๒๒

ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งก็ยกทัพมาถึงเจ๋ซุยปลายแดนเมืองฬ่อ ฬ่อจงก๋งเจ้าเมืองฬ่อซึ่งเป็นน้องเขยเจ๋ฮวนก๋งนั้น ก็แต่งโต๊ะออกมาคำนับเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็จัดแจงข้าวของซึ่งได้มานั้นให้ฬ่อจงก๋งตามสมควร ฬ่อจงก๋งก็คำนับลากลับเข้าเมือง เจ๋ฮวนก๋งก็รีบยกไปเมืองเจ๋ และเมื่อพระเจ้าจิวอุยอ๋องเสวยสมบัติได้ห้าสิบปีนั้น ฬ่อจงก๋งเจ้าเมืองฬ่อมีน้องร่วมมารดาคนหนึ่งชื่อกุยอิว พี่ชายต่างมารดานั้นชื่อเคงฮู น้องชายเคงฮูชื่อซกเอีย และฬ่อจงก๋งมีลูกชายสามคน คนหนึ่งชื่อก๋งจูผวน คนหนึ่งชื่อก๋งจูคี คนหนึ่งชื่อก๋งจูสินต่างมารดากันทั้งสามคน ฬ่อจงก๋งว่าราชการเมืองฬ่อมาได้สามสิบสองปีป่วยลง คิดวิตกด้วยสมบัติบ้านเมืองเกรงพี่น้องลูกหลานจะมิปกติกัน ด้วยเห็นกิริยาเคงฮูกับซกเอียไม่เรียบราบ จึงให้หาซกเอียผู้น้องเข้ามาปรึกษาลองใจถามว่า ถ้าเราหาบุญไม่แล้วสมบัติอันนี้ท่านจะควรมอบให้ผู้ใดที่จะรักษาบ้านเมืองได้ ซกเอียจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นแต่เคงฮูผู้เดียว แก่ทั้งปัญญาและอายุควรจะเป็นที่พึ่งที่คำนับแก่คนทั้งปวงได้ ฬ่อจงก๋งได้ฟังก็นิ่งอยู่และซกเอียก็ลาออกไป

ฬ่อจงก๋งให้หากุยอิวผู้น้องเข้ามาถามสอบดูว่า ตัวเราก็ป่วยเจ็บเป็นอันมาก คิดจะมอบสมบัติบ้านเมืองเสียให้ทันตาเห็น เจ้าจะเห็นควรกับผู้ใด กุยอิวจึงว่า อันประเพณีเยี่ยงอย่างมาแต่ก่อน อันสมบัติของบิดาก็ควรได้แก่บุตร ฬ่อจงก๋งจึงว่าได้ปรึกษาซกเอีย ซกเอียเขาว่าให้แก่เคงฮูด้วยเคงฮูเป็นผู้ใหญ่ กุยอิวจึงว่า เคงฮูนั้นเป็นผู้ใหญ่ก็จริง แต่หารู้จักโอบอ้อมอารีไม่ ถ้าได้ว่าราชการสิทธิ์ขาดพี่น้องลูกหลานเห็นจะไม่มีความสุข ถ้าสมบัติได้แก่ก๋งจูผวนถึงก๋งจูผวนยังเป็นเด็กข้าพเจ้าจะช่วยทำนุบำรุงไปกว่าจะหาชีวิตไม่ ฬ่อจงก๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงว่าการทั้งนี้สุดแต่เจ้าจะเห็นดีประการใดก็ตามเถิด กุยอิวก็ลาออกมาตรึกตรองการที่จะทำร้ายซกเอีย จึงใช้คนสนิทของฬ่อจงก๋งไปบอกกับซกเอียว่าเวลาพรุ่งนี้เช้าฬ่อจงก๋งให้ซกเอียไปอยู่ ณ บ้านเทงกุย ฬ่อจงก๋งจะออกไปพูดความลับด้วย คนใช้ก็ออกไปบอกแก่ซกเอียดังถ้อยคำกุยอิว

ซกเอียแจ้งดังนั้นสำคัญว่าจริงมีความยินดีนัก ครั้นรุ่งเช้าก็ออกไปคอย ณ บ้านเทงกุย กุยอิวก็เอายาพิษใส่ลงในปั้นสุรากับหนังสือฉบับหนึ่งให้คนใช้ออกไปให้เทงกุย เทงกุยก็รับเอาปั้นสุราและหนังสือมาฉีกออกอ่านต่อหน้าซกเอีย ในหนังสือนั้นว่า ถ้าซกเอียกินยาพิษในปั้นนี้ตายแล้ว บุตรภรรยาซกเอียนั้นเจ้าเมืองฬ่อจะเลี้ยงให้เหมือนตัวยังอยู่ อย่าให้ซกเอียมีความอาลัยวิตกเลย และถ้าซกเอียมิกินยาพิษในปั้นนี้ ให้เทงกุยประหารชีวิตซกเอียเสีย ฬ่อจงก๋งจะฆ่าบุตรภรรยาเสียให้สิ้น ซกเอียแจ้งในหนังสือดังนั้นก็มีความอาลัยแก่ชีวิตนัก อิดออดอยู่หากินยาพิษไม่ เทงกุยเห็นซกเอียบิดเบือนอยู่ก็จับซกเอียเอายาพิษกรอกเข้าไป โลหิตไหลออกทางปากและจมูกซกเอียก็สิ้นชีวิตในขณะนั้น

ฝ่ายฬ่อจงก๋งก็ป่วยหนักลงทุกวัน ครั้น ณ เดือนสิบ ฬ่อจงก๋งก็ถึงแก่ความตาย กุยอิวกับก๋งจูผวนก็จัดแจงการศพเจ้าเมืองฬ่อ และบรรดาหัวเมืองซึ่งเป็นไมตรีกันนั้นรู้ว่าฬ่อจงก๋งตายก็แต่งของมาช่วยเป็นอันมาก ครั้นทำการฝังศพเจ้าเมืองฬ่อเสร็จแล้ว กุยอิวก็ยกก๋งจูผวนบุตรเจ้าเมืองฬ่อขึ้นว่าราชการเป็นเจ้าเมืองฬ่อแทนบิดาสืบไป

