- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๒๗
ฝ่ายจิ้นเฮียนก๋งเจ้าเมืองจิ้น ตีได้เมืองเกียกับเมืองหงอทั้งสองหัวเมืองแล้ว ขุนนางและทหารทั้งปวงต่างคนก็มีใจยินดี แต่นางเลกีนั้นหามีความสบายไม่ ด้วยรู้ว่าลีเค็กเป็นพวกซีนเซงไปตีเมืองได้มีความชอบ จิ้นเฮียนก๋งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ จึงหาอิวสีขึ้นมาปรึกษาแล้วว่าเราจะคิดประการใด อิวสีจึงว่า ซึ่งลีเค็กตีเมืองทั้งสองได้นั้นเพราะอุบายสุยสิดเอาแก้วกับม้าไปให้งูก๋ง ใช่จะสำเร็จด้วยปัญญาลีเค็กเมื่อไรมี ข้าพเจ้าเห็นว่าความคิดสุยสิดดีกว่าลีเค็ก แต่สุยสิดหาได้ความชอบเหมือนลีเค็กไม่ ถ้าท่านคิดว่ากล่าวเอาสุยสิดมาเป็นพวกเรา ให้เป็นครูฮีเจ๋โต๊ะจูเห็นพอจะต้านทานลีเค็กได้ นางเลกีเห็นชอบด้วย ครั้นเวลาคํ่าก็เข้าไปว่ากับจิ้นเฮียนก๋งว่า จะขอสุยสิดมาเป็นครูฮีเจ๋โต๊ะจู จิ้นเฮียนก๋งก็ยอม แล้วเรียกสุยสิดมาสั่งให้ไปอยู่สอนฮีเจ๋โต๊ะจู นางเลกีจึงบอกกับอิวสีว่า สุยสิดมาเป็นพรรคพวกเราแล้วแต่เกลือกว่าลีเค็กจะล่วงรู้ความคิดเราจะเอาความไปยุสุยสิดการเราจะมิเสียไปหรือ
อิวสีจึงว่า ลีเค็กคนนี้พอใจกินเหล้า ท่านจงแต่งกับข้าวสำรับหนึ่งกับเหล้าที่ดี ข้าพเจ้าจะเอาไปให้ลีเค็กกินแล้วฟังท่วงทีจะว่าประการใด นางเลกีก็จัดสำรับกับเหล้าให้คนยกตามอิวสีไป อิวสีจึงเข้าไปคำนับลีเค็กว่า ท่านไปทัพมาไม่มีอันใดจะมาเยี่ยม ได้แต่สำรับกับเหล้ามาให้ท่านกินตามสบาย ลีเค็กมิรู้กลอิวสีก็กินเหล้านั้นเข้าไปแล้วชมว่าเหล้าดี อิวสีเห็นลีเค็กเมาจึงว่า ข้าพเจ้ามีเพลงบทหนึ่งจะทำให้ท่านฟัง อิวสีทำเพลง แม่เป็นเมียลูกเจ้า เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่รากอันลึก กิ่งใบสาขานกกาทั้งจับอาศัยเป็นสุข ถ้าไม้รากแก้วขาดเมื่อใด ลมก็พัดใบก้านแห้งเหี่ยวไป เขาก็ฟันเอาทำฟืน ทำเพลงแล้วอิวสีก็ลุกขึ้นกลับไปบ้าน
ลีเค็กมีความสงสัยคิดอยู่แต่ในใจว่า อิวสีเป็นคนมีอัธยาศัย จิ้นเฮียนก๋งไว้ใจข้างหน้าข้างในก็เข้าออกได้ทั้งกลางวันกลางคืน อิวสีรู้เหตุอย่างไรจึงมาทำเพลงดังนี้ ลีเค็กให้คนไปหาตัวอิวสี ต่อเวลารุ่งเช้าอิวสีจึงมา ลีเค็กจึงถาม ซึ่งท่านว่าไม้ตายเขาเอามาทำฟืนนั้นเราสงสัยอยู่ ท่านว่านี้จะเป็นเหตุที่ซกอักนั้นหรือเหตุสิ่งใด บอกให้เรารู้ด้วย อิวสีจึงว่า ข้าพเจ้าจะบอกก็กลัวไตหูอยู่ ลีเค็กจึงว่า ท่านอย่าคิดเกรงดังนั้นเลย ถ้าเอ็นดูเราแล้วจึงบอกให้รู้เหมือนให้เราพ้นความผิด อิวสีเห็นได้ทีก็เข้าไปกระซิบบอกว่า จิ้นเฮียนก๋งนั้นรับคำนางเลกีไว้ว่าจะฆ่าซีจูซีนเซงเสีย จะตั้งฮีเจ๋ขึ้นแทน ท่านจะเห็นประการใด ลีเค็กจึงว่ากับอิวสีว่า ท่านนั้นจิ้นเฮียนก๋งก็รักใคร่เชื่อถือ จงช่วยว่ากล่าวทัดทานจิ้นเฮียนก๋งไม่ให้ซีนเซงเป็นอันตรายจะไม่ได้หรือ อิวสีจึงว่าทุกวันนี้ ท่านก็ย่อมรู้อยู่ว่าการข้างในสิทธิ์ขาดอยู่กับนางเลกี การข้างหน้าจิ้นเฮียนก๋งเชื่อถ้อยคำเสียงฮูกวยฮู คนทั้งสองนี้คิดแต่จะกำจัดซีนเซงเสียยุยงทั้งข้างหน้าข้างใน ซึ่งผู้ใดจะอาจขัดขวางนั้นยากอยู่ ลีเค็กจึงว่า อันตัวเรานี้จนอยู่แล้ว ซึ่งจะให้ทำร้ายซีนเซงนั้นเราทำไม่ได้ ถ้าจิ้นเฮียนก๋งใช้จะมิทำตามเล่า ก็จะได้ความผิดมิรู้ที่จะคิดเลยก็จะต้องรักษาตัวอยู่เป็นกลาง สุดแต่ไม่เข้ารู้เห็นข้างผู้ใด อิวสีจึงว่าตัวท่านทำเป็นไม่รู้เห็นเสียก็ดีอยู่ ว่าแล้วก็ลากลับไป
