นทาง ถ้าจะไปตีเมืองตงสันต้องตีเมืองกำตั๋นเสียก่อน จะได้เอาเมืองกำตั๋นเป็นค่ายมั่นไว้เสบียงอาหาร แล้วจึงจะยกไปตีเมืองตงสัน ถึงกองทัพเมืองเตียวจะยกมาช่วยเป็นศึกติดพันต่อไป จะได้อาศัยเสบียงอาหารเมืองกำตั๋นเป็นกำลัง งุยอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงเกณฑ์ทหารสองหมื่นเศษให้บังก๋วนไปตีเมืองกำตั๋น บังก๋วนก็คำนับลาออกมาจัดแจงนายกองทหาร ให้เซียงโต๋เก๋งคุมทหารห้าพันเป็นกองหน้า บังเอ๋งคุมทหารห้าพันเป็นปีกซ้าย บังชังบุตรบังเอ๋งคุมทหารห้าพันเป็นปีกขวา บังเหมาคุมทหารห้าพันเป็นกองหลัง บังก๋วนคุมทหารห้าพันเศษเป็นทัพหลวงยกออกจากเมืองงุย เดินทัพตามระยะทางไปถึงแดนเมืองกำตั๋น ก็ให้ตั้งค่ายมั่นพักทหาร
ฝ่ายเจ้าเมืองกำตั๋นแจ้งดังนั้น จึงให้กวาดต้อนครอบครัวเสบียงอาหารของราษฎรซึ่งอยู่นอกเมืองเข้ามาไว้ในเมือง แล้วแต่งให้นิวช่วนนายทหารเอกคุมทหารเลวออกรบกับทัพเมืองงุยเป็นหลายครั้ง สู้รบทหารเมืองงุยมิได้ ทัพเมืองงุยยกเข้าประชิดถึงเชิงกำแพง เจ้าเมืองกำตั๋นจึงให้ปิดประตูเมือง ขับทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินป้องกันเมืองกำตั๋นไว้เป็นสามารถ แล้วแต่งหนังสือบอกให้ม้าใช้รีบไปขอกองทัพเตียวเสียงโหเจ้าเมืองเตียว ม้าใช้ได้หนังสือก็คำนับลาขึ้นม้ารีบออกประตูหลังเมืองไปโดยเร็ว ครั้นถึงเมืองเตียวลงจากม้านำหนังสือบอกเข้าไปให้ขุนนางผู้ใหญ่พาเข้าไปคำนับแจ้งความเตียวเสียงโห เตียวเสียงโหแจ้งดังนั้นจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า บังก๋วนแม่ทัพเมืองงุยคนนี้มีสติปัญญาในการศึก บังก๋วนยกมาติดเมืองกำตั๋นครั้งนี้ ถ้าเมืองกำตั๋นเสียแก่บังก๋วนแล้ว เห็นบังก๋วนจะมีใจกำเริบยกมาตีเมืองเราเป็นมั่นคง จำจะให้หนังสือบอกไปขอกองทัพอุยอ๋องมาช่วยอย่าให้ทันเสียเมืองกำตั๋น
เตียวเสียงโหจึงแต่งหนังสือส่งให้ม้าใช้ไปถึงเมืองเจ๋ อุยอ๋องดูหนังสือซึ่งเจ้าเมืองเตียวให้มา แจ้งว่าบังก๋วนแม่ทัพเมืองงุยยกไปตีเมืองกำตั๋น จึงปรึกษาจะให้ซุนปินเป็นแม่ทัพคุมทหารยกไปช่วยเมืองกำตั๋น ซุนปินจึงว่าซึ่งท่านจะให้ไปทำการศึกครั้งนี้ก็สมคิดข้าพเจ้าที่จะได้ไปแก้แค้นบังก๋วน แต่ซึ่งจะตั้งข้าพเจ้าให้เป็นแม่ทัพนั้นข้าพเจ้าว่าตัวข้าพเจ้าเป็นคนอับชื่ออยู่ ยังหาปรากฏชื่อเสียงไม่ว่ามีสติปัญญาและฝีมือเป็นประการใดไม่ ทแกล้วทหารทั้งปวงจะไม่เชื่อถือ ประการหนึ่งบังก๋วนก็จะเยาะเย้ยนินทาท่านว่าไม่มีขุนนางใช้เอาคนพิการทำศึก ขอให้ท่านตั้งฉันกี๋ขึ้นเป็นแม่ทัพ ข้าพเจ้าจะเป็นแต่กุนสูที่ปรึกษา จะช่วยฉันกี๋คิดอ่านเอาชัยชนะแก่บังก๋วนให้จงได้ท่านอย่าวิตกเลย