ครั้น ณ เดือนสิบสอง ก๋งจูผวนเจ้าเมืองฬ่อรู้ข่าวว่าตังฉินผู้เป็นตาซึ่งอยู่บ้านฉินนั้นตาย ก็ออกไปฝังศพ ณ บ้านฉิน ฝ่ายเคงฮูรู้ว่ากุยอิวฆ่าซกเอียผู้น้องตาย ก็มีความพยาบาทกุยอิวกับก๋งจูผวนเจ้าเมืองฬ่อยิ่งนัก ก็ตรึกตรองคิดจะทำร้ายมิได้ขาด ครั้นรู้ว่าก๋งจูผวนออกไปเยี่ยมศพตา ณ บ้านฉิน จึงเรียกหึงเหวงคนเลี้ยงม้ามาสั่งว่า ก๋งจูผวนออกไป ณ บ้านฉิน เอ็งจงสกัดตามไปประหารชีวิตเสียแล้วกูจะให้เป็นขุนนาง หึงเหวงรับคำ ถึงเวลากลางคืนก็จัดแจงอาวุธสำหรับมือสะกดรอยตามก๋งจูผวนออกไปถึงบ้านฉิน พอเวลายามเศษหึงเหวงก็ลอบปีนกำแพงบ้านเข้าไปซุ่มอยู่ จนเวลาใกล้รุ่งคนในเรือนเปิดประตูออกมาตักนํ้า หึงเหวงก็ลอบเข้าไปถึงเตียงนอนก๋งจูผวน

ฝ่ายก๋งจูผวนตื่นลืมตาขึ้น เห็นหึงเหวงเข้ามาผิดประหลาดจึงถามหึงเหวงว่า เอ็งมาทำไม หึงเหวงจึงว่าเรามาเอาชีวิตท่าน ก๋งจูผวนก็ชักกระบี่ข้างเตียงฟันหึงเหวงถูกศีรษะ หึงเหวงก็แทงด้วยมีดเหน็บถูกสีข้างก๋งจูผวนตาย ฝ่ายผู้คนซึ่งอยู่ในเรือนนั้นก็ร้องเรียกกันมาจับตัวหึงเหวงฆ่าเสีย แล้วเอาเนื้อความรีบมาแจ้งแก่อุยกิว อุยกิวก็รู้ว่าเคงฮูให้หึงเหวงไปลอบฆ่าก๋งจูผวนเสีย กุยอิวกลัวอันตรายจะถึงตัวก็หนีไปอาศัยอยู่ ณ เมืองติน

ฝ่ายเคงฮูครั้นรู้ว่าก๋งจูผวนกับหึงเหวงตายแล้ว กุยอิวก็หนีไป คิดแต่จะปิดความให้มิดมิให้ผู้ใดสงสัยตัว จึงให้คนไปจับตัวบุตรภรรยาพวกพ้องหึงเหวงไปฆ่าเสียแล้วเอาความไปปรึกษาด้วยนางเตียงสี นางเตียงสีจึงว่าเราคิดการครั้งนี้ก็สำเร็จแล้ว ท่านจงตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองฬ่อว่าราชการไปเถิด เคงฮูจึงว่า ซึ่งท่านจะทำใจเร็วด่วนได้ให้ออกนอกหน้าไปนั้น เกรงปากผู้คนจะครหานินทาว่าเราแกล้งใช้ให้ไปฆ่าก๋งจูผวนเสีย อนึ่งก๋งจูสินก๋งจูคีบุตรฬ่อจงก๋งก็ยังมีอยู่สองคน แล้วก็เป็นหลานของเจ๋ฮวนก๋ง เทือกเถาใหญ่โตอยู่ จำเราจะยกตั้งแต่งขึ้นเป็นเจ้าเมืองสักคนหนึ่งจึงจะควร ราชการบ้านเมืองก็จะสิทธิ์ขาดอยู่กับเรา และก๋งจูสินก๋งจูคียังเด็กนักอ่อนทั้งปัญญาและอายุ อุปมาเหมือนชิ้นสุกรอยู่ในหว่างตะเกียบเราจึงค่อยคิดอ่านต่อภายหลัง กันทั้งความสงสัยให้สิ้นนินทาแล้วก็จะสำเร็จความคิดโดยง่าย นางเกียงสีได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย เคงฮูก็เอาทองเงินรีบไปบนสูเตียว ณ เมืองเจ๋ สูเตียวก็พาเคงฮูเข้าไปหาเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งจึงถามเคงถูว่า ท่านมาด้วยธุระสิ่งอันใดหรือ เคงฮูจึงบอกแก่เจ๋ฮวนก๋งว่า ก๋งจูผวนมีผู้ร้ายลอบฆ่าเสียแล้ว ข้าพเจ้าคิดจะยกก๋งจูคีซึ่งเป็นหลานของท่านขึ้นเป็นเจ้าเมืองฬ่อ ท่านจะเห็นประการใด

เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็เชื่อถือเคงฮู จึงว่ากับเคงฮูว่า ท่านเป็นลุงก็เหมือนเป็นบิดาก๋งจูคี ท่านช่วยจัดแจงทำนุบำรุงด้วยเถิด เคงฮูยินดีนักก็ลาเจ๋ฮวนก๋งกลับมาเมือง ตั้งก๋งจูคีอายุแปดขวบเป็นเจ้าเมืองเรียกว่าฬ่อเบียนก๋ง ราชการบ้านเมืองนั้นสิทธิ์ขาดอยู่กับเคงฮู ฝ่ายฬ่อเบียนก๋งอยู่นานมารู้ว่าเคงฮูกับนางเกียงสีคิดการจะทำร้ายตัว วันหนึ่งฬ่อเบียนก๋งทำเป็นไปเที่ยวเล่น ณ บ้านลอกเก๊าแขวงเมืองเจ๋ ใช้ให้คนไปเชิญเจ๋ฮวนก๋งออกมาที่บ้านลอกเก๊า ฬ่อเบียนก๋งก็ร้องไห้บอกความว่า นางเกียงสีมารดาเลี้ยงข้าพเจ้าทำชู้กับเคงฮูคิดอ่านจะฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าเป็นเด็กหาที่พึ่งมิได้ จะขอเอาบุญและปัญญาของท่านเป็นที่พึ่ง เจ๋ฮวนก๋งจึงถามว่า ในเมืองฬ่อนั้น เห็นผู้ใดจะมีสติปัญญาบ้าง ฬ่อเบียนก๋งจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นแต่กุยอิวผู้อาข้าพเจ้าเป็นคนมีสติปัญญา ทั้งนํ้าใจก็รักข้าพเจ้าเป็นอันมาก บัดนี้กุยอิวไปอาศัยอยู่ ณ เมืองติน เจ๋ฮวนก๋งจึงว่าเหตุใดไม่ไปเชิญมาช่วยว่าราชการเล่า ฬ่อเบียนก๋งจึงว่า ครั้นไปเชิญกุยอิวมาก็กลัวเคงฮูจะมีความสงสัย กุยอิวก็เป็นอริอยู่กับเคงฮูเห็นจะไม่มา เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า ถ้าดังนั้นก็ให้เอาชื่อเราไปบอกกุยอิวเถิดเห็นกุยอิวจะไม่ขัดได้ ฬ่อเบียนก๋งก็คำนับลาเจ๋ฮวนก๋งแล้วต่างคนต่างก็กลับไป

