- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๓๓
ฝ่ายก๋งจูเจียวครั้นไปถึงเมืองซองจึงเข้าไปคำนับซองเซียงก๋งแล้วเล่าความให้แจ้งทุกประการ ซองเซียงก๋งได้ฟังดังนั้นจึงบอกกับขุนนางทั้งปวงว่า ก๋งจูเจียวนี้เจ๋ฮวนก๋งรักใคร่ยิ่งกว่าบุตรทั้งสิ้น ได้ฝากไว้ต่อเรา ความอันนี้ช้านานประมาณถึงสิบปีแล้วเราก็ยังหาลืมคำไม่ บัดนี้เจ๋ฮวนก๋งหาบุญไม่แล้ว ซูเตียว เอ็ดแหยทำให้บ้านเมืองเกิดจลาจล ก๋งจูเจียวหนีมาพึ่งเรา จำจะต้องยกไปเมืองเจ๋กำจัดก๋งจูบอคุยกับซูเตียว เอ็ดแหยเสีย ตั้งก๋งจูเจียวเป็นเจ้าเมืองตามคำเจ๋ฮวนก๋งสั่งไว้ แล้วซองเซียงก๋งแต่งหนังสือสี่ฉบับ ให้ม้าใช้แยกกันถือไปถึงเจ้าเมืองโอยฉบับหนึ่ง เจ้าเมืองฬ่อฉบับหนึ่ง เจ้าเมืองจอฉบับหนึ่ง เจ้าเมืองจูฉบับหนึ่ง ใจความต้องกันทั้งสี่หัวเมือง
ฝ่ายผู้ถือหนังสือไปเมืองโอย ครั้นถึงก็เข้าไปคำนับโอยบุนก๋งเจ้าเมืองโอยแล้วส่งหนังสือให้ เจ้าเมืองโอยรับหนังสือมาฉีกผนึกออกอ่านดูได้ความว่า ซองเซียงก๋งเจ้าเมืองซองอวยพรมาถึงโอยบุนก๋งเจ้าเมืองโอยให้แจ้งเจ๋ฮวนก๋งตายแล้ว เมื่อเจ๋ฮวนก๋งยังมีชีวิตอยู่นั้นได้สั่งไว้ว่าถ้าเจ๋ฮวนก๋งหาบุญไม่ ให้ช่วยจัดแจงมอบสมบัติให้ก๋งจูเจียว ความอันนี้ท่านก็ย่อมรู้อยู่ด้วยกัน บัดนี้ซูเตียวเอ็ดแหยคบคิดกันตั้งก๋งจูบอคุยเป็นเจ้าเมืองตามอำเภอใจ ก๋งจูเจียวหนีมาหาเรา ท่านจงเห็นกับเจ๋ฮวนก๋งผู้ตาย ยกทัพมาสมทบกับเราให้พร้อมกันแต่เดือนสามกลางตรุษ จะได้ช่วยกันไปกำจัดก๋งจูบอคุยกับซูเตียวเอ็ดแหย ตั้งก๋งจูเจียวเป็นเจ้าเมืองตามคำเจ๋ฮวนก๋งสั่งไว้
เลงกุยขุนนางเมืองโอยจึงว่า ก๋งจูบอคุยเป็นลูกเมียหลวงทั้งมีอายุมากกว่าบุตรทั้งสิ้น ควรที่ได้สมบัติแทนบิดาอยู่แล้ว ประการหนึ่งเล่าก็ได้มีคุณไว้ต่อเราครั้งหนึ่ง ไปตีเมืองซุด ก๋งจูเจียวนั้นหาได้มีคุณสิ่งใดต่อเราไม่ ท่านอย่ายกไปช่วยรบพุ่งให้เหนื่อยหนักแรงทหารเลย เจ้าเมืองโอยจึงว่า ก๋งจูบอคุยได้มาช่วยเราตีเมืองซุดนั้น เพราะเจ๋ฮวนก๋งจัดแจงใช้มาต่างหาก ถือว่ามีคุณต่อเรายังมิได้ก่อน จะลบล้างคำเจ๋ฮวนก๋งสั่งได้หรือ เจ้าเมืองโอยว่ากับผู้ถือหนังสือว่า ท่านจงกลับไปบอกเจ้าเมืองซองให้เตรียมทหารไว้ให้พร้อมเราจะยกไปให้ทันกำหนด คนใช้ก็คำนับลากลับไปเมืองซอง
