- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๒๔
ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งยกทัพกลับมาถึงเมือง ก็ปูนบำเหน็จแก่ขุนนางและทแกล้วทหารซึ่งมีความชอบตามสมควร แล้วเจ๋ฮวนก๋งก็ให้กองซุนสิบผองถือหนังสือนำเอาข้อราชการซึ่งยกไปทำแก่เมืองฌ้อนั้นขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าจิวอุยอ๋อง พระเจ้าจิวอุยอ๋องตรัสสรรเสริญเจ๋ฮวนก๋งเป็นอันมาก กองซุนสิบผองก็กราบถวายบังคมลาพระเจ้าจิวอุยอ๋อง แล้วคำนับลาไทจิวเต้ซึ่งเป็นพระราชบุตรผู้ใหญ่ในที่เฝ้า แต่ไทซกตั้วนั้นกองซุนสิบผองหาได้คำนับลาไม่ พระเจ้าจิวอุยอ๋องทอดพระเนตรเห็นก็เคืองพระทัย กองซุนสิบผองรู้ในกิริยาพระเจ้าจิวอุยอ๋อง ครั้นกลับมาถึงเมืองเจ๋ก็เข้าไปแจ้งแก่เจ๋ฮวนก๋งตามรับสั่งพระเจ้าจิวอุยอ๋องทุกประการ แล้วบอกว่าเมืองหลวงทุกวันนี้เห็นจะเกิดความรำคาญเป็นมั่นคง เจ๋ฮวนก๋งจึงถามว่าท่านเห็นประการใดจึงว่าดังนี้
กองซุนสิบผองจึงบอกว่า ข้าพเจ้ารับทราบดูได้ความว่าไทจิวเต้ซึ่งเป็นพระราชบุตรผู้ใหญ่ นางเกียงเฮาซึ่งเป็นพระมเหสีมารดาไทจิวเต้นั้นถึงแก่ความตายแล้ว พระเจ้าจิวอุยอ๋องยกนางตันหงุยซึ่งเป็นพระนมตั้งขึ้นเป็นพระมเหสี นางตันหงุยนั้นมีพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อไทซกตั้ว พระเจ้าจิวอุยอ๋องมีพระทัยรักใคร่เป็นอันมาก เห็นจะยกราชสมบัติให้แก่ไทซกตั้วซึ่งเป็นพระราชบุตรน้อย ถ้าราชสมบัติได้แก่ไทซกตั้วเมื่อใดแผ่นดินก็จะเกิดจลาจล ซึ่งท่านจะนิ่งอยู่ฉะนี้บ้านเมืองใหญ่น้อยก็จะพลอยมีความรำคาญยิ่งนัก เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษาด้วยกวนต๋ง กวนต๋งจึงว่า ถ้าและจะคิดเอาราชสมบัติให้แก่ไทจิวเต้ซึ่งเป็นพระราชบุตรผู้ใหญ่ตามประเพณีแล้ว จงมีหนังสือไปหาหัวเมืองใหญ่น้อยมาให้พร้อมกัน ณ บ้านซือจึแล้ว ให้กองซุนสิบผองขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าจิวอุยอ๋องว่า หัวเมืองทั้งปวงมาพร้อมกัน ณ บ้านซือจึจะขอคำนับไทจิวเต้ ซึ่งเป็นพระราชบุตรผู้ใหญ่ให้พระเจ้าจิวอุยอ๋องเข้าพระทัยว่า หัวเมืองทั้งปวงยอมใจในไทจิวเต้ เห็นพระเจ้าจิวอุยอ๋องจะหาบิดเบือนเอาราชสมบัติไปยกให้แก่ไทซกตั้วได้ไม่ เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังเห็นชอบด้วย แล้วเจ๋ฮวนก๋งไป ณ บ้านซือจึให้หาหัวเมืองมาพร้อมกันแล้ว จึงให้กองซุนสิบผองถือหนังสือขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าจิวอุยอ๋องตามได้ปรึกษากับกวนต๋ง
พระเจ้าจิวอุยอ๋องทรงทราบในหนังสือแล้ว ทรงพระวิตกคิดเกรงใจเจ๋ฮวนก๋งเป็นอันมาก จึงมีรับสั่งให้ไทจิวเต้มาด้วยกองซุนสิบผอง ณ บ้านซือจึ เจ๋ฮวนก๋งให้ตั้งเก๋งปลูกตำหนัก เชิญเสด็จไทจิวเต้ขึ้นอยู่โดยสมควรแล้วเจ๋ฮวนก๋งจึงพาเจ้าเมืองซอง เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองติน เจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองฆ้อ เจ้าเมืองฌ้อ เข้ากราบถวายบังคมไทจิวเต้ ณ พระตำหนักซือจึ ไทจิวเต้ก็ปราศรัยกับหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวง หัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงก็กราบถวายบังคมลามาที่อยู่ ครั้นเวลาคํ่าไทจิวเต้ให้เชิญเจ๋ฮวนก๋งมาเฝ้า แล้วบอกว่า บัดนี้พระบิดาเราหลงรักใคร่นางตันหงุยยกให้เป็นพระมเหสี คิดจะเอาราชสมบัติให้แก่ไทซกตั้วบุตรนางตันหงุย ท่านได้เอ็นดูเราด้วย
เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า ข้าพเจ้าเชิญเสด็จไต้อ๋องให้หัวเมืองคำนับครั้งนี้ก็เพราะคิดจะเอาราชสมบัติให้แก่ไต้อ๋อง ไทจิวเต้ได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงตอบว่า การทั้งนี้จะสำเร็จก็เพราะท่าน ถ้าเราได้ราชสมบัติแล้วจะสนองคุณท่านให้ควรกับที่ได้ช่วยทำนุบำรุง เจ๋ฮวนก๋งก็รับสั่งแล้วก็ลามาที่อยู่ จัดแจงผลัดเปลี่ยนกันทั้งแปดหัวเมืองแต่งโต๊ะและสุรามาถวายไทจิวเต้ทุกวันมิได้ขาด
