๑๘

ฝ่ายพระเจ้าจิวอิวอ๋องแรกได้เสวยราชสมบัติแผ่นดินยังหาราบคาบเป็นปกติไม่ หัวเมืองทั้งปวงก็รบพุ่งฆ่าฟันกันเนืองๆ บางแห่งก็ตั้งตัวเป็นเจ้าแข็งเมืองอยู่ไม่มาอ่อนน้อมตามประเวณี พระเจ้าจิวลิวอ๋องให้ทรงพระวิตกไม่สบายพระทัย ครั้นขึ้นปีใหม่เจ๋ฮวนก๋งเจ้าเมืองเจ๋จึงจัดสิ่งของและเครื่องบรรณาการไปถวายบังคม พระเจ้าจิวอิวอ๋องดีพระทัยนัก จึงตรัสปราศรัยตามประเวณีแขกเมืองมาเฝ้า เจ๋ฮวนก๋งก็กราบถวายบังคมลากลับไปเมือง แล้วปรึกษากับกวนต๋งตงหูว่า เราได้ท่านไว้สั่งสอนอาณาประชาราษฎร์และทำนุบำรุงการบ้านเมืองครั้งนี้ บ้านเมืองเราก็อยู่เย็นเป็นสุข เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ ทั้งทแกล้วทหารก็พรักพร้อม เราคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวงมาให้เป็นพรรคพวกกันเสียเราจะได้เป็นหัวเมืองเอกท่านจะเห็นประการใด

กวนต๋งจึงตอบว่า ซึ่งท่านคิดดังนี้ข้าพเจ้าเห็นไม่สะดวก ด้วยหัวเมืองทั้งปวงตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ ท่านจะเกลี้ยกล่อมเป็นพรรคพวกได้ก็แต่หัวเมืองฝ่ายเหนือ อันเมืองฌ้ออยู่ทิศใต้และเมืองจิ๋นอยู่ทิศตะวันตกนั้น ข้าพเจ้าเห็นเขาจะไม่สมัครเป็นพรรคพวกกับท่าน เพราะหัวเมืองเหล่านั้นไม่ตั้งอยู่ในสัตย์ในธรรม ทำการหยาบช้ามิเกรงกลัวอาญาพระเจ้าจิวลิวอ๋อง พระเจ้าจิวลิวอ๋องก็จะเสื่อมพระเกียรติยศลง หัวเมืองเล่าก็เกิดกาลีด้วยลำจงเตียบาลคิดขบถฆ่าซองเสียงก๋งเจ้าเมืองเสีย ตั้งก๋งจูอี้ขึ้นเป็นเจ้าเมืองตามอำเภอใจ ภายหลังก๋งจูหึงซวยก็คิดแก้แค้นฆ่าลำจงเตียบาลกับก๋งจูอี้เสีย ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองอีก พระเจ้าจิวลิวอ๋องก็ยังหาได้ประทานตราไปตั้งแต่งก๋งจูหึงซวยให้เป็นเจ้าเมืองขึ้นไม่ ขอท่านจงใช้ให้ขุนนางไปเฝ้าพระเจ้าจิวลิวอ๋อง ให้กราบทูลขอตราสำหรับที่เจ้าเมืองมา ท่านจะได้ตั้งก๋งจูหึงซวยให้เป็นเจ้าเมืองซอง แล้วให้กราบทูลขอหนังสือซึ่งจะให้หัวเมืองทั้งปวงมาสาบานเป็นพรรคพวกกับท่านด้วย ถ้าแลได้ตรากับหนังสือรับสั่งมาแล้ว ท่านจงให้เอาหนังสือรับสั่งไปแจ้งกับหัวเมืองทั้งสี่ทิศมาประชุมพร้อมกัน ณ แดนเมืองเจ๋ ถ้าหัวเมืองทั้งปวงมาประชุมพร้อมกันแล้ว ท่านจงให้สัตย์สาบานเป็นพรรคพวกพี่น้องกับหัวเมืองทั้งปวงเสียก่อน ภายหลังท่านจึงว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวงให้เอาสิ่งของและเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าเมืองตังจิว ให้มีกตัญญูยำเกรงต่อพระเจ้าแผ่นดิน และหัวเมืองใดๆ ร่วงโรยลง ท่านจงชักชวนหัวเมืองทั้งปวงไปช่วยทำนุบำรุงให้บริบูรณ์ขึ้น หัวเมืองใดมีจิตกำเริบเป็นเสี้ยนศัตรูแผ่นดินแล้ว ท่านจงชักพาหัวเมืองทั้งปวงไปปราบปรามเสีย ราษฎรทั้งปวงจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข บรรดาหัวเมืองทั้งสี่ทิศก็จะว่าท่านมีใจโอบอ้อมอารีซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน จะชักชวนกันมาขึ้นกับเมืองเจ๋เป็นอันมาก เมืองเจ๋ก็จะมีสง่า ท่านจะได้เป็นเมืองเอกขึ้น

เจ๋ฮวนก๋งเห็นชอบด้วยจึงให้ขุนนางผู้หนึ่งไปเฝ้าพระเจ้าเมืองตังจิวแล้วให้กราบทูลความซึ่งได้ปรึกษากับกวนต๋งไว้ ขุนนางผู้นั้นก็คำนับลาเจ๋ฮวนก๋งไปถึงเมืองตังจิว จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจิวลิวอ๋องแล้วกราบทูลว่า บัดนี้เจ๋ฮวนก๋งเห็นว่าแผ่นดินของพระองค์เกิดจลาจลต่างๆ จึงให้ข้าพเจ้ามาทูลขอหนังสือรับสั่งและตราสำหรับซึ่งเป็นที่เจ้าเมือง ด้วยเจ๋ฮวนก๋งจะขอรับพระราชทานตั้งก๋งจูหึงซวยให้เป็นเจ้าเมืองซองและจะให้หาหัวเมืองไปสาบานเป็นพรรคพวกเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งจะได้ชักชวนหัวเมืองทั้งปวงช่วยกันทำนุบำรุงพระองค์ให้รุ่งเรืองด้วยพระเกียรติยศให้ยิ่งขึ้นไป แล้วจะได้ช่วยกันปราบปรามเสี้ยนศัตรูในแผ่นดินให้ราบคาบเป็นปกติ ราษฎรทั้งปวงจึงจะได้เป็นสุขสืบไป

พระเจ้าจิวลิวอ๋องแจ้งความมีพระทัยยินดีนัก จึงสั่งขุนนางผู้ใหญ่ให้แต่งตราสำหรับที่เจ้าเมืองกับหนังสือรับสั่งฉบับหนึ่งเข้าผนึกส่งให้ขุนนางเมืองเจ๋ ขุนนางเมืองเจ๋ได้ตราและหนังสือรับสั่งแล้วก็ถวายบังคมลารีบมาถึงเมืองเจ๋ จึงเข้าไปคำนับส่งหนังสือและตรานั้นให้เจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งคำนับหนังสือรับสั่งแล้วฉีกผนึกออกอ่านใจความว่า พระเจ้าเมืองตังจิวโปรดให้เจ๋ฮวนก๋งเป็นผู้ถือรับสั่งเอาตราซึ่งสำหรับเมือง ตั้งก๋งจูหึงซวยขึ้นเป็นเจ้าเมืองซอง แล้วให้เชิญตรารับสั่งไปบอกหัวเมืองทั้งปวงให้มาประชุมพร้อมกัน ณ แดนเมืองเจ๋ แล้วให้ทำสัตย์สาบานเป็นพรรคพวกกับเจ๋ฮวนก๋ง ให้พร้อมใจกันช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข เจ๋ฮวนก๋งได้แจ้งความดังนั้นก็ดีใจ จึงให้คนเชิญตรารับสั่งไปแจ้งความกับเจ้าเมืองซอง เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองติน เจ้าเมืองซอ เจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองเตง เจ้าเมืองจอ เจ้าเมืองจู แล้วนัดว่าถ้าถึงเดือนยี่แล้วให้หัวเมืองมาประชุมพร้อมกันที่ตำบลปักเหงตามรับสั่ง