อุยอ๋องก็เห็นชอบด้วยจึงตั้งฉันกี๋เป็นแม่ทัพ ตั้งซุนปินเป็นกุนสูที่ปรึกษาการสงคราม แล้วให้เสื้อหมวกลงทองประดับแก้วต่างสีกับกระบี่อาชญาสิทธิ์ให้แก่ฉันกี๋ จึงให้เสื้อลายมังกรแผลงฤทธิ์กับหมวกมีจุกประดับหยกเป็นเครื่องสำหรับที่กุนสูให้ซุนปิน ฉันกี๋กับซุนปินก็คำนับลาออกมา จัดนายกองทหารที่มีฝีมือกล้าแข็งเป็นกองหน้าปีกซ้ายขวาและกองหลวงกองหลัง ทหารเอกทหารเลวสองหมื่นเศษพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ ครั้นถึงเพลาฤกษ์ดีซุนปินก็ยกออกจากเมืองเจ๋ เดินทัพตามระยะทางถึงปลายแดนเมืองเจ๋ จึงให้หยุดพักทหารแล้วปรึกษาฉันกี๋ว่า เดิมเจ้าเมืองเตียวให้มีหนังสือบอกว่า บังก๋วนยกมาตีเมืองกำตั๋นเจ้าเมืองเตียวให้มาขอกองทัพไปช่วย แต่บังก๋วนประชิดเมืองกำตั๋นอยู่หลายวันแล้ว กว่าเราจะยกไปถึงจะไม่ทันที เห็นบังก๋วนจะตีเมืองกำตั๋นได้ก่อน แม้รู้ว่ากองทัพเมืองเรายกไป บังก๋วนก็จะตั้งมั่นอยู่ในเมืองกำตั๋นคอยรับกองทัพเรา ถ้าเรารีบยกทหารไปถึง บังก๋วนก็จะยกทัพออกตี ทหารเราอิดโรยด้วยเดินทางไกลมิทันหยุดพักจะเสียที ข้าพเจ้าคิดว่าจะยกแยกไปติดเมืองเสียงเหลงไว้ บังก๋วนรู้ข่าวก็คงจะทิ้งเมืองกำตั๋นเสียกลับมาช่วยเมืองเสียงเหลง ถ้าบังก๋วนถอนทัพออกจากเมืองกำตั๋นมาแล้ว ก็เหมือนเราช่วยเมืองกำตั๋นไว้ได้ เห็นหาผิดกับคำอุยอ๋องสั่งมาไม่ ท่านจะเห็นประการใด
ฉันกี๋จึงว่าซึ่งกุนสูคิดนี้ชอบ ควรที่ข้าพเจ้าจะทำตาม ฉันกี๋กับซุนปินก็พักทหารพอหายเหนื่อย รุ่งเช้าก็ยกทัพออกมาจากแดนเมืองเจ๋แยกทางเหยียบแดนเมืองงุยเข้าไป ครั้นใกล้ถึงเมืองเสียงเหลงทางประมาณสองร้อยเส้นเศษ ซุนปินสั่งให้หยุดทหาร แล้วพาฉันกี๋ขี่ม้าไปเที่ยวดูที่ชัยภูมิตั้งค่ายและซุ่มทหารต้องตามตำราขบวนศึก แล้วซุนปินให้ตั้งค่ายกลชื่อว่าเปะหมึงตี๋น มีค่ายใหญ่สามค่าย ค่ายน้อยตั้งรายเลี้ยวลดสลับกันเหมือนงูเลี้ยว และระยะหว่างค่ายสำหรับจะลวงให้ข้าศึกถลำเข้าไปจะให้ตกอยู่ในที่ล้อมนั้นมีอยู่แปดแห่ง เสร็จแล้วแต่งทหารออกตระเวนทางทั้งสืบกองทัพบังก๋วนทุกวันมิได้ขาด จึงให้ทหารเอกทหารเลวขี่ม้าออกซ้อมหัดเพลงอาวุธรื่นเริงทุกตัวคน หวังจะให้กิตติศัพท์ลือไปถึงกองทัพบังก๋วน
ฝ่ายเจ้าเมืองเสียงเหลงรู้ว่าฉันกี๋แม่ทัพเมืองเจ๋คุมทหารยกเหยียบแดนเข้ามาตั้งค่ายพักอยู่นอกด่าน เกรงจะยกเข้าตีเมือง จึงให้ม้าใช้ถือหนังสือบอกข้อราชการไปถึงบังก๋วน ม้าใช้รับหนังสือคำนับลาขึ้นม้ารีบออกจากเมืองเสียงเหลงไป ฝ่ายเจ้าเมืองกำตั๋นตั้งรักษาเมืองคอยกองทัพเมืองเตียวอยู่ถึงเดือนเศษ เสบียงอาหารในเมืองก็ขัดสนทั้งทัพเมืองเตียวก็ไม่เห็นมา ครั้นจะตั้งมั่นต้านทานทหารบังก๋วนไปอีก เสบียงอาหารก็น้อยเห็นจะสู้รบมิได้ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงแต่งสิ่งของตามสมควร ให้ขุนนางเปิดประตูเมืองออกไปยอมเข้าด้วยบังก๋วน