- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๖๐
ฝ่ายเจ้าเมืองฌ้อรู้ข่าวว่าเมืองเตงไปขอดีกับเมืองจิ้น คิดขัดใจเตงฮีก๋งนัก พอกองสอดแนมเข้ามาบอกว่าสิวบองเจ้าเมืองหงอ ให้จูหวยผู้บุตรยกกองทัพเรือมาตั้งหัดทหารอยู่ ณ ตำบลกังเค้า เห็นว่าจะมาตีเมืองเรา เจ้าเมืองฌ้อได้ฟังดังนั้น จึงปรึกษากับก๋งจูเองว่าเมืองหงอจะยกมาตีเมืองเราท่านจะคิดประการใด
ก๋งจูเองจึงว่า เมืองหงอนี้แต่ก่อนหาเคยมายํ่ายีเมืองเราไม่ ถ้าละไว้ให้ยกล่วงเข้ามาในแดนได้ ภายหลังก็จะเคยใจมาทำอันตรายเมืองเราเนืองๆ ไป ข้าพเจ้าคิดว่าจะยกไปตีตำบลขิวจีปลายแดนเมืองหงอซึ่งเป็นต้นทาง แล้วจะให้ทหารรักษามั่นไว้ จัดกองทัพล่องนํ้าลงไปตีกองทัพซึ่งตั้งอยู่ ณ กังเค้าเห็นจะได้โดยง่าย เจ้าเมืองฌ้อเห็นชอบด้วย จึงให้ก๋งจูเองจัดทัพเรือคุมทหารสองหมื่นยกไปตีกองทัพเมืองหงอตามซึ่งคิดไว้ ก๋งจูเองจัดแจงเรือรบและทหารเสร็จแล้วยกกองทัพเรือออกจากเมืองฌ้อล่วงลงไป
เตงเลียวทัพหน้าจึงเข้าไปว่ากับก๋งจูเองว่า เรายกไปนี้ล่องนํ้าลงไป ถ้าเพลี่ยงพลํ้าเสียทีกับข้าศึกจะกลับฝืนน้ำขึ้นมายาก ข้าพเจ้าเห็นว่าข้างหน้าเราลงไปนั้น มีเขาเซกสานอยู่ริมน้ำเป็นที่สำคัญ ท่านจงตั้งทัพใหญ่ไว้ที่นั้น ข้าพเจ้าจะขอทหารที่มีกำลังและฝีมือสามพันเศษ จัดเรือรบที่เร็วยกไปตีตำบลขิวจี ถ้าได้แล้วก็จะทำการต่อไป ท่านตั้งค่ายฟังข่าวอยู่ ณ เขาเซกสาน ถ้าเพลี่ยงพลํ้าประการใดก็จะได้ยกลงไปอุดหนุน เห็นจะไม่เสียกับข้าศึก
ก๋งจูเองเห็นชอบด้วย จึงเรียกเอาทหารที่มีฝีมือสามร้อยคนใส่เสื้อกั๊กสามพันคน เป็นคนสามพันสามร้อยคน แต่ล้วนมีกำลังและฝีมือลงบรรจุเรือรบใหญ่เล็กร้อยลำพร้อมแล้วจุดประทัดสัญญาขึ้น ก๋งจูเองก็ยกไปตั้งอยู่เขาเซกสาน เตงเลียวก็คุมเรือร้อยลำกับทหารสามพันสามร้อยคนยกล่องนํ้าลงไปเข้าตีตำบลขิวจี พวกทหารเมืองหงอซึ่งตั้งอยู่ ณ ขิวจีนั้นก็แตกหนีลงไป ณ กังเค้า บอกความกับจูหวนบุตรเจ้าเมืองหงอ จูหวนจึงปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า ทัพเมืองฌ้อยกมาตีเอาตำบลขิวจีได้เห็นจะล่วงลงมา จำจะจัดทหารไปตั้งรับเอาชัยชนะให้จงได้ แล้วจูหวนก็สั่งให้จัดเรือหกสิบลำบรรจุทหารสองพัน ให้กงจูอีม่วยเป็นแม่ทัพ ขึ้นไปตั้งอยู่ตำบลเขาเสียงสานข้างฟากตะวันออก ถ้ากองทัพเมืองฌ้อยกมาถึงท่านจงออกมารบแล้วล่อให้ไล่ถลำลงมาพ้นตำบลเซกกั๋ง แล้วท่านจึงบากเข้าฝั่ง ทัพเราจะรับทัพเมืองฌ้อเอง แล้วจูหวนให้อีเจ้คุมเรือรบสามสิบลำบรรจุทหารพันเศษไป ตั้งซุ่มอยู่ ณ ตำบลเซกกั๋งในคลองน้อย แล้วสั่งว่าถ้าเห็นทัพเรือเมืองฌ้อพ้นเซกกั๋งมาแล้วก็ให้จุดประทัดสัญญาขึ้น แล้วรีบยกทหารออกตีกระหนาบหลังเอาชัยชนะให้จงได้ กงจูอีม่วยกับอีเจ้ก็คุมทหารไปตั้งอยู่ตามจูหวนสั่ง
ฝ่ายเตงเลียวครั้นตีด่านขิวจีได้แล้วให้ขึ้นไปแจ้งกับก๋งจูเองขอทหารลงมารักษาตำบลขิวจีไว้ ตัวเตงเลียวกับทหารสามพันสามร้อยก็ยกลงไปตีตำบลกังเค้า ครั้นเรือล่องลงมาถึงเขาเสียงสาน เห็นทัพเมืองหงอขึ้นมาตั้งอยู่ ก็ขับทหารแจวเรือเข้าตีทัพเมืองหงอ กงจูอีม่วยก็ทำเป็นถอยหนี เตงเลียวมิได้แจ้งว่าเป็นกลอุบายก็เร่งทหารไล่ตามไปถึงตำบลเซกกั๋ง กงจูอีม่วยก็ขับทหารแจวเรือหนีบากเข้าฝั่ง เตงเลียวเร่งทหารตามไป พอจูหวนบุตรเจ้าเมืองหงอคุมทหารใหญ่ยกขึ้นมาทหารทั้งสองฝ่ายรบกันเป็นสามารถ
ฝ่ายอีเจ้ซึ่งคุมทหารอยู่ในคลองเซกกั๋ง เห็นทหารเมืองฌ้อล่วงเซกกั๋งลงไปก็จุดประทัดสัญญาขึ้น ทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นก็แจวเรือออกจากคลองน้อย ตีกระหนาบหลังทหารเมืองฌ้อมา เตงเลียวได้ยินเสียงประทัดเหลียวไปดูเห็นดังนั้นก็ตกใจ สั่งให้ทหารกลับเรือขึ้นมารับทัพอีเจ้ พอทหารอีเจ้ยิงเกาทัณฑ์ระดมมา ลูกเกาทัณฑ์ถูกหน้าเตงเลียวถึงสามดอก เตงเลียวชักลูกเกาทัณฑ์ออกเสีย แล้วแยกทหารออกรับกระหนาบทั้งเหนือนํ้าใต้นํ้า ทหารทั้งสองฝ่ายต้องอาวุธเจ็บปวดเป็นอันมาก