เจ๋ฮวนก๋งจึงให้หากวนต๋งเข้ามาปรึกษาว่า ซึ่งหัวเมืองทั้งแปดเมืองมาประชุมกัน ณ ตำบลปักเหงครั้งนี้ก็เป็นการใหญ่ เราจะต้องเกณฑ์ทหารม้าทหารเกวียนออกไปสักเท่าไรดี กวนต๋งจึงว่า ท่านเป็นคนถือรับสั่งอยู่แล้ว ไม่ต้องเกณฑ์ทหารออกไปมาก เราคิดอ่านจะปลูกโรงสำหรับสาบาน ปลูกที่ประทับเจ้าเมืองทั้งปวงไว้สักแปดแห่ง เจ๋ฮวนก๋งจึงสั่งให้คนไปปลูกโรงสำหรับหัวเมืองทั้งปวงจะได้สาบานที่ตำบลปักเหง ให้ทำพื้นเป็นสามชั้นสูงตึ้งหนึ่ง คิดเป็นไทยสูงสี่วาสองศอกคืบหกนิ้ว แล้วให้ผูกเพดานผ้าขาวแขวนระย้าแก้วระย้าทองต่างๆ พื้นกลางนั้นให้ลาดปูด้วยพรมเจียม จัดตั้งที่พระเจ้าเมืองตังจิวไว้ชั้นบน แล้วแต่งที่นั่งสำหรับเจ้าเมืองทั้งปวงเป็นลำดับลงมา ให้ตั้งกลองใหญ่แขวนระฆัง แล้วให้ปลูกโรงสำหรับเจ้าเมืองทั้งปวงจะได้ประทับอยู่แรมคืนไว้แปดแห่ง

ผ่ายก๋งจูหึงซวยเจ้าเมืองซองแจ้งในหนังสือรับสั่งแล้ว ครั้นถึงเดือนยี่ก็ยกทัพมาถึงที่ตำบลปักเหงก่อนหัวเมืองทั้งปวง เจ๋ฮวนก๋งรู้ข่าวแล้วก็แต่งตัวออกไปรับเจ้าเมืองซอง ต่างคำนับกัน เจ๋ฮวนก๋งจึงเอาตราสำหรับที่เจ้าเมืองให้ก๋งจูหึงซวย ก๋งจูหึงซวยคำนับรับตราตั้งแล้วว่า ซึ่งท่านกราบทูลขอตรามาตั้งข้าพเจ้าเป็นเจ้าเมืองซองให้มีเกียรติยศขึ้นครั้งนี้ขอบคุณท่านนัก เจ้าเมืองทั้งสองพูดจาปราศรัยกันแล้วเจ๋ฮวนก๋งก็เชิญเจ้าเมืองซองให้ไปสำนักอยู่ ณ ที่ประทับ

ครั้นเวลารุ่งเช้าตินซองก๋งเจ้าเมืองติน จีเค็กเจ้าเมืองจู ซกกี๋เจ้าเมืองซอ ต่างก็ยกทแกล้วทหารมาถึงตำบลปักเหง เจ๋ฮวนก๋งจึงออกไปรับเจ้าเมืองทั้งสาม ต่างคำนับกันแล้วก็เชิญเจ้าเมืองทั้งสามให้สำนักอยู่ ณ ที่ประทับ คอยหัวเมืองทั้งสี่กว่าจะมาพร้อมกัน ครั้นสิ้นเดือนยี่แล้วหัวเมืองทั้งสี่ก็หามาไม่ เจ๋ฮวนก๋งจึงปรึกษากวนต๋งว่า หัวเมืองทั้งปวงก็ยังไม่มาพร้อมกัน เราคิดว่าจะเชิญเจ้าเมืองทั้งสี่ที่มาถึงแล้วให้กลับไปก่อน จึงจะค่อยนัดหัวเมืองทั้งปวงมาประชุมพร้อมกันใหม่พร้อมทีเดียวท่านจะเห็นประการใด

กวนต๋งจึงตอบว่า ซึ่งท่านคิดทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นเป็นคำสองอยู่ หัวเมืองซึ่งมาอยู่แล้วก็จะติเตียนนินทาว่าท่านนัดให้มาแล้วกลับไม่สาบานเล่า ท่านจงทำสัตย์กับหัวเมืองทั้งสี่ก่อนเถิด เจ๋ฮวนก๋งก็เห็นด้วยจึงให้คนไปเชิญหัวเมืองทั้งสี่มา ณ โรงสาบาน เจ้าเมืองทั้งสี่มาถึงโรงแล้วต่างถวายบังคมที่พระเจ้าเมืองตังจิว เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า บัดนี้พระเจ้าเมืองหลวงมีรับสั่งให้ข้าพเจ้าชักชวนท่านทั้งปวงมาทำสัตย์กันกับข้าพเจ้าจะได้ช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดินให้อยู่เย็นเป็นสุข และการซึ่งจะทำสัตย์สาบานครั้งนี้เป็นการใหญ่ จำจะปรึกษากวนต๋งผู้มีสติปัญญาให้เป็นหัวเมืองเอกขึ้นเมืองหนึ่งจึงจะได้ เจ้าเมืองทั้งสี่จึงว่าข้าพเจ้าทั้งปวงนี้มีสติปัญญาน้อยจะยอมตั้งท่านให้เป็นหัวเมืองเอกขึ้น จะได้ช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดินพระมหากษัตริย์ให้เป็นสุขสบาย

เจ๋ฮวนก๋งจึงทำบิดพลิ้วอยู่ ยังหายอมเป็นเมืองเอกไม่ แล้วจึงว่ากับเจ้าเมืองทั้งสี่ว่า เจ้าเมืองซองนี้เป็นเชื้อสายพระมหากษัตริย์อยู่ เราจำจะตั้งเจ้าเมืองซองให้เป็นหัวเมืองเอกจึงจะสมควร เจ้าเมืองซองจึงว่า ข้าพเจ้าพึ่งได้ครองเมืองใหม่สติปัญญานั้นน้อยนัก จะเป็นหัวเมืองเอกนั้นไม่ได้ เจ้าเมืองทั้งปวงก็นิ่งอยู่ ขณะนั้นเจ้าเมืองตินจึงว่ากับเจ๋ฮวนก๋งว่า ท่านเป็นผู้ถือหนังสือรับสั่ง หนังสือรับสั่งให้ท่านเป็นหัวเมืองเอก ถ้าแม้นไม่ยอมเป็นเอก นอกจากท่านข้าพเจ้าหาเห็นผู้ใดจะเป็นได้ไม่ เจ๋ฮวนก๋งจึงทำอิดเอื้อนอยู่ เจ้าเมืองทั้งปวงจึงลุกขึ้นจูงมือเจ๋ฮวนก๋งขึ้นไปชั้นบนให้นั่งที่ตำแหน่งเมืองเอก แล้วให้เจ้าเมืองซองนั่งที่รองลงมาเป็นเมืองโท เจ้าเมืองติน เจ้าเมืองซอ เจ้าเมืองจู ก็นั่งเป็นลำดับกันลงมา จึงให้ตีกลองและตีระฆังขึ้น ทั้งห้าหัวเมืองต่างคำนับทำสัตย์สาบานเป็นพี่น้องกัน

