๙๒

ฝ่ายจิ๋นบุนอ๋องตั้งแต่ได้เป็นเจ้าเมืองก็ให้เกลี้ยกล่อมคนที่มีกำลังมาซ้อมหัดไว้เป็นอันมาก แต่ฝีมือยังหาถึงโฮเฮกกับยิมผีไม่ ก็ให้เพิ่มเงินเดือนทหารทั้งสองมากขึ้นกว่าทหารทั้งปวง ขณะนั้นมีทหารผู้หนึ่งชื่อเบ้งผุนอยู่ในแดนเมืองเจ๋เป็นคนมีกำลัง แม้นโกรธผู้ใดแล้วก็ตวาดด้วยเสียงอันดังเหมือนฟ้าร้อง อยู่มาวันหนึ่งเบ้งผุนไปเที่ยวเล่นนอกทุ่ง เห็นกระบือสองตัวชนกันอยู่ก็เข้าไปใกล้จึงจับเท้ากระบือลากออกมาเสียตัวหนึ่ง แต่อีกตัวหนึ่งกลับวิ่งเข้าขวิดเอา เบ้งผุนก็จับเอาเขากระบือลากมาด้วยกำลัง เขาก็หลุดออกมา กระบือนั้นก็ล้มลงตาย เมื่อขณะเบ้งผุนสู้กับควายนั้นคนชาวนาก็ดูเป็นอันมาก กิตติศัพท์ก็รู้ทั่วไปแก่ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวง ขณะนั้นเบ้งผุนรู้กิตติศัพท์ว่าเจ้าเมืองจิ๋นรักใคร่ทหารที่มีกำลังและฝีมือไปเที่ยวเกลี้ยกล่อมสืบเสาะ อยากจะใคร่เป็นขุนนางก็ไปจากเมืองเจ๋ ถึงท่าเรือจ้างเห็นหญิงชายชาวเมืองข้ามไปมาอยู่ก็วิ่งแหวกคนลงไปยังเรือ คนทั้งปวงหารู้จักไม่ ชายผู้หนึ่งเอามือตบศีรษะเบ้งผุนลงแล้วว่า เองทำกิริยาเหมือนเบ้งผุนทีเดียว เบ้งผุนได้ฟังดังนั้นก็โกรธมิได้ว่าประการใด แล้วเอาเท้าถีบตลิ่งเข้าเรือก็แล่นข้ามไปถึงฟาก คนทั้งปวงเห็นดังนั้นต่างคนต่างก็แลดูอยู่ เบ้งผุนก็ขึ้นจากเรือเดินเข้าไปในเมือง จึงเข้าไปคำนับจิ๋นบุนอ๋องแล้วแจ้งความว่า ข้าพเจ้าจะมาทำราชการอยู่ด้วยท่าน จิ๋นบุนอ๋องมีความยินดีนักจึงตั้งให้เบ้งผุนเป็นทหารแล้วให้ที่บ้านกับเงินทองเป็นอันมาก

ขณะนั้นพระเจ้าจิวอันอ๋องอยู่ในราชสมบัติได้สิบหกปี จิ๋นบุนอ๋องได้เป็นเจ้าเมืองจิ๋นสองปีจึงนึกว่าหัวเมืองทั้งปวงมีเสียงก๊กอันเมืองเราหามีเสียงก๊กไม่ จำจะให้กำโบกับงกลีเจ๊กเป็นเสียงก๊กซ้ายขวาจึงจะชอบ ก็ตั้งกำโบเป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายพลเรือน งกลีเจ๊กเป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายทหาร งุยเจียงน้อยใจด้วยมิได้เป็นเสียงก๊กก็หนีไปอยู่เมืองงุย จิ๋นบุนอ๋องนึกถึงคำเตียวหงีว่าไว้ จึงปรึกษากับงกลีเจ๊กว่า อันตัวเรานี้เกิดในเมืองเล็กน้อยหาได้เห็นเมืองหลวงไม่ ถ้าได้เห็นเมืองหลวงแล้วถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต อันทางจะไปเมืองหลวงนั้น เมืองหันอยู่ต้นทาง ถ้าตีเมืองหันได้แล้วจึงจะเข้าเมืองหลวงได้โดยสะดวก จะคิดอ่านประการใดจึงจะตีเมืองหันได้

งกลีเจ๊กจึงว่า ท่านจะยกไปตีเมืองหันนั้นก็กีดอยู่ด้วยเมืองยีเอียง อันเมืองยีเอียงนั้นเป็นเมืองขึ้นกับเมืองหัน แล้วก็เป็นทางร่วมกับเมืองเตียวเมืองงุยด้วย ถ้ายกไปตีเมืองยีเอียงแล้ว เมืองเตียวกับเมืองหันเมืองงุย ก็จะยกทัพมาช่วยป้องกันไว้ ข้าพเจ้าเห็นจะไม่สำเร็จ จิ๋นบุนอ๋องจึงปรึกษากำโบว่าท่านจะเห็นประการใด กำโบจึงว่าถ้าจะตีเมืองหันนั้นข้าพเจ้าจะขออาสาไปพูดจาเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองงุยให้เป็นใจด้วยจึงจะตีเมืองหันได้ จิ๋นบุนอ๋องก็เห็นด้วย จึงให้กำโบไปเมืองงุย กำโบก็คำนับลาไปเมืองงุย ครั้นมาถึงก็เข้าไปคำนับเจ้าเมืองงุยแล้วแจ้งความว่าจิ๋นบุนอ๋องให้ข้าพเจ้ามาขอกองทัพท่านไปช่วยตีเมืองหัน เมืองงุยกับเมืองจิ๋นจะได้เป็นไมตรีสืบไป งุยอายอ๋องเห็นชอบด้วย จึงว่าถ้าเมืองจิ๋นยกมาเมื่อใดเราจึงจะยกไป กำโบก็คำนับลามาถึงตำบลเซกย้งนอกเมืองจิ๋นหยุดอยู่ จึงคิดว่างกลีเจ๊กกับเราเป็นคนหาชอบไม่ กลัวงกลีเจ๊กจะว่ากล่าวยุยงจิ๋นบุนอ๋องมิให้ยกไปตีเมืองหัน จึงให้ยงซิวเข้าไปในเมืองแจ้งความกับจิ๋นบุนอ๋อง ยงซิวก็คำนับลาไปหาจิ๋นบุนอ๋องแล้วบอกความว่า กำโบนายข้าพเจ้าไปพูดจากับงุยอายอ๋อง งุยอายอ๋องว่าจะยกกองทัพมาช่วย บัดนี้นายข้าพเจ้าหยุดอยู่ที่ตำบลเซกย้ง ใช้ให้ข้าพเจ้ามาบอกท่านว่าอย่าให้ท่านยกไปตีเมืองหันเลย

จิ๋นบุนอ๋องได้ฟังดังนั้นนึกสงสัยอยู่ จึงออกไปหากำโบที่ตำบลเซกย้ง จึงถามกำโบว่าท่านไปว่ากล่าวเจ้าเมืองงุยก็ยอมแล้ว เหตุใดท่านห้ามมิให้ไปตีเมืองหันเล่า กำโบจึงว่าอันเมืองหันนั้นหนทางก็ไกลถึงพันลี้กันดารนัก อันการศึกครั้งนี้นับปีจึงจะสำเร็จ ข้าพเจ้ามีความอยู่ข้อหนึ่งจะเล่าให้ท่านฟังว่า ยังมีแม่หญิงมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเจงฉำ มีคนผู้หนึ่งชื่อเดียวกับเจงฉำไปตีคนตาย ชาวบ้านมาบอกมารดาเจงฉำว่าบุตรไปตีคนตาย มารดาก็หาเชื่อไม่นั่งทอผ้าเฉยอยู่ มีคนมาร้องบอกอีกก็หาเชื่อไม่ ประมาณสักครู่หนึ่งมีคนมาบอกอีก มารดาเจงฉำจึงว่าบุตรเราเป็นคนดี เหตุใดจึงจะฆ่าคนตายเล่า คนผู้นั้นก็บอกว่าเจงฉำบุตรท่านแน่แล้ว มารดาเจงฉำก็ตกใจทิ้งกระสวยวิ่งหนีไป ข้าพเจ้าจะไปทำศึกครั้งนี้ อุปมาเหมือนเจงฉำ ตัวท่านเหมือนมารดา ที่คนจะมากล่าวโทษนั้นมากกว่าสามคนอีก ท่านจะทิ้งกระสวยหาทันไม่

จิ๋นบุนอ๋องจึงว่า ตั้งแต่วันนี้ไปเรามิได้เชื่อคำผู้ใดอีกแล้ว ถ้าท่านยังแคลงเราอยู่จะทำหนังสือสัญญาให้แก่ท่านใบหนึ่ง แล้วก็เขียนหนังสือส่งให้เป็นสำคัญ ท่านจงเป็นแม่ทัพ เอียงซิวเป็นปลัดทัพคุมทหารห้าหมื่นยกไปตีเมืองยีเอียง กำโบก็คำนับลาไป ครั้นถึงเมืองยีเอียงก็ให้ทหารเข้าตีเมืองเป็นหลายครั้งหาได้ไม่ ก็ให้ตั้งล้อมเมืองไว้ถึงห้าเดือน

ฝ่ายงกลีเจ๊กจึงเข้าไปว่ากล่าวกับจิ๋นบุนอ๋อง ซึ่งกำโบไปครั้งนี้เห็นทหารในกองทัพคงจะแก่ตายเสียหาได้เมืองยีเอียงไม่ จิ๋นบุนอ๋องเห็นชอบด้วยจึงให้คนถือหนังสือไปให้กำโบใบหนึ่งเป็นใจความว่าให้เลิกทัพกลับมาเถิด ซึ่งจะตั้งล้อมอยู่นั้นป่วยการทหารและเสบียงนัก แล้วสั่งให้คนใช้ถือไปให้กำโบ กำโบครั้นแจ้งในหนังสือแล้ว ก็เขียนหนังสือสองตัวว่า เซกย้ง แล้วเอาเข้าผนึกส่งให้คนถือไปให้จิ๋นบุนอ๋อง จิ๋นบุนอ๋องฉีกผนึกออกเห็นมีหนังสืออยู่สองตัวว่าเซกย้งก็นิ่งอยู่เป็นครู่ด้วยมิได้รู้ว่าเรื่องไร แล้วนึกขึ้นได้ถึงทำหนังสือทานบนให้ไว้กับกำโบใบหนึ่งคิดว่าเราผิดเอง จึงสั่งให้โฮเฮกคุมทหารห้าหมื่นยกไปช่วยกำโบตีเอาเมืองยีเอียงให้จงได้ โฮเฮกก็คำนับลายกทหารไปช่วยกำโบ

