๕๑

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เตียวตุนก็เข้าไปที่หอสาตราคมขอดูจดหมายเหตุ จึงเห็นหนังสือจดไว้ว่า เตียวตุนฆ่าเลงก๋งเจ้าเมืองจิ้นเสียที่โฉหิง ณ วันเดือนเก้าขึ้นสามคํ่า ศักราชพระเจ้าจิวคองอ๋องเสวยราชย์ได้ห้าปี เตียวตุนเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงว่ากับตังโก๋ผู้สำหรับจดหมายเหตุว่า ทำไมใส่ชื่อว่าเราฆ่าเลงก๋งเสียดังนี้เรามิได้รู้เห็นด้วย เราไปเสียจากเมืองจิ้นประมาณทางถึงสองร้อยลี้แล้ว การเกิดต่อภายหลัง เรามิได้รู้เห็นด้วย ซึ่งจดหมายชื่อเรานั้นไม่ถูก เราก็ได้ทำความชอบมาถึงสองแผ่นดินแล้ว จะเอาชื่อเราจดไว้ให้เป็นคนขบถนั้นให้ตังโก๋ตรองดูให้ดี จะแก้ไขเสียอย่างอื่นไม่ได้หรือ

ตังโก๋จึงว่า ท่านเป็นที่เสียงก๊กขุนนางผู้ใหญ่ ได้บังคับทหารพลเรือนสิทธิ์ขาดอยู่กับท่าน ท่านทิ้งบ้านเมืองไปเสีย ปล่อยให้เตียวฉวนผู้น้องฆ่าเลงก๋งเสีย ครั้นท่านกลับเข้ามาก็มิได้สืบจับผู้กระทำผิดมาชำระทำโทษตามกฎหมาย ก็เหมือนหนึ่งท่านฆ่าเลงก๋งเสียเหมือนกัน ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าแก้อย่างอื่นนั้นเห็นจะไม่ได้ ด้วยเส้นพู่กันเขียนลงเสียแล้ว ถ้าจะให้เส้นพู่กันแปลงไปตามคำท่านก็ให้ท่านตัดเอาศีรษะข้าพเจ้าเสียก่อน เตียวตุนได้ฟังเสียนํ้าใจนักจึงถอนใจใหญ่คิดว่าชื่อเสียงเราก็ปรากฏความชั่วไปชั่วฟ้าและดิน ตังโก๋คนนี้มิเสียแรงเป็นที่ทายซือจดหมายเหตุ ถือกฎหมายแม่นยำดีกว่าเราอีก แล้วเตียวตุนก็มาบ้านมิได้มีความสบาย ให้วิตกถึงเตียวฉวนทำความชั่วไว้ พอเตียวฉวนเข้าไปรบกวนจะให้ตั้งเป็นขุนนาง เตียวตุนขัดใจชักกระบี่ออกฟันเตียวฉวนแขนขาด แล้วซ้ำตัดศีรษะมาให้กับเสงก๋งเจ้าเมืองจิ้น เสงก๋งจึงถามว่าศีรษะผู้ใด เตียวตุนจึงคำนับแจ้งว่า ศีรษะเตียวฉวนน้องข้าพเจ้าซึ่งกระทำผิดฆ่าเลงก๋งเสียนั้น ข้าพเจ้าจึงฆ่าเตียวฉวนเสียบ้าง มิให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่างไปภายหน้า เสงก๋งได้ฟังก็นิ่งอยู่

ฝ่ายเตียวยีมบุตรเตียวฉวนแจ้งว่าเตียวตุนฆ่าบิดาเสียดังนั้นก็ไปคำนับเตียวตุนว่า บิดาข้าพเจ้าทำความผิดท่านก็ฆ่าเสียแล้ว แต่ความชอบของบิดาของข้าพเจ้าได้ทำไว้ก็มีอยู่บ้าง ขอท่านได้กรุณาข้าพเจ้าให้ได้เป็นที่แทนบิดาเถิด เตียวตุนจึงว่าบิดาตัวเป็นขบถฆ่าเจ้าเมืองเสีย กฎหมายต้องตายทั้งโคตร นี่เจ้าเมืองเป็นคนหยาบช้าจึงต้องตายแต่ผู้เดียว ซึ่งจะตั้งตัวให้เป็นขุนนางนั้นยังไม่ได้ก่อน ต่อเมื่อใดหาความชอบใส่ตัวได้แล้วเราจึงจะชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนาง เตียวยีมจึงว่า ถ้าดังนั้นข้าพเจ้าขอแต่ศพบิดาไปทำการฝังเสียทำตามธรรมเนียม เตียวตุนก็ยอมให้

ฝ่ายตังโก๋ผู้จดหมายเหตุแจ้งว่า เตียวตุนทำโทษเตียวฉวนแล้วหาได้ตั้งเตียวยีมบุตรเตียวฉวนขึ้นเป็นขุนนางไม่ เพราะความสองข้อนี้ จึงแก้จดหมายเหตุเก่าเสีย จึงเอาจดหมายเหตุเข้าไปอ่านให้เสงก๋งฟัง เสงก๋งจึงสรรเสริญเตียวตุนว่า เป็นคนสัตย์ซื่อมั่นคงมิได้เข้าด้วยผู้กระทำผิดแล้ว ตังโก๋ก็จดแอบลงไว้ว่า เพราะตังโก๋ยอมจะเสียชีวิตจึงได้ศีรษะเตียวฉวนมาให้เสงก๋งเห็น

ขณะนั้นพระเจ้าจิวคองอ๋องเสวยราชย์ได้หกปีก็สวรรคต ขุนนางทำการฝังพระศพเสร็จแล้วจึงตั้งไทจูยูพระอนุชาขึ้นเป็นที่จิวเตงอ๋องครองเมืองตังจิวต่อไป ฝ่ายฌ้อจองอ๋องเจ้าเมืองฌ้อแจ้งว่าพระเจ้าจิวคองอ๋องสวรรคตแล้ว เจ้าเมืองฌ้อคิดจะแบ่งเอาเขตแดนเมืองตังจิวอยู่ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เมืองตังจิวก็ร่วงโรยลงกว่าแต่ก่อน หัวเมืองใหญ่น้อยทั้งปวงก็พากันมาขึ้นแก่เราเป็นอันมาก เราคิดจะยกทัพไปตั้งพักอยู่ที่เปงสุยในแดนเมืองตังจิว จะลองขู่เจ้าเมืองตังจิวดูให้เห็นอำนาจเราสักครั้งหนึ่ง ฝ่ายเตาหวดเฉียวจึงคำนับว่า เจ้าเมืองตังจิวได้สืบเชื้อพระวงศ์มาแต่ครั้งพระเจ้าบุนอ๋องหลายชั่วแล้ว หัวเมืองทั้งปวงก็นับถือว่าเป็นกษัตริย์ เมืองเราแต่ก่อนก็ขึ้นกับเมืองตังจิว บัดนี้จะยกทัพไปทำร้ายแก่เมืองตังจิวนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ด้วยเมืองตังจิวเป็นเมืองหลวง

ฌ้อจองอ๋องจึงตอบว่า ผู้ใดจะหมายเอาว่าแผ่นดินเป็นของตัวนั้นมิชอบ สุดแต่ผู้ใดมีบุญและปัญญาอำนาจมากแล้ว ก็ควรจะปราบปรามแผ่นดินให้อยู่ในอำนาจของผู้นั้นจึงจะชอบ เตาหวดเฉียวก็มิได้ตอบประการใด จึงคิดว่าฌ้อจองอ๋องขัดแข็งแล้วตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าแล้ว ยังมิหนำจะคิดทำร้ายต่อพระมหากษัตริย์ตามอำเภอใจ ฝ่ายฌ้อจองอ๋องก็จัดแจงกองทัพยกไปที่เปงสุยในแดนเมืองตังจิว ก็ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้

ฝ่ายพระเจ้าจิวเตงอ๋องรู้ว่าฌ้อจองอ๋องยกทัพมาตั้งอยู่ที่เปงสุยจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เราจะใช้ขุนนางผู้ใดออกไปสืบเอาความให้แน่ว่าฌ้อจองอ๋องจะยกมาทำประการใด อองซือไตหูขุนนางฝ่ายพลเรือนจึงรับอาสาว่า ข้าพเจ้าจะออกไปสืบเอาความมาถวายให้จงได้ แล้วก็กราบถวายบังคมลามาขึ้นเกวียนกับไพร่พอสมควรไปยังค่ายฌ้อจองอ๋อง จึงบอกกับนายประตูว่าเราเป็นขุนนางเมืองหลวง พระเจ้าจิวเตงอ๋องใช้ให้มาหาฌ้อจองอ๋อง

นายประตูก็เอาความเข้าไปแจ้งแก่ขุนนางให้ทูลแก่ฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องให้จัดแจงทแกล้วทหารตบแต่งตัวให้เป็นสง่างาม แล้วจึงให้หาอองซือไตหูขุนนางเมืองตังจิวเข้าไป อองซือไตหูเข้าไปถึงเห็นฌ้อจองอ๋องทำสง่าเหมือนพระมหากษัตริย์ ก็ยืนอยู่มิได้คำนับแก่ฌ้อจองอ๋อง ขุนนางเมืองฌ้อจึงว่าอองซือไตหูเข้ามาถึงแล้ว ทำไมจึงไม่คุกเข่าลงคำนับ ทำให้ผิดอย่างธรรมเนียมเหมือนหนึ่งไม่เคยเป็นขุนนาง อองซือไตหูได้ยินก็หัวเราะว่า ตัวเราเป็นขุนนางเมืองหลวงไม่ควรจะคำนับขุนนางหัวเมือง เราออกมานี้ชอบแต่ออกไปรับเราถึงประตูค่ายจึงควร พวกเจ้าไม่รู้จักธรรมเนียมอีก กลับมาว่าเราไม่รู้จักธรรมเนียมนั้นหาชอบไม่

