และพระเจ้าอิวอ๋องครองราชสมบัติคิดแต่จะหาความสบาย มิได้เอาพระทัยใส่ในราชการบ้านเมือง ครั้นอืนเกียดอูเตียวเอาตายแล้วหาผู้จะเพ็ดทูลทัดทานมิได้จึงมีพระทัยกำเริบ ตั้งเค็ดก๋งเซ็กอูอินกิ๋วขึ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ขุนนางสามคนนี้พระเจ้าอิวอ๋องจะคิดทำการสิ่งใดมิได้ขัด พลอยเพ็ดทูลให้พระเจ้าอิวอ๋องทำการผิดประเวณีกษัตริย์ต่างๆ พระเจ้าอิวอ๋องจึงให้ขุนนางทั้งสามคนสืบหาอิสตรีที่รูปงาม ข้าราชการผู้ใดที่มีลูกหลานเป็นหญิงปิดบังไม่ถวาย ก็ให้ลงโทษผู้นั้นถึงตาย สินเฮาเห็นผิดทูลทัดทานเป็นหลายครั้ง เห็นว่าพระเจ้าอิวอ๋องไม่ฟังคำแล้วก็ทูลลากลับไปเมือง

วันหนึ่งพระเจ้าอิวอ๋องเสด็จออก ไตหูซินสินกราบทูลว่า ยอดเขาไซกีพัง เสียงแผ่นดินร้องเป็นหลายครั้ง ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นลางประหลาดอยู่ พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังจึงตรัสว่า แต่ภูเขาพังแผ่นดินร้อง ก็เอามาบอกเราหาต้องการฟังไม่ พระเจ้าอิวอ๋องตรัสแล้วก็เสด็จขึ้น เป๊กเอียงอูได้ฟังซินสินทูลเป็นเหตุลางการแผ่นดิน พระเจ้าอิวอ๋องตรัสว่าเป็นการเล็กน้อยไม่นำพา ครั้นจะซ้ำทูลพระเจ้าอิวอ๋องอีกกลัวจะไม่เชื่อฟัง เป๊กเอียงอูจึงจับมือเตียวซกตายเข้าไว้ แลดูตากันแล้วทอดใจใหญ่บอกว่า เหตุลางบังเกิดดังนี้ในสิบปีแผ่นดินจะวุ่นวาย

เตียวซกตายจึงว่า ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่รู้ว่าจะเกิดจลาจลแก่บ้านเมืองเหตุใดจึงมิกราบทูลให้ทราบเล่า เป๊กเอียงอูจึงว่า ความทั้งนี้ถึงจะทูลขึ้นก็ดี เห็นพระเจ้าอิวอ๋องจะมิเชื่อฟัง ขณะเมื่อเป๊กเอียงอูกับเตียวซกตายพูดกันดังนั้น เค็ดก๋งกับเซ็กอูนั่งอยู่ด้วย วันหนึ่งพระเจ้าอิวอ๋องเสด็จออก เค็ดก๋งกับเซ็กอูจึงนำเนื้อความซึ่งเป๊กเอียงอูกับเตียวซกตายพูดกันนั้นกราบทูลพระเจ้าอิวอ๋องทุกประการ พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสว่า เป๊กเอียงอูเป็นคนถือตัวว่ารู้การแผ่นดิน บัดนี้ก็แก่ชราจะว่าไรก็ฟั่นเฟือนหลงลืมจะเชื่อถ้อยคำเป็นแน่นั้นไม่ได้

พอเตียวซกตายเข้าไปเฝ้ากราบทูลพระเจ้าอิวอ๋องว่า เขาไซกีพังหักลงอีกเป็นสองครั้งแล้ว ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเป็นเหตุแก่บ้านเมือง ถ้าพระองค์มิให้ทำพลีกรรมบวงสรวงระงับเหตุลางเสีย นานไปบ้านเมืองจะเกิดอันตราย พระเจ้าอิวอ๋องยังมิทันตรัสประการใด เค็ดก๋งกับเซ็กอูจึงทูลขึ้นว่า เขาไซกีพังซินสินก็ได้กราบทูลทราบแล้ว เตียวซกตายกลับนำเนื้อความข้อเขาไซกีพังมาทูลอีกเล่า บัดนี้บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุขหาอันตรายสิ่งหนึ่งสิ่งใดไม่ และเตียวซกตายว่าเกิดเหตุลางร้ายนั้น เหมือนจะแช่งบ้านเมืองให้เกิดอันตรายวิบัติต่างๆ หาควรแก่ตัวเป็นขุนนางผู้ใหญ่จะกราบทูลไม่

พระเจ้าอิวอ๋องได้ทรงฟังก็โกรธ จึงให้ถอดเตียวซกตายเสียจากที่ขุนนาง เตียวซกตายก็พาบุตรภรรยาไปเข้าทำราชการอยู่กับเจ้าเมืองจิ๋น โปหยงรู้ว่าพระเจ้าอิวอ๋องขับเตียวซกตายเสีย จึงเข้าไปกราบทูลว่า เตียวซกตายเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เห็นว่าเหตุร้ายจะบังเกิดแก่บ้านเมือง จึงกราบทูลหวังจะเตือนสติ ซึ่งพระองค์เชื่อเค็ดก๋งกับเซ็กอูให้ขับเตียวซกตายเสียนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าหาชอบไม่

พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงตรัสว่า แต่ก่อนเราเห็นว่าตัวมีสติปัญญา จึงให้เป็นขุนนางกินเบี้ยหวัด เตียวซกตายเป็นคนหยาบช้าเอาความร้ายมาแช่งบ้านเมืองให้อาณาประชาราษฎร์กำเริบร้อน เราเห็นว่าชั่วจึงขับเสีย ตัวขืนว่าเตียวซกตายเป็นคนสัตย์ซื่ออีกเล่า พระเจ้าอิวอ๋องจึงสั่งให้เอาโปหยงไปใส่คุกไว้