ฝ่ายผู้ถือหนังสือไปเมืองฬ่อ ครั้นถึงก็เข้าคำนับส่งหนังสือให้ฬ่ออีก๋ง เจ้าเมืองฬ่อได้แจ้งหนังสือนั้น จึงว่ากับผู้ถือหนังสือว่า เจ๋ฮวนก๋งปลงใจฝากฝังก๋งจูเจียวไว้กับเจ้าเมืองซองให้ช่วยทำนุบำรุงต่างหาก การทั้งนี้เรามิได้รู้ด้วย แต่พิเคราะห์เห็นว่าก๋งจูบอคุยเป็นบุตรผู้ใหญ่ ควรจะได้สมบัติของบิดาอยู่แล้ว ท่านจงกลับไปแจ้งแก่เจ้าเมืองซองอย่าให้คิดไปรบพุ่งกำจัดก๋งจูบอคุยเสียเลย ถ้ามิฟังคำเรา เราก็จะยกไปช่วยก๋งจูบอคุยรบกับเจ้าเมืองซอง
ฝ่ายผู้ถือหนังสือไปถึงเมืองจอเมืองจู ก็เอาหนังสือไปให้เจ้าเมืองจอเจ้าเมืองจู ครั้นเจ้าเมืองจอเจ้าเมืองจูแจ้งหนังสือนั้นก็จัดแจงทหารยกมาเมืองซอง พร้อมกับทัพเมืองโอยในเดือนสามตามกำหนด เจ้าเมืองซองก็ให้เกณฑ์ทหารห้าหมื่นกับเกวียนสองร้อยเล่ม ครั้นฤกษ์ดีก็พาก๋งจูเจียวยกทหารสมทบกับสามหัวเมืองไปถึงแดนเมืองเจ๋แล้วสั่งทหารให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ทางไกลประมาณห้าร้อยเส้น
ฝ่ายก๋งจูบอคุยครั้นรู้ว่าก๋งจูเจียวพาเจ้าเมืองซองกับกองทัพสามหัวเมืองยกมา จึงเกณฑ์ทหารสามพันให้เอ็ดแหยออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมืองข้างด่านด้านตะวันออก ไกลค่ายเมืองซองทางประมาณสองร้อยเส้น ครั้นกอฮีแจ้งดังนั้น จึงปรึกษาก๋งฮีต๋งว่า เดิมเรามอบสมบัติให้ก๋งจูบอคุยนั้น ด้วยก๋งจูเจียวไปอยู่เมืองอื่น บัดนี้ก๋งจูเจียวกลับมาแล้ว เราทั้งสองเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าจิวเซียงอ๋องตั้งไว้สำหรับดูผิดและชอบ จะละให้รบพุ่งกันราษฎรจะพลอยได้รับความทุกข์ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า เพราะซูเตียวเอ็ดแหยทำให้บ้านเมืองเกิดจลาจล แต่เอ็ดแหยนั้นก๋งจูบอคุยให้ยกทหารออกไปอยู่นอกเมือง ข้าพเจ้าจะคิดจัดทหารถืออาวุธซุ่มไว้บนหอรบแล้วจะให้บอกกับซูเตียวขึ้นไปปรึกษาราชการ ได้ทีจะให้ทหารจับฆ่าเสีย รับก๋งจูเจียวเข้ามาตั้งเป็นเจ้าเมืองตามคำเจ๋ฮวนก๋งสั่งไว้ ยังแต่เอ็ดแหยผู้เดียวถึงจะคิดรบพุ่งหาสู้เราได้ไม่ ก๋งจูทั้งปวงเล่าก็คงจะยอม เมืองเจ๋ก็จะอยู่เย็นเป็นสุขมั่นคงดังเขาพระสุเมรุ
