- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๕๓
ฝ่ายแหตีสูซึ่งเป็นบุตรนางแหกี ครั้นเห็นมารดากระทำความมิดีดังนั้นหามีความสบายไม่ ดังหนึ่งหนามยอกอยู่ในอก ด้วยเลงก๋งเป็นเจ้าเมืองครั้นจะว่ากล่าวก็ขัดขวางอยู่ ถ้าเลงก๋งมาทีไร แหตีสูก็หลบหลีกไปเสียให้พ้นมิให้พบปะ ฝ่ายข้างเลงก๋งเจ้าเมืองกับก๋งเลงฮางฮูไปบ้านนางแหกีไม่พบแหตีสู ก็มีใจกำเริบขึ้นลอบไปเนืองๆ จนอายุแหตีสูได้สิบแปดปีมีกำลังและฝีมือยิงเกาทัณฑ์แม่น วันหนึ่งเลงก๋งคิดจะเอาใจนางแหกี จึงสั่งคนใช้ให้ไปหาแหตีสูเข้ามา แล้วจึงตั้งแหตีสูเป็นที่สุมานานายทหาร แหตีสูครั้นได้เป็นที่ขุนนางแล้วคุกเข่าลงคำนับลากลับเข้าไปคำนับมารดาแล้วเล่าความว่า เลงก๋งเจ้าเมืองตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นที่สุมานานายทหาร นางแหกีได้ฟังจึงว่า แหตีสูซึ่งเลงก๋งตั้งให้เจ้าเป็นขุนนางก็ดีแล้ว เจ้าจงสมัครทำราชการสนองคุณเลงก๋งเถิด อันการบ้านนี้เจ้าอย่าเป็นธุระเลย ไว้เป็นพนักงานมารดาจัดแจง แหตีสูก็คำนับลามาที่ตึกเคยอยู่ของตัว
เพลาวันหนึ่ง เลงก๋งเจ้าเมืองกับก๋งเลงฮางฮูก็ชวนกันไปเที่ยวที่สวนจูลิม แหตีสูรู้ว่าเจ้าเมืองออกมาเล่นสวนจูลิม จึงคิดว่าเลงก๋งตั้งให้เราเป็นขุนนาง ครั้นจะหลบหลีกเสียก็ไม่ได้ จำจะออกไปต้อนรับจึงจะควร แหตีสูสั่งให้แต่งโต๊ะไว้แล้ว แหตีสูออกมาคำนับเชิญเข้าไปบ้าน สั่งให้ยกโต๊ะมาเลี้ยงเจ้าเมืองกับขุนนาง เลงก๋ง ก๋งเลง ฮางฮูก็ชวนแหตีสูกินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน ขณะนั้นนางแหกีแอบดูอยู่ที่ประตูตึก เห็นแหตีสูอยู่ด้วยก็หาออกไปไม่
ขณะนั้นเลงก๋งกับขุนนางทั้งสองเสพสุราอยู่นั้นหาสู้ปรกติไม่ ด้วยนางแหกีหาได้ออกมาปฏิบัติเหมือนแต่ก่อนไม่ ต่างคนต่างแลดูกันอยู่ แหตีสูรู้กิริยาจึงลุกเดินเข้าไปแอบอยู่ในฉาก เลงก๋งครั้นเห็นแหตีสูลุกเข้าไปแล้วพูดกับฮางฮูว่า เราดูรูปแหตีสูคล้ายกับท่าน เห็นจะเป็นเชื้อสายของท่านดอกกระมัง ฮางฮูหัวเราะแล้วจึงตอบว่า ข้าพเจ้าพิจารณาดูดวงหน้าตาแหตีสูหาใช่เชื้อขุนนางไม่ ดูราศีเห็นจะเป็นตระกูลเจ้า ก๋งเลงจึงว่า ท่านทั้งสองหาอายุยังสมควรเป็นบิดาแหตีสูไม่ อันแหตีสูนี้บิดามาก หารู้ว่าเป็นแซ่ของผู้ใดไม่ ถึงจะถามตัวนางแหกี ก็หาอาจจะชี้ตัวบิดาแหตีสูได้ไม่ ต่างคนต่างก็ตบมือหัวเราะกัน
ฝ่ายแหตีสูแอบฟังอยู่ได้ยินดังนั้นก็โกรธนัก ดังหนึ่งไฟสุมอยู่ในอกหาหายไม่ จึงเอากุญแจไปใส่ประตูห้องที่มารดาอยู่ แล้วก็ลอบออกไปตามประตูข้าง ไปเรียกทหารออกมาพร้อมแล้ว สั่งให้ล้อมตึกซึ่งเลงก๋งก๋งเลงฮางฮูไว้ให้มั่นคงอย่าให้หนีได้ ฝ่ายแหตีสูแต่งตัวถือดาบกับทหารประมาณสิบสี่สิบห้าคน ตรงเข้าไปแล้วร้องว่าพวกเราจับอ้ายคนบ้ากามให้ได้ ขณะนั้นก๋งเลงได้ยินแหตีสูร้องว่าดังนั้นก็ตกใจ จึงว่ากับเลงก๋งว่าแหตีสูมันเลี้ยงเราวันนี้หาสุจริตไม่ มันจะฆ่าเราเสียวันนี้แล้ว เราจะนิ่งอยู่ฉะนี้มิพากันตายเสียหรือ เลงก๋งจึงว่าเราจะพากันหนีไปทางไหนดี ฮางฮูจึงว่าเดี๋ยวนี้ทางประตูหน้าบ้านเขาก็เอาทหารมาล้อมไว้ จะออกได้ก็แต่ประตูหลังบ้านแห่งเดียว เลงก๋งได้ฟังดังนั้นก็พาขุนนางทั้งสองเข้าไปข้างใน ปรารถนาจะอ้อนวอนให้นางแหกีออกมาว่ากล่าวแหตีสูผู้บุตร ครั้นถึงเห็นประตูห้องนางแหกีลั่นกุญแจอยู่เข้าไปมิได้เสียใจนัก ก็พากันจะหนีออกทางประตูหลังบ้าน ขณะเมื่อเลงก๋งหนีไปนั้น แหตีสูพาทหารไล่ติดตามกระชั้นเข้ามา เลงก๋งพลัดกับก๋งเลงฮางฮู เลงก๋งอยู่คนเดียวตกใจนักจึงคิดว่ากำแพงหลังโรงม้าข้างตะวันออกตํ่าอยู่ พอเราจะออกไปได้ก็รีบหนีไป แหตีสูจึงร้องว่าอย่าหนีเราเลยหาพ้นไม่ แล้วก็ยิงเกาทัณฑ์ไป พอเลงก๋งหลบเข้าไปในโรงม้าหาถูกไม่ ม้าในโรงเห็นคนวิ่งเข้ามาก็ตื่นตกใจ เห็นจะซ่อนอยู่ที่นี่มิได้ก็กลับออกมา พอแหตีสูเอาเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปถูกเลงก๋งที่อกตลอดหลังล้มลงตาย เมื่อเลงก๋งตายนั้นเป็นเจ้าเมืองตินได้สิบห้าปีมาตายอยู่ที่โรงม้าน่าสังเวชนัก
ฝ่ายก๋งเลงฮางฮู ครั้นเห็นแหตีสูไล่เลงก๋งไปทางทิศตะวันออก ก็พากันหนีมาข้างทิศตะวันตก เห็นกำแพงสูงนักจะปีนออกไปมิได้ก็วิตกอยู่ พอแลเห็นช่องกำแพงสำหรับสุนัขเข้าออก พอจะลอดตัวออกไป ก็ชวนกันลอดหนีออกไป จึงปรึกษากันว่า ครั้นเราจะกลับเข้าไปในเมือง ก็เห็นจะไม่พ้นความตายก็พากันหนีไปเมืองฌ้อ
ฝ่ายแหตีสูครั้นยิงเลงก๋งตายแล้ว ให้ทหารเที่ยวค้นหาก๋งเลงฮางฮูหาพบไม่ จึงพาพวกทหารเข้าไปในเมือง แล้วบอกกับขุนนางทั้งปวงว่าเลงก๋งออกไปเสพสุราที่สวนจูลิม เมาเหลือขนาดมีอันเป็นตาย เมื่อจะตายสั่งให้เราเอาซีจูหงอขึ้นเป็นเจ้าเมืองต่อไป ขุนนางทั้งปวงก็ยอมพร้อมใจกันตั้งซีจูหงอเป็นตินเซงก๋ง ครองเมืองตินสืบไป ครั้นตินเซงก๋งได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว ก็แต่งการศพบิดาฝังไว้ตามธรรมเนียมเสร็จ อันซึ่งเลงก๋งตายนั้น ตินเซงก๋งก็รู้อยู่ว่าแหตีสูกระทำร้าย ครั้นจะคิดอ่านทำโทษเล่าบ้านเมืองก็ยังไม่ปรกติ อนึ่งแหตีสูก็ได้เป็นนายทหารมีฝีมืออยู่ก็นิ่งไว้แต่ใจ ขณะเมื่อแหตีสูตั้งเจ้าเมืองแล้ว คิดถึงตัวว่ากระทำผิดไว้ หากเจ้าเมืองยังหาเอาโทษไม่ แต่เกรงอยู่ว่าหัวเมืองทั้งปวงจะยกกองทัพมาทำโทษตัว จึงเข้าไปหาตินเซงก๋งแกล้งอุบายบอกความว่า ท่านได้ครองเมืองขึ้นใหม่อาณาประชาราษฎร์ยังหาปรกติไม่ ถ้าหัวเมืองทั้งปวงรู้ไปก็จะยกมายํ่ายีเมืองเรา ขอท่านจงไปทำไมตรีไว้กับเมืองจิ้นจึงจะควร ตินเซงก๋งก็ทำตามถ้อยคำแหตีสูทุกประการ
ฝ่ายขุนนางเมืองฌ้อ ฌ้อจองอ๋องให้ถือหนังสือมานัดเลงก๋งเจ้าเมืองตินให้ไปกระทำสัจสัญญาที่ตำบลลิ้นเหลง ครั้นเข้าไปถึงแดนเมืองตินแจ้งว่าเลงก๋งตาย บ้านเมืองยังไม่ปรกติ ก็พาหนังสือกลับไปพบก๋งเลงฮางฮู ก๋งเลงกับฮางฮูก็แจ้งความว่าแหตีสูคิดขบถฆ่าเจ้าเมืองตินตายให้ขุนนางเมืองฌ้อฟังทุกประการ แล้วก็พากันรีบไปเมืองฌ้อ เข้าไปคำนับฌ้อจองอ๋อง ก๋งเลงฮางฮูจึงแสร้งทูลกล่าวโทษแหตีสูว่าคิดขบถฆ่าเลงก๋งตาย ข้าพเจ้าเป็นขุนนางพลเรือนหารู้ที่จะทำประการใดไม่ จึงต้องพากันหนีมาพึ่งท่าน
ฌ้อจองอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษากับขุนนางว่า เราจะยกไปกำจัดแหตีสูผู้ผิดเสีย ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด ขณะนั้นมีขุนนางคนหนึ่งเป็นบุตรคุดต๋ง ชื่อคุดบู๊ รูปร่างงามเป็นคนฉลาดข้างเจ้าชู้ เคยไปราชการเมืองติน ได้เห็นรูปร่างนางแหกีต้องตาอยู่แล้ว ได้ยินชาวเมืองตินพูดกันว่า เมื่อรุ่นสาวนางแหกีมีระดูเพทพญาธรมาสมพาศแล้วบอกมนต์ให้บทหนึ่ง นางได้เรียนไว้สังวัธยายเนืองๆ รูปร่างจึงสาวอยู่มิรู้แก่ คุดบู๊คิดจะใคร่ได้นางมาเป็นภรรยา จึงทูลกับฌ้อจองอ๋องว่า แหตีสูคิดขบถฆ่าเลงก๋งตายเสียควรที่จะยกไปกำจัดแหตีสูจึงจะชอบ ซุนเซกเหงาจึงว่าซึ่งคุดบู๊ว่านี้ควรไตอ๋องจะทำตามถ้อยคำถึงจะชอบ ฌ้อจองอ๋องก็เห็นด้วยจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งเป็นใจความว่าฌ้อจองอ๋องรู้ว่าแหตีสูคิดขบถฆ่าเจ้าเมืองตาย จะยกมากำจัดแหตีสูเสีย ถ้าขุนนางแลราษฎรรู้หนังสือนี้แล้วอย่าให้เข้าด้วยแหตีสูเลย จงอยู่ตามภูมิลำเนาบ้านของตัวตามเดิมเถิด ครั้นเสร็จส่งให้คนสนิทแล้วสั่งว่าท่านจงเอาไปปิดไว้ที่ประตูเมืองติน คนสนิทก็คำนับรับเอาหนังสือไปตามคำ ทำตามฌ้อจองอ๋องสั่งทุกประการ ขณะนั้นตินเซงก๋งไปเมืองจิ้นหาอยู่ไม่ ขุนนางที่รักษาเมืองอยู่นั้นครั้นแจ้งในหนังสือฌ้อจองอ๋องให้มาปิดไว้นั้นก็ดีใจ หาได้จัดแจงบ้านเมืองแลทหารไว้ไม่