กวนต๋งก็ขึ้นไปชั้นบนคำนับแล้วว่ากับเจ๋ฮวนก๋งว่า เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองเตง เจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองจอ ทั้งสี่เมืองนั้น ขัดรับสั่งพระเจ้าเมืองหลวงหามาประชุมให้พร้อมกันไม่ ท่านจงชักชวนหัวเมืองทั้งปวงไปปราบปรามหัวเมืองทั้งสี่เสียจึงจะชอบ เจ๋ฮวนก๋งจึงว่ากับเจ้าเมืองทั้งสี่ว่า เมืองข้าพเจ้านี้ทแกล้วทหารก็ไม่พรักพร้อม ขอเชิญท่านทั้งสี่เมืองยกทัพไปช่วยปราบปรามหัวเมืองทั้งสี่ด้วย เจ้าเมืองตินเจ้าเมืองซอเจ้าเมืองจูก็รับคำเจ๋ฮวนก๋ง แต่เจ้าเมืองซองนั้นนิ่งอยู่ไม่ว่าประการใด ครั้นเวลาคํ่าเจ้าเมืองทั้งปวงกลับไปที่อาศัย ซองฮวนก๋งจึงแจ้งความกับไต้ซกผอยผู้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ว่า วันนี้เรากับเจ้าเมืองทั้งสามตั้งเจ๋ฮวนก๋งให้เป็นหัวเมืองเอกขึ้น บัดนี้เจ๋ฮวนก๋งชักชวนเรากับหัวเมืองทั้งสามจะให้ยกทัพไปช่วยปราบปรามหัวเมืองซึ่งขัดรับสั่ง เราก็ไม่รับคำเจ๋ฮวนก๋ง แต่เจ้าเมืองทั้งสามนั้นเขารับคำเจ๋ฮวนก๋งหมด

ไต้ซกผอยจึงว่า ซึ่งเรายกมาทั้งนี้เพราะจะรับตราตั้งเป็นที่เจ้าเมือง ใช่จะมาเป็นพรรคพวกกับเจ้าเมืองเจ๋หามิได้ เราคิดอ่านยกหนีไปเมืองซองเถิด ซองฮวนก๋งจึงสั่งทหารทั้งปวงให้เตรียมตัวไว้พร้อมกัน ครั้นเวลาตีสิบเอ็ดเจ้าเมืองซองก็ยกทหารหนีไปจากแดนเมืองเจ๋ เจ๋ฮวนก๋งแจ้งความว่าเจ้าเมืองซองยกหนีไปเมืองก็โกรธ จะให้ตังชุนฉิวยกทหารไปตามตี กวนต๋งจึงห้ามว่า ถ้าท่านให้ตังชุนฉิวยกทัพติดตามไปตีเจ้าเมืองซองแล้วท่านจะเสียสัตย์ ถ้าแม้นจะยกไปตีเมืองซองให้ได้ ท่านจงใช้คนไปทูลขอกองทัพพระเจ้าเมืองหลวงยกไปด้วย หัวเมืองทั้งปวงจะได้เห็นว่าท่านยกทัพเพราะมีรับสั่งใช้ ประการหนึ่งความสัตย์ซึ่งท่านได้สาบานไว้ก็ไม่เสีย อันการซึ่งจะไปตีเมืองซองนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าทางพานจะไกล เรายกไปปราบปรามหัวเมืองทั้งสี่เสียก่อน จึงจะไปตีเมืองซองต่อครั้งหลัง เจ๋ฮวนก๋งเห็นด้วยจึงสั่งให้เตรียมทหารทั้งปวงพร้อมแล้วก็ยกทัพออกจากเมืองเจ๋ เจ้าเมืองติน เจ้าเมืองซอ เจ้าเมืองจู ต่างก็ยกทัพสมทบไปด้วย เดินกระบวนทัพไปตามระยะทางเป็นหลายวันถึงที่ตำบลจีซุยแดนเมืองฬ่อแล้วให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ เจ๋ฮวนก๋งจึงให้กวนต๋งแต่งหนังสือฉบับหนึ่งส่งม้าใช้เอาไปให้เจ้าเมืองฬ่อ

ฝ่ายฬ่อจงก๋งเจ้าเมืองฬ่อแจ้งความว่าเจ๋ฮวนก๋งกับเจ้าเมืองทั้งปวงยกทัพสมทบกันมาอยู่ ณ ตำบลจีซุยก็ตกใจ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า ผู้ใดอาสาเราออกไปรบกับทหารเมืองเจ๋ได้ ขณะนั้นอองจีเคงหูจึงรับอาสาว่า ข้าพเจ้าจะขอยกทหารออกไปรบกับทหารเมืองเจ๋ดูสักครั้งหนึ่ง ซีเป๊กจึงห้ามอองจีเคงหูว่า ซึ่งท่านจะยกทัพออกไปรบกับเมืองเจ๋นั้นเราเห็นไม่ได้ ฬ่อจงก๋งจึงถามซีเป๊กว่า ท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะสู้รบกับทหารเมืองเจ๋ได้เล่า ซีเป๊กก็ตอบว่า เจ้าเมืองเจ๋นี้เลี้ยงคนดีไว้คนหนึ่งชื่อว่ากวนต๋ง กวนต๋งคนนี้มีสติปัญญามากนัก คนในพิภพหามีผู้ใดเสมอไม่ กวนต๋งนั้นเป็นผู้สำหรับทำนุบำรุงบ้านเมืองเจ๋ให้อยู่เย็นเป็นสุขแล้วจัดแจงสารพัดการบ้านเมือง และสั่งสอนทแกล้วทหารทั้งปวงให้รู้จักอย่างธรรมเนียมในการกระบวนศึก อนึ่งเจ้าเมืองเจ๋เป็นผู้ถือหนังสือรับสั่งพระเจ้าเมืองหลวงให้ชุมนุมหัวเมืองทั้งปวงที่ตำบลปักเหง ให้ทำสัตย์สาบานเป็นพรรคพวกกับเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็ได้เป็นเมืองเอกขึ้นแล้วซ้ำชักชวนหัวเมืองทั้งปวงไปช่วยกันปราบปรามหัวเมืองซึ่งขัดรับสั่ง เจ๋ฮวนก๋งก็มีเกียรติยศเป็นอันมาก ซึ่งท่านไม่ไปทำสัตย์กับเจ้าเมืองเจ๋นั้นก็เป็นขัดรับสั่ง เหมือนหากตัญญูต่อเจ้าชีวิตไม่ ข้าพเจ้าคิดว่าให้มีหนังสือออกไปลุกะโทษยอมสาบานเป็นพรรคพวกเจ๋ฮวนก๋ง ก็เห็นเจ๋ฮวนก๋งจะไม่ทำอันตรายแก่เมืองเรา คงจะยกทัพกลับไปเป็นมั่นคง

ฬ่อจงก๋งได้ฟังซีเป๊กว่าดังนั้นก็เห็นด้วย แต่ยังไม่ทันที่จะให้ออกไป พอม้าใช้เมืองเจ๋เอาหนังสือเข้าไปคำนับส่งให้ฬ่อจงก๋ง ฬ่อจงก๋งรับหนังสือแล้วฉีกผนึกออกอ่านได้ใจความว่า พระเจ้าเมืองตังจิวมีรับสั่งให้เรานัดหัวเมืองทั้งปวงไปประชุมกันทำสัตย์ให้เป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดิน ซึ่งท่านขัดรับสั่งดังนั้น ท่านหาเกรงอาญาพระเจ้าเมืองหลวงไม่หรือถ้าแม้นท่านไม่มารับผิดโดยดี เราจะขับทหารทั้งปวงเข้าเหยียบเมืองฬ่อ จะจับตัวฆ่าเสียตามรับสั่ง ฬ่อจงก๋งแจ้งในหนังสือดังนั้นก็เห็นว่าโทษตัวผิดจริง จึงสั่งซีเป๊กให้แต่งหนังสือตอบออกไปฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า เมื่อพระเจ้าเมืองหลวงมีรับสั่งให้ท่านนัดประชุมหัวเมืองทั้งปวง ณ ตำบลปักเหงนั้น ข้าพเจ้าขัดรับสั่งมิได้ไปทำสัตย์โทษข้าพเจ้าก็ผิดแล้ว ข้าพเจ้ามีความวิตกนักด้วยยังหาได้ลุกะโทษตัวไม่ ขอเชิญท่านจงยกทัพกลับไปที่ตำบลอือตอ แดนเมืองท่านเถิด ข้าพเจ้าจะยอมยกไปทำสัตย์ตามรับสั่ง ครั้นซีเป๊กแต่งหนังสือแล้วก็สั่งให้ขุนนางออกไปคำนับให้เจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งแจ้งในหนังสือแล้วก็ยินดีนัก จึงสั่งให้เลิกทัพกลับมา ณ ตำบลอือตอ