ฝ่ายกงจูอีม่วยครั้นเข้าไปถึงฝั่ง เปลี่ยนเรือรบใหญ่ได้แล้วก็ยกมาช่วยจูหวนกับอีเจ้ กระหนาบทัพเตงเลียวเข้าไว้เป็นสามด้าน เรือรบกงจูอีม่วยใหญ่ แจวตรงเข้าเกยเรือเตงเลียวและเรือกองทัพเตงเลียวล่มลงเป็นหลายลำ ตัวเตงเลียวนั้นว่ายนํ้าหนีเข้าฝั่ง กองทัพเมืองหงอก็เอาเรือไล่ตามจับตัวเตงเลียวได้ พอเตงเลียวสิ้นกำลังลงขาดใจตาย ทหารทั้งปวงก็แตกกระจัดกระจายกันจมนํ้าตายเป็นอันมาก ที่หนีรอดไปได้นั้นทหารใส่เสื้อเกราะแปดสิบคน กับทหารใส่เสื้อกั๊กสามร้อยคนก็ไปแจ้งกับก๋งจูเอง ณ เซกสาน ก๋งจูเองรู้ว่าเตงเลียวเสียกับข้าศึก ทหารล้มตายเป็นอันมาก กองทัพซึ่งให้ไปรักษาขิวจีอยู่นั้นก็พลอยแตกหนีขึ้นมาด้วย จึงคิดว่าจำจะยกขึ้นไปรักษาขิวจีไว้ แล้วจัดแจงเรือรบน้อยใหญ่และทหารทั้งปวงยกออกจากเซกสานล่องนํ้าลงไปตั้งอยู่ ณ ท่าขิวจี
ฝ่ายจูหวนบุตรเจ้าเมืองหงอ เมื่อตีทัพเมืองฌ้อแตก เตงเลียวตายแล้ว ก็รีบยกทหารขึ้นไปจะตีเอาขิวจีคืน ครั้นมาจะใกล้ถึงขิวจีพอเพลาพลบคํ่า กองสอดแนมมาบอกว่าตำบลขิวจีนั้นก๋งจูเองคุมทหารมาตั้งรักษาอยู่ จูหวนแจ้งความดังนั้นก็ให้จัดทัพเรือแยกออกเป็นสามกอง กงจูอีม่วยกองหนึ่ง อีเจ้กองหนึ่ง ตัวจูหวนกองหนึ่ง ครั้นเพลาจะใกล้รุ่งให้ทหารทั้งสามกองตีม้าล่อกลองรบเข้าระดมตีกองทัพก๋งจูเอง ทหารเมืองฌ้อเคยเข็ดขยาดฝีมือทหารเมืองหงออยู่ หลบหนีแต่เพลากลางคืนเป็นอันมาก ครั้นสว่างก๋งจูเองเห็นทหารซึ่งรบข้าศึกอยู่นั้นน้อยตัวนัก แล้วทหารเมืองหงอก็แจวเรือโอบเข้ามา เห็นเหลือกำลังที่จะสู้รบ ก๋งจูเองก็ทิ้งเรือเสียพาทหารขึ้นบกหนีไป จูหวนครั้นตีได้ตำบลขิวจีปลายแดนเมืองหงอคืนได้ดังเก่า เก็บได้เรือและเครื่องศัสตราวุธเป็นอันมากก็ยกทหารกลับไปเมือง
ฝ่ายก๋งจูเองเมื่อหนีข้าศึกมานั้น ให้คิดอดสูกับทหารเลวทั้งปวงแล้วคิดว่าถ้าไปเมืองก็ยิ่งจะได้ความอัปยศมากขึ้น ก๋งจูเองเป็นทุกข์ไม่กินข้าวปลาอาหารก็ตรอมใจตายเสียกลางทาง ทหารก็เอาความมาแจ้งกับเจ้าเมือง ฌ้อกังอ๋องได้ฟังดังนั้นคิดแค้นเจ้าเมืองหงอนัก จึงหายิมฮูเข้ามาปรึกษาว่า ซึ่งเสียก๋งจูเองกับเตงเลียวทั้งสองคนนั้นได้ความอัปยศกับหัวเมืองทั้งปวงนัก ยิมฮูจึงว่าการทั้งนี้ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดแก้แค้นเมืองหงอให้ได้ ไม่ให้อายกับหัวเมืองทั้งปวง
ฌ้อกังอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ยินดีนัก จึงตั้งยิมฮูเป็นแม่ทัพแทนก๋งจูเอง ยิมฮูครั้นได้เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ขึ้นก็มีความยินดี คำนับเจ้าเมืองฌ้อแล้วกลับมาที่อยู่ ยิมฮูนั้นเป็นคนโลภ ครั้นได้ว่าราชการเมืองสิทธิ์ขาดอยู่กับตัวก็ให้คนใช้ไปเรียกเอาทรัพย์สิ่งของทองเงินกับเจ้าเมืองตินเนืองๆ เมืองตินเป็นเมืองขึ้นอยู่กับเมืองฌ้อ กลัวยิมฮูก็ต้องเรี่ยไรเอากับไพร่พลเมืองมาให้เป็นคำนับ
แล้วเซงก๋งหาอ้วนภ้อเข้ามาปรึกษาว่า ยิมฮูได้เป็นที่ง่วนโซ่ยใช้ให้คนมาเอาทรัพย์สิ่งของกับเราทุกครั้งไป จะเอาที่ไหนมาให้บ่อยๆ เราได้ความชํ้าใจนัก คิดว่าจะไปขอขึ้นกับเมืองจิ้นท่านจะเห็นประการใด อ้วนภ้อเห็นชอบด้วย เซงก๋งก็ให้อ้วนภ้อถือหนังสือไปแจ้งความกับเจ้าเมืองจิ้นตามซึ่งคิดไว้ ซุนจิวเจ้าเมืองจิ้นแจ้งว่าเซงก๋งจะขอเป็นเมืองขึ้นก็มีความยินดีสั่งอ้วนภ้อว่าท่านไปบอกกับเซงก๋งเถิด ถ้ามีทุกข์สุขสิ่งไรเราคงจะช่วย อ้วนภ้อก็คำนับลาเจ้าเมืองจิ้นกลับไปเมืองติน
เจ้าเมืองจิ้นคิดจะให้ปรากฏว่าเซงก๋งยกเมืองตินมาขึ้นกับเมืองจิ้น จึงให้คนใช้ถือหนังสือไปให้หัวเมืองทั้งปวงมาพร้อมกันที่ตำบลแกเซก แต่บรรดาหัวเมืองขึ้นแจ้งว่าเจ้าเมืองจิ้นให้หาตนต่างคนยกมา ณ ตำบลแกเซก เจ้าเมืองหงอรู้ว่าเจ้าเมืองจิ้นให้หาหัวเมืองมา ณ ตำบลแกเซกก็แต่งขุนนางมาด้วย ครั้นมาพร้อมกันแล้วก็ไปทำสัตย์กันที่ตำบลแกเซก หัวเมืองทั้งปวงก็รู้ทั่วกันว่าทำสัตย์ครั้งนี้ เหตุด้วยเมืองตินออกจากเมืองฌ้อมาขึ้นกับเมืองจิ้น ครั้นทำสัตย์กันแล้วต่างคนต่างกลับเมือง เกียรติยศก็ปรากฏขึ้นกว่าแต่ก่อน หัวเมืองทั้งปวงก็นับถือเป็นเมืองเอก
ฝ่ายเจ้าเมืองฌ้อรู้ว่าเมืองตินไปเข้ากับเมืองจิ้นก็คิดแค้นอายกับหัวเมืองทั้งปวง แล้วรู้ว่าเกิดเหตุด้วยยิมฮูเบียดเบียนให้ได้ความเดือดร้อน เซงก๋งคิดน้อยใจจึงไปขึ้นกับเมืองจิ้น ฌ้อกังอ๋องก็ให้เอายิมฮูไปฆ่าเสีย จึงเอากองจูเจ๋งน้องยิมฮูตั้งเป็นที่เลงอินแม่ทัพแทนยิมฮู ขณะนั้นพอรู้ข่าวว่าเจ้าเมืองตินตาย ซีจูเหลกผู้บุตรได้เป็นเจ้าเมืองแทนเรียกว่าตินอายก๋ง เจ้าเมืองฌ้อแจ้งความแล้วก็ให้จัดทัพเกวียนห้าร้อยกับทหารสามหมื่นให้กองจูเจ๋งเป็นแม่ทัพยกไปตีเอาเมืองติน ตินอายก๋งรู้ว่าเจ้าเมืองฌ้อให้ยกทัพมาก็ตกใจเห็นจะสู้มิได้ ก็กลับคืนไปขึ้นกับเมืองฌ้อดังเก่า