ฌ้อจองอ๋องได้ยินอองซือไตหูว่าดังนั้นก็โกรธอยู่แต่ในใจจึงคิดว่าอองซือไตหูถือตัวว่าเป็นคนรู้จักขนบธรรมเนียมทั้งปวง จำเราจะคิดถามถึงการแผ่นดินแต่ก่อนๆ มา ให้อองซือไตหูเล่าไปให้จงได้ ถ้าอองซือไตหูไม่รู้การแผ่นดินแล้ว เราจะทำเสียให้ได้อายกับทหารของเรา แล้วฌ้อจองอ๋องจึงถามว่า ครั้นแผ่นดินฮูเต้นั้นเราได้ยินว่ามีกิวเตงของวิเศษอยู่หนึ่งต่อๆ มาจนทุกวันนี้ บัดนี้กิวเตงตกอยู่ในเมืองตังจิว ตัวเป็นขุนนางอยู่ในเมืองตังจิวยังจะรู้บ้างหรือไม่ จงเล่าให้เราฟังว่าเดิมแต่กำเนิดกิวเตงมานั้นจะเป็นประการใด

อองซือไตหูได้ยินฌ้อจองอ๋องว่าดังนั้น ก็นึกอยู่แต่ในใจว่าฌ้อจองอ๋องนี้มีใจกำเริบนัก จำจะพูดจาขู่เสียอย่าให้ประมาทกับเมืองตังจิวได้ จึงว่าอันกิวเตงนี้เป็นของวิเศษแต่ครั้งแผ่นดินฮูเต้ช้านานประมาณถึงเจ็ดร้อยปีเศษ ถ้าจะคิดตามอายุคนก็สักสามสิบชั่วอายุคน ซึ่งท่านถามถึงกิวเตงดังนี้หาควรไม่ กิวเตงเป็นของสำหรับผู้มีบุญจะเอามาพูดเล่นนั้นไม่ได้ ถ้าผู้ใดพูดและถามถึงกิวเตงนี้ก็มักจะเป็นเหตุต่างๆ ครั้นข้าพเจ้าจะไม่เล่าชี้แจงให้ท่านฟังท่านก็จะเข้าใจเสียว่าขุนนางในเมืองหลวงหารู้จักขนบธรรมเนียมความลึกซึ้งไม่ จำจะต้องเล่าให้ท่านฟังบ้างแต่พอรู้ใจความ อันกิวเตงนี้เดิมพระเจ้าฮูเต้ได้เสวยราชสมบัติขึ้นใหม่ มีหัวเมืองประเทศราชนอกจากเขตแดนกรุงจีนมาสวามิภักดิ์ขึ้นกับพระเจ้าฮูเต้ เอาทองคำมาถวายเป็นเครื่องราชบรรณาการเป็นอันมาก พระเจ้าฮูเต้จึงรำพึงคิดแต่ในพระทัยว่า หัวเมืองเหล่านี้แต่กษัตริย์ก่อนๆ มิได้มาขึ้น ครั้งนี้มาสวามิภักดิ์ขึ้นกับเมืองเรา จำเราจะเอาทองคำของราชบรรณาการทั้งเก้าหัวเมืองนี้มาหล่อเป็นกิวเตงไว้สำหรับแผ่นดิน จะได้เป็นเกียรติยศสืบไปภายหน้า แล้วจึงสั่งให้เจ้าพนักงานเอาทองคำมาหล่อเป็นกิวเตง รูปเหมือนกระทะเก้าใบ แล้วจึงให้ยกเข้ามาที่ออกขุนนาง จึงรับสั่งให้หาขุนนางเข้ามาประชุมให้พร้อมกันแล้ว ให้เจ้าพนักงานเอานํ้ามาใส่ในกิวเตงใบหนึ่งเป็นตัวอย่างตั้งไว้บนศาลาก้อนเสา จึงตรัสว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า เราให้ทำกิวเตงไว้ดังนี้ ท่านทั้งปวงจะรู้ปริศนาของเราหรือไม่ ขุนนางทั้งปวงพร้อมกันกราบทูลว่ามิได้แจ้งในอุบายของพระองค์ พระเจ้าฮูเต้จึงตรัสว่า กิวเตงนี้เราจะให้เป็นที่สั่งสอนกษัตริย์และขุนนางทั้งปวงไปภายหน้าจะได้บำรุงแผ่นดินและอาณาประชาราษฎร์ให้เป็นยุติธรรมเหมือนอย่างกิวเตงฉะนี้ ซึ่งกิวเตงเป็นรูปกระทะนั้นได้แก่กษัตริย์ ศิลาก้อนเสาที่รองรับอยู่นั้นได้แก่เสนาบดีและขุนนางทั้งปวง นํ้าในกระทะนั้นได้แก่อาณาประชาราษฎร์ทั้งหลาย ถ้าพระมหากษัตริย์ตั้งตรงอยู่แล้วนํ้าคือราษฎรก็อยู่ดีมิได้หก ถ้ากิวเตงคือพระมหากษัตริย์เป็นคนพาลเอียงไป ขุนนางคือศิลาก้อนเสานั้นมั่นคงดีอยู่ ก็จะได้คํ้าจุนกิวเตงไว้มิให้หกควํ่าไปทีเดียว ถึงจะเอียงไปบ้างก็แต่พอเล็กน้อย ทำทั้งนี้เพื่อจะให้เป็นประโยชน์กับกษัตริย์และขุนนางอาณาประชาราษฎรไปชั่วฟ้าและดิน ขุนนางทั้งปวงได้แจ้งดังนั้นก็พากันสรรเสริญกราบทูลว่าพระองค์ทำให้กิวเตงเป็นความเปรียบไว้ดังนี้สมควรนัก พระเจ้าฮูเต้จึงทรงพระอธิษฐานว่า ถ้ากษัตริย์องค์ใดจะดำรงแผ่นดินมีบุญและวาสนามากเป็นยุติธรรมแล้ว ก็ให้กิวเตงนี้มีนํ้าหนักทวีมากขึ้นกว่าปกติ ถ้ากษัตริย์องค์ใดมิเป็นยุติธรรมแล้วให้ของอันนี้เบากว่าปกติ คำอธิษฐานดังนี้ขอให้สำเร็จดังความปรารถนาเถิด แล้วก็สั่งให้เจ้าพนักงานเอาไปรักษาไว้

ภายหลังต่อมาถึงแผ่นดินแหเกียดเป็นกษัตริย์สืบวงศ์ฮูเต้มา แหเกียดเป็นคนพาลมิได้อยู่ในยุติธรรม ขุนนางและราษฎรได้ความเดือดร้อนต่างๆ ขุนนางจึงพร้อมกันกราบทูลทัดทานแหเกียดมิให้ทำการหยาบช้า แหเกียดมิฟัง ขุนนางทั้งปวงก็กราบทูลอ้างว่ากิวเตงของสำหรับแผ่นดิน พระเจ้าฮูเต้ทรงพระอธิษฐานไว้ว่า ถ้ากษัตริย์องค์ใดมิได้อยู่ในยุติธรรมแล้ว ก็ให้กิวเตงเบากว่าน้ำหนักเดิม ความอันนี้พระองค์ทรงทราบอยู่แล้ว ถ้ามิชอบขอให้เอากิวเตงมาชั่งพิสูจน์ดูก็จะได้เห็นเท็จและจริง แหเกียดคิดว่าเราก็มิได้ทำความผิดสิ่งใด ก็สั่งให้ขุนนางเอากิวเตงมาชั่งดูต่อหน้าแหเกียด แหเกียดเห็นกิวเตงเบากว่านํ้าหนักเดิมเป็นอันมาก มีความอายมิได้ว่าประการใดก็เสด็จเข้าไปข้างใน ครั้งนั้นแผ่นดินก็เสียกับเสียงเต้ เสียงเต้ได้เป็นกษัตริย์ขึ้นใหม่ก็เอากิวเตงมาชั่งพิสูจน์ดู กิวเตงก็หนักขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก

ครั้นต่อมาถึงติวอ๋องได้เป็นกษัตริย์สืบวงศ์เรียงมา ติวอ๋องทำการหยาบช้าต่างๆ กิวเตงก็เบาไป ครั้งนั้นแผ่นดินก็เสียกับพระเจ้าจิวบุนอ๋อง พระเจ้าบุนอ๋องอยู่ในยุติธรรม กิวเตงก็น้ำหนักมากขึ้นจนตราบเท่าทุกวันนี้ กิวเตงก็คงน้ำหนักมากอยู่เหมือนแต่ก่อน พระเจ้าจิวเตงอ๋องก็ยังตั้งอยู่ในยุติธรรม ขุนนางเหมือนศิลาก้อนเสาก็ยังมั่นคงอยู่ ราษฎรก็เป็นสุขมิได้เดือดร้อน

อองซือไตหูพูดพลางสังเกตดูหน้าฌ้อจองอ๋องเห็นไม่มีความสบาย จึงว่าท่านถามถึงกิวเตงเป็นของสำคัญดังนี้ ท่านมีวาสนาน้อยยังไม่คู่ควรกับกิวเตง ท่านมาถามทั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นจะมีเหตุผลเป็นมั่นคง ฌ้อจองอ๋องแกล้งทำเป็นหัวเราะมิได้ตอบประการใด

อองซือไตหูก็ลาออกมาภายนอก จึงกระซิบถามชาวเมืองฌ้อว่า เตาหวดเฉียวไปเสียไหนจึงไม่มาในกองทัพด้วยเล่า ทหารบอกว่าเตาหวดเฉียวอยู่รักษาเมือง อองซือไตหูก็ไล่เลียงได้ความทุกประการจึงคิดว่าเตาหวดเฉียวเป็นที่เลงอิน เลงอินนี้เป็นที่แม่ทัพชอบแต่จะมาด้วยกับฌ้อจองอ๋อง นี่ฌ้อจองอ๋องให้อยู่รักษาเมือง เห็นจะมีความกินแหนงเตาหวดเฉียวอยู่ จึงเดินออกมาถึงค่ายชั้นนอกทำเป็นร้องประกาศว่าไม่ช้าอีกสองวันเมืองฌ้อจะมีเหตุขึ้นภายหลัง ด้วยฌ้อจองอ๋องพูดจาล่วงเกินถึงการพระมหากษัตริย์นัก ท่านทั้งปวงจงระวังตัวเถิด

