- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๕๖
ฝ่ายเจ้าเมืองจิ้นแจ้งว่าซุนลิมฮูตายก็มีความอาลัยนัก จึงสั่งให้ทำการฝังศพซุนลิมฮูตามตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่แล้ว เจ้าเมืองจิ้นจึงปรึกษาเอียจีแจะว่า เมืองเราข้าวแพงเกิดโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้นทุกแห่ง ซุนลิมฮูขุนนางผู้ใหญ่ก็ตายแล้ว หาผู้ใดจะปราบโจรให้ระงับมิได้ ท่านจะคิดประการใด เอียจีแจะจึงว่า ซึ่งท่านจะปราบโจรครั้งนี้โดยอาญาท่าน เห็นโจรจะยิ่งกำเริบหนักขึ้น เพราะว่าโจรมีพวกเพื่อนมาก ขอท่านจงจัดหาผู้มีสติปัญญาและฝีมือกล้าแข็ง มีผู้นับถือยำเกรงมากนั้น พาขึ้นไปเฝ้าพระเจ้าเมืองหลวงทูลขอตราตั้งที่ขุนนางผู้ใหญ่ ให้ถืออาญาสิทธิ์สำหรับปราบโจร พวกโจรทั้งปวงเกรงสติปัญญาขุนนางผู้ใหญ่ และกลัวอาญาพระเจ้าเมืองหลวง ก็จะละความชั่วเสียชักชวนกันทำมาหากินเป็นปกติ เมืองท่านจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข เจ้าเมืองจิ้นเห็นชอบด้วยจึงว่า ขุนนางในเมืองเราจะจัดเอาที่สัตย์ซื่อมีสติปัญญาและฝีมือกล้าแข็ง ก็เห็นแต่ซีหวยผู้เดียว ท่านจงจัดเครื่องบรรณาการตามสมควร เราจะพาซีหวยไปเฝ้าพระเจ้าเมืองหลวงในเพลาพรุ่งนี้ เอียจีแจะก็ออกมาเตรียมทหารและเครื่องบรรณาการพร้อมตามสั่ง ครั้นรุ่งเช้าเจ้าเมืองจิ้นก็ให้เอียจีแจะอยู่รักษาเมือง จึงพาซีหวยคุมเครื่องบรรณาการออกจากเมืองจิ้นไป ณ เมืองตังจิว เข้าพักอยู่ที่กงก๊วน พอพระเจ้าเมืองหลวงเสด็จออก เจ้าเมืองจิ้นก็ให้ขุนนางผู้ใหญ่พาเข้าไปเฝ้าทูลถวายเครื่องบรรณาการ
พระเจ้าเมืองตังจิวจึงตรัสปราศรัยด้วยเจ้าเมืองจิ้นตามประเพณีแขกเมือง เจ้าเมืองจิ้นจึงทูลว่า บัดนี้เมืองจิ้นเกิดโจรผู้ร้าย ซุนลิมฮูขุนนางผู้ใหญ่ก็ถึงแก่กรรมแล้ว หาผู้ใดจะเป็นผู้ใหญ่ช่วยคิดอ่านปราบโจรผู้ร้ายให้ระงับมิได้ ข้าพเจ้าจะขอรับพระราชทานให้ซีหวยเป็นขุนนางผู้ใหญ่แทนที่ซุนลิมฮู จะได้ช่วยจัดแจงบ้านเมืองปราบโจรผู้ร้ายให้ราษฎรชาวเมืองจิ้นได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป พระเจ้าเมืองหลวงได้ทรงฟัง จึงตรัสสั่งให้ซีหวยเป็นที่ตองกุ๋นง่วนโซ่ยขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหารสำเร็จราชการในเมืองจิ้น แล้วมอบตรากับเสื้อหมวกลงทองประดับยศตามตำแหน่งให้แก่ซีหวย แล้วพระราชทานที่ตำบลห้วมกุ้ยเป็นบ้านส่วยขึ้นแก่ซีหวย จึงสั่งเจ้าพนักงานให้เลี้ยงโต๊ะตามธรรมเนียม
เจ้าเมืองจิ้นกินโต๊ะแล้ว ก็ถวายบังคมลาพาซีหวยกลับมาถึงเมือง ซีหวยจึงเขียนหนังสือไปปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ในหนังสือนั้นว่าพระเจ้าเมืองหลวงมีรับสั่งโปรดให้เราผู้ชื่อซีหวยเป็นที่ตองกุ๋นง่วนโซ่ย ถืออาญาสิทธิ์ออกมาปราบโจรให้ราบคาบ จะบำรุงแผ่นดินเมืองจิ้นให้อยู่เย็นเป็นสุข ผู้ใดเกียจคร้านทำมาหากินคบคิดกันเป็นโจรผู้ร้าย ปล้นสะดมเอาทรัพย์สิ่งของราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน แม้นสืบจับตัวได้จะเอาตัวส่งขึ้นไปเมืองหลวง แล้วจะชำระเอาพวกเพื่อนแซ่เชื้อไปประหารชีวิตเสียให้สิ้น จะไม่ให้มีโจรผู้ร้ายในแผ่นดินตามรับสั่ง แล้วซีหวยให้ทหารคนสนิทสืบรู้ว่ามีผู้ใดเป็นนายโจรพวกพ้องมากก็หาตัวมา ให้เงินทองเสื้อผ้าแล้วมากล่าวสั่งสอนให้ละความชั่วเสีย ผู้ซึ่งเป็นโจรและนายโจรได้เห็นหนังสือกระแสผู้ที่รับสั่งปิดไว้ประตูเมืองก็กลัวอาญา ต่างคนก็เข้ามาลุกะโทษฝากตัวอยู่ให้ซีหวยใช้ ซีหวยก็ว่ากล่าวสั่งสอนให้ละความชั่ว ตั้งตัวเป็นคนดีทำมาหากินโดยปรกติ พวกโจรที่มีสันดานกระด้างมิได้ละความชั่ว ต่างคนก็มีความกลัวซีหวยจะจับไปเมืองหลวง ก็พากันอพยพครอบครัวหนีไปอยู่ในแดนเมืองอื่น แต่นั้นมาแผ่นดินเมืองจิ้นก็ไม่มีโจรผู้ร้าย สิ่งของอันใดตกและลืมไว้ก็ไม่มีผู้ใดหยิบฉวยถูกต้อง ด้วยกลัวจะมีผู้ว่ากล่าวเอาโทษว่าเป็นผู้ร้าย ราษฎรก็ค่อยอยู่เย็นเป็นสุข ฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ เจ้าเมืองจิ้นก็มีนํ้าใจกว้างขวาง จึงคิดว่าบรรดาเมืองซึ่งเป็นไมตรีกับเรามาแต่ก่อนนั้น ก็ไปขึ้นกับเมืองฌ้อเสียหลายเมืองแล้ว ครั้นจะไม่คิดหาพวกพ้องก็เกรงเจ้าเมืองฌ้อจะมาตี บัดนี้ก๋งจูหงวนได้เป็นเมืองเจ๋ขึ้น จำจะจัดแจงของไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋สืบทางไมตรีไว้ แม้เมืองฌ้อยกมาทำแก่เมืองเรา จะได้ไปขอกองทัพมาช่วยให้ทันท่วงที เจ้าเมืองจิ้นจึงสั่งเคียดซกซึ่งเป็นที่เซียงกุนว่า ท่านจงคุมสิ่งของไปเมืองฬ่อ เป็นนายหน้านำสิ่งของไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋จะได้เป็นทางไมตรีกันสืบไป