ฝ่ายเจ้าเมืองจิ้นรู้ว่าตินเซงก๋งตาย ซีจูเหลกได้เป็นเจ้าเมืองแทนกลับเอาเมืองตินไปขึ้นกับเมืองฌ้อ เจ้าเมืองจิ้นโกรธสั่งให้จัดกองทัพจะยกไปตีเอาเมืองตินคืน พอทหารเข้ามาแจ้งว่าแก่หูเจ้าเมืองบูจงให้เมงลกขุนนางคุมเอาหนังเสือดาวมาร้อยผืน กับหนังสือว่าด้วยราชการเมืองฉบับหนึ่ง เจ้าเมืองจิ้นแจ้งดังนั้นก็ให้เมงลกเข้ามาแล้วถามว่า เจ้าเมืองบูจงใช้ท่านมาหาเราด้วยธุระสิ่งไร เมงลกคำนับแล้วจึงบอกว่า เจ้าเมืองบูจงให้ข้าพเจ้ามาแจ้งความกับท่านว่า เมืองซันหยงกับหัวเมืองทั้งปวงตั้งแต่เจ๋ฮวนก๋งไปตีได้ก็มาขึ้นอยู่กับเมืองเจ๋ ทุกวันนี้ก็ได้อยู่เย็นเป็นสุขหาอันตรายสิ่งใดไม่ บัดนี้เมืองเอี๋ยนกับเมืองจิ๋นมายํ่ายีเมืองซันหยงกับหัวเมืองทั้งปวง จับเอาผู้คนไปเนืองๆ เจ๋ฮวนก๋งก็ตายเสียแล้ว พวกเมืองหยงหามีที่พึ่งไม่ เจ้าเมืองบูจงนายข้าพเจ้ารู้ว่าท่านรักษาแผ่นดินตั้งอยู่ในความซื่อสัตย์ เห็นเมืองจิ้นจะได้เป็นเมืองเอกเหมือนหนึ่งเมืองเจ๋ หัวเมืองหลวงทั้งปวงว่าจะมาขอขึ้นกับท่านโดยสุจริต มิได้คิดประทุษร้ายต่อไป นายข้าพเจ้าจึงให้ถือหนังสือแจ้งความมาขอท่านได้โปรดด้วย
เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า พวกเมืองซันหยงกับพวกหัวเมืองหยงว่าจะมาขอขึ้นกับเมืองเราผู้ใดจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงจึงว่าอันพวกเมืองหยงนั้นนํ้าใจหาสัตย์ซื่อไม่ ถึงจะมาเข้าด้วยก็ไว้ใจยาก ด้วยเป็นคนโทโสร้ายที่ไหนจะอ่อนน้อมโดยสุจริต ถ้ายกไปตีให้แพ้โดยกำลังและฝีมือนั้นแล เห็นว่าพวกเมืองหยงจะเกรงกลัวข่มขี่ได้สนิท เมื่อครั้งเจ๋ฮวนก๋งเล่าก็ยกไปตีเมืองซันหยงกับพวกหยงทั้งปวง ครั้นภายหลังไปตีเมืองฌ้อเมืองเจ๋จึงได้เป็นเมืองเอกขึ้น
งุยเสียงจึงว่า ซึ่งจะยกไปตีเมืองซันหยงกับพวกหยงนั้นไม่เห็นด้วย ด้วยเมืองเรากับเมืองทั้งปวงพึ่งได้เป็นไมตรีกันเข้ายังหาปรกติไม่ ถ้าจะยกไปทำข้างโน้น เจ้าเมืองฌ้อรู้ก็ยกมาตีเมืองเรา หัวเมืองทั้งปวงกลัวก็จะไปขึ้นเสียกับเมืองฌ้อ ถึงเราจะได้เมืองหยงทั้งสิ้น ก็เหมือนได้สัตว์เดรฉานอันมิได้รู้จักภาษาคน ถ้าเสียหัวเมืองของเราไป เหมือนหนึ่งเสียเมืองพี่เมืองน้องหาควรแลกเปลี่ยนกันไม่
เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังดังนั้นจึงถามงุยเสียงว่า เราจะไปผูกไมตรีกับเมืองซันหยง ท่านจะเห็นเป็นประการใด งุยเสียงจึงว่าถ้าจะผูกรักกับเมืองซันหยงนั้น ข้าพเจ้าเห็นดีห้าประการ ด้วยแดนเมืองซันหยงกว้างขวางนัก ซึ่งเรารับเป็นไมตรีนั้นเหมือนเอาของดีไปแลกเอาแผ่นดินไว้แดนเราก็กว้างออก ประการหนึ่งเขามาภักดีต่อเราแล้วก็เห็นจะไม่มายํ่ายีเขตแดน ต่างคนต่างอยู่เป็นสุข ประการหนึ่งไม่พักยกทัพไปให้ลำบากแก่ไพร่ เมืองหยงทั้งปวงก็อยู่ในอำนาจอ่อนน้อมนับถือ ประการหนึ่งกิตติศัพท์ก็จะปรากฏไปว่าเมืองหยงพาเอาพวกหยงมาขึ้นกับเรา หัวเมืองทั้งปวงก็จะยำเกรงมากขึ้น ประการหนึ่งเมืองซันหยงมาผูกไมตรีกับเราแล้วก็สิ้นธุระลงด้านหนึ่ง จะได้ตั้งใจทำแต่ข้างทิศใต้ฝ่ายเดียว ข้าพเจ้าเห็นว่าดีถึงห้าประการดังนี้
เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงให้งุยเสียงไปกับเมงลกรับเป็นไมตรีกับพวกหยงทั้งปวง เมงลกกับงุยเสียงก็พากันมาเมืองบูจงว่า เจ้าเมืองยอมรับเป็นไมตรีด้วยท่านกับซันหยงและพวกหยงทั้งปวงแล้ว แต่เจ้าเมืองจิ้นให้งุยเสียงขุนนางเป็นที่ไตหูมากับข้าพเจ้า งุยเสียงก็คำนับเจ้าเมืองบูจง เจ้าเมืองบูจงยินดีนักจึงว่า ท่านมาถึงที่นี่แล้วเราจะมีหนังสือมาถึงเมืองซันหยงและพวกหยงทั้งปวงให้มาทำสัตย์กัน แล้วก็ให้คนใช้ถือหนังสือไปเมืองซันหยง