บังก๋วนก็จัดแจงทหารจะยกเข้าเมืองกำตั๋น พอม้าใช้เสียงเหลงเข้ามาคำนับส่งหนังสือบอกให้บังก๋วน บังก๋วนอ่านแจ้งความว่ากองทัพเมืองเจ๋ยกมาติดเมืองเสียงเหลงก็ตกใจ จึงปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า กองทัพเมืองเจ๋ยกเหยียบแดนเราเข้ามาถึงด่านเมืองเสียงเหลงครั้งนี้ จะไว้ใจแก่ข้าศึกมิได้ด้วยเป็นเมืองด่านสำคัญอยู่ บังก๋วนก็เร่งให้นายทัพนายกองพร้อมทหารยกออกจากเมืองกำตั๋นไปทางเมืองเสียงเหลง
ฝ่ายม้าใช้ซึ่งฉันกี๋ให้มาสอดแนมสืบกองทัพรู้ว่าบังก๋วนเลิกทัพจากเมืองกำตั๋นจะมาช่วยเมืองเสียงเหลง ก็รีบกลับมาแจ้งความแก่ฉันกี๋แม่ทัพ ฉันกี๋ก็ปรึกษากับซุนปิน ซุนปินจึงให้อวนตัดคุมทหารยกไปคอยบังก๋วนที่ตำบลอุยเหลง ถ้าบังก๋วนยกมาถึงก็ให้รบล่อให้ไล่เข้ามาหน้าค่ายชั้นนอก อวนตัดก็คำนับลาออกมาแต่งตัวใส่เกราะ ขึ้นม้าถือทวนพาทหารห้าพันยกออกจากค่าย ไปตั้งคอยทัพบังก๋วนอยู่ตามสั่ง
ฝ่ายบังก๋วนยกกองทัพรีบมาเมืองเสียงเหลง ยังทางประมาณสองร้อยเส้นเศษจะถึงตำบลอุยเหลง พอทหารกองหน้าลงมาแจ้งความว่าพบกองทัพมาตั้งสกัดทางอยู่ บังก๋วนจึงให้หยุดทัพแล้วสั่งบังชังผู้หลานว่า กองทัพซึ่งมาตั้งรับทัพเราครั้งนี้เห็นจะเป็นทัพเมืองเจ๋ ท่านจงคุมทหารยกออกไปตีดูกำลังและฝีมือชาวเมืองเจ๋สักครั้งหนึ่ง บังชังก็คำนับลาออกมาใส่เกราะขึ้นม้าถือทวนพาทหารห้าพันยกไปตีทัพอวนตัด ทหารทั้งสองฝ่ายก็รบพุ่งแทงฟันกันเสียงกลองรบอื้ออึง บังชังขับม้ารำทวนออกรบกับอวนตัดได้ยี่สิบเจ็ดเพลง อวนตัดทำเสียทีชักม้าพาทหารถอยรอรบล่อจะให้บังชังไล่ บังชังขับม้าพาทหารติดตามอวนตัดเข้ามาถึงที่ทางช่องแคบ เกรงอวนตัดจะซุ่มทัพจึงกลับมาแจ้งความแก่บังก๋วน บังก๋วนก็ยกทัพตามอวนตัดไปถึงตำบลอุยเหลง อวนตัดเห็นทัพใหญ่ยกมาก็พาทหารกลับเข้าค่าย
ฝ่ายบังก๋วนแลไปเห็นนายทัพเมืองเจ๋มาตั้งอยู่เป็นอันมาก จึงให้หยุดพักทหารตั้งค่ายมั่นลงไว้ พอเย็นลงบังก๋วนจะใคร่ดูขบวนค่ายข้าศึกจึงพานายทัพนายกองขึ้นไปบนเนินเขา แลดูขบวนค่ายเหมือนค่ายซุนปินตั้งให้ดูเมื่อครั้งมาจากกุยก๊กซินแส ซุนปินบอกไว้ว่าค่ายเปะหมึงตี๋นตั้งเป็นลดหลั่นกันเหมือนงูเลื้อย บังก๋วนคิดกริ่งใจเกรงว่าซุนปินจะหนีมาอยู่เมืองเจ๋ จึงบอกแก่นายทัพนายกองว่า ค่ายทัพเมืองเจ๋มาตั้งอยู่เข้าอย่างขบวนค่ายกลของกุยก๊กซินแสจะตีนั้นยากนัก ถ้าจะเข้าตีค่ายกลางค่ายซ้ายขวาก็จะยกตีโอบกระหนาบช่วยกันได้ แม้นจะตีค่ายขวาเล่า ค่ายซ้ายกับค่ายกลางจะยกมาสกัดตัดหลัง จำจะตีค่ายใหญ่ให้พร้อมกันทั้งสามค่าย อย่าให้ทหารรวมมาช่วยกันได้จึงจะมีชัยชนะ นายทัพนายกองก็เห็นชอบด้วย บังก๋วนก็ลงจากเนินเขากลับมาค่าย พอเวลาคํ่าลงให้นายกองทหารมาพร้อมกัน บังก๋วนจึงเกณฑ์บังเอ๋งให้ตีค่ายซ้าย ให้บังชังคุมทหารตีค่ายขวา บังก๋วนกับเซียงโต๋เก๋งหนึ่งบังเหมาหนึ่งจะเข้าตีค่ายกลาง ครั้นรุ่งเช้านายกองทหารก็ยกทหารไปตีค่ายตามบังก๋วนสั่ง