ฝ่ายนางตันหงุยกับไทซกตั้วซึ่งเป็นพระราชบุตร รู้ความว่าเจ๋ฮวนก๋งคิดเอาราชสมบัติให้กับไทจิวเต้ จึงคิดอ่านกันเพ็ดทูลยุยงพระเจ้าจิวอุยอ๋องให้คิดเคืองเจ๋ฮวนก๋งเนืองๆ
พระเจ้าจิวอุยอ๋องยิ่งทรงพระวิตกนัก จึงให้หาจายคงขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาปรึกษาว่า เจ๋ฮวนก๋งกับหัวเมืองทั้งปวงมาชักชวนไทจิวเต้ไป ณ บ้านซือจึครั้งนี้คิดการสิ่งใดมิได้แจ้ง ด้วยเจ๋ฮวนก๋งได้หัวเมืองมาไว้เป็นกำลังจึงกำเริบนัก จะนิ่งไว้ก็เห็นจะเกิดอันตรายเป็นมั่นคง เราคิดจะให้หนังสือไปถึงเจ้าเมืองเตงให้เอาใจออกหากเจ๋ฮวนก๋งไปขึ้นกับเมืองฌ้อ เมืองฌ้อกับเมืองเจ๋ก็จะคิดขึ้นเป็นอริกันไปใหม่ เจ๋ฮวนก๋งก็จะถอยความคิดและกำลังอ่อนลง จายคงจึงกราบทูลว่า เจ๋ฮวนก๋งคนนี้เป็นคนกตัญญูเจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน และพระองค์จะมาคิดเอาเมืองฌ้อซึ่งเป็นศัตรูมาเป็นมิตรนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย พระเจ้าจิวอุยอ๋องจึงตรัสว่า เจ๋ฮวนก๋งทุกวันนี้นํ้าใจหาเหมือนแต่ก่อนไม่ ซึ่งท่านจะมายกย่องว่าสัตย์ซื่อนั้นเราไม่เชื่อแล้ว พระเจ้าจิวอุยอ๋องทรงพระอักษรฉบับหนึ่งส่งให้ขุนนางคนสนิทลอบไปให้เจ้าเมืองเตง ณ บ้านซอง เจ้าเมืองเตงรับหนังสือมาอ่านใจความว่า พระเจ้าจิวอุยอ๋องมีความวิตกในพระทัยยิ่งนัก ด้วยไทจิวเต้มิได้อยู่ในถ้อยคำสั่งสอนเห็นหาควรจะปกครองไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินไม่ เราคิดจะยกราชสมบัติให้กับไทซกตั้ว ด้วยเห็นว่าไทซกตั้วมีสติปัญญาเป็นอันมาก เจ๋ฮวนก๋งเจ้าเมืองเจ๋คิดข่มเหงนํ้าใจเราจะชิงราชสมบัติให้แก่ไทจิวเต้เห็นผิดกระบวนโบราณประเพณี และเนื้อความทั้งนี้เราปรึกษาด้วยผู้ใดก็หาเป็นที่วางใจได้ไม่ เห็นแก่เจ้าเมืองฌ้อเป็นคนซื่อสัตย์มั่นคงแล้วก็เป็นคนเก่ามาแต่ก่อน ให้เจ้าเมืองเตงไปปรึกษาเจ้าเมืองฌ้อช่วยคิดอ่านทำนุบำรุงไทซกตั้วให้ได้ราชสมบัติ
เจ้าเมืองเตงแจ้งในหนังสือรับสั่งดังนั้น จึงว่าแก่คงซกที่ปรึกษาว่า ขณะปู่เราได้ครองเมืองเตงก็ได้ขึ้นไปว่าราชการในเมืองหลวง ทุกวันนี้ไม่มีผู้ใดได้ไปว่าราชการตามตำแหน่ง บัดนี้มีรับสั่งลงมาจะให้เราช่วยราชการเหมือนแต่ก่อน จำจะคิดออกเสียจากเจ๋ฮวนก๋งจึงจะได้ คงซกจึงว่า เมืองเตงพ้นจากเชลยเมืองฌ้อก็เพราะเจ๋ฮวนก๋งมีบุญคุณอยู่เป็นอันมาก แล้วเจ๋ฮวนก๋งก็มาประชุมกันคิดอ่านเอาราชสมบัติให้ไทจิวเต้นั้น ก็สมควรต้องด้วยประเพณีแผ่นดินอยู่แล้ว เจ้าเมืองเตงจึงตอบว่า ซึ่งพระเจ้าจิวอุยอ๋องคิดยกราชสมบัติให้กับไทซกตั้วนั้น ชอบแต่เราเป็นข้าท่าน จะได้ช่วยทำนุบำรุงตามพระทัยจึงจะควร ซึ่งจะทำนอกละเมิดไปร่วมคิดด้วยไทจิวเต้นั้นมิชอบ คงซกจึงว่า อย่างธรรมเนียมพระมหากษัตริย์สืบมาทุกพระองค์ถ้าสิ้นพระชนม์ลงแล้วราชสมบัติก็เป็นของไทจูบุตรพระมเหสี ถ้าไม่มีไทจูจึงได้แก่ลูกพระสนมผู้ใหญ่ ซึ่งพระเจ้าจิวอุยอ๋องจะยกราชสมบัติให้ไทซกตั้วซึ่งเป็นบุตรพระสนมนั้นเห็นผิดด้วยอย่างธรรมเนียม เจ๋ฮวนก๋งจึงกลัวจะเกิดจลาจลเหมือนครั้งพระเจ้าฮิวอ๋อง ความอันนี้ท่านไม่รู้หรือ อันประเพณีผู้จะได้ครองราชสมบัตินั้น และถ้าคนข้างนอกไม่สมัครแล้วคงจะวุ่นวาย ซึ่งท่านจะไปคิดอ่านกับเจ้าเมืองฌ้อเข้าด้วยไทซกตั้วนั้นมิชอบ
ซินเฮาจึงว่า มีรับสั่งลงมามิให้คบด้วยเจ๋ฮวนก๋ง และขืนคบเจ๋ฮวนก๋งนั้นจะมิขัดรับสั่งพระเจ้าจิวอุยอ๋องไปหรือ อนึ่งไทจิวเต้ก็มีพวกพ้องกว้างขวางอยู่ข้างนอก ไทซกตั้วก็มีพวกพ้องอยู่ข้างในเป็นอันมาก กํ้ากึ่งกันอยู่ดังนี้จำเราจะกลับไปบ้านเมือง ต่อคิดเสียก่อนจึงจะสมควร เจ้าเมืองเตงได้ฟังซินเฮาว่าดังนั้นเห็นชอบด้วย ก็สั่งให้ยกจากบ้านซือจึหนีไทจิวเต้และเจ๋ฮวนก๋งกลับไปเมือง
ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งแจ้งว่าเจ้าเมืองเตงถอยกลับไปเมืองเสียก็โกรธ คิดจะเชิญเสด็จไทจิวเต้ไปตีเมืองเตงเป็นเกียรติยศไว้ จึงปรึกษาด้วยกวนต๋ง กวนต๋งจึงว่า ซึ่งเจ้าเมืองเตงกลับไปครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่ามีคนในเมืองหลวงมาพูดจาไว้ความประการใดเป็นมั่นคง ซึ่งจะเชิญเสด็จไทจิวเต้ไปปราบเมืองเตงนั้น เห็นพระเจ้าจิวอุยอ๋องจะมีความขัดเคืองไทจิวเต้เป็นอันมาก ขอให้ไทจิวเต้กลับคืนไปเมืองหลวงเสียก่อน เราจึงค่อยยกไปเมืองเตงต่อภายหลัง เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังกวนต๋งว่าดังนั้นจึงชวนเจ้าเมืองซอง เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองติน เจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองฆ้อ เจ้าเมืองฌ้อไปเฝ้าไทจิวเต้พร้อมกัน แล้วทูลว่าข้าพเจ้าทั้งปวงขอเชิญเสด็จกลับไปเมืองเถิด อย่าวิตกด้วยจะมิได้ราชสมบัตินั้นเลย ข้าพเจ้าจะรับเป็นพนักงาน ทั้งเจ็ดหัวเมืองจึงกระทำสัตย์ถวายพร้อมกันว่า ถ้าข้าพเจ้าทั้งเจ็ดหัวเมืองนี้ไม่ซื่อตรงสุจริตต่อไต้อ๋อง ขอให้เทพารักษ์ประหารข้าพเจ้าให้ถึงแก่ความตายเถิด ไทจิวเต้ได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงตอบว่า ซึ่งท่านทั้งปวงภักดีต่อเรานั้นบุญคุณเป็นที่ยิ่ง เทวดามนุษย์ก็สรรเสริญเป็นอันมาก ไทจิวเต้ก็สั่งให้ยกกลับเมือง เจ๋ฮวนก๋งและหัวเมืองทั้งนั้นก็พากันไปส่งไทจิวเต้จนสิ้นแดน แล้วก็พากันกลับมาเมืองตระเตรียมทแกล้วทหารที่จะยกไปตีเมืองเตง ฝ่ายเตงบุนก๋งเจ้าเมืองเตงกลับมาถึงเมือง รู้ข่าวว่าเจ๋ฮวนก๋งกับหัวเมืองจะยกทัพมาตี ก็หารู้ที่จะไปขึ้นกับเมืองฌ้อได้ไม่ ฌ้อเซียงอ๋องเจ้าเมืองฌ้อรู้ข่าวว่าเจ้าเมืองเตงเอาใจออกห่างเจ๋ฮวนก๋งแล้วก็ดีใจ จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เจ้าเมืองเตงนี้หนีเจ๋ฮวนก๋งครั้งนี้เห็นจะอยู่ในบังคับเราแล้ว จึงให้ขุนนางถือหนังสือเข้าไปเมืองเตง ซินเฮาก็นำเอาหนังสือเข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเตง เจ้าเมืองเตงก็ยอมตามถ้อยคำซินเฮา จึงจัดแจงสิ่งของให้ซินเฮาคุมขึ้นไปให้ฌ้อเซียงอ๋อง ขอเป็นเมืองขึ้นอยู่ในเมืองฌ้อ
เจ๋ฮวนก๋งกับหัวเมืองทั้งปวงซึ่งคิดกันจะไปตีเมืองเตงนั้น ครั้นจัดแจงกองทัพพร้อมแล้วก็พากันยกไปถึง ณ ซิมมีดปลายแดนเมืองเตงก็ตั้งล้อมไว้เป็นสามารถ ฝ่ายเตงบุนก๋งเจ้าเมืองเตงเห็นเจ๋ฮวนก๋งกับหัวเมืองยกมาล้อมเมืองไว้ จึงให้ซินเฮารีบขึ้นไป ณ เมืองฌ้อขอกองทัพมาช่วย ฌ้อเซียงอ๋องได้แจ้งจึงปรึกษาจิวบุน จิวบุนจึงว่าเจ๋ฮวนก๋งยกมาตีเมืองเตงครั้งนี้ถึงเจ็ดหัวเมือง ซึ่งเราจะไปช่วยป้องกันเมืองเตง ที่ไหนจะทานกำลังเจ๋ฮวนก๋งได้ ถ้าคิดไปตีเมืองฆ้อเกี่ยวไว้ที่ไหนเจ๋ฮวนก๋งจะทิ้งเมืองฆ้อเสีย ก็จะถอยทัพไปช่วยเมืองฆ้อเป็นมั่นคง ฌ้อเซียงอ๋องได้ฟังเห็นชอบด้วย ก็จัดกองทัพยกไปตีเมืองฆ้อ
ฝ่ายขุนนางเมืองฆ้อรู้ข่าวว่าเจ้าเมืองฌ้อยกมาตีตกใจนัก จึงให้คนถือหนังสือไปซิมมีดบอกแก่เจ้าเมืองฆ้อ เจ้าเมืองฆ้อก็นำเอาหนังสือบอกเข้าไปแจ้งแก่เจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็ชวนหัวเมืองทั้งปวงยกกองทัพมาทางเมืองฆ้อ ฝ่ายฌ้อเซียงอ๋องเจ้าเมืองฌ้อซึ่งยกมาล้อมเมืองฆ้ออยู่นั้นรู้ว่าเจ๋ฮวนก๋งยกทัพมาช่วยเมืองฆ้อ ก็สั่งให้ยกกลับไปเมือง ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งแจ้งว่ากองทัพเมืองฌ้อเลิกทัพกลับไป จึงสั่งหัวเมืองทั้งปวงให้กลับไปรักษาบ้านเมือง แต่เจ๋ฮวนก๋งนั้นยกไปล้อมเมืองเตงไว้ดังเก่า