ฝ่ายฌ้อจองอ๋อง ครั้นจัดแจงทแกล้วทหารเสร็จแล้วก็พาขุนนางทั้งปวงไปยังเมืองติน ครั้นถึงแดนเมืองตินหาเห็นจัดแจงทแกล้วทหารมาป้องกันเมืองไม่ ก็ยกล่วงเข้ามาถึงชานเมือง จึงสั่งทหารทั้งปวงว่า อย่าให้ผู้ใดเก็บริบเอาข้าวของของราษฎรเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดมิฟังจะเอาโทษถึงตาย
ฝ่ายแหตีสูรู้ว่าฌ้อจองอ๋องยกทัพมาเห็นจะสู้รบมิได้ ด้วยขุนนางแลราษฎรทั้งปวงหามีผู้ใดเข้าด้วยไม่ ตกใจนักก็หนีไปอยู่ยังบ้านจูลิม ขณะนั้นอวนโพเป็นที่ไตหูอยู่ในเมืองติน รู้ว่าฌ้อจองอ๋องยกทัพมาเจ้าเมืองไม่อยู่จึงเรียกขุนนางทั้งปวงมาปรึกษา ฌ้อจองอ๋องยกทัพมาทั้งนี้ก็เพราะแหตีสู ควรเราจะจับตัวแหตีสูส่งให้กับฌ้อจองอ๋องและขอเป็นไมตรี เมืองเราจะมีความสุขสืบไป ขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมกัน อวนโพจึงให้เขี้ยวยุยผู้บุตรคุมทหารไปจับตัวแหตีสู ในขณะนั้นฌ้อจองอ๋องก็ยกทหารมาถึงเชิงกำแพง ราษฎรทั้งปวงปรึกษากันว่าแหตีสูผู้ทำผิด ตินเซงก๋งหาเอาโทษไม่ ฌ้อจองอ๋องโกรธแทนยกกองทัพมาจะจับตัวแหตีสูไปทำโทษ เราเปิดประตูให้จึงจะควร เห็นพร้อมกันแล้วก็ไปเปิดประตูเมืองรับกองทัพฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องเข้ามาในเมืองได้แล้ว ก็สั่งให้ทหารไปหาตัวขุนนางทั้งปวงมา ทหารก็ไปเอาตัวอวนโพกับขุนนางทั้งปวงมาให้ฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องจึงถามอวนโพว่า แหตีสูอยู่ไหน
อวนโพคำนับแล้วจึงแจ้งว่า แหตีสูอยู่ที่สวนจูลิมนอกเมือง ฌ้อจองอ๋องจึงถามว่า ซึ่งแหตีสูกระทำผิดฆ่าเจ้าเมืองเสีย เหตุใดจึงไม่ฆ่าแหตีสูเสีย ให้เป็นขุนนางอยู่ตามเดิมนั้นท่านทั้งปวงเห็นดีแล้วหรือ อวนโพจึงว่าทุกวันนี้แหตีสูได้เป็นนายทหารมีฝีมือกล้าแข็ง ข้าพเจ้าทั้งปวงก็จนใจอยู่ด้วยสู้รบเขาไม่ได้ ฌ้อจองอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงสั่งก๋งจูเองให้อยู่รักษาเมืองติน ตัวฌ้อจองอ๋องก็ยกทัพไป ให้อวนโพนำไป ณ สวนจูลิม
ฝ่ายแหตีสูรู้ว่าฌ้อจองอ๋องเข้าเมืองได้ ก็จัดแจงสั่งของเสบียงอาหารบรรทุกเกวียน จะพานางแหกีผู้มารดาไปเมืองเตง ในขณะนั้นฌ้อจองอ๋องยกกองทัพมาถึงสวนจูลิม สั่งทหารให้ล้อมเข้าไว้แล้วให้เข้าไปจับตัวแหตีสูออกมาได้ ก็ให้เอาไปจำไว้ในเกวียน ฌ้อจองอ๋องจึงถามนายทหารว่านางแหกีไปไหนจึงไม่ได้ตัว ท่านทั้งปวงจงไปค้นจับตัวนางแหกีมาให้เราจงได้ ทหารก็เข้าไปค้นในตึกมิได้พบตัวสงสัยนัก ก็พากันรีบลงไปในสวนหลังบ้าน พบนางแหกีก็จับเอาตัวมาให้กับฌ้อจองอ๋อง
นางแหกีคุกเข่าลงคำนับแล้วอ้อนวอนว่า ตัวข้าพเจ้าก็เป็นหญิงชีวิตอยู่ในเงื้อมมือท่าน ขอท่านจงได้กรุณาไว้ชีวิตข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด ฌ้อจองอ๋องเห็นนางแหกีมีรูปร่างจริตกิริยางามก็นึกรัก จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า อันนางแหกีคนนี้หญิงในเมืองเรามีใครรูปงามเหมือนนางแหกีไม่ เราคิดจะเอาไปเลี้ยงไว้ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด คุดบู๊จึงว่าซึ่งท่านคิดดังนี้ ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ด้วยเดิมยกมาหมายจะกำจัดแหตีสู บัดนี้ท่านจะเอานางแหกีไปเลี้ยงเป็นภรรยานั้น หัวเมืองทั้งปวงจะมินินทาว่าท่านรักนางแหกีผู้เดียวหรือจึงได้ยกทัพมาทำกับเมืองตินดังนี้ ฌ้อจองอ๋องได้ฟังคุดบู๊ว่าดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงว่าอันนางแหกีมีรูปงามต้องตาคนนัก จะเลี้ยงไว้ในเมืองไม่ได้ จะต้องให้เอาไปปล่อยเสียนอกเมืองจึงจะควร
ก๋งจูเจ๊กเห็นรูปนางแหกีงามชอบใจ จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า อายุข้าพเจ้าก็กลางคนแล้วยังหามีภรรยาไม่ จะขอนางแหกีไปเป็นแม่เรือน คุดบู๊จึงว่ากับฌ้อจองอ๋องว่า ขอท่านอย่าได้ให้นางแหกีกับผู้ใด ก๋งจูเจ๊กจึงว่ากับคุดบู๊ว่า เหตุใดท่านจึงห้ามเจ้านายมิให้ให้นางแหก็กับเรา คุดบู๊จึงว่า ซึ่งท่านจะเอานางแหกีไปเลี้ยงเป็นภรรยานั้นเห็นไม่เจริญ ด้วยนางแหกีคนนี้เดิมรักกับก๋งจูมัง ก๋งจูมังก็ตายแล้วได้มาเป็นภรรยาแหตีซก เกิดบุตรคือแหตีสูคนนี้ แหตีซกก็ตาย เลงก๋งเจ้าเมืองตินไปลอบลักได้กันเลงก๋งก็ตาย ก๋งเลงกับฮางฮูผู้เข้าส่วนก็ต้องหนีไปจากเมือง แหตีสูที่ไต้อ๋องจับได้ยังแต่จะฆ่าเสีย เมืองตินก็เป็นอันตราย ทั้งคนแลบ้านเมืองเพราะนางแหกีผู้เดียว ซึ่งท่านจะเอาไปเลี้ยงเป็นภรรยานั้น เห็นจะอันตรายแก่ตัวท่าน ท่านก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ ควรจะหาหญิงที่มีลักษณะดีมาเลี้ยงเป็นภรรยาจึงจะชอบ
ฌ้อจองอ๋องจึงว่ากับก๋งจูเจ๊กว่า ซึ่งคุดบู๊ว่านี้ก็ควรนัก ท่านจงเชื่อเถิด ก๋งจูเจ๊กจึงว่าคุดบู๊ว่า ซึ่งท่านทัดทานฌ้อจองอ๋องกับเรามิให้เอานางแหกีไปเลี้ยงไว้นั้น ท่านคิดอ่านเกียจกันหวังจะเอานางแหกีไปไว้สำหรับรินสุราหรือ คุดบู๊จึงว่าข้าพเจ้าหาต้องการไม่ดอก อย่าสงสัยเลย ฌ้อจองอ๋องจึงว่า ธรรมดาสิ่งของทั้งปวงไม่มีเจ้าของแล้วก็จะช่วงชิงกัน เราจะขอยกให้กับเซียงเหลาซึ่งเป็นที่เลงอิน ด้วยภรรยาตายเสีย จึงสั่งให้หาตัวเลงอินเซียงเหลามา แล้วมอบตัวนางแหกีให้เป็นภรรยา เซียงเหลาก็มีความยินดีรับตัวนางแหกีแล้วคำนับลาไปที่อยู่ คุดบู๊นึกแต่ในใจว่า เราทัดทานฌ้อจองอ๋องกับก๋งจูเจ๊ก ก็เพราะเราปรารถนาจะใคร่ได้นาง บัดนี้ฌ้อจองอ๋องก็ยกนางให้กับเลงอินเซียงเหลาแล้ว นึกเสียดายนางแหกีนักแล้วพิศดูเลงอินเซียงเหลาก็ชราอยู่ เห็นจะทนทานไปหายืดยาวไม่ เต็มช้าก็สักปีครึ่งปีก็จะตาย เราก็จะคิดอ่านเอานางแหกีมาเป็นภรรยาให้จงได้
ขณะนั้นฌ้อจองอ๋องพักพลอยู่ที่สวนจูลิมคืนหนึ่ง ครั้นรุ่งเช้าก็ยกเข้าไปในเมืองติน ก๋งจูเองก็ออกมาคอยรับที่ประตูเมือง แล้วพากันเข้าไปนั่ง ณ ที่ว่าราชการ ฌ้อจองอ๋องจึงสั่งทหารให้เอาแหตีสูไปทำโทษนอกเมือง ให้เอาเกวียนผูกคอเล่มหนึ่ง มือและเท้าทั้งซ้ายขวาข้างละเล่ม แล้วให้ขับเกวียนห้าเล่มแยกกันไปคนละทาง ทหารก็คำนับแล้วพาตัวแหตีสูไปทางประตูเชกหมึงตามคำฌ้อจองอ๋องสั่ง จนแหตีสูขาดใจตายแล้วเอาศีรษะเสียบไว้ที่ประตูเมือง
ฝ่ายฌ้อจองอ๋องก็ให้ตรวจดูสิ่งของทั้งปวงซึ่งอยู่ในเมืองตินนั้นมอบให้แก่ก๋งจูเองแล้ว ตั้งให้ก๋งจูเองเป็นตินก๋งรักษาเมืองอยู่ ให้เปลี่ยนชื่อเมืองเสียใหม่ ให้เรียกว่าเมืองฌ้อกุย ฌ้อจองอ๋องก็ยกทัพกลับพาอวนโพมาเมืองฌ้อด้วย ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งขึ้นกับเมืองฌ้อนั้น รู้ว่าฌ้อจองอ๋องกลับมา ก็จัดแจงสิ่งของเครื่องบรรณาการมาคำนับ ถามข่าวทุกเมืองแล้วก็ลากลับมาเมือง