ฝ่ายหันอ๋องเจ้าเมืองหันแจ้งว่าเมืองจิ๋นให้ทหารมาตีเมืองยีเอียง ก็ให้กองซกเอ๋งคุมทหารไปช่วยเมืองยีเอียง กองซกเอ๋งก็คำนับลาพาทหารไปตั้งรับอยู่นอกกำแพงเมือง เมื่อขณะโฮเฮกยกมาถึงนั้นก็เข้าไปคำนับกำโบแล้วบอกว่า จิ๋นบุนอ๋องให้ข้าพเจ้ามาช่วยทำศึก ข้าพเจ้าจะขอออกรบลองกำลังทหารเมืองยีเอียงสักพักหนึ่ง กำโบก็ยอมให้ไป โฮเฮกลามาขึ้นเกวียนถือทวนหนักแปดสิบชั่ง ขับทหารเข้าระดมตีค่ายกองซกเอ๋งฆ่าฟันทหารตายเป็นอันมาก กองซกเอ๋งเห็นจะต้านทานมิได้ก็พาทหารหนี กำโบกับเอียงซิวก็ยกทหารหนุนเข้าไปจนถึงเชิงกำแพงเมืองยีเอียง โฮเฮกโดดขึ้นไปยึดเอาเสมาๆ ทนมิได้ก็หัก โฮเฮกพลัดลงมาอกแตกตาย กำโบกับเอียงซิวยกทหารแหกประตูเมืองเข้าไปได้ ไล่ฆ่าฟันทหารในเมืองล้มตายเป็นอันมาก กำโบตั้งอยู่ในเมืองยีเอียง จึงแต่งหนังสือไปแจ้งข้อราชการกับจิ๋นบุนอ๋องทุกประการ

ฝ่ายหันอ๋องเจ้าเมืองหันรู้ว่าเมืองยีเอียงเสียแก่ข้าศึกก็ตกใจ จึงให้กงตงชีเป็นที่เสียงก๊ก คุมเครื่องบรรณาการไปขอเป็นไมตรีกับเมืองจิ๋น จิ๋นบุนอ๋องแจ้งดังนั้นก็ยินดีนัก จึงให้คนใช้ไปบอกกำโบให้ยกกองทัพกลับมาเมือง คนใช้ก็ลาไปแจ้งความกับกำโบทุกประการ กำโบครั้นแจ้งดังนั้นก็ให้เอียงซิวอยู่รักษาเมืองยีเอียงแล้วก็ยกทัพกลับมาถึงเมืองจิ๋น เข้าไปคำนับจิ๋นบุนอ๋องแล้วแจ้งความตามซึ่งได้รบกับทหารเมืองยีเอียงจนโฮเฮกตายให้จิ๋นบุนอ๋องฟังทุกประการ

จิ๋นบุนอ๋องได้แจ้งดังนั้นก็เสียดายโฮเฮกนักร้องไห้รักเป็นอันมาก แล้วจึงสั่งงกลีเจ๊กให้จัดแจงทหารจะยกไปเมืองหลวง ท่านจงเป็นแม่ทัพหน้านำทางไป งกลีเจ๊กมาจัดแจงทแกล้วทหารเสร็จแล้วก็ยกกองทัพไป จิ๋นบุนอ๋องให้เบ้งผุนเป็นปีกขวา ยิมผีเป็นปีกซ้าย แล้วยกตามงกลีเจ๊กไป

ฝ่ายพระเจ้าจิวอันอ๋องรู้ว่าจิ๋นบุนอ๋องยกมาก็ให้ขุนนางออกไปคอยรับอยู่นอกเมือง ครั้นจิ๋นบุนอ๋องมาถึง ขุนนางทั้งปวงชิงออกไปคอยรับอยู่นั้นก็เชิญจิ๋นบุนอ๋องเข้าไปในเมืองหลวง แล้วให้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าจิวอันอ๋อง พระเจ้าจิวอันอ๋องก็ให้จัดแจงที่นั่งเหมือนกับที่กษัตริย์ จิ๋นบุนอ๋องก็หาอาจนั่งลงได้ไม่ แลดูทั่วไปทั้งที่ว่าราชการ เห็นกระทะทองวางอยู่บนเตียงริมหอไทเบี้ยวก็เดินไปดู อันกระทะทองทั้งเก้าใบนี้พระเจ้าจิวบู๊อ๋องเกณฑ์เอาทองคำที่เมืองเปียนหนึ่ง เมืองเหลียงหนึ่งเมืองย้งหนึ่ง เมืองอิวหนึ่ง เมืองซิวหนึ่ง เมืองเอี๋ยงหนึ่ง เมืองแชหนึ่ง เมืองเอี๋ยนหนึ่ง เมืองกี๋หนึ่ง เก้าหัวเมืองมาทำเป็นกิวเตงไว้สำหรับเมือง แล้วจารึกชื่อไว้ที่กิวเตงทุกใบว่า เปียนหนึ่ง เหลียงหนึ่ง ย้งหนึ่ง อิวหนึ่ง ซิวหนึ่ง เอี๋ยงหนึ่ง แชหนึ่ง เอี๋ยนหนึ่ง กี๋หนึ่ง จิ๋นบุนอ๋องเห็นดังนั้นจึงว่า อันใบที่ชื่อย้งนั้นสำหรับเมืองจิ๋น ควรเราจะเอาไปไว้ในเมืองจิ๋นจึงจะชอบ แล้วก็เดินไปถามผู้รักษากระทะนั้นว่า ใครยกขึ้นได้บ้าง ผู้รักษากระทะจึงบอกว่า ตั้งแต่ข้าพเจ้ารักษาอยู่นั้นยังหามีใครยกไหวไม่ แต่ได้ยินเขาว่าหนักถึงพันชั่ง จิ๋นบุนอ๋องจึงถามยิมผีกับเบ้งผุนว่า ท่านทั้งสองมีกำลังจะยกได้หรือมิได้ ยิมผีจึงนึกว่าอันใจจิ๋นบุนอ๋องนี้เป็นคนมีกำลัง อยากแต่จะให้ทหารลองกำลัง หานึกว่าของหนักและเบาไม่ จึงบอกว่าข้าพเจ้ายกได้แต่ร้อยชั่งเท่านั้น ซึ่งจะยกกิวเตงหนักถึงพันชั่งข้าพเจ้ายกหาไหวไม่ เบ้งผุนจึงว่าข้าพเจ้าจะลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวท่านอย่าได้เอาโทษกับข้าพเจ้าเลย แล้วเอาเชือกผูกหูกระทะเข้าสองข้าง เอาบ่าใส่เข้าในห่วงเชือกแล้วดันขึ้นด้วยกำลัง กระทะทองก็เขยื้อนขึ้นพ้นพื้นประมาณคืบหนึ่งแล้วก็วางลงเสียอย่างเดิม

จิ๋นบุนอ๋องหัวเราะแล้วว่า วันนี้ท่านเหนื่อยนักต้องยกกระทะทองขึ้นพ้นจากพื้นถึงคืบหนึ่ง เห็นเราจะสู้ท่านไม่ได้แต่จะลองยกดูบ้าง ยิมผีจึงว่า ท่านเป็นเจ้าเมืองใหญ่ จะมายกกระทะนี้หาควรไม่ จิ๋นบุนอ๋องก็นิ่งเสียมิได้ว่าประการใด จึงเข้าไปจะยกกระทะ ยิมผีก็ยุดเอามือเสื้อไว้แล้วห้ามว่าท่านอย่ายกเลย จิ๋นบุนอ๋องก็โกรธแล้วว่า ท่านจะยกก็มิได้ ครั้นเราจะยกบ้างท่านก็ห้ามไว้เหมือนหนึ่งหาเต็มใจให้เอากระทะไปไว้เมืองจิ๋นไม่ ยิมผีเห็นจิ๋นบุนอ๋องโกรธก็มิได้ว่าประการใดนิ่งดูอยู่ จิ๋นบุนอ๋องเอาเชือกคล้องบ่าเข้าแล้ว คิดว่าเบ้งผุนยังยกขึ้นได้เราก็คงยกขึ้นให้ได้ จึงจะเรียกว่าคนมีกำลัง แล้วก็ยกขึ้นได้เท่าเบ้งผุน พอเดินไปก็สิ้นกำลัง เชือกที่บ่านั้นก็หลุดลงจากบ่า กระทะก็ทับเอาขาจิ๋นบุนอ๋องกระดูกละเอียดไปข้างหนึ่ง จิ๋นบุนอ๋องร้องขึ้นว่าเจ็บเหลือทนก็สลบไป ทหารจิ๋นบุนอ๋องตกใจ ต่างคนก็วิ่งเข้าพยุงยกจิ๋นบุนอ๋องไปไว้กงก๊วน เลือดไหลหาหยุดไม่ ครั้นจิ๋นบุนอ๋องฟื้นขึ้นก็ร้องว่าเจ็บหนักๆ จนขาดใจตาย พระเจ้าจิวอันอ๋องก็ให้ต่อหีบไม้หอมใส่ศพจิ๋นบุนอ๋องแล้วให้งกลีเจ๊กนำศพกลับไปเมือง งกลีเจ๊กก็คำนับลามาจัดแจงเอาศพจิ๋นบุนอ๋องใส่เกวียน ก็รีบกลับไปเมืองจิ๋นจัดแจงฝังศพไว้ตามที่เจ้าเมืองเสร็จแล้ว จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า จิ๋นบุนอ๋องหามีบุตรไม่ เราจะยกสมบัติให้กับอวงเจ๊กผู้น้องจิ๋นบุนอ๋อง ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงก็ยอมพร้อมกัน งกลีเจ๊กก็พาขุนนางไปที่บ้านอวงเจ๊กคำนับเชิญให้มาเป็นเจ้าเมืองจิ๋น ชื่อเจียวเสียงอ๋อง งกลีเจ๊กก็ให้ปรึกษาโทษเบ้งผุนว่า ซึ่งให้เจ้าเมืองไปยกกระทะจนกระทะทับขาเจ้าเมืองหักตาย โทษก็ผิดอยู่ จึงสั่งให้ทหารเอาตัวเบ้งผุนกับบุตรภรรยาไปฆ่าเสีย แล้วว่ายิมผีได้ห้ามปรามความชอบก็มีอยู่ จึงตั้งให้เป็นหันก๋งไทสือสำหรับว่าความหัวเมืองทั้งปวงซึ่งขึ้นกับเมืองจิ๋น แล้วจึงว่าอันคนซึ่งไปตีเมืองยีเอียงนั้นก็มีโทษอยู่ควรจะให้ฆ่าเสีย กิตติศัพท์รู้ไปถึงกำโบ กำโบก็ตกใจอพยพหนีไปทำมาหากินอยู่เมืองงุยได้ประมาณปีหนึ่งก็ตาย

เจียวเสียงอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นออกว่าราชการ จึงปรึกษาด้วยงกลีเจ๊กว่า เมืองฌ้อกับเมืองเจ๋เป็นไมตรีกันเห็นจะยกทัพมาตีเมืองเราเป็นมั่นคง เราคิดว่าจะให้ท่านยกไปตีเมืองฌ้อเสียก่อนอย่าให้ทันเจ้าเมืองทั้งสองมาตีเมืองเราเลย ท่านจะเห็นประการใด งกลีเจ๊กจึงว่า ซึ่งท่านจะใช้ข้าพเจ้ายกไปตีเมืองฌ้อนั้นก็ควรอยู่ แล้วคำนับลามาจัดทหารได้สองหมื่นเศษก็รีบยกทหารไป

ฝ่ายหัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองฌ้อนั้น ครั้นรู้ข่าวศึกยกมาก็ให้มีหนังสือบอกข้อราชการศึกไปยังเมืองฌ้อ ขุนนางก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งกับเจ้าเมืองฌ้อทุกประการ ฌ้อโหยอ๋องแจ้งดังนั้นจึงให้เกงเจียวคว่วยคุมทหารหมื่นหนึ่ง รีบยกออกไปตั้งรับทัพเมืองจิ๋นไว้อย่าให้ล่วงแดนเข้ามาได้ เกงเจียวคว่วยก็คำนับลาออกมาจัดแจงทหารแล้วก็ยกไปตั้งอยู่ที่ด่านเมืองฌ้อ งกลีเจ๊กครั้นยกมาถึงด่านเมืองฌ้อก็ให้ทหารยกเข้าตีด่านเป็นหลายครั้งหาได้ด่านไม่ จึงให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ แล้วก็ยกทหารออกไปยืนอยู่หน้าค่าย ให้ทหารเข้าไปร้องท้าทาย เกงเจียวคว่วยโกรธนักก็เปิดประตูด่านพาทหารออกไปด้วยกำลังโทโส ก็ขับเกวียนเข้ารบกับงกลีเจ๊กได้สิบเพลง งกลีเจ๊กก็เอากระบี่ฟันถูกเกงเจียวคว่วยตัวขาดสองท่อนตาย ก็ขับทหารเข้าไล่ฆ่าฟันทหารเกงเจียวคว่วยล้มตายเป็นอันมากแล้วก็เข้าตั้งค่ายอยู่ในด่าน ทหารซึ่งเหลือตายอยู่นั้นก็รีบหนีไปเมืองฌ้อเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ฌ้อโหยอ๋องทุกประการ

ฌ้อโหยอ๋องแจ้งความดังนั้นก็ตกใจ จึงให้เกณฑ์กองทัพหัวเมืองไปตั้งป้องกันไว้ให้มั่นคง งกลีเจ๊กครั้นเห็นกองทัพเมืองฌ้อมารักษาเมืองไว้จะหักเอามิได้ ก็ให้ม้าใช้รีบไปแจ้งความตามซึ่งได้รบกันทุกประการ ม้าใช้คำนับลาไปเมืองจิ๋น จึงเอาเนื้อความไปบอกกับขุนนางผู้ใหญ่ ให้เอาข้อความขึ้นแจ้งกับเจียวเสียงอ๋อง ขุนนางผู้ใหญ่ก็พาม้าใช้เข้าไปคำนับ แล้วก็แจ้งข้อราชการกับเจียวเสียงอ๋องทุกประการ เจียวเสียงอ๋องจึงคิดว่า อันธรรมดาจะทำศึกนั้น แม้นมิได้ด้วยฝีมือก็ให้เอาด้วยกลอุบายจึงจะได้ แล้วจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งเสร็จแล้วเข้าผนึกส่งให้ม้าใช้ถือไปให้ฌ้อโหยอ๋อง ม้าใช้ก็คำนับลาไป ครั้นถึงเมืองฌ้อก็เข้าไปบอกกับนายประตูว่า เราถือหนังสือมาแต่เมืองจิ๋นจะเข้าไปคำนับเจ้าเมือง นายประตูก็เอาเนื้อความไปแจ้งกับฌ้อโหยอ๋อง ฌ้อโหยอ๋องก็ให้รับเข้ามาแล้วเอาหนังสือมาฉีกผนึกออกอ่านเป็นใจความว่า เจียวเสียงอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นแจ้งว่าฌ้อโหยอ๋องตัดไมตรีเราเสีย กลับไปเป็นไมตรีกับเมืองเจ๋ เราจึงให้งกลีเจ๊กมาตีเมืองฌ้ออย่างนี้ มิใช่จะประสงค์ตรงเมืองฌ้อและหัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองฌ้อนั้นมาเป็นอาณาประโยชน์แก่เราก็หามิได้ เพราะขัดใจท่านหาอยู่ในสัตย์สุจริตไม่ ไปเป็นไมตรีกับเมืองเจ๋ ถ้าแม้นจะให้กองทัพกลับมาแล้วท่านจงมาที่ตำบลบูก๊วน ทำสัตย์สาบานเป็นไมตรีดังเดิมมา เราจึงจะคืนที่ซึ่งตีไว้ให้กับท่าน ถ้ามิเป็นไมตรีกับเรา เราก็หาให้กองทัพยกกลับไปไม่ จะตั้งทำศึกอยู่กับท่านไปกว่าจะถึงแพ้ชนะกัน

ฌ้อโหยอ๋องแจ้งในหนังสือดังนั้น ก็ปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงว่า เจียวเสียงอ๋องให้มาชวนเราออกไปทำความสัตย์ที่ตำบลบูก๊วนนั้น ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด คุดหงวนจึงตอบว่า แต่ก่อนนั้นเจ้าเมืองจิ๋นก็ข่มเหงเมืองเราเป็นหลายครั้งท่านก็สู้หาได้ไม่ ท่านจะไปเมืองจิ๋นครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าจะหาได้กลับมาเมืองฌ้อไม่ เจียวเสียงอ๋องคงเอาตัวท่านไว้

ขณะนั้นเสียงก๊กเจียวจุยจึงว่า คุดหงวนห้ามท่านครั้งนี้ดีนัก ข้าพเจ้าเห็นด้วย ท่านอย่าไปเมืองจิ๋นเลย จงคิดอ่านให้ทแกล้วทหารรักษาบ้านเมืองไว้ให้มั่นคงเถิด มีขุนนางคนหนึ่งชื่อคีเสียง จึงว่ากับฌ้อโหยอ๋องว่า คุดหงวน เจียวจุย ขุนนางทั้งสองคนว่านั้นจะเชื่อฟังมิได้ ด้วยแต่ก่อนนั้นเจียวเสียงอ๋องก็ข่มเหงท่าน ท่านก็สู้ไม่ได้เป็นหลายครั้งจนเสียทแกล้วทหารเป็นอันมาก บัดนี้เจียวเสียงอ๋องมีหนังสือมาให้ท่านไปเป็นไมตรีกัน ท่านจะมาเชื่อฟังคนทั้งสองทัดทานดังนั้นหาควรไม่ ถ้าเจียวเสียงอ๋องรู้โกรธยกทัพมาท่านจะคิดอ่านเป็นประการใด กงจูลันบุตรฌ้อโหยอ๋องจึงว่า แต่ก่อนนั้นเมืองจิ๋นกับเมืองฌ้อเป็นข้าศึกกันจริงอยู่ แต่บัดนี้บุตรเจ้าเมืองจิ๋นก็มาเป็นภรรยาข้าพเจ้า ชาวเมืองจิ๋นเล่าก็มาได้ครอบครัวอยู่ในเมืองฌ้อ เห็นว่าสิ้นเสี้ยนหนามกันแล้ว ท่านจงยกไปเมืองจิ๋นตามถ้อยคำคีเสียงว่าเถิด

ฌ้อโหยอ๋องได้ฟังกงจูลันกับคีเสียงว่าดังนั้นก็ยังสงสัยอยู่ จึงคิดว่าแต่เราให้เกงเจียวคว่วยยกไปรบกับงกลีเจ๊กที่เมืองจิ๋น สู้งกลีเจ๊กหาได้ไม่ คิดว่ายังจะไม่ไปเมืองจิ๋นก่อน แล้วกลับคิดถอยหลัง กงจูลันกับคีเสียงเห็นดีแล้วเราก็จะไป จึงสั่งคีเสียงให้จัดแจงทแกล้วทหารเสร็จแล้วจึงมอบให้ขุนนางทั้งปวงอยู่รักษาเมืองฌ้อ ฌ้อโหยอ๋องกับคีเสียงก็พาทหารไปเมืองจิ๋น