ลีเค็กมีความวิตกหนักนั่งรำพึงอยู่จนดึก แล้วคิดไปถึงคำโหรทำนายได้จดหมายไว้ จึงขนเอาหนังสือมาดูกำหนดอีกสิบเจ็ดปีเมืองจะเกิดอันตราย คิดแต่ปีโหรทำนายมาก็พอครบสิบปีเข้า จึงคิดว่าโหรทำนายนี้แน่จริง ลีเค็กนอนไม่หลับจนรุ่ง ครั้นรุ่งเช้าจึงขึ้นขี่เกวียนไปหาพีเปงฮู ณ บ้าน แล้วว่าข้าพเจ้าจะพูดความลับกับท่านสักหน่อยหนึ่ง พีเปงฮูก็ขับคนใช้ออกไปเสีย ลีเค็กจึงว่า ซือเซากับกวยกี๋ทำนายไว้แน่หนักหนา จึงเอาหนังสือซึ่งโหรทำนายไว้ออกให้ดูแล้วว่า อิวสีคืนนี้มาหาเราว่าจิ้นเฮียนก๋งจะฆ่าซีนเซงเสียจะตั้งฮีเจ๋ขึ้นแทน พีเปงฮูจึงว่า ความอันนี้เราก็ได้ยินอยู่ ซึ่งอิวสีมาบอกกับท่านนั้น ท่านว่าไปกับอิวสีอย่างไรบ้าง ลีเค็กก็เล่าความเหมือนพูดกับอิวสีนั้นให้ฟังทุกประการ พีเปงฮูได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ว่า ซีนเซงเหมือนใกล้กองไฟ แล้วว่าอิวสีมาพูดนั้นจะดูทีท่านด้วยว่าเป็นพวกพ้องซีนเซง ถ้าท่านว่าไว้ตามความจริงเขาก็จะคิดเกรงว่าท่านยังเป็นพวกซีนเซงอยู่การก็จะช้าลง ภายหลังได้ช่องแล้วจึงค่อยว่ากล่าวกับจิ้นเฮียนก๋งก็ไม่เป็นไรนัก ซึ่งท่านว่าอยู่เป็นกลางนั้น เห็นภัยจะถึงซีนเซงเร็วอยู่ แล้วลีเค็กกลับได้ความคิดลุกยืนขึ้นกระทืบเท้า เราพูดผิดออกไปแล้วเพราะหาได้ปรึกษาท่านก่อนไม่ ว่าแล้วลีเค็กกลับไปทำเป็นตกเกวียนลงเท้าแพลง
ครั้นเวลาคํ่านางเลกีจึงว่ากับจิ้นเฮียนก๋งว่า ซีนเซงออกไปอยู่ซกอักนั้น ขอท่านให้หาเข้ามาข้าพเจ้ารำลึกถึง จิ้นเฮียนก๋งก็มีความสงสัย ครั้นเวลาเช้าก็ให้ไปหาซีนเซง ครั้นซีนเซงมาถึงคำนับบิดาแล้วก็ไปคำนับนางเลกี ณ ที่ข้างใน นางเลกีเห็นซีนเซงเข้ามาทำเป็นยินดีทักทายปราศรัย แล้วสั่งคนใช้จัดของมาให้กิน แล้วซีนเซงก็ลากลับออกมา ครั้นเวลาเช้าซีนเซงเข้าไปคำนับขอบใจนางเลกี วันนั้นพอเป็นเวลาสายนางเลกีก็สั่งให้เลี้ยงกลางวัน ซีนเซงกินเลี้ยงแล้วก็กลับออกไป ครั้นเวลาคํ่า นางเลกีเข้านอนร้องไห้บอกกับจิ้นเฮียนก๋งว่า ซึ่งข้าพเจ้าให้หาซีนเซงเข้ามา ก็ได้หาให้กินอยู่โดยปกติ เพราะคิดว่าจะผูกใจไว้อย่าให้คิดร้ายกับข้าพเจ้าต่อไป ซีนเซงกลับว่ากับข้าพเจ้าว่าทุกวันนี้บิดาก็แก่แล้ว ถ้าหาบุญไม่ตัวเจ้าก็คงเป็นภรรยาเรา ข้าพเจ้าโกรธมิได้พูดด้วยต่อไป ซีนเซงจึงว่าแต่ก่อนมารดาเราเป็นภรรยาของปู่ ครั้นปู่เราถึงแก่ความตาย มารดาเราก็ได้เป็นภรรยาของบิดาเรา ว่าดังนั้นก็ฉุดเอามือข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามิยอมสะบัดมือเสียจึงพ้นจากความอาย แล้วซีนเซงว่าพรุ่งนี้จะเข้ามาหาข้าพเจ้าอีก ถ้าท่านมิเชื่อเชิญท่านอยู่บนบันไดที่สูง ข้าพเจ้าจะลงไปอยู่ในสวน ถ้าซีนเซงเข้ามาเหมือนว่าท่านก็จะเห็นความจริงของข้าพเจ้า
จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า เจ้าว่านั้นดีแล้ว เราจะได้ดูว่าลูกเราสุจริตอยู่หรือคิดร้ายต่อเรา ครั้นเวลาเช้าจิ้นเฮียนก๋งก็ขึ้นดูบนบันได นางเลกีเอาน้ำผึ้งทามวยผมเข้าไว้ แล้วให้หาซีนเซงเข้ามาชวนลงไปสวน นางเลกีเดินไปซีนเซงก็เดินตามหลัง แมลงวันแมลงหวี่ได้กลิ่นนํ้าผึ้งที่มวยผมก็เข้าตอมศีรษะ นางเลกีจึงว่ากับซีนเซงว่า ช่วยปัดแมลงวันให้เราด้วย นางเลกีเดินไปซีนเซงเดินตามปัดแมลงวันไปพลาง จิ้นเฮียนก๋งอยู่บนบันไดแลลงมาเห็นก็เข้าใจว่าซีนเซงหยอกมารดาเลี้ยง จึงสั่งให้เอาตัวไปฆ่าเสีย นางเลกีจึงว่าไทจูซีนเซงผิดแต่ครั้งเดียวแล้วข้าพเจ้าให้หาเข้ามา คนทั้งปวงจะนินทาได้ ข้าพเจ้าขอโทษซีนเซงไว้ครั้งหนึ่ง จิ้นเฮียนก๋งก็ยอมให้สั่งให้ขับซีนเซงออกไปที่ซกอักดังเก่า
ครั้นอยู่มาหลายวันนางเลกีนอนอยู่กับจิ้นเฮียนก๋ง ครั้นเที่ยงคืนทำเป็นร้องไห้ จิ้นเฮียนก๋งถามนางเลกีบอกว่า ข้าพเจ้าฝันไปว่านางเจ๋เกียงผู้เป็นมารดาซีนเซงมาร้องไห้บอกว่าอดอยากไม่มีอันจะกิน ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมีใจเอ็นดูกลั้นนํ้าตามิได้ จิ้นเฮียนก๋งจึงว่าเจ้าอย่าร้องไห้เลย จึงบอกให้ซีนเซงผู้บุตรแต่งของไปเซ่นเจ๋เกียงก็จะได้กิน ครั้นรุ่งเช้านางเลกีจึงใช้คนออกไป ณ ที่ซกอัก บอกกับซีนเซงว่า เวลาคืนนี้ จิ้นเฮียนก๋งถามว่า นางเจ๋เกียงมาร้องไห้บอกว่าหามีอะไรกินไม่ ซีนเซงรู้ดังนั้นก็แต่งเครื่องเซ่นมารดา แล้วจัดของให้คนเอาเข้ามาให้กับบิดา
ขณะนั้นจิ้นเฮียนก๋งไปเที่ยวเล่นป่าไล่เนื้อ ณ ที่เตียนเจ๊กหวน ผู้ซึ่งเอาของมาให้นั้นไม่พบจิ้นเฮียนก๋ง ก็เอาของส่งเข้าไปไว้ที่ข้างใน ครั้นถึงหกวันจิ้นเฮียนก๋งกลับมา นางเลกีเอายาพิษใส่ลงในของทุกสิ่ง แล้วบอกกับจิ้นเฮียนก๋งว่า ซีนเซงเซ่นมารดาให้เอาข้าวของมาให้ จิ้นเฮียนก๋งก็ให้ยกเข้ามากิน นางเลกีจึงว่าท่านอย่าเพิ่งกินก่อน ของทั้งนี้มาแต่อื่นไม่รู้ว่าจะดีและร้าย จิ้นเฮียนก๋งก็เห็นชอบด้วย จึงรินเหล้าใส่จอกแล้วสาดลงที่แผ่นดิน แผ่นดินก็เป็นควันพลุ่งขึ้น แล้วเอาเนื้อหมูเนื้อนกให้สุนัขกิน สุนัขก็ตายในทันใดนั้น นางเลกีจึงเรียกคนใช้เข้ามา เอาเหล้ากับหมูให้กิน หญิงคนใช้นั้นก็ตาย นางเลกีทำเป็นตกใจออกมาร้องไห้ประกาศว่า เทวดาทั้งปวงจงเห็นเถิด เจ้าแก่แล้วข้าแผ่นดินพึ่งลูกเจ้า จึงจะได้เป็นบ้านเมืองต่อไป เมื่อที่พึ่งมาคอยทำร้ายอยู่ทุกเช้าคํ่าดังนี้ เห็นจะรักษาชีวิตไปมิได้แล้วก็ร้องไห้ซบลงว่ากับจิ้นเฮียนก๋งว่า ลูกท่านทำดังนี้ก็เพราะคิดจะฆ่าข้าพเจ้าแม่ลูกเสียจึงมีภัยมาถึงท่าน และของทั้งนี้ข้าพเจ้าจะรับกินให้ตายแทนท่าน แล้วหยิบเอาจอกสุรามาจะกิน จิ้นเฮียนก๋งชิงเอาจอกสุราเสีย คิดโกรธซีนเซงนัก โดยกำลังแค้นพูดออกมามิได้ นางเลกีก็ร้องไห้กลิ้งเกลือกไปแล้วว่า ซีนเซงใจคอสาหัสนัก แต่บิดายังจะฆ่าเสีย สาอะไรกับข้าพเจ้าเป็นผู้อื่น เมื่อครั้งท่านจะถอดเสียจากที่ซีจู ข้าพเจ้าก็ได้ห้ามไว้ครั้งหนึ่ง หยอกข้าพเจ้าท่านจะฆ่าเสีย ข้าพเจ้าขอโทษไว้ครั้งหนึ่ง มาทำร้ายตัวท่านก็เพราะข้าพเจ้าแม่ลูก