ฝ่ายซินซกสีซึ่งฌ้อจองอ๋องให้ไปคำนับซีจูบอเอี๋ย ซึ่งเป็นเจ๋คงก๋งเจ้าเมืองขึ้นใหม่ คำนับศพเจ๋ฮุยก๋งนั้นกลับมาถึงเมืองฌ้อแล้ว ก็เข้าไปคำนับแจ้งความซึ่งไปเมืองเจ๋กลับมาให้ฌ้อจองอ๋องฟังทุกประการ ฌ้อจองอ๋องจึงถามซินซกสีว่า เราไปตีเมืองตินได้ฆ่าแหตีสูเสีย หัวเมืองทั้งปวงก็พลอยดีใจ แต่ท่านผู้เดียวเห็นอย่างไรหรือจึงพลอยดีใจด้วยเราไม่ ซินซกสีจึงว่า ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ข้อหนึ่ง ด้วยคำโบราณว่าไว้ว่ายังมีชายผู้หนึ่งจูงควายเข้าไปเหยียบข้าวกล้าในนา ชายเจ้าของนาเห็นดังนั้นขัดใจนักก็แย่งเอาควายไว้ดังนี้ ท่านจะเห็นว่าข้างผู้ใดผิด ฌ้อจองอ๋องจึงว่า ซึ่งเจ้าของนาทำดังนั้นเกินอยู่ ใจเราเห็นว่าให้ใช้แต่ข้าว ตัวควายคืนให้กับเจ้าของจึงจะควร ท่านจะเห็นประการใด ซินซกสีจึงว่า อันท่านตัดสินนั้นถูกต้องแล้ว ซึ่งท่านยกกองทัพไปกำจัดแหตีสูครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านเหมือนกับคนเจ้าของนา อันตินเซงก๋งเปรียบเหมือนเจ้าของควาย แผ่นดินเมืองตินนั้นประดุจตัวควาย ซึ่งท่านได้เมืองตินไว้นั้น ข้าพเจ้าจึงหามีความยินดีไม่ ด้วยท่านทำทั้งนี้ เหมือนท่านแย่งเอาควายของเขาไว้ก็เหมือนกัน
ฌ้อจองอ๋องได้ฟังดังนั้นก็สะดุ้งใจ คิดขึ้นมาได้จึงว่า ท่านพูดควรเราจะทำตามคำท่าน แล้วจึงสั่งทหารให้ไปเรียกอวนโพมาแล้ว จึงถามว่าตินเซงก๋งไปอยู่แห่งใด อวนโพจึงว่า เดิมตินเซงก๋งไปเมืองจิ้น บัดนี้จะไปอยู่แห่งใดข้าพเจ้าหารู้ไม่ ว่าแล้วอวนโพก็ร้องไห้ ฌ้อจองอ๋องเห็นดังนั้นมีความสังเวชจึงว่าแก่อวนโพว่า เราจะคืนเมืองให้ ท่านจงไปเที่ยวตามหาตินเซงก๋งมาแล้ว ท่านว่ากล่าวกับตินเซงก๋งเจ้าเมืองให้เอาเมืองมาขึ้นแก่เราตามเดิม อย่าให้ไปขึ้นแก่เมืองอื่นได้ จึงจะไม่เสียทีที่เรามีความเมตตาแก่ท่าน
อวนโพได้ฟังฌ้อจองอ๋องว่าจะให้ตินเซงก๋งกลับมาเป็นเจ้าเมืองดังเก่ามีความยินดีนัก แล้วคุกเข่าลงคำนับฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งไปถึงก๋งจูเองให้แก่อวนโพ แล้วสั่งให้คนใช้ไปเรียกก๋งเลงฮางฮูเข้ามา แล้วฌ้อจองอ๋องจึงว่าแก่ก๋งเลงฮางฮูว่า ท่านจงกลับคืนไปเมืองดังเก่า จะได้ช่วยทำนุบำรุงตินเซงก๋งด้วย อวนโพได้ยินดังนั้นมีความรังเกียจก๋งเลงฮางฮูอยู่ด้วยเป็นชั่วมาแต่ก่อนหาสัจซื่อต่อแผ่นดินไม่ ครั้นจะบอกความแก่ฌ้อจองอ๋องขณะนี้ก็เกรงใจฌ้อจองอ๋องจะโกรธ จึงคำนับลาพาก๋งเลงฮางฮูนั้นกลับไปเมืองติน
ฝ่ายตินเซงก๋งกลับมาจากเมืองจิ้นจะไปเมืองติน ได้ข่าวว่าเมืองตินเสียแก่ฌ้อจองอ๋องแล้ว จึงคิดว่าถ้าจะเข้ารบหักเอาเมืองเห็นจะได้โดยยากด้วยทแกล้วทหารน้อยตัวนัก จำจะไปขอขึ้นแก่ฌ้อจองอ๋องจึงจะได้เมืองคืน คิดดังนั้นแล้วก็รีบไปเมืองฌ้อ ครั้นถึงเมืองฌ้อพอมาพบอวนโพ อวนโพเห็นตินเซงก๋งก็เข้าไปคำนับแล้วแจ้งความตามฌ้อจองอ๋องสั่งทุกประการแล้ว ฌ้อจองอ๋องให้หนังสือมาถึงก๋งจูเองฉบับหนึ่ง ตินเซงก๋งแจ้งดังนั้นก็มีความยินดี จึงพาอวนโพกับพรรคพวกกลับไปเมืองติน ครั้นถึงเมืองตินอวนโพเอาหนังสือเข้าไปให้แกก๋งจูเอง ก๋งจูเองรับหนังสือมาฉีกผนึกออกอ่านเป็นใจความว่า ฌ้อจองอ๋องมีหนังสือมาถึงก๋งจูเอง ให้คืนเมืองตินให้แก่ตินเซงก๋งดังเก่า ตัวก๋งจูเองนั้นให้มาทำราชการตามเดิม ก๋งจูเองแจ้งแล้วก็คืนตราสำหรับเมืองให้แก่ตินเซงก๋ง ก๋งจูเองจัดแจงล้อเกวียนกับสมัครพรรคพวกกลับไปยังเมืองฌ้อ กิตติศัพท์ก็ลือไปทั่วหัวเมืองทั้งปวงว่าฌ้อจองอ๋องมีใจโอบอ้อมอารียกเมืองตินคืนตินเซงก๋ง ต่างคนก็สรรเสริญฌ้อจองอ๋องเป็นอันมาก
ฝ่ายก๋งเลงฮางฮู ตั้งแต่กลับมาจากเมืองฌ้อมาอยู่เมืองตินตามภูมิลำเนาของตัว เพลาวันหนึ่งกลางวันก๋งเลงไม่สบาย เดินออกมานั่งที่หน้าตึกพอเห็นแหตีสูผู้ตายเดินเข้ามาร้องทวงเอาชีวิตคืน ก๋งเลงตกใจก็ล้มลงนิ่งไป บ่าวไพร่ของก๋งเลงเห็นดังนั้นก็เข้าพยุงก๋งเลงเข้าไปในตึกแล้วก็ช่วยกันแก้ก๋งเลง ก๋งเลงฟื้นขึ้นเคลิ้มสติเป็นพิกลกิริยา ให้เห็นแต่รูปแหตีสูติดตามมิได้ขาด ยิ่งมีความกลัวนักลุกขึ้นวิ่งหนีออกไปนอกตึกหมายจะให้พ้นแหตีสู ก๋งเลงก็พลัดตกบ่อลงถึงแก่ความตาย
ฝ่ายฮางฮูนอนในเพลากลางคืนวันนั้น ฝันว่าเลงก๋งก๋งเลงแหตีสูมาจับตัวไปให้เซียงเต้ แปลว่าพระยายมราช ฮางฮูก็สะดุ้งตกใจตื่นขึ้นก็คลั่งเป็นบ้าไป ให้นึกกลัวเซียงเต้นัก มิได้เป็นอันกินอันนอน ฮางฮูป่วยหนักลงก็ถึงแก่ความตาย เมื่อขณะก๋งเลงฮางฮูตายนั้นราษฎรนินทาว่าคนทั้งสองนี้กระทำความชั่วจึงได้ตายวิปลาส
ฝ่ายก๋งจูเองครั้นมาถึงเมืองฌ้อ ก็เข้าไปคำนับฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องจึงว่าซึ่งเรายกเมืองตินคืนให้เขาเสียนั้นอย่าน้อยใจเลย จงเลือกเอาเมืองขึ้นของเราสักเมืองหนึ่งสองเมืองเถิด ก๋งจูเองจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นนาร้างกับเมืองสีนเมืองหลีสองเมืองนี้พอจะทำมาหาเลี้ยงชีวิตทำราชการสนองคุณท่านได้ คุดบู๊จึงว่า ที่นาร้างทิศใต้เมืองฌ้อนั้นเป็นทางช่องแคบ ต่อมีศึกมาจะได้ตั้งมั่นรับที่นั้น ถึงแต่ก่อนมาก็หาให้ใครเป็นอันขาดได้ไม่ ด้วยเป็นทางหน้าศึก ฌ้อจองอ๋องจึงว่ากับก๋งจูเองว่า ท่านจงเลือกที่อื่นเถิด ก๋งจูเองมีความน้อยใจคุดบู๊นักมิได้ตอบประการใด
ขณะนั้นพระเจ้าจิวเตงอ๋องเสวยราชสมบัติได้สิบปี ฌ้อจองอ๋องได้เป็นเจ้าเมืองฌ้อได้สิบปี คิดจะใคร่ได้เมืองเตงเมืองจิ้นเป็นเมืองขึ้น จึงปรึกษาขุนนางว่า เมืองตินกับเมืองเราก็เป็นไมตรีกันแล้ว แต่เมืองเตงกับเมืองจิ้นทั้งสองนี้ยังแข็งอยู่ จำจะไปปราบเสียให้ราบคาบ เขตแดนเราจึงจะกว้างขวาง แต่เราจะไปตีเมืองเตงก่อนด้วยเป็นเมืองน้อย จะไม่สู้ป่วยการทหารมากนัก คุดต๋งจึงว่า ท่านจะประมาทว่าเมืองเตงเป็นเมืองน้อยจะทำแต่เบามือนั้นไม่ได้ ด้วยว่าท่านไปตีเมืองเตงเข้าแล้ว เมืองจิ้นก็คงจะยกมาช่วยเป็นทัพกระหนาบ ถ้าทหารเราน้อยจะเสียที ขอท่านจงเก็บทหารไปให้มากจะได้แบ่งรับทัพเมืองจิ้น
ฌ้อจองอ๋องก็เห็นด้วย จึงเกณฑ์ทหารรบสองหมื่นเศษ ให้เลงอินเซียงเหลากับกองเฮาเป็นทัพหน้า ยกทัพออกจากเมืองฌ้อไปถึงตำบลยงเอียงจะเข้าแดนเมืองเตง กองเฮาจึงว่าแก่เลงอินเซียงเหลาว่า ซึ่งจะยกทัพใหญ่เข้าไปในแดนเมืองเตงนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าหัวเมืองจิ้นและบ้านรายทางถ้ารู้ตัวก็จะกวาดเอาครัวเข้าเสียเมืองเตงสิ้น เราต้องทำหนักมือนัก ข้าพเจ้าคิดว่าจะขอทหารม้าลำลองสักห้าร้อย รีบรุดตีหัวเมืองและบ้านรายทางอย่าให้ทันผ่อนเสบียงอาหารเข้าเมืองเตงได้ เลงอินเซียงเหลาก็เห็นด้วย จึงเกณฑ์ทหารม้าลำลองให้กองเฮาห้าร้อย กองเฮาคุมทหารตีบ้านรายทางและหัวเมืองเล็กน้อย เอาเพลิงจุดเผาบ้านเรือนและเสบียงอาหารเป็นอันมาก ผู้รักษาเมืองและนายบ้านมิทันรู้ตัวก็แตกตื่นเข้าป่า กองเฮาก็ยกทัพล่วงเข้าไปจนใกล้เมืองเตง พอเลงอินเซียงเหลาตามมาทัน ก็ให้ตั้งค่ายมั่นลงใกล้กำแพงเมืองเตง ทางประมาณสองร้อยเส้นคอยทัพเจ้าเมืองฌ้ออยู่ประมาณสองวัน