ก๋งฮีต๋งจึงว่าความคิดท่านทั้งนี้ดีนัก จงเร่งจัดแจงทำเถิด กอฮีก็จัดทหารถืออาวุธเข้าไปซุ่มไว้บนหอรบ แล้วบอกซูเตียวขึ้นไปปรึกษาราชการ กอฮีก็ให้ยกโต๊ะมาตั้ง เชิญซูเตียวเสพสุราพลางพูดกันพลาง พอซูเตียวเสพสุราเข้าไปประมาณสามจอก กอฮีจึงทำเป็นว่า บัดนี้ก๋งจูเจียวพาเจ้าเมืองซองกับกองทัพสามหัวเมืองยกมาตีเมืองเรา จะคิดประการใดราษฎรทั้งปวงจึงจะไม่ได้ความยาก ซูเตียวจึงว่า ข้าพเจ้าจัดทหารให้เอ็ดแหยยกออกไปตั้งรับอยู่นอกเมืองแล้ว กอฮีจึงว่า ทัพยกมาครั้งนี้มากนัก ซึ่งจะคิดอ่านสู้รบอย่างอื่นนั้นเห็นจะรักษาเมืองไว้มิได้จำจะต้องขอของท่านสักสิ่งหนึ่งป้องกันความทุกข์ยากไว้ อย่าให้ราษฎรทั้งปวงได้รับความเดือดร้อน ท่านจะยอมให้หรือไม่ยอมเล่า
ซูเตียวจึงว่าท่านจะต้องการสิ่งใดข้าพเจ้ามิได้ขัด ตามแต่ความคิดท่านจะทำเถิด กอฮีจึงว่า เราจะขอศีรษะท่านส่งออกไปให้เจ้าเมืองซอง ถ้ายอมให้ดังนี้เห็นว่าบ้านเมืองมิได้เกิดศึกรบพุ่งกันต่อไป ซูเตียวได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ ลุกยืนขึ้นจะหนีลงจากหอรบ กอฮีก็ร้องสั่งทหารที่ซุ่มไว้นั้นให้จับซูเตียวตัดศีรษะเสีย แล้วกอฮีลงจากหอรบร้องประกาศกับขุนนางทั้งปวงว่า เราจะออกไปรับก๋งจูเจียวเข้ามามอบสมบัติให้ตามคำเจ๋ฮวนก๋งสั่งไว้ ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยจงมาไปด้วยเราให้พร้อมกัน
ฝ่ายขุนนางและราษฎรชาวเมือง ครั้นได้ยินดังนั้นต่างคนก็ดีใจก็ชวนกันตามกอฮีออกไปประมาณพันเศษ แต่ก๋งฮีต๋งนั้นเข้าไปหาก๋งจูบอคุยบอกว่า บัดนี้กอฮีกับขุนนางทั้งปวงพากันออกไปจะรับก๋งจูเจียวเข้ามาตั้งเป็นเจ้าเมือง ข้าพเจ้าผู้เดียวจะทัดทานเล่าก็เหลือสติปัญญานัก ท่านจงเร่งหลบหลีกไปให้พ้นภัย ถ้าขืนอยู่จะมีอันตรายแก่ท่าน ก๋งจูบอคุยจึงบอกว่า กอฮีกับขุนนางคิดกันทั้งนี้ซูเตียวหารู้ไม่หรือจึงมิได้บอกเรา ก๋งฮีต๋งจึงบอกว่า ซูเตียวนั้นเขาฆ่าตายเสียแล้ว
ก๋งจูบอคุยได้ฟังก็โกรธจึงว่า พวกท่านคบคิดกันฆ่าซูเตียวที่ปรึกษาของเราเสีย ยังจะแต่งกลซ้ำมาลวงเราอีกเล่า แล้วสั่งทหารให้เข้าจับก๋งฮีต๋ง ก๋งฮีต๋งก็รีบหนีออกมา พอพบกับขุนนางมีชื่อสิบสองคน ก๋งฮีต๋งจึงว่า แต่ก่อนนั้นเราท่านทั้งปวงเหมือนหลับตาอยู่ในที่มืด บัดนี้ก๋งจูเจียวจะได้มาเป็นเจ้าเมืองแล้วเราจะค่อยลืมตาเห็นแสงพระจันทร์พระอาทิตย์ จงชวนกันออกไปตามกอฮีรีบรับก๋งจูเจียวเข้ามาเป็นเจ้าเมือง