ฝ่ายเจ้าเมืองติน เจ้าเมืองซอ เจ้าเมืองจู ต่างก็ยกทัพกลับไปเมือง เจ๋ฮวนก๋งจึงสั่งพวกทหารให้ปลูกโรงสำหรับสาบานมีพื้นถึงสามชั้น แล้วให้ห้อยย้อยเครื่องทองต่างๆ ให้ทำบันไดเจ็ดชั้นบนโรงนั้น ให้ตั้งกลองไว้ตามธรรมเนียมแล้ว ให้ตั้งโต๊ะไว้วางกระถางไว้ชั้นบนและสี่มุมโรงนั้น ให้ทหารถือธงเขียวธงแดงธงดำธงขาวไว้ทั้งสี่มุม จึงให้เอาธงเหลืองมาจารึกอักษรลงไว้ว่าเป็นเอกแล้วเอาไปปักไว้หน้าโรงริมบันได ให้ตังกวยแหยเป็นพนักงานรับแขก ครั้นจัดแจงโรงพร้อมแล้วเจ๋ฮวนก๋งจึงสั่งตังกวยแหยว่า ถ้าเจ้าเมืองฬ่อมาถึงแล้วให้ขึ้นบนโรงแต่นายคนหนึ่งบ่าวคนหนึ่ง นอกกว่านั้นให้อยู่แต่นอกโรง

ฝ่ายฬ่อจงก๋งจึงสั่งจออวยไตหูให้จัดแจงทแกล้วทหารพร้อมแล้ว ก็ยกทัพตามเจ๋ฮวนก๋งมาถึงตำบลอือตอ จึงให้หยุดพักทหารทั้งปวงไว้ ฬ่อจงก๋งก็แต่งตัวตามยศอย่างเจ้าเมืองแล้วจะเข้าในโรงที่จะทำสัตย์ จออวยจึงแต่งตัวใส่เกราะถือกระบี่จะเข้าไปกับฬ่อจงก๋ง ฬ่อจงก๋งก็พาจออวยเข้าไป ณ โรง ตังกวยแหยจึงเชิญฬ่อจงก๋งให้ขึ้นบันได แล้วห้ามจออวยว่า วันนี้นายท่านจะสาบานเป็นไมตรีด้วยกันกับนายเราแล้วเหตุใด ท่านจึงถือกระบี่เข้ามาด้วย จงวางกระบี่เสียก่อนจึงขึ้นไปบนโรง จออวยได้ฟังตังกวยแหยห้ามดังนั้นเดือดหน้าแดงขึ้นมาจึงร้องตวาดว่า ทำไมกับเราถึงถือกระบี่มาผู้เดียวหาทำอันตรายใครได้ไม่ กระบี่นี้เราถือมาสำหรับจะได้ป้องกันภัยเจ้านายเราต่างหาก ตังกวยแหยได้ยินดังนั้นก็นิ่งอยู่ จออวยจึงตามฬ่อจงก๋งขึ้นไปบนโรง เจ๋ฮวนก๋งก็เชิญฬ่อจงก๋งให้นั่งที่สมควรแล้วต่างคนก็คำนับกัน จึงให้ตีกลองขึ้นสามที กองซุนสิบผองจึงหยิบเอาถ้วยหยกซึ่งใส่โลหิตกับสุราปนกันนั้นเข้าไปคุกเข่าคำนับเชิญเจ้าเมืองทั้งสองให้จุดธูปเทียนสาบานกัน

ฝ่ายจออวยก็ตรงเข้าไปจับเอามือเสือเจ๋ฮวนก๋งเงื้อกระบี่ขึ้นเป็นทีจะฟันเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็ตกใจจึงถามจออวยว่า ทำไมท่านจึงคิดทำอย่างนี้ จออวยจึงตอบว่า เมืองเจ๋กับเมืองฬ่อนี้เดิมเป็นข้าศึกรบพุ่งฆ่าฟันกันมาหลายครั้งแล้ว บัดนี้ท่านเป็นผู้ถือหนังสือรับสั่งพระเจ้าเมืองหลวง ได้ประชุมหัวเมืองทั้งปวงให้สาบานเป็นพรรคพวกกันกับท่านแล้ว ท่านได้ชักชวนหัวเมืองทั้งปวงไว้ว่า เมืองใดร่วงโรยลงจะช่วยทำนุบำรุงขึ้น เมืองใดกำเริบเป็นเสี้ยนหนามแผ่นดินจะช่วยกันปราบปราม บัดนี้ เมืองฬ่อก็ร่วงโรยลง เหตุไฉนท่านจึงไม่ช่วยทำนุบำรุงเมืองฬ่อบ้างเล่า

เจ๋ฮวนก๋งจึงถามว่าจะต้องประสงค์สิ่งใด จออวยก็บอกว่า แต่ครั้งก่อนนั้นท่านยกทหารไปตีเมืองนำภีกับนาที่ตำบลบุนเอียงของเจ้าเราไว้ได้ ราษฎรชาวเมืองก็ขัดสนที่จะทำไร่ไถนาเลี้ยงชีวิต ถ้าแม้นท่านคืนเมืองนำภีกับนาที่ตำบลบุนเอียงคืนให้เรา เราจึงจะให้เจ้าเราจุดธูปเทียนสาบานกับท่าน เจ๋ฮวนก๋งก็รับคำจออวยว่า เราจะคืนเมืองนำภีกับนาที่ตำบลบุนเอียงให้เจ้าท่าน และจึงเรียกไจเจียงซึ่งเป็นผู้สำหรับทำบัญชีเมืองขึ้นและไร่นาเข้ามาสั่งว่า ท่านจงเอาบัญชีเมืองนำภีกับนาที่ตำบลบุนเอียงนั้นกลับคืนให้เจ้าเมืองฬ่อเสียเถิด ไจเจียงก็รับคำเจ๋ฮวนก๋ง จออวยได้ฟังดังนั้นก็วางกระบี่เสีย จึงคุกเข่าคำนับขอโทษเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็ยกโทษให้ จออวยจึงรับเอาถ้วยหยกซึ่งใส่สุราปนโลหิตนั้นมาจากมือกองซุนสิบผองแล้วส่งให้เจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋กับเจ้าเมืองฬ่อก็กินสุราปนโลหิต แล้วจึงจุดธูปสาบานเป็นพี่น้องกัน ครั้นเสร็จการสาบานแล้วเจ๋ฮวนก๋งจึงสั่งให้แต่งโต๊ะออกมาเลี้ยงเจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองฬ่อกับเจ๋ฮวนก๋งนั่งกินโต๊ะเสพสุราพูดจากันเป็นที่สบาย ครั้นเลี้ยงโต๊ะกันแล้วเจ้าเมืองฬ่อก็ลาเจ๋ฮวนก๋งยกทัพกลับไปเมือง

ฝ่ายเจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองจอ แจ้งความว่าเจ้าเมืองฬ่อยอมไปสาบานเป็นพรรคพวกกับเจ้าเมืองเจ๋ ณ ตำบลอือตอ เจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองจอจึงมีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองเจ๋จะขอทำสัตย์ด้วย เจ๋ฮวนก๋งแจ้งหนังสือแล้วก็ดีใจ จึงสั่งกับผู้ถือหนังสือทั้งสองหัวเมืองว่า เราจะยกทัพไปตีเมืองซองเสียก่อนแล้วจึงจะกำหนดวันคืนสาบานด้วยเจ้าเมืองจอทีหลัง ฝ่ายคนใช้ต่างก็คำนับลาเจ๋ฮวนก๋งกลับไปเมือง เจ๋ฮวนก๋งจึงสั่งขุนนางผู้หนึ่งว่า ท่านจงไปเฝ้าพระเจ้าเมืองตังจิวแล้วจงกราบทูลว่า เมืองซองขัดรับสั่งหาซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าเมืองหลวงไม่ ให้กราบทูลขอกองทัพหลวงยกไปช่วยปราบปรามเจ้าเมืองซองเสีย ขุนนางผู้นั้นก็คำนับลาเจ๋ฮวนก๋งแล้วก็รีบไปถึงเมืองตังจิวแล้ว เข้าไปเฝ้าพระเจ้าจิวลิวอ๋องกราบทูลความตามคำเจ๋ฮวนก๋งสั่งมาทุกประการ