ครั้นทัพเจ้าเมืองฌ้อมาถึง เลงอินเซียงเหลาก็พากองเฮาเข้าไปคำนับแล้วเล่าความที่ตีหัวเมืองรายทางมานั้นให้ฌ้อจองอ๋องฟังทุกประการ ฌ้อจองอ๋องก็มีความยินดี จึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเลงอินเซียงเหลากับกองเฮา ขณะเมื่อกินโต๊ะอยู่นั้น ฌ้อจองอ๋องจึงรินสุราส่งให้เลงอินเซียงเหลาแล้วว่า แต่ก่อนเราดูหมิ่นท่านว่าแก่ชราแล้วเห็นจะไม่ทำการได้รวดเร็ว บัดนี้ท่านทำการดีกว่าทหารหนุ่มอีก เลงอินเซียงเหลาจึงว่า ซึ่งทำการครั้งนี้กองเฮาอาสายกมาก่อน แล้วเล่าความที่กองเฮาขอทหารตีบ้านรายทางมานั้นให้ฌ้อจองอ๋องฟังทุกประการ ฌ้อจองอ๋องก็ยินดีนัก จึงเอาทองแท่งและเสื้ออย่างดีมาให้กองเฮา กองเฮาจึงว่าตัวข้าพเจ้าทำความผิดครั้งเมื่อหยอกนางห้ามคนโปรดบนเจียมไต ท่านกรุณามิได้ฆ่าเสียพระคุณมากนัก ข้าพเจ้าทำความชอบครั้งนี้พอคุ้มความผิด ที่จะยกความชอบปูนบำเหน็จนั้นไม่ควร แล้วราชการเมืองเตงนั้นก็ยังไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าจะอาสาทำศึกสนองคุณท่านอีก แล้วกองเฮาก็คำนับลามาค่าย จึงประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า เราแทนคุณเจ้าเมืองฌ้อได้แล้ว ทีนี้จะอาสาตีเมืองเตงเป็นความชอบ ครั้นเพลาคํ่ากองเฮาก็ลอบหนีออกจากค่าย ทหารในกองกองเฮาก็ไปแจ้งความแก่ฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องจึงว่ากองเฮาเป็นคนมีกตัญญูเห็นจะไม่หนีเราดอก แล้วฌ้อจองอ๋องก็ยกเข้าไปตั้งค่ายประชิดเมืองใกล้กำแพงประมาณห้าเส้น
เจ้าเมืองเตงก็ให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เป็นสามารถ แล้วให้ม้าใช้รีบไปขอกองทัพเมืองจิ้นมาช่วย ฝ่ายฌ้อจองอ๋องแต่มาตั้งประชิดเมืองอยู่เจ็ดวันก็มิได้เห็นทหารเมืองเตงออกมารบ ครั้นเพลาเช้าฌ้อจองอ๋องจึงขึ้นไปบนหอรบ หวังจะดูท่วงทีเจ้าเมืองเตงว่าจะคิดอ่านประการใด ขณะนั้นพอกำแพงเมืองเตงตรงหน้าค่ายเจ้าเมืองฌ้อทลายลงประมาณเก้าเส้นสิบเส้น ทหารเมืองฌ้อก็กรูกันเข้าไปจะเข้าเมืองเตง ชาวเมืองเตงเห็นดังนั้นก็ตกใจนัก ต่างคนเก็บเอาทรัพย์สิ่งของอุ้มจูงบุตรและปู่ย่าตายาย ที่แก่ชราวิ่งวนเวียนมิรู้ที่จะออกทางไหน เสียงร้องไห้อื้ออึงไปทั้งเมือง
ฌ้อจองอ๋องยืนอยู่บนหอรบเห็นดังนั้น จึงคิดว่าเรายกทัพมาครั้งนี้หมายจะปราบปรามแต่เจ้าเมืองเตง บัดนี้ราษฎรหาความผิดมิได้จะพลอยฉิบหายเสียด้วยสงสารราษฎรนักจึงให้ตีม้าล่อสัญญาขึ้น ทหารเมืองฌ้อก็กลับเข้าค่าย แล้วเจ้าเมืองฌ้อก็ลงจากหอรบ ให้ทหารถอยทัพออกมาตั้งค่ายไกลเมืองประมาณยี่สิบเส้น ก๋งจูเองจึงว่ากับเจ้าเมืองฌ้อว่า ท่านอุตส่าห์ทรมานตัวลงทุนเป็นค่าเสบียงอาหารมาครั้งนี้ ก็เพราะหมายจะเอาเมืองเตงไว้ในเงื้อมมือ เทพยดามาช่วยให้กำแพงเมืองทลายลงเพราะบุญท่านแล้ว มิรีบเข้าเหยียบเมืองเตงด้วยเหตุสิ่งใด ฌ้อจองอ๋องจึงว่าเมืองเตงเป็นหัวเมืองน้อย เมืองเราเป็นเมืองใหญ่ ทั้งทแกล้วทหารก็มาก ถ้าจะเข้าเมืองตามทางกำแพงพัง คนทั้งปวงก็หัวเราะเยาะว่าเราว่าหากว่ากำแพงพังจึงได้เมืองเตง ประการหนึ่งจะดูสติปัญญาเจ้าเมืองเตงว่าจะรู้จักประมาณกำลังตัวเห็นแพ้ชนะบ้างหรือไม่ ก๋งจูเองก็เห็นด้วย
ฝ่ายเจ้าเมืองเตง ครั้นเห็นทัพเมืองฌ้อถอยห่างออกไปจึงคิดว่าชะรอยทัพเมืองจิ้นจะยกมาเป็นมั่นคง จึงให้เร่งก่อกำแพงแล้วเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาไว้มิได้ยกออกมารบ หมายว่าทัพเมืองจิ้นมาถึงจึงจะออกตีกระหนาบ ฝ่ายฌ้อจองอ๋องขณะเมื่อถอยทัพออกมาหมายจะให้เจ้าเมืองเตงออกมาอ่อนน้อมโดยดี แต่ตั้งดูทีอยู่ถึงเดือนเศษก็หาสมคิดไม่ จึงให้หานายทัพนายกองมาพร้อมกันแล้วสั่งว่า เพลาพรุ่งนี้เราจะยกเข้าตีเมืองเตงจงได้ ให้นายทัพทั้งปวงเตรียมตัวไว้ ถ้าได้ยินเสียงประทัดสัญญาแล้วให้ระดมตีพร้อมกัน ถ้าเข้าในเมืองได้แล้ว อย่าได้ทำอันตรายแก่ราษฎร ถ้าผู้ใดข่มเหงราษฎรจะเอาโทษถึงสิ้นชีวิต นายทัพนายกองก็เตรียมการตามสั่ง
ครั้นเพลาเช้า ฌ้อจองอ๋องก็แต่งตัวใส่เกราะทองถือกระบี่อาญาสิทธิ์ขึ้นเกวียนประดับหยก มีทหารกั้นสัปทนยกออกจากค่าย แล้วให้จุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารทั้งปวงก็ระดมเข้าตีเมืองเตงทั้งสี่ด้าน แต่เหงาเปะทหารหน้าเกวียนเจ้าเมืองฌ้อนั้นคุมทหารทลายประตูเมืองเตงลงได้ ทหารเมืองเตงก็มิได้สู้รบ ต่างคนหนีเอาตัวรอด เจ้าเมืองฌ้อก็ให้ขับเกวียนฝ่าทหารเข้าไปในเมืองเตง เจ้าเมืองเตงก็จัดสิ่งของมาคำนับแล้วว่า เมืองเตงกับเมืองฌ้อเคยเป็นไมตรีกันมาแต่ก่อน ซึ่งข้าพเจ้ามิได้ไปคำนับท่านนั้นโทษผิดนัก ข้าพเจ้าขอแต่ชีวิตไว้สักครั้งหนึ่ง จะได้ทำราชการสนองคุณท่านต่อไป
ฌ้อจองอ๋องก็มิได้ตอบประการใด ก๋งจูเองจึงว่า เจ้าเมืองเตงรับผิดแล้ว ท่านจงงดโทษไว้สักครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองฌ้อจึงว่า ถ้าเจ้าเมืองเตงคิดกลับใจไปเราจะเอาโทษท่านด้วย แล้วเจ้าเมืองฌ้อก็พาทหารกลับมาค่ายแล้ว เจ้าเมืองเตงจัดเครื่องบรรณาการพร้อมแล้วก็พาน้องชายออกไปคำนับเจ้าเมืองฌ้อ ณ ค่าย เจ้าเมืองฌ้อก็ให้เจ้าเมืองเตงกระทำสัจสาบานตัวเป็นเมืองขึ้น แล้วเอาน้องชายมอบให้เจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองฌ้อก็ให้เลิกทัพกลับมา เจ้าเมืองเตงก็มาส่งจนสุดแดนเมืองเตงแล้วก็กลับไปรักษาเมือง
ฝ่ายเจ้าเมืองฌ้อครั้นมาถึงตำบลอูเอียน เป็นที่ทางร่วมจะไปเมืองจิ้น ฌ้อจองอ๋องเห็นม้าและคนอิดโรยนักจึงให้ตั้งทัพแรมอยู่ ฝ่ายผู้ถือหนังสือเมืองเตง ครั้นไปถึงเมืองจิ้นก็เอาหนังสือเข้าไปคำนับเจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นแจ้งว่าเจ้าเมืองฌ้อไปตีเมืองเตงจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เมืองเตงเป็นเมืองขึ้นของเรา ครั้นจะนิ่งให้เสียแก่ทัพเมืองฌ้อก็จะเสียเกียรติยศ จำจะยกไปช่วย ขุนนางทั้งปวงก็เห็นด้วย เจ้าเมืองจิ้นจึงสั่งให้ซุนลิมฮูเป็นแม่ทัพให้เซียนก๊กเป็นแม่ทัพหน้า เคียดซกเป็นปีกซ้าย เตียวซกเป็นปีกขวา ซีหวยลวนจิ๋วบุตรลวนตุนเป็นกองหลัง ทหารเลวหมื่นเศษให้ยกล่วงไปก่อน ตัวเจ้าเมืองจิ้นกับทหารเอกสิบคน ทหารเลวหมื่นสามพันยกหนุนทัพซุนลิมฮูต่อไป
ฝ่ายซุนลิมฮูครั้นยกทัพไปถึงแม่น้ำอึงโห พอม้าใช้ชาวด่านมาแจ้งความว่าทัพเมืองฌ้อไปตีเมืองเตงได้แล้ว ถอยมาตั้งอยู่ที่ตำบลอูเอียนปลายแดนเมืองจิ้น ซุนลิมฮูจึงปรึกษากับซีหวยว่า เราจะไปช่วยเมืองเตงก็ไม่ทัน บัดนี้เจ้าเมืองฌ้อก็มาตั้งทัพอยู่ปลายแดนเมืองเรา เราจะตีทัพเมืองฌ้อที่กลางทาง ท่านจะเห็นประการใด ซีหวยจึงว่าทหารเมืองฌ้อชนะศึกมาใหม่ๆ ยังกำลังกำเริบ ซึ่งจะยกออกตีทัพเมืองฌ้อนั้นเห็นจะไม่ได้ชัยชนะ ขอท่านให้เลิกทัพกลับไปเมืองจิ้นเถิด ซุนลิมฮูก็เห็นด้วยจึงสั่งให้เลิกทัพ เซียนก๊กแม่ทัพกองหน้าจึงว่า ท่านคิดย่อท้อทหารเมืองฌ้อฉะนี้ก็จะทิ้งเมืองเตงเสียแล้วหรือ ท่านทั้งสองจะกลับไปก็ไปเถิด แต่ข้าพเจ้าคนเดียวจะอาสาไปตีเมืองฌ้อเอาชัยชนะให้ได้ เซียนก๊กว่าแล้วก็เดินออกมานอกค่าย พอพบเตียวถองกับเตียวกวด เซียนก๊กก็เล่าความที่ซุนลิมฮูคิดย่อท้อจะถอยทัพนั้นให้ฟัง แล้วว่าแต่ตัวเราผู้เดียวจะอาสาไปตีทัพเมืองฌ้อมิได้คิดแก่ชีวิต เตียวถองเตียวกวดจึงว่าข้าพเจ้าจะไปด้วย แล้วเซียนก๊กเตียวถองเตียวกวดก็มาจัดแจงทหารของตัวรีบยกไป ณ แม่นํ้าอึงโห เสนสิวแจ้งว่าเซียนก๊กจะไปรบทัพเมืองฌ้อก็ตกใจ จึงเข้าไปแจ้งแก่ซุนลิมฮูแม่ทัพ ซุนลิมฮูยังมิทันว่าประการใด ฮันเคียดจึงว่า ซึ่งเซียนก๊กไปครั้งนี้ถ้าได้ชัยชนะก็จะยังชั่ว แม้นเสียทีมาท่านจะพลอยผิด ซุนลิมฮูก็เห็นด้วยจึงยกทหารตามไปอยู่ตำบลเหลากัวฮู