ฝ่ายซูตายซึ่งได้หญิงทาริกามาเลี้ยงไว้นั้น ครั้นนางเติบใหญ่ขึ้นมาจึงให้ชื่อนางโปซู แต่นางโปซูคนนี้ไม่หัวเราะแต่น้อยคุ้มใหญ่ อายุได้สิบสองปีรูปงามนัก เสียงก็เพราะ ฉลาดในการร้องรำ

ฝ่ายโปอ๋องเต๊กเป็นบุตรโปหยงซึ่งต้องโทษจำอยู่ในคุก วันหนึ่งโปอ๋องเต๊กไปเที่ยวเล่นป่า เดินผ่านมาหลังบ้านโปเสียไป เห็นหญิงคนหนึ่งถือถังออกไปตักนํ้าที่บ่อ โปอ๋องเต๊กพิศดูรูปร่างงามหาหญิงผู้ใดจะเปรียบเสมอมิได้ ครั้นนางเดินกลับเข้าไปในบ้าน โปอ๋องเต๊กก็ตามไปถามชาวบ้านว่า นางคนนี้ชื่อไรเป็นบุตรผู้ใด ชาวบ้านจึงบอกว่านางโปซูเป็นบุตรเลี้ยงซูตาย โปอ๋องเต๊กแจ้งดังนั้นจึงคิดว่า ทุกวันนี้พระเจ้าอิวอ๋องต้องประสงค์อิสตรีรูปงาม แต่โปหยงบิดาเราเป็นโทษอยู่ในคุกสามปีมาแล้วยังมิได้พ้นโทษ ซูตายบิดานางโปซูก็เป็นคนยากจนอยู่ จำจะหาเงินทองมาซื้อนางโปซูไปถวายให้มีความชอบไว้ จะได้ทูลขอโทษบิดาให้พ้นจากเวรจำ โปอ๋องเต๊กคิดแล้วก็กลับมาปรึกษามารดาตามที่คิดไว้นั้น มารดาโปอองเต๊กเห็นชอบด้วย จึงให้คนใช้ไปเชิญซูตายมา ณ บ้าน แล้วว่า นางโปซูบุตรีท่านรูปงามนัก ควรจะถวายพระเจ้าอิวอ๋อง ถ้าชอบพระอัธยาศัยโปรดปราน นางโปซูก็จะได้ดี เรากับท่านก็คงจะได้พึ่งบุญนางโปซูไปจนตาย ถ้าท่านปิดบังไว้ไม่ถวายมีผู้เพ็ดทูลเสียดส่อขึ้นเห็นว่าท่านจะได้ความผิดเป็นมั่นคง

ซูตายได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ท่านว่านี้ชอบนัก ข้าพเจ้าคิดจะใคร่เอาไปถวาย แต่ข้าพเจ้าเป็นคนจนขัดสนด้วยเงินทองและสิ่งของเครื่องจะตกแต่งบุตรีหามีไม่ มารดาโปอ๋องเต๊กจึงว่า ข้อนั้นไว้เป็นธุระเราจะช่วยทำนุบำรุงอย่าวิตกเลย มารดาโปอ๋องเต๊กจึงจัดแพรสีต่างกันมาสามร้อยม้วน กับผ้าขาวเนื้อดีมาสามร้อยพับ ให้คนใช้ไปส่งซูตายถึงบ้าน ซูตายได้แพรและผ้าดีใจนัก จึงพานางโปซูบุตรีมามอบให้มารดาโปอ๋องเต๊กถึงบ้าน มารดาโปอ๋องเต๊กเห็นนางโปซูรูปงามดีใจนัก ด้วยจะได้ความชอบในพระเจ้าอิวอ๋อง จึงสั่งสอนโปซูให้รู้ขนบธรรมเนียมในพระมหากษัตริย์สิ้นทุกประการ แล้วจึงจัดแจงเงินทองสิ่งละถาด เข้าไปหาเค็ดก๋งกับเซ็กอู ณ บ้าน บอกว่าข้าพเจ้าได้นางรูปงามคนหนึ่งจะถวายไถ่โทษโปหยง ท่านทั้งสองจงช่วยทำนุบำรุงข้าพเจ้าด้วย

เค็ดก๋งกับเซ็กอูได้ของกำนัลก็ดีใจจึงว่าอย่าวิตกเลย เราจะช่วยธุระท่านให้สำเร็จ มารดาโปอ๋องเต๊กก็คำนับลามาบ้าน ครั้นเวลารุ่งเช้าเค็ดก๋งกับเซ็กอูจึงเข้าไปเฝ้า พระเจ้าอิวอ๋องเสด็จออกตรัสด้วยราชการบ้านเมืองเสร็จแล้ว ขุนนางทั้งสองจึงกราบทูลว่า ภรรยาโปหยงมาหาข้าพเจ้าจะถวายบุตรีคนหนึ่งชื่อโปซูรูปงามหาผู้เสมอมิได้ จะขอไถ่โทษโปหยง พระเจ้าอิวอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ท่านจงไปพานางโปซูมาให้เราดูก่อน ถ้าแม้นรูปงามเหมือนท่านว่าจึงจะให้โปหยงพ้นโทษ เค็ดก๋งก็รีบกลับออกจากที่เฝ้าตรงไปบ้าน จึงใช้ให้คนไปบอกภรรยาโปหยง ภรรยาโปหยงก็แต่งตัวนางโปซูด้วยเสื้อผ้าอย่างดี แล้วภรรยาโปหยงก็ให้นางโปซูขึ้นขี่เกวียนพาไปบ้านเค็ดก๋ง เค็ดก๋งก็ออกมาต้อนรับนำนางทั้งสองเข้าไปในราชวัง พระเจ้าอิวอ๋องยังเสด็จคอยท่าอยู่ เค็ดก๋งก็พาภรรยาโปหยงกับนางโปซูเข้าไปเฝ้า ทูลถวายตัวนางโปซู พระเจ้าอิวอ๋องทอดพระเนตรเห็นนางโปซูงามชอบพระทัยนัก จึงตรัสแก่เค็ดก๋งว่า แต่เราหาอิสตรีรูปงามได้ไว้แต่ก่อนเป็นอันมาก ยังหามีผู้ใดงามเหมือนนางโปซูไม่ อันนางโปซูคนนี้งามพร้อมทั้งจริตกิริยาก็ละม่อมละไมสมเป็นนางพระสนมกำนัล และภรรยาโปหยงมีความชอบมากนัก จงให้โปหยงพ้นจากเวรจำให้คงเป็นที่ขุนนางดังเก่าเถิด