ฝ่ายอวนเทียวถูพยาบาทซินเฮามาแต่ครั้งเจ๋ฮวนก๋งไปตีเมืองฌ้อนั้น ครั้นรู้ว่าเจ๋ฮวนก๋งยกทัพมาตีเมืองเตง จึงให้หนังสือมาถึงคงซกขุนนางเมืองเตงฉบับหนึ่งใจความว่า เจ๋ฮวนก๋งยกไปตีเมืองเตงครั้งนี้ ก็เพราะซินเฮายุให้นายท่านไปขึ้นแก่เมืองฌ้อ และถ้าไม่ฆ่าซินเฮาเสียแล้ว เห็นเมืองเตงจะเป็นอันตรายเพราะเจ๋ฮวนก๋งเป็นมั่นคง คงซกได้แจ้งในหนังสืออวนเทียวถูบอกมาดังนั้น จึงเข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเตง เจ้าเมืองเตงก็เห็นจริงด้วยโกรธซินเฮานักจึงให้หาซินเฮามาถามว่า ตัวคิดอ่านเอาเมืองของเราไปขึ้นกับเมืองฌ้อ หมายว่าเมืองฌ้อจะเป็นที่พึ่งได้ และเจ๋ฮวนก๋งยกมาตีครั้งนี้ เหตุใดกองทัพเมืองฌ้อจึงไม่มาช่วยเล่า ซินเฮามิทันจะโต้ตอบ เตงบุนก๋งก็สั่งให้เอาตัวซินเฮาไปฆ่าเสีย แล้วให้คงซกเอาศีรษะซินเฮาไปให้เจ๋ฮวนก๋งในกองทัพ บอกเจ๋ฮวนก๋งว่านายข้าพเจ้าหนีท่านมาจากบ้านซือจึครั้งนั้นก็เพราะซินเฮาและนายข้าพเจ้ารู้ตัวว่าผิดแล้ว จึงให้ข้าพเจ้าตัดศีรษะซินเฮามาให้ท่าน เมืองเตงนั้นจะขอขึ้นอยู่ในท่านดังเก่า เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะจึงตอบว่า ซึ่งนายท่านรู้ตัวว่าผิดมาขอโทษ เราก็สิ้นความพยาบาท ท่านจงไปแจ้งแก่เตงบุนก๋งนายท่านเถิด ว่าดังนั้นแล้วเจ๋ฮวนก๋งก็สั่งให้เลิกทัพกลับมาเมือง คงซกก็เข้าไปแจ้งแก่เตงบุนก๋งตามคำเจ๋ฮวนก๋งทุกประการ
ฝ่ายเจ้าเมืองเตง ครั้นเจ๋ฮวนก๋งเลิกทัพกลับไปเมืองแล้ว ก็ตรึกตรองที่จะมอบสมบัติบ้านเมืองให้ก๋งจูหลันซึ่งเป็นบุตรภรรยาน้อย ฝ่ายก๋งจูฮอซึ่งเป็นบุตรภรรยาหลวงนั้นมารดาตายแล้ว ครั้นเห็นบิดารักใคร่ก๋งจูหลันก็คิดอิจฉา กลัวบิดาจะยกเอาสมบัติบ้านเมืองให้ก๋งจูหลัน จึงปรึกษาซกเหลียม ซกเหลียมจึงว่าอันสมบัติบ้านเมืองทั้งนี้จะได้มิได้ก็สุดแต่บุญท่าน อย่าคิดให้ได้ความเคืองใจบิดาเลย ก๋งจูฮอก็มิฟังจึงไปปรึกษากับคงซกซือซก คงซกซือซกก็ห้ามดุจคำซกเหลียม ก๋งจูฮอมีความแค้นเคืองนักคิดจะทำร้ายซกเหลียมคงซกซือซกมิได้ขาด พอเจ๋ฮวนก๋งให้หาเจ้าเมืองเตงไป ณ บ้านบิดบูในแดนเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเตงมีความวิตกนัก ด้วยมีหนังสือรับสั่งพระเจ้าจิวอุยอ๋องห้ามลงมาว่ามิให้คบหาเจ๋ฮวนก๋ง ครั้นจะไปก็จะเป็นผิดรับสั่ง ครั้นจะมิไปก็เกรงเจ๋ฮวนก๋งจะมาทำอันตรายแก่บ้านเมือง จึงให้ก๋งจูฮอผู้บุตรขึ้นไปหาเจ๋ฮวนก๋งแทนตัว ณ บ้านบิดบู ฟังเจ๋ฮวนก๋งจะว่าประการใด ก๋งจูฮอก็ไปหาเจ๋ฮวนก๋งตามถ้อยคำบิดาสั่ง เจ๋ฮวนก๋งเห็นก๋งจูฮอมาก็ถามถึงเจ้าเมืองเตง ก๋งจูฮอจึงว่า บิดาข้าพเจ้าทุกวันนี้หามีความสบายไม่ ท่านจงให้ผู้คนออกไปเสียก่อน ข้าพเจ้าจึงจะเล่าให้ฟัง เจ๋ฮวนก๋งก็ให้คนออกไปเสียตามคำก๋งจูฮอ ก๋งจูฮอก็บอกกับเจ๋ฮวนก๋งว่า ราชการในเมืองเตงทุกวันนี้ สิทธิ์ขาดอยู่กับซกเหลียมคงซกซือซกสามคน ซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในเมืองเตง ถ้าซกเหลียมคงซกซือซกจะว่ากล่าวสิ่งใดบิดาข้าพเจ้าก็เชื่อฟังสิ้น และบิดาข้าพเจ้าหนีไปแต่บ้านซือจึครั้งนั้นก็เพราะคนสามคนนี้ยุยง ขอบุญท่านช่วยกำจัดคนทั้งสามนี้เสียเมืองเตงก็จะอยู่ในบังคับท่านยืดยาวไป เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่
ครั้นก๋งจูฮอออกไปแล้ว เจ๋ฮวนก๋งจึงเอาความที่ก๋งจูฮอบอกนั้นเล่าให้กวนต๋งฟัง กวนต๋งจึงว่า ซกเหลียมคงซกซือซกสามคนนี้มีสติปัญญาสัตย์ซื่อต่อเจ้าเมืองนัก ซึ่งก๋งจูฮอมากล่าวโทษทั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าก๋งจูฮอจะคิดร้ายต่อบิดาเป็นมั่นคง ท่านอย่าเพิ่งเชื่อฟังก่อน เจ๋ฮวนก๋งก็เห็นจริงด้วย จึงให้หาก๋งจูฮอเข้ามาว่า ความซึ่งท่านว่านั้นเราจะปรึกษาด้วยบิดาท่านก่อนจึงจะคอยคิดอ่านให้ ก๋งจูฮอได้ฟังเจ๋ฮวนก๋งว่าดังนั้นก็ตกใจนัก จึงลาเจ๋ฮวนก๋งกลับไปเมือง