เคียดซกก็คำนับลาออกมาคุมสิ่งของไปเมืองฬ่อ จึงเข้าไปคำนับแจ้งความกับเจ้าเมืองฬ่อตามคำเจ้าเมืองสั่งมา เจ้าเมืองฬ่อก็ให้ฮังฮูพาเคียดซกคุมเครื่องบรรณาการไปเมืองเจ๋ ครั้นมาถึงกลางทางพบซุนเลียงฮูขุนนางเมืองโอยกับก๋งจูซิวขุนนางเมืองโจ๋คุมเครื่องบรรณาการมาจะไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋ ขุนนางทั้งสี่เมืองก็พากันไปถึงเมืองเจ๋ เข้าหาขุนนางผู้ใหญ่ให้พาเข้าไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋ก็ปราศรัยแขกเมืองตามธรรมเนียมแล้ว และขุนนางทั้งสี่หัวเมืองซึ่งเป็นทูตมานั้นเป็นพิกลพิกาลต่างๆ กันทั้งสี่คนเจ้าเมืองเจ๋อดยิ้มมิได้ ครั้นจะหัวเราะขึ้นต่อหน้าก็เกรงแขกเมืองจะอาย จึงสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่ให้พาแขกเมืองไปเลี้ยงโต๊ะที่กงก๊วน แล้วเจ้าเมืองเจ๋ก็เดินหัวเราะเข้ามาถึงที่ข้างใน
ฝ่ายนางซิวอวยกีมารดาเจ้าเมืองเจ๋ ตั้งแต่ผัวตายก็มีความอาลัยร้องไห้ทุกข์ตรอมใจอยู่ พอเห็นบุตรเดินหัวเราะเสียงดังเข้ามาก็โกรธจึงตวาดแล้วว่ามารดามีความทุกข์ไม่สบายใจ เหตุใดเจ้าสนุกหัวเราะเล่น เจ้าเมืองเจ๋ก็นั่งลงกราบคำนับแล้วแจ้งความว่า วันนี้หัวเมืองทั้งสี่ให้ทูตมาคำนับข้าพเจ้า ทูตทั้งสี่นั้นล้วนแต่คนพิการ ข้าพเจ้าอดยิ้มไม่ได้จึงหัวเราะขึ้น เจ้าเมืองเจ๋คิดจะให้มารดาลืมความโศกถึงบิดา จึงว่าเพลาพรุ่งนี้ขอเชิญมารดาขึ้นอยู่บนพลับพลาสูง ข้าพเจ้าจะให้พาทูตมาให้มารดาดู เจ้าเมืองเจ๋ก็กลับออกมาสั่งขุนนางคนสนิทว่า เพลาพรุ่งนี้ท่านจงจัดผู้ซึ่งเป็นพิการ ตาบอดข้างเดียวและคนขาสั้นข้างเดียว คนหลังโกง คนไม่มีมวยผม ให้ขี่เกวียนไปรับทูตทั้งสี่ผ่านมาทางหน้าพลับพลาสูง เข้ามาเลี้ยงโต๊ะ ณ ที่ข้างใน ให้แต่คนพิการสี่พวกที่จัดไว้นั้นเลี้ยงทูตทั้งสิ้น ขุนนางคนสนิทก็คำนับลาออกไปจัดคนพิการสี่พวกๆ ละสิบคน แล้วให้จัดแจงเตรียมโต๊ะที่จะเลี้ยงทูตไว้พร้อมตามเจ้าเมืองเจ๋สั่ง
ครั้นรุ่งเช้า เจ้าเมืองเจ๋ก็เชิญมารดากับนางข้างในขึ้นไปประทับนั่งบนพลับพลาสูงคอยดูทูต พอเห็นเกวียนขับตามกันมาทั้งสี่เล่ม นางซิวอวยกีกับนางข้างในก็เลิกมูลี่แลดู เห็นคนขับเกวียนมาตาบอดข้างเดียว ทูตที่นั่งมาในเกวียนก็เสียตาข้างหนึ่ง ดูเกวียนที่สองหลังโกงขับเกวียน ทูตก็หลังโกงเหมือนกัน ผู้ขับเกวียนที่สามขาสั้นข้างหนึ่ง ทูตก็ขาสั้นข้างหนึ่ง ผู้ขับเกวียนที่สี่ศีรษะล้านไม่มีมวยผม ทูตนั่งมาก็ไม่มีมวยผมเหมือนกันกับหลวงจีนโกนหัว นางซิวอวยกีและนางข้างในเห็นดังนั้นก็พากันหัวเราะอื้ออึง บ้างชี้มือให้เพื่อนกันดู ครั้นเห็นพวกทูตแลก็ทำปิดตาข้างเดียวบ้าง ทำหลังโกงและเดินโขยกขาสั้นบ้าง เอาผ้าคลุมหัวทำหัวล้านเยาะเย้ยเล่นต่างๆ และหัวเราะเสียงเซ็งแซ่
ฝ่ายทูตทั้งสี่นั่งมาบนเกวียน แลเห็นนางข้างในหัวเราะแล้วทำกิริยาเยาะเย้ยดังนั้น ก็ยังมิรู้ว่าเขาหัวเราะกันด้วยเหตุอันใด จึงแลดูผู้ที่ขับเกวียนพิการตำหนิมีเหมือนตัวก็รู้ว่านางข้างในหัวเราะเยาะตัว ทูตทั้งสี่มีความละอายนักก็ให้เร่งขับเกวียนไปให้พ้นหน้าพลับพลา เจ้าเมืองเห็นมารดาหัวเราะก็ดีใจจึงเชิญมารดาลงจากพลับพลาสูงกับนางข้างในทั้งปวง ให้มาคอยดูทูตที่จะมากินเลี้ยงอีกครั้งหนึ่ง นางซิวอวยกีก็พาหญิงทั้งปวงมานั่งอยู่ในมู่ลี่ เจ้าพนักงานก็พาทูตทั้งสี่เข้าไปนั่งกินโต๊ะ คนพิการทั้งสี่พวกที่จัดไว้ก็เข้าไปเลี้ยงทูต พวกตาบอดข้างเดียวให้เลี้ยงเคียดซกทูตเมืองจิ้นด้วยเสียตาข้างหนึ่งเหมือนกัน พวกหลังโกงให้เลี้ยงก๋งจูซือทูตเมืองโจ๋หลังโกงเหมือนกัน พวกขาสั้นข้างหนึ่งเลี้ยงซุนเลียงฮูทูตเมืองโอยขาสั้นเหมือนกัน พวกไม่มีผมจะเกล้ามวยเลี้ยงทูตเมืองฬ่อด้วยล้านเหมือนกัน นางซิวอวยกีเห็นดังนั้นก็หัวเราะเสียงดัง หญิงทั้งปวงก็พากันหัวเราะอื้ออึง บ้างว่าช่างกระไร จัดคนเลี้ยงกับผู้กินสมควรกันนัก อย่าว่าแต่เราท่านคนทุกวันนี้เลย ถึงนางโปซูมเหสีพระเจ้าอิวอ๋องที่ไม่พอใจหัวเราะก็คงจะอดกลั้นหัวเราะหาได้ไม่
ฝ่ายทูตทั้งสี่กินโต๊ะอยู่ได้ยินเสียงข้างในหัวเราะ ต่างคนแลดูผู้เลี้ยงล้วนแต่เป็นคนพิการเหมือนกับตัวนั่งอยู่เป็นพวกกัน ยิ่งมีความละอายคิดแค้นเจ้าเมืองเจ๋นัก แสร้งจัดคนเลี้ยงเยาะเย้ยเล่นให้เราได้ความอัปยศ ต่างคนจำใจกินโต๊ะ ไม่ทันอิ่มก็ลาออกมากงก๊วน พอเวลาค่ำลงเคียดซกโกรธเจ้าเมืองเจ๋นัก จึงพูดกับขุนนางทั้งสามว่าเราคุมของบรรณาการมาคำนับเจ้าเมืองเจ๋ครั้งนี้หวังจะเป็นทางไมตรีกับเจ้าเมืองเจ๋ บัดนี้เจ้าเมืองเจ๋แกล้งจัดคนพิการมาเลี้ยงโต๊ะ แล้วให้ผู้หญิงข้างในมาเยาะเย้ย เราได้ความอับอายเราแค้นนัก จะกลับไปเมืองคิดอ่านว่ากล่าวขอกองทัพนายเรายกมาตีจับเจ้าเมืองเจ๋ฆ่าเสีย ให้สาสมที่ทำให้เราได้ความอาย ท่านจะร่วมคิดด้วยเราหรือไม่ ขุนนางทั้งสามเมืองก็ว่าการซึ่งท่านคิดนี้ต้องกับความคิดข้าพเจ้าทั้งสาม แล้วต่างคนก็เอาปลายกระบี่กรีดเนื้อเอาโลหิตละลายกับสุราตั้งสัตย์สาบานต่อกัน ว่าจะยกกองทัพมาช่วยกันกำจัดเมืองเจ๋เสียให้ได้ ถ้าผู้ใดมิมาก็ให้ผู้นั้นตายด้วยคมอาวุธต่างๆ แล้วต่างคนดื่มสุราที่สาบาน ครั้นนัดกันเสร็จแล้ว มิได้ลาเจ้าเมืองและขุนนางผู้ใด ต่างคนขึ้นเกวียนแยกทางกลับไปเมือง