แล้วพระเจ้าอิวอ๋องตรัสสั่งนางเฒ่าแก่ให้รับนางโปซูเข้าไปในวังพระราชทานเงินทองเครื่องใช้สอยเป็นอันมาก ทั้งให้เค็งไต้แก่นางโปซูเป็นที่อยู่ แล้วพระเจ้าอิวอ๋องก็เสด็จไปอยู่กับนางโปซูทั้งกลางคืนกลางวันเป็นนิจ มิได้เสด็จไปหานางสินฮองฮอและพระสนมทั้งปวงเหมือนแต่ก่อน จนนางโปซูมีครรภ์ได้สองเดือนเศษ

ฝ่ายนางสินฮองฮอมเหสีแจ้งว่า พระเจ้าอิวอ๋องได้นางโปซูมาเลี้ยงเป็นสนมเอกโปรดปรานนัก มิได้เสด็จมาช้านานก็มีจิตริษยาคิดจะใคร่ไปดูนางโปซูว่าจะงามสักเพียงไร จึงลงจากตึกไปเค็งไต้คอยมองดูเห็นพระเจ้าอิวอ๋องนั่งเคียงกับนางโปซูอยู่บนเตียง นางโปซูถือจอกสุราคอยถวายให้เสวย นางสินฮองฮอมีความแค้นจนเหงื่อออกอดใจมิได้จึงเดินตรงไปหน้าที่นั่ง พระเจ้าอิวอ๋องเห็นก็อายพระทัย จึงให้นางโปซูลงจากเตียงคำนับนางสินฮองฮอ นางสินฮองฮอมิได้รับคำนับนางโปซู จึงเดินเข้าไปใกล้พระเจ้าอิวอ๋อง คำนับแล้วแกล้งทูลถามว่า นางรูปงามคนนี้ผู้ใดเอามาถวายพระองค์

พระเจ้าอิวอ๋องยิ้มแล้วจึงตรัสบอกว่า นางโปซูคนนี้ภรรยาโปหยงให้เรา พึ่งได้มาใหม่ คิดจะให้ไปคำนับวันนี้พอเจ้ามา อย่าน้อยใจเลยจงรับคำนับนางโปซูเถิด นางสินฮองฮอได้ฟังก็โกรธ จึงทูลว่าพระองค์ชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นที่ฮองฮอ นางโปซูเป็นผู้น้อยเห็นข้าพเจ้ามาแกล้งทำเฉยเสียหานับถือยำเกรงไม่ ต่อมีรับสั่งให้คำนับขัดมิได้จึงคำนับ ข้าพเจ้าเจ็บใจนักจะขอทำให้รู้จักสำนึกเสียหน่อยหนึ่ง ว่าแล้วก็ตรงเข้าไปจะตีนางโปซู พระเจ้าอิวอ๋องก็เสด็จยืนขึ้นป้องกันนางสินฮองฮอไว้ นางสินฮองฮอยิ่งมีความแค้นนัก ครั้นจะรุกรานเข้าไปก็เกรงพระราชอาญา จึงชี้หน้าด่าตัดพ้อว่าอีโปซูกูฝากมึงไว้ด้วยเถิด ว่าแล้วก็ลงจากเค็งไต้ตรงไปที่อยู่

ฝ่ายงีเป๊กเห็นมารดากลับมาดูกิริยาไม่สบาย จึงเข้าไปคำนับแล้วถามว่า วันนี้มารดามีทุกข์ร้อนประการใดฤๅ นางสินฮองฮอจึงเล่าความให้บุตรฟังทุกประการแล้วว่า นางโปซูมันถือตัวว่าบิดาเจ้ารักจึงมิได้ยำเกรงมารดา นานไปเบื้องหน้าเห็นเราจะได้ความเดือดร้อนเพราะนางโปซูเป็นมั่นคง งีเป๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธนางโปซูนัก จึงว่าข้าพเจ้าจะคิดอ่านเอาความผิดอีโปซูจะตบตีเสียให้ยับเยินจงได้ นางสินฮองฮอก็ห้ามงีเป๊กว่า เจ้าเป็นเด็กจะไปล่วงเกินดังนั้นจะได้ความผิด งีเป๊กจึงว่าตามบุญตามกรรมเถิด ครั้นเวลารุ่งเช้า งีเป๊กถือกระบองพาคนใช้เข้าสวนดอกไม้หลังตึกนางโปซู งีเป๊กจึงให้คนใช้ขึ้นไปหักดอกไม้และกิ่งไม้เสียเป็นหลายกิ่งทิ้งเรี่ยราดอยู่ ฝ่ายคนใช้นางโปซูเห็นดังนั้นก็เข้ามาห้าม พวกงีเป๊กมิฟัง คนใช้ทั้งสองฝ่ายวิวาทกันอื้ออึงขึ้น นางโปซูอยู่ในตึกเดินออกไปถามคนใช้ว่า ใครมาหักต้นไม้เรา งีเป๊กเห็นนางโปซูก็โกรธ จึงวิ่งเข้าไปจิกผมนางโปซูแล้วก็ตีด้วยกระบอง