ฝ่ายเจียวเสียงอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นรู้ ก็ให้กงจูลี้ผู้น้องแต่งตัวเป็นเจ้าเมืองแทน แล้วให้ขึ้นเกวียนพาทหารออกไปรับฌ้อโหยอ๋อง ณ ตำบลบูก๊วน แล้วสั่งให้แปะคี้กับทหารหมื่นหนึ่งซุ่มอยู่ในกำแพงเมืองคอยจับฌ้อโหยอ๋อง จึงใช้ขุนนางผู้หนึ่งชื่อม่องเหงาคุมทหารหมื่นหนึ่งไปอยู่นอกกำแพง ซุ่มอยู่ริมประตูเมือง ด้วยเจียวเสียงอ๋องคิดว่าถ้าแปะคี้จับฌ้อโหยอ๋องเสียทีหนีออกมานอกเมืองได้ ม่องเหงาจะได้ต้อนทหารต้านทานสกัดเอาตัวฌ้อโหยอ๋องไว้ แล้วสั่งทหารคนหนึ่งให้ออกไปพูดจาล่อลวงฌ้อโหยอ๋องเป็นกลอุบายให้เชื่อ ฌ้อโหยอ๋องยกมาถึงบูก๊วน กงจูลี้ก็ใช้ทหารคนหนึ่งไปคำนับบอกว่า เจ้าเมืองจิ๋นมีความยินดีมารับท่าน อยู่ที่ใกล้ประตูเมืองถึงสามวันแล้ว เชิญท่านเข้าไปในเมืองเถิด ครั้นจะให้ท่านหยุดอยู่นอกกำแพงก็หาสมควรไม่

ฌ้อโหยอ๋องได้แจ้งดังนั้น มีความสงสัยว่าแต่แรกสัญญาจะทำสัตย์เป็นไมตรีกันที่นอกกำแพงเมือง บัดนี้ให้เราเข้าไปในเมือง ฌ้อโหยอ๋องคิดว่าเสียทีแล้วก็พาทหารเลยเข้าไปในเมืองจิ๋น ครั้นพ้นประตูได้ยินเสียงประทัดทีหนึ่ง แล้วก็เห็นปิดประตูเมืองเสีย ฌ้อโหยอ๋องเห็นดังนั้นก็สงสัยจึงถามทหารที่กงจูลี้ใช้มานั้นว่า ทำไมจึงปิดประตูเสียเล่า ทหารผู้นั้นจึงตอบว่าธรรมดาเมืองจิ๋นนี้ ถ้าเจ้าเมืองอื่นมาถึงแล้วก็ต้องปิดประตูตามธรรมเนียมแต่ก่อนนั้น ฌ้อโหยอ๋องจึงถามว่าบัดนี้จิ๋นเจียวเสียงอ๋องอยู่ที่ตำบลใด ทหารก็แจ้งความว่าเจ้าเมืองจิ๋นคอยท่านอยู่ที่กงก๊วนยังทางประมาณสักสิบเส้น ฌ้อโหยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็พาทหารรีบมาที่หน้ากงก๊วนแล้วหยุดอยู่ที่นั่น

ขณะนั้นกงจูลี้เดินออกมาจากประตูกงก๊วน ฌ้อโหยอ๋องเห็นแต่งตัวเป็นเจ้าเมือง ก็คิดในใจว่าคนผู้นี้รูปร่างยังหาสมควรเป็นเจ้าเมืองไม่ ฌ้อโหยอ๋องก็ยืนอยู่บนเกวียน กงจูลี้ก็มาถึงหน้าเกวียนคำนับแล้วบอกว่าท่านอย่าสงสัยเลย ข้าพเจ้านี้เป็นน้องชายจิ๋นเจียวเสียงอ๋องจะได้เป็นที่เจ้าเมืองหามิได้ ข้าพเจ้าชื่อกงจูลี้ มาเชิญท่านไปพูดจากันในห้องกงก๊วนเถิด ฌ้อโหยอ๋องก็ลงจากเกวียนเดินตามกงจูลี้เข้าไปในกงก๊วน ทหารเมืองจิ๋นซึ่งซุ่มอยู่นั้นก็เข้าล้อมกงก๊วนไว้เป็นหลายชั้น ฌ้อโหยอ๋องเข้าไปข้างในพอจะนั่งลงก็ได้ยินข้างนอกกงก๊วนนั้นเสียงอาวุธกระทบกัน นึกสงสัยอยู่จึงถามกงจูลี้ว่า เดิมท่านว่าเจ้าเมืองจิ๋นจะเป็นไมตรีกับเราให้เราเข้ามาในนี้ ครั้นเข้ามาหาเห็นเจ้าเมืองจิ๋นไม่ เหตุใดทหารท่านจึงมาล้อมกงก๊วนไว้เล่า

กงจูลี้จึงว่าท่านอย่าตกใจเลย เจียวเสียงอ๋องป่วยอยู่ที่เมืองหำเอี๋ยง หมอห้ามมิให้เดินไปมาถึงสามวัน ครั้นจะมิมาให้เหมือนนัดเล่าก็กลัวท่านจะค้างอยู่ แล้วเกรงว่าท่านจะว่าพูดหาจริงไม่ จึงให้ข้าพเจ้ามาคำนับเชิญท่านไปเมืองหำเอี๋ยง ทหารทั้งปวงซึ่งมาอยู่ข้างนอกนั้นจะคอยรับท่านไปเมืองหำเอี๋ยงดอก

ฌ้อโหยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ขึ้นเกวียนกับกงจูลี้พาทหารไป ณ เมืองหำเอี๋ยง แปะคี้ก็ยกทหารติดตามฌ้อโหยอ๋องไปเบื้องหลัง ขณะนั้นคีเสียงเห็นเสียทีเมืองจิ๋นแล้ว ก็หนีฌ้อโหยอ๋องกลับมาเมืองฌ้อ ฌ้อโหยอ๋องอยู่บนเกวียนถอนใจใหญ่คิดเสียนํ้าใจว่า เพราะไม่เชื่อเสียงก๊กเจียวจุยกับคุดหงวนได้ทัดทานแล้ว กลับเชื่อคำคีเสียงกงจูลันสองคนจึงได้ทุกข์ร้อนเป็นอันมาก คิดดังนั้นแล้วก็มีนํ้าตาหลั่งไหลลงทั้งสองข้างว่าเราเสียทีแล้วก็เอาผ้าขาวซับนํ้าตาเสีย ฌ้อโหยอ๋องก็ลงจากเกวียนเดินเข้าไปหาจิ๋นเจียวเสียงอ๋อง ขณะนั้นจิ๋นเจียวเสียงอ๋องกับขุนนางทั้งปวงอยู่พร้อมกันบนเก๋งสูงชื่อเจียไต ฌ้อโหยอ๋องครั้นมาถึงเจียไตเข้าก็ไปหาจิ๋นเจียวเสียงอ๋อง จิ๋นเจียวเสียงอ๋องก็นั่งเฉยเสียหามาต้อนรับคำนับกันตามธรรมเนียมไม่

ฌ้อโหยอ๋องเห็นดังนั้นก็ขัดใจ จึงว่าเราก็เป็นเจ้าเมืองมีบุญเสมอกัน ท่านจะให้เราคำนับแต่ฝ่ายเดียวหรือ ข้อหนึ่งน้องท่านก็เป็นบุตรสะใภ้เรา ท่านให้เรามาที่บูก๊วนว่าจะทำสัจสัญญากันที่นั่น ท่านก็หาออกไปทำไมตรีกับเราเหมือนคำเดิมนั้นไม่ แกล้งทำอุบายว่าเจ็บป่วยอยู่ ครั้นเรามาถึงเจียไตท่านก็หาต้อนรับตามประเพณีเจ้าเมืองต่อเจ้าเมืองทำมาแต่ก่อนไม่ ท่านนี้เป็นคนหาสัตย์ซื่อเหมือนหนังสือที่สัญญาไว้กับเราไม่ ทำข่มเหงว่าเราตกมาถึงเมืองท่าน เรามีความน้อยใจนัก

จิ๋นเจียวเสียงอ๋องได้ฟังฌ้อโหยอ๋องว่าดังนั้นจึงตอบว่า แต่ก่อนท่านว่าจะยกที่งิมต๋งให้เราก็พูดแต่ปากเปล่า หาเหมือนว่ากับเราไว้ไม่ ครั้งนี้เราจึงล่อลวงให้ท่านมา เพราะปรารถนาว่าจะเอาที่งิมต๋ง ถ้าท่านยกให้เราในเวลาเช้า เราก็จะปล่อยให้ท่านไปเมืองในเวลาเย็น ถ้าให้เราเวลาเย็น เราจะให้ท่านไปเวลาเช้า

ฌ้อโหยอ๋องจึงตอบว่า ประเพณีแต่ก่อนมาผู้ที่จะต้องการเอาถิ่นฐานนั้น ชอบแต่พูดจาปราศรัย อ้อนวอนขอกันแต่โดยดีจึงจะควร ซึ่งท่านจะต้องการที่งิมต๋งเมืองเรานั้น เหตุไฉนท่านจึงมิบอกเราแต่ก่อนเล่า ต้องคิดอ่านล่อลวงดังนี้หาต้องด้วยอย่างธรรมเนียมไม่ จิ๋นเจียวเสียงอ๋องจึงว่า ถ้าเราไม่อุบายให้ท่านตกมาในเงื้อมมือก่อนแล้วที่ไหนท่านจะให้ที่งิมต๋ง เราก็จะหาสำเร็จความคิดไม่

ฌ้อโหยอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งที่งิมต๋งนั้นท่านจะเอาเราก็จะยอมให้ ถ้าไม่เชื่อก็จะทำหนังสือสัญญาให้ไว้ฉบับหนึ่ง ท่านจงให้ทหารในเมืองจิ๋นไปกับเราคนหนึ่งเราจะชี้ที่งิมต่งให้ เจียวเสียงอ๋องจึงว่าซึ่งท่านจะชี้ให้แต่ที่เปล่านั้นเราสงสัยอยู่ ด้วยเป็นพื้นแผ่นดินมิใช่สิ่งอันอื่นจะได้หยิบยกมาได้ ถ้าท่านจะให้เป็นแท้แล้วเราจะให้ทหารของเราไปรักษาที่งิมต๋งอยู่ แม้นท่านมิยอมตามถ้อยคำเรา เราก็หาปล่อยให้ไปเมืองฌ้อไม่