ฝ่ายกวนต๋งตั้งแต่ก๋งจูฮอมากล่าวโทษซกเหลียมคงซกซือซกครั้งนั้น มีความชิงชังก๋งจูฮอยิ่งนัก จึงให้คนใช้รีบเอาความนั้นล่วงไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเตงให้รู้ก่อน ครั้นก๋งจูฮอกลับไปถึงเมืองบอกกับบิดาว่า ซึ่งท่านให้ข้าพเจ้าไปแทนนั้น เจ๋ฮวนก๋งขัดเคืองนักดูประหนึ่งว่าจะยกมาตีเมืองเราอีก เราจะนิ่งอยู่ดังนี้ก็เห็นบ้านเมืองจะวุ่นวายไม่เป็นสุข จำจะคิดเอาเมืองฌ้อเป็นที่พึ่งจึงจะได้ เจ้าเมืองเตงได้ฟังก๋งจูฮอว่าดังนั้นก็โกรธ จึงตอบว่า ความทั้งนี้ก็รู้อยู่สิ้น มึงเอาเมืองเตงไปเป็นของกำนัลเจ๋ฮวนก๋งแล้ว แล้วจะเอาไปให้เจ้าเมืองฌ้ออีกเล่า ก็ให้ทหารจับตัวก๋งจูฮอไปฆ่าเสีย
ฝ่ายก๋งจูจังเห็นบิดาฆ่าก๋งจูฮอผู้พี่ตายแล้ว กลัวอันตรายจะถึงตัวก็หนีไปอาศัยเมืองซอง เจ้าเมืองเตงก็ใช้ให้ทหารไปคอยฆ่าก๋งจูจังเสียกลางทาง เจ้าเมืองเตงก็คิดขอบใจเจ๋ฮวนก๋งที่ไม่เชื่อฟังถ้อยคำก๋งจูฮอ จึงให้คงซกขึ้นไปคำนับเจ๋ฮวนก๋ง ณ เมืองเจ๋ แล้วคงซกก็ลากลับมาเมือง ขณะนั้นพระเจ้าจิวอุยอ๋องเสวยราชสมบัติได้ยี่สิบหกปี ทรงพระประชวรหนักลง ฝ่ายไทจิวเต้ซึ่งเป็นพระราชบุตรผู้ใหญ่จึงให้อ๋องจูเฮาเอาเนื้อความมาแจ้งแก่เจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็ให้หาหัวเมืองทั้งปวงรีบขึ้นไปพร้อมกัน ณ บ้านเทียวตี พอพระเจ้าจิวอุยอ๋องสวรรคต ไทจิวเต้จึงสั่งเตียวเป๊กจายก๋งซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่จัดแจงทำการพระศพ แล้วให้ก๋งจือเฮาเอาเหตุซึ่งพระเจ้าจิวอุยอ๋องสิ้นพระชนม์นั้น เร่งลงมาแจ้งแก่เจ๋ฮวนก๋ง ณ บ้านเทียวตี เจ๋ฮวนก๋งจึงปรึกษาด้วยหัวเมืองทั้งปวงพร้อมกัน ให้ตั้งค่ายใหญ่ ณ บ้านเทียวตี แต่งขุนนางทั้งปวงขึ้นไปแทนตัวทั้งแปดหัวเมือง กราบถวายบังคมพระศพเสร็จแล้วเจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองซอง เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองติน เจ้าเมืองเตง เจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองฆ้อ ให้ขุนนางไปแทนตัวทั้งแปดเมืองขึ้นไปกับกงจือเฮา กงจือเฮาก็ให้ขุนนางแปดหัวเมืองยั้งอยู่นอกกำแพงแล้วก๋งจือเฮาก็เข้าไปแจ้งแก่ไทจิวเต้ ไทจิวเต้จึงให้เตียวเป๊กเสียวจายออกไปรับขุนนางทั้งแปดหัวเมืองเข้าไปถวายบังคมพระศพแล้ว ไทจิวเต้ก็เชิญพระศพพระเจ้าจิวอุยอ๋องไปฝังตามอย่างธรรมเนียมพระมหากษัตริย์แต่ก่อน
ฝ่ายขุนนางทั้งแปดหัวเมืองก็เชิญไทจิวเต้ขึ้นเสวยราชสมบัติ บรรดาขุนนางผู้ใหญ่น้อยในเมืองหลวงนั้นต่างก็อวยพรถวายพระนามไทจิวเต้ชื่อพระเจ้าจิวเซียงอ๋อง ฝ่ายนางตันหงุยกับไทซกตั้วนั้น เห็นหัวเมืองทั้งปวงให้ขุนนางเข้ามาตั้งไทจิวเต้ขึ้นเป็นพระเจ้าเมืองหลวงครั้งนั้นมีความเกรงกลัวนักมิได้คิดที่จะประทุษร้ายสืบไป ฝ่ายขุนนางทั้งแปดหัวเมืองเห็นราชการในเมืองหลวงราบเรียบแล้ว ก็ทูลลาพระเจ้าจิวเซียงอ๋องกลับมา ณ บ้านเทียวตีแจ้งแก่เจ๋ฮวนก๋งและเจ้าเมืองทั้งนั้นตามซึ่งได้จัดแจงทุกประการ
ฝ่ายพระเจ้าจิวเซียงอ๋องครั้นได้เสวยราชสมบัติแล้ว ก็ให้จัดแจงล้มโคกระบือและสุกรเป็ดไก่เหล้าเข้าไปคำนับรูปพระเจ้าบุนอ๋องและรูปพระเจ้าบู๊อ๋อง ณ ศาลตามประเพณี แล้วคิดถึงเจ๋ฮวนก๋งซึ่งมีความชอบ จึงให้จายคงจัดแจงสิ่งของซึ่งเซ่นเทพารักษ์นั้นลงไปประทานเจ๋ฮวนก๋งกับหัวเมืองทั้งปวงนั้น ณ บ้านเทียวตีเป็นอันมาก ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งแจ้งว่าพระเจ้าจิวเซียงอ๋องให้จายคงเอาของลงประทานก็ปลูกพลับพลาตั้งเก้าอี้ขึ้นเหมือนที่เสด็จพระเจ้าเมืองหลวง แล้วก็พากันมาต้อนรับจายคง จายคงเห็นหัวเมืองทั้งปวงออกมารับ ก็ยกของซึ่งประทานลงมานั้นชูขึ้นแล้วว่า พระเจ้าจิวเซียงอ๋องรับสั่งให้เราเอาของซึ่งไปคำนับพระเจ้าบุนอ๋องและพระเจ้าบู๊อ๋องลงไปประทานท่าน เจ๋ฮวนก๋งก็คุกเข่าลงคำนับ จายคงจึงห้ามว่า รับสั่งโปรดอยู่ว่าท่านชราแล้วอย่าถวายบังคมเลย เจ๋ฮวนก๋งจึงตอบว่า พระเจ้าเมืองหลวงมีบุญมากครั้นเราจะมิคำนับก็จะเป็นเยี่ยงอย่างสืบไป เจ๋ฮวนก๋งกับหัวเมืองทั้งปวงก็กราบถวายบังคมรับเอาของซึ่งประทานลงมานั้นแล้วจายคงก็กลับไปเมืองหลวง
ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งจึงสั่งสอนหัวเมืองทั้งปวงว่า ให้มีจิตรักใคร่กันโดยสุจริต ที่นาและทางนํ้าอย่าให้ปิดกันและกัน และถ้าเมืองใดขัดด้วยเสบียงอาหาร จะหยิบยืมก็ให้ทำนุบำรุงกันตามสมควร อนึ่งอย่ายกเมียน้อยขึ้นเป็นใหญ่กว่าเมียหลวง อย่าให้น้องเป็นใหญ่กว่าพี่ อย่าให้ผู้หญิงว่าราชการ บ้านเมืองจึงจะเป็นสุข เจ้าเมืองทั้งแปดเมืองก็รับคำแล้วคำนับลาเจ๋ฮวนก๋งกลับไปเมือง เจ๋ฮวนก๋งก็กลับมาถึงกลางทางเอาความในเมืองหลวงนั้นพูดกับกวนต๋ง กวนต๋งจึงว่า อย่าว่าแต่เมืองหลวงเลย ถึงเมืองท่านก็คงจะวุ่นวายเหมือนกัน ด้วยท่านมิได้จัดแจงให้ผู้ใดเป็นผู้ใหญ่เสียแต่ยังมีชีวิตอยู่ เจ๋ฮวนก๋งจึงตอบว่า เรามีลูกอยู่หกคน ถ้าจะเอาที่แก่อายุก็ก๋งจูบอคุย ถ้าจะเอาที่มีสติปัญญาก็ก๋งจูเจียว ครั้นจะตั้งก๋งจูเจียวขึ้นว่าราชการเล่าก็ได้รับคำนางอวยกีไว้ว่าจะให้สมบัติกับก๋งจูบอคุย แต่ใจเรารักก๋งจูเจียวจึงจะหาตกลงไม่ ท่านคิดดูเถิดถ้าเห็นสมควรแก่ผู้ใดแล้วเราก็จะยกให้แก่ผู้นั้น
กวนต๋งจึงตอบว่า อันบ้านเมืองจะเป็นสุขก็เพราะคนมีสติปัญญา ท่านเห็นก๋งจูเจียวมีสติปัญญาแล้ว จงให้ก๋งจูเจียวว่าราชการเถิด เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า ก๋งจูเจียวเป็นเด็ก ครั้นจะมอบบ้านเมืองให้ก็กลัวก๋งจูบอคุยจะคิดช่วงชิงกันภายหลัง กวนต๋งจึงว่า ถ้าท่านคิดเกรงดังนั้นแล้ว จงไป ณ บ้านคุยคิวให้หาหัวเมืองทั้งปวงมา ถ้าเห็นผู้ใดมีสติปัญญาซื่อสัตย์แล้ว จงมอบก๋งจูเจียวให้แก่ผู้นั้นเถิด เจ๋ฮวนก๋งเห็นชอบด้วย ก็ไป ณ บ้านคุยคิวตามคำกวนต๋งแล้วให้หาหัวเมืองมา
ขณะนั้นซองฮวนก๋งเจ้าเมืองซองก็ถึงแก่ความตาย ฝ่ายก๋งจือฮูผู้เป็นลูกเมียหลวงนั้นก็จัดแจงฝังศพบิดาแล้ว จึงว่าแก่ก๋งจือมอกฮีผู้พี่ซึ่งเป็นลูกเมียน้อยว่า ท่านเป็นผู้ใหญ่แก่ทั้งสติปัญญาจงจัดแจงรักษาสมบัติบ้านเมืองเถิด ข้าพเจ้าจะขอพึ่งบุญท่าน ก๋งจือมอกฮีจึงว่า ข้าพเจ้าจะช่วยทำนุบำรุงไปตามสติปัญญาจนกว่าจะสิ้นชีวิต ก๋งจือฮูเห็นก๋งจือมอกฮียอมโดยสุจริต ก็ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองซองแทนบิดา เรียกชื่อซองเซียงก๋ง แล้วตั้งก๋งจือมอกฮีเป็นจางเสียง
ครั้นเจ๋ฮวนก๋งให้นัดหัวเมืองไป ณ บ้านคุยคิว ขณะนั้นซองเซียงก๋งก็ไป ณ บ้านคุยคิว ถึงพร้อมกันกับหัวเมืองทั้งปวงพากันไปคำนับเจ๋ฮวนก๋ง ไต่ถามถึงสุขทุกข์กันแล้วต่างก็กลับมาที่สำนัก ฝ่ายกวนต๋งจึงว่าแก่เจ๋ฮวนก๋งว่า ซึ่งท่านจะฝากก๋งจูเจียวไว้นั้น ข้าพเจ้าเห็นจะวางใจได้แต่ซองเซียงก๋ง ซองเซียงก๋งก็รับคำว่าท่านอย่าวิตกเลย อันก๋งจูเจียวลูกท่านนี้ถ้ามีทุกข์ร้อนประการใด ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่แล้วคงจะช่วยทำนุบำรุงมิให้เป็นอันตราย เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็สิ้นความซึ่งวิตก จึงสั่งให้จัดแจงสิ่งของมาเลี้ยงหัวเมืองทั้งปวง เจ๋ฮวนก๋งและหัวเมืองทั้งปวงก็กลับไปเมือง