ขณะนั้นขันทีทั้งปวงเห็นงีเป๊กตีนางโปซู ต่างคนตกใจวิ่งมาห้ามงีเป๊กไว้ งีเป๊กชี้หน้านางโปซูแล้วว่า เราทำครั้งนี้พอให้รู้จักฝีมือไว้ ว่าแล้วงีเป๊กก็พาพวกกลับไปที่อยู่ นางโปซูได้ความเจ็บอายนัก เดินร้องไห้ขึ้นไปบนตึกคอยเสด็จพระเจ้าอิวอ๋องอยู่ ขณะเมื่องีเป๊กตีนางโปซูนั้น พระเจ้าอิวอ๋องเสด็จอยู่ข้างหน้า ครั้นเสด็จขึ้นก็ไปหานางโปซู เห็นนางโปซูสยายผมก้มหน้าร้องไห้อยู่ริมเตียงก็ตกพระทัยจึงตรัสถามว่า เจ้าเจ็บปวดสิ่งไรหรือจึงร้องไห้ นางโปซูเห็นได้ท่วงทีจึงกราบทูลทั้งน้ำตาว่า งีเป๊กราชบุตรของพระองค์พาคนใช้เข้ามาหักดอกไม้ในสวนหลังตึก ข้าพเจ้าลงไปห้ามโดยดี งีเป๊กจิกศีรษะข้าพเจ้าแล้วตีข้าพเจ้าด้วยกระบอง หากพวกขันทีวิ่งมาช่วยห้ามปรามทันข้าพเจ้าจึงรอดจากความตาย แต่ยังเจ็บระบมอยู่ทั้งตัวทนมิได้จึงร้องไห้ ถึงมาตรว่าข้าพเจ้าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต สงสารแต่บุตรในครรภ์ได้สองเดือนเศษจะพลอยตายด้วย ทูลพลางร้องไห้พลางซบหน้าลงกับพระบาท

พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสว่าเกิดความทั้งนี้ก็เพราะมารดางีเป๊กโกรธว่าเจ้าไม่ไปคำนับ เห็นจะไปเล่าความให้บุตรฟัง งีเป๊กจึงบังอาจมาโบยตีเจ้าไม่เกรงใจเราผู้เป็นบิดา จะเลี้ยงไว้ไม่ได้จะให้ขับเสียจากเมือง พระเจ้าอิวอ๋องจึงสั่งขันทีให้ออกไปสั่งขุนนางกรมวังว่า ขุนนางสี่คนซึ่งเป็นอาจารย์สอนหนังสืองีเป๊กนั้น ให้ถอดเสียจากที่ขุนนางทั้งสี่ แล้วขับงีเป๊กเสียจากเมืองตามรับสั่ง งีเป๊กกลัวอาญาพระบิดานักมิทันจะลามารดา งีเป๊กก็ลาอาจารย์ทั้งสี่คนขึ้นขี่เกวียนออกจากเมืองหลวง จะไปอยู่กับสินเฮาผู้เป็นตา ณ เมืองสิน

ฝ่ายนางสินฮองฮอครั้นแจ้งความว่า งีเป๊กผู้เป็นบุตรไปตีนางโปซู พระเจ้าอิวอ๋องทรงพระโกรธสั่งให้ขับเสียจากเมือง นางสินฮองฮอก็ร้องไห้ว่าเหตุทั้งนี้เพราะงีเป๊กไม่ฟังคำจึงพลัดพรากจากกัน นางสินฮองฮอมิรู้ที่จะเพ็ดทูลประการใด แต่ทุกข์ตรมใจอยู่ทุกเวลามิได้ขาด

ฝ่ายนางโปซูทรงครรภ์ ครั้นถ้วนสิบเดือนก็ประสูติบุตรเป็นชายรูปร่างเหมือนพระเจ้าอิวอ๋อง พระเจ้าอิวอ๋องมีพระทัยรักใคร่ในทารกนั้นนัก แล้วจึงจัดพี่เลี้ยงนางนมให้บำรุงเลี้ยงพระราชบุตรจนค่อยจำเริญขึ้นตามเสด็จออกไปข้างหน้าได้ พระเจ้าอิวอ๋องจึงประทานนามพระราชบุตรให้ชื่อ เป๊กฮก

อยู่มาเค็ดก๋ง เซ็กอู อินกิ๋ว ขุนนางทั้งสามจึงปรึกษากันว่า บัดนี้เป๊กฮกก็จำเริญขึ้นมาแล้ว ควรจะกราบทูลให้พระเจ้าอิวอ๋องยกเป๊กฮกขึ้นเป็นที่ไทจู๊ แปลเป็นคำไทยว่าลูกหลวงเอก ครั้นปรึกษาเสร็จเห็นพร้อมกันทั้งสาม จึงเข้าไปบอกนางโปซูตามที่ได้ปรึกษาเห็นพร้อมกันนั้น

นางโปซูแจ้งดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงให้คนใช้กลับไปบอกแก่ขุนนางทั้งสามว่า ข้าพเจ้าหาญาติพี่น้องจะช่วยทำนุบำรุงมิได้ เห็นแต่ท่านทั้งสามเหมือนญาติจะช่วยอุปถัมภ์ ถ้าและเป๊กฮกได้เป็นที่ไทจู๊ขึ้นแล้ว ข้าพเจ้าจะทูลให้ท่านทั้งสามได้เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ยิ่งขึ้นไป เค็ดก๋ง เซ็กอู และอินกิ๋วแจ้งดังนั้นก็ดีใจ จึงสั่งกำชับพรรคพวกให้คอยสอดแนมดูอย่าให้ผู้ใดไปหานางสินฮองฮอ

ฝ่ายนางสินฮองฮอตั้งแต่งีเป๊กถูกเนรุเทศไปจากเมือง ก็ร้องไห้หางีเป๊กผู้บุตรทุกเวลามิได้ขาด