ฝ่ายผู้รักษากงก๊วน ครั้นทูตทั้งสี่เมืองหนีไปในเพลากลางคืนผิดธรรมเนียม จึงเอาความเข้าไปคำนับแจ้งกับก๊กจอขุนนางผู้ใหญ่ว่า เมื่อเพลาเย็นวานนี้ทูตทั้งสี่ออกจากที่กินโต๊ะในวังดูกิริยาโกรธมาทุกคน ข้าพเจ้าได้ยินพูดกันว่าเจ้าเมืองเจ๋ดูหมิ่น แสร้งเอาคนพิการมาเลี้ยงโต๊ะทำให้อาย แล้วต่างให้สัตย์สาบานต่อกันพอคํ่าลงก็พากันหนีไป ก๊กจอได้แจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงคิดว่าซึ่งเจ้าเมืองเจ๋ทำการเยาะเย้ยแขกเมืองซึ่งมาเป็นทางไมตรีให้ได้ความอัปยศโกรธแค้นไปดังนี้หาควรไม่ เห็นหัวเมืองทั้งสี่จะมีพยาบาทเป็นศัตรูกับเมืองเรามั่นคง ครั้นเช้าก๊กจอก็เข้าไปแจ้งความกับเจ้าเมืองเจ๋ทุกประการ เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังก็หัวเราะว่า ทั้งสี่หัวเมืองจัดขุนนางมาสืบทางไมตรีต่อเราครั้งนี้ เราเห็นว่าแกล้งทำมาดูหมิ่นเรา เราจึงต้องจัดคนที่พิการเหมือนกันรับพอสมควรกัน ถึงมาตรว่าหัวเมืองทั้งสี่โกรธจะพากันมารบกับเรา เราก็หาเกรงปัญญาแลฝีมือทั้งสี่ทหารไม่ ก๊กจอได้ฟังดังนั้นก็มิตอบประการใดคำนับลามาบ้าน
ฝ่ายตังสุยกับซกซุนเต๊กสินขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองฬ่อเป็นโรคป่วยลง เจ้าเมืองให้แพทย์ประกอบยารักษาไม่หายก็ถึงแก่กรรม เจ้าเมืองแต่งศพตามตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ พอฮังฮูไปราชการเมืองเจ๋มาถึง จึงตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่แทนที่ตังสุย ฮังฮูครั้นได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วคิดพยาบาทเจ้าเมืองเจ๋นัก วันหนึ่งฮังฮูเข้าไปคำนับเจ้าเมืองฬ่อ จึงแจ้งความว่าครั้งหนึ่งเจ้าท่านให้ข้าพเจ้าคุมเครื่องบรรณาการไปเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋ดูหมิ่นไม่นับถือ แกล้งจัดเอาคนที่ไม่มีมวยผมมาเลี้ยงดูรับรองข้าพเจ้า แล้วให้ผู้หญิงหัวเราะเยาะเย้ยให้ได้อาย ใช่จะดูหมิ่นแต่ข้าพเจ้าหามิได้ ทูตเมืองจิ้นเมืองโจ๋เมืองโอยซึ่งไปถึงพร้อมกันก็มีความแค้นเหมือนกัน ข้าพเจ้ากับทูตสามเมืองได้ให้สัตย์สาบานต่อกันไว้ ว่าจะยกกองทัพไปช่วยตีเมืองเจ๋แก้แค้นด้วยกัน เจ้าเมืองฬ่อได้ฟังก็โกรธ ว่าเจ้าเมืองเจ๋ดูหมิ่นไม่นับถือแกล้งเยาะเย้ยทูตให้ได้อาย จึงว่าเมืองเราเป็นเมืองน้อยจะตีเมืองเจ๋เห็นจะไม่ชนะ จำจะไปขอกองทัพเมืองฌ้อยกไปช่วยด้วย เจ้าเมืองฬ่อก็สั่งให้ขุนนางผู้หนึ่งคุมเครื่องคำนับไปขอกองทัพ ณ เมืองฌ้อ ขุนนางผู้นั้นก็คำนับลาคุมสิ่งของไปเมืองฌ้อ
ขณะนั้นฌ้อจองอ๋องป่วยถึงแก่กรรม ขุนนางทั้งปวงพร้อมใจกันยกตงซินอายุสิบขวบบุตรเจ้าเมืองผู้ตาย ให้ชื่อฌ้อกังอ๋องว่าราชการเมืองต่อไป ฌ้อกังอ๋องก็แต่งการศพบิดาการยังหาสำเร็จไม่ พอเจ้าเมืองฬ่อให้ขุนนางมาขอกองทัพไปช่วยตีเมืองเจ๋ เจ้าเมืองฌ้อจึงว่าซึ่งนายท่านให้เอาของมาคำนับเรา เราขอบใจแล้ว แต่จะ ให้กองทัพไปช่วยนั้นยังไม่ได้ ด้วยการศพบิดาเรายังไม่สำเร็จ ท่านจงไปแจ้งแก่เจ้าเมืองฬ่อว่า เราของดพอการศพบิดาเราสำเร็จจึงจะยกไปช่วย ขุนนางเมืองฬ่อก็คำนับลากลับไปเมือง
ฝ่ายซีหวยขุนนางผู้ใหญ่เมืองจิ้น ครั้นเคียดซกกลับมาจากเมืองเจ๋แล้ว เจ้าเมืองจิ้นชอบอัชฌาสัยรักใคร่เคียดซก เคียดซกจะว่ากล่าวก็เชื่อฟัง ซีหวยเห็นผิดว่ากล่าวทัดทานเจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นก็ไม่เชื่อ ซีหวยมีความน้อยใจจึงเข้าไปลาเจ้าเมืองจิ้นว่า ข้าพเจ้าชราจะขอลาท่านไปอยู่บ้านเก่าทำไร่นาพอเลี้ยงชีวิตไปกว่าจะตาย เจ้าเมืองจิ้นเห็นซีหวยไม่สมัครแล้วอนุญาตให้ ซีหวยก็คำนับลาไปอยู่บ้านเก่า เจ้าเมืองจิ้นจึงตั้งให้เคียดซกเป็นที่ตองกุ๋นง่วนโซ่ยแทนซีหวย เคียดซกมีใจพยาบาทเจ้าเมืองเจ๋อยู่ไม่ขาด ครั้นได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็มีความยินดี จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งใจความว่า ครั้นเรายกไปเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋ทำให้เราได้ความอาย เราได้ให้สัตย์กันไว้ว่า ท่านจะยกไปตีเมืองเจ๋เมื่อใดจงบอกไปให้เรารู้จะได้ยกไปช่วยกัน เขียนแล้วเข้าผนึก ส่งไปให้คนสนิทถือไปให้ฮังฮูเมืองฬ่อ
ฮังฮูได้แจ้งในหนังสือก็ยินดีนัก จึงสั่งให้เลี้ยงดูผู้ถือหนังสือแล้วก็เข้าไปแจ้งความกับเจ้าเมืองฬ่อทุกประการ พอขุนนางซึ่งไปขอกองทัพเมืองฌ้อกลับมาถึง จึงแจ้งความตามเจ้าเมืองฌ้อสั่งมาให้เจ้าเมืองฟังทุกประการ เจ้าเมืองฬ่อจึงพูดกับฮังฮูว่า เจ้าเมืองฌ้อติดทำการศพบิดาอยู่ จะยกมาช่วยเราทำศึกกับเมืองเจ๋ยังมิได้โดยเร็ว เคียดซกก็มีหนังสือมาจะให้นัดกองทัพ เราเห็นว่าการยังไม่พร้อมกันจำจะงดไว้ก่อน ว่าแล้วก็เรียกฮังฮูเข้ามากระซิบบอกว่า ขุนนางในเมืองเราทุกวันนี้เราเห็นกำเริบอยู่สามคน คือเม่งซุนสี กุยซุนสี ซกซุนสี และขุนนางทั้งสามนี้มีสมัครพรรคพวกมาก คบคิดกันฆ่าก๋งจูฮูก๋งจูซีเสีย ทุกวันนี้เราจะว่ากล่าวสิ่งใดก็ไม่อยู่ในบังคับบัญชา ถ้ากองทัพหัวเมืองพร้อมแล้วเราก็จะยกไปเมืองเจ๋ เห็นขุนนางทั้งสามเมืองอยู่ภายหลังจะคิดขบถ จำจะคิดให้ทหารเมืองจิ้นมาจับขุนนางทั้งสามฆ่าเสียก่อนจึงจะสิ้นห่วงหลัง ท่านจะเห็นเป็นประการใด ฮังฮูก็เห็นชอบด้วย