ฝ่ายจิ้นเฮียนก๋งเจ้าเมืองจิ้นซึ่งมาตามนัดเจ๋ฮวนก๋งนั้น ครั้นมาถึงกลางทางปะจายคงกลับขึ้นไป จิ้นเฮียนก๋งจึงถามถึงเจ๋ฮวนก๋งและหัวเมืองทั้งปวง จายคงจึงตอบว่า เจ๋ฮวนก๋งและหัวเมืองทั้งปวงเขากลับไปแล้ว จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า เขากลับไปแล้วเราจะไปทำไมเล่า จิ้นเฮียนก๋งก็กลับไปเมือง จิ้นเฮียนก๋งนั้นการข้างในรักจะใคร่ให้สิทธิ์ขาดกับนางเลกี การข้างนอกเชื่อถือเสียงฮูกับต๋งนีอีฮู และนางเลกีคิดจะกำจัดซีนเซงเสีย แต่เกรงอยู่ว่าซีนเซงมีสติปัญญา ทั้งนํ้าใจก็กว้างขวางโอบอ้อมอารี ขุนนางใหญ่น้อยเข้าเป็นพรรคพวกรักใคร่ซีนเซงมาก แล้วซีนเซงก็เป็นที่ซีจู จะว่ากล่าวข้อความสิ่งใดโดยสัจธรรมต่างคนต่างสรรเสริญว่า ซีนเซงมีใจเมตตากับไพร่บ้านพลเมือง ประการหนึ่งถ้าจิ้นเฮียนก๋งจะไปทำศึกสงครามและใช้สอยการงานทั้งปวง ซีนเซงก็อุตส่าห์กระทำตามทุกสิ่งมิได้ขัดอัชฌาสัยบิดา ครั้นเมื่อซีนเซงออกไปอยู่ต่างเมืองแล้ว จิ้นเฮียนก๋งห่างรักซีนเซงกลับมารักซีเจ๋บุตรนางเลกี นางเลกีเห็นได้ทีคิดจะหยิบเอาผิดใส่โทษซีนเซง ก็หามีข้อความผิดสิ่งใดไม่ จึงให้หาอิวสีเข้ามาบอกความในใจว่า เราจะคิดถอดซีจูซีนเซงเสียตั้งซีเจ๋ขึ้นแทน ท่านจะมีอุบายทำอย่างไรได้บ้าง
อิวสีจึงว่า ซีนเซง ต๋งนี อีฮูทั้งสามต่างคนต่างออกไปอยู่หัวเมือง เมื่อฮูหยินจะทำแล้วยากอะไรมี นางเลกีจึงตอบว่า อันลูกสามคนนี้มีความคิดแก่กล้า การทั้งปวงสิ่งใดก็ได้เห็นมามากแล้ว ขุนนางในเมืองเล่าก็แต่ล้วนพวกพ้องคนข้างเคียงของซีนเซงคิดจะให้ซีนเซงเป็นใหญ่อยู่สิ้น เราพิเคราะห์ดูไม่เห็นช่องที่ตลอดไปได้ อิวสีจึงว่า เราคิดทำทั้งนี้เป็นการใหญ่อยู่ ซึ่งคิดกำจัดเสียให้พร้อมกันทั้งสามคนทีเดียวนั้นจะได้หรือ จงตัดซีนเซงเสียคนเดียวนี้ก่อน ถ้าตัดซีนเซงลงได้แล้วการของเราก็จะสำเร็จโดยง่าย นางเลกีจึงว่า ซีนเซงออกไปอยู่ ณ บ้านซกอักห่างจิ้นเฮียนก๋งก็จริง แต่จิ้นเฮียนก๋งรักลูกคนนี้ว่ามีใจเมตตาแก่อาณาประชาราษฎร์แล้วซื่อสัตย์กตัญญูมั่นคงนัก ซึ่งเราจะมาคิดผูกพันกล่าวโทษซีนเซงนั้นเห็นจิ้นเฮียนก๋งจะไม่เชื่อ ท่านจะให้เราว่ากล่าวประการใดจิ้นเฮียนก๋งจึงจะมีความสงสัยซีนเซง อิวสีจึงว่า จิ้นเฮียนก๋งก็รู้อยู่ว่าขุนนางและทหารทั้งปวงเข้าเป็นพวกพ้องรักใคร่ซีนเซงมาก ท่านจงคิดความอันนี้ใส่ไคล้เอา เห็นจิ้นเฮียนก๋งจะคิดระแวงซีนเซง ว่าเท่านั้นแล้วอิวสีก็ลาออกมาที่ข้างนอก ส่วนนางเลกีนั้นกลางคืนนอนอยู่กับจิ้นเฮียนก๋ง ครั้นเวลาดึกแล้วทำร้องไห้สะอื้นอยู่เป็นช้านาน จิ้นเฮียนก๋งตื่นขึ้นมีความสงสัยถามว่าเจ้าร้องไห้ด้วยเหตุอันใด นางเลกีก็มิใคร่จะบอก จิ้นเฮียนก๋งปลอบถามเป็นหลายครั้ง นางเลกีจึงว่า ถึงข้าพเจ้าจะบอกที่ไหนท่านจะเชื่อ แต่ว่าถามแล้วขัดมิได้ ซึ่งข้าพเจ้าร้องไห้ทั้งนี้ด้วยคิดถึงตัวว่าจะมิได้ปฏิบัติรักษาท่านยืดไป จิ้นเฮียนก๋งจึงว่าเหตุใดเจ้าจึงเอาความมิดีมาเจรจาดังนี้
นางเลกีเช็ดนํ้าตาแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าซีนเซงซึ่งไปอยู่ ณ ที่ซกอักนั้นพูดกับคนข้างนอกว่า ท่านลุ่มหลงกับข้าพเจ้ามิได้เอาใจใส่กิจราชการบ้านเมือง แล้วว่าแผ่นดินเมืองจิ้นนี้จะเป็นอันตรายเพราะข้าพเจ้า คิดจะกำจัดข้าพเจ้าเสีย แล้วทุกวันนี้ซีนเซงเอาทรัพย์ของเงินทองออกแจกจ่ายให้เป็นอันมาก ทหารและไพร่บ้านพลเมืองมีใจยินดีต่อซีนเซง ถ้าซีนเซงจะใช้ไปแห่งใดตำบลใด ถึงทางจะกันดาร ประกอบด้วยอสรพิษและเสือร้าย คนทั้งปวงก็มิได้ย่อท้ออาลัยแก่ชีวิตโดยกำลังที่รักใคร่ซีนเซง ข้าพเจ้าเห็นว่าซีนเซงจะคิดการใหญ่ขุนนางทั้งปวงก็รู้อยู่สิ้น แต่ท่านผู้เดียวหารู้ไม่ บ้านเมืองของท่านอยู่เย็นเป็นสุข จะเกิดจลาจลขึ้นเพราะข้าพเจ้านี้ ท่านจงเห็นแก่แผ่นดินและไพร่บ้านพลเมือง อย่าเห็นแก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเลยภัยจะมาถึงท่าน
จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า ซีนเซงเป็นคนเมตตาแก่อาณาประชาราษฎร์ ซีนเซงรักใคร่มิได้ทำอันตรายแก่ผู้ใด เราเป็นบิดาหรือซีนเซงจะไม่รัก จะมาคิดทำร้ายเรานั้นเห็นผิดไป นางเลกีจึงว่า ความทั้งนี้ก็เป็นคำคนข้างนอกข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ แต่คำโบราณว่ากษัตริย์กับพลเรือนไกลกัน เชื้อพลเรือนนับถือญาติอันสนิท อันกษัตริย์นั้นสมบัติกับชีวิตคู่กัน ย่อมเห็นกับสมบัติยิ่งกว่าเชื้อวงศ์ มิได้คิดแก่บิดามารดาพี่และน้อง จิ้นเฮียนก๋งจึงว่านั้นก็ควรอยู่ แต่ซีนเซงนั้นเป็นคนน้ำใจสะอาด กลัวความชั่วและความนินทานัก ซึ่งจะทำร้ายแก่บิดาความชั่วของซีนเซงก็จะปรากฏอยู่ในแผ่นดินเห็นซีนเซงจะหาทำกับเราไม่
นางเลกีจึงว่า เมื่อครั้งพระเจ้าอิวอ๋องไม่ฆ่างีเป๊กเสียปล่อยไป เจ้าเมืองสินรับไว้แล้ว เจ้าเมืองสินไปคบคิดกับเมืองเกียงหยง ยกทัพมาฆ่าอิวอ๋องเสียที่เขากิสาน ก็เพราะงีเป๊กมีใจพยาบาทนางโปซูผู้เป็นมารดาเลี้ยง ภายหลังงีเป๊กได้เป็นเจ้าเมืองหลวงแทนเรียกว่าเป๊กอ๋อง ความนี้ท่านลืมเสียแล้วหรือ จิ้นเฮียนก๋งได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งใจ ลุกขึ้นจากที่นอนนั่งคิดอยู่ช้านานแล้วกลับปรึกษานางเลกีว่า เจ้าจะให้ทำเป็นประการใดจึงจะดี นางเลกีจึงว่า ท่านลองพูดลองใจซีนเซงดูว่าตัวท่านชราแล้วจะยกสมบัติให้ ถ้าซีนเซงยินดีรับเอาก็จะเห็นว่าซีนเซงคิดร้ายต่อท่านจริง จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า จะลองใจทำไมเล่า ซีนเซงก็เป็นลูกเมื่อข่มขี่มิลงแล้วเราจะสู้ตายเสียดีกว่า เจ้าอย่าวิตกเลยจะคิดกำจัดเสียให้ได้
นางเลกีเห็นจิ้นเฮียนก๋งสงสัยซีนเซงสมความคิดจึงว่า ท่านมิลองใจก็ตามเถิด แต่ทุกวันนี้เมืองเกาเลดสีเข้ามายํ่ายีในแว่นแคว้นเมืองเรา ขอให้ซีนเซงเป็นแม่ทัพยกไปปราบเสียให้ราบคาบ ถ้าซีนเซงเสียทีกับข้าศึก ถึงท่านจะเอาโทษประการใดก็หามีใครล่วงนินทาไม่ ถ้ายกไปตีเมืองเกาเลดสีได้แผ่นดินเราก็จะกว้างขวางขึ้นอีก เมื่อซีนเซงได้ความชอบกลับมามีใจกำเริบคิดร้ายต่อท่าน ความก็จะปรากฏไปแก่คนทั้งปวง เมื่อขุนนางและราษฎรเห็นด้วยเราแล้ว ภายหลังจึงจะกำจัดซีนเซง จิ้นเฮียนก๋งเห็นชอบด้วย แล้วมีหนังสือไปให้ซีนเซงเกณฑ์คนที่ซกอักไปตีเมืองกิมเซียเมืองเกาเลดสีตามบิดาสั่ง
ขณะนั้นลีซกขุนนางเข้ามาบอกจิ้นเฮียนก๋งว่า ซีนเซงเป็นที่ซือจูนั้นสำหรับอยู่ใกล้ท่าน ซึ่งจะให้ไปตีเมืองเกาเลดสีไกลท่านนั้นหาควรไม่ จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า ซีนเซงได้เคยยกทัพไปทำศึกหลายครั้งแล้ว เราเห็นว่าพอจะทำการได้จึงให้ไป ท่านอย่าวิตกเลย ลีซกได้ฟังดังนั้นก็ออกมาบอกเฮาตุก เฮาตุกจึงว่า ครั้งนี้ซีนเซงจะจนเสียแล้ว จึงแต่งหนังสือให้คนใช้ถือไปให้ซีนเซงเป็นใจความว่า ซึ่งบิดาท่านใช้ให้ไปรบเมืองเกาเลดสี ถ้าชนะศึกมาเห็นจะมีความสงสัยมากขึ้น อย่ายกไปรบเลยคิดหนีเอาตัวรอดดีกว่า ซีนเซงแจ้งในหนังสือดังนั้นถอนใจใหญ่แล้วว่า บิดาเราใช้มาครั้งนี้เห็นจะลองใจเราเป็นมั่นคง ครั้นจะมิทำตามเล่าก็จะเป็นข้อคำสั่ง ถ้าเดชะบุญของเราออกไปรบครั้งนี้ตายลงในท่ามกลางศึก ชื่อเราก็จะปรากฏไปภายหน้า คิดดังนั้นแล้วก็ยกทหารเข้าตีทัพฮองลกที่ตำบลเจ๊กซอง ฮองลกสู้ซีนเซงมิได้ก็หนีไป ซีนเซงบอกหนังสือมาถึงจิ้นเฮียนก๋งว่าข้าพเจ้าตีทัพฮองลกแตกไปแล้ว
ฝ่ายนางเลกีแจ้งความว่าซีนเซงยกทัพไปมีชัยกับข้าศึก จึงว่ากับจิ้นเฮียนก๋งว่า ซีนเซงไปทำสงครามมีชัยมา ข้าพเจ้าเห็นว่าขุนนางและทแกล้วทหารทั้งปวงจะเข้าเป็นใจกับซีนเซง ท่านจะคิดประการใดเล่า จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า ซีนเซงหามีข้อผิดไม่ ยังมิรู้ที่จะทำ เราจะงดไว้ตรึกตรองดูก่อน
ฝ่ายเฮาตุกซึ่งเป็นขุนนางพิเคราะห์ดูการเห็นเมืองจิ้นจวนจะเกิดจลาจลอยู่แล้ว ก็บอกป่วยไปอยู่ ณ บ้านให้ปิดประตูบ้านเสีย ผู้ใดจะไปมาหาก็มิได้ออกมาสนทนาด้วย