คนสนิทเห็นดังนั้นก็มีความสงสารนางสินฮองฮอนัก จึงเข้าคำนับแล้วว่า พระเจ้าอิวอ๋องทรงพระโกรธให้ขับงีเป๊กไทจู๊ไปอยู่เมืองสินนั้นก็นานแล้ว บัดนี้เห็นพระเจ้าอิวอ๋องคงจะค่อยคลายที่ขัดเคือง ขอท่านจงมีหนังสือลับไปถึงงีเป๊ก ณ เมืองสิน ให้งีเป๊กทำเรื่องราวเข้ามาขอโทษ ข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าอิวอ๋องจะเกิดความเมตตาโปรดให้เข้ามาเมือง ท่านก็จะได้สิ้นความทุกข์ นางสินฮองฮอจึงตอบว่า ทุกวันนี้เค็ดก๋งก็ให้ห้ามปรามมิให้ผู้ใดเข้ามาหาเรา แลจะได้คนซึ่งจะถือหนังสือไปนั้นเราไม่เห็นผู้ใดเลย

คนสนิทจึงว่า พี่สาวข้าพเจ้ามีอยู่คนหนึ่งชื่อนางอุนอี๋น เป็นหมอเคยรักษาอยู่ในวังเนืองๆ ท่านจงทำเป็นป่วยให้เข้ามารักษา ท่านจึงลอบว่ากล่าวให้นางอุนอี๋นถือหนังสือลับไปเมืองสิน ข้าพเจ้าเห็นว่าผู้คนจะไม่มีความสงสัย นางสินฮองฮอเห็นชอบด้วยจึงแกล้งทำเป็นป่วย คนสนิทก็แกล้งพูดให้อื้ออึงว่านางสินฮองฮอป่วย แล้วออกไปพานางอุนอี๋นเข้ามารักษานางสินฮองฮอ ณ ตึก นางสินฮองฮอจึงร้องไห้เล่าความให้ฟังแล้วว่า ท่านกรุณาช่วยถือหนังสือลับนี้ไปให้งีเป๊กซึ่งอยู่ ณ เมืองสินให้กลับมาจะได้หรือมิได้

นางอุนอี๋นรับว่า ท่านจะใช้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิได้ขัด จะสนองคุณท่านสักครั้งหนึ่ง ท่านอย่าวิตกเลย นางสินฮองฮอได้ฟังดังนั้นก็ยินดีนัก ครั้นเพลาคํ่านางสินฮองฮอตามตะเกียงเขียนหนังสือลับซึ่งจะให้นางอุนอี๋นถือหนังสือไปถึงงีเป๊กผู้บุตรนั้น นางอุนอี๋นก็นอนค้างอยู่ในวัง

ขณะเมื่อนางสินฮองฮอกับนางอุนอี๋นพูดกันอยู่นั้น คนใช้นางสินฮองฮอซึ่งใช้สอยอยู่ในตึกได้ยินคิดจะโจทนาย จึงเอาความไปบอกนางโปซูว่า บัดนี้นางสินฮองฮอคิดกันกับนางอุนอี๋น เพลาพรุ่งนี้จะให้นางอุนอี๋นถือหนังสือลับไปถึงงีเป๊ก ในหนังสือนั้นจะเป็นถ้อยความประการใดข้าพเจ้าไม่แจ้ง นางโปซูได้ฟังดังนั้นก็ให้คนไปกำกับนายประตูอยู่ในเพลากลางดึก

ฝ่ายนางสินฮองฮอ ครั้นรุ่งเช้าจึงส่งหนังสือกับแพรสี่ม้วนทั้งเงินทองสำหรับจ่ายเป็นเสบียงเดินทางให้นางอุนอี๋น นางอุนอี๋นก็คำนับลาออกจากตึกไปถึงประตูวัง

ขณะนั้นคนใช้ของนางโปซูซึ่งไปกำกับนายประตูอยู่นั้น ก็ให้จับตัวนางอุนอี๋นไว้แล้วถามว่าท่านได้แพรมาแต่ไหน นางอุนอี๋นก็บอกว่านางสินฮองฮอป่วย หาเราเข้าไปรักษาโรค โรคนั้นค่อยบรรเทาลง นางสินฮองฮอจึงให้แพรมาเป็นค่ายา

คนใช้ของนางโปซูก็ให้นายประตูค้นได้หนังสือในกลีบเสื้อนางอุนอี๋น จึงให้นายประตูคุมตัวนางอุนอี๋นไว้ แล้วเอาแพรกับหนังสือไปคำนับแจ้งความแก่นางโปซู นางโปซูรับหนังสือฉีกผนึกออกอ่านดูรู้ความในหนังสือนั้นก็โกรธ จึงสั่งให้จำนางอุนอี๋นไว้มิให้ผู้ใดไปมาหากันได้ แล้วนางโปซูขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าอิวอ๋อง จึงฉีกแพรสี่ม้วนนั้นเป็นท่อนๆ ทิ้งลงตรงหน้าพระที่นั่งพลางร้องไห้ทูลความว่า พระมเหสีของพระองค์ให้หนังสือลับไปถึงงีเป๊ก จะให้คิดอ่านพาลฆ่าข้าพเจ้าเสีย แล้วนางโปซูก็ถวายหนังสือต่อพระหัตถ์

พระเจ้าอิวอ๋องคลี่หนังสือออกทอดพระเนตร ก็จำได้ว่าเป็นลายมือนางสินฮองฮอ จึงทรงอ่านใจความในหนังสือนั้นว่า งีเป๊กก็จำเริญใหญ่กล้าขึ้นมาแล้ว ให้งีเป๊กกลับเข้ามาคิดอ่านการแก้แค้นนางโปซูเสียให้จงได้ พระเจ้าอิวอ๋องตรองความเห็นว่างีเป๊กโกรธว่าเราขับเสีย จะนำกองทัพเมืองสินมากระทำแก่เมืองหลวงเป็นมั่นคง พระเจ้าอิวอ๋องจึงให้เอาตัวนางอุนอี๋นเข้ามาหน้าที่นั่งมิได้ไต่ถามประการใด ชักพระแสงกระบี่ออกฟันนางอุนอี๋นตัวขาดสองท่อนก็ถึงแก่ความตาย ให้เอาศพไปทิ้งเสียนอกวัง