อองซือไตหูก็กลับเข้าไป ณ เมืองตังจิวแจ้งความซึ่งได้พูดกับฌ้อจองอ๋องให้พระเจ้าจิวเตงอ๋องฟังทุกประการ แล้วจึงกราบทูลว่า ข้าพเจ้ามิได้เห็นเตาหวดเฉียวมาด้วย จึงสืบถามได้ความว่า ฌ้อจองอ๋องกับเตาหวดเฉียวมีความกินแหนงกันอยู่ ฌ้อจองอ๋องจึงให้เตาหวดเฉียวอยู่รักษาเมือง ข้าพเจ้าคิดประมาณใจดูเห็นเตาหวดเฉียวจะคิดขบถเป็นมั่นคง พระเจ้าจิวเตงอ๋องได้ทรงทราบค่อยคลายพระทัย

ฝ่ายเหล่าทหารเมืองฌ้อได้ยินอองซือไตหูร้องประกาศดังนั้นก็เอาความไปแจ้งแก่ฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่าจิวเตงอ๋องยังมีคนใช้อยู่เป็นอันมาก แต่อองซือไตหูมาพูดหยาบช้าดังนี้ เราคิดจะยกทัพเข้าตีเมืองตังจิวให้เห็นฝีมือทแกล้วทหารเราไว้สักครั้งหนึ่ง

ฝ่ายเตาหวดเฉียว เมื่อฌ้อจองอ๋องจะยกทัพมาตีเมืองตังจิวนั้น เตาหวดเฉียวได้ทัดทานไว้ ฌ้อจองอ๋องมิฟังก็มีความน้อยใจนักจึงคิดว่าฌ้อจองอ๋องก็เป็นขบถต่อพระเจ้าเมืองตังจิวมีใจกำเริบนัก เราจำจะคิดกำจัดฌ้อจองอ๋องเสีย จะได้ช่วยพระเจ้าจิวเตงอ๋องไว้ ถ้าสำเร็จราชการแล้ว สุดแต่พระเจ้าจิวเตงอ๋องจะโปรดจะให้ผู้ใดเป็นเจ้าเมืองฌ้อ เมืองฌ้อก็จะได้ขึ้นกับเมืองหลวงเหมือนแต่ก่อน คิดแล้วจึงให้หาเตาเขียบผู้หลานเข้ามาปรึกษาว่า ฌ้อจองอ๋องมีใจกำเริบนักยกกองทัพไปตีเมืองหลวงดังนี้หาควรไม่ ทแกล้วทหารในเมืองฌ้อก็อยู่ในอำนาจเราทั้งสิ้น อุยแกกับเป๊กเอียงสองคนนี้เป็นคนไว้ใจของฌ้อจองอ๋องอยู่ ถ้าเราจับอุยแกกับเป๊กเอียงฆ่าเสียแล้ว ในเมืองฌ้อนี้หามีผู้ใดจะขัดขวางเราไม่ เราจึงยกทัพไปคอยตีทัพฌ้อจองอ๋องที่หนทางจะกลับมานั้น ฌ้อจองอ๋องไม่ทันรู้ตัวก็จะเสียทีแก่เรา

ฝ่ายเตาเขียบผู้หลานได้ฟังดังนั้น จึงห้ามว่าข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ด้วยฌ้อจองอ๋องมีคุณกับพวกเราเป็นอันมาก ถึงฌ้อจองอ๋องจะเป็นขบถต่อเมืองตังจิว ความชั่วก็อยู่กับเจ้าเมืองฌ้อเอง เราหาได้ไปเกี่ยวข้องเป็นขบถด้วยไม่ แล้วเมืองฌ้อนี้ก็มิได้ขึ้นกับเมืองหลวง ตั้งตัวเป็นเจ้ามาหลายชั่วกษัตริย์แล้ว ซึ่งเราได้กินข้าวเมืองฌ้อ เราก็ต้องกตัญญูกับเมืองฌ้อจึงจะชอบ เตาหวดเฉียวได้ยินดังนั้นก็โกรธ จึงชักกระบี่ฟันเตาเขียบตาย ฝ่ายอุยแกแจ้งว่าเตาหวดเฉียวจะคิดขบถต่อฌ้อจองอ๋อง จึงไปว่ากล่าวห้ามปรามเตาหวดเฉียว เตาหวดเฉียวก็ให้ทหารจับอุยแกไปฆ่าเสีย แล้วก็จัดแจงกองทัพยกออกมาสกัดทางฌ้อจองอ๋องอยู่ที่เต๊กเอียคอยตีกองทัพฌ้อจองอ๋องอยู่

ฝ่ายเป๊กเอียงซึ่งอยู่ในเมือง เห็นเตาหวดเฉียวคิดขบถขึ้นดังนั้นก็เขียนหนังสือบอกให้คนสนิทรีบไปแจ้งกับฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า เราคิดจะเข้าตีเมืองตังจิวไว้ให้เป็นเกียรติยศสักครั้งหนึ่งบัดนี้มีหนังสือบอกมาว่าเตาหวดเฉียวเป็นขบถขึ้น จึงสั่งนายทัพนายกองทั้งปวงให้เลิกกองทัพกลับไปเมืองฌ้อ ครั้นยกทัพมาถึงที่เต๊กเอียเห็นเตาหวดเฉียวออกตั้งค่ายรับกองทัพอยู่เป็นหลายค่าย ฌ้อจองอ๋องก็สงบกองทัพไว้ จึงให้ขับเกวียนขึ้นไปหน้าค่ายเตาหวดเฉียว เตาหวดเฉียวเห็นดังนั้นก็ขึ้นเกวียนพาทหารออกมายืนอยู่นอกค่าย ฌ้อจองอ๋องแลเห็นเตาหวดเฉียวออกมาดังนั้นก็ร้องไปว่าเลงอินทำไมจึงคิดการดังนี้ ท่านกับเราก็มิได้มีความขัดเคืองกันแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง และพวกท่านกับพวกเราก็มีคุณต่อกันมาเป็นหลายชั่วอายุคนแล้ว เราก็มิได้คิดร้ายต่อท่านทำไมจึงมาคิดร้ายต่อเราเล่า

เตาหวดเฉียวจึงตอบว่าพระเจ้าจิวเตงอ๋องคิดร้ายสิ่งใดต่อท่าน ท่านจึงคิดร้ายต่อพระเจ้าจิวเตงอ๋องเล่า ฌ้อจองอ๋องจึงตอบว่าวันนี้สงบเสียก่อนเถิด ต่อเวลาพรุ่งนี้เราจึงจะค่อยรบกัน ต่างคนก็ต่างกลับเข้าค่าย ครั้นฌ้อจองอ๋องกลับเข้ามายังค่าย จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า เราจะรบกับเตาหวดเฉียวบัดนี้ก็มีแต่จะขาดทุนข้างเดียว ทหารเตาหวดเฉียวคุมออกมาม้าและเกวียนเครื่องศัสตราวุธทั้งปวงของเราทั้งสิ้น จำจะต้องคิดไปเกลี้ยกล่อมเตาหวดเฉียวจึงจะควร จึงให้ผัวจงไปยังค่ายเตาหวดเฉียว ผัวจงก็คำนับลามาหาเตาหวดเฉียว จึงว่าฌ้อจองอ๋องรู้สึกโทษตัวที่ได้ทำผิดแล้ว ว่าท่านได้ทัดทานมาแต่ก่อนจริงของท่านทุกประการ ฌ้อจองอ๋องก็มิได้คิดร้ายต่อพระเจ้าจิวเตงอ๋องต่อไปแล้วให้ท่านกลับใจเสียใหม่ จะรบพุ่งกันหาต้องการไม่ เวลาวันนี้ฌ้อจองอ๋องจะให้ทหารออกรบกับท่านก็คิดอาลัยถึงท่านนัก สั่งมาว่าซึ่งท่านได้ทำเกินฆ่าขุนนางเสียนั้น ฌ้อจองอ๋องก็มิได้เอาโทษกับท่าน คิดว่าขุนนางเหล่านี้มิได้รู้จักน้ำใจท่านจึงพูดจาขัดขวาง แต่ฌ้อจองอ๋องรู้จักนํ้าใจท่านอยู่จึงให้ข้าพเจ้ามาชี้แจงให้ท่านตรึกตรองดูเถิด ว่าจะรักกันดีหรือจะโกรธกันดี

ฝ่ายเตาหวดเฉียวได้ยินผัวจงว่าดังนั้น จึงคิดแต่ในใจว่า เราทำเกินถึงเพียงนี้แล้ว ถึงจะเข้าเกลี้ยกล่อมกับฌ้อจองอ๋องที่ไหนฌ้อจองอ๋องจะเลี้ยงเรา อุปมาเหมือนหนึ่งถ้วยชามอันแตกร้าวแล้ว ถึงจะประสานก็ไม่สนิท จึงคิดว่าถ้าสู้ไว้เดชะบุญมีชัยชนะก็จะได้ป้องกันชีวิตไว้ จึงว่ากับผัวจงว่าเราได้คิดเกินไปแล้ว ก็จะไปตามเกินนั้นแหละ ไหนๆ ก็ได้ว่าจะรบกับฌ้อจองอ๋องแล้วก็คงจะรบไปให้ถึงแพ้และชนะ ผัวจงว่ากล่าวเตาหวดเฉียวอยู่ช้านาน เตาหวดเฉียวก็มิได้ลงใจด้วย ผัวจงก็กลับมา ณ ค่าย แจ้งความกับฌ้อจองอ๋องทุกประการ