จิ้นเฮียนก๋งนิ่งอยู่สักครู่หนึ่ง ก็พยุงนางเลกีให้ลุกขึ้นแล้วจิ้นเฮียนก๋งก็ออกข้างหน้า จึงสั่งให้หาขุนนางทั้งปวง แต่บรรดาขุนนางที่รู้ต่างคนต่างเข้ามา เฮาตุกนั้นป่วยมาช้านานกับลีเค็กบอกว่าตกเกวียนลงเดินไม่ได้ พีเปงฮูนั้นไม่อยู่ สามคนนี้หาได้ไปไม่ แต่ขุนนางทั้งปวงเข้ามาพร้อมกัน จิ้นเฮียนก๋งจึงเล่าเนื้อความให้ขุนนางทั้งปวงฟังว่า ซีจูซีนเซงทำผิดหลายข้อ ข้อหนึ่งหยอกนางเลกีผู้เป็นมารดาเลี้ยง เราก็ยกโทษเสียครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เอายาตายใส่สุรากับของกินมาให้เรา บุญเราไม่ควรตายชันสูตรดูจึงรู้ ซึ่งเราจะเลี้ยงสืบไปนั้นไม่ได้ ขุนนางทั้งปวงได้ยินดังนั้นต่างคนต่างแลดูกัน แล้วคิดแต่ในใจว่าของอันนี้ซีจูเอามาให้ค้างอยู่ข้างในถึงห้าวันหกวัน เหตุเกิดขึ้นในนั้นเอง ต่างคนต่างก็นิ่งก้มหน้าอยู่ ขณะนั้นตังกวยอูพวกนางเลกีจึงร้องขึ้นว่า ซีจูซีนเซงไม่ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าจะรับอาสาจับเอาตัวมาให้ท่าน จิ้นเฮียนก๋งก็ให้ตังกวยอูเป็นแม่ทัพ เลียงฮูเป็นปลัดทัพกับเกวียนสองร้อยเล่มยกไป ณ ซกอัก แล้วจึงว่า ซีจูมีทหารมากทั้งชำนาญในการศึกระวังตัวให้จงดี
ฝ่ายเฮาตุกป่วยอยู่ ณ บ้าน แต่งให้คนไปฟังข่าวราชการอยู่มิได้ขาด แจ้งความว่าตังกวยอูกับเลียงฮูยกไปตีซกอัก จึงให้คนสนิทไปแจ้งกับซีนเซง ซีนเซงจึงเอาเนื้อความไปบอกกับงวนกวนซึ่งเป็นครู งวนกวนจึงว่า ท่านจะตกใจไปไย เอาของไปก็ได้ถึงหกวันแล้วมาเกิดดังนี้ ขุนนางที่เขามีปัญญาก็ย่อมจะคิดเห็นอยู่ ตัวท่านจะนิ่งตายนั้นหาควรไม่ ซีนเซงจึงว่า บิดาเรานั้นเชื่อถือรักใคร่นางเลกี ถ้าเรามิตาย นางเลกีไม่มีความสุข ถึงเราจะไปแก้ตัว บิดาเห็นความจริงด้วยแล้วก็เห็นจะหาเอาโทษแก่นางเลกีไม่ เหมือนหนึ่งเราแกล้งให้บิดาเจ็บชํ้าน้ำใจไปอีก งวนกวนจึงว่า ถ้ามิดังนั้นหนีไปเสียต่างเมืองเถิดจึงค่อยคิดการต่อภายหลัง ซีนเซงจึงตอบว่า ตัวเรามีผิดไม่ บิดาไม่พิเคราะห์จะมาฆ่าเราเสียนั้น ถ้าเราหนีไปคนทั้งปวงก็จะสงสัยว่าเราใส่ยาตายจริง ชื่อเราก็ปรากฏเหมือนนกโฮซึ่งกินเนื้อบิดามารดาเสีย หัวเมืองทั้งปวงก็จะหัวเราะ เรามิรู้ที่จะไว้ตัวเลย จะสู้ถือความสัตย์แล้วถึงบิดาจะฆ่าเสียก็จะก้มหน้าตายไปตามกรรม แล้วเขียนหนังสือฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าซีนเซงผู้ผิดจะขอลาตาย แต่คิดวิตกถึงราชการด้วยบิดาก็ชราแล้ว ก๋งจูโต๊ะจูผู้น้องก็ยังเล็กอยู่ ขอให้เอาเฮาตุกช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง อาณาประชาราษฎร์จะได้อยู่เย็นเป็นสุข เขียนแล้วปิดไว้ที่ผนังตึก ผินหน้าไปข้างทิศเหนือต่อบิดาจึงกราบลงสามหนแล้วก็ผูกคอตาย เวลารุ่งขึ้นพวกกองทัพตังกวยอูถึงเข้ารู้ว่าซีนเซงตาย แล้วจับเอางวนกวนผู้เป็นครูใส่กรงมาให้จิ้นเฮียนก๋ง จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า ซีนเซงทำผิดรู้ตัวจะคิดหนีเห็นจะไม่พ้นจึงฆ่าตัวเสียนั้น งวนกวนเป็นพยานเราด้วย ซีนเซงจะคิดร้ายเราอย่างไรก็รู้อยู่กับใจงวนกวน งวนกวนจึงร้องว่า เทพยดาจงเป็นพยานข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้ายอมให้จับมาหวังจะให้เห็นความจริงของซีจูซีนเซง ด้วยเอาของมาค้างอยู่ข้างในถึงหกวันถ้าใส่ยาพิษแล้วจะเอาไว้ได้หรือ แต่คนกินเข้าไปยังตายลงทันใด เมื่องวนกวนว่านางเลกีอยู่ข้างในลับแลได้ยินดังนั้น จึงร้องออกมาว่า เจ้าพนักงานทำไมจึงไม่เอางวนกวนไปฆ่าเสีย ซีนเซงคิดการใหญ่ทั้งนี้ก็เพราะงวนกวนคิดให้ จิ้นเฮียนก๋งก็สั่งให้เล็กซูเอากระบองทองเหลืองทุบงวนกวนจนสมองศีรษะแตกตาย
ขณะนั้นตังกวยอูกับเลียงฮูร้องว่ากับอิวสีว่า ต๋งนีกับอีฮูเป็นพวกซีนเซง ถึงซีนเซงตายแล้วต๋งนีกับอีฮูยังอยู่ อิวสีแจ้งดังนั้นก็เอาเนื้อความเข้าไปบอกกับนางเลกี ครั้นเวลาคํ่านางเลกีเข้าไปร้องไห้บอกจิ้นเฮียนก๋งว่า ข้าพเจ้าได้ความว่าต๋งนีกับอีฮูร่วมคิดกับซีนเซง รู้ว่าซีนเซงตายมาโทษว่าตายเพราะข้าพเจ้า บัดนี้ฝึกทหารไว้จะยกเข้ามาตีเอาเมือง แล้วจะจับข้าพเจ้าฆ่าเสีย ขอท่านจงตรึกตรองดูอย่านอนใจ พอขุนนางคนหนึ่งมาบอกกับจิ้นเฮียนก๋งว่า ต๋งนีกับอีฮูยกเข้ามาถึงด่านรู้ว่าซีนเซงตายกลับไปเสีย จิ้นเฮียนก๋งแจ้งดังนั้นโกรธนักจึงว่า ต๋งนีกับอีฮูมาถึงแล้วไม่เข้ามาหาเรา กลับไปเสียเห็นจะเป็นพวกเดียวกับซีนเซงจะละไว้มิได้ ว่าแล้วก็สั่งสียินบุดถีให้คุมทหารออกไปตำบลภูเสียจับตัวต๋งนี แล้วให้เกียหัวไปกับคุดเตจับตัวอีฮู
ขณะนั้นเฮาตุกรู้จึงเรียกเฮาเอียนผู้บุตรเข้ามาบอกว่า ต๋งนีคนนี้ซี่โครงติดกันเป็นกระดูกแผ่นเดียว แววตาเป็นสองวงรูปร่างประหลาดกว่าคนทั้งปวงและฉลาดเฉลียว ลูกคนนี้นานไปจะได้เป็นใหญ่ เจ้ารีบพาต๋งนีหนีไปให้พ้นภัย เฮามัวพี่ของเจ้าก็อยู่โน่นคนหนึ่งแล้วรีบไปช่วยกันรักษาต๋งนีอย่าให้มีอันตราย เฮาเอียนรับคำบิดา ครั้นเวลาคํ่าก็ไปยังภูเสีย บอกเนื้อความกับต๋งนี ต๋งนีแจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษากับเฮามัวเฮาเอียนที่จะหนีให้พ้นภัย พอทหารเข้ามาบอกว่ากองทัพสียินบุดถีเข้ามาถึงเชิงกำแพง ขุนนางในเมืองให้ปิดประตูไว้ ต๋งนีจึงสั่งว่าอย่าปิดเลย บิดาสั่งให้เขายกมาเราหาขัดคำสั่งไม่ ทหารในเมืองก็เปิดประตูเสียตามคำต๋งนีสั่ง สียินบุดถีเห็นชาวเมืองเปิดประตูออกก็กรูกันเข้าไปล้อมตึกต๋งนีไว้ แล้วสียินบุดถีถือกระบี่เข้าไปในตึก เฮามัวเฮาเอียนเห็นดังนั้นก็พาต๋งนีไปทางสวนดอกไม้ เฮามัวเฮาเอียนโดดขึ้นบนกำแพงสวน ฉุดเอาต๋งนีขึ้นไปบนกำแพง พอสียินบุดถีมาทันฉวยได้ชายเนื้อก็เอากระบี่ฟันถูกเนื้อต๋งนีขาด ต๋งนีเฮามัวเฮาเอียนก็โดดจากกำแพงหนีไปเมืองเต๊ก ฝ่ายสียินบุดถีอยู่ในกำแพง ครั้นต๋งนีโดดกำแพงหนีออกไปเห็นจะตามมิทัน ได้แต่ชายเสื้อต๋งนีเอามาให้กับจิ้นเฮียนก๋ง แล้วแจ้งความให้ฟังทุกประการ