ฝ่ายฬ่อเบียนก๋งมาถึงบ้านลังตีแดนเมืองฬ่อ ก็ให้เชิญกุยอิวซึ่งไปอยู่ ณ เมืองตินตามถ้อยคำเจ๋ฮวนก๋ง กุยอิวแจ้งความว่าเจ๋ฮวนก๋งให้ไปช่วยราชการเมืองฬ่อ ขัดมิได้ก็มาหาฬ่อเบียนก๋ง ฬ่อเบียนก๋งก็พากุยอิวมาเมือง ตั้งกุยอิวเป็นที่ไจเสียงขุนนางผู้ใหญ่อยู่ประมาณปีเศษ ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งคิดวิตกถึงฬ่อเบียนก๋งผู้หลาน จึงให้ตองซุนฉิวมาเยือนฬ่อเบียนก๋ง ณ เมืองฬ่อฟังข่าวดีและร้าย ฬ่อเบียนก๋งเห็นตองซุนฉิวมาก็ร้องไห้มิได้พูดจาประการใด แต่ก๋งจูสินผู้พี่ฬ่อเบียนก๋งนั้นพูดจาทักทายตองซุนฉิว ตองซุนฉิวเห็นก๋งจูสินพูดจาหลักแหลมต้องขนบธรรมเนียมทั้งลักษณะก็พร้อม สมควรจะสืบตระกูลต่อไป จึงบอกกุยอิวว่า ก๋งจูสินหลานท่านคนนี้เห็นจะมีวาสนา ท่านจงเอาใจใส่ไว้ให้ดี แล้วจึงกระซิบว่าเหตุใดจึงไม่ชำระเสี้ยนหนามเสียให้หมดเล่า ถ้าเคงฮูยังมีชีวิตอยู่ตราบใด บ้านเมืองเห็นจะวุ่นวายไม่เป็นสุข กุยอิวได้ฟังตองซุนฉิวว่าดังนั้นก็ยกมือขึ้นข้างหนึ่ง ตองซุนฉิวก็รู้ว่ากุยอิวเหมือนมือข้างเดียวคิดการไม่ถนัด ตองซุนฉิวจึงว่า เราจะนำข้อความไปบอกแก่นายเราให้แจ้ง ถ้าท่านมีธุระร้อนเย็นประการใดบอกไปถึงก็คงจะมาช่วยพูดกัน แล้วก็ลากุยอิวออกมา

ฝ่ายเคงฮูรู้ว่าตองซุนฉิวคนสนิทของเจ๋ฮวนก๋งมา คิดจะใคร่เกลี้ยกล่อมเอาตองซุนฉิวเป็นพวกให้รักใคร่ในตัว จึงให้คนมาเชิญตองซุนฉิวไป ณ บ้าน ต้อนรับปราศรัยให้เงินทอง ตองซุนฉิวครั้นเคงฮูให้เงินทองก็หัวเราะแล้วจึงว่า ตัวท่านเป็นผู้ใหญ่ช่วยรักษาบ้านเมืองให้ซื่อตรงโดยสุจริต ข้าพเจ้ายินดีกว่าเอาเงินทองมาให้ข้าพเจ้าเสียอีก ถึงเจ๋ฮวนก๋งผู้นายข้าพเจ้าก็จะขอบใจเป็นอันมาก อันของนี้ท่านเอาไว้เถิด ข้าพเจ้ายังไม่รับได้ เคงฮูได้ฟังตองซุนฉิวว่าดังนั้นก็สะดุ้งมิได้ว่าประการใด ตองซุนฉิวก็มาจากบ้านเคงฮู เข้าไปลาฬ่อเบียนก๋งกลับไปเมืองบอกเจ๋ฮวนก๋งว่า ข้าพเจ้าไปสอดแนมฟังการที่เมืองฬ่อรู้ว่าเคงฮูเป็นศัตรูแผ่นดิน ถ้าไม่ทำลายเสียได้แล้วเห็นบ้านเมืองจะเกิดจลาจลเป็นมั่นคง

เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า ถ้าเป็นดังนั้นเราจะละมันไว้ได้หรือ จำจะยกกองทัพไปกำจัดเคงฮูเสีย บ้านเมืองจะได้อยู่เย็นเป็นสุข ตองซุนฉิวจึงว่า เคงฮูคิดการประทุษร้ายครั้งนี้เป็นแต่ความในยังหารู้ทั่วกันไม่ ซึ่งจะยกไปจับเคงฮูฆ่าเสียนั้นก็จะมีความติเตียนนินทา ถ้าความชั่วของเคงฮูปรากฏออกเมื่อใดแล้วจึงค่อยยกไปทำลายเสียจึงจะควร เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังตองซุนฉิวว่าดังนั้นต้องด้วยขนบธรรมเนียมก็เห็นชอบด้วย ฝ่ายเคงฮูแต่ฬ่อเบียนก๋งได้เป็นเจ้าเมือง ก็ตรึกตรองที่จะชิงเอาสมบัติ แล้วคิดท้อใจว่าฬ่อเบียนก๋งเป็นหลานเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็ให้กุยอิวผู้อามากำกับอยู่ด้วย กุยอิวผู้นี้มีสติปัญญาหนักแน่น หมั่นระวังการมิได้ประมาทและราษฎรในเมืองก็รักใคร่ฬ่อเบียนก๋งและกุยอิวเป็นอันมาก เคงฮูกับนางเกียงสีเวียนไปมาปรึกษากันมิได้ขาด พอคนใช้วิ่งเข้ามาบอกว่าปักอีมาหา เคงฮูให้เชิญปักอีเข้ามานั่งที่จีวบัง เป็นที่สำหรับไว้หนังสือ เคงฮูเห็นกิริยาปักอีโกรธมาจึงถามว่า ท่านมาด้วยธุระสิ่งใด ปักอีว่าข้าพเจ้าจะมาพึ่งท่าน ด้วยที่นาของข้าพเจ้าเคียงกันกับนาซีนปุดไฮผู้เป็นอาจารย์ฬ่อเบียนก๋ง และซีนปุดไฮฉ้อชิงเอาที่นาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้ไปว่ากล่าวกับฬ่อเบียนก๋ง ฬ่อเบียนก๋งขอด้วยความข่มเหงหักเอาที่นาของข้าพเจ้าไปให้แก่ซีนปุดไฮ ข้าพเจ้ามีความน้อยใจนัก จึงมาหาท่านหวังจะให้ท่านช่วยว่ากล่าวเอาที่นาของข้าพเจ้าคืน