ขณะนั้นขุนนางในเมืองจิ๋นต่างคนก็พูดเกลี้ยกล่อมฌ้อโหยอ๋องว่า ท่านจงยกที่งิมต๋งให้เจียวเสียงอ๋องเสียเถิด จะได้กลับไปเมืองฌ้อ ฌ้อโหยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าเจ้านายของท่านล่อลวงเรามาได้ความเจ็บใจนักเราหายอมให้ไม่ ถึงเราจะไม่ได้กลับไปบ้านเมืองก็ตามทีเถิด ถึงเจียวเสียงอ๋องจะฆ่าเสีย เราจะยอมตายแล้ว แต่ที่งิมต๋งนั้นเราไม่ยกให้เลย เจียวเสียงอ๋องได้ฟังคำฌ้อโหยอ๋องว่ามั่นคงดังนั้นก็โกรธ จึงสั่งทหารให้คุมตัวฌ้อโหยอ๋องไว้เมืองหำเอี๋ยงหาปล่อยมาไม่

ฝ่ายคีเสียงเมื่อหนีมาถึงเมืองฌ้อแล้ว ก็เข้าไปแจ้งความให้เสียงก๊กเจียวจุยฟังทุกประการ เสียงก๊กครั้นแจ้งดังนั้นจึงปรึกษากับคีเสียงว่า เราจะคิดอ่านประการใด บัดนี้ไทจูก็ตกไปอยู่ ณ เมืองเจ๋ ฌ้อโหยอ๋องก็ตกไปอยู่เมืองจิ๋น คนทั้งสองก็ยังมีชีวิตอยู่ ครั้นเราจะตั้งกงจูลันขึ้นเป็นเจ้าเมืองฌ้อเล่า ถ้าสืบไปเบื้องหน้าฌ้อโหยอ๋องมาก็จะกล่าวโทษเราได้ว่าเราหาให้ไทจูเป็นเจ้าเมืองไม่ ท่านจะคิดประการใด

คีเสียงได้ฟังเสียงก๊กเจียวจุยว่าดังนั้น จึงว่าข้าพเจ้าครั้งนี้ก็กระทำความผิดอยู่ ซึ่งฌ้อโหยอ๋องต้องไปตกอยู่ในเมืองจิ๋นนั้น เพราะข้าพเจ้าพูดจาให้ฌ้อโหยอ๋องไป บัดนี้ข้าพเจ้าจะขอทำราชการแก้ตัวไปเชิญไทจูซึ่งอยู่ ณ เมืองเจ๋ ให้กลับมาว่าราชการเป็นเจ้าเมืองฌ้อแทนบิดาสืบไป เสียงก๊กเจียวจุยได้ฟังดังนั้นเห็นชอบด้วยจึงยอมตามถ้อยคำคีเสียง คีเสียงก็คำนับเสียงก๊กพาทหารออกจากเมืองฌ้อมาถึงเมืองเจ๋ เข้าไปคำนับเจ๋มินอ๋องเจ้าเมืองเจ๋ แล้วแกล้งพูดเป็นอุบายว่าฌ้อโหยอ๋องถึงแก่ความตาย ไม่มีผู้ใดจะทำศพและว่าราชการเมืองฌ้อไม่ ข้าพเจ้าจะมารับไทจูไปทำศพบิดาแล้วจะตั้งให้เป็นเจ้าเมืองฌ้อแทนฌ้อโหยอ๋อง

ฝ่ายเจ๋มินอ๋องกับเสียงก๊กซันบุนได้ฟังดังนั้น ก็ปรึกษากันว่าบัดนี้เจ้าเมืองฌ้อก็หาชีวิตไม่แล้ว เราอยากจะได้เขตแดนเมืองฌ้อที่ชื่อห้อปักมาเป็นเมืองขึ้นเรา เราจึงจะปล่อยไทจูไปเมืองฌ้อ ท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ เสียงก๊กซันบุนจึงตอบว่า ซึ่งเจ้าเมืองฌ้อนั้นใช่จะมีบุตรแต่ไทจูคนเดียวหามิได้ ถ้าท่านไม่ยอมให้ไทจูไป ขุนนางในเมืองฌ้อก็จะตั้งคนอื่นขึ้นเป็นเจ้าเมือง ประการหนึ่งท่านให้เอาที่ห้อปักมาแลกกับไทจูนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าหามีบุญคุณกับไทจูสืบต่อไปไม่ ราษฎรทั้งปวงจะนินทาได้ ขอให้ท่านปล่อยไทจูไปเถิด ไทจูจะได้นับถือท่านเป็นเจ้าบุญนายคุณสืบต่อไป

เจ๋มินอ๋องได้ฟังเสียงก๊กซันบุ๋นทัดทานดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงให้หาไทจูบุตรเจ้าเมืองฌ้อเข้ามาแล้วจึงว่า ฌ้อโหยอ๋องบิดาท่านสิ้นชีวิตเสียแล้ว ท่านจงกลับไปเมืองฌ้อเถิด ถ้าสืบไปเบื้องหน้าท่านอย่าลืมเราจงคิดถึงบุญคุณเราที่ปล่อยให้ท่านไปเป็นสุข ว่าดังนั้นแล้วก็จัดแจงข้าวของให้ไทจูเป็นอันมาก ไทจูก็มีความยินดีนักจึงตอบว่า ท่านมีพระคุณแก่ข้าพเจ้าครั้งนี้เป็นที่สุด จะหาสิ่งใดมาเปรียบเทียบมิได้แล้ว สืบไปข้างหน้าข้าพเจ้าหาลืมคุณของท่านไม่

แล้วไทจูกับคีเสียงคำนับเจ๋มินอ๋อง รับเอาสิ่งของทั้งปวงเสร็จแล้วก็พาทหารกลับมาถึงเมืองฌ้อ ขุนนางในเมืองฌ้อก็ตั้งไทจูเป็นที่ฮันเสียงอ๋องเจ้าเมืองฌ้อ ครั้นเวลาวันหนึ่งฮันเสียงอ๋องใช้ทหารคนหนึ่งถือหนังสือไปเมืองจิ๋น ทหารคำนับลาแล้วก็รีบไปเมืองจิ๋น ครั้นถึงประตูเมืองจึงบอกนายประตูว่า เราถือหนังสือมาแต่เมืองฌ้อ นายประตูก็นำความไปแจ้งกับเจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องแจ้งดังนั้นแล้วก็ให้รับคนถือหนังสือเข้าไปในเมือง ทหารซึ่งมาแต่เมืองฌ้อก็คำนับแล้วแจ้งความว่า ฮันเสียงอ๋องให้ข้าพเจ้าเอาหนังสือมาให้ท่านฉบับหนึ่ง เจียวเสียงอ๋องได้แจ้งดังนั้นแล้วก็ให้หาขุนนางในเมืองจิ๋นมาประชุมพร้อมกันอยู่ ณ ที่ว่าราชการ แล้วเจียวเสียงอ๋องก็สั่งให้ฉีกหนังสือออกอ่านได้ใจความว่า ซึ่งเจ้าเมืองจิ๋นกักขังเจ้าเมืองฌ้อไว้นั้น ใช่จะไม่มีผู้ว่าราชการเมืองนั้นอย่าสงสัยเลย เทพยดาคงดลใจให้มีคนมีบุญได้สมบัติในเมืองฌ้อสืบไป เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นคิดเสียใจว่า เพราะเราอยากได้ที่งิมต๋งแดนเมืองฌ้อ เราจึงล่อลวงเอาฌ้อโหยอ๋องเจ้าเมืองฌ้อมากักขังไว้ก็หาสมความคิดไม่ เราทำการครั้งนี้เสียทีเปล่าๆ หาประโยชน์มิได้ คิดดังนั้นแล้วก็มีความโกรธฮันเสียงอ๋องเป็นอันมาก จึงสั่งให้แปะคี้เป็นแม่ทัพใหญ่ ม่องเหงาเป็นทัพหน้าคุมทหารสิบหมื่นยกไปตีเมืองฌ้อ แปะคี้กับม่องเหงาก็คำนับลาเจียวเสียงอ๋องยกทัพไปเมืองฌ้อ

ครั้นแปะคี้กับม่องเหงาถึงแดนเมืองฌ้อแล้วก็สั่งให้ตั้งค่ายลงไว้ ฝ่ายขุนนางในเมืองฌ้อรู้ว่าแปะคี้ยกทัพมา ก็นำเอาความไปแจ้งแก่ฌ้อฮันเสียงอ๋อง ฌ้อฮันเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงสั่งขุนนางในเมืองฌ้อคนหนึ่งเป็นแม่ทัพคุมทหารห้าหมื่นยกออกมารับทัพแปะคี้ที่งิมต๋ง แปะคี้กับม่องเหงาก็ยกออกจากค่ายมารบด้วยทหารเมืองฌ้อเป็นสามารถ ทหารเมืองฌ้อต้านทานทัพเมืองจิ๋นมิได้ก็พาทหารล่ากลับเข้ามาในเมืองฌ้อ

ฝ่ายแปะคี้ก็ยกทัพไปเที่ยวตีได้หัวเมืองขึ้นเมืองฌ้อนั้นสิบห้าหัวเมือง แล้วยกทัพกลับคืนไปยังเมืองจิ๋น แปะคี้กับม่วงเหงาก็เข้าไปแจ้งความให้เจียวเสียงอ๋องฟังทุกประการ