ฝ่ายเจ้าเมืองเต๊กเวลาคํ่าวันนั้นนอนอยู่ในที่ ฝันเห็นว่ามังกรตัวหนึ่งพันอยู่บนเสมากำแพง ครั้นตื่นขึ้นก็นึกแต่ในใจว่า ฝันนี้ประหลาดเห็นจะมีผู้มีบุญมาเมืองเรา ครั้นเวลาเช้าก็ออกข้างหน้า พอมีผู้เข้ามาบอกว่า ต๋งนีหนีจิ้นเฮียนก๋งมาจะอาศัยท่าน เจ้าเมืองเต๊กก็ออกไปรับพาต๋งนี เฮามัว เฮาเอียน เข้ามาถึงประตูเมือง ต๋งนีแลไปข้างหลังเห็นทหารยกตามมาเป็นอันมาก ต๋งนีสำคัญว่าสียินบุดถีก็สั่งให้ปิดประตูเมืองเสีย เจ้าเมืองเต๊กก็สั่งให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินแล้ว เจ้าเมืองเต๊กพาต๋งนี เฮามัว เฮาเอียน ขึ้นไปนั่งอยู่บนหอรบ
ฝ่ายเตียวสวยครั้นมาถึงเชิงกำแพง เห็นประตูเมืองปิดอยู่แลเห็นทหารบนเชิงกำแพงนั้นขึ้นเกาทัณฑ์จะยิง จึงร้องว่าอย่าเพิ่งยิงก่อน เรามาตามเจ้าของเราดอก ต๋งนีแลไปเห็นเตียวสวยก็จำได้ว่าเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนในเมืองจิ้น จึงบอกเจ้าเมืองเต๊กว่า ไตหูคนนี้มาเราไม่เป็นทุกข์ แล้วก็สั่งทหารให้เปิดประตูรับ เตียวสวยก็เข้าไปคำนับต๋งนีกับเจ้าเมืองเต๊ก ต๋งนีจึงถามว่าไตหูทำราชการในเมืองจิ้นเหตุไรจึงพากันตามเรามา เตียวสวยคำนับแล้วบอกว่า จิ้นเฮียนก๋งทำให้ผิดอย่างธรรมเนียม เชื่อฟังนางเลกีภรรยาน้อย ฆ่าซีจูซีนเซงพี่ของท่านเสีย ข้าพเจ้าเห็นว่าบ้านเมืองจะเกิดจลาจล จึงพาซุนฉิน งุยฉิน ฮูเฉีย โกเตียนเกียด ไกจือฉุย เซียนฉิน ตามมาหวังจะช่วยท่าน ยังลีซกจะคุมคนมาข้างหลังอีก ต๋งนีเห็นขุนนางทั้งปวงตามมามากคิดถึงบิดานํ้าตาตกแล้วว่า ท่านทั้งปวงติดตามมาครั้งนี้ ใช่เนื้อก็เหมือนเนื้อ ใช่ญาติก็เหมือนญาติ ถึงเราจะตายก็ไม่ลืมคุณท่าน
งุยฉินจึงว่า ท่านมาอยู่เมืองภูเสีย ยกไปตีเอาเมืองจิ้นเห็นขุนนางในเมืองจิ้นก็จะเป็นใจด้วยท่าน จงคิดอ่านจับเสี้ยนหนามแผ่นดินที่ยุยงบิดาท่านมาฆ่าเสีย บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุข การทั้งปวงก็จะเป็นสิทธิ์อยู่กับท่าน ข้าพเจ้าเห็นดีกว่าเที่ยวอาศัยเขา ต๋งนีจึงว่า จะทำเหมือนท่านว่านั้นก็ได้อยู่ แต่กลัวบิดาเราจะตกใจก็จะมีโทษแก่เรา ซึ่งจะทำดังนั้นเราไม่เห็นด้วย งุยฉิวกัดฟันกระทืบเท้าว่า ท่านกลัวนางเลกียิ่งกว่าเสืออีก จะนิ่งอยู่ฉะนี้เมื่อไรจะได้เมืองของบิดาเล่า เฮาเอียนจึงว่ากับงุยฉิวว่า ก๋งจูต๋งนีมีอายุแต่สิบเจ็ดปี เรากับเตียวสวยก็ได้สั่งสอนมาอยู่ใช่จะกลัวนางเลกีนั้นหาไม่ แต่คนข้างนอกที่ไม่รู้ก็จะว่าลูกไปตีเมืองพ่อ กลัวความนินทานัก ด้วยต๋งนีเป็นคนมีกตัญญูทั้งนํ้าใจก็โอบอ้อมอารีกับขุนนางและไพร่บ้านพลเรือน ต๋งนีตกยากลงครั้งนี้ ขุนนางทั้งปวงต่างคนทุกข์ร้อนด้วยติดตามมาหวังจะช่วยทุกข์ต๋งนี งุยฉิวได้ยินเฮาเอียนว่าก็นิ่งอยู่