เจ้าเมืองฬ่อก็แต่งหนังสือฉบับหนึ่ง กับเครื่องบรรณาการมอบให้ก๋งซุนจือขุนนางคนสนิท แล้วสั่งความลับไปแจ้งแก่เจ้าเมืองจิ้น ก๋งซุนจือก็คำนับรับหนังสือกับสิ่งของไปเมืองจิ้น เข้าหาโต๊ะไงเกียขุนนางผู้ใหญ่แจ้งความว่า เจ้าเมืองฬ่อกับฮังฮูนายข้าพเจ้าให้ถือหนังสือแลเครื่องบรรณาการมาขอทหารเมืองท่านไปจับเม่งซุนสี ซกซุนสี กุยซุนสี ขุนนางเมืองฬ่อซึ่งจับก๋งจูฮูก๋งจูซีบุตรเจ้าเมืองฬ่อฆ่าเสีย ขอท่านจงกรุณาช่วยนำหนังสือกับเครื่องบรรณาการและตัวข้าพเจ้า เข้าไปคำนับแจ้งความแก่เจ้าเมืองจิ้นให้ทราบด้วย โต๊ะไงเกียได้แจ้งดังนั้นก็พาผู้ถือหนังสือเข้าไปคำนับส่งหนังสือให้เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นฉีกผนึกออกอ่านแจ้งความแล้วปรึกษาลวนจือว่า เจ้าเมืองฬ่อให้ขอทหารเราไปช่วยจับขุนนางสามคน ณ เมืองฬ่อ ว่าฆ่าบุตรเจ้าเมืองฬ่อเสียท่านจะเห็นประการใด ลวนจือจึงว่าขุนนางเมืองฬ่อทั้งสามคนนี้ลูกหลานเตียวตุนผู้ตายเป็นเชื้อสายของท่านด้วย ซึ่งเจ้าเมืองฬ่อให้มาขอทหารท่านไปจับขุนนางทั้งสามนั้นไม่ควร เจ้าเมืองจิ้นเห็นชอบด้วยก็นิ่งอยู่มิได้สั่งสิ่งใดก็เข้าไปเสียข้างใน
ฝ่ายเคียดซกแจ้งดังนั้นก็ออกมาบ้าน แล้วแต่งหนังสือลับฉบับหนึ่งส่งให้คนใช้แล้วสั่งว่า ท่านจงเอาหนังสือเราไปให้ฮังฮู ณ เมืองฬ่อ คนใช้รับหนังสือแล้วคำนับลารีบไปเมืองฬ่อจึงเข้าไปคำนับส่งหนังสือให้ฮังฮู ฮังฮูฉีกผนึกอ่านได้ใจความว่า ซึ่งเจ้าเมืองฬ่อนายท่านมีหนังสือไปขอทหารเมืองจิ้นมาจับขุนนางสามแซ่หาสมความคิดเจ้าเมืองฬ่อไม่นั้น บัดนี้เนื้อความดังแพร่งพรายไปแล้ว ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่เร่งระวังตัวให้ดี ฮังฮูแจ้งดังนั้นจึงคิดว่า ขุนนางสามคนนี้เป็นแซ่เดียวกับเตียวตุน เตียวตุนเป็นขุนนางผู้ใหญ่เมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นจึงมิให้ทหารมาทำร้ายเพราะคิดอยู่กับเตียวตุนผู้ตาย ครั้นเราจะละขุนนางทั้งสามไว้ช้า อุปมาเหมือนเลี้ยงเสือไว้กับบ้าน ประมาทลงเมื่อไรเสือก็จะทำร้ายผู้เลี้ยงเสีย คิดแล้วก็เข้าไป ณ ที่ออกขุนนางคอยเจ้าเมือง ครั้นมิได้เห็นเจ้าเมืองออกมาว่าราชการ จึงแอบเข้าไปที่ประตู ถามหญิงคนใช้ผู้รักษาประตู หญิงนั้นบอกว่าเจ้าเมืองฬ่อป่วย ฮังฮูก็กลับมาบ้าน ให้คนคอยสืบอาการว่าหายเมื่อใด จึงจะเข้าไปแจ้งความให้จับขุนนางทั้งสามฆ่าเสีย อยู่มาประมาณสองสามวัน มีผู้แจ้งความว่าเจ้าเมืองฬ่อถึงแก่กรรม ฮังฮูตกใจ จึงรีบเข้าไป ณ ที่ว่าราชการ ปรึกษาขุนนางทั้งปวงพร้อมกันยกเอกต๋ำอายุสิบสามขวบบุตรเจ้าเมืองฬ่อขึ้นเป็นที่เจ้าเมือง ขนานนามเรียกว่าเสงก๋ง ว่าราชการแทนบิดาต่อไป เสงก๋งกับขุนนางก็กระทำการฝังศพบิดาตามธรรมเนียม อันเสงก๋งนั้นยังเป็นหนุ่มเห็นแต่การเล่น มิได้เอาใจใส่ในราชการเมือง จึงมอบการเมืองทั้งปวงให้แก่ฮังฮูทั้งสิ้น
ฮังฮูครั้นได้เป็นผู้สำเร็จราชการแล้วก็ยินดี ครั้นเวลาขุนนางทั้งปวงมาคำนับจึงว่า ทุกวันนี้เจ้านายเรายังเยาว์นัก ทั้งทแกล้วทหารก็ยังอ่อนแอหาเหมือนเขาทั้งปวงไม่ ครั้นพวกเราจะพากันนิ่งเสียมิได้ช่วยกันคิดอ่านรักษาเมือง ก็เห็นจะเป็นอันตรายด้วยข้าศึก บัดนี้เราเห็นลูกหลานตังสุยกับพวกซกซุนเต็กสินเป็นคนหยาบช้ามากทุกคน ถ้าละไว้นานเห็นจะคบคิดกันเป็นขบถ จำจะชิงตัดความคิดเสียก่อนอย่าให้ทันรู้ตัว ว่าแล้วฮังฮูก็สั่งจงสุยให้คุมทหารที่สำหรับรักษาเจ้าเมือง ออกไปจับพวกลูกหลานตังสุยซกซุนเต๊กสินมาฆ่าเสียให้สิ้น
ฝ่ายกงซุนกุยฮู ซึ่งคุมสิ่งของไปเมืองจิ้นก่อนนั้น ครั้นกลับมาถึงแดนเมืองฬ่อมีผู้แจ้งความว่าซวนก๋งเจ้าเมืองฬ่อตาย ขุนนางทั้งปวงพร้อมใจกันยกเอกต๋ำบุตรเจ้าเมืองฬ่อขึ้นเป็นที่เสงก๋งครองเมืองฬ่อ ฮังฮูให้ทหารไปจับพวกลูกหลานซกซุนเต๊กสินตังสุยฆ่าเสียสิ้น จึงคิดว่าเมืองเราเกิดการวุ่นวาย ครั้นเราจะเข้าไปครั้งนี้ เกลือกจะมีความกระทบกระทั่งจะเป็นอันตรายเสียเปล่าไม่ต้องการ คิดแล้วก็ไปอาศัยอยู่เมืองเจ๋ ฝ่ายฮังฮูคิดจะไปแก้แค้นเมืองเจ๋ก็ยังไม่สมคิด ครั้นเสงก๋งได้เป็นเจ้าเมืองฬ่อได้สองปี จึงให้ฮังฮูคุมเครื่องบรรณาการไปคำนับเจ้าเมืองจิ้นสืบทางไมตรี และขอกองทัพไปช่วยตีเมืองเจ๋ด้วย เจ้าเมืองจิ้นก็รับธุระ ฮังฮูมีความยินดีคำนับลามาเมือง