แล้วก๋งฮีต๋งกับขุนนางทั้งปวงก็ชักชวนราษฎรชาวเมืองประมาณสามร้อยเศษ ถืออาวุธมาข้างประตูทิศตะวันออก ก๋งจูบอคุยก็ขึ้นม้ากับทหารสี่สิบคน จะออกไปตามเอ็ดแหยซึ่งตั้งค่ายอยู่นอกเมือง พอพบพวกขุนนางกับทหารทั้งปวงที่ตามก๋งฮีต๋งก็ชวนกันล้อมก๋งจูบอคุยไว้ ทหารก๋งจูบอคุยเห็นดังนั้นจึงร้องว่าคนเหล่านี้หากลัวความตายความฉิบหายไม่หรือ จึงบังอาจมาล้อมก๋งจูบอคุยเจ้าเมืองเจ๋ไว้ กอฮีจึงว่าเราหารู้จักว่าผู้ใดเป็นเจ้าเมือง ว่าแล้วก็ชวนกันเข้าไล่ฆ่าฟันทหารก๋งจูบอคุยล้มตายแตกหนีไปสิ้น ก๋งจูบอคุยเห็นดังนั้นก็ตกใจโจนลงจากหลังม้า ขุนนางทั้งปวงก็กลุ้มรุมกันเข้าแทงฟันก๋งจูบอคุยล้มลงขาดใจตาย
ขณะเมื่อก๋งจูบอคุยตายนั้น ผู้คน ณ ประตูด้านตะวันออกสับสนกันวุ่นวายนัก อุปมาเหมือนน้ำร้อนอันเดือดพล่านอยู่ในกระทะ ก๋งฮีต๋งจึงห้ามให้สงบปากเสียงลงไว้ ศพก๋งจูบอคุยที่ตายนั้นก็ให้เอาไปฝังเสียนอกเมือง แล้วก๋งฮีต๋งสั่งให้ไปบอกกอฮีว่าบัดนี้ขุนนางฆ่าก๋งจูบอคุยตายแล้ว ให้กอฮีเร่งพาก๋งจูเจียวเข้ามาเถิด เรากับขุนนางทั้งปวงจัดแจงไว้คอยรับให้พร้อมตามตำแหน่ง คนใช้คำนับลาไปหากอฮีถึงค่ายเมืองซองพบกอฮีกับเจ้าเมืองซองนั่งพูดกันอยู่ คนใช้ก็เข้าไปคำนับเล่าความให้แจ้งทุกประการ
กอฮีได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีจึงว่ากับเจ้าเมืองซองว่า ท่านยกมายังมิทันได้รบพุ่งราชการในเมืองก็สำเร็จเพราะบุญท่าน ขอเชิญท่านกับเจ้าเมืองทั้งสามกลับไปเถิด ข้าพเจ้าจะพาก๋งจูเจียวไปตั้งเป็นเจ้าเมืองมอบสมบัติให้ ท่านอย่าวิตกเลย แล้วกอฮีสั่งคนใช้ให้กลับไปบอกก๋งฮีต๋งว่า วันพรุ่งนี้เราจะพาก๋งจูเจียวเข้าไปในเมือง ให้ก๋งฮีต๋งกับขุนนางทั้งปวงตระเตรียมคอยรับเถิด คนใช้ก็คำนับลามาแจ้งกับก๋งฮีต๋งตามคำกอฮีสั่ง เจ้าเมืองซองกับเจ้าเมืองทั้งสามก็เลิกทัพแยกกันกลับไปเมือง กอฮีก็พาก๋งจูเจียวมายับยั้งคอยก๋งฮีต๋งอยู่ตามสัญญา
ฝ่ายทหารในกองทัพเอ็ดแหยซึ่งตั้งค่ายอยู่ด่านด้านตะวันออก ครั้นรู้ว่าก๋งฮีต๋งกอฮีขุนนางทั้งปวงคิดกันฆ่าซูเตียวกับก๋งจูบอคุยเสีย จะรับก๋งจูเจียวเข้ามาเป็นเจ้าเมือง ต่างคนต่างไม่สมัครเข้าด้วยเอ็ดแหยสิ้น ก็หนีเข้าหาก๋งจูเจียวกับกอฮีบ้างหนีเข้าในเมืองบ้าง ยังอยู่แต่พวกพ้องเอ็ดแหยประมาณเก้าคนสิบคน เอ็ดแหยก็ตกใจพาสมัครพรรคพวกรีบหนีไปเมืองฬ่อ