ฝ่ายเจ้าเมืองเตงแจ้งว่าเจ้าเมืองจิ้นยกออกมาตีทัพเมืองฌ้อ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า ครั้งนี้ถ้าเมืองฌ้อเสียแก่เมืองจิ้นเห็นเราจะพลอยผิดด้วย ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด วังสุดที่ปรึกษาจึงว่า การแต่เพียงนี้หาควรจะวิตกไม่ ข้าพเจ้าจะอาสาไปพูดกับเจ้าเมืองจิ้น มิให้แคลงท่านที่ไปขอยอมขึ้นแก่เมืองฌ้อ เจ้าเมืองเตงก็มีความยินดี วังสุดก็คำนับลาไปเมืองจิ้น ครั้นถึงค่ายจึงเข้าไปคำนับเจ้าเมืองจิ้นแล้วว่าทัพเมืองฌ้อยกไปตีเมืองเตงครั้งนี้ ทหารเมืองฌ้อมากกว่าคนเมืองเตงถึงเก้าส่วนสิบส่วน และเจ้าเมืองเตงนายข้าพเจ้าอุตส่าห์รักษาเมืองคอยท่ากองทัพท่านถึงเดือนเศษจนสิ้นเสบียงอาหารในเมืองเตง ทัพเมืองฌ้อจึงตีเอาเมืองเตงได้ เจ้าเมืองเตงจึงได้จำใจขึ้นแก่เมืองฌ้อเพราะจะรักษาชีวิตไว้ท่าท่าน และเจ้าเมืองเตงนายข้าพเจ้ากับราษฎรทั้งปวงทุกวันนี้อุปมาเหมือนอยู่กลางกองเพลิง ครั้นข้าพเจ้ารู้ว่าท่านยกทัพมากำจัดทัพเมืองฌ้อครั้งนี้เหมือนฝนตกห่าใหญ่ นายข้าพเจ้าและชาวเมืองเตงจะได้รอดชีวิตก็เพราะบุญท่าน ถ้าท่านได้รบกับทัพเมืองฌ้อ นายข้าพเจ้าจะเป็นทัพกระหนาบ เจ้าเมืองจิ้นก็มีความยินดี จึงว่าถ้าเราจะยกเข้าตีเมืองฌ้อเมื่อไร จึงจะบอกไปให้แจ้ง วังสุดก็คำนับลาไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเตงตามคำเจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองเตงก็ดีใจ จึงมีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองฌ้อฉบับหนึ่ง เป็นใจความว่าข้าพเจ้าแจ้งความว่าเจ้าเมืองจิ้นจะยกออกสกัดตีทัพท่าน ท่านอย่าได้ประมาทจงคิดอ่านเอาชัยชนะแก่เมืองจิ้นให้จงได้ ข้าพเจ้าจะได้พึ่งท่านสืบไป
ฌ้อจองอ๋องแจ้งหนังสือแล้ว จึงปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า ทัพเมืองจิ้นจะออกตีทัพเรา ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด เหงียมเหงาจึงว่า ทหารในกองทัพเราก็อิดโรยนัก ถึงตีเมืองเตงได้ก็อุปมาเหมือนกินเนื้อโซหารสมิได้ ข้าพเจ้าคิดว่าขอท่านรีบกลับไปเมืองฌ้อดีกว่า เหงาสินจึงว่า ถึงทหารจะอิดโรย แม้นแม่ทัพมีสติปัญญาคิดผ่อนผันในกลศึกดีแล้วก็คงจะเอาชัยชนะได้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะถอยทัพไปซุ่มอยู่ในป่า ถ้าทัพเมืองจิ้นยกมาถึงตำบลอูเอียนไม่เห็นกองทัพเรา ก็จะสำคัญว่าล่าถอยไปแล้วก็จะยกเลยไปลงโทษเจ้าเมืองเตง ด้วยเมืองเตงมาขึ้นแก่เรา เราจึงยกออกโจมตีตัดท้ายทัพเมืองจิ้นก็เห็นจะได้ชัยชนะ
ฌ้อจองอ๋องก็เห็นด้วย แต่จะใคร่ดูใจทหารทั้งปวงว่าผู้ใดจะเต็มใจรบบ้าง จึงทำเป็นว่า ท่านทั้งปวงว่าแก่งแย่งกันอยู่ฉะนี้ เรามิรู้ที่ลงใจเลย ผู้ใดจะสู้จะหนีก็อย่าได้ปรึกษากัน จงซ่อนเขียนหนังสือใส่ฝ่ามือมาให้เราดูทุกคน ขุนนางทั้งปวงก็เขียนหนังสือลงในฝ่ามือ แล้วแบให้เจ้าเมืองฌ้อดู งูขิวหนึ่ง ขือกี๋หนึ่ง แพะเบี๋ยหนึ่ง เลงอินเซียงเหลาหนึ่ง สี่คนนี้เขียนอักษรว่าหนี ก๋งจูเองหนึ่ง ก๋งจูแซ้หนึ่ง ก๋งจือก๊กฉินหนึ่ง บุตรเจ้าเมืองฌ้อหนึ่ง คุดต๋งหนึ่ง ผัวจงหนึ่ง เหงาเปะหนึ่ง ชัวชิวกี๋หนึ่ง ฮือเป๊กหนึ่ง ฮิมฮูกี๋หนึ่ง ฮือเฮียมหนึ่ง ทั้งสิบคนนี้เขียนอักษรว่าสู้ เจ้าเมืองฌ้อเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วว่าแก่งูขิว เลงอินเซียงเหลา ขือกี๋ แพะเบี๋ยว่า ท่านทั้งสี่คนนี้รักแต่จะหาความสุขหามีความละอายไม่ ขุนนางทั้งสี่คนได้ความละอายนัก ต่างคนก็คำนับนิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด เจ้าเมืองฌ้อจึงสั่งให้เอาม้าไปเลี้ยง ณ ตำบลจวนด้วยที่นั้นนํ้าหญ้าบริบูรณ์
ครั้นเพลาคํ่า เหงาสินนายทหารจึงเข้าไปว่าแก่เจ้าเมืองฌ้อว่า เจ้าเมืองจิ้นให้ซุนลิมฮูเป็นแม่ทัพ เซียนก๊กเป็นทัพหน้า คนทั้งสองนี้หารู้จักตำราพิชัยสงครามไม่ ทำการโดยโวหาร ถ้าได้รบกับเราเพลาเดียวก็จะแตก ท่านอย่าเกรงทหารเมืองจิ้นเลย เจ้าเมืองฌ้อจึงว่า เราจะได้คิดเกรงฝีมือทหารเมืองจิ้นนั้นหามิได้ แต่วิตกอยู่ว่าทหารในกองทัพเรายังอิดโรยนัก ทำประการใดจะคิดหน่วงทัพเมืองจิ้นให้ช้าวันลง พอทหารเราค่อยมีกำลังขึ้นแล้วเห็นจะได้ชัยชนะถ่ายเดียว
เหงาสินจึงว่า ถ้าดังนั้นจำจะให้ผู้มีสติปัญญาไปขอเป็นไมตรีกับเจ้าเมืองจิ้น ถึงเจ้าเมืองจิ้นจะมิรับเป็นไมตรี จะคิดประมาทว่าท่านเกรงฝีมือชาวเมืองจิ้น การที่จะรักษาค่ายก็จะไม่สู้สามารถ ถ้าเจ้าเมืองจิ้นรับเป็นไมตรี เราก็จะได้พักทหารให้มีกำลังขึ้น เห็นได้ทีเมื่อใดจึงค่อยเข้าตีทัพเมืองจิ้น เจ้าเมืองฌ้อก็เห็นด้วย จึงให้ชัวชิวกี๋ไปขอเป็นไมตรีกับเมืองจิ้น ชัวชิวกี๋ก็คำนับลาไปถึงค่ายซุนลิมฮู จึงบอกแก่นายประตูว่า เราเป็นขุนนางเมืองฌ้อชื่อชัวชิวกี๋ จะขอเข้าไปคำนับแม่ทัพ นายประตูก็ไปแจ้งแก่ซุนลิมฮูตามคำชัวชิวกี๋ ซุนลิมฮูก็ให้พาตัวชัวชิวกี๋เข้าไปในค่าย ชัวชิวกี๋คำนับแล้วจึงว่า เจ้าเมืองฌ้อนายข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านยกกองทัพมา เห็นว่าท่านก็เป็นเมืองใหญ่ เมืองฌ้อก็เป็นเมืองใหญ่ แล้วก็หามีอริร้าวฉานกันไม่ แม้นจะรบกันทหารจะล้มตายเสียเป็นอันมาก ไม่ควรที่จะให้ไพร่พลได้ความเดือดร้อน จึงให้ข้าพเจ้ามาขอเป็นไมตรีกับท่าน ราษฎรจะได้มีความสุข
ซุนลิมฮูยังมิทันว่าประการใด เซียนก๊กลุกขึ้นกระทืบเท้า ชี้หน้าชัวชิวกี๋แล้วว่า นายตัวบังอาจไปตีเอาเมืองเตงซึ่งขึ้นแก่เมืองจิ้นไปได้ แล้วกลับแต่งกลมาขอเป็นไมตรีเล่า ถ้ารับเป็นไมตรีกับนายตัวแล้วเมืองเตงจะมิขาดไปขึ้นกับเมืองฌ้อหรือ จงรีบกลับไปบอกกันให้เตรียมตัวเถิด เราจะไปกินเลือดเสียให้จงได้ แล้วเซียนก๊กเหลียวไปว่ากับซุนลิมฮูว่า ท่านจะยอมเป็นไมตรีกับเมืองฌ้อก็ตามเถิด แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวจะขอไปสู้รบกับเมืองฌ้อกว่าจะสิ้นชีวิต แล้วให้ทหารเลวขับชัวชิวกี๋ไปเสียจากค่าย ชัวชิวกี๋ได้รับความอัปยศนัก ครั้นออกมาจากค่ายพบเตียวถองเตียวกวดเข้าที่กลางทาง เตียวถองเตียวกวดถอดกระบี่ออกแล้วร้องว่า อ้ายชัวชิวกี๋นี้มาเจรจาความเมืองหรือ ถ้ามิคิดจะเสียอย่างธรรมเนียม จะตัดศีรษะไว้เซ่นกระบี่เสีย ชัวชิวกี๋ก็มิได้ตอบประการใด รีบเดินผ่านหน้าค่ายเตียวเจี๋ยนไป
ฝ่ายเตียวเจี๋ยนแลเห็นชัวชิวกี๋จึงทำเป็นขึ้นเกาทัณฑ์แล้วร้องว่าอ้ายทหารเมืองฌ้อคนนี้เลือดน้อยนัก จะหาพอเซ่นลูกเกาทัณฑ์ไม่ เร่งไปบอกนายให้เลิกทัพกลับไปเสียเถิด ถ้าขืนอยู่กูจะเอาศีรษะเซ่นอาวุธให้ทั้งกองทัพ ชัวชิวกี๋ก็ได้รับความอัปยศนัก ครั้นมาถึงค่ายก็เข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองฌ้อทุกประการ เจ้าเมืองฌ้อก็โกรธนัก จึงว่าผู้ใดจะไปรบกับทหารเมืองจิ้นได้ เหงาเปะจึงว่าข้าพเจ้าจะขอไปรบกับทหารเมืองจิ้นเอาชัยชนะให้จงได้ เจ้าเมืองฌ้อก็เกณฑ์ทหารให้เหงาเปะห้าร้อยแล้วให้ฮือเป๊กไปด้วย เหงาเปะก็ยกรีบไปถึงหน้าค่ายเมืองจิ้น พอเห็นทหารเมืองจิ้นประมาณสิบคนเดินผ่านหน้าเกวียนมา เหงาเปะจึงโก่งเกาทัณฑ์ยิงถูกพวกเมืองจิ้นคนหนึ่ง ฮือเป๊กเห็นพวกเมืองจิ้นช่วยกันหามเอาคนที่ถูกเกาทัณฑ์หนี ก็วิ่งไล่ตามเอาง้าวฟันตายสองคน แล้วซ้ำฆ่าคนป่วยตาย ตัดเอาศีรษะทั้งสามคนมาให้เหงาเปะ