ขณะนั้นนางโปซูครั้นเห็นพระเจ้าอิวอ๋องทรงพระโกรธได้ท่วงทีแล้วก็แกล้งทำเป็นร้องไห้ แล้วกราบทูลว่างีเป๊กมีความพยาบาทข้าพเจ้า แต่พระองค์ยังมีพระชนม์อยู่งีเป๊กยังไม่เกรงแกล้งทำโทษโบยตีข้าพเจ้าถึงสาหัส ถ้าพระองค์เสด็จสวรรคตแล้ว ราชสมบัติได้แก่งีเป๊ก ข้าพเจ้ากับบุตรก็จะตายอยู่ในเงื้อมมืองีเป๊กเป็นมั่นคง                                                 

พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังดังนั้น จึงตรัสปลอบนางโปซูว่า เจ้ากริ่งเกรงอยู่ฉะนั้นก็ชอบ แต่อย่าวิตกเลยเราจะให้เป๊กฮกบุตรของเจ้าเป็นที่ไทจู๊ จะให้ถอดนางสินฮองฮอเสียแล้วจะตั้งเจ้าเป็นฮองฮอมเหสี แต่จะต้องปรึกษาขุนนางก่อน แม้นเขามิยอมก็เป็นความจนใจ

นางโปซูทูลว่า ประเพณีข้ากับเจ้าจะคิดทำสิ่งไร ผู้ซึ่งเป็นข้าไม่ตามบังคับเจ้าก็มีโทษ ซึ่งพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์จะเกรงใจขุนนางอยู่ตรัสสิ่งใดมิได้สิทธิ์ขาด มิเสียพระเกียรติยศไปหรือ พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสว่า เป็นธรรมเนียมกษัตริย์จะทำสิ่งใดเป็นการแผ่นดินย่อมปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ให้เห็นชอบพร้อมมูล แล้วทำการจึงจะเป็นมงคล พรุ่งนี้เราจะปรึกษาเค็ดก๋ง เซ็กอู อินกิ๋วก่อน ถ้าเขาเห็นชอบด้วยแล้วจึงจะให้บุตรเจ้าเป็นที่ไทจู๊

นางโปซูได้ยินพระเจ้าอิวอ๋องตรัสออกชื่อขุนนางทั้งสามคนก็ดีใจ ด้วยรู้อยู่ว่าเขาจะช่วยทำนุบำรุงจึงทูลว่า พระองค์กลัวความนินทาจะปรึกษาขุนนางให้พร้อมกันตามประเวณีกษัตริย์นั้นก็ควรแล้ว ครั้นเวลารุ่งเช้าพระเจ้าอิวอ๋องเสด็จออกขุนนาง จึงตรัสแก่ เค็ดก๋ง เซ็กอู อินกิ๋วว่า อันนางสินฮองฮอเราแต่งตั้งให้เป็นมเหสีได้ว่ากล่าวบังคับฝ่ายใน นางสินฮองฮอมิใจหึงษานางโปซู นางโปซูหาความผิดมิได้ นางสินฮองฮอทำบังอาจหยาบช้าด่าทอนางโปซูต่อหน้าเรา แล้วมิหนำซ้ำให้งีเป๊กผู้บุตรมาโบยตีนางโปซูอีกเล่า เราเห็นว่างีเป๊กผิดจึงให้ขับเสีย บัดนี้นางสินฮองฮอคิดทำหนังสือลับจะให้ไปถึงงีเป๊ก ให้งีเป๊กนำกองทัพเมืองสินมาทำร้ายเรา นี่หากว่านางโปซูจับหนังสือลับได้เราจึงรู้ตัว นางสินฮองฮอมิได้ตรงต่อเราแล้ว เราจะให้ถอดเสียจากที่ อันนางโปซูมีใจจงรักภักดีต่อเราคิดอ่านจับหนังสือลับได้ เราเห็นว่านางโปซูมีความชอบต่อเรามากอยู่ ควรจะให้เป็นที่ฮองฮอ จะให้เป๊กฮกเป็นไทจู๊ท่านจะเห็นประการใด ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามได้ฟังดังนั้นจึงกราบทูลว่า ความทั้งนี้ข้าพเจ้าได้ปรึกษากันว่าจะกราบทูล ซึ่งพระองค์จะตั้งนางโปซูเป็นมเหสีแลจะให้เป๊กฮกเป็นที่ไทจู๊นั้นควรแล้ว จะได้สืบเชื้อวงศ์ บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขไปกว่าพันปี พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังขุนนางทั้งสามพร้อมกันยอมใจให้นางโปซูเป็นที่มเหสีสมดังพระทัยคิดก็ยินดี จึงสั่งให้ริบราชบาตรนางสินฮองฮอ ตัวนั้นให้จำขังไว้ที่เหลียงเก๋ง คำไทยว่าตึกเย็นเป็นที่จำสงัด

ครั้งนั้นพระเจ้าอิวอ๋องเสวยราชสมบัติได้เก้าปี ณ เดือนเจ็ด ตั้งนางโปซูให้เป็นที่ฮองฮอมเหสี ได้บังคับฝ่ายในสิทธิ์ขาด ให้เป๊กฮกเป็นที่ไทจู๊ลูกหลวงเอก แล้วให้มีกฎหมายห้ามขุนนางมิให้ผู้ใดนำเอาความนางสินฮองฮอกับงีเป๊กมากราบทูล ถ้าผู้ใดมิฟังให้ลงอาญาเอาเป็นพวกงีเป๊กเสมอโทษกบฏ