ฝ่ายฮุยก๋งเจ้าเมืองเจ๋แจ้งข่าวว่า เจ้าเมืองฬ่อไปขอกองทัพเมืองจิ้นมาตีเมืองตัว จึงคิดว่าจำเราจะยกไปตีเมืองฬ่อเสียก่อน อย่าให้ทันทัพเมืองฬ่อยกมา แต่จะต้องแต่งสิ่งของไปคำนับเจ้าเมืองฌ้อขอกองทัพมาช่วยด้วย คิดแล้วก็ให้ขุนนางไปเมืองฌ้อ อยู่ภายหลังจึงจัดทหารสองหมื่นเข้ากระบวนทัพยกออกจากเมืองเจ๋ เดินทัพตามระยะทางมาถึงตำบลเพงอิมกุยใกล้เมืองเลงอีบแดนเมืองฬ่อ ก็พักทหารตั้งมั่นไว้ จึงสั่งจิวโคยผู้บุตรว่า เจ้าจงคุมทหารไปตั้งค่ายประชิดเมืองเลงอีบข้างทิศใต้ จิวโคยก็รับคำนับคุมทหารไปตั้งค่ายตามคำบิดาสั่งทางไกลจากค่ายเจ้าเมืองเจ๋ประมาณห้าเส้นเศษ แล้วจิวโคยพาทหารสิบคนถือเครื่องยศตามออกไปเที่ยวตรวจค่าย
เจ้าเมืองเลงอีบแจ้งความว่าทัพเมืองเจ๋มาล้อมเมืองก็ตกใจ จึงสั่งทหารทั้งปวงให้ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินระวังเมืองไว้มั่นคง แล้วให้นายทหารคนหนึ่งคุมทหารสามร้อยเป็นกองโจรไปเที่ยวนอกเมือง พอเห็นจิวโคยออกมาตรวจค่ายเห็นได้ท่วงที ก็ให้ทหารกรูกันเข้าจับได้ตัวจิวโคยมัดมือพาเข้าไปในเมือง ขณะเมื่อเจ้าเมืองเลงอีบให้ทหารออกมาจับตัวจิวโคยไปนั้น เจ้าเมืองเจ๋ขึ้นอยู่บนหอรบเห็นเข้าก็ตกใจ จะให้ทหารออกไปช่วยก็ไม่ทัน มีความอาลัยแก่บุตรนัก จึงร้องด้วยเสียงอันดังว่า ท่านทั้งปวงจงปล่อยจิวโคยเสียเถิด เราจะเลิกทัพกลับไปเมืองแล้ว ทหารเมืองเลงอีบหาทันได้ยินไม่ ก็พาจิวโคยเข้าไปให้เจ้าเมืองเลงอีบ เจ้าเมืองเลงอีบก็สั่งให้เอาตัวไปฆ่าเสีย แล้วให้เอาศพแขวนประจานไว้บนกำแพงเมืองข้างทิศใต้ เจ้าเมืองเจ๋เห็นดังนั้นก็โกรธนัก จึงว่าถ้าเรามิได้ฆ่าเจ้าเมืองเลงอีบแก้แค้นก็ไม่กลับไปเมืองเจ๋เลย แล้วสั่งทหารว่า เราจะให้ระดมตีเมืองเลงอีบให้แตกในสองสามวันนี้ ถ้าเข้าตีเมืองได้แล้ว จงจับทหารที่เชิงเทินฆ่าเสียให้สิ้น เจ้าเมืองเจ๋ก็เร่งให้ทหารเข้าระดมตีทั้งสี่ด้าน มิได้หยุดหย่อนทั้งกลางวันกลางคืน ทหารชาวเมืองต้านทหารมิได้ก็พากันหนีลงจากหน้าที่เชิงเทิน ทหารเมืองเจ๋เห็นได้ทีก็ปีนกำแพงทลายประตูเข้าไปได้ ไล่ฆ่าฟันทหารและชาวเมืองแตกตื่นล้มตายเป็นอันมาก เจ้าเมืองเลงอีบก็พาบุตรภรรยาขึ้นเกวียนรีบหนีออกทางประตูทิศเหนือไปเมืองฬ่อ
ขณะนั้นมีผู้มาแจ้งความกับเจ้าเมืองเจ๋ว่า เจ้าเมืองโอยให้ซุนเลียงฮูยกทัพไปตีเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋จึงว่าเจ้าเมืองโอยให้ไปตีเรา เราก็จะยกไปตีเมืองโอยบ้าง แล้วเจ้าเมืองเจ๋ก็จัดให้ขุนนางผู้หนึ่งกับไพร่ห้าร้อยอยู่รักษาเมืองเลงอีบ เจ้าเมืองเจ๋ก็รีบยกไปถึงตำบลซินตกเสียเป็นแดนเมืองโอย ก็หยุดทหารตั้งค่ายมั่นลงไว้ แล้วให้ม้าใช้ไปสืบราชการดูว่ากองทัพเมืองโอยจะคิดทำประการใด
ฝ่ายซุนเลียงฮูแม่ทัพเมืองโอย ครั้นแจ้งว่าเจ้าเมืองเจ๋ยกมาตั้งอยู่ตำบลซินตกเสีย จึงปรึกษากับจีเจ๊กว่ากองทัพเมืองเจ๋พึ่งยกมายังหาทันตั้งตัวไม่ เราพากันคุมทหารเข้าปล้นค่ายในเพลาคํ่าวันนี้ เห็นจะมีชัยชนะมั่นคงท่านจะเห็นประการใด จีเจ๊กก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทหารแต่งตัวใส่เกราะถืออาวุธเตรียมตัวไว้แต่ในเพลาเย็น พวกกองสอดแนมเมืองเจ๋รู้ก็รีบไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองเจ๋ว่า ซุนเสียงฮูจะยกมาปล้นเราคํ่าวันนี้ เจ้าเมืองแจ้งความแล้วจึงให้ก๊กจอคุมทหารพันหนึ่ง ไปซุ่มอยู่ข้างชายป่าทิศเหนือ เกากู๊คุมทหารพันหนึ่งไปซุ่มอยู่ทิศใต้ สัญญาว่าถ้าได้ยินเสียงประทัด แล้วก็ให้นายทหารขับทหารตีกระหนาบเข้ามาช่วยกันจับตัวซุนเลียงฮูให้จงได้ ตัวเจ้าเมืองเจ๋นั้นก็คุมทหารกองหนึ่งออกซุ่มอยู่หลังค่าย ครั้นเพลาคํ่าก็แกล้งทำเป็นตรวจตราให้ทหารจุดคบเพลิงสว่างไปทั้งค่าย ครั้นดึกก็พากันไปซุ่มอยู่ตามที่สัญญาไว้
ฝ่ายซุนเลียงฮูแม่ทัพเมืองโอย ครั้นเห็นเพลาดึกแล้วก็รีบยกมาเห็นค่ายเมืองเจ๋เงียบสงัดเสียงผู้คนไม่ตรวจตรา ก็เข้าใจว่าพวกเมืองเจ๋หลับสิ้นจึงให้ทหารโห่ร้องฟันประตูกรูเข้าไปในค่าย เห็นแต่ค่ายเปล่าก็ตกใจกลับถอยออกมา เจ้าเมืองเจ๋ก็ให้จุดประทัดสัญญาขึ้น พวกทหารที่ซุ่มอยู่ก็รุมกันเข้าตีทัพเมืองโอย ก๊กจอเกากู๊ก็คุมทหารตีกระหนาบตัดท้ายเข้ามา ฆ่าฟันทหารเมืองโอยแตกตื่นล้มตายเป็นอันมาก เจ้าเมืองเจ๋จึงร้องว่าซุนเลียงฮูมึงจะเอาชีวิตมาเซ่นทวนกูวันนี้แล้ว ซุนเลียงฮูได้ฟังก็ตกใจ มิรู้ที่จะหนีออกแห่งใด เลียงเซ็กกับเหียงซิมทหารเมืองโอยเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนเข้ารบ พาซุนเลียงฮูฝ่าทหารเมืองเจ๋ออกไป จีเจ๊กทัพหน้าก็ขับทหารตามกันออกไปจากที่ล้อม ทหารเมืองเจ๋ก็ตามฆ่าฟันทหารเมืองโอยไปทางประมาณสิบเส้นเศษ พอเพลาสว่างขึ้นซุนเลียงฮูจึงให้หยุดคอยทหารซึ่งกระจัดพลัดพรายไป แต่จีเจ๊กทัพหน้านั้นยังรอรบกับทหารเมืองเจ๋อยู่ข้างหลัง พอได้ยินเสียงเท้าม้าผงคลีกลุ้มอยู่ข้างทิศใต้ ซุนเลียงฮูตกใจนัก สำคัญว่าพวกเมืองเจ๋ไปตั้งสกัดหน้าไว้อยู่ ประมาณครู่หนึ่งก็เห็นฮูฮีซึ่งอยู่รักษาด่านซินตกเสีย เป็นนายกองนั่งมาในเกวียน ซุนเลียงฮูก็ดีใจเดินออกไปหา จึงว่าเราแตกทัพครั้งนี้ได้ความอัปยศนัก บัดนี้จีเจ๊กทัพหน้าก็ยังรอรบอยู่กับทหารเมืองเจ๋ จะเป็นประการใดมิได้รู้ ท่านมาก็ดีแล้วจงรีบไปตามช่วยจีเจ๊กเถิด ฮูฮีก็ลาซุนเลียงฮูคุมทหารรีบไป