เคงฮูได้ฟังดังนั้นก็แกล้งใช้ผู้คนไปเสียให้สิ้น แล้วจึงว่า ซึ่งจะให้เราไปว่ากล่าวกับฬ่อเบียนก๋งนั้น เหมือนเอาเม็ดเกลือไปทิ้งในพระมหาสมุทรก็จะสูญเสียเปล่าไม่ต้องการ อันความทุกข์ของท่านครั้งนี้เป็นพนักงานเราเถิด จะช่วยคิดอ่านให้ แต่ธุระเราอย่างหนึ่งนั้นท่านยังจะช่วยเราได้หรือ ปักอีจึงว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ หมายจะฝากตัวกับท่าน ๆ จะใช้สอยข้าพเจ้าประการใด ข้าพเจ้าจะยอมตัวให้ใช้จนสิ้นชีวิต เคงฮูจึงว่า อันธุระของท่านกับซีนปุดไฮเป็นปลายความ ถ้าตัดต้นเสียแล้วซีนปุดไฮก็สิ้นชีวิต ที่นาของท่าน ๆ ก็คงจะได้ ปักอีจึงว่า ข้าพเจ้าเกรงอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งจะตัดแต่ต้นไม้ไม่ขุดให้สิ้นราก ก็จะแตกแขนงงอกขึ้นมา ด้วยกุยอิวคนนี้เฉลียวฉลาดลึกซึ้งนัก แล้วจะมีความรำคาญไปภายหลัง เคงฮูจึงว่า การซึ่งคิดไว้นั้นเป็นการลับลึกซึ้งอยู่ ถ้าท่านรับธุระแล้วก็จะสมความคิดเป็นแท้ ปักอีจึงว่าท่านจงบอกอุบายให้ข้าพเจ้าเถิด เคงฮูจึงบอกว่า ฬ่อเบียนก๋งนั้นเวลากลางคืนเคยไปเที่ยวเล่นตามถนนหนทางโดยคะนอง เราคิดจะให้ท่านจัดคนที่ฝีมือองอาจไปซุ่มอยู่ที่ปูอุยเป็นประตูลัด ฬ่อเบียนก๋งเคยเข้าออก จงลอบฆ่าฬ่อเบียนก๋งเสีย คนทั้งปวงก็จะสำคัญว่าโจรฆ่าที่ไหนจะสงสัยเรา นางเกียงสีแม่เลี้ยงฬ่อเบียนก๋งก็จะมอบให้เราว่าราชการเมือง เราจึงคิดกำจัดกุยอิวเสีย ปักอีได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย รับคำแล้วก็ลากลับมาบ้าน เวลาพลบจึงเรียกเอาชิวอาคนสนิทเข้ามาส่งอาวุธให้ แล้วกระซิบสั่งให้ไปทำตามเคงฮูว่า

ฝ่ายฬ่อเบียนก๋งถึงเวลากลางคืนก็ออกมาเที่ยวเล่น ชิวอาอยู่ริมประตู เห็นฬ่อเบียนก๋งออกมา ได้ท่วงทีแล้วก็แทงฬ่อเบียนก๋งตาย พวกฬ่อเบียนก๋งก็กลุ้มรุมกันเข้าจับตัวซิวอา พอพวกปักอีเข้ามาทันทีเข้าชิงเอาตัวชิวอาไปได้ ฝ่ายเคงฮูรู้ว่าฬ่อเบียนก๋งตายแล้วก็พาพวกไปล้อมบ้านซีนปุดไฮจับซีนปุดไฮฆ่าเสีย ฝ่ายกุยอิวรู้ว่าฬ่อเบียนก๋งตายก็ตกใจกลัวเคงฮูจะจับฆ่าเสีย จึงพาก๋งจูสินผู้หลานหนีออกจากเมืองในเวลากลางคืนไปอาศัยอยู่ ณ เมืองตู

ฝ่ายชาวเมืองฬ่อรู้ว่าเคงฮูกับปักอีคบคิดกันไปลอบลักทำร้ายฬ่อเบียนก๋ง และกุยอิวก๋งจูสินก็หนีออกจากเมือง ต่างคนโกรธแค้นปักอี ก็พร้อมใจกันไปล้อมบ้านปักอี จับปักอีและชิวอาฆ่าเสียทั้งบุตรและภรรยาแล้วคิดกันไปล้อมบ้านเคงฮู

ฝ่ายเคงฮูรู้ดังนั้นก็จัดแจงข้าวของบรรทุกเกวียน ปลอมเป็นพ่อค้าหนีไปอยู่เมืองกี๋ ฝ่ายนางเกียงสีรู้ว่าเคงฮูหนีไปอยู่เมืองกี๋ ก็มีความวิตกด้วยกระทำความชั่วไว้เป็นอันมากเกรงจะเป็นอันตราย จึงเรียกหญิงคนใช้ซึ่งร่วมคิดนั้นมาปรึกษาว่า จะหนีตามเคงฮูไปเมืองกี๋ หญิงคนใช้จึงว่าซึ่งจะหนีไปอยู่ด้วยเคงฮูนั้นจะสมความที่เขาสงสัย ถ้าจะไปหากุยอิว ณ เมืองตูภายหลังก็จะได้กลับคืนมาเมือง นางเกียงสีได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย ก็พากันหนีไปตามกุยอิว ณ เมืองตู ฝ่ายกุยอิวรู้ว่านางเกียงสีพี่สะใภ้ตามมาก็มีความชิงชังยิ่งนัก จึงหลบหนีเสียมิให้พบตัว พอได้ยินชาวเมืองตูพูดกันว่าเคงฮูหนีไปอยู่เมืองกี๋แล้ว กุยอิวมีความยินดียิ่งนัก จึงชวนก๋งจูสินผู้หลานรีบกลับมาเมืองฬ่อ แล้วให้มีหนังสือบอกขึ้นไปถึงเมืองเจ๋แจ้งความกับเจ๋ฮวนก๋งทุกประการ

ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งได้แจ้งหนังสือดังนั้น จึงปรึกษากับตองซุนฉิวว่า เมืองฬ่อบัดนี้วุ่นวายว่างอยู่ยังหามีเจ้าเมืองไม่ เราคิดจะไปชิงเอาเมืองไว้ท่านจะเห็นประการใด ตองซุนฉิวจึงว่า ซึ่งจะชิงเอาเมืองฬ่อนั้นก็เห็นจะได้ แต่จะมีครหานินทาด้วยเป็นผู้ใหญ่ ถ้าไปช่วยจัดแจงบ้านเมืองให้ราบคาบนั้นรู้ไปถึงไหนมีความสรรเสริญ แล้วกุยอิวกับก๋งจูสินก็จะอยู่ในบังคับบัญชาท่าน เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงเรียกกออีมาสั่งว่า ท่านจงไปเกณฑ์ทหารที่บ้านนำเอียงสามพันยกรีบไป ณ เมืองฬ่อดูทีก๋งจูสิน ถ้าเห็นมีสติปัญญาสมควรจะเป็นเจ้าเมืองได้ก็ให้แต่งตั้งขึ้น ถ้าเห็นไม่สมควรจะเป็นเจ้าเมืองจงพูดจาเกลี้ยกล่อมไว้อย่าให้สะดุ้งสะเทือน แล้วลอบมีหนังสือมาถึงเราให้รู้โดยเร็ว กออีรับคำแล้วก็ลาออกไปเกณฑ์ทหารบ้านนำเอียงได้สามพัน ยกขึ้นไปถึง ณ เมืองฬ่อ

ฝ่ายก๋งจูสินรู้ก็ออกมาต้อนรับ พอกออีเข้าไปปรึกษาด้วยการบ้านเมืองซึ่งไม่ปกติ กออีได้ฟังก๋งจูสินพูดจาแยบคายรอบคอบหลักแหลมควรที่จะว่าราชการเมือง จึงปรึกษาด้วยกุยอิวให้ยกก๋งจูสินขึ้นเป็นเจ้าเมืองเรียกว่าฬ่ออีก๋ง แล้วกออีคิดเกรงเคงฮูและนางเกียงสีจะชักชวนเจ้าเมืองกี๋และเมืองตูลอบมาทำร้ายเมืองฬ่อ ก็ให้คนสามพันซึ่งมาด้วยช่วยชาวเมืองซ่อมแซมกำแพงและป้อมซึ่งชำรุดนั้นให้มั่นคงแล้วก็ลากลับไปเมือง ฝ่ายฬ่ออีก๋งก็จัดแจงสิ่งของให้ก๋งจูอีซือไปคำนับเจ๋ฮวนก๋ง ณ เมืองเจ๋

ฝ่ายกุยอิวมีความพยาบาทเคงฮูยิ่งนัก จึงจัดทหารผู้หนึ่งลอบไปบอกแก่เจ้าเมืองกี๋ว่า เคงฮูเป็นเสี้ยนศัตรูเมืองฬ่อหนีไปอยู่เมืองกี๋นั้นให้จับฆ่าเสีย เราจะให้เงินทองเป็นค่าจ้าง แล้วเมืองกี๋กับเมืองฬ่อก็จะไปเป็นไมตรีกันสืบไป เจ้าเมืองกี๋ได้ฟังดังนั้นจึงว่า ทำไมกับเคงฮูเหมือนลูกไก่อยู่ในกำมือจะฆ่าเสียเมื่อใดก็ได้ จงกลับไปบอกแก่ฬ่ออีก๋งเถิดอย่าให้วิตกเลย คนใช้นั้นกลับไป เจ้าเมืองกี๋จึงคิดว่าเมื่อเคงฮูจะมาอาศัยอยู่นั้นก็ได้เอาของมาให้ ครั้นจะฆ่าเสียบัดนี้ก็มิควร จำจะบอกให้ไปเสียให้พ้นเมืองจึงจะชอบ คิดดังนั้นจึงให้คนไปบอกเคงฮูว่าภัยมาถึงตัวท่านแล้ว จะอยู่ที่นี่มิได้ เมืองเราเป็นเมืองน้อยจะได้ความรำคาญด้วย จงคิดอ่านหนีไปเอาตัวรอดเถิด เคงฮูได้ฟังดังนั้นตกใจนักก็รีบออกจากเมืองกี๋ตั้งใจไปหาซูเตียวซึ่งเป็นคนสนิทของเจ๋ฮวนก๋ง ณ เมืองเจ๋ ให้ช่วยป้องกันชีวิตไว้ ครั้นถึงแดนเมืองเจ๋คนซึ่งรักษาเมืองนั้นเห็นเคงฮูก็จำได้จึงไล่เสียมิให้เข้าไปในเมือง เคงฮูจะไปไหนมิได้ก็เข้าไปอาศัยอยู่ ณ บุนจุย

ฝ่ายกออีซึ่งไปจัดแจงเมืองฬ่อก็กลับมาถึงเมืองเจ๋ จึงพาก๋งจูอีซือกับสิ่งของไปหาเจ๋ฮวนก๋งแจ้งความตามซึ่งได้จัดแจงเมืองฬ่อทุกประการ เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังมีความยินดีนักจึงปราศรัยด้วยก๋งจูอีซือตามธรรมเนียม แล้วก๋งจูอีซือก็คำนับลาเจ๋ฮวนก๋งกลับมาถึงตำบลบ้านบุนจุยพบเคงฮูอยู่ที่นั้น ก๋งจูอีซือจึงทักว่าท่านมาอยู่ทำไมที่นี่ มากลับไปบ้านเมืองด้วยกันเถิด เคงฮูจึงว่า ข้าพเจ้าจะกลับไปมิได้ด้วยกลัวฬ่ออีก๋งและกุยอิวยิ่งนัก ถ้าท่านกลับไปเมืองแล้วช่วยอ้อนวอนฬ่ออีก๋งและกุยอิวขอโทษข้าพเจ้าให้พ้นตายข้าพเจ้าจะสนองคุณท่าน ก๋งจูอีซือได้ฟังเคงฮูว่าดังนั้นก็รีบมาถึงเมืองฬ่อ เอาข้อความซึ่งไปหาเจ๋ฮวนก๋งบอกแก่ฬ่ออีก๋งและกุยอิวทุกประการ แล้วจึงว่า เมื่อข้าพเจ้ากลับมาจากเมืองเจ๋นั้น พบเคงฮูอาศัยอยู่ ณ บ้านบุนจุย อ้อนวอนข้าพเจ้ามาให้ช่วยขอโทษให้ท่านทั้งสองไว้ชีวิตสักครั้งหนึ่ง