ฝ่ายบังก๋วนยกมาถึง แลเห็นธงปักอยู่หน้าค่ายทัพเมืองเจ๋จารึกอักษรว่าฉันกี๋ บังก๋วนจึงให้ทหารร้องบอกเข้าไปว่า ให้ฉันกี๋แม่ทัพเมืองเจ๋ออกมารบกับทหารเมืองงุยให้ถึงแพ้และชนะ ถ้ามิออกมาจะให้ทหารทำลายค่ายเข้าไปจับตัวฉันกี๋ฆ่าเสีย
ฝ่ายฉันกี๋รู้ว่าบังก๋วนยกมา จึงจัดเตรียมทหารเอกทหารเลวออกตั้งซุ่มไว้ตามที่ทางช่องแคบระยะทั้งแปดแห่ง แต่ตัวซุนปินนั้นอยู่ค่ายชั้นใน ฉันกี๋อยู่ค่ายชั้นนอกจะคอยรบล่อ พอได้ยินทหารร้องบอกเข้ามาก็แต่งตัวใส่เกราะถือทวนขึ้นเกวียนพาทหารออกจากค่าย
ฝ่ายบังก๋วนเห็นฉันกี๋ออกมาถึงหน้าค่าย จึงลงจากม้าขึ้นขี่เกวียนออกมาหน้าทหารแล้วร้องถามฉันกี๋ว่า เมืองเจ๋กับเมืองงุยก็ไปมาเป็นไมตรีดีด้วยแล้ว เหตุใดท่านจึงยกเหยียบเมืองงุยเข้ามา จะคิดก่อการศึกรบพุ่งเคี่ยวเข็ญกันไปใหม่หรือประการใด ฉันกี๋จึงตอบว่าเดิมเจ้าเมืองเตียวยกเมืองตงสันให้แก่อุยอ๋อง เจ้าเมืองเตียวกับอุยอ๋องจึงได้เป็นไมตรีต่อกันมา บัดนี้เจ้าเมืองเตียวมีหนังสือบอกไปถึงอุยอ๋องว่า ท่านบังอาจยกเหยียบแดนเมืองเตียวเข้าไปตีเมืองกำตั๋น เจ้าเมืองเตียวบอกขอกองทัพมาช่วย อุยอ๋องเห็นแก่ทางไมตรีจึงให้เรายกมาช่วยเมืองกำตั๋นทันที รู้ว่าท่านตีเมืองกำตั๋นได้แล้วเราจึงยกมาตีเมืองเสียงเหลง ซึ่งเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองงุยแทนเมืองกำตั๋น บังก๋วนจึงตอบว่าเจ้าเมืองเจ๋เห็นแก่เจ้าเมืองเตียวด้วยเจ้าเมืองตงสันให้เป็นกำนัลจึงตัดทางไมตรีเมืองงุยเสีย ท่านก็ทำการอาสาเจ้าเมืองเจ๋เราก็อาสาเจ้าเมืองงุยถ้อยทีจะเอาความชอบ ท่านกับเราก็ควรจะรบกันให้ถึงแพ้และชนะ บังก๋วนก็สั่งเซียงโต๋เก๋งเข้าตีทัพฉันกี๋ บังก๋วนก็ขับเกวียนยกหนุนเซียงโต๋เก๋งเข้าไป เสียงกลองรบอื้ออึงขึ้นทั้งสอง บังเอ๋งกับบังชาก็เข้าตีค่ายซ้าย บังเหมายกเข้าตีค่ายขวาตามบังก๋วนสั่ง
ฝ่ายฉันกี๋ขับเกวียนพาทหารรบกับทหารบังก๋วน แล้วทำเสียทีขับเกวียนพาทหารรอรบล่อเข้าประตูค่าย เซียงโต๋เก๋งกับบังก๋วนก็ขับทหารไล่ติดตามเข้าไปถึงหน้าค่ายชั้นใน บังก๋วนแลเห็นธงปักหน้าค่ายจารึกอักษรว่ากุนสูซุนปิน บังก๋วนตกใจจะถอยกลับออกมา พอทหารซุนปินซึ่งตั้งอยู่นอกค่ายกรูกันเข้าล้อมพุ่งอาวุธยิงเกาทัณฑ์เข้ามาดังห่าฝน เซียงโต๋เก๋งถูกเกาทัณฑ์ตกม้าตาย ทหารบังก๋วนถูกอาวุธล้มตายเป็นอันมาก บังก๋วนรู้ว่าหลงเข้ามาอยู่ในขบวนค่ายกลก็ตกใจมิรู้ที่จะคิดแก้ไขประการใด ขับเกวียนพาทหารรบอยู่กลางทหารเมืองเจ๋เป็นสามารถ