ฝ่ายเตาหวดเฉียวเมื่อผัวจงกลับไปแล้วก็ตีกลองรบเรียกทหารยกออกนอกค่ายไปตั้งประชิดค่ายฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องจึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาเราออกไปจับตัวเตาหวดเฉียวมาให้เราได้บ้าง ฝ่ายลกเป๊กออกมาจึงให้เตาพูนหองผู้บุตรยกออกมารบกับลกเป๊กประมาณเก้าเพลงสิบเพลง ผัวจงเห็นลกเป๊กจะเสียทีกับเตาพูนหอง จึงขับเกวียนออกไปช่วยลกเป๊ก ฝ่ายเตาหวดเฉียวเห็นดังนั้นจึงให้เตากีผู้น้องออกไปช่วยเตาพูนหองรบผัวจงประมาณห้าสิบเพลง ทหารก็ล้มตายลงด้วยกันทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายฌ้อจองอ๋องเอากลองรบมาตีเองอยู่บนเกวียนเร่งให้ทหารเข้ารบเป็นสามารถ ฝ่ายเตาหวดเฉียวแลเห็นฌ้อจองอ๋องออกมาอยู่ดังนั้นก็ขับเกวียนตัดตรงเข้าไปที่ฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องเห็นเตาหวดเฉียวตรงเข้ามาก็ให้ขับเกวียนจะเข้าไปในค่าย พอเตาหวดเฉียวยิงเกาทัณฑ์มาถูกไม้คํ้ากลอง ฌ้อจองอ๋องเห็นดังนั้นก็ตกใจ พลัดตกลงจากเกวียนร้องให้พวกทหารช่วย พวกทหารเห็นดังนั้นก็พากันเอาโล่เข้าป้องกันลูกเกาทัณฑ์ไว้ เตาหวดเฉียวก็ยิงซ้ำไปอีกลูกหนึ่งถูกทหารที่พยุงตัวฌ้อจองอ๋องล้มลงขาดใจตาย ฌ้อจองอ๋องเห็นเตาหวดเฉียวมีฝีมือยิงเกาทัณฑ์แม่นนัก จะสู้รบโดยซึ่งหน้านั้นจะไม่ชนะจึงตีม้าล่อเรียกทหารให้ถอยเข้าค่าย เตาหวดเฉียวก็ไล่ติดตามมา

ฝ่ายกงจูเฉกก๋งเองเห็นดังนั้น ก็คุมทหารมาช่วยฌ้อจองอ๋อง เตาหวดเฉียวจะต้านทานมิได้ก็พาทหารกลับมา ฝ่ายลกเป๊กกับผัวจงได้ยินเสียงม้าล่อฌ้อจองอ๋องตีขึ้นดังนั้น ก็คิดว่าค่ายฌ้อจองอ๋องจะมีเหตุแล้วก็พาทหารเลิกกลับมาหมายจะช่วยฌ้อจองอ๋อง ฝ่ายเตาพูนหองกับเตากีเห็นได้ทีก็ขับทหารไล่ฆ่าฟันทหารลกเป๊กมาจนถึงหน้าค่ายฌ้อจองอ๋อง ครั้งนั้นทหารฌ้อจองอ๋องล้มตายเป็นอันมาก ฌ้อจองอ๋องเห็นทหารล้มตายก็เสียใจนัก จึงให้เอาลูกเกาทัณฑ์ที่เตาหวดเฉียวยิงมาสองดอกนั้นมาดู เห็นลูกเกาทัณฑ์ยาวกว่าลูกเกาทัณฑ์ตามธรรมเนียมครึ่งหนึ่ง ปลายเกาทัณฑ์ใส่เขี้ยวสัตว์ร้าย ต้นเกาทัณฑ์นั้นใส่ขนนกอันวิเศษ ฌ้อจองอ๋องเห็นดังนั้นจึงคิดว่า เราจะสู้รบกับเตาหวดเฉียวซึ่งหน้าจะเอาชัยชนะเห็นจะไม่ได้ จำจะคิดกลอุบายเอาชัยชนะให้จงได้

เวลาคํ่าก็ปลอมตัวเป็นทหารเลว เที่ยวฟังกิตติศัพท์นายทัพนายกองและทหารทั้งปวงจะพูดจากันประการใดบ้าง ครั้นได้ความว่าพวกทหารมีใจครั่นคร้ามเกาทัณฑ์เตาหวดเฉียวนัก จึงสั่งให้คนสนิทไปเที่ยวพูดว่าเวลาพรุ่งนี้ฌ้อจองอ๋องจะให้ทหารออกยิงเกาทัณฑ์กับเตาหวดเฉียวจะเอาชัยชนะให้จงได้ แต่ในเวลาคํ่าวันนี้ทหารช่วยกันรักษาค่ายไว้ให้มั่นคง อย่าให้ข้าศึกเข้ามาทำอันตรายได้ แล้วฌ้อจองอ๋องจึงถามขุนนางทั้งปวงว่าเกาทัณฑ์ครั้งจิวบุนอ๋องใช้เกาทัณฑ์ทำที่ไหน เกาทัณฑ์ครั้งนั้นดีๆ มาก

ผัวจงจึงแจ้งว่า ครั้งจิวบุนอ๋องใช้เกาทัณฑ์ที่บ้านหอมัง หอมังอยู่ในแดนเมืองจิ้น ทางไกลประมาณเจ็ดลี้แปดลี้ ฌ้อจองอ๋องได้ยินดังนั้นจึงใช้ทหารขับเกวียนรีบไปจับตัวพวกชาวบ้านหอมังซึ่งทำเกาทัณฑ์มาถาม ชาวบ้านจึงแจ้งความว่า ได้ยินผู้ใหญ่เล่าต่อๆ มาว่าครั้งแผ่นดินจิวบุนอ๋องมีเกาทัณฑ์อย่างดีอยู่ยี่สิบดอก จิวบุนอ๋องใช้เสียสิ้นสิบแปดดอกแล้วยังเหลือลูกเกาทัณฑ์อยู่อีกสองดอก ว่าจิวบุนอ๋องให้ซ่อนไว้ที่หอไทเบี้ยวหมายจะให้เป็นตัวอย่างอยู่สำหรับแผ่นดินไปเบื้องหน้า จึงทรงอธิษฐานไว้ว่า ถ้าผู้ใดลักเอาลูกเกาทัณฑ์ไปใช้ขอให้ลูกเกาทัณฑ์สังหารชีวิตผู้นั้น ลูกเกาทัณฑ์สองดอกนี้ ข้าพเจ้าแจ้งว่าเตาหวดเฉียวได้มาไว้ ฌ้อจองอ๋องจึงเอาลูกเกาทัณฑ์มาให้ชาวบ้านดู ชาวบ้านเห็นลูกเกาทัณฑ์จึงว่าเตาหวดเฉียวมีลูกเกาทัณฑ์ดีแต่สองดอกเท่านี้ ลูกเกาทัณฑ์นี้ชื่อว่ากุดหวงแปลว่าลมกรด ถึงผู้ใดจะใส่เสื้อเกราะกันอาวุธสักร้อยชั้น ถ้าถูกอาวุธเกาทัณฑ์นี้แล้วก็มิอาจสามารถจะรอดไปได้ และเขี้ยวสัตว์ร้ายที่ใส่ปลายเกาทัณฑ์นั้น เอาเขี้ยวสัตว์ป่า สัตว์ป่านั้นรูปพรรณคล้ายกับเสือ หน้าเสี้ยมสูงใหญ่กว่าเสือ ลายตัวกลมเป็นวงแต่กินเสือและสัตว์ร้ายทั้งปวงเป็นอาหาร จิวบุนอ๋องให้เอาเขี้ยวสัตว์อันนี้มาใส่ปลายลูกเกาทัณฑ์ และต้นเกาทัณฑ์นั้นเอาขนปีกเฮาะ เฮาะนั้นรูปพรรณขาวเหมือนนกยางแต่มีหงอนเหมือนไก่ตัวใหญ่เท่าหงส์เป็นนกอันวิเศษ

ฌ้อจองอ๋องได้แจ้งดังนั้น จึงให้ป่าวร้องทหารในกองทัพว่าผู้ใดมีฝีมือเกาทัณฑ์แม่น ก็ให้เข้ามารับอาสายิงเกาทัณฑ์กับเตาหวดเฉียว ทหารทั้งปวงก็สงบอยู่ ฌ้อจองอ๋องจึงว่า เวลาคํ่าวันนี้เราจะเลิกทัพอ้อมไปหัวเมืองขึ้นกับเราฝ่ายตะวันออก จะได้เกณฑ์ทหารเพิ่มเติมมาบรรจบกับกองทัพเรา จึงจะเอาชัยชนะเตาหวดเฉียวได้

ฝ่ายผัวจงได้ฟังฌ้อจองอ๋องว่าดังนั้นก็เสียนํ้าใจนัก จึงไปปรึกษากับก๋งจูเอง ก๋งจูเจ๊กว่า นายเราจะให้ล่าทัพไปเมืองฝ่ายตะวันออกนั้นข้าพเจ้าเห็นผิดนักด้วยศึกติดพันกันอยู่ เตาหวดเฉียวรู้เข้าจะยกทหารตามตีซ้ำเติม ก็เห็นจะเสียทีกับเตาหวดเฉียวเป็นมั่นคง ก๋งจูเองก๋งจูเจ๊กจึงว่า เพลาวันนี้พวกเราก็ได้ยินว่าฌ้อจองอ๋องจะคิดกลอุบายรบกับเตาหวดเฉียวจึงเอาชัยชนะได้ ซึ่งฌ้อจองอ๋องพูดทั้งนี้เห็นจะเป็นกลอุบายให้กิตติศัพท์ลือไปถึงเตาหวดเฉียว จะได้มีความประมาทอยู่

ผัวจงได้ฟังก็เห็นด้วย ก๋งจูเองก๋งจูเจ๊กก็เข้าไปคำนับฌ้อจองอ๋องแจ้งว่า พวกเหล่าทหารทั้งปวงได้ยินไต้อ๋องพูดว่าจะยกไปเมืองทิศตะวันออกนั้น ต่างคนต่างเสียนํ้าใจเป็นอันมาก แต่ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านจะคิดกลอุบายจึงได้พูดจาชี้แจงให้ทหารทั้งปวงฟัง

ฌ้อจองอ๋องจึงว่า ท่านก็คิดถูกอยู่แล้ว แต่เรามีความปรารถนาอยู่สองข้อ หมายจะดูใจทแกล้วทหารทั้งปวง กับจะให้กิตติศัพท์รู้ไปถึงเตาหวดเฉียวด้วย ถ้าตัวและทหารช่วยกันรบจริงๆ แล้วก็คงได้ตัวเตาหวดเฉียวมั่นคง จึงกระซิบสั่งให้ก๋งจูเองก๋งจูเจ๊กคุมทหารไปซุ่มอยู่ตามอุบายซึ่งคิดไว้ ก๋งจูเองก๋งจูเจ๊กแจ้งดังนั้นแล้วก็คุมทหารไปซุ่มอยู่ตามฌ้อจองอ๋องสั่งทุกประการ ครั้นเพลาเช้ามืดฌ้อจองอ๋องก็ยกทัพล่าไป