ฝ่ายฬ่ออีก๋งได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษากับกุยอิว กุยอิวจึงว่า เคงฮูคนนี้แต่ลอบล้างเจ้าเมืองตายถึงสองคน จะไว้ชีวิตนั้นมิได้ กุยอิวให้ก๋งจูอีซือไปบอกเคงฮูว่า เคงฮูทำความผิดโทษถึงตายแล้วจะเอาชีวิตไว้ก็เป็นเยี่ยงอย่างสืบต่อไป ครั้นจะให้ทหารไปฆ่าเสียด้วยคมอาวุธ เคงฮูก็ได้เป็นพี่น้องร่วมบิดากับเรา ให้เคงฮูฆ่าตัวเสียตามโทษ จะรักตายด้วยอันใดก็ตามเถิด ซึ่งบุตรภรรยานั้นอย่าเป็นห่วงวิตกเลยเราจะชุบเลี้ยงให้เหมือนตัวยังอยู่ ก๋งจูอีซือรับคำแล้วก็ลามาถึงบ้านบุนจุย บอกแก่เคงฮูตามถ้อยคำกุยอิวทุกประการ เคงฮูได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ รู้ว่าความตายมาถึงตัวเป็นเที่ยงแท้ก็เอาเชือกผูกคอตายต่อหน้าก๋งจูอีซือ ก๋งจูอีซือก็จัดแจงฝังศพเคงฮูแล้วกลับมาบอกกุยอิว

ขณะนั้นเจ้าเมืองกี๋รู้ข่าวว่าเคงฮูตายแล้ว จึงเรียกเองหนอผู้น้องเข้าไปสั่งให้ยกกองทัพไปทวงเอาเงินกุยอิว ณ เมืองฬ่อ เองหนอรับคำแล้วก็จัดทหารสามพันยกมาถึงตำบลบ้านลีตีปลายแดนเมืองฬ่อก็หยุดทัพอยู่ ส่งหนังสือเข้าไปในเมืองฬ่อเป็นใจความว่า กุยอิวและฬ่ออีก๋งให้ทหารไปว่าจ้างให้เราฆ่าเคงฮูเสีย บัดนี้เคงฮูตายแล้วเราจะมาทวงค่าจ้างตามสัญญา ฬ่ออีก๋งแจ้งความในหนังสือดังนั้นก็ปรึกษากุยอิว กุยอิวจึงว่าจะกลัวอะไรแก่กองทัพเมืองกี๋ เราจะออกไปทำลายเสียเวลาเดียวก็จะแตกกลับไป ฬ่ออีก๋งก็ส่งเมงเหลาแปลว่ามีดหมอให้กุยอิว กุยอิวรับเมงเหลาแล้วออกมาจัดทหารยกออกไป ถึงลีตีเห็นกองทัพเองหนอตั้งอยู่ กุยอิวก็เดินทัพเข้าไปให้ใกล้แล้วถามเองหนอว่า ท่านยกทัพมาจะรบกับเราด้วยหรือ เองหนอจึงว่า ถ้าท่านให้เงินที่ว่าไว้กับเราแล้วเราก็จะยกทัพกลับไป ถ้ามิให้เราจะรบ

กุยอิวจึงว่า เจ้าเมืองกี๋มิได้ฆ่าเคงฮูตาย ซึ่งจะมาเอาเงินที่เรานั้นไม่ให้ ถึงจะรบพุ่งประการใดก็ตามเถิด เองหนอได้ฟังดังนั้นก็โกรธ สั่งทหารให้เข้าตีกองทัพกุยอิว กุยอิวจึงว่าแก่เองหนอว่า อันจะรบกันด้วยทแกล้วทหารและอาวุธดังนี้มีมากแล้ว เรามาลองกำลังฝีมือกันตัวต่อตัวแต่มือเปล่าให้ปรากฏแก่ทแกล้วทหารทั้งปวงก่อนเถิด จึงคอยรบกันต่อภายหลัง เองหนอได้ฟังดังนั้นครั้นจะมิทำตามกุยอิวก็อายแก่ทแกล้วทหารทั้งปวง จึงสั่งทหารทั้งสองฝ่ายให้ออกไปให้ห่าง แล้วกุยอิวกับเองหนอก็วางอาวุธเสีย เข้าปลํ้ากันด้วยกำลังประมาณห้าสิบเพลงปลํ้า ฝ่ายกุยหังฮูอายุได้แปดขวบเห็นกุยอิวผู้บิดากระปลกกระเปลี้ยนักจะทานกำลังเองหนอมิได้ จึงร้องให้สติบิดาว่า เมงเหลาหาได้เอามาด้วยหรือ กุยอิวได้ยินดังนั้นก็คิดขึ้นได้จึงถอยหลังทำหนีออกมา ให้เองหนอตามมาแล้วกุยอิวก็ชักเอาเมงเหลาออกฟันถูกหน้าผากเองหนอแตกตาย ทหารเองหนอเห็นนายตายตกใจนัก มิได้คิดจะต่อสู้ก็ตื่นแตกหนีกลับไปเมือง ฝ่ายกุยอิวครั้นชนะแก่เองหนอแล้วก็ชวนทแกล้วทหารทั้งปวงกลับมา ฬ่ออีก๋งออกมารับกุยอิวเข้าเมือง จึงยกบ้านส่วยที่ตำบลอุยอิดและที่นานำเอียงให้แก่กุยอิว แล้วตั้งกุยอิวเป็นใจเสียงชื่อกุยซุนสี