พวกเมืองจิ้นเจ็ดคนรู้ว่าทหารเมืองฌ้อ ก็วิ่งหนีตามทางเข้าไปบอกแก่เปาคุยฮองเหล็งฮองไถ้ซึ่งเป็นนายกองตระเวนว่า ข้าพเจ้าสิบคนไปพบทหารเมืองฌ้อประมาณห้าร้อยเศษ ไล่ฆ่าฟันพวกข้าพเจ้าตายสามคน บัดนี้มาพักอยู่ที่ชายป่าริมทางใหญ่ ทางประมาณสิบเส้นจะมาถึงค่าย เปาคุย ฮองไถ้ ฮองเหลิง ได้ฟังดังนั้นต่างใส่เกราะขึ้นม้าถืออาวุธ พาทหารกองละร้อยสองเศษแยกกันเป็นสามทาง ให้ทหารเจ็ดคนนำไปถึงที่ทหารเมืองฌ้ออยู่ นายทหารทั้งสามก็ขับทหารเข้าล้อมไว้ ฝ่ายเหงาเปะกับฮือเป๊กเห็นพวกเมืองจิ้นล้อมเข้ามา ก็ขับเกวียนพาทหารรบประจัญไว้ทั้งสามด้าน ทหารเมืองจิ้นต่างคนก็วิ่งแซงแข่งหน้ากันเข้ารบพุ่งศัสตราวุธยิงเกาทัณฑ์ระดมเข้าไป ถูกพวกเมืองฌ้อล้มตายเป็นหลายคน เหงาเปะก็ให้ฮือเป๊กขับเกวียนขับทหารเข้ารบประจัญไว้ เหงาเปะยิงเกาทัณฑ์ไปดอกหนึ่งลูกเกาทัณฑ์ถูกม้าและทหารเมืองจิ้นตาย ทหารเมืองจิ้นเข็ดขยาดฝีมือเกาทัณฑ์เหงาเปะนัก ต่างคนเข้าแอบต้นไม้หลบลูกเกาทัณฑ์ เหงาเปะเห็นทหารพรรคพวกตายประมาณสามส่วน ยังเหลืออยู่อีกสองร้อยเศษ เห็นจะต้านทานมิได้ก็กลับเกวียนรบไป
ฮองไก้กับฮองเหล็งพี่น้อง ก็ขับทหารออกสกัดทางไว้ ฮองไก้ขับม้ารำทวนออกจะรบด้วยเหงาเปะ เหงาเปะก็ยิงเกาทัณฑ์ไปถูกฮองไก้ตกลงจากหลังม้า ฮองเหล็งเข้ารบกันเหงาเปะไว้ให้ทหารเลวพยุงฮองไก้กลับเข้าค่าย เหงาเปะรบกับทหารเมืองจิ้นจนเหลือลูกเกาทัณฑ์อยู่ดอกเดียว ครั้นเห็นพวกเมืองจิ้นล้อมเข้ามา ก็น้าวเกาทัณฑ์ให้ทหารกลัวหลบหลีกเข้าบังต้นไม้แล้วขับเกวียนไป เปาคุยเห็นเหงาเปะจะหนีไปพ้น ก็พาทหารแซงขึ้นม้าสกัดทางอยู่ เหงาเปะเห็นจะหนีไม่พ้น กลัวเปาคุยจะจับฆ่าเสีย พอแลไปข้างทางเห็นกวางตัวหนึ่งตื่นทหารวิ่งผ่านหน้าเกวียนมา เหงาเปะน้าวเกาทัณฑ์ยิงถูกกวางล้มลงตาย จึงให้ฮือเป๊กกับทหารหามกวางไปให้เปาคุยแล้วร้องบอกแก่เปาคุยว่าข้าพเจ้ายอมแพ้ท่านแล้ว จงกรุณาเปิดทางปล่อยข้าพเจ้าเสียเถิด เปาคุยได้ฟังดังนั้นมิรู้ว่าเหงาเปะสิ้นลูกเกาทัณฑ์ จึงคิดว่าทหารเมืองฌ้อคนนี้ฝีมือเกาทัณฑ์แม่นยำนัก บัดนี้ออกปากยอมแพ้แก่เราจำจะเปิดทางปล่อยเสีย พอให้ทหารเมืองฌ้อรู้จักฝีมือจะได้เป็นเกียรติยศแก่เจ้าเมืองจิ้น เปาคุยจึงตอบเหงาเปะว่า ท่านยอมรับแพ้แก่เราแล้วเราก็จะเปิดทางให้ท่าน จงไปบอกเจ้าเมืองฌ้อเร่งเลิกทัพไปเสีย เปาคุยก็เปิดทางให้เหงาเปะ แล้วให้ทหารหามกวางเข้าค่ายไปคำนับแจ้งความกับซุนลิมฮูทุกประการ
ไลขีได้ยินดังนั้นจึงคิดว่า ทหารเมืองฌ้อแพ้แก่เปาคุยครั้งนี้เห็นเจ้าเมืองฌ้อจะเข็ดขยาดฝีมือทหารเมืองจิ้น ไลขีจึงว่าแก่ซุนลิมฮูว่าเจ้าเมืองฌ้อใช้ชัวชิวกี๋มาครั้งก่อนว่าจะเป็นไมตรีมิได้สู้กับท่าน บัดนี้เจ้าเมืองฌ้อกลับให้ทหารมารบกับเปาคุยอีกเล่า ข้าพเจ้าคิดสงสัยอยู่เห็นจะเป็นกลอุบาย ข้าพเจ้าจะขออาสายกทหารไปซุ่มอยู่ใกล้ค่ายเมืองฌ้อ แต่ตัวข้าพเจ้าผู้เดียวจะเข้าไปพูดจาปราศรัยดูท่วงทีเจ้าเมืองฌ้อ ถ้าเห็นว่าเจ้าเมืองฌ้อล่อลวงว่าจะเป็นทางไมตรี แต่พอจะให้ท่านไว้ใจเป็นแท้แล้ว คํ่าลงข้าพเจ้าจะเข้าปล้นค่ายจับเจ้าเมืองฌ้อฆ่าเสียให้จงได้ ซุนลิมฮูก็เห็นชอบด้วย จึงให้เตียวเจี๋ยนไปกับไลขีจะได้เป็นที่ปรึกษากัน ไลขีกับเตียวเจี๋ยนก็คำนับลาออกมาจัดทหารซึ่งเป็นพรรคพวกได้สามพัน ยกออกจากค่ายอ้อมไปถึงที่ตำบลหนึ่ง ตั้งซุ่มทหารไว้ใกล้ค่ายเมืองฌ้อประมาณสองร้อยเส้น พอเพลาบ่ายประมาณโมงเศษ ไลขีจึงว่ากับเตียวเจี๋ยนว่า เรารับอาสาแม่ทัพมาครั้งนี้หมายจะเอาชัยชนะแก่เมืองฌ้อถ่ายเดียว เราจะเข้าไปลวงเจ้าเมืองฌ้อว่า เจ้าเมืองจิ้นจะขอเป็นทางไมตรี พอให้เจ้าเมืองฌ้อไว้ใจมิได้ระวังรักษาค่าย เราจะกลับมาเวลาคํ่าลงเข้าปล้นค่ายจับเจ้าเมืองฌ้อฆ่าเสีย
เตียวเจี๋ยนได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงคิดว่าท่านคิดการครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นสมคิดเป็นมั่นคง ไลขีขับม้าพาคนสนิทสิบคนไปถึงค่ายเจ้าเมืองฌ้อ ลงจากม้าบอกนายประตูค่ายให้พาเข้าไปคำนับเจ้าเมืองฌ้อ แล้วว่าเจ้าเมืองจิ้นใช้มาแจ้งความกับท่าน ด้วยชัวชิวกี๋ไปบอกเจ้าเมืองจิ้นว่าท่านจะเป็นไมตรีมิได้รบพุ่งกันแล้ว เหตุใดจึงให้เหงาเปะไปรบกับเปาคุยอีกเล่า ขณะเมื่อเปาคุยล้อมเหงาเปะไว้จะจับฆ่าเสียก็คิดว่าท่านกับนายข้าพเจ้าจะหมองใจกัน จึงปล่อยเหงาเปะเสียให้ข้าพเจ้ามาคำนับแจ้งความแก่ท่าน ถ้าท่านเจ้าเมืองจะเป็นไมตรีต่อกัน ก็ให้ปล่อยน้องเจ้าเมืองเตงเสีย แล้วเชิญท่านเลิกทัพกลับไป ถ้าท่านกับเจ้าเมืองจิ้นจะทำการศึกกันก็กำหนดวันให้ข้าพเจ้ารู้ จะได้ไปบอกเจ้าเมืองจิ้นให้ตระเตรียมทหาร
ฌ้อจองอ๋องจึงว่าซึ่งเจ้าเมืองจิ้นจะให้เราปล่อยน้องเจ้าเมืองเตงไปนั้นไม่ชอบ ด้วยเมืองเตงยอมเข้ากับเราแล้ว ถึงเจ้าเมืองจิ้นจะขัดเคืองก็คงจะได้ทำการศึกกันว่าจะถึงแพ้แลชนะ ไลขีเห็นเจ้าเมืองฌ้อขัดแข็งอยู่ก็คำนับลาออกมานอกค่าย ขึ้นม้าพาคนสนิทไปหาเตียวเจี๋ยน ฝ่ายผวนเต๋งเห็นบุตรพุยพัวหุยอยู่นอกค่าย จึงขึ้นม้าถืออาวุธพาทหารติดตามไปทันไลขีที่ตำบลได้เจ๊ก ผวนเต๋งจึงว่า ขณะเมื่อชัวชิวกี๋ไปเจรจาความเมืองกับซุนลิมฮู พวกตัวดูหมิ่นว่ากล่าวหยาบช้าแก่ชัวชิวกี๋ เราตามมาจะตัดศีรษะท่านแก้แค้นแทนชัวชิวกี๋ ไลขีเห็นทหารเมืองฌ้อตามมาเป็นอันมากจะต้านทานมิได้ ก็ขับม้าแวะออกจากทางใหญ่จะหนีไปหาเตียวเจี๋ยน ก็หลงทางเข้าป่าชัฏ พอทหารเมืองฌ้อตามมาทัน จะหนีมิพ้นกลัวความตายจึงกลับหน้าม้ามาคำนับผวนเต๋งแล้วว่า ครั้งก่อนเหงาเปะไปรบกับเปาคุย เปาคุยล้อมไว้เหงาเปะยอมแพ้ เปาคุยยังมีความเมตตาปล่อยไป ครั้งนี้เจ้าเมืองจิ้นให้ข้าพเจ้ามาเจรจาความเมือง ท่านโกรธว่าพวกข้าพเจ้าหยาบช้าต่อชัวชิวกี๋นั้น ข้าพเจ้าขออภัยแก่ท่าน จงอย่าทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าซึ่งเป็นทูตนี้เลย ถึงท่านไม่กรุณาจะฆ่าข้าพเจ้าเสียก็หาเป็นเกียรติยศแก่ท่านไม่ จะมีความนินทาติดตัวท่านไปอีก
ผวนเต๋งได้ยินก็คลายโกรธ จึงคิดว่าไลขีเป็นทูตมาเจรจาความเมือง ประการหนึ่งไลขีอ่อนข้อขอชีวิต ครั้นจะฆ่าเสียชาวเมืองจิ้นก็จะว่าเราไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ผวนเต๋งจึงว่าครั้งก่อนเปาคุยไม่ฆ่าเหงาเปะ ครั้งนี้เราจะไว้ชีวิตท่าน ท่านจงกลับไปบอกเจ้าเมืองจิ้นว่าจัดทหารมารบกับทหารเมืองฌ้อให้ถึงแพ้และชนะ ว่าแล้วก็พาทหารกลับมาค่าย ไลขีชักม้าออกหาทางใหญ่รีบไปถึงค่าย ลงจากม้าเข้าไปคำนับแจ้งความแก่ซุนลิมฮูแม่ทัพว่า ข้าพเจ้าเข้าไปว่ากล่าวเจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองฌ้อไม่ยอมเป็นไมตรีจะยกมารบกับท่าน ครั้นข้าพเจ้าออกมาจากค่ายเมืองฌ้อทหารเมืองฌ้อติดตามจะจับตัว ข้าพเจ้ารีบหนีมา แต่เตียวเจี๋ยนนั้นยังซุ่มอยู่ เพลาคํ่าลงวันนี้เตียวเจี๋ยนจะเข้าปล้นค่ายเมืองฌ้อ แม้นสมความคิดก็จะได้ชัยชนะ ถ้าเตียวเจี๋ยนเสียทีเห็นทหารเมืองฌ้อจะติดตามมาจนถึงค่ายท่านในเพลาพรุ่งนี้เป็นมั่นคง