ฝ่ายเตาหวดเฉียว ครั้นเพลาเข้ากองสอดแนมแจ้งว่าฌ้อจองอ๋องยกทัพไปอยู่ข้างเมืองฝ่ายตะวันออก เตาหวดเฉียวแจ้งความดังนั้นดีใจนัก จึงคิดว่าฌ้อจองอ๋องเห็นจะกลัวพวกทหารเรามั่นคง จึงสั่งให้ทหารเร่งกินข้าวเสียโดยเร็ว แล้วก็ยกทหารรีบไปตามฌ้อจองอ๋อง

ฝ่ายฌ้อจองอ๋องครั้นมาถึงเกงเสง จึงสั่งให้ผัวจงคุมทหารกองหนึ่ง ฮูป๋าคุมทหารกองหนึ่งทำล่าอยู่ จึงกระซิบสั่งเป็นอุบายไว้ให้พูดกับเตาหวดเฉียว ฝ่ายเอียงอิวกีนายทหารรองจึงคิดว่าฌ้อจองอ๋องจะหาคนมีฝีมือเกาทัณฑ์ไปยิงเตาหวดเฉียวก็ยังหามีผู้ใดรับอาสาไม่ ซึ่งชาวบ้านหอมังแจ้งไว้กับฌ้อจองอ๋องว่า ถ้าผู้ใดเอาเกาทัณฑ์ของพระเจ้าจิวบุนอ๋องไปยิงแล้ว ก็ให้ลูกเกาทัณฑ์นั้นสังหารชีวิตผู้นั้นเสีย บัดนี้เตาหวดเฉียวบังอาจเอาเกาทัณฑ์ของพระเจ้าจิวบุนอ๋องมายิง ก็เห็นว่าจะต้องคำแช่งพระเจ้าจิวบุนอ๋อง จำเราจะเข้ารับอาสาฌ้อจองอ๋องเห็นจะได้ความชอบเป็นมั่นคง จึงเข้าไปคำนับฌ้อจองอ๋องว่า ข้าพเจ้าจะขอลูกเกาทัณฑ์สองดอกนั้น อาสาไปยิงเตาหวดเฉียวให้จงได้

ฌ้อจองอ๋องได้ฟังมีความยินดีนัก จึงเอาลูกเกาทัณฑ์สองดอกให้กับเอียงอิวกี แล้วจึงสั่งว่า ตัวจงคุมทหารข้ามสะพานแซงโหไปแล้วรื้อสะพานเสีย ถ้าเตาหวดเฉียวแตกทัพไปก็คงจะข้ามสะพานแซงโห ท่านจงคุมทหารเอาเกาทัณฑ์ยิงระดมไว้อย่าให้ข้ามฟากได้ เอียงอิวกีคำนับรับลูกเกาทัณฑ์แล้วพาทหารมาถึงสะพานแซงโห ให้ทหารข้ามสะพานแล้วให้รื้อสะพานเสียซุ่มทหารอยู่ ฌ้อจองอ๋องครั้นจัดแจงเสร็จแล้วยกทหารรีบเลยไป

ฝ่ายเตาหวดเฉียวเร่งให้ทหารรีบเดินตามฌ้อจองอ๋องมาประมาณสองร้อยลี้ พบผัวจงนายทหารเมืองฌ้อพักอยู่ เตาหวดเฉียวจึงถามผัวจงทำไมจึงมาอยู่ที่นี่ ผัวจงจึงตอบว่า ฌ้อจองอ๋องเร่งให้ทหารรีบเดิน พวกข้าพเจ้าล้าอยู่ไปไม่ทัน เตาหวดเฉียวจึงว่า ตัวก็ตกอยู่ในเงื้อมมือเราแล้วตัวจะเข้าด้วยผู้ใดว่ามา ผัวจงจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่ทหารกินเบี้ยหวัด จะอยู่กับฌ้อจองอ๋องแล้วอยู่กับท่านก็เป็นทหารเหมือนกัน ถ้าท่านชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นใหญ่ขึ้น ข้าพเจ้าก็จะสมัครอยู่กับท่าน เตาหวดเฉียวได้ฟังดังนั้นมิได้มีความสงสัย ถามว่าฌ้อจองอ๋องไปไกลประมาณเท่าใด ผัวจงก็บอกว่าฌ้อจองอ๋องไปได้ประมาณเจ็ดลี้แปดลี้ เตาหวดเฉียวแจ้งความดังนั้นก็รีบตามฌ้อจองอ๋องไปทางประมาณหกสิบลี้ถึงเขาเซียงซัว พบฮูป๋านายทหารเมืองฌ้อ เตาหวดเฉียวจึงถามว่า เจ้าเมืองฌ้อไปถึงไหนเล่า ฮูป๋าจึงตอบว่าเจ้าเมืองฌ้อให้ข้าพเจ้าคุมทหารล่วงมาก่อนยังหาเห็นเจ้าเมืองฌ้อมาถึงไม่

เตาหวดเฉียวได้ฟังดังนั้น มีความสงสัยคิดว่าฮูป๋าจะพรางฌ้อจองอ๋องเสียไม่บอกความจริง จึงขับเกวียนเข้าไปจะรบฮูป๋า ฮูป๋าก็ไม่ต่อสู้จึงว่า ตัวข้าพเจ้าเปรียบเหมือนหนึ่งนกน้อย ตัวท่านอุปมาเหมือนเหยี่ยว ไม่ควรข้าพเจ้าจะสู้รบกับท่าน เตาหวดเฉียวจึงว่า ถ้าตัวคิดได้ดังนั้นแล้วก็เห็นว่ามีสติปัญญา ตัวจงบอกเจ้าเมืองฌ้อให้กับเราโดยเร็ว ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะแบ่งแผ่นดินเมืองฌ้อให้กับท่านกึ่งหนึ่ง ฮูป๋าทำเป็นยินดีคุกเข่าลงคำนับแล้วจึงว่า ทำไมกับเจ้าเมืองฌ้อคงจะหนีท่านมิพ้นคงจะได้ตัวในวันพรุ่งนี้เป็นมั่นคง แต่ข้าพเจ้าเห็นทหารกินข้าวตากมาวันหนึ่งกับคืนหนึ่งแล้วทหารอิดโรยนัก ฌ้อจองอ๋องหนีไปครั้งนี้ทหารก็ยังพร้อมอยู่ ถ้าท่านตามไปทันก็คงจะได้รบกันที่ไหนฌ้อจองอ๋องจะยอมนิ่งตาย ทหารเรากำลังอิดโรยอยู่เห็นจะเอาชัยชนะยาก ขอให้ท่านพักทหารหยุดหุงข้าวให้ทหารกินพอมีกำลังแล้วจึงค่อยตามไปก็เห็นจะได้ตัวฌ้อจองอ๋องเป็นมั่นคง เตาหวดเฉียวก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ทหารหยุดพักจัดแจง พอพวกทหารก่อเพลิงขึ้นหุงหาอาหารยังไม่ทันสุกดี ได้ยินเสียงม้าล่อและกลองรบกองทัพ ก๋งจูเองก๋งจูเจ๊กอื้ออึงขึ้นมาตามซอกเขาเซียงซัว ผัวจงก็ตีกระหนาบหลังเข้ามา

เตาหวดเฉียวเห็นดังนั้นตกใจนัก ก็ฉวยทวนและเกาทัณฑ์อาวุธสำหรับมือเผ่นขึ้นม้า พาทหารยกหนีกลับมาทางสะพานแซงโหเห็นสะพานหักระยำก็เข้าใจว่าฌ้อจองอ๋องให้ซุ่มทัพไว้คอยฟันสะพานเสียเห็นจะข้ามไปมิได้ คิดจะข้ามไปฟากข้างโน้น เกรงว่านํ้าจะลึกนัก จึงให้ทหารลงไปหยั่งนํ้าดูให้รู้ว่าตื้นลึกสักเพียงไร พวกทหารลงไปหยั่งมิทันจะขึ้นมา พอได้ยินเสียงประทัดสัญญาและกลองรบอื้ออึงขึ้นริมฝั่งฟากข้างโน้น เตาหวดเฉียวแลไปดูก็เห็นเอียงอิวกีนายทหารฌ้อจองอ๋องเดินลงมาที่ริมเชิงสะพาน ฝ่ายเอียงอิวกีเดินลงมาถึงริมฝั่งเห็นเตาหวดเฉียวจึงร้องตวาดเตาหวดเฉียวว่า ท่านเป็นคนทรยศคิดขบถต่อเจ้า มีรับสั่งให้เรามาคอยจับอยู่ที่นี่ จงมัดตัวให้เราจับโดยดี อย่าให้เราได้ฟันแทงเปลืองคมอาวุธเลย

เตาหวดเฉียวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งให้ทหารให้เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงเอียงอิวกี แม่นํ้านั้นกว้างลูกเกาทัณฑ์ไปตกลงริมฝั่ง หาถึงพวกทหารเอียงอิวกีไม่ เอียงอิวกีจึงแกล้งร้องเย้ยเตาหวดเฉียวว่าท่านอย่าพักให้พวกทหารยิงเราเลย ถึงตัวท่านที่นับถือว่ายิงเกาทัณฑ์แม่นนั้น เราก็หาเกรงฝีมือไม่ ท่านกับเราอยู่คนละฟากแม่นํ้า ลงมาให้ถึงด้วยกันทั้งสองข้างผลัดกันยิงคนละลูก เกาทัณฑ์ใครดีก็จะได้ดูฝีมือกันเล่นให้ปรากฏแก่ทหารทั้งปวง