ฝ่ายเจ้าเมืองซันหยงแจ้งในหนังสือดังนั้นก็ให้ไปบอกแต่บรรดานอกเมืองหยงว่า เจ้าเมืองจิ้นยอมรับให้เราเป็นไมตรีแล้ว จงเร่งไปทำสัตย์ ณ เมืองบูจง พวกเมืองหยงทั้งปวงแจ้งดังนั้นต่างคนต่างก็ไปพร้อมกัน ณ เมืองบูจง จึงจุดธูปเทียนบวงสรวงเทพารักษ์ แล้วทำสัตย์สาบานว่า แต่บรรดาเมืองหยงนี้จะซื่อตรงต่อเจ้าเมืองจิ้นมิคิดคดต่อไปต่างคนต่างรักษาบ้านเมือง ถ้าผู้ใดมิได้ตั้งอยู่ในความสัตย์ ให้เทพยดาสังหารชีวิตผู้นั้นเสีย ครั้นทำสัตย์แล้วต่างคนต่างยินดีต่อกัน เจ้าเมืองบูจงและพวกหยงทั้งปวงจึงจัดแจงสิ่งของที่ดีที่ประหลาดมาให้งุยเสียง ขุนนางเมืองจิ้นเป็นคำนับ งุยเสียงคืนของทั้งนั้นเสียมิได้รับแต่สักสิ่ง พวกหยงทั้งปวงจึงว่างุยเสียงนี้ควรที่จะเป็นขุนนางเมืองใหญ่นํ้าใจสะอาดนักไม่เห็นกับที่จะได้ พวกหยงยิ่งเกรงใจนัก ครั้นสำเร็จการทำสัตย์แล้วงุยเสียงก็ลาเจ้าเมืองบูจงกลับมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองจิ้นทุกประการ
ฝ่ายกองจูเจ๋ง ซึ่งเจ้าเมืองฌ้อให้ยกมาตีเมืองตินนั้น ตินอายก๋งกลัวยอมเป็นไมตรีด้วยแล้ว กองจูเจ๋งจัดกองทัพจะยกไปตีเมืองเตง ครั้นรู้ว่าเจ้าเมืองจิ้นตั้งการก่อกำแพงไว้ที่หอโล้ จะเดินทางมิได้จึงยกกองทัพไปทางเมืองหุย ตัดตรงมาเอาตำบลกวางซุย
ขณะนั้นเตงฮีก๋งเจ้าเมืองรู้ก็ตกใจ จึงให้หาขุนนางซึ่งเป็นพี่น้องร่วมแซ่เข้ามาพร้อมกันจึงว่า บัดนี้กองทัพเมืองฌ้อยกมาตีเมืองเราตั้งอยู่ตำบลกวางซุย เราจะจัดแจงรักษามั่นไว้แล้วจะมีหนังสือไปขอกองทัพจิ้นมาช่วยท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด กองจูหุยขุนนางผู้ใหญ่จึงว่าบัดนี้ทัพเมืองฌ้อยกมาตีเมืองเรา จะคอยท่าทัพเมืองจิ้นนั้นเห็นไม่ได้ ต้องคำโบราณว่าน้ำอยู่ไกลไฟอยู่ใกล้ เห็นจะไม่ทัน เราจำจะเข้ากับเมืองฌ้อจึงจะไม่มีอันตราย เจ้าเมืองเตงจึงว่าเราไปเข้ากับเมืองฌ้อแล้ว เมืองจิ้นยกมาจะคิดประการใดเล่า กองจูหุยจึงว่าเมืองเราทุกวันนี้เหมือนเอาสิ่งของทองเงินไปคอยอยู่นอกแดน ใครมาถึงก่อนเป็นของผู้นั้น หัวเมืองทั้งสองของเมืองไหนจะกล้า เราขึ้นกับเมืองนั้นจะได้รักษาไพร่พลเมืองให้เป็นสุข
เตงฮีก๋งไม่เห็นด้วยจึงว่า ถ้าดังนั้นแล้วที่ไหนเมืองเราจะเป็นสุข แล้วเจ้าเมืองเตงก็ใช้คนถือหนังสือไปขอกองทัพเมืองจิ้น ขุนนางทั้งปวงเกรงกองจูหุย หามีผู้ใดจะทำตามคำเจ้าเมืองเตงไม่ เจ้าเมืองเตงคิดน้อยใจเพลากลางคืนก็ไปขอกองทัพเมืองจิ้น ไปถึงกงก๊วนรายทางก็หยุดพักอยู่ ครั้นรุ่งขึ้นกองจูหุยรู้ว่าเจ้าเมืองเตงละเมืองเสียไปขอกองทัพเมืองจิ้น กองจูหุยก็เรียกคนสนิทไปสั่งความในที่ลับ คนใช้รับคำแล้วก็รีบตามไปลอบแทงเตงฮีก๋งตายที่กงก๊วนกลางทาง แล้วกลับมาพูดกับชาวเมืองทั้งปวงว่าเจ้าเมืองเตงจะไปหาเจ้าเมืองจิ้น ไปถึงกลางทางป่วยเป็นปัจจุบันตาย
ฝ่ายกองจูหุยครั้นเตงฮีก๋งตายแล้ว เอากองจูแกน้องเจ้าเมืองเตงตั้งขึ้นแทน เรียกว่าเตงตั๋นก๋ง แล้วกองจูหุยให้คนใช้ไปบอกกับกองทัพเมืองฌ้อว่า ผู้ซึ่งเอาเมืองไปขึ้นกับเมืองจิ้นนั้นคือคุนหงวนเจ้าเมืองเตงคนเก่า บัดนี้คุนหงวนตายแล้ว กองจูแกผู้น้องได้เป็นที่แทน ตั้งใจจะขอขึ้นกับเมืองฌ้อสืบไป แล้วก็แต่งขุนนางออกไปให้ความกับกองจูเจ๋ง กองจูเจ๋งก็ยกทัพกลับไปเมือง
ฝ่ายซุนจิวเจ้าเมืองจิ้นรู้ว่าเมืองเตงกลับไปขึ้นกับเมืองฌ้อ จึงให้หาขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาว่า บัดนี้เมืองตินกับเมืองเตงคิดคดต่อเราละความสัตย์เสียกลับไปขึ้นกับเมืองฌ้อ เราจะไปตีสองหัวเมืองจะตีเมืองไหนก่อน ซุนเอียวจึงว่าเมืองตินเป็นเมืองน้อย ถึงเสียไปก็จะเป็นไรมี เมืองเตงเป็นเมืองใหญ่ละไว้มิได้ จำจะตีเมืองเตงเสียก่อน ฮันเคียดได้ยินซุนเอียวว่าดังนั้นจึงบอกกับเจ้าเมืองจิ้นว่า อันถ้อยคำซุนเอียวนั้นต้องน้ำใจข้าพเจ้านัก ซึ่งเมืองเตงไม่สุจริตต่อเรานั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าซุนเอียวจะปราบเมืองเตงให้ราบคาบได้เป็นแท้ ตัวข้าพเจ้าชราแล้วขอให้ท่านมอบให้ซุนเอียวว่าต่อไป เจ้าเมืองจิ้นไม่ยอม ฮันเคียดอ้อนวอนเป็นหลายครั้ง ซุนจิวขัดมิได้จึงตั้งซุนเอียวเป็นที่ตงกุ๋นง่วนโซ่ยตามคำฮันเคียด แล้วฮันเคียดจึงว่ากับซุนเอียวว่าตัวท่านจงช่วยทำนุบำรุงรักษาแผ่นดินโดยสุจริต อย่าให้เสียทีที่นายเราชุบเลี้ยงท่าน ว่าแล้วฮันเคียดคำนับลาเจ้าเมืองจิ้นออกจากราชการไปอยู่ ณ บ้านเดิม