ฝ่ายคับโยย ลีอี้เสง เค็กเสีย สามคนเป็นพี่น้องต่างมารดาอีฮู พากันหนีตามอีฮูไปเมืองคุด ครั้นถึงจึงบอกอีฮูว่า จิ้นเฮียนก๋งให้เกียหัวถืออาญาสิทธิ์มาจับท่านฆ่าเสีย ไม่เช้าก็เย็นเกียหัวจะมาถึง อีฮูจึงสั่งให้ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ทุกตำบล ขณะเมื่อเกียหัวยกมาถึงกลางทาง จึงคิดแต่ในใจว่าอีฮูหามีความผิดไม่ จิ้นเฮียนก๋งจะฆ่าเสียก็เพราะอุบายนางเลกี เกียหัวก็แกล้งรอกองทัพค่อยเดินให้ช้าอยู่ แล้วเรียกคนสนิทเข้ามากระซิบสั่ง ให้รีบไปแจ้งความแก่อีฮูให้อีฮูเร่งหนีเสียจากเมือง ฝ่ายอีฮูจัดแจงหน้าที่เชิงเทินอยู่นั้น พอคนใช้เกียหัวเข้ามาบอก จึงปรึกษากับคับโยยว่า ต๋งนีหนีไปอยู่เมืองเต๊กเราจะตามไปด้วย ท่านจะเห็นประการใด คับโยยจึงว่า บิดาสั่งไว้ว่าท่านพี่น้องคบคิดกัน จึงสั่งให้ยกทัพมาจับท่าน ถ้าต่างคนต่างอยู่เห็นนางเลกีจะไม่มีความสงสัย ท่านหนีไปอยู่เมืองเหลียงเถิด ด้วยเมืองเหลียงนั้นไกลกับเมืองจิ้น เป็นเมืองไมตรีกับท่านอยู่ บิดาท่านก็แก่แล้ว ถ้าหาบุญไม่จะยืมทหารเมืองจิ๋นกลับไปคืนเอาเมืองเราก็เห็นจะได้โดยง่าย อีฮูเห็นชอบด้วยก็พากันหนีไปอยู่เมืองเหลียง เกียหัวครั้นยกมาถึงเมืองคุดรู้ว่าอีฮูหนีไปแล้วก็มิได้ติดตามไป กลับมาแจ้งแก่จิ้นเฮียนก๋งว่า อีฮูหนีไปจากเมืองคุดหารู้ว่าไปตำบลใดไม่
จิ้นเฮียนก๋งได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ลูกทั้งสองคนจับไม่ได้สักคนหนึ่ง ไปป่วยการเสียเปล่า ก็สั่งให้เอาเกียหัวไปฆ่าเสีย พีเปงฮูจึงว่ากับจิ้นเฮียนก๋งว่า ซึ่งเกียหัวไปจับอีสูไม่ได้ตัวมานั้น เพราะท่านสร้างเมืองทั้งสองตำบลไว้ แล้วให้ทหารไปอยู่รักษาก็หาอยู่ตามคำท่านสั่งไม่ กลับหนีไปกับบุตรท่านทั้งสอง ข้าพเจ้าเห็นว่าโทษหามีกับเกียหัวไม่ เสียงฮูจึงว่ากับจิ้นเฮียนก๋งว่า อีฮูเป็นคนปัญญาน้อยจะทำการสิ่งใดไม่ตลอด ข้าพเจ้าวิตกอยู่แต่ต๋งนีนั้นมีสติปัญญา คนทั้งปวงก็นับถือรักใคร่ ทั้งขุนนางในเมืองจิ้นก็หนีตามไปเป็นอันมาก แล้วเมืองเต๊กกับเมืองเราก็เป็นอริกันอยู่ ถ้าท่านจะนิ่งอยู่ฉะนี้ นานไปจะเกิดศึกเป็นมั่นคง จิ้นเฮียนก๋งเห็นชอบด้วยจึงสั่งสียินบุดถีให้คุมทหารไปตีเมืองเต๊ก เกียหัวนั้นก็ยกโทษเสีย ให้ไปทำการแก้ตัวกับสียินบุดถี สียินบุดถีกับเกียหัวคำนับลาจิ้นเฮียนก๋งออกมาจัดแจงทหารพร้อมแล้วก็ยกไปตีเมืองเต๊ก เจ้าเมืองเต๊กรู้ก็ยกออกมาตั้งรับอยู่ตำบลไซสอง ตั้งรอกันอยู่ประมาณสองเดือนเศษ