พระเจ้าจิวลิวอ๋องแจ้งความดังนั้นทรงพระโกรธเจ้าเมืองซองนัก จึงสั่งตันนีไตหูเป็นแม่ทัพยกไปสมทบกับกองทัพเจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋จะได้ยกทัพไปปราบปรามเจ้าเมืองซองให้ราบคาบ ตันนีไตหูรับสั่งแล้วก็กราบถวายบังคมลาออกมาจัดแจงทหารยกทัพออกจากเมืองหลวง เดินเป็นกระบวนทัพตามระยะทางไปเมืองเจ๋ เมืองเจ๋แจ้งว่าพระเจ้าเมืองหลวงให้ตันนีไตหูยกทัพมาช่วยตีเมืองซองก็มีความยินดีนัก จึงตระเตรียมทแกล้วทหารพร้อม คอยหาฤกษ์ที่จะยกทัพไป พอม้าใช้ที่เจ้าเมืองติน เจ้าเมืองจอ เข้าคำนับแจ้งว่า เจ้าเมืองจอยกทัพมาจะอาสาเป็นทัพหน้าไปช่วยตีเมืองซอง เจ๋ฮวนก๋งจึงสั่งกวนต๋งตงหูว่า ท่านจงยกทหารออกไปสมทบเจ้าเมืองติน เจ้าเมืองจอ แล้วจงพากันยกทัพเป็นทัพหน้าล่วงไปก่อนเราเถิด กวนต๋งก็คำนับลาออกมาจัดทหารเกวียนและทหารม้าพร้อมแล้วจะเอานางเจงลีแซผู้เป็นภรรยาน้อยนั้นไปด้วย นางเจงลีแซคนนี้เป็นคนรักใคร่ของกวนต๋งนัก แล้วก็มีสติปัญญารู้หนังสือลึกซึ้ง แม้กวนต๋งจะยกทัพไปทำศึกทิศใดๆ ก็ต้องเอานางเจงลีแซนั้นไปด้วย ได้ช่วยคิดอ่านทำการศึกทั้งปวง กวนต๋งจึงพานางเจงลีแซขึ้นเกวียนแล้วก็ยกทัพออกจากเมืองเจ๋ ไปสมทบกับทัพเจ้าเมืองตินเจ้าเมืองจอ แล้วพากันยกเป็นทัพหลวงไปตามระยะทาง

ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งครั้นได้ฤกษ์ดีก็ยกทัพออกจากเมืองเจ๋ ตันนีไตหูก็ยกสมทบไปด้วย กวนต๋งเมื่อยกไปถึงเขาลีสาน เห็นคนเลี้ยงวัวผู้หนึ่งใส่กางเกงขาสั้นเสื้อเก่าหมวกขาด เลี้ยงวัวอยู่ริมเชิงเขาเอามือเคาะเขาวัวร้องเพลง กวนต๋งยืนอยู่บนเกวียน ดูรูปร่างคนเลี้ยงวัวนั้นจะเป็นคนมีสติปัญญาจึงใช้คนให้เอาข้าวกับสุราไปให้คนเลี้ยงวัวกิน

ฝ่ายคนเลี้ยงวัวจึงว่ากับผู้เอาข้าวกับสุราไปให้นั้นว่า ข้าพเจ้าจะใคร่ได้พบพูดกับท่านตงหูผู้เป็นแม่ทัพสักสองสามคำ คนใช้จึงว่า เกวียนท่านตงหูนั้นไปไกลแล้ว

คนเลี้ยงวัวจึงว่า ข้าพเจ้าจะสั่งท่านไปด้วยให้บอกกับท่านตงหูว่า เฮาเฮาฮูเปะจุย จะได้หรือมิได้ คนใช้ก็รับคำคนเลี้ยงวัวกลับมาแจ้งความกับกวนต๋งตงหูว่า คนเลี้ยงวัวนั้นสั่งข้าพเจ้ามาให้บอกกับท่านว่า เฮาเฮาฮูเปะจุย กวนต๋งได้ฟังดังนั้นคิดยังไม่ออก หารู้ว่าเขาว่าอย่างไรไม่จึงถามนางเจงลีแซ นางเจงลีแซก็บอกว่าข้าพเจ้าได้ฟังคำโคลงโบราณว่า เฮาเฮาฮูเปะจุย ชกซกจือหือกุนไล เตียนอัวอัวเจียงอันกือ แปลว่านํ้าแห่งใดใสบริสุทธิ์อยู่แล้ว ปลาหารู้ที่จะไปหาอาหารกินไม่ได้เพราะกลัวว่าคนจะเห็นตัวจะจับ เอาไปฆ่าเสียต้องสู้ลำบากหลบตัวอยู่ แม้นมีคนเอาอาหารมาให้กินแล้วปลานั้นก็ได้อยู่สุขสบาย

นางเจงลีแซจึงว่าต่อไปว่า คนเลี้ยงวัวผู้นี้ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีสติปัญญามาก จะออกตัวทำราชการอยู่ แต่ว่าหาผู้ใดจะเป็นที่พึ่งแก่ตัวไม่จึงแกล้งกล่าวโคลงมาให้ท่านฟัง เพราะจะให้ท่านแจ้งว่าตนมีสติปัญญา กวนต๋งได้ฟังดังนั้นก็หยุดเกวียนไว้ จึงให้คนไปหาตัวคนเลี้ยงวัวเข้ามาถึงหน้าเกวียน คนเลี้ยงวัวก็ยืนยกมือขึ้นคำนับกวนต๋ง กวนต๋งจึงถามว่า ท่านนี้อยู่บ้านไหนเมืองไหน คนเลี้ยงวัวจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อเลงเซ็กอยู่แดนเมืองโอย กวนต๋งจะใคร่ทดลองดูสติปัญญาเลงเซ็กจึงแกล้งถามกลศึกกลความต่างๆ เลงเซ็กก็บอกได้ทุกประการ กวนต๋งจึงว่า คนมีสติปัญญาอย่างท่านฉะนี้ หาควรที่จะตกระกำลำบากไม่ เรามาพบท่านวันนี้เป็นวาสนาของท่านซึ่งจะพ้นความลำบาก แล้วเป็นบุญของเจ้านายเราจะได้ช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมือง เจ๋ฮวนก๋งนายเรานั้นอีกสองวันจะยกมาถึง ครั้นเราจะอยู่ท่าก็จะช้าการไป เราจะเขียนหนังสือให้ท่านไว้เป็นสำคัญ แม้นเจ๋ฮวนก๋งยกทัพมาถึงที่นี้แล้วท่านจงเอาหนังสือซึ่งเราเขียนนั้นให้เจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็ดีใจคงจะเอาตัวท่านชุบเลี้ยงไว้เป็นขุนนาง เลงเซ็กได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงรับเอาหนังสือมาใส่กลีบเสื้อไว้แล้วคำนับลากวนต๋งกลับมาเลี้ยงวัวอยู่ กวนต๋งก็ยกทัพล่วงระยะทางไป