ฝ่ายบังเอ๋งกับบังชังรู้ว่าบังก๋วนตกอยู่ในที่ล้อมจะเสียทีแก่ข้าศึก ทั้งสองนายก็ขับม้าพาทหารตีกระหนาบหลัง ฝ่าฟันทหารเมืองเจ๋เข้าไปรับบังก๋วนออกจากที่ล้อม ฉันกี๋ก็ขับทหารไล่ติดตามฆ่าฟันทหารบังก๋วนล้มตายเรี่ยรายไปตามทาง บังเอ๋งกับบังชังก็รอรบป้องกันบังก๋วน เร่งขับเกวียนหนีเข้าป่าไป
ฝ่ายฉันกี๋พาทหารติดตามบังก๋วนไปทางประมาณห้าร้อยเส้นเศษ พอเวลาคํ่าลงก็ตีม้าล่อเรียกทหารกลับมาหาซุนปิน ณ ค่าย ฝ่ายบังก๋วนหนีทหารเมืองเจ๋มาถึงตำบลหนึ่งชื่อโกเจียนเตี้ย จึงหยุดพักรวบรวมทหาร พอทหารบังเหมาแตกหนีมาแจ้งความแก่บังก๋วนว่า บังเหมาซึ่งไปตีค่ายซ้ายนั้น ทหารเมืองเจ๋ฆ่าบังเหมาตายแล้ว บังก๋วนได้ฟังก็คิดเสียใจ จึงให้ตรวจทหารเอกทหารเลวก็ล้มตายไปที่รบประมาณสองส่วนเหลืออยู่ส่วนหนึ่ง บังก๋วนจึงปรึกษาบังเอ๋งบังชังว่าซุนปินซึ่งเราให้ตัดตีนเสียนั้น ซุนปินแกล้งทำเป็นบ้าให้คนทั้งปวงไว้ใจ บัดนี้หนีมาได้จากเมืองเราเข้าทำการอาสาเป็นกุนสูเจ้าเมืองเจ๋กับฉันกี๋ ครั้งนี้ซุนปินชำนาญในขบวนศึกเป็นอันมากเห็นจะสู้รบต่อไปมิได้ จำจะเลิกทัพกลับไปเมือง ปรนปรือทแกล้วทหารให้มีกำลังแล้วจึงยกมาทำการศึกกับซุนปินต่อไป ครั้นปรึกษากันแล้วก็พาทหารนายทัพนายกองที่เหลือตายกลับไปเมืองงุย
ฝ่ายซุนปิน ครั้นได้ชัยชนะแก่บังก๋วนแล้ว เวลารุ่งเช้าให้ทหารยกติดตามบังก๋วนไปถึงที่ตำบลโกเจียนเตี้ย แจ้งว่าบังก๋วนหนีไปเมืองงุยแล้วซุนปินกับฉันกี๋ก็เลิกทัพกลับมาเมืองเจ๋ ฝ่ายบังก๋วนมาถึงเมืองงุยจึงพานายกองทหารที่เหลือตายเข้าไปเฝ้างุยอ๋อง แล้วทูลความซึ่งแตกทัพเสียทีแก่กองทัพเมืองเจ๋ให้งุยอ๋องฟังทุกประการ งุยอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงว่ากล่าวเอาใจบังก๋วนว่า อันการศึกสงครามนั้นได้ทำแล้วก็มีแต่แพ้กับชนะสองประการ ซึ่งท่านเป็นแม่ทัพทำศึกมาก็มีชัยชนะเป็นหลายเมืองพึ่งเสียทีลงครั้งนี้ท่านอย่าเสียใจ จงหยุดพักปรนปรือทแกล้วทหารให้มีกำลัง ปีหน้าเราจะให้ไปตีเมืองหันมาไว้เป็นเมืองขึ้นเราได้แล้ว จึงค่อยไปทำแก่เมืองเจ๋แก้แค้นท่านต่อภายหลัง
บังก๋วนได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงกราบคำนับแล้วทูลว่าข้าพเจ้าไปเสียทีแก่ชาวเมืองเจ๋มาครั้งนี้ โทษข้าพเจ้าถึงตาย ซึ่งโปรดยกโทษไว้พระคุณหาที่สุดมิได้ จะขอทำการสนองพระคุณไปกว่าจะสิ้นชีวิต ทูลแล้วก็คำนับลาออกมาบ้าน จึงกะเกณฑ์ทหารออกไปซ้อมหัดฝึกปรือ ณ ที่สนามหัดทุกวันมิได้ขาด ครั้นเข้าปีใหม่แล้วบังก๋วนจึงเข้าไปทูลงุยอ๋องว่าจะยกทัพไปตีเมืองหัน งุยอ๋องจึงสั่งไทจูสินผู้บุตรให้เป็นยกกระบัตรทัพไปกับบังก๋วน ไทจูสินกับบังก๋วนก็คำนับลาออกมาจัดทัพ ตั้งนายทหารมีฝีมือกล้าแข็งเป็นกองทัพกองหลังแลเกียกกายซ้ายขวาตามขบวนทัพยกออกจากเมืองงุย เดินทัพผ่านแดนเมืองซองจะไปเมืองหัน