ฝ่ายก๋งจูเซียนหยินจึงปรึกษากันกับก๋งจูผวน ก๋งจูหงวนว่า เดิมก๋งฮีต๋ง กอฮีมอบสมบัติให้ก๋งจูบอคุยนั้น ได้ว่ากล่าวเราทั้งสามให้ประนีประนอมช่วยกันทำการศพ เราจึงยอมหวังมิให้ยากแก่ราษฎรทั้งปวง บัดนี้ก๋งจูเจียวพาเจ้าเมืองซองยกมาหมายจะรบชิงเอาสมบัติ ก๋งฮีต๋งกอฮีคบคิดกันฆ่าก๋งจูบอคุยเสีย จะรับก๋งจูเจียวเข้ามาทั้งเป็นเจ้าเมืองแต่ตามอำเภอใจ ก๋งจูเจียวนี้จะได้จัดแจงทำการศพหามิได้ ไม่ควรที่จะยอมยกสมบัติให้ เราทั้งสามจงตรวจตราทแกล้วทหารสมทบกันเข้าเป็นกระบวนทัพ ช่วยรบจับก๋งจูเจียวฆ่าเสียให้จงได้ ถ้าสมคิดแล้วเราพี่น้องสามคนนี้ ตามแต่ขุนนางทั้งปวงจะเห็นว่าผู้ใดมีสติปัญญาจะมอบสมบัติให้ก็ตามเถิด ก๋งจูหงวนจึงว่าการทั้งนี้สุดแต่ความคิดท่าน แต่ทหารเรายังน้อยอยู่จำจะต้องไปบอกนางเตียวฮวยกี ขอเอาทหารก๋งจูบอคุยที่เหลือตายนั้นมาสมทบเข้าด้วย เราจึงจะมีกำลังมากขึ้น
ก๋งจูเซียนหยินเห็นชอบด้วย แล้วพาก๋งจูหงวน ก๋งจูผวนไปหานางเตียวฮวยกี คำนับแล้วถามว่า ทหารก๋งจูบอคุยยังเหลืออยู่มากน้อยเท่าใด มารดาจงจัดให้ข้าพเจ้า จะตั้งเป็นกระบวนทัพรบกับก๋งจูเจียวแก้แค้นที่ฆ่าก๋งจูบอคุยผู้พี่เสียให้จงได้ นางเตียวฮวยกีนั่งร้องไห้ถึงก๋งจูบอคุยผู้บุตรอยู่ในตึก ครั้นได้ฟังก๋งจูทั้งสามว่าดังนั้น ก็เอามือเช็ดน้ำตาเสียแล้วว่า ถ้าเจ้าฆ่าก๋งจูเจียวแก้แค้นมารดาได้ ถึงตัวเราจะตายไปก็จะค่อยสิ้นวิตก แต่ทหารก๋งจูบอคุยนั้นล้มตายแตกตื่นไปเสียเป็นอันมาก ที่ยังเหลืออยู่น้อยนัก แล้วนางเตียวฮวยกีเรียกทหารมามอบให้กับก๋งจูทั้งสาม ก๋งจูทั้งสามก็คำนับลานางเตียวฮวยกีกลับมายังที่อยู่ ตรวจตราทแกล้วทหารได้พร้อมกันแล้ว ก็ยกไปตั้งคอยอยู่ข้างประตูเมืองทางที่ก๋งจูเจียวจะเข้ามานั้น แล้วกำชับสั่งทหารทั้งปวงว่า ถ้ากอฮีกับก๋งจูเจียวจะพากันเข้ามาในเมือง จงออกโจมตีจับก๋งจูเจียวกอฮีฆ่าเสียอย่าให้ทันเข้ามาในประตูเมืองได้