ครั้นครบสามวัน เจ๋ฮวนก๋งก็ยกทัพมาถึงริมเขาลิสาน เลงเซ็กเห็นเจ๋ฮวนก๋งยกทัพมาก็จูงวัวออกมายืนอยู่ริมทางแล้วร้องเพลง ในคำเพลงนั้นว่า แผ่นดินทุกวันนี้มีแต่เกิดรบพุ่งฆ่าฟันกันเป็นอันมาก เปรียบเหมือนคลื่นในพระมหาสมุทร ตัวเรานี้มีอุปมาเหมือนปลาลีหือตัวน้อยอาศัยอยู่ในซอกศิลา ครั้นคลื่นใหญ่ซัดมาสิปลาทั้งปวงก็แตกกระจัดกระจาย ปลาลีหือสิ้นที่อาศัยจะพลอยตายเสียเปล่า สงสารแต่ตัวเราเป็นคนบุญน้อยเกิดมาไม่ทันพระเจ้าเงี้ยวอ๋อง พระเจ้าซุนเต้ ถ้าเราเกิดมาทันแผ่นดินพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์นั้นแล้ว จึงจะมีความสุขสบายเป็นอันมาก ทุกวันนี้แสนลำบากยากจน มีแต่กางเกงขาสั้นเสื้อเก่าหมวกขาดเท่านี้ แล้วยังต้องทรมานตัวอยู่แต่เช้าจนเย็นจึงจะได้กินข้าว ต่อเวลากลางคืนจึงจะได้ไล่วัวเข้าบ้าน ยิ่งคิดก็ยิ่งมืดเหมือนเวลากลางคืน เมื่อไรหนอจะได้พบสว่างบ้าง

เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังคนเลี้ยงวัวร้องเพลงดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงให้คนไปเอาตัวคนเลี้ยงวัวเข้ามาตรงหน้าเกวียนแล้วก็ถามว่า ท่านชื่อไรอยู่บ้านตำบลไหน เลงเซ็กคำนับแล้วจึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อเลงเซ็กอยู่บ้านป่าแดนเมืองโอย เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า บัดนี้พระเจ้าเมืองหลวงมีรับสั่งโปรดให้เรามาชักนำหัวเมืองทั้งปวงไปช่วยกันปราบปรามหัวเมืองเสี้ยนศัตรูแผ่นดินเสียให้ราบคาบ ราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเป็นสุข เหมือนต้นไม้เมื่อเทศกาลฤดูฝน ก็จะแตกแขนงออกเป็นกิ่งก้านและออกลูกงามบริบูรณ์ ท่านเป็นแต่คนเลี้ยงโคร้องเพลงสรรเสริญกษัตริย์ทั้งสองพระองค์นั้นว่า บำรุงแผ่นดินเป็นสุขนั้น ราษฎรหัวเมืองทั้งปวงเป็นสุขประการใดบ้าง

เลงเซ็กจึงตอบว่า ข้าพเจ้าได้ฟังท่านแต่ก่อนเล่าสืบกันมาว่า เมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าเงี้ยวอ๋องและพระเจ้าซุนเต้นั้นหัวเมืองทั้งสี่ทิศต่างก็มีกตัญญูยำเกรงต่อพระมหากษัตริย์ มิได้คิดประทุษร้ายรบพุ่งฆ่าฟันกัน เมืองหลวงและหัวเมืองทั้งปวงก็เป็นที่สนุกสบาย ครั้นถึงกำหนดห้าวันฝนตกครั้งหนึ่ง ถึงสิบวันลมพัดครั้งหนึ่ง อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงซื่อสัตย์ต่อกันทั่วทั้งแผ่นดิน ซึ่งท่านจะยกไปปราบปรามหัวเมืองทั้งปวงให้ราบคาบสิ้นเสี้ยนหนามนั้น ข้าพเจ้าเห็นยังไม่ปกติเพราะหัวเมืองทั้งปวงมานะจะตั้งตัวเป็นใหญ่ ต่างยกทัพไปทำศึกรบพุ่งกันเนืองๆ ไปดังนี้ อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงจะมีความสุขสบายมาแต่ไหน

เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งทหารทั้งปวงให้จับเอาตัวเลงเซ็กมัดไปฆ่าเสีย ทหารทั้งปวงก็เข้าจับเอาตัวเลงเซ็ก เลงเซ็กก็มิได้ย่อท้อต่อความตาย แล้วแหงนดูฟ้าจึงถอนใจใหญ่ว่า เมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าเกียดอ๋อง เลงหวังผู้มีสติปัญญาก็ต้องตาย ครั้นแผ่นดินพระเจ้าติวอ๋องเล่า ฆ่าปีกันซึ่งกตัญญูต่อแผ่นดินเสีย ครั้นมาแผ่นดินนี้ผู้สัตย์ซื่อสุจริตก็จะพลอยตายตามท่านทั้งสองไป

กองซุนสิบผองได้ยินดังนั้นจึงเข้าไปบอกเจ๋ฮวนก๋งว่า เลงเซ็กนั้นข้าพเจ้าดูกิริยาหากลัวความตายไม่ ท่วงทีพูดจาหลักแหลมประหลาดอยู่เห็นจะเป็นคนมีสติปัญญา ท่านอย่าเพิ่งฆ่าเสียเลยเลี้ยงเลงเซ็กไว้ก่อน เลงเซ็กจะได้ช่วยทำราชการทำนุบำรุงแผ่นดินพระมหากษัตริย์สืบไป เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ จึงให้กองซุนสิบผองไปแก้เชือกที่มัดเลงเซ็กออกมาตรงหน้าเกวียนแล้วว่ากับเลงเซ็กว่า เราทำทั้งนี้เพราะจะทดลองดูว่าท่านจะมีสติปัญญาหรือหาไม่ บัดนี้เรารู้ว่าท่านเป็นคนมีสติปัญญาจริง ซึ่งให้ทำเหลือเกินนั้นเราขออภัยเถิด เลงเซ็กก็ดีใจจึงหยิบเอาหนังสือในกลีบเสื้อส่งให้เจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งรับเอาหนังสือแล้วคลี่ออกอ่านได้ความว่า ข้าพเจ้ากวนต๋งยกทัพมาถึงเชิงเขาลิสาน พบคนเลี้ยงวัวผู้หนึ่งชื่อเลงเซ็กอยู่ ณ แดนเมืองโอย เลงเซ็กคนนี้มีสติปัญญามากจะเข้ายอมทำราชการอยู่ด้วยท่าน ข้าพเจ้าจึงเขียนหนังสือให้เลงเซ็กไว้เป็นสำคัญ ขอท่านจงเอาตัวเลงเซ็กไว้ช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองเถิด ถ้าท่านไม่เอาตัวเลงเซ็กไว้ หัวเมืองใดได้ตัวไปเมืองนั้นก็จะเป็นสุขสบายบริบูรณ์ขึ้น แม้นานไปเบื้องหน้าเราจะปราบปรามเสี้ยนหนามแผ่นดินเห็นจะฝืดเคืองขัดขวางอยู่

เจ๋ฮวนก๋งแจ้งหนังสือแล้วก็ยินดีจึงว่า แต่แรกทำไมท่านไม่เอาหนังสือกวนต๋งให้กับเรา เลงเซ็กจึงตอบว่า ประเพณีเจ้าบ้านภารเมืองผู้มีสติปัญญาตั้งอยู่ในยุติธรรมนั้น แสวงหาบ่าวไพร่ไว้ทำราชการต่างหูต่างตา ก็รู้จักผู้มีสติปัญญารอบคอบรู้การอันลึกซึ้งและหาผู้มีความสัตย์ซื่อกตัญญูไว้ใช้ จึงจะได้ช่วยกันบำรุงบ้านเมืองให้บริบูรณ์ ประการหนึ่งผู้ใดมีสติปัญญาจะหาผู้ซึ่งเป็นที่พึ่ง ก็ให้เลือกหาเจ้านายที่ตั้งอยู่ในยศในธรรมจึงจะเป็นสุข บัดนี้ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านมีสติปัญญาตั้งอยู่ในสัจธรรมก็ตั้งใจคอยจะพบเห็นเอาเป็นที่พึ่ง ท่านไม่กรุณาจะฆ่าเสียข้าพเจ้าก็ยอมตาย ที่จะเอาหนังสือกวนต๋งเขียนไว้ออกให้นั้นหามิได้แล้ว เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนักจึงเชิญให้เลงเซ็กขึ้นขี่เกวียนเล่มหนึ่งยกทัพล่วงทางมาจนเวลาเย็นสั่งให้ตั้งค่ายพักแรม ทหารจึงหาตัวเลงเซ็กเข้ามาตั้งเป็นไตหูขุนนางผู้ใหญ่ ใส่เสื้อหมวกสำหรับยศพร้อมทุกสิ่ง เลงเซ็กก็ผลัดเสื้อหมวกเก่าออกเสีย ใส่เสื้อกางเกงหมวกใหม่เข้าไปนั่งคุกเข่าคำนับเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งจึงถามกลศึกกลความต่างๆ เลงเซ็กก็ชี้แจงแก้ไขถูกทุกข้อ