กุยอิวครั้นเป็นที่ไจเสียงแล้ว คิดถึงเคงฮูกับซกเอียผู้ตายแล้วเป็นพี่น้องวงศ์วานกัน จึงว่าแก่ฬ่ออีก๋งให้เอาบุตรเคงฮูและบุตรซกเอียมาชุบเลี้ยงตั้งแต่งไว้ ฬ่ออีก๋งจึงว่า อันเคงฮูกับซกเอียนี้ตายด้วยขบถแผ่นดิน ซึ่งจะเอาบุตรมาแต่งตั้งไว้นั้นเห็นไม่ต้องด้วยกฎหมายอย่างธรรมเนียม กุยอิวจึงว่า เคงฮูและซกเอียนี้เป็นขบถตายก็จริง แต่มิได้ตายด้วยคมอาวุธให้ปรากฏแก่ไพร่บ้านพลเมือง อนึ่งบุตรเคงฮูและบุตรซกเอียเล่าเมื่อขณะบิดาเป็นขบถนั้นก็หารู้ด้วยไม่ ท่านจงเอามาชุบเลี้ยงไว้เถิดมิใช่ผู้อื่น จะได้เป็นตาเป็นมือช่วยกันรักษาบ้านเมือง ฬ่ออีก๋งได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วยจึงเอากองซุนเหงาบุตรเคงฮูมาตั้งเป็นเมงซุนสีว่าราชการแทนเคงฮู แล้วยกบ้านเซงตีให้เป็นส่วย และก๋งซุนจือบุตรซกเอียนั้นฬ่ออีก๋งก็เอาบ้านเฮาตียกให้เป็นบ้านส่วยบ้านหนึ่ง แล้วตั้งให้เป็นซกซุนสีว่าราชการแทนซกเอียสืบไป

ขณะนั้นเจ๋ฮวนก๋งเจ้าเมืองเจ๋รู้ว่า นางเกียงสีผู้น้องซึ่งทำชู้ด้วยเคงฮู คิดกลัวตัวหนีไปอยู่เมืองตูจึงว่าแก่กวนต๋งว่า ฬ่อฮวนก๋งฬ่อเบียนก๋งตายก็เพราะนางเกียงสีคบคิดกันกับเคงฮู ความอันนี้ปรากฏอยู่สิ้นทั้งเมืองฬ่อ ฬ่ออีก๋งกุยอิวก็มีความแค้นในนางเกียงสีเป็นอันมาก หากเกรงใจเราอยู่จึงมิได้ตามไปจับตัวนางเกียงสี ถ้าเรามิเอาตัวมาให้บัดนี้ ชาวเมืองฬ่อก็จะนินทาเราว่าเป็นผู้ใหญ่เข้าด้วยคนผิด เราคิดจะให้ไปเอาตัวมาส่งให้เขา ท่านจะเห็นประการใด กวนต๋งจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ไปเอาตัวนางเกียงสีส่งไปเมืองฬ่อให้ปรึกษาโทษตามขนบอาญาเมืองนั้นต้องด้วยอย่างธรรมเนียมอยู่แล้ว ถึงฬ่ออีก๋งและกุยอิวก็จะเกรงใจท่านอยู่ เห็นจะไม่เอาโทษแก่นางเกียงสีเป็นมั่นคง

เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นจึงให้ซูเตียวกับทหารไป ณ เมืองตูรับนางเกียงสีไปส่งให้แก่ฬ่ออีก๋งกุยอิว ซูเตียวก็ออกมาจัดแจงบ่าวไพร่ได้พร้อมแล้วก็รีบไปรับนางเกียงสี ณ เมืองตู กลับมาถึงบ้านตำบลจีตีแดนเมืองเจ๋ พอเวลาคํ่าก็ให้นางเกียงสีเข้าสำนักอยู่ในกงก๊วน แล้วซูเตียวจึงว่าแก่นางเกียงสีว่า ชาวเมืองฬ่อเขาคิดร้ายว่าทำชู้ด้วยเคงฮู คิดฆ่าฬ่อฮวนก๋งและฬ่อเบียนก๋งผู้หลานเสีย จะเอาสมบัติบ้านเมืองให้แก่เคงฮู ท่านจงตรึกตรองดูให้ดี จะกลับเข้าไปดูหน้าขุนนางและชาวเมืองฬ่อได้หรือ

นางเกียงสีได้ฟังซูเตียวว่าละอายใจนัก ปิดประตูร้องไห้อยู่จนเวลาเที่ยงคืนก็ผูกคอตาย ครั้นรุ่งเช้าซูเตียวรู้ว่านางเกียงสีผูกคอตายแล้ว จึงสั่งชาวบ้านจีตีให้จัดแจงรักษาศพนางเกียงสีไว้ ซูเตียวจึงรีบเข้าไปบอกแก่ฬ่ออีก๋ง ฬ่ออีก๋งก็ออกมาทำการฝังศพนางเกียงสีแล้ว ฬ่ออีก๋งก็กลับเข้าเมือง ซูเตียวก็ไปเมืองเจ๋แจ้งความแกเจ๋ฮวนก๋งทุกประการ

ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งตั้งแต่ยกทัพไปตีได้เมืองปักหยงเมืองเกาเต๊กสำเร็จราชการมาแล้ว ได้ช่วยจัดแจงเมืองฬ่อราบคาบเป็นสุขขึ้น ครั้งนั้นกิตติศัพท์ก็เลื่องลือไปทั้งสี่ทิศ บรรดาหัวเมืองทั้งปวงรักใคร่กลัวเกรงสติปัญญาเจ๋ฮวนก๋ง วันหนึ่งเจ๋ฮวนก๋งชวนขุนนางและทหารทั้งปวงไปเที่ยวยิงสัตว์เล่นในป่า เจ๋ฮวนก๋งขี่รถซูเตียวเป็นคนขับรถ มาถึงตำบลป่าไตเต๊ก เจ๋ฮวนก๋งแลไปเห็นสัตว์สิ่งหนึ่งประหลาด รูปพรรณเหมือนงูยาวเท่ากูบเกวียน โตประมาณเท่ากงเกวียน เจ๋ฮวนก๋งตกใจกลัว ซูเตียวจึงถามว่าท่านเห็นสิ่งใดหรือ เจ๋ฮวนก๋งจึงบอกว่า เห็นของประหลาดจะดีและร้ายมิได้แจ้ง เราคิดวิตกนักจะกลับไปเมืองถามกวนต๋งดูให้รู้ว่าชั่วและดีก่อน ซูเตียวได้ฟังดังนั้นรู้ว่าเจ๋ฮวนก๋งนับถือกวนต๋ง ซูเตียวจึงว่า กวนต๋งมิใช่โหรจะทำนายร้ายดีได้หรือ เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า เมี่อยกทัพไปตีเมืองเกาเต๊ก กวนต๋งก็ได้เคยทำนายถูกไว้ครั้งหนึ่ง เจ๋ฮวนก๋งให้ขับรถเข้าเมือง พอเวลาคํ่าไม่มีความสบายจะนอนก็มิหลับให้ระส่ำระสายนัก หลับตาลงเห็นรูปสัตว์สิ่งนั้นติดตาอยู่