เจ้าเมืองจิ้นครั้นตั้งซุนเอียวเป็นที่ตงกุ๋นง่วนโซ่ยแล้วสั่งให้ยกทัพไปตีเมืองเตง ซุนเอียวก็จัดแจงทหารยกไปตั้งอยู่ด่านหอโล้ เตงตั๋นก๋งกลัวก็ให้ขุนนางออกมาทำสัตย์ขึ้นกับเมืองจิ้น ซุนเอียวก็ยกกลับไปเมือง ครั้นฌ้อกังอ๋องยกทัพมาเมืองเตงก็ไปเข้ากับเมืองฌ้อ เจ้าเมืองจิ้นรู้ว่าเจ้าเมืองเตงกลับกลอกก็คิดโกรธ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เจ้าเมืองเตงนั้นเรายกทัพไปก็มาเข้ากับเรา เจ้าเมืองฌ้อยกมาก็ไปเข้ากับเมืองฌ้อ ท่านจะทำประการใดเมืองเตงจึงจะเป็นสิทธิ์กับเรา ซุนเอียวจึงว่าซึ่งเมืองเตงกลับกลอกไปนั้นเพราะจะสู้รบกับสองเมืองมิได้ สุดแต่เมืองเตงมาขึ้นเราครั้งไร เมืองฌ้อก็ยกมาตีเอาเมืองคืนไปหลายครั้งแล้ว เมืองฌ้อยกมาชิงอยู่ฉะนี้ ที่ไหนเราจะยึดเมืองเตงอยู่ เมืองฌ้อกับเมืองเราทำการมาด้วยเมืองเตง ไพร่พลเมืองได้ความเดือดร้อน ทแกล้วทหารอิดโรยเหนื่อยนัก ถ้าคิดอุบายอย่าให้เมืองฌ้อมาชิงเมืองเตงก็จะเป็นสิทธิ์แก่เรา
เจ้าเมืองจิ้นจึงถามว่า อุบายของท่านนั้นจะทำประการใด ซุนเอียวจึงว่าทหารเมืองเรามีอยู่สี่กอง ข้าพเจ้าคิดจะมารวมกันเข้าแบ่งออกเป็นแต่สามกอง แล้วให้มีทหารเหล่านี้เป็นสามทัพ จึงมีหนังสือไปเกณฑ์หัวเมืองทั้งเก้าให้ยกมาช่วย ถ้ามาพร้อมแล้วจะแบ่งออกเป็นสามกองๆ ละสามหัวเมืองบรรจบกับทัพเรา ผลัดกันยกไปตีเมืองเตงอย่าให้ขาดได้ ถึงมาตรเมืองฌ้อจะยกมาชิง เมื่อไม่มีทัพมาผลัดเปลี่ยนเช่นเราว่าแล้ว ทหารเมืองฌ้อก็จะอิดโรยระอาลงเห็นจะไม่ยกมาชิงต่อไป เมืองเตงก็จะเป็นสิทธิ์กับเรา
เจ้าเมืองจิ้นเห็นชอบด้วย จึงว่าท่านจงไปจัดแจงทหารที่ตำบลเฆกเหลียง แบ่งเป็นสามกองผลัดเปลี่ยนกันตามซึ่งคิดไว้นั้นเถิด ซุนเอียวก็ยกไปตั้งอยู่ตำบลเฆกเหลียง แล้วให้ปลูกโรงใหญ่ลงไว้เป็นที่ว่าราชการ แล้วซุนเอียวกับซุนเอียมปรึกษากันว่า เราทั้งสองแซ่เดียวกันทำราชการทหารฝ่ายเดียวกัน การศึกเป็นใหญ่ทั้งชื่อทั้งแซ่เกี่ยวข้องกันอยู่ จำเราจะเปลี่ยนแซ่เสียกว่าการของนายจะสำเร็จ ปรึกษากันแล้วซุนเอียวซุนเอียมต่างคนต่างเปลี่ยนแซ่ ซุนเอียวนั้นเป็นบุตรซุนสือ ซุนสือได้กินเมืองตี๋มาแต่ก่อน ซุนเอียวจึงเอานามตี๋นั้นมาตั้งแซ่ เรียกตี๋เอียว ซุนเอียมนั้นบิดาได้เป็นแม่ทัพตงหังสี ซุนเอียมจึงตั้งแซ่เรียกว่าตงหังเอียม ครั้นผลัดเปลี่ยนแซ่เสร็จแล้ว จึงมีหนังสือไปเกณฑ์ทหารทัพหัวเมืองทั้งเก้าให้ยกมาตำบลเฆกเหลียง แล้วตี๋เอียวให้ปักเสาธงสูงขึ้นไว้อันหนึ่ง ธงนั้นสีเหลืองจารึกอักษรว่าตี๋เอียวเป็นแม่ทัพใหญ่
ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงแจ้งในหนังสือดังนั้น ก็เกณฑ์กองทัพมาทุกหัวเมือง ตี๋เอียวเห็นกองทัพหัวเมืองมาพร้อมกันแล้วจึงจัดทัพเป็นสามกุ๋น ทัพที่หนึ่งนั้นตั้งให้ตงหังเอียมเป็นที่เสียงกุ๋นง่วนโซ่ยแม่ทัพ ฮันกีเป็นปลัดคุมทัพเมืองฬ่อเมืองจอเมืองจูสามหัวเมือง แล้วเกณฑ์สูกัวเป็นแม่ทัพหลังหนุนทัพตงหังเอียม ทัพที่สองนั้นตั้งให้ลวนหำเป็นที่เหียกุ๋นง่วนโซ่ยแม่ทัพ ซีหองเป็นปลัดคุมทัพเมืองเจ๋เมืองตินเมืองซีทั้งสามหัวเมือง เกณฑ์งุยกัวเป็นทัพหลังหนุนทัพลวนหำ ทัพที่สามนั้นตั้งให้เตียวบู๊เป็นสินง่วนโซ่ยแม่ทัพ งุยเสียงเป็นปลัดคุมทัพเมืองซองเมืองโอยเมืองฦาสามหัวเมือง เกณฑ์ให้ซุนหลองเป็นแม่ทัพหลังหนุนทัพเตียวบู๊ แล้วตี๋เอียวจึงสั่งแม่ทัพทั้งสามตามซึ่งคิดไว้แล้วว่า จะไปทำการครั้งนี้ท่านอย่าเห็นแก่ชนะเข้าหักหาญให้เสียรี้พลเลย นายทัพทั้งสามจัดแจงคนตั้งกระบวนอยู่ตามอันดับกันคอยฟังกำหนดตี๋เอียวแม่ทัพใหญ่
ขณะนั้นก๋งจูเอียงอี๋อายุได้สิบเก้าปี เป็นน้องร่วมมารดาเจ้าเมืองจิ้น เป็นขุนนางฝ่ายทหารนํ้าใจองอาจแต่ยังหาเคยทำศึกไม่ ครั้นรู้ว่าตี๋เอียวแม่ทัพใหญ่จัดแจงกองทัพจะไปตีเมืองเตง เอียงอี๋คิดแต่โดยโวหารจะใคร่รับอาสาไปรบเอาความชอบแต่ผู้เดียว คอยฟังอยู่หามีใครกะเกณฑ์ไม่ คิดโกรธแต่ในใจ จึงเข้าไปหาตี๋เอียวว่า การท่านครั้งนี้ข้าพเจ้าจะรับอาสาเป็นทัพหน้าไปทำให้สำเร็จจงได้ ตี๋เอียวจึงว่า การทั้งนี้เราจะคิดทำเป็นกลศึกจะเอาการช้า ใช่จะเอาชัยชนะโดยเร็วนั้นหาไม่ ท่านอย่าเพิ่งเห็นกับจะได้ความชอบ ท่านมีกำลังและฝีมือก็จริงแต่ยังไม่ถึงเวลาจะทำ ถ้าอยากจะใคร่ไปแล้วเข้ากองเตียวบู๊เถิด เอียงอี๋จึงว่าเตียวบู๊เป็นกองหลัง ข้าพเจ้าขอไปอยู่กองหน้า ตี๋เอียวไม่ยอม เอียงอี๋โกรธจึงจัดแจงแต่บรรดาพวกของตัวยกไปตามสูกัวซึ่งเป็นทัพหนุนกองหน้า