ซุนลิมฮูได้ฟังดังนั้นก็สั่งซุนหยงคุมทหารเกวียนยี่สิบเล่ม ม้าแปดร้อยม้า ทหารเลวพ้นห้าร้อย ไปช่วยเตียวเจี๋ยนปล้นค่ายเมืองฌ้อ ซุนหยงก็คำนับลาออกมาจัดทหารพร้อมแล้ว แต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถือทวน ยกออกจากค่ายไปตามซุนลิมฮูสั่ง ฝ่ายเตียวเจี๋ยนแต่คอยไลขีอยู่จนเพลาคํ่าไม่เห็นมา จึงให้ทหารไปสืบดูให้ถึงค่ายเมืองฌ้อ ทหารกลับมาบอกว่าในค่ายเมืองฌ้อเงียบสงัด แต่ทหารซึ่งนั่งยามกองเพลิงหลับบ้างตื่นบ้าง เตียวเจี๋ยนก็ให้กำชับปากเสียมิให้ทหารอื้ออึง ยกลอบมาถึงหน้าค่าย จึงให้ทหารเข้าฟันแทงทหารซึ่งนอนอยู่นอกค่ายล้มตายเป็นหลายคน เตียวเจี๋ยนก็ให้เปิดประตูค่ายเข้าไปฆ่าทหารเมืองฌ้อเป็นอลหม่าน
ฝ่ายเจ้าเมืองฌ้อกับนายทัพนายกองทั้งปวงได้ยินเสียงอื้ออึงก็ตกใจสำคัญว่าโจรปล้นค่าย จึงให้ทหารจุดคบเพลิงขึ้น ไล่จับทหารแปลกหน้าออกมาถึงประตูค่าย พอได้ยินทหารเลวร้องบอกว่ามิใช่โจร เตียวเจี๋ยนทหารเมืองจิ้นมาปล้นค่ายเรา นายทัพนายกองแจ้งดังนั้นก็ขับทหารไล่ล้อมจะจับเตียวเจี๋ยน เตียวเจี๋ยนก็ขับเกวียนพาทหารรอรบไปตามทาง พอเห็นเจ้าเมืองฌ้อยกหนุนตามมา ทหารเมืองฌ้อแข่งขึ้นไปสกัดตัดทาง ทั้งทหารก็ถูกอาวุธและเกาทัณฑ์ล้มตายแตกหนีทิ้งเตียวเจี๋ยนเสียสิ้น เตียวเจี๋ยนตกใจนักโดดลงจากเกวียนวิ่งไป
คุดต๋งทหารเมืองฌ้อเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกขาขวา เตียวเจี๋ยนวิ่งถลาเข้าในสุมทุมป่าริมทาง จึงแข็งใจชักลูกเกาทัณฑ์ออกเจ็บปวดเป็นสาหัส กลัวพวกเมืองฌ้อจะจำสำคัญได้ ก็ถอดเสื้อหมวกสำหรับที่ขุนนางออกทิ้งเสีย พอได้ยินเสียงทหารอื้ออึงมาเป็นอันมาก แสงคบเพลิงสว่างไปทั้งป่ากลัวจะค้นจับตัว เตียวเจี๋ยนก็หนีออกจากสุมทุมเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในป่าชัฏพ้นทางหลวง
ฝ่ายซุนหยงซึ่งซุนลิมฮูให้คุมทหารมาช่วยเตียวเจี๋ยนปล้นค่ายเมืองฌ้อนั้น ซุนหยงเที่ยวหาเตียวเจี๋ยนในเพลากลางคืนมิได้พบ พอได้ยินเสียงกองทัพเมืองฌ้ออื้ออึงออกจากค่าย ซุนหยงก็ขับเกวียนพาทหารตีตัดหน้าทัพ นายทัพนายกองทหารเมืองฌ้อซึ่งเดินหน้าทัพเจ้าเมืองฌ้อก็กลับเกวียนขับทหารเข้ารบทหารเมืองจิ้นเป็นตะลุมบอน พวกเมืองฌ้อตีกระหนาบพวกเมืองจิ้นเข้ามา ฆ่าทหารเมืองจิ้นล้มตายแตกหนีกระจัดกระจายไป ฮิมฮูกี๋นายทหารเมืองฌ้อยิงเกาทัณฑ์ถูกม้าที่เทียมเกวียนซุนหยงล้มลง แล้วร้องบอกทหารเลวให้จับเอาตัวนายซึ่งขี่เกวียนนั้นให้จงได้ ซุนหยงเห็นทหารกลุ้มรุมเข้ามาก็โดดลงจากเกวียน ทหารเลวกรูกันเข้าจับมัดซุนหยงมาให้ฮิมฮูกี๋ ฮิมฮูกี๋ก็จูงเข้าไปให้เจ้าเมืองฌ้อ พอเพลารุ่งสว่างขึ้น เจ้าเมืองฌ้อก็ให้ทหารเอาตัวซุนหยงไปคุมไว้
ซุนซกเหงาจึงว่ากับเจ้าเมืองฌ้อว่า ครั้งนี้ศึกได้ทีฮิมฮูกี๋ก็จับทหารเมืองจิ้นได้ เป็นฤกษ์ชนะต้องตำราพิชัยสงครามชื่อว่าชัยฤกษ์อยู่แล้ว ขอจงรีบยกเข้าตีค่ายเมืองจิ้นโดยเร็ว ทัพเมืองจิ้นมิทันจะจัดแจงก็คงจะทิ้งค่ายแตกหนีไปโดยง่าย แม้นจะหน่วงทัพไว้ทัพเมืองจิ้นรู้ก็จะตระเตรียมทหารพรักพร้อมถึงจะยกเข้าตีก็เห็นจะหักเอาค่ายมิได้จะเสียทีที่ได้ยกมา
ฌ้อจองอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงให้ก๋งจูเองชัวชิวกี๋เป็นปีกขวาคุมทหารห้าพัน ก๋งจูเจ๊กกงจินเจ๋เป็นปีกซ้ายคุมทหารห้าพันไปตีค่ายเมืองจิ้น ตัวฌ้อจองอ๋องคุมทหารสองหมื่นเป็นทัพหลวงยกไป
ฝ่ายซุนลิมฮูเป็นแม่ทัพเมืองจิ้น ตั้งแต่ให้ซุนหยงคุมทหารไปช่วยเตียวเจี๋ยน ยังหาแจ้งความไม่ก็ประมาทอยู่ พอมีทหารวิ่งเข้ามาบอกว่าฌ้อจองอ๋องยกกองทัพมา ดูทหารประมาณสักสองหมื่นเศษ ซุนลิมฮูตกใจนักก็ขึ้นไปบนหอรบ เห็นทหารฌ้อจองอ๋องหนุนเนื่องกันเข้ามามากมายนักประดุจคลื่นในมหาสมุทร จึงส่งให้ทหารรักษาค่ายให้มั่นคงไว้ ขณะเมื่อฌ้อจองอ๋องยกกองทัพมาถึงนั้น ก็ให้ทหารเข้าตีค่ายซุนลิมฮู นายทหารทั้งปวงก็เข้าตีค่ายซุนลิมฮูเป็นสามารถ ระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในค่ายประดุจดังห่าฝน ทหารซุนลิมฮูล้มตายเป็นอันมาก ซุนลิมฮูเห็นเหลือกำลังจะต้านทานมิได้ ก็ทิ้งค่ายและเครื่องศัสตราวุธเสีย ขึ้นเกวียนพาทหารกับคนสนิทเปิดประตูหลังค่ายหนีออกไปทางแม่น้ำอึงโห
ฝ่ายทหารห้องเป๊กทหารเมืองจิ้น เมื่อขณะเสียค่ายกับเมืองฌ้อนั้นขึ้นเกวียนพาบุตรสองคนชื่อห้องเหลงห้องก้ายกับคนสนิทหนีไป ขณะนั้นเตียวเจี๋ยนซึ่งไปปล้นค่ายเมืองฌ้อเสียทีหนีมาซุ่มแอบรออยู่พอพ้นภัย ครั้นแลเห็นห้องเป๊กขับเกวียนมาดีใจนัก จึงกวักมือเรียกว่าท่านจงมารับข้าพเจ้าด้วย ห้องเป๊กได้ยินแกล้งเฉยเสีย ห้องเหลงห้องก้ายผู้บุตรจึงว่าซึ่งเตียวเจี๋ยนร้องเรียกให้บิดารับเหตุใดบิดาจึงนิ่งเสียเล่า ห้องเป๊กจึงว่าเกวียนของเราเล็กนัก ขี่ม้าก็ถึงสามคนแล้ว จะรับเตียวเจี๋ยนมานั่งที่ไหนเล่า ห้องเหลงห้องก้ายจึงว่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าทั้งสองจะลงเดินไป บิดาจงรับเตียวเจี๋ยนมาเถิด ว่าแล้วห้องเหลงห้องก้ายก็ลงเดินตามเกวียนไป ห้องเป๊กก็ให้คนไปพยุงเอาเตียวเจี๋ยนมาขึ้นเกวียนขับรีบไป ขณะนั้นพอทหารเมืองฌ้อติดตามมาทันก็ไล่ฆ่าฟันทหารห้องเป๊กกับบุตรทั้งสองตายในที่นั้น ห้องเป๊กก็ขับเกวียนพาเตียวเจี๋ยนกับคนสนิทประมาณเก้าคนสิบคนรีบหนีไปทางแม่นํ้าอึงโห
ฝ่ายซุนลิมฮูมาเถือบใกล้แม่น้ำอึงโหก็ให้พักทหารอยู่ พอแลเห็นเซียนก๊กตามมาข้างหลังก็ดีใจ ครั้นมาถึงเห็นแผลถูกเกาทัณฑ์ที่หน้าผากโลหิตยังไหลอยู่ จึงว่าอันเป็นทหารแล้วก็ย่อมมีแผลอาวุธทุกคน ว่าแล้วก็พาเซียนก๊กกับทหารที่เหลือมารีบไปถึงฝั่ง ยังมีทหารคนหนึ่งชื่อเตียวกวดเข้ามากล่าวโทษเตียวเองเจ๋ผู้พี่ว่า มีเรือหาให้ข้าพเจ้าข้ามไปด้วยไม่ ข้ามไปแต่ตัวผู้เดียว ซุนลิมฮูจึงว่า อันธรรมดาแตกทัพก็ย่อมรักชีวิตหนีเอาตัวรอดด้วยกันทุกคน เตียวกวดได้ฟังดังนั้นก็เสียใจ นึกผูกพยาบาทเตียวเองเจ๋อยู่ ซุนลิมฮูจึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เราเสียทีมาครั้งนี้ ทแกล้วทหารล้มตายเป็นอันมาก ครั้นจะคิดทำการแก้มือเห็นจะสู้ทัพเมืองฌ้อไม่ได้ด้วยพวกเราน้อยตัวนัก แล้วก็อิดโรยกำลังอยู่ ว่าแล้วก็สั่งให้ตั้งค่ายคอยท่าทหารอยู่ที่ริมฝั่งนํ้าอึงโห จึงสั่งเซียนก๊กให้จัดแจงหาเรือสำหรับที่จะได้ข้ามส่งทหาร เซียนก๊กก็ไปจัดแจงตามซุนลิมฮูสั่ง
ฝ่ายเตียวสวดกับลวนจือ เมื่อขณะก๋งจูเจ๊กกับก๋งจูเองยกมาตีค่าย ลวนจือกับเตียวสวดได้สู้รบถึงตะลุมบอนทหารล้มตายเป็นอันมาก เห็นจะต้านทานมิได้ก็ขับเกวียนรีบหนีไปทางแม่น้ำอึงโห เข้าไปคำนับซุนลิมฮูในค่าย ซุนลิมฮูเห็นลวนจือเตียวสวดมาได้ก็ค่อยคลายวิตก จึงปรึกษาทหารทั้งปวงว่า เราตั้งทัพอยู่ที่นี่เห็นไม่ชอบกลด้วยแม่นํ้าอึงโหขวางหน้าอยู่ ถ้ากองทัพเมืองฌ้อติดตามมา ซึ่งเราจะหนีไปโดยเร็วนั้นเห็นจะลำบากอยู่ด้วยเรือนั้นน้อยนัก เราคิดว่าจะให้ผ่อนทแกล้วทหารข้ามไปเสียบ้าง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางจึงตอบว่า ซึ่งท่านคิดดังนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบอยู่แล้ว ซุนลิมฮูก็สั่งเซียนก๊กให้เอาเรือที่จัดแจงไว้มาพร้อมแล้วจึงเดินออกไปนอกค่ายร้องประกาศว่า ถ้าผู้ใดข้ามไปถึงฝั่งก่อน เราจะให้บำเหน็จรางวัลแก่ผู้นั้น ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นต่างคนแย่งชิงกันลงเรือล่มสามสิบลำ ทหารที่ว่ายนํ้าไม่เป็นตายเป็นอันมาก เซียนก๊กเห็นดังนั้นจึงร้องสั่งทหารที่ประจำเรือว่าถ้าคนลงเต็มลำเรือแล้ว ผู้ใดยึดเอาเรือไว้ให้เอาดาบฟันมือเสีย ทหารในลำเรือก็ถือกระบี่ออกยืนรายแคมระวังอยู่ทุกลำแล้วเรียกให้ทหารมาลงเรือ เรือเต็มแล้วก็ให้ถอย ถ้ามีผู้ยึดเรือไว้ก็เอากระบี่ฟันมือขาดประมาณเก้าคน สิบคน คนก็กลัวไม่อาจยึดเรือไว้ ก็ข้ามผ่อนคนไปได้เป็นอันมาก