ครั้นก๋งฮีต๋งแจ้งดังนั้น จึงให้คนใช้ลอบไปบอกกอฮีว่า บัดนี้ก๋งจูทั้งสามซ่องสุมทแกล้วทหารสมทบกันตั้งเป็นกระบวนทัพ ไม่ยอมให้ก๋งจูเจียวเข้ามาเป็นเจ้าเมือง ครั้นก๋งฮีต๋งกับขุนนางทั้งปวงจะออกไปรับก๋งจูเจียวเล่า ก็กลัวก๋งจูทั้งสามอยู่ การทั้งนี้ตามแต่กอฮีจะคิดเถิด กอฮีได้ฟังดังนั้นจึงว่ากับก๋งจูเจียวว่า ก๋งจูทั้งสามมีทแกล้วทหาร ถ้าข้าพเจ้าจะขืนพาท่านเข้าไปบัดนี้ ถ้ารบพุ่งกันขึ้นก็จะเสียที จำจะกลับไปตามเจ้าเมืองซอง ให้เจ้าเมืองซองยกมาอีก ช่วยกำจัดก๋งจูทั้งสามเสีย จึงจะไม่มีอันตรายแก่ท่าน ก๋งจูเจียวจึงว่า การทั้งนี้สุดแต่ความคิดท่านเถิด กอฮีก็พาก๋งจูเจียวรีบตามไป พอเจ้าเมืองซองยกไปใกล้จะถึงเมือง กอฮีกับก๋งจูเจียวตามไปทันก็เข้าไปคำนับแล้วเล่าความให้แจ้งทุกประการ
เจ้าเมืองซองจึงว่ากับกอฮีว่า ซึ่งเกิดเหตุทั้งนี้เพราะท่านเบาความให้เรากลับมาเสีย เมื่อก๋งจูทั้งสามทำดังนั้น จำเราจะยกกลับไปกำจัดเสีย ตั้งก๋งจูเจียวเป็นเจ้าเมืองเจ๋ให้จงได้ แต่กองทัพสามหัวเมืองยกแยกกันไปนานแล้ว ครั้นจะให้ไปตามมาเล่าก็จะช้าหลายวันไป เจ้าเมืองซองก็ให้หาก๋งซุนกู๋มาสั่งว่า เรายกไปเมืองเจ๋ครั้งก่อนนั้นได้กองทัพสามหัวเมืองสมทบไปด้วย มีเกวียนสองร้อยเล่ม ครั้งนี้จะไปแต่ลำพังเรา ท่านจงเข้าไปเกณฑ์ทหารในเมืองเรากับเกวียนอีกสองร้อยเล่มออกมาให้โดยเร็ว
ก๋งซุนกู๋ก็คำนับลาไปจัดแจงทำตามสั่ง ครั้นได้ฤกษ์เจ้าเมืองซองก็ยกไปถึงแดนเมืองเจ๋ เห็นทหารชาวเมืองรักษาหน้าที่เชิงเทินอยู่ จึงให้ก๋งจูต๋งคุมทหารไปตั้งค่ายมั่นลงไว้ริมเชิงกำแพงคอยทีก๋งจูทั้งสามจะทำประการใด
ครั้นก๋งจูทั้งสามแจ้งดังนั้น จึงปรึกษากันว่า เจ้าเมืองซองยกมาครั้งนี้รี้พลมากนัก ครั้นจะละให้กองทัพตั้งมั่นลงเห็นจะทำยาก จำจะลอบออกไปตีเสียให้แตกในเวลาคํ่าวันนี้ ถ้าสมคิดก็จะมีชัยชนะแก่ข้าศึก แม้นเสียท่วงทีประการใด เราก็มิได้กลับเข้าเมือง พากันหนีไปซ่องสุมทแกล้วทหารไว้มากแล้ว จึงค่อยมารบก๋งจูเจียวต่อไป ครั้นปรึกษาพร้อมใจกัน ก๋งจูทั้งสามก็จัดทหารได้สามพัน ใส่เกราะถืออาวุธเตรียมอยู่ทุกคน พอเวลาสองยามเศษก็พาทหารเปิดประตูเมืองออกไปเข้าปล้นค่าย ก๋งจูต๋งซึ่งตั้งประชิดเชิงกำแพงอยู่นั้น ทหารเมืองซองต่างคนไม่ทันรู้ตัว ตื่นขึ้นได้ยินประทัดและม้าล่อก็ตกใจมิทันหยิบเครื่องศัสตราวุธต่างคนต่างหนีออกจากค่าย ก๋งจูต๋งแม่ทัพก็ขึ้นม้าไปค่ายเมืองซอง