ขณะเมื่อบังก๋วนกับไทจูสินยกทัพมาถึงเมืองซอง ก็ยั้งทัพอยู่ตำบลงั่วหองนั้น มีอาจารย์คนหนึ่งชื่อซีเสง รู้เหตุผลต่างๆ ดีและร้ายอันจะมีไปภายหน้า ครั้นอาจารย์ซีเสงเห็นทัพไทจูสินวันนั้นพิเคราะห์ดูก็รู้ว่านานไปอันตรายจะมีแก่ไทจูสิน ให้มีความเมตตาหวังจะเตือนสติให้รู้ จึงนุ่งขาวใส่เสื้อขาวโพกแพรขาวเหมือนจะไปส่งการศพแล้วเดินเข้ามาในกองทัพ จึงบอกแก่พวกทหารว่า เราชื่อซีเสงจะขอเข้าไปหาลูกเจ้าเมืองงุย ทหารก็เข้าไปบอก ไทจูสินรู้ว่าอาจารย์ซีเสงจะมาหาก็ดีใจจึงให้รับเข้ามา ครั้นถึงเชิญให้นั่งที่สมควรแล้วจึงว่า ข้าได้ยินคำคนเลื่องลือสรรเสริญท่านมาแต่ก่อนว่ามีวิชารู้เหตุผลทั้งปวงหามีผู้เสมอมิได้ ซึ่งพบท่านวันนี้มีความยินดีนัก ขอได้ช่วยชี้แจงสั่งสอนการอันใดที่ผิดและชอบ ข้าจะทำตามถ้อยคำ
อาจารย์ซีเสงจึงแกล้งถามว่าท่านมาครั้งนี้จะไปแห่งใด ไทจูสินจึงบอกว่างุยอ๋องซึ่งเป็นบิดาให้ข้าพเจ้าเป็นยกกระบัตรมาด้วยบังก๋วนจะไปตีเมืองหัน ซีเสงจึงว่าถ้าท่านทำศึกสมคิดตีเมืองหันได้ ข้าพเจ้าเห็นว่าสมบัติในเมืองหันกับสมบัติของท่านก็จะคล้ายคลึงกัน ถ้าไม่สมคิดไปภายหน้าจะมีอันตรายต่างๆ ไทจูสินจึงว่าขอท่านช่วยพิเคราะห์ดูว่ายกทัพไปครั้งนี้จะร้ายดีประการใดบ้าง อาจารย์ซีเสงทอดใจใหญ่แล้วจึงว่า จะให้ทำนายอย่างนี้ข้าพเจ้ารู้ไม่ถึง ครั้นจะว่าล่วงหน้าไปเล่าคนทั้งปวงก็จะติเตียน แต่ข้าพเจ้ามีวิชาอยู่อย่างหนึ่งจะบอกให้แก่ท่านไว้ถึงจะเข้าสู้ศึกกับชาวเมืองหันวันละร้อยครั้งก็ไม่มีอันตรายเลย
ไทจูสินมีความยินดีนักจึงว่า ท่านอาจารย์เมตตาสอนวิชาให้แล้วจะรู้จักคุณคุ้มวันตาย อาจารย์ซีเสงจึงว่า ท่านอยู่บ้านเมืองท่านประกอบไปด้วยความสุขและฐานะศักดิ์ คนในเมืองงุยก็นบนอบว่าเป็นบุตรเจ้าเมือง นานไปจะได้ครอบครองสมบัติแทนบิดาเท่านั้นแหละวิชาข้าพเจ้า อาจารย์ซีเสงบอกความรู้เป็นปริศนาดังนี้ ใจความว่าถ้าไทจูสินจะขืนยกทัพไปเมืองหันครั้งนี้ ภายหน้าจะมีอันตราย ถ้าเลิกทัพกลับไปเมืองงุย คราวหลังถึงจะมารบเมืองหันอีกสักเท่าใดๆ ก็ไม่มีอันตรายเลย ไทจูสินได้ฟังอาจารย์ซีเสงตรึกตรองดูในถ้อยคำไม่รู้ตลอดไปในปริศนา ก็เข้าใจแน่ว่าอาจารย์ซีเสงจะให้กลับไปเมือง จึงว่าถ้าดังนั้นก็จะเลิกทัพกลับไปด้วยเชื่อถ้อยคำของท่าน อาจารย์ซีเสงจึงว่างุยอ๋องให้ท่านเป็นยกกระบัตรทัพ บังก๋วนเขาเป็นแม่ทัพแล้วขุนนางแม่กองทั้งปวงเป็นอันมาก จะเชื่อถ้อยคำข้าพเจ้าแต่ผู้เดียว แม่ทัพทั้งปวงนั้นเขาจะฟังบังคับท่านหรือ อาจารย์ซีเสงว่าแล้วก็ลาไทจูสินกลับไปที่อยู่