ฝ่ายฌ้อโหยอ๋องเมื่อมาตกอยู่ในเมืองจิ๋นครั้งนั้น พวกผู้คุมก็ปล่อยเชิงลามิได้กักขัง ฌ้อโหยอ๋องคิดจะหนีกลับไปเมืองฌ้อ จึงปลอมตัวใส่เสื้อกางเกงให้เหมือนพวกไพร่ในเมืองหำเอี๋ยง เห็นได้ทีก็หนีเล็ดลอดออกมาทางประตูเมืองหำเอี๋ยงข้างทิศตะวันออก ผู้คนเห็นหายไปหลายวันจึงเที่ยวหาตัวฌ้อโหยอ๋องก็หาพบไม่ เห็นแต่เสื้อห้อยอยู่ จึงรู้ว่าฌ้อโหยอ๋องหนีแล้วก็ตกใจ จึงเอาความเข้าไปแจ้งกับเจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็สั่งให้พวกทหารออกเที่ยวติดตามจับฌ้อโหยอ๋อง ทหารทั้งปวงก็อ้อมมาคอยอยู่ที่ต้นทางจะไปเมืองฌ้อ ฝ่ายฌ้อโหยอ๋องจะหนีลงมาเมืองฌ้อมิได้ก็กลับแยกทางขึ้นไปข้างทิศเหนือจะหนีไป ณ เมืองเตียว

ฝ่ายเตียวปูเลงอ๋องเจ้าเมืองเตียวนั้นรูปร่างใหญ่โตสูงได้เจ็ดศอกเศษ หน้าอกกว้างสองศอกคืบ มีสีหน้าดังสีนํ้าเงินอ่อนแต่หนวดนั้นแดงคล้ายสีลิ้นจี่สุก มีกำลังมาก ได้เป็นเจ้าเมืองอยู่ห้าปีจึงไปขอลูกสาวเจ้าเมืองหันมาเป็นภรรยามีบุตรชายคนหนึ่งชื่อเจียง ตั้งให้เป็นที่ไทจู เตียวปูเลงอ๋องครองราชสมบัติได้สิบหกปี อยู่มาคืนวันหนึ่ง เตียวปูเลงอ๋องฝันเห็นว่าหญิงรูปงามดังนางฟ้ามาดีดขิมให้ฟัง

ครั้นเตียวปูเลงอ๋องตื่นขึ้นมิได้เห็นเหมือนความฝันก็เสียนํ้าใจ มีผิวหน้านั้นมัวหมอง เพราะมีความรักใคร่รูปหญิงที่ฝันเห็นนั้น ครั้นเวลาเช้าก็ออกไปยังที่ว่าราชการพร้อมด้วยขุนนางทั้งปวง เตียวปูเลงอ๋องก็เล่าความฝันให้พวกขุนนางในเมืองเตียวฟัง ขณะนั้นมีไตหูคนหนึ่งชื่อฮูกวัง พูดขึ้นในท่ามกลางขุนนางทั้งปวงว่า ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงคนหนึ่งชื่อเม่งเอี๋ยว ฝีมือดีดเพลงขิมนั้นพอฟัง เตียวปูเลงอ๋องได้ยินดังนั้นจึงว่า ไตหูมีบุตรอยู่ท่านจงจัดแจงเกวียนกับคนใช้ให้ไปรับมา เตียวปูเลงอ๋องสั่งแล้วก็กลับไปคอยอยู่ที่เหลาไตชื่อไตเหลง ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็คำนับลากลับมาบ้าน

ฝ่ายไตหูก็มาจัดแจงเกวียนกับคนออกไปรับนางเม่งเอี๋ยวบุตรไตหู ไตหูก็นำมาคำนับเตียวปูเลงอ๋อง ณ บนที่ไตเหลง เตียวปูเลงอ๋องเห็นรูปนางเม่งเอี๋ยวนั้นงามคล้ายกันกับหญิงที่ฝันเห็นก็มีความยินดีนัก จึงส่งขิมให้นางเม่งเอี๋ยวดีดให้ฟัง นางเม่งเอี๋ยวก็คำนับรับขิมมานั่งดีดย้ายเพลงไปต่างๆ เตียวปูเลงอ๋องได้ฟังเพลงขิมครั้งนั้นยิ่งมีความรักนางเม่งเอี๋ยวทวีขึ้น จึงตั้งนางเมงเอี๋ยวให้เป็นที่เง่ากุย ภรรยาเบื้องซ้าย นางเง่ากุยมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อกงจูหอ ครั้นนานมาภรรยาที่เป็นบุตรเจ้าเมืองหันนั้นตาย เตียวปูเลงอ๋องก็ตั้งนางเง่ากุยให้เป็นภรรยาใหญ่แล้วถอดไทจูเจียงเสีย ตั้งกงจูหอเป็นที่ไทจู

ภายหลังเตียวปูเลงอ๋องคิดว่า เมืองไตหู และเมืองนิมหู เมืองเล่าหวน สามเมืองนั้นเป็นคนต่างภาษากับเมืองเรา แต่เมืองจิ๋น เมืองเอี๋ยงนั้นเป็นภาษาเดียวกัน เมืองทั้งห้าเมืองนั้นตั้งอยู่ใกล้กับเขตแดนเมืองเตียว เราจะไว้ใจหาได้ไม่ สืบไปเบื้องหน้าถ้าเมืองเหล่านี้คิดทำอันตรายแก่เรา เราก็จะเสียที ด้วยเมืองเตียวนี้ตั้งอยู่ท่ามกลาง เมืองทั้งห้านั้นล้อมอยู่ทั้งสี่ทิศ เราจะต้องคิดอ่านให้ทหารหัดปรือให้ชำนาญในการรบไว้รักษาเขตแดนเมืองเตียวจึงจะชอบ เตียวปูเลงอ๋องคิดดังนั้นแล้วก็ออกมายังที่ว่าราชการ สั่งขุนนางทั้งปวงให้จัดแจงซ้อมหัดทหารไว้รักษาบ้านเมือง แล้วให้ป่าวร้องราษฎรชาวเมืองเตียวนั้นให้ใส่เสื้อกางเกงและหมวกเหมือนชาวเมืองนิมหู เมืองเล่าหวน ทั้งขุนนางและไพร่ให้สิ้นทั้งเมืองเตียว แม้นชาวเมืองเตียวจะไปเที่ยวเล่นทางไกลและไล่เนื้อในป่าก็ให้ขี่ม้าไปอย่าให้ขี่เกวียน ทำให้เหมือนชาวเมืองทั้งสองนั้นทุกประการ พวกขุนนางได้แจ้งดังนั้นแล้วก็คำนับลาเตียวปูเลงอ๋องออกป่าวประกาศราษฎรและซ้อมหัดทหารให้คล่องแคล่วในเพลงอาวุธทั้งปวง สำหรับจะได้ป้องกันเขตแดนเมืองเตียวตามคำเตียวปูเลงอ๋องสั่งทุกประการ ครั้นเวลาวันหนึ่งก็ตระเตรียมทหารประมาณสิบหมื่น เตียวปูเลงอ๋องยกทัพออกจากเมืองไปตีเขตแดนเมืองเอี๋ยน ที่เขาแซงซัวใกล้กับเขตเมืองเตียว

ฝ่ายเจ้าเมืองเอี๋ยนไม่ทันรู้ตัวก็ยอมให้ที่แห่งหนึ่งชื่องั่นมึงกวนอยู่ทางทิศใต้เมืองเอี๋ยน ทางวันหนึ่งไปถึงเมืองหุ้นตง ครั้นเตียวปูเลงอ๋องได้ที่งั่นมึงกวนเขตแดนเมืองเอี๋ยนแล้วก็ยกทัพกลับมาเมืองเตียว พักทหารให้หายบอบช้ำ ครั้นทหารค่อยมีกำลังเป็นปรกติแล้ว เตียวปูเลงอ๋องก็ปรึกษาขุนนางในเมืองเตียวว่า เราจะยกทัพไปตีเมืองจิ๋น แต่หนทางที่จะไปนั้นต้องไปทางเมืองหุ้นตง หุ้นตงก็เป็นเขตแดนของเรา ยังอยู่แต่เมืองกิมหงวนนั้น เป็นเมืองกีดทางที่เราจะไปตีเมืองจิ๋น จะต้องตีเอาเมืองกิมหงวนเสียให้ได้ก่อน เราจึงจะได้เดินทัพไปเมืองจิ๋นโดยง่าย แต่การที่เราคิดอ่านครั้งนี้จะให้ทหารคนหนึ่งคนใดไปนั้นเห็นจะหาสำเร็จไม่ เราจะต้องเป็นแม่ทัพไปจึงจะสมควร ขุนนางทั้งปวงได้แจ้งดังนั้นก็เห็นด้วย เตียวปูเลงอ๋องก็สั่งให้เกณฑ์ทหารตระเตรียมไว้เป็นอันมาก แล้วเตียวปูเลงอ๋องก็ตั้งให้ไทจูหอเป็นที่ฮุยอ๋องเจ้าเมือง แล้วตั้งหลีต๋วยที่เป็นอาจารย์ของไทจูให้เป็นไตหู ปุดหงีเป็นที่ไจเสียง จึงสั่งให้กงจือเสงที่เป็นน้าเตียวปูเลงอ๋องนั้นเป็นที่สุม้านายทหาร แล้วให้หากงจือเจียงมาตั้งเป็นเจ้าเมืองอันเอี๋ยงที่ขึ้นแก่เมืองเตียวนั้นชื่ออันเอี๋ยงกุ๋น แล้วให้ซันปุดลอยเป็นไจเสียงอยู่กับอันเอี๋ยงกุ๋น

ฝ่ายเตียวปูเลงอ๋องก็เปลี่ยนชื่อตัวเป็นจูหู แปลเป็นคำไทยว่าบิดาเจ้าเมือง เตียวปูเลงอ๋องเมื่อจัดแจงบ้านเมืองเสร็จแล้วกลับคิดถอยหลังว่า ครั้นเราจะยกทัพไปตีเมืองจิ๋นครั้งนี้หนทางก็กันดารนักประกอบไปด้วยห้วยเขาเป็นอันมาก จะสงบทัพไว้ก่อน เราจะทำเป็นคนถือหนังสือไปสอดแนมดูราชการในเมืองจิ๋นว่าทหารจะมากน้อยสักเท่าใด อนึ่งจะได้เห็นหนทางที่จะไปนั้นจะยากง่ายเป็นประการใดบ้าง