ฝ่ายเจ้าเมืองเจ๊ ครั้นมีชัยแก่กองทัพเมืองโอย ได้ข้าวของม้าเกวียนเป็นอันมาก ก็รวบรวมทหารเลิกทัพกลับไปเมืองเจ๋ ให้ปูนบำเหน็จรางวัลทหารตามสมควร ฮูฮีกับจีเจ๊กก็พากันกลับมาหาซุนเลียงฮู ซุนเลียงฮูจึงว่าเราทำศึกเสียทีกับชาวเมืองเจ๋ครั้งนี้ ได้ความอัปยศกับคนทั้งปวงนัก ครั้นจะกลับไปเมืองก็ดูหน้าคนไม่เต็มตา เราคิดว่าจะไปขอกองทัพเจ้าเมืองจิ้น ให้ยกมาช่วยไปตีเมืองเจ๋แก้แค้นให้จงได้ ท่านจงคุมทหารคอยเราอยู่ที่นี่กว่าเราจะกลับมา ซุนเลียงฮูก็จัดเครื่องบรรณาการใส่เกวียนกับทหารร้อยหนึ่งรีบไปเมืองจิ้น พอเจ้าเมืองฬ่อก็ให้จงสุยไปขอกองทัพเมืองจิ้นไปช่วยตีเมืองเจ๋ ไปถึงพร้อมกันจึงให้เคียดซกขุนนางผู้ใหญ่พาเข้าหาเมืองจิ้น ซุนเลียงฮูจงสุยคำนับเจ้าเมืองจิ้นแล้ว คนทั้งสองแจ้งความว่าจะมาขอกองทัพไปตีเมืองเจ๋แก้แค้น เจ้าเมืองจิ้นจึงว่าขุนนางทั้งสองเมืองมาขอกองทัพพร้อมกันดังนี้ เราจะรู้แห่งที่จะทำประการใด ซุนเลียงฮูแม่ทัพเมืองโอยจึงว่า เดิมข้าพเจ้าหมายจะมาขอกองทัพท่านแต่เมืองเดียว บัดนี้กลับได้กองทัพเมืองฬ่อมาช่วยเป็นกองหน้ายกไปช่วยอีกกองหนึ่งเป็นกำลังมากขึ้น ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก จะได้สมทบกันยกไปตีเมืองเจ๋ครั้งนี้เห็นจะมีชัยชนะมั่นคง เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงว่าท่านจะให้ประชุมทหารพร้อมกันที่ตำบลใดเล่า ซุนเลียงฮูจึงว่าขอให้กองทัพท่านกับเมืองฬ่อไปพร้อมกัน ณ ตำบลซินตกเสียในแดนเมืองโอยก่อนจะได้จัดแจงกัน นัดกันแล้วซุนเลียงฮูก็คำนับลาเจ้าเมืองจิ้นไปยังที่ตำบลซินตกเสีย สั่งให้จีเจ๊กตรวจตราทหารไว้คอยบรรจบกับกองทัพสองเมือง
ฝ่ายจงสุยขุนนางเมืองฬ่อ ก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่เจ้าเมืองฬ่อทุกประการ เจ้าเมืองฬ่อก็จัดแจงทหารให้จงสุยเป็นแม่ทัพยกไปตำบลซินตกเสีย เจ้าเมืองจิ้นก็จัดทหารสี่หมื่นกับเกวียนแปดร้อยเล่มให้ไตเอี๋ยงเป็นแม่ทัพ ลวนจือเป็นปลัดทัพ แต้คิวเอี๋ยนเป็นปีกขวาซือเปียนเป็นปีกซ้าย ฮันเคียดเป็นทัพหนุน เคียดซกเป็นที่ปรึกษา ครั้นได้ฤกษ์ดีก็ให้ยกกองทัพออกจากเมืองไปบรรจบกับทัพเมืองฬ่อเมืองโอย
ฝ่ายก๋งจูซิวขุนนางเมืองโจ๋ ครั้นแจ้งความว่าขุนนางสามเมืองที่ร่วมสาบานกันเข้ายกทัพไปตีเมืองเจ๋ จึงเข้าไปคำนับเจ้าเมืองโจ๋ว่า บัดนี้กองทัพสามหัวเมืองเขาสมทบกันยกไปตีเมืองเจ๋แก้แค้นกับกองทัพสามหัวเมืองด้วย เจ้าเมืองโจ๋ก็มีความยินดี จึงเกณฑ์ทหารให้ก๋งจูซิวยกไปยังที่สามหัวเมืองประชุมทัพพร้อมกัน แม่ทัพทั้งสี่เมืองต่างคนก็ให้ยกออกจากซินตกเสีย เดินทัพห่างกันประมาณสิบเส้นเศษ เสียงกงเกวียนและเท้าม้าดังก้องป่าประหนึ่งเสียงคลื่นในมหาสมุทร ครั้นถึงเขามีจกซัวแดนเมืองเจ๋ก็ให้ตั้งค่ายรายกันไปทั้งสี่ค่าย
เจ้าเมืองเจ๋ครั้นได้แจ้งข่าวศึกมาดังนั้น ก็ให้เกณฑ์ทัพสรรพไปด้วยเครื่องอาวุธเกวียนรบแปดร้อยเล่ม ได้ฤกษ์เจ้าเมืองเจ๋ก็แต่งตัวใส่เสื้อลายทองขึ้นขี่เกวียนมีสัปทนแดงกั้น ทหารแห่หน้าหลังยกออกจากเมืองไปถึงที่ชัยภูมิดีก็ตั้งค่ายมั่นลงไว้ใกล้กับกองทัพสี่หัวเมืองประมาณสามร้อยเส้น จึงให้เกากู๊ไปสอดแนมดูกองทัพทั้งสี่หัวเมืองจะมากน้อยประการใด เกากู๊ก็คำนับออกมาขึ้นเกวียนรีบไปถึงหน้าค่ายเมืองจิ้น เห็นนายทหารผู้หนึ่งขี่เกวียนออกมาตรวจค่าย เกากู๊ลงจากเกวียนด้อมเข้าไปเอาหินทิ้งขว้างไปถูกทหารซึ่งขี่เกวียนศีรษะแตกตายตกจากเกวียน เกากู๊ก็โดดลงจากเกวียนของตัวไปขี่เกวียนทหารเมืองจิ้นแล้วก็รีบขับเกวียนมาค่ายบอกกับเพื่อนกันว่า เราไปสอดแนมดูกองทัพข้าศึกแต่ผู้เดียวก็ฆ่านายทหารเมืองจิ้นตายชิงเอาเกวียนมาได้ ทหารทั้งปวงได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า ซึ่งท่านฆ่าทหารเมืองจิ้นตายนั้นเพราะเขาไม่รู้ตัวจะถือว่าดีกระไรได้ เกากู๊ก็มิได้ตอบประการใดก็เข้าไปคำนับแจ้งการกับเจ้าเมืองเจ๋ว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูทหารทั้งสี่หัวเมืองมากก็มากเสียเปล่า เห็นจะต่อสู้ทหารเราไม่ได้ ถ้าท่านยกออกตีก็เห็นจะมีชัยเป็นมั่นคง
เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังก็มีความยินดี จึงให้เกากู๊คุมทหารกองหนึ่งไปตั้งคอยรับกองทัพเมืองโอยไว้ ก๊กจอคุมทหารกองหนึ่งไปตั้งรับกองทัพเมืองฬ่อกับเมืองโจ๋ สั่งการให้ทหารยกไปแล้วเจ้าเมืองเจ๋ก็ถือเกาทัณฑ์ขึ้นขี่เกวียนสำหรับศึก ยกทหารออกจากค่ายตรงไปค่ายเมืองจิ้น ครั้นถึงจึงให้ทหารระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าไปในค่ายเมืองจิ้น อุปมาดังผึ้งบินเข้ารัง ถูกทหารเมืองจิ้นเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก ตัวไตเอี๋ยงแม่ทัพก็ถูกเกาทัณฑ์ที่แขนซ้ายสองเล่ม เคียดซกที่ปรึกษาถูกแขนขวาเล่มหนึ่ง ทั้งสองคนมิได้ย่อท้อ ชักลูกเกาทัณฑ์ออกเสียแล้วขึ้นม้าขับทหารออกจากค่าย อุปมาดังปลวกขึ้นจากดิน เข้าไล่ฆ่าฟันทหารเมืองเจ๋แตกตื่นล้มตายเป็นอันมาก