ไทจูสินจึงให้ไปเชิญบังก๋วนกับแม่กองทั้งนั้นมาเล่าให้ฟังตามถ้อยคำอาจารย์ซีเสง แล้วจึงว่า ข้าคิดจะเลิกทัพกลับไปท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด บังก๋วนจึงตอบไทจูสินว่า อันซีเสงอาจารย์คนนี้พิเคราะห์ดูท่วงทีเห็นเป็นคนพลุ่มพล่ามติดอยู่ข้างเสียจริต จะเชื่อถ้อยคำนั้นมิได้ งุยอ๋องใช้ให้ถืออาชญาสิทธิ์ยกมาตีเมืองหัน ยังมิทันประอาวุธได้รบสู้กับข้าศึกสักครั้งหนึ่งเลย จะล่าทัพถอยไปบัดนี้จะเอาเหตุอันใดไปเจรจา เราจะพ้นความผิดที่ไหน ท่านจะมาคิดครั่นคร้ามดังนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ขุนนางนายทหารทั้งปวงนั้นก็ว่าเหมือนถ้อยคำบังก๋วน ไทจูสินก็จนใจมิรู้ที่จะทำประการใด บังก๋วนก็เร่งให้ยกทัพล่วงเข้ามาในแดนเมืองหัน แต่ตีได้ค่ายเป็นหลายตำบล จึงตั้งค่ายโอบล้อมเมืองหันเข้าไว้ได้สองด้าน ข้างชาวเมืองก็ออกสู้รบต่อตีกันอยู่เนืองๆ มิได้ขาด
ฝ่ายเจ้าเมืองหัน แต่รู้ข่าวว่าทัพเมืองงุยยกมาทแกล้วทหารมากมายนัก ตีล่วงเข้ามาในด่านเห็นเหลือกำลังจะสู้รบ จึงแต่งหนังสือให้ไปถึงอุยอ๋องเจ้าเมืองเจ๋ ในหนังสือนั้นเป็นใจความว่า เจ้าเมืองหันขอคำนับมายังอุยอ๋อง ด้วยเจ้าเมืองงุยเป็นข้าศึกเจ้าเมืองเจ๋ เมืองงุยยกมารบเมืองเจ๋ครั้งก่อนก็พ่ายแพ้ไปเสียทแกล้วทหารเป็นอันมาก บัดนี้ทัพเมืองงุยยกมาตีเมืองหัน รี้พลในเมืองหันมีอยู่น้อยนัก เห็นจะสู้เมืองงุยมิได้ อันเมืองหันเหมือนรั้วระเนียดเมืองเจ๋ ถ้าเมืองหันเป็นอันตรายแล้วข้าศึกก็จะกำเริบล่วงลามไปได้ถึงแดนเมืองเจ๋ ขอท่านได้เมตตายกมาช่วยรบเป็นทัพกระหนาบ แม้นเสร็จศึกเมื่อใดจะแต่งบรรณาการไปคำนับตามประเพณี แล้วจึงส่งหนังสือนั้นให้ขุนนางถือไป ครั้นผู้ถือหนังสือมาถึงก็เข้าไปแจ้งความแก่ขุนนางเมืองเจ๋ ขุนนางเมืองเจ๋ก็พากันเข้าไปคำนับอุยอ๋องที่ตึกรับแขก
อุยอ๋องก็ให้ฉีกผนึกออกอ่านความแล้ว จึงว่าแก่ผู้ถือหนังสือว่าเมื่อทัพเมืองงุยมารบเราครั้งนั้น ก็คิดอยู่ว่าจะมีหนังสือไปขอทัพเมืองหันให้ยกมาช่วย แต่กลัวเจ้าเมืองหันจะไม่ประนีประนอมก็จะเสียที ซึ่งเจ้าเมืองหันมีหนังสืออ่อนน้อมมาบัดนี้ เราก็เสียเจ้าเมืองหันไม่ได้ แต่ว่าจะปรึกษาให้พร้อมกันก่อน อันจะจัดแจงทัพโดยเร็วก็สักห้าวันหกวัน ข้าศึกยกมาจวนจะติดเมืองหันเข้าแล้ว ท่านจงรีบไปบอกเจ้าเมืองเถิดให้ตรวจตรารักษาเมืองจงกวดขัน ผู้ถือหนังสือก็คำนับลาแล้วกลับไปเมืองหัน อุยอ๋องจึงหารือขุนนางที่ปรึกษาว่า เมืองหันให้มาขอทัพเราไปช่วยครั้งนี้ใครจะเห็นประการใด
เสียงก๊กจึงว่าเมืองงุยกับเมืองหันทำศึกติดพันกันอยู่อย่างนี้เห็นว่าบ้านเมืองเราจะมีความสุขอีก อันท่านจะยกทัพไปช่วยข้างผู้ใดดูก็ไม่บังควร เตียนกี๋เตียนเอ๋งนั้นว่าซึ่งท่านจะมิให้ไปช่วยเมืองหันครั้งนี้ แม้นเมืองหันเสียแก่ทัพเมืองงุย เมืองงุยกับเราเป็นเมืองวิวาทกันอยู่ เมืองงุยก็จะยกทัพมายํ่ายีเป็นมั่นคง ขุนนางที่ปรึกษาทั้งนั้นเห็นตามถ้อยคำเตียนกี๋เตียนเอ๋งบ้าง เห็นตามเสียงก๊กบ้าง ว่ากล่าวแก่งแย่งกันมิตกลง แต่ซุนปินผู้เดียวนิ่งฟังไม่ว่าประการใด