เตียวปูเลงอ๋องคิดดังนั้นแล้วก็จัดแจงแต่งตัวอย่างคนถือหนังสือแต่ก่อน เสร็จแล้วก็เรียกคนใช้มาสองสามคน จัดเสบียงอาหารพอเดินทางแล้วก็ขี่ม้าออกจากเมืองเตียวรีบไปเมืองจิ๋น ครั้นมาถึงเมืองจิ๋นแล้วเปลี่ยนชื่อว่าเตียวเจียวเป็นชื่อของบ่าวที่ไปด้วยนั้น เตียวปูเลงอ๋องก็เข้าไปหานายประตูบอกว่า เราชื่อเตียวเจียวถือหนังสือมาแต่เมืองเตียว คนเฝ้าประตูรู้ดังนั้นแล้วก็ไปแจ้งความให้จิ๋นเจียวเสียงอ๋องฟังทุกประการ

ฝ่ายจิ๋นเจียวเสียงอ๋องก็ให้คนใช้มารับเตียวปูเลงอ๋องเข้าไปยังที่ว่าราชการพร้อมด้วยขุนนางในเมืองจิ๋น เตียวปูเลงอ๋องก็ส่งหนังสือให้จิ๋นเจียวเสียงอ๋อง จิ๋นเจียวเสียงอ๋องก็ฉีกหนังสือออกอ่านดู แจ้งว่าเมืองเตียวนั้นตั้งเจ้าเมืองใหม่ จิ๋นเจียวเสียงอ๋องจึงถามว่า เจ้าเมืองคนก่อนนั้นมีอายุประมาณสักเท่าใด จึงออกเสียจากที่ว่าราชการ เตียวปูเลงอ๋องจึงบอกว่าเจ้าเมืองที่ออกเสียนั้นมีอายุเป็นปานกลาง จิ๋นเจียวเสียงอ๋องว่า เจ้าเมืองเก่าก็ยังไม่สู้ชรานัก เหตุใดจึงผลัดเจ้าเมืองใหม่เล่า เตียวปูเลงอ๋องก็ตอบว่า เจ้าเมืองก่อนนั้นก็ยังว่าราชการอยู่ แต่ตั้งเจ้าเมืองใหม่นั้นเพราะเหตุที่บุตรนั้นยังเยาว์อยู่ มิได้รู้ขนบธรรมเนียมราชการจึงตั้งไว้จะได้ดูแลสั่งสอนให้ชำนาญในการบ้านเมืองทั้งปวง จิ๋นเจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงถามเตียวปูเลงอ๋องว่า เมืองเตียวนั้นคิดกลัวเราบ้างหรือหาไม่ เตียวปูเลงอ๋องจึงว่า เพราะเมืองเตียวกลัวท่านจะยกทัพไปตีเมือง จึงได้จัดแจงทแกล้วทหารฝึกปรือไว้มากกว่าแต่ก่อนสักสิบส่วน อนึ่งราษฎรทั้งปวงก็ขี่แต่ม้า หาได้ใช้เกวียนเหมือนแต่ก่อนไม่ แต่ยังไม่เป็นใหญ่เสมอกับเมืองท่าน ถ้าจะเปรียบเป็นเมืองที่สองของเมืองจิ๋นเห็นจะได้อยู่ เจียวเสียงอ๋องเห็นเตียวปูเลงอ๋องพูดจานั้นองอาจมิได้ย่นย่อก็มีความเกรงใจ หาสู้พูดหักหาญนักไม่ เตียวปูเลงอ๋องเห็นเวลาสมควรจะกลับออกมาจึงผัดเจียวเสียงอ๋องว่า อีกสามวันข้าพเจ้าจะเข้ามาหาท่าน ว่าดังนั้นแล้วเตียวปูเลงอ๋องก็กลับมาที่กงก๊วน พอเวลาพลบก็สั่งเตียวเจียวกับบ่าวทั้งปวงว่าท่านอยู่ที่นี่เถิด เตียวปูเลงอ๋องก็ขึ้นม้าหนีกลับไปเมืองเตียว

เจียวเสียงอ๋องครั้นเห็นคนถือหนังสือกลับไปแล้วก็ลุกเข้ามาข้างใน พอเวลาคํ่าลงเจียวเสียงอ๋องจึงตรึกตรองว่า เตียวเจียวที่ถือหนังสือมานั้นมีผิวพรรณหน้าตาผิดกว่าคนถือหนังสือมาแต่เมืองอื่นทั้งปวง เจียวเสียงอ๋องคิดสงสัยว่าชะรอยจะหาใช่คนถือหนังสือไม่ จะเป็นคนมีวาสนาอยู่ เจียวเสียงอ๋องก็นิ่งไว้แต่ในใจ ครั้นถึงสามวันเจียวเสียงอ๋องออกมาคอยเตียวปูเลงอ๋องก็ไม่เห็นเข้ามาเหมือนสัญญาไว้ เจียวเสียงอ๋องจึงใช้ให้คนไปดูว่าเตียวเจียวจะป่วยไข้เป็นประการใดจึงไม่เข้ามา คนใช้คำนับลาแล้วออกไปดูที่กงก๊วนหาเห็นเตียวปูเลงอ๋องไม่ เห็นแต่บ่าวนอนอยู่แปดคน คนใช้จึงถามว่าเตียวเจียวที่ถือหนังสือมาอยู่ที่ไหนเล่า เตียวเจียวจึงบอกกับคนใช้ว่า ข้าพเจ้านี่แลชื่อเตียวเจียว คนใช้ก็คิดสงสัยนักจึงกลับไปแจ้งความแก่เจียวเสียงอ๋องว่า ข้าพเจ้าออกไปดูคนที่ถือหนังสือนั้นก็หาเห็นตัวไม่เห็นแต่คนอื่น ครั้นข้าพเจ้าถามก็บอกว่าชื่อเตียวเจียว เจียวเสียงอ๋องได้แจ้งดังนั้นก็โกรธ จึงใช้ให้ทหารประมาณสิบห้าคนไปเอาตัวเข้ามา พวกทหารก็พากันออกไปที่กงก๊วน จึงจับพวกบ่าวเตียวปูเลงอ๋องมัดมือมาส่งให้เจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องจึงถามว่า คนไหนที่ชื่อเตียวเจียว เตียวเจียวจึงบอกว่าข้าพเจ้านี่แหละชื่อเตียวเจียว เจียวเสียงอ๋องจึงว่าคนที่ถือหนังสือมานั้นชื่อไรเล่า เตียวเจียวจึงบอกว่าชื่อเตียวปูเลงอ๋อง แต่หนีไปเมืองเตียวได้สามวันแล้ว เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ กระทืบเท้าลงบนเก้าอี้แล้วออกปากว่า เตียวปูเลงอ๋องคนนี้ทำบังอาจใช้สติปัญญาแกล้งจะมาดูบ้านเมืองของเรา ทำข่มเหงเรานัก จึงสั่งแปะคี้กับเกงเอี๋ยงกูนให้คุมทหารสามพันยกตามไปจับเตียวปูเลงอ๋อง แปะคี้เกงเอี๋ยงกูนกับทหารก็ตามเตียวปูเลงอ๋องไปจนถึงหํ้าก๊กกวนปลายแดนเมืองจิ๋น แปะคี้จึงถามคนเฝ้าด่านหํ้าก๊กกวนว่าเตียวปูเลงอ๋องหนีมาทางนี้ได้สักกี่วันแล้ว คนเฝ้าด่านจึงบอกว่าเตียวปูเลงอ๋องไปได้สามวันแล้ว ท่านอย่าตามไปเลยเห็นจะหาทันไม่ แปะคี้ได้ฟังดังนั้นก็คิดว่าเตียวปูเลงอ๋องคงถึงเมืองแล้ว แปะคี้กับเกงเอี๋ยงกูนก็พาทหารกลับมาเมืองจิ๋นเข้าไปแจ้งความกับเจียวเสียงอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปตามเตียวปูเลงอ๋องก็หาทันไม่ เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ไม่มีความสบายเป็นหลายวัน ครั้นเวลาวันหนึ่งจึงสั่งให้ปล่อยเตียวเจียวกับคนเจ็ดคนกลับไปเมืองเตียว

ครั้นอยู่มาประมาณปีหนึ่ง เตียวปูเลงอ๋องก็พาทหารไปเที่ยวดูเขตแดนหัวเมืองที่ขึ้นกับเมืองเตียว เตียวปูเลงอ๋องมาถึงเมืองหุ้นตงแล้วก็ให้คนใช้เที่ยวพูดจาเกลี้ยกล่อมคนในเมืองหุ้นตงที่มีฝีมือได้ไว้เป็นอันมาก เตียวปูเลงอ๋องก็ไปเที่ยวเกลี้ยกล่อมคนในเมืองไต้จิวต่อไป ครั้นเกลี้ยกล่อมได้คนทั้งสองเมืองมากแล้วก็ยกไปเล่าหวนให้สร้างเมืองอยู่ที่เลงซิวชื่อเตียววั่งเสีย เตียววั่งเสียที่ตรงนั้นเป็นที่เดิมของนางเง่ากุยเป็นภรรยาน้อยเตียวปูเลงอ๋อง เตียวปูเลงอ๋องจึงให้ชื่อฮูหยินเสีย ขณะนั้นเมืองเตียวก็มีเขตแดนกว้างขวางออกไปเป็นอันมาก