เตาหวดเฉียวจึงตอบว่า จะผลัดกันยิงคนละสามทีก็ตามแต่ให้เรายิงก่อน เอียงอิวกีจึงตอบว่า อย่าว่าแต่คนละสามทีเลย ถึงจะยิงคนละสักร้อยทีเราก็หาเกรงฝีมือท่านไม่ แต่ว่าให้ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่าหลบหลีกลูกเกาทัณฑ์ ถ้าใครหลบลูกเกาทัณฑ์แล้วมิใช่ชายชาติทหาร เตาหวดเฉียวก็ก่งเกาทัณฑ์ขึ้น คิดว่าจะยิงแต่ดอกเดียวให้ถูกศีรษะเอียงอิวกีให้สมองแตกตาย เอียงอิวกีก็ลงมายืนอยู่ริมเชิงสะพานร้องเรียกให้เตาหวดเฉียวยิง พวกทหารทั้งสองฝ่ายก็มายืนคอยดูนายทั้งสองจะผลัดกันยิง เตาหวดเฉียวเห็นดังนั้นก็ยกลูกเกาทัณฑ์ขึ้นพาดสายแล้วก็ยิงไป เอียงอิวกีคอยเขม้นเห็นลูกเกาทัณฑ์ใกล้ตัวเข้ามา จึงเอาคันเกาทัณฑ์หวดให้ตกลงแล้วก็ร้องสำทับว่าให้เร่งยิงซ้ำมาอีกเถิด เตาหวดเฉียวก็ชักลูกเกาทัณฑ์ยิงอีกดอกหนึ่ง เอียงอิวกีเห็นลูกเกาทัณฑ์ใกล้เข้ามาก็ย่อตัวลงเสียหน่อยหนึ่ง ลูกเกาทัณฑ์ข้ามศีรษะเอียงอิวกีไป

เตาหวดเฉียวเห็นดังนั้นจึงร้องว่า เดิมสัญญากันว่าจะไม่หลบแล้วทำไมจึงหลบเล่า ไม่มีความอายเหมือนมิใช่ชายชาติทหาร เอียงอิวกีจึงตอบว่า ได้สัญญากันไว้ว่าจะไม่หลบ เราก็หาหลบไปพ้นที่ไม่ ท่านจงยิงมาอีกดอกหนึ่งให้ครบสามเถิด ทีนี้เราไม่ย่อตัวลงหลบลูกเกาทัณฑ์แล้ว เตาหวดเฉียวก็ยิงเกาทัณฑ์ไปหมายจะให้กรอกปากเอียงอิวกีเข้าไป เอียงอิวกีเห็นลูกเกาทัณฑ์ใกล้เข้ามา ก็เผยอปากกัดลูกเกาทัณฑ์ลงไว้แล้วก็คายเสีย

เตาหวดเฉียวยิงครบถ้วนสามทีไม่ถูกแล้วคิดท้อใจนัก จึงแข็งใจเรียกเอียงอิวกีว่า ทีนี้ถึงทีท่านยิงแล้ว จงเร่งยิงมาให้ครบสามทีเถิด เอียงอิวกีจึงร้องว่าแก่เตาหวดเฉียวว่า เราคิดว่าท่านแม่นเกาทัณฑ์จริง มิรู้ก็พึ่งสอนยิงยังอ่อนนัก อันเกาทัณฑ์ของเรานี้ ถ้าได้ยิงออกไปแต่ดอกเดียวก็จะเอาชีวิตท่านได้ ว่าแล้วยกลูกเกาทัณฑ์ขึ้น พาดสายน้าวยิงแต่สายเปล่าลองเตาหวดเฉียว เตาหวดเฉียวได้ยินเสียงสายลูกเกาทัณฑ์สำคัญว่าเอียงอิวกีปล่อยลูกเกาทัณฑ์มา ก็เอี้ยวหลบไปข้างขวา เอียงอิวกีเห็นก็หัวเราะ แล้วยิงสายเปล่าอีกครั้งหนึ่ง เตาหวดเฉียวคิดว่าปล่อยลูกเกาทัณฑ์มา ก็เอนตัวหลบไปข้างซ้าย พอเตาหวดเฉียวตรงตัวขึ้น เอียงอิวกีก็ยิงประสมซ้ำไปถูกศีรษะเตาหวดเฉียวสมองไหลออกมาล้มลงตาย ฝ่ายพวกทหารเตาหวดเฉียวเห็นนายตาย ต่างคนต่างก็แตกฉานซ่านเซ็นหนีเข้าป่า

ก๋งจูเจ๊กก๋งจูเองได้ทีก็ขับทหารไล่ฟันแทงพวกทหารเตาหวดเฉียวตาย ซากศพเกลื่อนกลาดเรี่ยราดไปตามทาง โตหุ้นหวงบุตรเตาหวดเฉียวก็พาทหารคนสนิทรีบหนีไปอาศัยอยู่ ณ เมืองจิ้น เฮกเตียนเจ้าเมืองจิ้นมีความกรุณาโตหุ้นหวงนัก จึงตั้งให้เป็นไตหูเบียวหุนหองไปครองเมืองเบียวฮันเป็นเมืองน้อยขึ้นแก่เมืองจิ้น

ฝ่ายฌ้อจองอ๋องครั้นมีชัยชนะเตาหวดเฉียวแล้ว ก็ยกกองทัพกลับมาเมืองฌ้อ จึงสั่งทหารให้จับแต่บรรดาแซ่เตาหวดเฉียวฆ่าเสีย ฝ่ายเค็กหองเป็นที่ทำอินบุตรเตาปวน พี่น้องร่วมแซ่เตาหวดเฉียวขณะเมื่อฌ้อจองอ๋องยังไม่ยกทัพ ฌ้อจองอ๋องให้ถือหนังสือไปเมืองเจ๋ ครั้นกลับมาแต่เมืองเจ๋จะใกล้ถึงเมืองฌ้อ พอคนสนิทลอบออกมาบอกความว่า บัดนี้เตาหวดเฉียวคิดขบถ ฌ้อจองอ๋องให้จับแต่บรรดาแซ่เตาหวดเฉียวฆ่าเสียสิ้นแล้ว ท่านอย่าเข้าไปในเมืองเลย จงหนีเอาตัวรอดเถิด เค็กหองจึงตอบว่า อันตัวเรานี้เจ้าใช้ให้ไปราชการยังหาได้เอาเนื้อความมาทูลให้ทราบไม่ ถึงจะให้ประหารชีวิตเสียก็ตามเถิด เราคงจะเข้าไปเฝ้าทูลเนื้อความให้ได้ก่อน ว่าแล้วจึงให้ขับเกวียนมาถึงเมืองฌ้อ เข้าไปเฝ้าฌ้อจองอ๋องกราบทูลความที่ไปเมืองเจ๋นั้นให้ทราบทุกประการแล้ว จึงกราบทูลว่า จีนบุนปู่ข้าพเจ้าได้ทำนายไว้ นานไปเตาหวดเฉียวจะคิดขบถต่อเจ้าจะพาพวกพี่น้องลำดับแซ่ฉิบหายเสียด้วย ให้บิดาข้าพเจ้าหนีไปเสียเมืองอื่น บิดาข้าพเจ้ามิได้ไปสู้ตายอยู่ในเมืองฌ้อ เพราะมีกตัญญูต่อเจ้า ตัวข้าพเจ้านี้ก็เป็นเชื้อแซ่เตาหวดเฉียวเป็นพวกขบถต่อแผ่นดิน แต่ข้าพเจ้าหาได้รู้ด้วยเตาหวดเฉียวไม่ ข้าพเจ้าขอถวายชีวิตสนองพระคุณที่ไต้อ๋องชุบเลี้ยงมาแต่ก่อน

ฌ้อจองอ๋องได้ฟังดังนั้นเห็นว่าเค็กหองเป็นคนสัตย์ซื่อ จึงว่ากับเค็กหองว่า ท่านเป็นแซ่เตาหวดเฉียวก็จริงอยู่ แต่ตัวท่านหาได้รู้เห็นด้วยไม่ เราจะยกโทษให้ท่านพ้นจากที่ตาย จงผลัดชื่อเสียใหม่อย่าชื่อเค็กหองเลย ตั้งแต่นี้ไปจงชื่อโตเสง เป็นที่ขุนนางอยู่ตามตำแหน่งเถิด เมื่อฌ้อจองอ๋องผลัดชื่อโตเสงแล้ว จึงยกความชอบเอียงอิวกีว่าฝีมือยิงเกาทัณฑ์แม่นเสียลูกเกาทัณฑ์แต่เล่มเดียวก็ฆ่าเตาหวดเฉียวตาย จึงตั้งให้เอียงอิวกีเป็นที่เจียงกุ๋ยนายทหารผู้ใหญ่ สำหรับรักษาพระองค์อยู่ข้างฝ่ายซ้าย แล้วพระราชทานข้าวของทองเงินและเครื่องยศฐาน์ให้เป็นรางวัลแก่เจียงกุ๋ยเป็นอันมาก แล้วจึงปูนบำเหน็จทแกล้วทหารทั้งปวงตามลำดับผู้น้อยผู้ใหญ่ แต่อุยแกที่อยู่เฝ้าเมือง เตาหวดเฉียวฆ่าเสียนั้น ฌ้อจองอ๋องลืมเสียหาได้คิดว่าจะชุบเลี้ยงบุตรภรรยาอุยแกขึ้นไม่ ครั้นปูนบำเหน็จรางวัลทแกล้วทหารเสร็จแล้ว เห็นว่างูขิวคนนี้มีสติปัญญามากจึงให้หางูขิวมาตั้งเป็นเลงอินแทนที่เตาหวดเฉียวผู้ตาย แล้วฌ้อจองอ๋องจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวง แต่เรามิได้มีความสนุกสบายมาช้านานได้ถึงหกปี บัดนี้ก็สำเร็จราชการประหารชีวิตเตาหวดเฉียวอันขบถต่อแผ่นดินเสียได้แล้ว บ้านเมืองก็ราบคาบเป็นปกติอยู่แล้ว เราจะให้แต่งโต๊ะเสพสุราเลี้ยงดูท่านทั้งปวงให้มีความสนุกสบาย ท่านทั้งปวงจงไปพร้อมกันบนเจียมไตเถิด แล้วจึงสั่งงูขิวให้จัดแจงเจียมไตให้สะอาดแล้ว ฌ้อจองอ๋องจึงพานางสนมเป็นอันมาก ขึ้นไปบนปราสาทเจียมไต ขุนนางทั้งปวงก็พากันตามขึ้นไปพร้อมบนเจียมไตสิ้น งูขิวจึงให้ยกโต๊ะและสุราขึ้นไปเลี้ยงขุนนางบนปราสาทเจียมไต