ฝ่ายกวนต๋งกับเจ้าเมืองจอยกทัพมาถึงแดนเมืองซองสั่งให้จัดแจงตั้งค่ายมั่นลงไว้คอยท่าเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งยกทัพมาถึงแดนเมืองซองจึงให้ตั้งค่ายฝ่ายตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้นกองทัพทั้งปวงยกมาถึงพร้อมแล้ว เจ๋ฮวนก๋งจึงว่ากับนายทัพนายกองและทหารทั้งปวงว่า พรุ่งนี้เราชวนกันตีเมืองซองให้จงได้ เลงเซ็กไตหูจึงว่า ซึ่งจะตีเมืองซองครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะตั้งรบกันตายเสียเปล่า ข้าพเจ้าจะขออาสาไปว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองซองให้ยินยอมสาบานเป็นพรรคพวกกับท่านให้จงได้ เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ เลงเซ็กไตหูจึงคำนับลาพาบ่าวไพร่ประมาณเก้าคนสิบคนขึ้นเกวียนเล่มหนึ่งรีบไปถึงประตูเมืองซอง จึงเขียนหนังสือบอกข้อราชการส่งให้นายประตูเข้าไปให้เจ้าเมืองซอง เจ้าเมืองซองแจ้งความในหนังสือแล้วก็ถามไตซกผอยว่า เลงเซ็กคนนี้เดิมอยู่บ้านไหนตำบลไหนเรามิได้ยินผู้ออกชื่อออกเสียงเลย ไตซกผอยจึงว่า ข้าพเจ้าแจ้งความว่าเลงเซ็กคนนี้เป็นคนเลี้ยงวัวอยู่ ณ แดนเมืองโอย เจ๋ฮวนก๋งยกทัพมาครั้งนี้เห็นว่าเลงเซ็กมีสติปัญญาหลักแหลมจึงเอาตัวเลงเซ็กมาตั้งเป็นขุนนาง เลงเซ็กจะเข้ามาเจรจาความเมืองกับท่านครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าแยบคายจะพูดว่ากล่าวด้วยกลอุบายล่อลวงเป็นมั่นคง

ซองฮวนก๋งจึงปรึกษาไตซกผอยว่า เราจะออกไปรับเลงเซ็กมาดีหรือ หรือท่านจะเห็นประการใด ไตซกผอยจึงตอบว่า อย่าออกไปรับเลงเซ็กเลย สั่งให้แต่คนใช้ออกไปบอกแก่เลงเซ็กเข้ามาเถิด ถ้าเลงเซ็กเข้ามาถึงแล้วท่านอย่าเชิญให้นั่ง อย่าคำนับทำนิ่งอยู่ ดูท่วงทีกิริยาเลงเซ็กจะพูดจาประการใด แม้นเลงเซ็กเจรจาคำล่วงเกินข้าพเจ้าจะจับดุมเสื้อซึ่งข้าพเจ้าใส่เป็นสำคัญ ท่านจงเรียกทหารทั้งปวงให้จับตัวเลงเซ็กไปจำไว้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเจ๋ฮวนก๋งจะสิ้นคนมีสติปัญญาที่จะคิดอ่านการศึกสืบไป ซองฮวนก๋งก็เห็นชอบด้วยจึงให้คนใช้ไปบอกเลงเซ็กเข้ามา

ฝ่ายเลงเซ็กก็แต่งตัวตามบรรดาศักดิ์ขุนนางแล้ว จึงเข้าไปยืนยกมือขึ้นคำนับซองฮวนก๋ง ซองฮวนก๋งก็นิ่งอยู่หาพูดจาปราศรัยไม่ เลงเซ็กจึงถอนใจใหญ่แล้วว่า เจ้าเมืองซองหาโอบอ้อมอารีแก่ผู้ใดไม่ เราเห็นเหี้ยมเกรียมร้ายกาจนัก ซองฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงว่า เราเป็นเชื้อวงศ์กษัตริย์ สูงกว่าหัวเมืองทั้งปวง ทำไมจึงว่าเราร้ายกาจดังนี้ เลงเซ็กจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นแขกเมืองมาธุระราชการแผ่นดิน ท่านไม่ต้อนรับปราศรัยด้วย ท่านเป็นถึงเชื้อสายพระมหากษัตริย์แล้ว ทำไมไม่ทำตามขนบธรรมเนียมให้เหมือนจีวก๋งผู้เป็นเชื้อวงศ์พระเจ้าเบ๊งอ๋องเล่า

ซองฮวนก๋งจึงถามว่า จีวก๋งซึ่งเป็นเชื้อวงศ์พระเจ้าเบ๊งอ๋องนั้นเราได้ยินว่ามีสติปัญญาหลักแหลมอยู่ จีวก๋งได้กระทำการดีไว้ในแผ่นดินพระเจ้าเบ๊งอ๋องอย่างไรบ้าง เลงเซ็กจึงตอบว่า จีวก๋งนั้นมีสติปัญญากตัญญูนัก ได้จัดแจงการทำนุบำรุงบ้านเมืองให้สบายบริบูรณ์ อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงก็อยู่เย็นเป็นสุข แล้วจีวก๋งนั้นชักนำหัวเมืองเมืองทั้งปวงให้เอาสิ่งของเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าเบ๊งอ๋อง แล้วว่ากล่าวปราบปรามหัวเมืองให้ยำเกรงพระเจ้าเมืองหลวงทั้งสี่ทิศ ข้อหนึ่งจีวก๋งมีใจยำเกรงกับผู้มีสติปัญญาเป็นอันมาก ถึงมาตรว่าจีวก๋งจะนอนอยู่ในห้องและจะแต่งตัวอยู่ในตึก แม้นคนเข้ามาบอกว่ามีคนเข้ามาหาด้วยราชการสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ต้องลุกจากที่นอน ถ้าแต่งตัวอยู่ก็ต้องวางหวีลงไว้ออกไปพูดจาปราศรัยกับผู้ซึ่งมาหานั้น แต่บรรดาผู้มีสติปัญญาเป็นข้าราชการในแผ่นดินครั้งนั้นสรรเสริญว่าจีวก๋งมีใจโอบอ้อมอารี รู้จักเลี้ยงคนผู้มีสติปัญญาและซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินโดยแท้ ต่างก็มาสวามิภักดิ์ขึ้นกับจีวก๋งเป็นอันมาก จีวก๋งได้ทำความชอบไว้ในแผ่นดินพระเจ้าเบ๊งอ๋องนั้นมากนัก และท่านก็เป็นเชื้อสายกษัตริย์ทำให้ผิดอย่างธรรมเนียมไปดังนี้ เหมือนจะแกล้งให้แผ่นดินเกิดวิบัติต่างๆ ถึงจะมีผู้มีสติปัญญาอยู่ด้วยก็เห็นหาว่ากล่าวสั่งสอนเตือนสติท่านได้ไม่

ซองฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า เราเพิ่งได้ครองเมืองใหม่สติปัญญายังอ่อนอยู่หารู้จักขนบธรรมเนียมราชการทั้งปวงรอบคอบไม่ ซึ่งเรามิได้รับคำนับและเชิญให้นั่งนั้นเราขออภัยท่านซินแสเถิด

ฝ่ายไต้ซกผอยเห็นท่วงทีซองฮวนก๋งพูดจาจะผ่อนตามคำเลงเซ็กดังนั้น จึงเอามือจับดุมเสื้อให้ซองฮวนก๋งเห็นถึงสองครั้งสามครั้ง ซองฮวนก๋งก็นิ่งอยู่หาเรียกทหารจับตัวเลงเซ็กไม่ ไต้ซกผอยก็โกรธลุกออกไปจากที่ ซองฮวนก๋งจึงถามเลงเซ็กว่า ซินแสมาครั้งนี้จะสั่งสอนว่ากล่าวเราประการใด เลงเซ็กก็ตอบว่า ทุกวันนี้เกียรติยศพระเจ้าเมืองตังจิวเสื่อมคลายไป หัวเมืองทั้งปวงจึงกำเริบรบพุ่งฆ่าฟันกันเป็นอันมาก แผ่นดินก็เกิดวิปริตต่างๆ เจ๋ฮวนก๋งผู้มีกตัญญูซื่อสัตย์ต่อเจ้าชีวิตเห็นแผ่นดินจะบังเกิดจลาจลขึ้นจึงใช้ให้คนไปทูลขอหนังสือรับสั่งพระเจ้าเมืองหลวง พระเจ้าเมืองหลวงโปรดประทานหนังสือให้เจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งจึงชวนหัวเมืองทั้งปวงจะให้ปราบปรามเสี้ยนหนามแผ่นดินให้ราบคาบเป็นปกติ แล้วจะได้ช่วยกันบำรุงพระเจ้าเมืองหลวงให้มีพระเกียรติยศขึ้น เมื่อครั้งก่อนนั้นท่านก็ได้ไปสาบานกับเจ๋ฮวนก๋งแล้วกลับสัตย์เสีย หาซื่อตรงต่อเจ๋ฮวนก๋งไม่ พระเจ้าเมืองหลวงแจ้งความซึ่งท่านกลับคำเสียทรงพระโกรธ จึงมีรับสั่งให้ตันนียกทัพหลวงมาสมทบกับเมืองเจ๋ เจ๋ฮวนก๋งเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกมาปราบปรามท่านผู้ขัดรับสั่ง เจ๋ฮวนก๋งกับทัพหัวเมืองยกบรรจบมาด้วยกันครั้งนี้ ทแกล้วทหารแต่ล้วนมีฝีมือเข้มแข็งนัก ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านจะยกทัพออกไปสู้รบกับทหารเมืองเจ๋และทหารเมืองหลวงนั้นท่านก็จะเสียสัตย์ ข้อหนึ่งคนทั้งปวงก็จะติเตียนนินทาหาว่าท่านขัดรับสั่งแล้วยังซ้ำสู้ศึกเจ้าชีวิตด้วย ดูประหนึ่งว่าท่านหายำเกรงต่อพระมหากษัตริย์ไม่ ขอท่านจงให้คนถือหนังสือออกไปยอมสาบานเป็นพรรคพวกพี่น้องกับเจ๋ฮวนก๋งเถิด เจ๋ฮวนก๋งกับท่านจะได้ช่วยกันทำนุบำรุงพระเจ้าเมืองหลวงให้รุ่งเรืองขึ้น ประการหนึ่งท่านจะมีสง่าปรากฏไปทั่วทั้งสี่ทิศ เมืองซองก็จะมีผาสุกสบาย

ซองฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงว่า แต่แรกเราหาคิดเหมือนคำอาจารย์ไม่จนเจียนจะเสียสัตย์แล้ว ท่านอาจารย์มาให้สติจึงได้คิดเห็นข้อผิดและชอบทั้งปวง บัดนี้เจ๋ฮวนก๋งก็เป็นผู้ถือรับสั่งพระเจ้าเมืองหลวงได้ยกทัพมาประชิดเมืองเราเข้าไว้ถึงเพียงนี้ เราจะให้มีหนังสือออกไปลุกะโทษทำสัตย์ด้วย เกรงเจ๋ฮวนก๋งจะไม่ยอมทำสัตย์ด้วยท่านจะคิดประการใด

เลงเซ็กจึงตอบว่า เจ๋ฮวนก๋งนั้นโอบอ้อมอารีรักหัวเมืองทั้งปวงเป็นอันมาก หาผูกพยาบาทแต่ผู้ใดไม่ ครั้งเมื่อเขงหูเจ้าเมืองฬ่อขัดรับสั่งเหมือนฉะนี้ เจ๋ฮวนก๋งก็ยกทัพไปตีเมืองฬ่อ เขงหูยอมสาบานกับเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็หาคิดประทุษร้ายเขงหูไม่ แล้วคืนเมืองนำภีและที่นาตำบลบุนเอียงของเขงหูที่เจ๋ฮวนก๋งไปตีเอาไว้ได้นั้นให้เขงหู ซึ่งท่านจะยอมไปสาบานด้วยเจ๋ฮวนก๋งครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะไม่ทำอันตรายแก่ท่าน ด้วยท่านเป็นเชื้อสายพระมหากษัตริย์ มีบรรดาศักดิ์ประเสริฐกว่าหัวเมืองทั้งปวง ซองฮวนก๋งก็ดีใจจึงว่า ถ้าดังนั้นท่านจงออกไปแจ้งความกับเจ๋ฮวนก๋งก่อน เลงเซ็กจึงลาซองฮวนก๋งกลับออกไปถึงค่าย จึงเข้าไปคำนับแจ้งความตามซึ่งได้ว่ากล่าวกับเจ้าเมืองซองให้เจ๋ฮวนก๋งฟังทุกประการ เจ๋ฮวนก๋งก็มีความยินดีแล้วสั่งให้ยกโต๊ะออกมาเลี้ยงเลงเซ็กเป็นรางวัล

ฝ่ายเจ้าเมืองซองจึงแต่งหนังสือซึ่งจะยอมสาบานฉบับหนึ่งแล้วจัดเอาแก้วดวงหนึ่งกับทองสิบแท่ง สั่งให้ขุนนางเอาออกไปให้เจ๋ฮวนก๋ง ขุนนางผู้นั้นก็คำนับลาออกจากเมืองซองนำหนังสือไปคำนับให้เจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งรับเอาสิ่งของ คลี่หนังสือออกอ่านแจ้งความแล้ว จึงบอกกับขุนนางผู้คุมสิ่งของมานั้นว่า พระเจ้าเมืองหลวงทรงพระโกรธเจ้าเมืองซองว่าขัดรับสั่งกลับความสัตย์ซึ่งได้สาบานไว้กับเราเสียจึงมีรับสั่งใช้ให้เรามาปราบปราม บัดนี้เจ้าเมืองซองรู้สึกตัวว่าโทษผิดเอาสิ่งของกับหนังสือลุกะโทษ จะยอมสาบานด้วยเราใหม่ เราก็ไม่ทำอันตรายกับเมืองซอง เจ๋ฮวนก๋งก็มอบทองของคำนับเจ้าเมืองซองนั้น ให้ตันนีไตหูคุมขึ้นไปถวายพระเจ้าเมืองหลวง แล้วเจ๋ฮวนก๋งจึงสั่งขุนนางเมืองซองว่า ท่านจงบอกเจ้าเมืองซองให้จัดแจงเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าเมืองหลวงก่อน แล้วเราจึงจะกำหนดวันคืนซึ่งจะสาบานด้วยเจ้าเมืองซองต่อทีหลัง ขุนนางผู้นั้นก็คำนับลากลับเข้าไปในเมือง เจ๋ฮวนก๋งกับเจ้าเมืองติน เจ้าเมืองจอ ตันนีไตหูต่างคนยกทัพกลับไปเมือง

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