ฝ่ายฌ้อโหยอ๋องหนีมาแต่เมืองจิ๋นจะเข้าไปหาเตียวฮุยอ๋องเจ้าเมืองเตียว ครั้นมาถึงประตูเมืองก็แจ้งความกับนายประตูว่า เราชื่อฌ้อโหยอ๋องจะมาอาศัยเจ้าเมือง เตียวฮุยอ๋องจึงถามขุนนางว่า ฌ้อโหยอ๋องจะมาอาศัยเราอยู่นั้นจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงจึงตอบว่าฌ้อโหยอ๋องเจ้าเมืองฌ้อนี้หนีมาแต่เมืองจิ๋น ซึ่งจะให้มาอยู่ด้วยนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าเจียวเสียงอ๋องรู้จะโกรธท่าน ท่านอย่าให้อยู่เลย ปิดประตูเมืองเสียอย่าให้ฌ้อโหยอ๋องเข้ามาได้ ข้อหนึ่งจูหูก็หาอยู่ไม่ ประเพณีอย่างนี้ต้องปรึกษาผู้ใหญ่ก่อนจึงจะชอบ เตียวฮุยอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยจึงสั่งให้คนปิดประตูเสีย ฌ้อโหยอ๋องเห็นคนทั้งปวงปิดประตูเมืองดังนั้นก็เสียนํ้าใจนัก จึงหนีไปถึงเมืองงุย ยังหาทันเข้าในเมืองไม่ พอเกงเอี๋ยงกูนทหารเมืองจิ๋นที่ตามจับฌ้อโหยอ๋องมาทันเข้า ก็จับตัวฌ้อโหยอ๋องได้ที่เมืองงุย ฌ้อโหยอ๋องจึงคิดว่าเสียแรงเราเกิดมาเป็นเจ้าเมืองฌ้อ มีชื่อเสียงแต่หามีสติปัญญาไม่ เราจะอยู่ไปก็หนักแผ่นดินเสียเปล่า คิดดังนั้นแล้วก็รากโลหิตออกมาประมาณได้ถังหนึ่ง ฌ้อโหยอ๋องก็ถึงแก่ความตาย เกงเอี๋ยงกูนเห็นฌ้อโหยอ๋องตายแล้ว ก็สั่งให้ทหารไปตัดไม้ทำคานหามบ่าใส่ศพฌ้อโหยอ๋องนำไปส่งเมืองฌ้อ

ครั้งนั้นชาวเมืองฌ้อแจ้งว่าฌ้อโหยอ๋องตายแล้วก็พากันมารับเอาศพ ต่างคนมีความสงสารร้องไห้รักว่าเจ้าเมืองจิ๋นทำข่มเหงฌ้อโหยอ๋อง ฌ้อโหยอ๋องหามีความผิดไม่ ต้องไปเที่ยวตายนอกบ้านนอกเมือง เกงเอี๋ยงกูนกับทหารทั้งปวงครั้นส่งศพให้ชาวเมืองฌ้อแล้วก็พากันกลับไปเมืองจิ๋น ชาวเมืองฌ้อก็เข้าไปแจ้งความให้ฌ้อฮันเสียงอ๋องฟังทุกประการ ฌ้อฮันเสียงอ๋องแจ้งว่าฌ้อโหยอ๋องบิดาตายแล้วก็มีความเศร้าโศกเป็นอันมาก จึงออกมาจัดแจงเอาศพไปฝังไว้ตามธรรมเนียมเจ้าเมืองทั้งปวงแล้วก็กลับมา

ฝ่ายคุดหงวนขุนนางในเมืองฌ้อมีความวิตกว่าฌ้อโหยอ๋องตายครั้งนี้ก็เพราะคีเสียงกับกงจูลัน บัดนี้สองคนก็เป็นขุนนางมีความสุขแล้วหาคิดแก้แค้นแทนคุณฌ้อโหยอ๋องที่ตายไม่ เพิกเฉยเสีย คุดหงวนคิดดังนั้นแล้วก็เข้าไปหาฌ้อฮันเสียงอ๋องพูดจาว่า ข้าพเจ้าเห็นท่านนิ่งเสียไม่คิดอ่านไปแก้แค้นเมืองจิ๋นบ้างเลย ทุกวันนี้ข้าพเจ้าหามีความสบายไม่ คิดถึงบิดาของท่านว่าตายครั้งนี้ก็เพราะเชื่อถ้อยคำคีเสียงกับกงจูลัน คนทั้งสองนั้นหาซื่อตรงไม่ ถ้าท่านจะไปแก้แค้นเมืองจิ๋นแล้วคีเสียงกับกงจูลันนั้นอย่าเชื่อถือเลย ท่านจงคิดหาคนที่มีสติปัญญาและคนมีฝีมือมาชุบเลี้ยงให้มากแล้วจึงค่อยคิดอ่านยกไปตีเมืองจิ๋น แก้แค้นแทนบิดาท่านต่อภายหลัง คุดหงวนพูดเท่านั้นแล้วก็คำนับลาฌ้อฮันเสียงอ๋องกลับมายังบ้าน กิตติศัพท์อันนั้นรู้ไปถึงกงจูลัน กงจูลันก็ไปหาคีเสียงเล่าความที่คุดหงวนเข้าไปพูดจายุยงให้คีเสียงฟังทุกประการ คีเสียงได้ฟังดังนั้นก็โกรธคุดหงวน คีเสียงชวนกงจูลันเข้าไปหาฌ้อฮันเสียงอ๋อง คำนับแล้วแจ้งความว่า คุดหงวนซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่นั้น หาคิดว่าเป็นแซ่เดียวกับท่านไม่ ไปเที่ยวนินทาว่าท่านเป็นคนอกตัญญูไม่รู้จักคุณบิดา เจียวเสียงอ๋องกระทำความข่มเหงจนบิดาตาย ท่านก็เพลิดเพลินอยู่ด้วยราชสมบัติหาคิดไปแก้แค้นแทนคุณบิดาไม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าคุดหงวนเป็นคนหาสัตย์ซื่อไม่ การที่จะไปแก้แค้นเมืองจิ๋นนั้น นอกกว่าข้าพเจ้าสองคนแล้วเห็นจะหาสำเร็จไม่ ฌ้อฮันเสียงอ๋องได้ฟังกงจูลันกับคีเสียงว่าดังนั้นก็โกรธคุดหงวน ให้หาตัวเข้ามาแล้วก็ถอดคุดหงวนเสียจากขุนนาง คุดหงวนก็กลับมาบ้าน

ฝ่ายนางซูกี๋เป็นพี่สาวของคุดหงวน แต่ไปมีผัวอยู่ที่บ้านอื่นไกลกันกับบ้านคุยจิ๋วที่คุดหงวนอยู่ ครั้นนางซูกี๋แจ้งความว่าคุดหงวนต้องถอดออกจากที่ขุนนาง นางซูกี๋ก็มาเยี่ยมคุดหงวน เห็นน้องชายมีความเศร้าโศกผมเผ้ารุงรังอยู่ เที่ยวเดินบ่นว่าฌ้อโหยอ๋องตาย หามีผู้ใดช่วยคิดอ่านแก้แค้นไม่ คุดหงวนบ่นอยู่อย่างนี้เนืองๆ มิได้ขาด นางซูกี๋ได้ยินดังนั้นจึงว่ากับคุดหงวนน้องชายว่า ฌ้อฮันเสียงอ๋องไม่เชื่อถ้อยคำของเจ้าแล้ว เขาจึงถอดเสียจากที่ขุนนางจะทุกข์ร้อนไปทำไม ไร่นาเรามีจงคิดทำมาหากินตามภูมิลำเนาของเราเถิด คุดหงวนได้ฟังนางซูกี๋ว่าดังนั้นก็สิ้นความวิตก จึงทำไร่นาตามภูมิลำเนาของตัวตามเดิม ขณะนั้นชาวบ้านคุยจิ๋วที่เคยได้พึ่งพาคุดหงวนมาแต่ก่อน ครั้นเห็นคุดหงวนตกตรากตรำลำบากลงถากไร่ไถนาหากินด้วยความยากหาเหมือนแต่ก่อนไม่ ชาวบ้านทั้งปวงคิดเวทนาว่าคุดหงวนไม่เคยกระทำการหนัก ต่างคนต่างมาช่วยคุดหงวนอยู่เป็นอันมาก นางซูกี๋มาอยู่ด้วยที่บ้านน้องชายประมาณเดือนหนึ่งก็ลากลับไปบ้าน คุดหงวนครั้นพี่สาวกลับไปแล้วอยู่มาภายหลังก็รำลึกถึงฌ้อโหยอ๋อง มีความทุกข์ร้อนขึ้นกว่าแต่ก่อน คุดหงวนก็ทิ้งการไร่นาที่เคยกระทำเสีย เที่ยวเดินบ่นว่าไม่มีใครคิดถึงฌ้อโหยอ๋องที่ตายบ้างเลย แต่คุดหงวนบ่นอยู่อย่างนี้เป็นหลายวันจนรูปร่างซูบผอมลง เวลาวันหนึ่งคุดหงวนเดินไปริมคลองแล้วคิดถึงฌ้อโหยอ๋องว่า ถ้าฌ้อโหยอ๋องยังอยู่ที่ไหนเราจะได้ความลำบากถึงเพียงนี้ คุดหงวนคิดไปก็ยิ่งเสียนํ้าใจนัก จึงอุ้มเอาก้อนหินที่อยู่ริมคลองนั้นมากอดเข้าไว้ให้แน่นแล้วก็กลิ้งตัวลงไปจมนํ้าตายเสียในคลอง

ขณะเมื่อคุดหงวนตายนั้นเดือนแปดขึ้นห้าคํ่า ชาวบ้านทั้งปวงลงเรือเล็กมาช่วยคุดหงวนก็หาทันไม่ ด้วยน้ำในคลองนั้นลึกนัก คนจำพวกนั้นคิดกลัวสัตว์นํ้า ไม่มีใครสามารถลงงมศพคุดหงวนได้ ก็พากันกลับมาทำขนมจั้งแล้วเอาไหมแดงผูกเข้า นำเอาขนมมาทิ้งลงในคลองตรงคุดหงวนตายนั้น ด้วยคนทั้งปวงคิดว่าจะมิให้สัตว์นํ้ากินศพคุดหงวนเสียจึงให้กินขนมแทน แล้วคนทั้งปวงก็ตั้งศาลเจ้าไว้ในตำบลนั้น ครั้นถึงวันเดือนแปดขึ้นห้าคํ่าจีน ชาวบ้านเมืองฌ้อ เมืองหงอ ก็พากันทำขนมจั้งขึ้นเซ่นเจ้า สมมุติว่าเป็นสารทขนมจั้งสืบกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ที่ศาลเจ้าตรงคุดหงวนตายนั้น ถึงเทศกาลเช่นขนมจั้งแล้ว ชาวบ้านทั้งปวงก็ชวนกันแข่งเรือเล่นในคลองทุกปีมิได้ขาด

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