ขณะนั้นงุยเสียงซึ่งเป็นผู้ตรวจทัพเห็นเอียงอี๋ทำผิดอย่างธรรมเนียมนั้นก็ตีกลองขึ้น แล้วร้องประกาศนายทัพนายกองทั้งปวงว่า เอียงอี๋ขัดคำสั่งแม่ทัพให้ผิดกฎหมายศึกโทษถึงตาย จงเอาไปฆ่าเสียตามกฎหมาย แต่เกรงอยู่ว่าเป็นน้องเจ้าเมืองจิ้น ครั้นจะมิทำตามเล่าการข้างหน้ายังมาก ว่าแล้วงุยเสียงก็ให้เอาคนขับเกวียนของเอียงอี๋ไปฆ่าเสียแทนตัวเอียงอี๋ ตัดศีรษะเสียบไว้อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง เอียงอี๋นั้นมิได้รู้กฎหมายธรรมเนียมเห็นเขาเอาคนของตัวไปฆ่าเสียก็ตกใจ ทั้งได้ความอัปยศกับนายกอง จึงเข้าไปร้องไห้บอกความแก่เจ้าเมืองจิ้นว่างุยเสียงข่มเหง ข้าพเจ้าได้ความเจ็บอายนัก
เจ้าเมืองจิ้นไม่ทันถามผิดและชอบคิดโกรธงุยเสียงนัก จึงว่างุยเสียงทำนี้เหมือนหนึ่งข่มเหงเรา แล้วสั่งเอียงเซียกจิกให้ไปเอาตัวงุยเสียงมา เอียงเซียกจิกว่ากับเจ้าเมืองจิ้นว่า ท่านอย่าเพิ่งโกรธก่อน งุยเสียงนี้เป็นคนมีกตัญญูแล้วถือกฎหมายอย่างธรรมเนียมมั่นนัก ถ้าทำผิดจริงแล้วก็คงจะมาสารภาพหาพักไปเอาตัวไม่ เมื่อว่ากันอยู่นั้นงุยเสียงถือเรื่องราวกับกระบี่เข้ามายืนแอบประตูฟังอยู่ รู้ว่าเจ้าเมืองจิ้นเชื่อถ้อยคำเอียงอี๋ก็น้อยใจ เอาเรื่องราวส่งให้คนใช้ของตัวให้เอาไปให้ขุนนางช่วยเสนอกับเจ้าเมืองจิ้นด้วย แล้วชักกระบี่ออกจะเชือดคอตาย พอหองซูเตียวโลวิ่งเข้ามาชิงเอากระบี่ไว้แล้วว่า ทำไมท่านจะมาเบาความด่วนฆ่าตัวเสีย ข้าพเจ้าทั้งสองจะเข้าไปว่ากับเจ้าเมืองจิ้นเอง แล้วหองซูเตียวโลก็เอาเรื่องราวเข้าไปให้กับเจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นรีบเอามาอ่านดูเป็นใจความว่า ท่านตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นที่สุมาถืออาญาสิทธิ์ในการทัพศึกมาแต่ก่อน ข้าพเจ้าก็มิได้ทำให้ผิดอย่างธรรมเนียม เห็นว่าพอจะเป็นที่อันนี้ได้จึงตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นนั้น พระคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าก็ทำตามกฎหมายอาญาศึก ทแกล้วทหารทั้งปวงก็อยู่ในบังคับบัญชา มาครั้งนี้เอียงอี๋ล่วงอาญาศึก มิได้อยู่ในบังคับบัญชาแม่ทัพนายกอง ครั้นข้าพเจ้าจะมิทำตามอย่างธรรมเนียม นานไปถ้ามีผู้ดูเยี่ยงอย่างการศึกก็จะเสียไป ซึ่งท่านเห็นว่าข้าพเจ้าทำครั้งนี้ล่วงเกินโทษจะมีแก่ข้าพเจ้าประการใดตามแต่ท่านจะโปรด
เจ้าเมืองจิ้นอ่านหนังสือแล้วจึงถามว่างุยเสียงอยู่ไหนเล่า หองซูเตียวโลจึงบอกว่า งุยเสียงรู้ว่าถ้าท่านโกรธจะเชือดคอตายเสียข้าพเจ้าชิงกระบี่ไว้ บัดนี้งุยเสียงอยู่นอกประตู จะเข้ามาก็กลัวอาญาท่าน เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังดังนั้นก็ลุกเดินออกไปจูงข้อมืองุยเสียงเข้ามาแล้วว่า ซึ่งเราเบาความฟังคำน้องไม่ทันพิเคราะห์ให้เห็นผิดและชอบ สั่งให้ทำโทษท่านนั้นขออภัยเถิด ซึ่งเรามิได้สั่งสอนน้องเราให้รู้จักกฎหมายอย่างธรรมเนียม ตัวเราผิดเองตัวท่านหาผิดไม่ อย่ามีความน้อยใจเลย จงรีบกลับไปจัดแจงตามเดิมเถิด
งุยเสียงคุกเข่าลงคำนับเจ้าเมืองจิ้นว่า ซึ่งข้าพเจ้าทำล่วงเกินกับน้องท่าน ท่านไม่เอาโทษนั้นคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าจะขอทำราชการกับท่านกว่าจะสิ้นชีวิต ว่าแล้วก็ไปเข้ากระบวนทัพตามเดิม เจ้าเมืองจิ้นกลับเข้าไปที่ข้างใน จึงหาเอียงอี๋เข้าไปว่ากล่าวตัดพ้อเป็นอันมาก แล้วสั่งขันทีให้พาตัวเอียงอี๋ไปมอบกับฮันกี ฮันกีสั่งสอนให้รู้จักอย่างธรรมเนียมผิดและชอบ เอียงอี๋ก็ไปอยู่กับฮันกีตามเจ้าเมืองจิ้นสั่ง
ขณะนั้นตี๋เอียวจัดแจงกองทัพเสร็จแล้วก็เข้าไปแจ้งความกับเจ้าเมืองจิ้นทุกประการ พอคนใช้เมืองซองถือหนังสือมาถึง เพงฉินขุนนางรับเอาหนังสือมาอ่านต่อหน้าเจ้าเมืองจิ้นใจความว่า เมืองฌ้อกับเมืองเตงให้ทหารมาตั้งอยู่ ณ ด่านเป๊กเอียง แล้วยกเข้ามายํ่ายีปลายแดนเมืองซอง อาณาประชาราษฎร์ได้ความเดือดร้อน ขอให้ท่านผู้เป็นเมืองใหญ่ยกไปช่วย เจ้าเมืองจิ้นแจ้งหนังสือดังนั้นก็ปรึกษาขุนนางทั้งปวง
ตงหังเอียมจึงว่าฌ้อกังอ๋องได้เมืองเตงเมืองตินไว้แล้วยังไม่อิ่มจะคิดมาตีเอาเมืองซองอีก ก็เพราะเมืองฌ้อกับเมืองเราชิงกันเป็นเอก ข้าพเจ้าคิดว่าตำบลเป๊กเอียงนั้นเป็นต้นทาง เมืองฌ้อจะมาตีเมืองซองก็ต้องเดินทางนั้น ถ้ายกกองทัพไปตีเอาแล้วให้ทหารตั้งมั่นรักษาไว้ ตัดหนทางเมืองฌ้อเสีย การข้างหน้าต่อไปเห็นจะทำได้โดยง่าย