ฝ่ายเป๊กเอียงอูกับขุนนางทั้งปวงเห็นว่าพระเจ้าอิวอ๋องให้ลงโทษนางสินฮองฮอ ให้เป๊กฮกเป็นที่ไทจู๊ลูกหลวง บรรดาขุนนางมีความคิดคาดการเห็นว่าบ้านเมืองจะเกิดจลาจล เพราะพระเจ้าอิวอ๋องหลงรักนางโปซู ต่างคนเสียนํ้าใจก็ทูลลาออกจากที่ขุนนางไปอยู่เมืองอื่นเป็นหลายคน

แต่เป๊กเอียงอูขุนนางผู้เฒ่านั้นเห็นว่าพระเจ้าอิวอ๋องจวนจะสิ้นบุญแล้ว ถึงจะเพ็ดทูลทัดทานก็เห็นหาฟังไม่ เป๊กเอียงอูทอดใจใหญ่คิดจะเอาตัวรอด จึงเข้าไปเฝ้าทูลว่า ข้าพเจ้าก็แก่ชราจะคิดอ่านสิ่งใดก็ได้หน้าลืมหลัง จะรับราชการไปเห็นจะไม่พ้นอาญา ข้าพเจ้าขอออกนอกราชการไปควบคุมลูกหลานหาเลี้ยงชีวิตจนกว่าจะตาย พระเจ้าอิวอ๋องก็โปรดให้ไป เป๊กเอียงอูก็คำนับลาไปอยู่บ้านเก่า

วันหนึ่งพระเจ้าอิวอ๋องเสวยสุรากับนางโปซูเป็นที่สบายให้พนักงานขับบำเรอ พระเจ้าอิวอ๋องตรัสสัพยอกนางโปซูต่างๆ เห็นนางโปซูมิได้ยิ้มจึงตรัสถามว่า สินฮองฮอเป็นที่ขัดเคืองเจ้าเราก็ถอดนางเสียแล้ว เจ้าก็ได้เป็นที่มเหสีเอกแล้วเหตุใดจึงมิได้ยิ้มแย้มเลย ดูใจเจ้าเหมือนไม่สบาย มีความขัดเคืองผู้ใดอยู่อีกฤๅ

นางโปซูได้ฟังรับสั่งเห็นได้ที ด้วยคิดพยาบาทจะใคร่ให้พระเจ้าอิวอ๋องยกทัพไปตีเอาเมืองสิน จับตัวงีเป๊กมาฆ่าเสียให้สิ้นเสี้ยนหนาม จึงทูลว่าพระองค์โปรดเลี้ยงข้าพเจ้ากับบุตรให้ยศมีศักดิ์ทั้งนี้ข้าพเจ้ายินดีหาที่สุดมิได้ แต่การที่ไม่ยิ้มแย้มนั้นยังไม่มีสิ่งจะชอบใจข้าพเจ้าจึงมิได้หัวเราะ อันเสียงกระจับปี่และสีซอซึ่งพนักงานทำบำเรอข้าพเจ้าทั้งนี้ ข้าพเจ้าฟังเสียงหาเพราะเหมือนเสียงฉีกแพรเมื่อจับหนังสือลับได้ไม่

พระเจ้าอิวอ๋องกำลังเสพสุราเมา มิได้เห็นความในถ้อยคำซึ่งนางว่านั้น คิดแต่จะใคร่ให้นางโปซูยิ้มแย้มยินดี จึงขนแพรมาเป็นอันมาก ให้นางนักสนมทั้งปวงฉีกแพรให้นางโปซูฟังเสียง นางโปซูก็มิได้หัวเราะ พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสว่า ผู้ใดจะกระทำให้นางโปซูหัวเราะได้เราจะให้ทองพันตำลึงเป็นรางวัล นางสนมทั้งปวงได้ฟังรับสั่งดังนั้น ต่างคนจะใคร่ได้ทองพันตำลึง จึงร้องรำทำเพลงต่างๆ นางโปซูก็มิได้หัวเราะ พระเจ้าอิวอ๋องก็ยิ่งรำคาญพระทัย คิดจะทำอุบายให้นางโปซูหัวเราะให้จงได้ ครั้นเวลาสายเสด็จออกขุนนางข้างหน้า ในพระทัยนั้นผูกพันคิดถึงแต่นางโปซูอดกลั้นอยู่มิได้ตรัสเล่าเนื้อความให้เซ็กอูฟังแล้วว่า ผู้ใดจะทำอุบายให้นางโปซูหัวเราะได้ เราจะให้รางวัลทองคำพันตำลึง เซ็กอูเป็นคนช่างพูดประจบประแจงจึงทูลว่า อันร้องรำทำเพลงต่างๆ โปซูฮองฮอก็ไม่หัวเราะเพราะไม่ชอบใจ ถ้าชอบใจแล้วไหนจะกลั้นหัวเราะได้ ข้าพเจ้าเห็นอุบายอยู่สิ่งหนึ่ง ขอเสด็จพระองค์พานางโปซูขึ้นพลับพลาสูงซึ่งปลูกไว้บนเขาลิสาน ข้าพเจ้าจะขึ้นไปจุดไฟบนเอียนตุนซึ่งทำไว้นัดกองทัพหัวเมือง และเอียนตุนนี้ ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเซ้งอ๋องให้ทำไว้ยี่สิบสี่แห่ง ระยะห่างกันสองร้อยหกสิบเส้น เอียนตุนหนึ่ง (เอียนตุนนั้นแปลภาษาไทยว่าร้านไฟ) มีกลองสำหรับไว้ใบหนึ่ง เจ้าพนักงานอยู่รักษา แม้นเมืองหลวงเกิดศึกเมื่อใดก็จุดไฟเพลิงบนเอียนตุนและตีกลองเป็นสำคัญ หัวเมืองทั้งปวงเห็นแสงเพลิงและได้ยินกลองสัญญาก็จะยกกองทัพมาช่วยเมืองหลวงพร้อมกัน และจะจุดเพลิงบนเอียนตุนขึ้นครั้งนี้ ทัพหัวเมืองทั้งปวงก็จะยกมา แม้นไม่เห็นข้าศึกก็จะไต่ถามกันเอิกเกริก ข้าพเจ้าเห็นว่านางโปซูจะหัวเราะ ด้วยกองทัพมาเก้อกลับไปเปล่า พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้เซ็กอูไปจัดแจงพลับพลาสูงที่จะทอดพระเนตรกองทัพแล้วเสด็จเข้าพระราชวัง ตรัสชวนนางโปซูมาทรงรถเทียมด้วยม้า พร้อมด้วยขุนนางและพระสนมฝ่ายในตามเสด็จไปเขาลิสาน เขาลิสานนั้นอยู่ในกำแพงเมืองชั้นนอก ครั้นถึงซึ่งบันได พระเจ้าอิวอ๋องก็ชวนนางโปซูกับนางสนมทั้งปวงขึ้นบนพลับพลาที่สูง พระเจ้าอิวอ๋องชี้พระหัตถ์ตรัสบอกให้นางโปซูชมภูเขาและต้นไม้อันทรงดอกผลต่างๆ