ก๋งจูทั้งสามได้ทีก็คุมทหารไล่ฆ่าฟันทหารเมืองซองล้มตายเป็นอันมาก เจ้าเมืองซองแจ้งดังนั้นให้ก๋งซุนกู๋ทหารเอกขึ้นขี่ม้าถือทวนคุมทหารรีบไปค่ายก๋งจูต๋ง ฮัวหงิวกับกอฮีก็คุมทหารหนุนตามไป เข้ารบกันกับทหารก๋งจูทั้งสามจนสว่างขึ้น ก๋งจูหงวนเห็นจะต้านทานมิได้ก็ฟันฝ่าออกมากับทหารสี่คนห้าคนรีบหนีไปเมืองโอย ก๋งจูผวนก๋งจูเซียนหยินเข้าอยู่ในที่ล้อมจะหนีออกมิได้ ก็พาทหารถอยกลับเข้าเมือง ก๋งซุนกู๋ก็ให้ทหารไล่ฆ่าฟันทหารก๋งจูผวนก๋งจูเซียนหยินเข้าไปจนถึงในเมือง ฮัวหงิวกับกอฮีเห็นดังนั้นก็คุมทหารตามไป ก๋งฮีต๋งก็พาขุนนางทั้งปวงออกมาเชิญก๋งจูเจียวกับเจ้าเมืองซองเข้าไป แล้วมอบสมบัติให้ก๋งจูเจียวเป็นเจ้าเมืองเจ๋ชื่อเจ๋เฮาก๋ง
ฝ่ายก๋งจูผวนก๋งจูเซียนหยิน ขณะเมื่อหนีกลับเข้ามาในเมืองนั้นจึงปรึกษากันว่า บัดนี้ก๋งจูเจียวได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว ถ้าเราจะนิ่งอยู่ดังนี้เห็นว่าจะไม่พ้นภัย จำจะต้องไปหาก๋งจูเจียวรับผิดเสีย จึงจะไม่มีอันตรายแก่เรา คิดแล้วก็พากันไปหากอฮีบอกว่า ซึ่งข้าพเจ้าคิดอ่านรบพุ่งทั้งนี้เพราะก๋งจูหงวนชักนำ บัดนี้ก๋งจูเจียวได้เป็นเจ้าเมืองแล้ว ข้าพเจ้าทั้งสองนี้โทษผิดนัก ขอท่านช่วยว่ากล่าวก๋งจูเจียวอย่าให้ถือโทษข้าพเจ้าเลย กอฮีก็พาก๋งจูผวนก๋งจูเซียนหยินเข้าไปคำนับเจ๋เฮาก๋งแล้วกอฮีจึงว่า บัดนี้ก๋งจูผวนก๋งจูเซียนหยินรู้จักโทษรับผิดแล้ว ให้ข้าพเจ้าพามาหาท่านจงยกโทษเสียเถิด พี่น้องจะได้ช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดินให้ราษฎรเป็นสุขสืบไป แต่ไคหองกับพวกซูเตียวเอ็ดแหยซึ่งทำผิดนั้นให้เอาไปฆ่าเสียคนทั้งปวงจึงมิได้ดูเยี่ยงอย่างไปภายหน้า เจ๋เฮาก๋งก็สั่งให้ทำตามทุกประการ
ครั้น ณ เดือนแปดข้างขึ้น เจ้าเมืองซองกับเจ๋เฮาก๋งเจ้าเมืองเจ๋ก็เชิญศพเจ๋ฮวนก๋งเจ้าเมืองเจ๋กับศพนางอันหงอหยีไปฝัง ณ ภูเขางูเถาสัว และศพก๋งจูบอคุยนั้น เจ๋เฮาก๋งให้ขุดมาฝังเคียงศพเจ๋ฮวนก๋งด้วย แล้วให้ก่อกุฏิสามกุฏิใส่ศพเจ๋ฮวนก๋งกุฏิหนึ่ง นางอันหงอหยีกุฏิหนึ่ง ก๋งจูบอคุยกุฏิหนึ่ง เจ๋เฮาก๋งทำการศพบิดาครั้งนั้นอย่างยิ่งกว่าแต่ก่อนด้วยความกตัญญูเป็นอันมาก ครั้นเสร็จการซึ่งฝังศพ เจ๋เฮาก๋งก็ให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเจ้าเมืองซองกับทหารบรรดาซึ่งมาช่วยทำศึก แล้วปูนบำเหน็จรางวัลตามสมควร ซุยเอียวนายประตูนั้นเจ๋เฮาก๋งตั้งให้เป็นที่ไตหูขุนนางผู้ใหญ่ เจ้าเมืองซองก็ลาเจ๋เฮาก๋งกลับไปเมือง