ตี๋เอียวจึงว่ากับตงหังเอียมว่า ตำบลเป๊กเอียงนั้นเป็นแต่เมืองด่านก็จริง แต่เป็นที่สำคัญแล้วกำแพงก็มั่นคง เห็นเจ้าเมืองฌ้อจะแต่งมารักษากวดขันอยู่ ถ้ายกไปทำไม่สมคะเนหัวเมืองทั้งปวงจะหัวเราะเล่น สูกัวจึงว่าครั้งก่อนเมืองฌ้อก็จะยกมาตั้งอยู่ตำบลแพเสีย เรายกไปตีได้แล้วก็ไปตีเมืองเตง ทัพเมืองฌ้อกลับยกมาตีเมืองซองเกี่ยวไว้ เรายกไปช่วยเมืองซองไว้ได้ เมืองซองก็เด็ดขาดมาขึ้นกับเราแล้ว บัดนี้เมืองฌ้อกลับมาตีเมืองซองอีก ซึ่งเราจะยกไปเอาเมืองเตงนั้น ต้องรักษาเมืองซองให้มั่นก่อน ตงหังเอียมเห็นชอบด้วย ตี๋เอียวจึงว่าซึ่งจะไปล้อมตำบลเป๊กเอียงนั้น ท่านทั้งสองเห็นพร้อมกันแล้วหรือ ตงหังเอียมกับสูกัวจึงว่าขึ้นพร้อมกันต่อหน้าเจ้าเมืองว่า การซึ่งจะไปตีเป๊กเอียงนั้นข้าพเจ้าทั้งสองจะขอรับเป็นธุระ ถ้าทำไม่สำเร็จท่านจงเอาโทษตามกฎหมายเถิด
เจ้าเมืองจิ้นจึงว่า ถ้าตงหังเอียมกับสูกัวพร้อมใจกันแล้วเห็นการจะสำเร็จจงเร่งไปเถิด ตงหังเอียมกับสูกัวคำนับลาจิ้นเจาก๋ง คุมกองทัพเมืองฬ่อ เมืองจอ เมืองจู สามหัวเมืองยกออกจากเมืองจิ้น ตี๋เอียวไม่ไว้ใจก็ตามมาด้วยตงหังเอียม ครั้งถึงตำบลเป๊กเอียงก็ขับทหารเข้าล้อมไว้ทั้งสี่ด้าน
ฝ่ายเป๊กเอียงนายด่านจึงให้หาหุนปันเข้ามาปรึกษาว่า ตัวท่านเป็นนายทหารเจ้าเมืองฌ้อให้มาช่วยรักษาด่าน บัดนี้กองทัพเมืองจิ้นยกมาล้อมทั้งสี่ด้านท่านคิดประการใด หุนปันจึงว่าอันกองทัพยกมาล้อมเมืองเรานั้นจะกลัวอะไรมีพอจะคิดเอาชัยชนะได้ ด้วยกำแพงเมืองเราแน่นหนามั่นคง ประตูก็สองชั้น แล้วมีหอรบทุกประตู ข้าพเจ้าคิดว่าประตูด้านเหนือซึ่งเมืองฬ่อมาตั้งอยู่นั้น จะเอาทหารขึ้นไว้บนหอรบ จะขันช่อบานประตูขึ้นไว้ จึงแต่งทหารออกไปรบกับทัพเมืองฬ่อ ทำเป็นเสียทีหนีเข้าในด่าน ถ้าเห็นกองทัพเมืองฬ่อไล่ถลำเข้าในประตูด่าน จึงให้คนบนหอรบหย่อนเชือกเสือกประตูลงมาปิดไว้ ถึงให้ข้าศึกจะคิดแก้ตัวเปิดประตูออกไปก็เห็นจะเปิดไม่ได้ ด้วยบานประตูเราหนักถึงพันชั่ง แต่บรรดาทหารซึ่งไล่เข้ามานั้นเราก็จะจับฆ่าเสียให้สิ้น เหมือนหนึ่งแบ่งกำลังเมืองฬ่อลงกึ่งหนึ่งแล้วจะยกทหารออกตี ทหารเมืองฬ่อน้อยตัวก็เสียทีกับเราเป็นมั่นคง เมื่อทัพเมืองฬ่อเสียกับเราแล้วกองทัพซึ่งรักษาอยู่ทั้งสามด้านนั้นก็เห็นจะเข้าหักหาญเมืองเราไม่ เป๊กเอียงเห็นชอบด้วย หุนปันก็จัดแจงตามซึ่งคิดไว้แล้วให้ทหารยกออกไป
เบงซุนมี ซกเลียงเอก ซินตังฮู เต็กซีนี นายทหารเมืองฬ่อทั้งสี่คนเห็นกองทัพยกออกมาจากด่านก็ขับทหารเข้ารับ ชาวด่านก็ทำเป็นแพ้หนีกลับเข้าในกำแพง ซินตังฮู เต็กซีนีนั้นถือตัวว่ามีกำลังและฝีมือเห็นได้ทีก็ขับทหารไล่เข้าไปก่อน ซกเลียงเอกตามเข้าไปภายหลัง พอได้ยินเสียงบนกำแพงอื้ออึงขึ้น เห็นทหารเสือกบานประตูมาก็ทิ้งทวนเสียเอามือเข้ารับบานประตูไว้
ฝ่ายกองซุนมี เห็นทหารทั้งสามไล่ถลำเข้าไปก็ตีม้าฬ่อสัญญาขึ้น ซินตังฮู เต็กซีนีได้ยินเสียงม้าฬ่อก็พาทหารถอยออกมา พอได้ยินเสียงกลองม้าฬ่อในด่านอึงขึ้น และเห็นหุนปันยกทหารไล่หลังมา ซกเลียงเอกเห็นดังนั้นจึงร้องว่ากับ ซินตังฮู เต็กซีนีว่า เรายกประตูขึ้นไว้แล้วให้เร่งทหารพวกเราออกไปโดยเร็วเถิด ทหารเมืองฬ่อทั้งปวงก็ออกจากประตูด่านได้สิ้น หุนปันขับเกวียนมาถึงประตู และเห็นทหารคนนั้นมีกำลังมากยกประตูขึ้นไว้ได้ คิดเกรงมิได้ตามทหารเมืองฬ่อออกไป ให้หยุดเกวียนไว้ขึ้นเกาทัณฑ์ ซกเลียงเอกเห็นดังนั้นก็เยื้องตัวออกไปนอกประตู หุนปันยิงเกาทัณฑ์มาพอซกเลียงเอกวางประตูลง ลูกเกาทัณฑ์ก็ถูกบานประตูข้างใน ซกเลียงเอกก็กลับไปค่ายจึงว่ากับซินตังฮูเต็กซีนีว่า ขณะเมื่อไล่ทหารชาวด่านเข้าไปนั้นชีวิตท่านทั้งสองอยู่ในสองมือเรา ซินตังฮูจึงตอบว่า ขณะเมื่อเราไปในกำแพงนั้น ถ้าทหารข้างหลังอย่าตีม้าฬ่อเรียกเลย เราก็คงจะทำการได้สำเร็จ เต็กซีนีจึงว่าเพลาพรุ่งนี้ตัวเราผู้เดียวจะตีด่านเป๊กเอียงให้แตก ท่านทั้งปวงจะได้เห็นฝีมือเราบ้าง ว่ากันแล้วต่างคนก็ไปชุมรุมที่อยู่ ครั้นเพลาเช้าเบงซุนมีจึงแบ่งทหารให้ซกเลียงเอก ซินตังฮู เต็กซีนี นายละร้อย เต็กซีนีจึงว่าซึ่งจะให้ทหารเราน้อยหนึ่งนั้นเราไม่เอา เราจะรับไปแต่คนเดียวก็เหมือนคุมทัพกองหนึ่ง ว่าแล้วก็ใส่เกราะมือซ้ายถือโล่มือขวาถือทวนโลดโผนไปโดยกำลังว่องไวเร็วดุจนกบิน ถึงเชิงกำแพงด่านก็ร้องท้าทายให้ทหารชาวด่านออกมารบกันให้เห็นฝีมือ ฝ่ายหุนปันเห็นทหารเมืองฬ่อมีกำลังและฝีมือก็ไม่ออกสู้รบให้รักษาด่านมั่นไว้