เจ้าเมืองเจ๋เห็นจะต้านทานมิได้ ก็ขับเกวียนพาทหารประมาณห้าสิบคนฟันฝ่าออกไปข้างเขามีจกซัวเป็นทางช่องแคบ ฮันเคียดทหารเมืองจิ้นก็คุมทหารไล่ตามไปฆ่าเบ๊งแฮทหารท้ายเกวียนเจ้าเมืองเจ๋ตายอยู่ในที่รบคนหนึ่ง แล้วฮันเคียดรีบขับเกวียนตามเจ้าเมืองเจ๋กระชั้นมา ฮองเทียวฮูคนขับเกวียนเจ้าเมืองเจ๋เห็นดังนั้นจึงว่ากับเจ้าเมืองเจ๋ว่า บัดนี้ภัยมาถึงท่านแล้ว ข้าพเจ้าจะเอาชีวิตสนองคุณท่าน ท่านจงถอดเสื้อส่งมาให้ข้าพเจ้าใส่นั่งไปแทนท่าน ท่านจงเอาเสื้อข้าพเจ้าใส่นั่งขับเกวียนไปแทนข้าพเจ้าเร็วๆ ท่านจึงจะรอด ว่าแล้วต่างคนก็เปลี่ยนเสื้อกันใส่ ฮองเทียวฮูก็นั่งมาในที่เจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋ก็ออกมานั่งขับเกวียนไปตามทาง ฮันเคียดทหารเมืองจิ้นมาทันสำคัญว่าฮองเทียวฮูเป็นเจ้าเมืองเจ๋ จึงร้องว่าเมื่อครั้งสี่หัวเมืองเอาเครื่องบรรณาการไปคำนับท่าน เพราะนับถือว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านแกล้งให้คนเยาะเย้ยประจาน ท่านทำการเหมือนทารกอมมือให้แขกเมืองได้ความอาย บัดนี้ขุนนางทั้งสี่เมืองเขาเจ็บแค้น จึงพากันมาทำร้ายท่านจะแก้แค้น วันนี้ก็เป็นวันตายของท่านแล้ว จงหยุดเกวียนให้เราจับโดยดี ฮองเทียวฮูได้ฟังดังนั้นจึงทำเป็นเสียงแหบว่าแก่เจ้าเมืองเจ๋ว่า เรากระหายนํ้าคอแห้งนักพูดหาออกไม่ ตัวจงไปตักนํ้าที่ธารฮัวจัวมาให้เรากินหน่อยหนึ่งเถิด เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจในที จึงลงจากเกวียนรีบหนีอ้อมไปตามทางหลังเขา พอพบแต้จิวฮูนายทหารของตัวขับเกวียนมาก็มีความยินดี แต้จิวฮูก็เชิญเจ้าเมืองเจ๋ขึ้นเกวียนหนีไป
ฮันเคียดก็ให้ทหารคุมเอาตัวฮองเทียวฮูกลับไปค่าย พาฮองเทียวฮูเข้าไปคำนับไตเอี๋ยงแม่ทัพ แจ้งความซึ่งจับเจ้าเมืองเจ๋ได้ให้ฟังทุกประการ ไตเอี๋ยงจึงว่า ผู้นี้มิใช่เจ้าเมืองเจ๋ ท่านจับผิดตัวไปแล้ว ฮันเคียดได้ฟังดังนั้นก็เสียใจโกรธฮองเทียวฮูเป็นอันมาก จึงกระโชกถามว่ามึงชื่ออะไร ไม่กลัวความตายหรือจึงทำล่อลวงกูดังนี้ ฮองเทียวฮูจึงว่าข้าพเจ้าชื่อฮองเทียวฮู เจ้าเมืองเจ๋นั้นคนที่ข้าพเจ้าให้ไปตักนํ้านั้นแหละ ไตเอี๋ยงได้ฟังจึงว่าฮองเทียวฮูทำการล่อลวงดังนี้โทษถึงตาย ว่าแล้วก็สั่งทหารให้เอาฮองเทียวฮูไปฆ่าเสีย ฮองเทียวฮูจึงร้องประกาศแก่ทหารเมืองจิ้นทั้งปวงว่า ท่านทั้งปวงจะทำศึกไปภายหน้า อย่าเอาเยี่ยงอย่างเราต่อไปเลย ไตเอี๋ยงได้ฟังดังนั้นก็คิดสงสารจึงว่าฮองเทียวฮูเป็นคนกตัญญูซื่อสัตย์มั่นคงนัก ถ้าเราให้ฆ่าฮองเทียวฮูเสียบัดนี้ สืบไปเมื่อหน้าจะหามีผู้กตัญญูต่อเจ้านายไม่ ไตเอี๋ยงก็สั่งให้แก้มัดฮองเทียวฮูออกเสีย
ฝ่ายเจ้าเมืองเจ๋กลับมาถึงค่ายก็เป็นทุกข์ถึงฮองเทียวฮูไม่มีความสบาย พอเพลาคํ่าก็นุ่งห่มอย่างไพร่ขึ้นเกวียนน้อยรีบไปถึงค่ายเมืองจิ้น แล้วปลอมเข้าไปเที่ยวหาฮองเทียวฮูถึงริมค่ายก็มิได้พบ จึงกลับมาขึ้นเกวียนจะคืนไปค่าย พอพบก๊กจอกับเกากู๊นายทหารทั้งสองขับเกวียนมาก็ยินดี ก๊กจอเกากู๊ก็เข้าไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋จึงเล่าความซึ่งเสียทีแก่ทหารเมืองจิ้นให้ฟังทุกประการ ก๊กจอเกากู๊จึงว่าข้าพเจ้ายกไปก็ยังหาทันได้รบกับกองทัพสามหัวเมืองไม่ พอรู้ข่าวว่าท่านแตกทัพเสียทแกล้วทหารเป็นอันมากจึงรีบมาหวังจะช่วยท่าน บัดนี้ท่านก็พ้นภัยแล้วจงรีบกลับไปค่าย เลิกกองทัพกลับเข้าเมือง อันจะตั้งอยู่สู้รบกับทหารทั้งสี่หัวเมืองที่กลางแปลงนี้ ข้าพเจ้าเห็นเหลือกำลังนัก เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังก็เห็นชอบด้วย แล้วก็เลิกทัพกลับเข้าเมืองเจ๋
ฝ่ายไตเอี๋ยงแม่ทัพเมืองจิ้นกับแม่ทัพสามหัวเมือง ครั้นแจ้งว่าเจ้าเมืองเจ๋ล่าทัพกลับเข้าเมือง ก็ชวนกันยกไปเผาค่ายและด่านรายทางเสียสิ้นทุกตำบล แล้วยกเข้าไปตั้งค่ายที่ตำบลลวนฮู ห่างเมืองประมาณสิบเส้นเศษ เจ้าเมืองเจ๋เห็นดังนั้นจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า บัดนี้กองทัพสี่หัวเมืองล่วงเข้ามาตั้งถึงตำบลลวนฮูแล้ว จะคิดอ่านประการใดดี ก๊กจอจึงว่ากองทัพทั้งสี่หัวเมืองสมทบมาตีเมืองเรา ซึ่งจะคิดอ่านสู้รบต่อไปนั้นเห็นเหลือกำลังนัก ข้าพเจ้าคิดเห็นอุบายอย่างหนึ่งพอที่จะให้กองทัพสี่หัวเมืองถอยไปได้ ขอให้เอากังสดาลแก้วแลดวงแก้วของวิเศษซึ่งได้มาแต่ครั้งไปตีเมืองพี้ ไปให้กับแม่ทัพเมืองจิ้นรับผิดเป็นทางไมตรี ให้ว่ากล่าวชักชวนกองทัพสามหัวเมืองกลับไป เห็นกองทัพทั้งสามเมืองก็จะกลับด้วยเกรงใจแม่ทัพเมืองจิ้น จึงจะไม่มีอันตรายแก่เรา เจ้าเมืองเจ๋ก็เห็นชอบด้วย จึงให้ก๊กจอคุมเอาของสองสิ่งไปให้แก่ไตเอี๋ยงแม่ทัพเมืองจิ้น ก๊กจอก็คำนับรับสิ่งของไปให้ไตเอี๋ยง ณ ค่าย แจ้งความว่า บัดนี้เจ้าเมืองนายข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าออกมาคำนับรับผิด ของวิเศษสองสิ่งนี้นายข้าพเจ้ามีนํ้าใจฝากไปให้ชมเล่น แล้วท่านจงว่ากล่าวกองทัพทั้งสามเมืองให้เลิกกลับไปเสียเถิด