ฝ่ายซุนสิวกับเตียวต๋อง ห้องเป๊ก เตียวเจี๋ยน งุยขี เปาคุย เมื่อขณะทัพแตกนั้นต่างคนต่างหนีแยกกันไป ครั้นมาถึงฝั่งนํ้าพร้อมกันแล้วพากันเข้าไปคำนับซุนลิมฮูแล้วซุนสิวจึงถามว่า ซุนหยงบุตรข้าพเจ้าไปข้างไหน ซุนลิมฮูจึงว่า เราให้ยกไปช่วยเตียวเจี๋ยนยังหาเห็นกลับมาไม่ ขณะนั้นพอทหารเลวซึ่งไปกับซุนหยงหนีกลับมาบอกกับซุนสิวว่า ซุนหยงบุตรท่านนั้นทหารเมืองฌ้อจับเอาตัวไปได้ แต่จะเป็นจะตายประการใดหาแจ้งไม่ ซุนสิวได้ฟังดังนั้นเสียใจนักจึงว่ากับซุนลิมฮูว่า ข้าพเจ้าเสียบุตรไปแก่ข้าศึกครั้งนี้ ไม่มีจิตใจที่จะกลับไปบ้านเมืองแล้ว จะขอไปติดตามให้เห็นหน้าบุตรก่อน ซุนลิมฮูจึงห้ามว่า อันบุตรท่านซึ่งทหารเมืองฌ้อจับไปได้ก็จะเอาไปคุมไว้ลึกลับ ถึงจะตามไปก็ป่วยการเสียเปล่าหาได้ตัวไม่ ซุนสิวจึงว่า ข้าพเจ้าจะไปฆ่าทหารเมืองฌ้อเสียสักคนหนึ่งสองคนจึงจะมีความสุข
งุยขีจึงว่ากับซุนสิวว่า ซึ่งท่านจะไปตามบุตรนั้นข้าพเจ้าจะไปเป็นเพื่อนด้วย ซุนสิวก็มีความยินดี พางุยขีออกมาจัดแจงสมัครพรรคพวกได้ประมาณสามร้อยเศษ แล้วยกย้อนมาทางที่ค่ายเดิมเห็นก๋งจูก๊กฉินกับเลงอินเซียงเหลาคุมทหารเก็บเครื่องศัสตราวุธ เสื้อเกราะ ม้าและเกวียนที่ชาวเมืองจิ้นทิ้งไว้ ซุนสิวกับงุยขีก็มีความยินดี ขับทหารเข้าไล่ฆ่าฟันทหารเมืองฌ้อเป็นอลหม่าน เลงอินเซียงเหลาไม่ทันรู้ตัวด้วยมัวเก็บของครั้นเห็นผู้คนวุ่นวายก็ยืนตะลึงอยู่ ซุนสิวก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกเลงอินเซียงเหลาตาย ก๋งจูก๊กฉินก็ขับทหารเข้าล้อมและเอาทวนแทงซุนสิว งุยขีเห็นดังนั้นก็เอาทวนปัดทวนก๋งจูก๊กฉินเสีย แล้วงุยขีกับก๋งจูก๊กฉินก็เข้ารบกันเป็นหลายเพลง ซุนสิวยืนอยู่บนเกวียนเห็นได้ทีก็เอาเกาทัณฑ์ยิงก๋งจูก๊กฉินถูกแขนซ้ายตกเกวียนลง ทหารงุยขีก็เข้ากลุ้มรุมจับตัวก๋งจูก๊กฉิน มัดใส่เกวียนมากับศพเลงอินเซียงเหลา ทหารเมืองจิ้นได้ทีก็ไล่ฆ่าฟันทหารเมืองฌ้อล้มตายเป็นอันมาก ซุนสิวจึงว่ากับงุยขีว่า ซึ่งเราจับก๋งจูก๊กฉินกับฆ่าเลงอินเซียงเหลาตายนั้น ก็พอทดแทนลบล้างกันกับที่เขาจับซุนหยงบุตรเราไปได้ ครั้นจะยกไปตีค่ายเมืองฌ้อต่อไป ทหารเราก็น้อยกว่าเขา จำเราจะเลิกทัพกลับไปค่ายก่อนจึงจะไม่เสียที งุยขีก็เห็นชอบด้วย แล้วก็พากันเลิกทัพกลับไปค่ายแม่นํ้าอึงโห
ฝ่ายทหารเลงอินเซียงเหลาที่เหลือตาย ก็รีบหนีไปแจ้งความกับฌ้อจองอ๋องทุกประการ ฌ้อจองอ๋องครั้นแจ้งความว่าซุนสิวยกมารบฆ่าเลงอินเซียงเหลาและจับก๋งจูก๊กฉินไปได้ยิ่งมีความโกรธนัก จึงจัดแจงทหารที่มีฝีมือให้ยกไปตามซุนสิวหาทันไม่ ฝ่ายซีหวยซึ่งเป็นปีกซ้ายตั้งค่ายอยู่นั้น ครั้นรู้ว่าฌ้อจองอ๋องมาตีค่ายซุนลิมฮู ก็ตระเตรียมทหารไปซุ่มไว้ที่เขาเงาสันเป็นทางช่องแคบสามกอง และจัดแจงกำชับกำชาทหารให้รักษาค่ายไว้ให้มั่นคง ขณะนั้นก๋งจูเองทหารเมืองฌ้อครั้นยกมาถึงค่ายซีหวย ก็สั่งทหารเข้าระดมตีค่าย ซีหวยเห็นดังนั้นก็จัดทหารออกมารับหน้าค่าย ซีหวยเข้ารบกับก๋งจูเองได้สิบเพลง ซีหวยทำเสียทีชักม้าหนีล่อมาทางเขาเงาสันช่องแคบ ก๋งจูเองมิได้รู้ว่าอุบายก็ขับม้าไล่ซีหวยเข้าไปถึงช่องเขาเงาสัน พอได้ยินเสียงประทัดสัญญา มีนายทหารคนหนึ่งคุมทหารออกมายืนขวางหน้าอยู่ หยงซกจึงร้องว่าเรามาคอยท่าท่านนานแล้วเพิ่งพบวันนี้ ท่านจงมาคำนับเราแต่โดยดีเถิด ก๋งจูเองได้ยินดังนั้นก็โกรธนัก จึงชักม้าเข้ารบกับหยงซกได้ยี่สิบเพลง หยงซกต้านทานมิได้ก็ชักม้าพาซีหวยหนีพลางรบพลาง ก๋งจูเองก็ไล่ติดตามไปจนใกล้ถึงทัพฮันฉวน
ฝ่ายฮันฉวนเห็นกองทัพไล่ซีหวยมาถึงที่ซุ่มอยู่ ก็จุดประทัดสัญญาพาชัวชิวกี๋ขับเกวียนออกมารบกับก๋งจูเองได้สิบเพลง ยังหาถึงแพ้ชนะกันไม่ ก๋งจูเองได้ยินประทัดสัญญาขึ้นจะกลับทัพก็มิทัน พอมีทหารยกอ้อมสกัดหลังมาล้อมก๋งจูเองไว้ ก๋งจูเองเห็นกองทัพซกเค็กล้อมสกัดหลังเข้ามาดังนั้นก็ตกใจ จึงคิดว่าเราเสียกลอุบายซีหวยทหารเมืองจิ้นแล้ว ก็ขับทหารระดมกันฟันฝ่าพาทหารออกจากที่ล้อมได้พร้อมกัน ฝ่ายซีหวยเมื่อก๋งจูเองถอยทัพไปแล้ว ให้ตรวจตราทหารทั้งปวงพร้อมกันแล้วก็ให้ตั้งค่ายอยู่ที่เขาเงาสันเจ็ดค่าย แบ่งให้นายทหารรักษาไว้คนละค่ายมั่นคง ก๋งจูเองก็ให้ตั้งค่ายมั่นคุมเชิงกันอยู่ทั้งสองฝ่าย
ฝ่ายซุนสิวครั้นมาถึงแม่นํ้าอึงโหก็เข้าไปคำนับซุนลิมฮูเล่าความให้ฟังทุกประการ ฝ่ายเตียวเองเจ๋ครั้นพาทหารข้ามแม่นํ้าอึงโหไปได้ก็ตั้งค่ายลงไว้ แล้วให้ทหารเอาเรือข้ามรับซุนลิมฮูกับซุนสิวและทหารทั้งปวงจนสิ้น ซุนลิมฮูกับซุนสิวก็ให้ทหารเลวและนายหมวดนายกองข้ามไปก่อนตัวจึงข้ามไปต่อภายหลัง พอคํ่าลงก็กำชับกันให้รักษาค่าย ฝ่ายฌ้อจองอ๋องก็เลิกทัพมาถึงเมืองปีเสีย งอฉำเจ้าเมืองก็ออกมาต้อนรับคำนับฌ้อจองอ๋องตามธรรมเนียมแล้วว่า ขอท่านจงยกกองทัพไปตีเสียให้ได้จึงจะสิ้นศึก ฌ้อจองอ๋องจึงว่า ตั้งแต่เราทำศึกกับพวกเมืองจิ้น แต่ครั้นเมื่อปกเสียแพ้กับชาวเมืองจิ้นมาเรามีความอายนัก พึ่งแก้อายได้ครั้งนี้ ตั้งแต่นี้ไปเมืองฌ้อกับเมืองจิ้นก็จะเป็นไมตรีไป ซึ่งท่านจะให้ไปตีเมืองจิ้นจะต้องการอะไร แล้วฌ้อจองอ๋องก็สั่งให้ตั้งค่ายพักทหารอยู่นอกเมือง
ฝ่ายเตงเซียงก๋งรู้ข่าวว่าเจ้าเมืองฌ้อมีชัยชนะเจ้าเมืองจิ้น ก็จัดแจงบรรณาการมา ณ เมืองปีเสียถามข่าวฌ้อจองอ๋อง แล้วว่ากับฌ้อจองอ๋องว่าซึ่งท่านจะมาตั้งอยู่นอกเมืองฉะนี้หาควรไม่ ขอเชิญท่านไปประทับในเมืองจึงจะชอบ ฌ้อจองอ๋องก็เห็นด้วย ก็ชวนเตงเซียงก๋งเข้าไปในเมืองแล้วตั้งให้ยกโต๊ะมาเลี้ยงตามธรรมเนียม พัวตั้งจึงคำนับฌ้อจองอ๋องแล้วว่า ข้าพเจ้าจะขอเอาศพพวกเมืองจิ้นมาประจานไว้ให้คนทั้งปวงรู้ว่าเมืองจิ้นแพ้แก่เมืองฌ้อเสียทหารเป็นอันมาก ฌ้อจองอ๋องจึงว่า อันเมืองจิ้นนี้เขาหามีความผิดไม่ เราไปรบชนะครั้งนี้เพราะบุญของเราต่างหาก ซึ่งท่านจะเอาศพเขาไปประจานนั้นหาควรไม่ ท่านจงให้ทหารขนเอาไปฝังเสียเถิด พัวตั้งก็คำนับลามาทำตามสั่ง แล้วก็ให้เซ่นวักตามธรรมเนียม จึงกลับเข้ามาบอกกับฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องก็ตรวจตราทหารและเสบียงอาวุธพร้อมแล้วก็เลิกทัพกลับไปเมืองฌ้อ จึงปูนบำเหน็จแก่ทหารทั้งปวงตามสมควร แล้วว่างอฉำนี้มีสติปัญญา ควรจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ จึงตั้งให้เป็นไตหูผู้สำเร็จราชการในเมืองฌ้อ ซุนซกเหงาเห็นดังนั้นมีความน้อยใจ จึงคิดว่างอฉำเป็นขุนนางเล็กน้อยมีความชอบแต่ครั้งหนึ่ง ฌ้อจองอ๋องก็ตั้งให้ที่ไตหูสำเร็จราชการ ซุนซกเหงาเสียใจนัก ตั้งแต่นั้นมาก็ป่วยลง