ฝ่ายตงหังเอียมคุมทัพเมืองจิ้นกับสามหัวเมืองมาล้อมด่านเป๊กเอียงไว้ตั้งแต่กลางเดือนสี่จนปลายเดือนห้าได้สี่สิบวัน ทหารทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างอิดโรย พอฝนตกห่าใหญ่นํ้าท่วมแผ่นดินลึกประมาณสองศอก พวกกองทัพซึ่งล้อมอยู่นั้นได้ลำบากนัก จึงพากันมาหาตี๋เอียวแม่ทัพใหญ่แจ้งความว่า กองทัพเมืองเราซึ่งไปตั้งล้อมเป๊กเอียงอยู่นั้น เกิดความไข้ชุกชุมฝนก็ตกหนักทหารทั้งปวงได้ความลำบาก อันตำบลนี้ถ้าเป็นเทศกาลฝนแล้วนํ้าทั้งสี่ทิศไหลมาร่วมกันเห็นจะยกกลับคืนมายาก ข้าพเจ้าคิดว่าจะถอยทัพกลับมาเสียก่อน ต่อสิ้นเทศกาลฝนจึงจะยกกลับมาตีด่านเป๊กเอียงให้ได้
ตี๋เอียวได้ฟังดังนั้นโกรธตงหังเอียมกับสูกัวเป็นกำลัง ลุกขึ้นจากเก้าอี้กระทืบเท้าร้องตวาดไปว่า ตัวเราเป็นผู้ใหญ่แต่เดิมให้ห้ามปรามว่าด่านเป๊กเอียงมั่นคงนัก จะทำเอาโดยง่ายนั้นไม่ได้ ตัวทั้งสองกลับดื้อดึงต่อหน้าเจ้าเมืองจิ้นว่าจะเอาให้ได้ รับอาสามาก็ไม่เห็นเป็นการสักสิ่งหนึ่งยังมีหน้ามาบอกจะให้ยกกลับไป ถ้าเราจะยอมทำตามคำตัวทั้งสองก็จะพลอยได้ความผิดด้วย เราจะเอาตามคำสัญญา ตัวทั้งสองจงเร่งกลับไปตีเอาด่านเป๊กเอียงให้ได้ในเจ็ดวัน ถ้าพ้นกว่านั้นเราจะเอาโทษตามอาญาศึก
ตงหังเอียมกับสูกัวได้ฟังดังนั้นกลัวอาญาตี๋เอียวนัก ก็รับคำคำนับลากลับมาที่ล้อมจึงว่ากับทหารทั้งปวงว่า แม่ทัพใหญ่สั่งให้ตีด่านเป๊กเอียงให้ได้ในเจ็ดวัน ถ้าไม่ได้ตามกำหนดจะตัดศีรษะเราทั้งสองเสีย ท่านทั้งปวงจงตีให้แตกในหกวัน ถ้าตีไม่แตกเราจะฆ่าเสีย ตัวเราก็จะเชือดคอตายตามไป แต่บรรดาทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นต่างคนต่างก็แลดูตากัน ตงหังเอียมกับสูกัวจึงประกาศกับทหารเมืองจิ้นและสามหัวเมืองว่า ท่านทั้งปวงจงเห็นแก่แผ่นดิน อุตส่าห์ช่วยกันทำเข้าไปให้สำเร็จจงได้ ถ้าไม่ได้ด่านเป๊กเอียงในคราวนํ้านี้แล้ว ผู้ใดถอยหลังออกมาจะให้ตัดศีรษะเสีย
นายทหารทั้งปวงกลัวอาญาต่างคนต่างก็ไปเร่งให้ทหารทำพะองและบันไดสำหรับจะปีนกำแพงพร้อมกันทุกหมวดทุกกอง ขณะนั้นสิ้นคราวฝนน้ำถอยลงพอชาวกองทัพทำได้ถนัด ตงหังเอียมกับสูกัวก็ขึ้นเกวียนคุมทหารยกเข้าไปถึงเชิงกำแพง ทหารบนกำแพงเอาศิลาทิ้งลงมาดังห่าฝน ทหารเมืองจิ้นกับสามหัวเมืองกลัวอาญาตงหังเอียมก็มิได้ย่อท้อเข้าทำการอยู่ได้ห้าวันจนสิ้นก้อนศิลาบนกำแพง ตงหังเอียมก็เร่งให้เอาบันไดและพะองเข้าพาดขับทหารปีนกำแพงขึ้นไปได้ไล่ฟันทหารบนเชิงเทินเป็นอลหม่าน ฝ่ายหุนปันทหารกระจัดกระจายไปเหลือกำลังที่จะสู้รบก็เชือดคอตายเสียในที่นี้ ตงหังเอียมกับสูกัวก็ให้เปิดประตูเข้าไปไล่ฆ่าฟันทหารชาวด่านล้มตายเป็นอันมาก
ฝ่ายตี๋เอียว เมื่อคาดโทษตงหันเอียมกับสูกัวไปแล้วยังไม่ไว้ใจก็ยกทหารตามมา ครั้นเห็นตงหังเอียมตีด่านเป๊กเอียงได้ ตี๋เอียวก็คุมทหารเข้าไปตั้งอยู่ในกำแพงด่าน นายด่านเป๊กเอียงเห็นดังนั้นก็พาทหารกับขุนนางเข้ามาคำนับแล้วว่า เจ้าเมืองฌ้อให้หุนปันขุนนางลงมารักษาด่าน หุนปันก็ตายแล้ว เมืองด่านอันนี้ข้าพเจ้าจะขอขึ้นกับท่านต่อไป ตี๋เอียวจึงสั่งให้ทหารเอาตัวนายด่านออกไปคุมไว้ ณ ค่าย
ฝ่ายเจ้าเมืองจิ้นคิดเกรงว่ากองทัพซึ่งยกไปนั้นจะตีด่านเป๊กเอียงไม่ได้ จึงให้เลือกเอาทหารที่มีฝีมือสองพันคน ตัวเจ้าเมืองจิ้นยกตามมา ครั้นถึงตำบลโซขิวกลางทางพบคนถือหนังสือมาว่าตีด่านเป๊กเอียงได้แล้ว เจ้าเมืองจิ้นก็ให้ยั้งทัพอยู่ที่นั้น แล้วให้เอียงสุดถือหนังสือไปให้ซองจงก๋งเจ้าเมืองซองใจความว่า ด่านเป๊กเอียงนั้นเราตีได้แล้วเราจะยกไป ให้ท่านแต่งขุนนางและทหารมารักษา
ฝ่ายเจ้าเมืองซองแจ้งความในหนังสือเจ้าเมืองจิ้น ซึ่งยกมาตีด่านตำบลเป๊กเอียงให้ก็ยินดี จึงพาไตหูเอียงสุดมาที่โซขิวก็เข้าไปคำนับขอบใจเจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นเห็นเจ้าเมืองซองมาก็เรียกให้นั่งที่สมควรแล้วว่าที่ด่านเป๊กเอียงนั้นยกให้ จงจัดทหารรักษาให้ดีเถิด เจ้าเมืองซองรับคำแล้วก็ออกมาจัดได้ข้าวของเป็นอันมาก ก็เอากลับมาให้เจ้าเมืองจิ้น แล้วแบ่งให้แจกขุนนางและทหารทั้งปวงตามผู้ใหญ่ผู้น้อย