ขณะเมื่อฌ้อจองอ๋องและขุนนางทั้งปวงเสพสุราอยู่นั้น นางพนักงานกระจับปี่สีซอทั้งปวงก็ดีดกระจับปี่สีซอขับกล่อมบำรุงบำเรอฌ้อจองอ๋อง ฌ้อจองอ๋องและขุนนางทั้งปวงเสพสุราพลางฟังเสียงกระจับปี่สีซอก็เพลิดเพลินใจนัก เสพสุราตั้งแต่เพลากลางวันจะเพลาคํ่าแล้วยังหาสำเร็จไม่ ฌ้อจองอ๋องจึงสั่งเจ้าพนักงานให้จุดเทียนและชวาลาสว่าง แล้วสั่งให้นางสนมทั้งปวงมารินสุราเลี้ยงขุนนางผู้ใหญ่ ขณะนั้นนางฆ้อกีรูปงามเป็นนางห้ามคนโปรดพานางทั้งปวงออกมารินสุราเลี้ยงขุนนาง ขุนนางทั้งปวงคิดเกรงนางฆ้อกีต่างคนต่างก็ยืนขึ้นสิ้น พอเกิดลมพายุพัดกล้าเทียนและชวาลานั้นดับสิ้น ขุนนางผู้หนึ่งคิดรักนางฆ้อกีอยู่แต่เพลิงยังไม่ดับ ครั้นเพลิงดับได้ทีก็เข้าจับเอาข้อมือนางฆ้อกีโดยกำลังเมา นางฆ้อกีตกใจนักสะบัดมือเสีย แล้วก็ฉวยเอาหมวกที่ศีรษะขุนนางผู้นั้นมา จึงเข้าไปกระซิบทูลความแก่ฌ้อจองอ๋องขณะเมื่อเพลิงดับนั้น ฌ้อจองอ๋องมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานไปจุดเพลิง พอนางฆ้อกีทูลความขาดคำลง ก็พอดีคนจุดเพลิงกลับเข้ามาถึง ฌ้อจองอ๋องจึงคิดว่า ถ้าเราจะว่ากล่าวอื้ออึงขึ้นก็จะต้องลงโทษผู้กระทำผิด จะเสียขุนนางนายทหารผู้ใดก็มิได้รู้ อนึ่งคนทั้งปวงก็จะติเตียนเราได้ว่าให้เลี้ยงสุราจนเวลากลางคืน แล้วให้นางสนมออกมารินสุราเลี้ยงขุนนาง ครั้นขุนนางหยอกนางสนมจะให้ลงโทษขุนนางเล่า คิดแล้วจึงร้องห้ามเจ้าพนักงานแล้วจึงร้องประกาศแก่ขุนนางทั้งปวงว่าเราเลี้ยงดูกันในเวลาวันนี้สนุกสบายนัก ท่านทั้งปวงจงถอดหมวกเสียให้ทุกคน แล้วจึงเสพสุราเล่นให้สบายเถิด ฌ้อจองอ๋องร้องประกาศขุนนางแล้วคะเนการเห็นขุนนางทั้งปวงถอดหมวกสำเร็จแล้ว จึงร้องสั่งเจ้าพนักงานให้จุดเพลิงสว่างขึ้นเห็นขุนนางถอดหมวกอยู่สิ้น มิได้รู้จักว่าผู้ใดหยอกนางฆ้อกี เลี้ยงสุราไปจนเวลาสองยามเศษแล้วสั่งให้เลิกกลับเข้าวัง ขุนนางทั้งปวงก็ต่างคนต่างกลับไปบ้าน

ครั้นฌ้อจองอ๋องกลับมาถึงวัง นางฆ้อกีจึงทูลว่า มีรับสั่งให้ข้าพเจ้ารินสุราเลี้ยงขุนนาง มีผู้บังอาจข่มเหงหยิกหยอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทูลให้ชำระเอาตัวผู้กระทำร้ายก็มิชำระให้ได้ตัว ฌ้อจองอ๋องจึงตรัสตอบว่า ความข้อนี้เราคิดเสียแล้ววันนี้ให้เลี้ยงสุราจนเวลากลางคืน ให้หญิงนางสนมออกไปรินสุราเลี้ยงขุนนางทั้งปวงนั้นหาชอบไม่ เราได้ทำผิดเกินไปเสียแล้วจึงไม่รู้ที่จะว่าได้ ถ้าขืนจะว่าให้ฟุ้งซ่านไปก็เห็นจะไม่พ้นความนินทา จึงต้องดับเนื้อความเสียให้สงบไว้ ว่าแล้วก็ไป ณ ที่อยู่นางหวนกีฮองเฮา นางหวนกีเห็นฌ้อจองอ๋องเสด็จมาจึงทูลถามว่า เวลานี้มีราชการสิ่งใดหรือจึงมาจนดึกถึงเพียงนี้ ฌ้อจองอ๋องจึงตอบว่าวันนี้เราให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางแล้วปรึกษาราชการบ้านเมืองอยู่ด้วยกับเลงอินจนเวลาดึก นางหวนกีจึงทูลถามว่า ตั้งผู้ใดขึ้นเป็นที่เลงอิน ข้าพเจ้ายังหารู้จักตัวไม่ ฌ้อจองอ๋องจึงบอกว่า เราตั้งงูขิวขึ้นเป็นที่เลงอิน นางหวนกีจึงทูลถามว่า งูขิวนั้นมีสติปัญญาอยู่หรือ ฌ้อจองอ๋องจึงตรัสว่างูขิวมีสติปัญญามาก คนในเมืองฌ้อนี้จะหาผู้มีสติปัญญาเปรียบงูขิวนั้นไม่ได้แล้ว นางหวนกีจึงทูลว่า ท่านสรรเสริญงูขิวว่าเป็นคนมีสติปัญญามากนั้น ข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ ถ้าเป็นคนมีสติปัญญาจริงแล้ว ก็จะทัดทานมิให้พานางสนมไปเลี้ยงสุราขุนนางจนเวลากลางคืนดังนี้ ผู้ที่เขามีสติปัญญามากกว่างูขิวนี้ก็ยังจะมีอยู่บ้าง ฌ้อจองอ๋องได้ฟังก็เห็นชอบด้วย

ครั้นเวลาเช้าออกขุนนาง จึงถามขุนนางทั้งปวงว่า ในเมืองเรานี้ยังมีผู้ที่มีสติปัญญาอยู่บ้างหรือ ขณะนั้นโตเสงจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเห็นมีอยู่คนหนึ่ง ชื่องุยโงบุตรอุยแก ข้าพเจ้าสืบรู้ว่าเมื่อเตาหวดเฉียวฆ่าอุยแกเสียนั้นพามารดาหนีไป ณ ตำบลบองเต๊ก งุยโงผู้นี้มีสติปัญญามากเห็นควรจะเป็นข้าราชการได้อยู่ ฌ้อจองอ๋องจึงว่าแก่งูขิวว่า เราลืมอุยแกเสียแล้ว หากโตเสงว่าขึ้นเราจึงระลึกขึ้นมาได้ จึงสั่งให้งูขิวกับโตเสงจัดเกวียนออกไปรับงุยโง ณ ตำบลบองเต๊ก งูขิวกับโตเสงก็ลารีบมายังตำบลบองเต๊ก

ขณะนั้นงุยโงพามารดาไปตั้งบ้านอยู่ ณ ตำบลบองเต๊ก อุตส่าห์ทำไร่ไถนามาเลี้ยงมารดา วันหนึ่งออกไปถากนาพบงูสองศีรษะประหลาดนัก งุยโงจึงคิดว่าคำโบราณท่านว่าไว้ว่าผู้ใดพบงูสองศีรษะแล้วผู้นั้นจะตายในสามวันเจ็ดวัน บัดนี้เราพบงูสองศีรษะเข้าเห็นชีวิตจะไม่รอดสืบไปแล้ว งูตัวนี้ถ้าเราจะละไว้ให้ผู้อื่นมาพบเข้าก็จะตายตามไปอีก จำจะฆ่างูตัวนี้เสียสู้ตายแต่ผู้เดียวเถิด คิดแล้วก็เอาจอบฟันงูนั้นตาย จึงเอางูไปฝังไว้ริมคันนา งุยโงก็กลับมาบ้านเข้าไปคำนับมารดาแล้วก็ร้องไห้

มารดาจึงถามว่าเหตุใดเจ้าจึงร้องไห้ งุยโงจึงตอบว่า ข้าพเจ้าพบงูสองศีรษะ คำโบราณว่าไว้ว่า ใครพบงูดังนี้แล้วก็จะตายในสามวันเจ็ดวัน ตัวข้าพเจ้าจะตายจากมารดาไป จะมิได้ปฏิบัติรักษาเหมือนแต่หลังแล้ว ข้าพเจ้าคิดสงสารมารดาจึงร้องไห้ มารดางุยโงจึงถามว่างูนั้นอยู่ที่ไหน งุยโงจึงบอกว่าข้าพเจ้ากลัวผู้อื่นจะพบงูเข้าก็จะตายตามกันไปอีก คิดปรานีผู้อื่นจะสู้ตายแต่ผู้เดียว จึงเอาจอบฟันงูตายแล้วฝังไว้ที่ริมคันนา มารดาจึงปลอบว่า เจ้ามีความกรุณาแก่ผู้อื่นจึงฆ่างูเสีย มิให้ผู้อื่นพบต่อไปนั้น เทวดาก็จะช่วยอุปถัมภ์เจ้ามิให้มีอันตราย ร้ายก็กลับเป็นดีเจ้าอย่าวิตกเลย แม่ลูกพูดกันยังมิทันขาดคำ พอโตเสงกับงูขิวขุนนางทั้งสองมาถึงบ้านจึงเข้าไปแจ้งความตามข้อรับสั่งทุกประการ มารดางุยโงได้ฟังก็ดีใจยิ้มแล้วจึงว่าแก่งุยโงว่า เจ้าอย่าทุกข์ไปเลย ฌ้อจองอ๋องรับเจ้าเข้าไปบัดนี้จะชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ เพราะเจ้ามีกตัญญูต่อมารดาและมีความกรุณาแก่คนทั้งปวงจึงฆ่างูเสีย ขุนนางทั้งสองก็เชิญงุยโงกับมารดาขึ้นขี่เกวียน แล้วก็รีบกลับมาถึงเมืองฌ้อพางุยโงเข้าไปเฝ้า