ขณะนั้นเตงเป๊กอิวเจ้าเมืองเตง ซึ่งเข้ามารับราชการเป็นขุนนางตำแหน่งกรมแสง ตามเสด็จขึ้นไปด้วยแจ้งความว่าพระเจ้าอิวอ๋องจะให้จุดเอียนตุนเล่นก็ตกใจ จึงร้องกราบทูลขึ้นไปว่า บ้านเมืองของพระองค์มิได้มีข้าศึกศัตรูมายํ่ายี ซึ่งจะให้จุดเอียนตุนขึ้นนั้นหัวเมืองทั้งปวงจะสำคัญว่าเมืองหลวงเกิดศึก จะยกกองทัพมาตามสัญญาเมืองแต่ก่อน ถ้าไม่เห็นข้าศึกก็จะกลับไป เบื้องหน้าถ้าแม้นเมืองหลวงเกิดศึก จะจุดเอียนตุนให้กองทัพยกมาช่วย ข้าพเจ้าเห็นว่าทัพหัวเมืองทั้งปวงจะหายกมาช่วยตามสัญญาไม่ ขออย่าให้จุดเอียนตุนเลย พระเจ้าอิวอ๋องได้ฟังก็โกรธจึงตรัสว่า บ้านเรือนเราเป็นสุขอยู่แล้ว เราจะให้จุดเอียนตุนเล่นเป็นการให้สบายใจ มิควรจะทัดทาน ว่าแล้วก็ตรัสพูดเล่นอยู่กับนางโปซู ครั้นเวลาคํ่าพระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสสั่งเซ็กอูให้เจ้าพนักงานตีกลองและจุดเพลิงทุกเอียนตุน

ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ใกล้เมืองหลวง ครั้นเห็นแสงเพลิงบนเอียนตุนก็ตกใจสำคัญว่าเมืองหลวงเกิดศึก ต่างเมืองก็กะเกณฑ์ทหารเข้ากระบวนทัพในเวลากลางคืน พอรุ่งเช้าก็รีบไปเมืองหลวงตามระยะทางใกล้และไกล

ฝ่ายพระเจ้าอิวอ๋องเสด็จประทับแรมอยู่บนพลับพลาสูงเสวยสุรากับนางโปซู คอยกองทัพหัวเมืองอยู่ถึงเจ็ดวัน ครั้นกองทัพหัวเมืองมาพร้อมกันแล้ว พระเจ้าอิวอ๋องจึงตรัสว่า เราให้จุดเอียนตุนดูเล่นดอก บ้านเมืองหามีศึกศัตรูไม่ ท่านจะพากันมาไยให้ลำบากแก่ทแกล้วทหาร จงกลับไปเมืองเถิด นายทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็เสียใจ จึงคิดว่าพระเจ้าอิวอ๋องเมืองหลวง แต่จะเล่นไยจึงให้ร้อนถึงหัวเมืองมาลำบากด้วยเล่า ต่างคนต่างก็นึกน้อยใจจึงให้ทหารม้วนธงสำหรับทัพเสียต่างยกกลับไปบ้านเมืองของตัว

ขณะนั้นนางโปซูนั่งอยู่กับพระเจ้าอิวอ๋อง ดูกองทัพหัวเมืองทั้งปวงเมื่อแรกยกมา เห็นผู้คนโห่ร้องคึกคักจะเอาความชอบ ครั้นต้องกลับไปเปล่าก็ทำหน้าเก้อก้าวมิใคร่ออก นางโปซูคิดขันขึ้นมาในใจ จึงว่าช่างกระไรเลยแต่ล้วนคนเก้อเป็นหมื่นเป็นแสนทีเดียว ว่าแล้วก็หัวเราะขึ้นต่อหน้าที่นั่ง พระเจ้าอิวอ๋องเห็นนางโปซูหัวเราะเสียงเพราะนัก ดูจริตกิริยาก็งามขึ้นกว่าเก่าสักสามสี่ส่วน พระเจ้าอิวอ๋องยิ่งมีพระทัยรักนางโปซูมากขึ้น แกล้งตรัสสัพยอกให้นางโปซูยิ้มบ่อยๆ สบายพระทัย จนทัพหัวเมืองทั้งปวงกลับสิ้นแล้วจึงให้หาเซ็กอูเข้ามาตรัสว่า ท่านคิดกลอุบายให้นางโปซูหัวเราะได้ครั้งนี้ท่านมีความชอบมากนัก จึงพระราชทานทองพันตำลึงให้เซ็กอู แล้วตรัสชวนนางโปซูกับนางพนักงานบำเรอทั้งปวงเสด็จเข้าพระราชวัง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