ไตเอี๋ยงจึงว่าซึ่งท่านจะเลิกทัพกลับไปนั้น เราก็จะยอมแต่จะขอพูดกันเป็นความสองข้อ ท่านจะยอมหรือมิยอม ก๊กจอจึงว่าความข้อนั้นเป็นประการใด ไตเอี๋ยงจึงว่าข้อหนึ่ง ถ้าเจ้าเมืองเจ๋คิดจะมิให้บ้านเมืองฉิบหายจงจัดที่นาหมื่นตำบลเป็นส่วยขึ้นกับเมืองจิ้น ข้อหนึ่งจงยกมารดาของนายท่านให้ไปเป็นจำนำไว้กับเมืองจิ้น ก๊กจอได้ฟังดังนั้นก็โกรธนัก จึงว่านางเซียวอวยกีเป็นถึงมารดาเจ้าเมืองเจ๋ วาสนาเจ้าเมืองเจ๋กับเจ้าเมืองจิ้นก็เสมอกัน วาสนามารดาเล่าก็เท่ากันกับมารดาเจ้าเมืองจิ้น ซึ่งท่านว่าจะให้เอามารดานายเราไปเป็นคนจำนำ แลยกเอาส่วยนาหมื่นตำบลไปขึ้นนั้น ก็เหมือนท่านยกเอาสมบัติในเมืองเจ๋ไปสิ้น ถ้าปะข้าพเจ้าจะต้องการบ้างดังนั้น ท่านยังจะยอมแล้วหรือ ไตเอี๋ยงจึงว่าท่านไม่ยอมแล้วท่านจะคิดอ่านอย่างไรเล่า ก๊กจอจึงว่าท่านอย่าเพิ่งประมาทหมิ่นเมืองเจ๋ก่อน ถึงเสียทีแก่ท่านครั้งนี้ก็มิใช่ยับเยินสิ้นคิดดอก เป็นแต่เพียงเจ้านายเราตกใจจึงมาขอเป็นไมตรี อันเมืองเจ๋นี้ก็เป็นเมืองใหญ่ ทหารเกวียนมากกว่าพันเล่มทหารม้ามากกว่าหมื่น ขุนนางแลราษฎรนับไม่ถ้วน ซึ่งข้าพเจ้าออกมาอ่อนน้อมต่อท่านครั้งนี้ด้วยคิดว่าเป็นไมตรีกับท่าน เมื่อท่านไม่เอ็นดูข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็เป็นชายชาติทหารเหมือนกัน คงจะจัดทหารที่มีฝีมือออกมาสู้ไป ถ้าครบสามครั้งไม่ชนะท่านก็ดีก็ไม่ยอมสวามิภักดิ์ ข้าพเจ้าก็คงเอาเมืองเป็นที่ฝังศพ ว่าแล้วก็เอาของวิเศษสองสิ่งกองลงไว้ มิได้คำนับลาลุกเดินออกไปโดยกำลังโกรธ
ฮังฮูขุนนางเมืองฬ่อกับซุนเลียงฮูขุนนางเมืองโอยจึงว่ากับไตเอี๋ยงว่า ถ้าเราจะเข้าหักเอาเมืองเจ๋บัดนี้เล่าก็เห็นจะไม่ได้โดยง่าย เจ้าเมืองเจ๋เป็นถึงเจ้าเมืองใหญ่ ให้ขุนนางมาอ่อนน้อมต่อเราผู้เป็นขุนนาง ก็เป็นเกียรติยศของพวกเราอยู่แล้ว ท่านจงยอมเป็นไมตรีกับเมืองเจ๋เถิด ไตเอี๋ยงได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงให้ม้าใช้รีบตามก๊กจอไปทันทางประมาณสิบเส้น คนใช้จึงบอกว่าท่านแม่ทัพให้มาเชิญท่านกลับไปก่อน ก๊กจอว่าเราไม่ไปแล้ว คนใช้เป็นคนฉลาดก็ขืนฉุดคร่าพาก๊กจอมาให้ไตเอี๋ยงแม่ทัพ ไตเอี๋ยงจึงว่าซึ่งท่านมาอ่อนน้อมต่อเรา เราว่ากล่าวขัดแข็งนั้นด้วยคิดจะลองใจท่าน เราขออภัยเถิด ซึ่งจะให้เมืองโอยเมืองฬ่อเมืองโจ๋เลิกทัพกลับไปนั้น ท่านอย่าวิตกเลย ก๊กจอจึงว่าถ้าท่านเมตตาได้ดังว่าแล้วคุณหาที่สุดมิได้ แต่ท่านได้สงเคราะห์ให้ข้าพเจ้ากับท่านแลแม่ทัพทั้งสามหัวเมืองตั้งสัตย์สาบานกันก่อนจึงจะไว้ใจได้ ไตเอี๋ยงก็ให้แต่งโต๊ะเชิญแม่ทัพทั้งสามเมืองแลก๊กจอกินโต๊ะ ต่างคนก็แทงเอาโลหิตลงบนสุรากระทำสัตย์สาบานไว้ต่อกัน แล้วไตเอี๋ยงก็ส่งตัวฮองเทียวฮูที่แปลงเป็นเจ้าเมืองเจ๋นั้นมอบให้ก๊กจอ ก๊กจอก็มีความยินดีคำนับลาขุนนางทั้งสี่เมือง พาฮองเทียวฮูไปหาเจ้าเมืองเจ๋เล่าความให้ฟังทุกประการ เจ้าเมืองเจ๋ก็มีความยินดี จึงว่ากับฮองเทียวฮูว่าเรารอดตายแล้วเราจะแทนคุณท่าน เจ้าเมืองเจ๋จึงตั้งฮองเทียวฮูเป็นที่เสียงเขงขุนนางฝ่ายทหาร แลปูนบำเหน็จรางวัลเป็นอันมาก
ฝ่ายแม่ทัพทั้งสี่เมือง ครั้นแก้ความอายชาวเมืองเจ๋ได้แล้ว ต่างคนก็เลิกทัพกลับไปเมือง แลแจ้งความทั้งปวงให้เจ้านายของตัวฟัง เจ้าเมืองทั้งสี่ก็สิ้นอาฆาตเมืองเจ๋ เจ้าเมืองจิ้นเห็นว่าเคียดซกมีความชอบ จึงเลื่อนที่ขึ้นเป็นเสียงตกเหีย แปลว่านายทหารเอกใหญ่กว่าทหารทั้งปวง ตั้งฮันเคียดเป็นตงกุ๋นนายทหารขวา ตั้งเคียวกวดเป็นตงกุ๋นนายทหารซ้าย ตั้งเตียวสวดเป็นเสียงกุ๋นทหารข้างขวา ตั้งซุนจุ๊ยให้เป็นทหารซ้ายอีกคนหนึ่ง ครั้นตั้งขุนนางเสร็จแล้วจึงปูนบำเหน็จแก่ทหารนอกนั้นตามสมควร
ขณะเมื่อเจ้าเมืองจิ้นชนะกับเมืองเจ๋ครั้งนั้น มีใจกำเริบถือตัวว่าเป็นเมืองเอกใหญ่กว่าหัวเมืองทั้งปวง ฝ่ายโต๊ะไงเกียขุนนางผู้ใหญ่เห็นเจ้าเมืองจิ้นตั้งพวกแซ่เตียวขึ้นเป็นขุนนางหลายคนก็คิดอิจฉาแค้นใจนัก คอยหาเหตุจะพาลเอาผิดอยู่เป็นนิจก็มิได้ช่อง ฝ่ายเจ้าเมืองเจ๋ตั้งแต่เสียทีแก่กองทัพสี่หัวเมืองมาก็คิดเสียใจอายแก่คนทั้งปวงจะใคร่แก้แค้นอยู่มิได้ขาด จึงสั่งให้ฝึกปรือทแกล้วทหารให้ชำนาญในเพลงรบต่างๆ และสะสมเสบียงอาหารเครื่องศัสตราวุธไว้ กิตติศัพท์รู้ไปถึงเจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า บัดนี้เจ้าเมืองเจ๋ให้ซ้อมหัดทหาร เห็นจะคิดมาแก้แค้นเราเป็นมั่นคง จำจะคืนของวิเศษไปให้เจ้าเมืองเจ๋เสียดังเก่า เจ้าเมืองเจ๋จึงจะมิได้คิดร้ายเราต่อไป แล้วเจ้าเมืองจิ้นก็ให้ขุนนางผู้หนึ่งคุมเอาของวิเศษสองสิ่งไปคืนให้เจ้าเมืองเจ๋ ราษฎรทั้งปวงก็ชวนกันนินทาว่า เจ้านายเราคืนของวิเศษซึ่งเจ้าเมืองเจ๋ให้มาแต่ก่อนไปให้เจ้าเมืองเจ๋แล้ว ที่ไหนหัวเมืองทั้งปวงจะกลัวเกรงต่อไป