ฌ้อจองอ๋องเห็นงุยโงเข้ามามีความยินดีนักจึงชมว่า งุยโงนี้รูปงามสมเป็นคนมีสติปัญญา แล้วก็ให้สิ่งของทองเงินและที่อยู่แก่งุยโงแล้วก็ชักชวนพูดจาทดลองดูสติปัญญางุยโงประมาณสองสามวัน เห็นว่างุยโงมีสติปัญญามากจึงให้เป็นที่เลงอิน งุยโงจึงทูลว่าข้าพเจ้าเป็นชาวบ้านชาวนาซึ่งกรุณาจะชุบเลี้ยงขึ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่นั้นพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าจะไม่พ้นความนินทา

ฌ้อจองอ๋องจึงว่า ท่านอย่าถ่อมตัวไปนักเลย เราเห็นสมควรจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้อยู่แล้ว งุยโงมิได้รับที่เลงอินถึงสามครั้ง ฌ้อจองอ๋องไม่ฟังจะขืนให้รับ งุยโงเกรงจะขัดอัธยาศัยก็รับเป็นที่เลงอินแล้วจึงทูลว่า ซึ่งกรุณาชุบเลี้ยงข้าพเจ้าขึ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่นั้น ข้าพเจ้าจะขอจัดแจงบ้านเมืองและอาญาศึกสำหรับกองทัพสนองคุณท่านตามสติปัญญา ฌ้อจองอ๋องจึงว่า ท่านจะจัดแจงเป็นประมาณใดก็ตามแต่ความคิดท่านเถิด

งุยโงจึงทูลว่า การที่จะยกทัพให้ถูกต้องตามทำนองกระบวนศึกนั้น พวกทหารกองม้าจงถือทวนคันยาว ในกองกลางให้ถือธงใหญ่ไว้เป็นสำคัญ ทัพทั้งปวงจะได้คอยดูธงกองกลาง จะโบกให้สำคัญในทีเข้าทีออกทีหนีทีไล่ แล้วให้มีเครื่องศัสตราวุธไว้สำหรับตัวจงทุกคน กองหลังนั้นไว้เหล่าล้วนทหารเกาทัณฑ์ ด้วยเกาทัณฑ์นั้นเป็นอาวุธทางไกลที่จะถอยทัพแล้วกองหน้ากลับเป็นกองหลัง กองหลังกลับเป็นกองหน้า ถ้าข้าศึกไล่ติดตามมากองหลังที่กลับเป็นกองหน้านั้นจะได้เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงป้องกันข้าศึกไว้มิให้ติดตามมาได้ ทั้งกองซ้ายและขวานั้นก็ให้อยู่ตามตำแหน่งอย่าให้สับสนปนกันได้ แล้วให้ผลัดเปลี่ยนกันคอยระวังการข้างละครึ่งวันครึ่งคืนอย่าได้เห็นแก่หลับนอน เกิดเหตุการณ์สิ่งใดขึ้นจะช่วยกันให้ทันกาล อย่าให้เสียทีแก่ข้าศึก ถ้ากลางคืนให้มีกองสอดแนมเที่ยวระวังราชการอีกพวกหนึ่ง ให้ผลัดเปลี่ยนกันช่วยกองซ้ายกองขวาลาดตระเวนภัยในกลางคืน ถ้าไต้อ๋องจะยกทัพหลวงออกไปปราบปรามข้าศึกแล้ว กองซ้ายทัพหลวงนั้นให้ก๋งจูเจ๊กเป็นแม่ทัพกองคุมเกวียนสิบห้าเล่ม เกวียนเล่มหนึ่งมีทหารห้าร้อยคน แล้วให้มีทหารอีกยี่สิบคนจะได้ผลัดเปลี่ยนทหารร้อยคนอันจะป่วยเจ็บเป็นปัจจุบันขึ้นจงทุกเล่มเกวียน คิดเป็นทหารกองซ้ายทัพหลวงพันแปดร้อยเจ็ดสิบห้าคน กองขวานั้นให้ก๋งจูเองเป็นแม่กองคุมเกวียนสิบห้าเล่ม ทหารพันแปดร้อยเจ็ดสิบห้าคนเหมือนกัน กองหน้าทัพหลวงนั้นให้เอียงอิวกีเป็นแม่กอง คุมทหารพันแปดร้อยเจ็ดสิบห้าคน เกวียนสิบห้าเล่มเท่ากัน กองหลังทัพหลวงนั้นให้คุดต๋งเป็นแม่กองคุมทหารพันแปดร้อยเจ็ดสิบห้าคน เกวียนสิบห้าเล่มเหมือนกัน งูขิวนั้นให้อยู่ในกองหลวง ช่วยตรวจทแกล้วทหารและระวังราชการเบ็ดเสร็จเป็นปลัดทัพสำหรับกองหลวง แล้วให้มีทหารดาบโล่ดาบสองมือ สำหรับรักษาทัพอยู่ชั้นในแปดพันคอยป้องกันข้าศึกอย่าให้ทำร้ายได้ ชั้นกลางนั้นมีทหารง้าวทหารทวนอีกแปดพันคอยป้องกันข้าศึก ชั้นนอกให้มีทหารแม่นเกาทัณฑ์แปดพันคน คอยป้องกันอย่าให้เสียทีแก่ข้าศึกได้ เข้ากันทั้งกองซ้ายกองขวากองหน้ากองหลังในทัพหลวง เป็นทหารสามหมื่นพันห้าร้อยเกวียนหกสิบเล่ม แล้วให้มีธงหงส์ธงมังกรสำหรับทัพหลวงเป็นอันมากจะได้เป็นสง่างามในกลางศึก และทหารในกองทัพทั้งปวงนั้น ให้มีเบาะหญ้าไว้จงครบตัวคนเมื่อต้องการจะได้ใช้สอยโดยง่าย กองทัพที่ข้าพเจ้าจัดแจงถวายไว้นี้ จงให้เตรียมพร้อมไว้สำหรับเมือง ถ้ามีข้าศึกมาเมื่อใดก็จะได้ยกเป็นกระบวนโดยเร็ว ไม่พักจัดกองทัพอยู่ให้เนิ่นช้า กับอนึ่งจะให้ซ่อมแปลงกำแพงถนนหนทางในเมืองฌ้อบรรดาปรักหักพังให้สมบูรณ์ แล้วให้ลงทำนบขังนํ้าไว้ราษฎรชาวเมืองจะได้ทำไร่ไถนา อนึ่ง นํ้าใหญ่เคยบ่าลงมาแต่บนเขาท่วมที่นาของราษฎรทั้งปวงเสียเป็นอันมาก จงให้ก่อทำนบใหญ่กั้นนํ้าไว้ให้นํ้าไหลบ่าลงทะเล อย่าให้ท่วมข้าวกล้าของราษฎรทั้งปวง เมืองใดที่ไร่นาบริบูรณ์อยู่แล้ว ถึงจะมีข้าศึกมาก็จะมิได้ลำบากด้วยเสบียงอาหาร ราษฎรทั้งปวงก็จะได้อยู่เย็นเป็นสุข

ฌ้อจองอ๋องได้ฟังงุยโงว่ามีความยินดีนัก ก็สั่งให้ทำตามคำงุยโงทุกประการ ฝ่ายขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงนั้นเมื่อแรกฌ้อจองอ๋องชุบเลี้ยงงุยโงขึ้นเป็นที่เลงอินขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการฝ่ายทหารดังนั้น คิดประมาทงุยโงว่าเป็นลูกเด็กเล็กน้อยแล้วก็เป็นชาวบ้านจะไม่รู้ขนบธรรมเนียมราชการ ฌ้อจองอ๋องมายกย่องงุยโงขึ้นเป็นผู้ใหญ่ไม่สมควร ครั้นได้ฟังงุยโงทูลให้จัดแจงการบ้านเมืองและการทัพศึกดังนั้น ก็สรรเสริญงุยโงว่ามีสติปัญญามากรอบรู้ในข้อราชการทั้งปวง คนในเมืองฌ้อนี้ผู้ใดจะมีสติปัญญาเสมองุยโงไม่มีแล้ว เมื่อครั้งจือบุนเป็นผู้สำเร็จราชการครั้งแผ่นดินฌ้อบกอ๋องนั้น ราษฎรและขุนนางทั้งปวงได้พึ่งสติปัญญาจือบุน ก็พลอยได้ความสุขเป็นอันมาก ครั้งนี้ฌ้อจองอ๋องได้งุยโงมาเป็นผู้สำเร็จราชการเล่า ก็มีสติปัญญามากเหมือนกับจือบุนบังเกิดขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว เราท่านทั้งปวงนี้จะได้พึ่งสติปัญญางุยโง บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป

ขณะนั้นก๋งจูหลันเจ้าเมืองเตงถึงแก่กรรม ขุนนางทั้งปวงแต่งการฝังศพแล้ว จึงตั้งก๋งจูหองผู้บุตรขึ้นเป็นเจ้าเมืองเตง ครั้นแจ้งความว่า ฌ้อจองอ๋องได้งุยโงไว้เป็นผู้สำเร็จราชการข้างฝ่ายทหาร จึงคิดว่างุยโงคนนี้มีสติปัญญามากเกลือกจะทูลฌ้อจองอ๋องให้ยกมาตีเมืองเรา จำจะแต่งเครื่องบรรณาการไปคำนับเจ้าเมืองจิ้นให้เป็นไมตรีกันไว้ ทัพเมืองฌ้อยกมาเมื่อใดจะได้ไปขอกองทัพเมืองจิ้นให้ยกมาช่วย คิดแล้วเจ้าเมืองเตงจึงแต่งเครื่องบรรณาการส่งให้ก๋งจูซองก๋งจูกุยเสงคุมไปคำนับเจ้าเมืองจิ้นให้เป็นไมตรีกันไว้ ครั้นก๋งจูซองก๋งจูกุยเสงกลับมาแจ้งว่าเมืองจิ้นรับจะเป็นไมตรีด้วยก็มีความยินดีนัก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