อุยอ๋องจึงถามซุนปินว่าคนทั้งปวงว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ตัวท่านเห็นอย่างไรเล่า ซุนปินแลดูหน้าขุนนางทั้งนั้นแล้วก็นิ่งเสีย ด้วยซุนปินคิดว่าเสียงก๊กเป็นขุนนางผู้ใหญ่แล้วก็เป็นอริกับตัว ครั้นจะว่าไปตามจริงเหมือนหนึ่งแกล้งแย้งถ้อยคำเสียงก๊ก ต่ออุยอ๋องซ้ำถามอีกสองครั้งสามครั้ง พวกขุนนางที่เถียงกันก็ซักถามซุนปินด้วย ซุนปินจึงเปรียบว่าเมืองหันเหมือนฟันเมืองเราเหมือนลิ้น ถ้าฟันหักไปแล้วขยับปากเมื่อใดก็เห็นลิ้นเมื่อนั้น อุยอ๋องพิเคราะห์ดูเห็นชอบตามคำเปรียบของซุนปิน จึงสั่งให้เกณฑ์ทหารสี่หมื่นเกวียนรบร้อยเล่มม้าใช้สองร้อยม้า ให้เตียนกี๋เป็นแม่ทัพ เตียนเอ๋งเป็นปลัดทัพ ซุนปินเป็นอาจารย์จางวางทัพจะให้ยกไปช่วยเมืองหัน
ซุนปินจึงว่าแก่เจ๋อุยอ๋องว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูตามหนังสือเมืองหัน ถ้าจะนับตั้งแต่เมืองงุยยกมาจนวันนี้ก็ได้สามสิบสองวัน ถึงว่าเมืองงุยมีรี้พลมากฝีมือทหารเข้มแข็งก็ดี อันแต่ในสามเดือนที่ไหนจะตีเมืองหันได้ ด้วยเมืองหันก็เป็นเมืองใหญ่รี้พลก็พรักพร้อมเป็นปกติอยู่ ฝ่ายทัพเราเข้าช่วยหักโหมรบพุ่งถึงจะชนะทัพเมืองงุย เมืองหันก็เห็นจะไม่สู้ยินดีนัก ด้วยเมืองเขายังไม่จวนอับจน อันทัพเราเปรียบเหมือนหมอรักษาไข้ วางยาเมื่อโรคเขายังอ่อน ถึงโรคนั้นจะหายบำเหน็จและสินบนก็ไม่ได้มาก
อุยอ๋องจึงถามซุนปินว่าท่านจะคิดทำประการใด ซุนปินจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าทัพเมืองงุยยกมารบเมืองหัน รี้พลซึ่งไว้รักษาบ้านเมืองด่านทางก็จะร่วงโรยลง จะเดินทัพไปเมืองงุยกับเมืองหันทางก็กึ่งกันจะขอยกตรงไปเมืองงุย ถึงจะมีทัพมาตั้งรับอยู่บ้างแม้นต้องรบก็เบามือ ซึ่งทัพมาติดเมืองหันไม่พักรบก็จะเลิกไปเอง เจ้าเมืองหันก็จะขอบคุณเรา ข้างเมืองงุยก็เห็นไม่เสียที คงจะเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายอุยอ๋องเห็นชอบตามถ้อยคำซุนปิน ครั้นถึงวันฤกษ์ดีซุนปินก็ยกทัพไป เดินทัพมาครั้งนั้นเป็นปกติ ทแกล้วทหารไม่ลำบากเหน็ดเหนื่อยเลย ครั้นเข้าตีค่ายตำบลใดทหารซึ่งตั้งรักษาอยู่นั้นเบาบาง แข็งใจสู้รบได้ครู่หนึ่งพักหนึ่งก็ทิ้งค่ายเสียแตกตื่นหนีไป ทหารข้างซุนปินเก็บได้ข้าวของศัสตราวุธไว้เป็นอันมาก แล้วยกล่วงแดนเมืองงุยเข้าไป ยังอีกกึ่งวันจะถึงเมืองงุย ซุนปินจึงหยุดทัพให้ตั้งค่ายลงห้าสิบสองค่าย จึงกำชับทหารทั้งปวงมิให้เที่ยวเบียดเบียนข่มเหงราษฎรชาวบ้าน และห้ามมิให้พูดเล่ากันว่าซุนปินมาด้วยในกองทัพ ถ้าผู้ใดไม่ฟังก็จะตัดศีรษะเสีย แต่บรรดาบ้านรายทางที่ไม่อพยพหนีก็ตั้งอยู่เป็นปกติด้วยกองทัพมิได้ข่มเหงเบียดเบียน ต่างคนชื่นชมชวนกันแต่งโต๊ะเหล้าข้าวของเลี้ยงมาส่งกองทัพมิได้ขาด