กวนต๋งรู้ว่าเจ๋ฮวนก๋งกลับมาแต่ป่าป่วยลง ก็พาขุนนางเข้าไปเยี่ยมเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งแลเห็นกวนต๋งก็พยักหน้าเรียกเข้าไปให้ใกล้แล้วจึงบอกว่า วานนี้เราไปเล่นป่าเห็นนิมิตอย่างหนึ่งประหลาดจะเป็นสิ่งใดท่านช่วยพิเคราะห์ดูดีและร้าย กวนต๋งได้ฟังดังนั้นไม่รู้จัก จึงว่าข้าพเจ้าจะขอไปตรึกตรองดูก่อน เจ๋ฮวนก๋งเห็นกวนต๋งทำนายนิมิตมิได้ดังนั้นก็ยิ่งมีความวิตกมากขึ้นกว่าเก่า กวนต๋งก็กลับไปบ้านจึงเขียนหนังสือไปปิดไว้ทุกประตูเมือง ในหนังสือนั้นว่าเจ๋ฮวนก๋งออกไปเที่ยวเล่นป่าเห็นนิมิตสิ่งหนึ่งประหลาดนัก กลับมาถึงเมืองก็ป่วยลงหามีผู้ใดที่จะแก้ไขได้ไม่ ถ้ามีผู้รู้ในนิมิตอันนี้แล้ว เราจะให้เงินทองเป็นอันมาก

ขณะนั้นเลาหองจูเป็นคนชาวนาสูงอายุ เดินเข้ามาในเมืองเห็นหนังสือซึ่งกวนต๋งปิดประตูเมืองไว้นั้น ก็เข้าไปอ่านดูได้ความแล้วก็ตรงมาบ้านกวนต๋ง กวนต๋งก็ออกมาต้อนรับเข้าไปนั่งที่อันสมควร เลาหองจูคำนับแล้วจึงถามกวนต๋งว่า เจ้าเมืองเจ๋ไปเที่ยวเล่นป่าไตเต๊กเห็นนิมิตมาหรือ กวนต๋งก็รับคำแล้วจึงว่า นิมิตอย่างนี้เคยเห็นมาอย่างไรบ้าง เลาหองจูจึงว่า นิมิตอันนี้ลึกซึ้งนัก ถ้าท่านจะให้ข้าพเจ้าทำนายแล้ว จงพาข้าพเจ้าเข้าไปหาเจ๋ฮวนก๋งก่อนจึงจะทำนายได้ กวนต๋งได้ฟังมีความยินดีนัก จึงพาเลาหองจูเข้าไปหาเจ๋ฮวนก๋ง เห็นซูเตียวถือถ้วยยายืนข้างๆ กวนต๋งจึงไปบอกแก่เจ๋ฮวนก๋งว่า เลาหองจูมาจะทำนายนิมิตของท่าน ข้าพเจ้าก็พาเอาตัวมาด้วยแล้ว เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังก็ให้เรียกเลาหองจูเข้าไปถึงที่นอน เห็นเลาหองจูเป็นคนชาวบ้านนอกขึ้นใจนักก็นึกประมาทหมายว่าเลาหองจูจะทำนาย เลาหองจูจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนรู้น้อย จะขอทำนายไปตามสติปัญญาซึ่งได้รู้เห็น เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า ของที่เห็นในป่าไตเต๊กนั้นจะเป็นสิ่งใดดีหรือรัาย

เลาหองจูจึงว่า ซึ่งท่านเห็นนิมิตในป่าไตเต๊กนั้นชื่ออุยจัว ตัวลายโตเท่ากงเกวียน ยาวเท่ากูบเกวียน ศีรษะแดง ถ้าได้ยินเสียงล้อและเกวียนแล้วก็ชูศีรษะขึ้นดู สัตว์นี้ประเสริฐนัก ต่อเมื่อใดผู้มีบุญญาธิการมากจึงได้เห็น ซึ่งท่านเจ็บทั้งนี้มิใช่เป็นด้วยโรค ป่วยเพราะมีความวิตกด้วยเห็นนิมิตประหลาด เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังเลาหองจูว่าดังนั้นก็สิ้นความวิตกยืนขึ้นได้ในขณะนั้น จึงสรรเสริญเลาหองจูว่า ท่านนี้มีสติปัญญาหาผู้ใดเสมอมิได้ ทำนายมาครั้งนี้ก็ถูกต้องเหมือนเราเห็นทุกประการ สมควรที่จะเป็นขุนนางอยู่ในเมืองของเราได้ ท่านจงอยู่ด้วยเราเถิด เราจะชุบเลี้ยงสนองความชอบท่านให้ถึงขนาด เลาหองจูจึงว่า ซึ่งท่านจะแต่งตั้งชุบเลี้ยงข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าขอบใจนัก แต่ข้าพเจ้าเจียมตัวด้วยเป็นคนบ้านนอกไม่รู้จักขนบธรรมเนียม ไพร่บ้านพลเมืองจะติเตียนนินทาได้ ข้าพเจ้าขอลาท่านไปอยู่ ณ บ้านข้าพเจ้าตามภูมิลำเนา ขอพึ่งแต่บุญท่านไปกว่าจะสิ้นชีวิต เจ๋ฮวนก๋งเห็นเลาหองจูไม่ยอมอยู่ ก็ให้เงินทองเสื้อผ้าแก่เลาหองจูเป็นอันมาก เลาหองจูก็คำนับรับคำเอาสิ่งของทั้งปวงแล้วก็ลากลับไป กวนต๋งซึ่งเป็นผู้พาเลาหองจูมานั้นก็พลอยได้บำเหน็จรางวัลด้วย ซูเตียวเห็นจึงว่าแก่เจ๋ฮวนก๋งว่า นิมิตอันนี้กวนต๋งหาทำนายได้ไม่ ทำไมท่านจึงให้รางวัลแก่กวนต๋งด้วยเล่า เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า ซึ่งได้ตัวเลาหองจูมาทำนายก็เพราะกวนต๋ง เราจึงให้รางวัลกวนต๋งด้วย ซูเตียวเห็นเจ๋ฮวนก๋งยกบุญคุณกวนต๋งดังนั้นมิรู้ที่จะตอบได้ประการใดก็นิ่งอยู่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