เมื่อสียินบุดถียกทัพไปจากเมืองจิ้นแล้ว ภายหลังพีเปงฮูจึงว่ากับจิ้นเฮียนก๋งว่า พ่อกับลูกนั้นคงจะตัดกันไม่ขาด แล้วลูกท่านทั้งสองนั้นไม่มีข้อผิดสิ่งใด จะว่าร่วมคิดกับซีนเซงก็หาเป็นแน่ได้ไม่ บัดนี้ก็หนีไปเสียแล้ว ยังจะให้ตามไปฆ่าเสียนั้นการก็จะมิลุกลามมากไปหรือ อันจะไปทำกับเมืองเต๊กให้ชนะโดยเร็วนั้นยากอยู่ ซึ่งสียิดบุดถีกับเกียหัวไปนั้นข้าพเจ้าเห็นป่วยการเสียเปล่า หัวเมืองทั้งปวงจะหัวเราะเล่น จิ้นเฮียนก๋งเห็นชอบด้วย จึงมีหนังสือให้หากองทัพสียินบุดถีกลับมา แล้วคิดแต่ในใจว่าบุตรชายเรายังหลายคน เกลือกจะเป็นใจกันกับต๋งนีอีฮู นานไปข้างหน้าจะชิงบ้านเมืองกับฮีเจ๋ พวกอยู่ในเมืองจะเป็นไส้ศึกขึ้น จึงสั่งให้ขับลูกและญาติพี่น้องไปเสียจากเมือง แล้วตั้งฮีเจ๋ขึ้นเป็นซีจู เสียงหู ตังกวยอู ซุนเซก สามคนนี้ยินดี แต่ขุนนางทั้งปวงนั้นคิดถึงซีจูซีนเซงแล้วนํ้าตาตก ตั้งแต่นั้นมาต่างคนก็บอกป่วย บอกชราออกเสียจากที่ตำแหน่งขุนนางกลับไปอยู่บ้านเป็นอันมาก
เมื่อจิ้นเฮียนก๋งเป็นเจ้าเมืองอยู่ในเมืองจิ้นได้ยี่สิบปี ครั้งนั้นศักราชพระเจ้าจิวเซียงอ๋องเป็นปีแรก เดือนเก้า จิ้นเฮียนก๋งจะไปทำสัตย์กันที่คุยขีว ไปไม่ทันก็ยกกลับมาถึงกลางทางป่วยลง ครั้นเข้าไปในเมืองหมอเข้ามาพยาบาล โรคไม่คลายหนักลงทุกวัน นางเลกีเห็นดังนั้นมีความทุกข์เป็นอันมาก เข้าไปนั่งอยู่ที่ริมเท้าแล้วก็ร้องไห้ว่าเพราะท่านไปทำสัตย์ ณ เมืองหลวง เจ็บหนักมาแต่กลางทางทั้งนี้ก็เพราะกรรมของข้าพเจ้า ท่านเมตตาเลี้ยงข้าพเจ้าจนขับลูกของท่านเสียตั้งฮีเจ๋ลูกข้าพเจ้าขึ้นเป็นที่ซีจูคุณหาที่สุดมิได้ ถ้าหาบุญไม่เวลาใดลูกท่านก็จะยกมา คนในเมืองที่เป็นพวกพ้องเข้าก็จะช่วยกัน ตัวข้าพเจ้าเป็นหญิง ฮีเจ๋ยังเป็นเด็กอยู่แม่ลูกจะหันหน้าไปพึ่งผู้ใด จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า เจ้าอย่าวิตกเลย เราได้มอบฮีเจ๋ไว้กับสุยสิด ให้ช่วยบำรุงรักษาบ้านเมืองแทนตัวเราสืบไป สุยสิดเป็นคนมีความสัตย์ รับคำเราแล้วเห็นจะไม่เป็นใจสอง แล้วให้หาสุยสิดเข้ามาจึงว่า แต่ก่อนเราได้มอบฮีเจ๋ไว้ให้ท่านเป็นครูสั่งสอน ฮีเจ๋ก็รักใคร่ท่าน บัดนี้ตัวเราป่วยหนักเห็นจะไม่ได้อยู่รักษาบ้านเมืองสืบไป ท่านจงช่วยทำนุบำรุงฮีเจ๋ให้รักษาบ้านเมืองแทนตัวเราจะได้หรือมิได้ สุยสุดจึงว่า ท่านมีพระคุณกับข้าพเจ้า ก็ยังหาได้สนองพระคุณสิ่งใดไม่ อันฮีเจ๋นั้นข้าพเจ้าจะรับธุระ ถึงจะเป็นประการใดก็จะสู้เอาชีวิตสนองพระคุณท่าน จิ้นเฮียนก๋งจึงว่า ซึ่งท่านว่านั้นขอบใจนัก พอโรคกำเริบหนักขึ้นจิ้นเฮียนก๋งก็ขาดใจตาย
สุยสิดเห็นดังนั้นก็สั่งให้จัดแจงการศพตามอย่างเจ้าเมืองเอก นางเลกีนั้นร้องไห้เป็นอันมาก และจิ้นเฮียนก๋งหาสุยสิดเข้ามาฝากฮีเจ๋นั้นต่อหน้านางเลกี ครั้นจิ้นเฮียนก๋งตายแล้ว นางเลกีก็เอาฮีเจ๋มามอบให้สุยสิด ขณะนั้นฮีเจ๋อายุได้สิบเอ็ดขวบ สุยสิดจึงให้ฮีเจ๋นุ่งขาวห่มขาวอยู่รักษาศพบิดา ขุนนางทั้งปวงก็เข้ามาอยู่ตามตำแหน่ง นางเลกีจึงตั้งสุยสิดเป็นเสียงเขงให้ว่าราชการทั้งฝ่ายทหารพลเรือน จึงตั้งเลียงฮูตังกวยอูเป็นสุมาปลัดซ้ายขวา แล้วเลียงฮูตังกวยอูจัดแจงให้ทหารออกตระเวนทั้งนอกเมืองในเมือง แล้วจัดแจงให้รักษาประตูทุกประตูมิให้คนละลุมละเล้า ราชการเมืองจิ้นครั้งนั้นสิทธิ์ขาดอยู่กับสุยสิด สุยสิดจึงว่ากล่าวสิ่งใดขุนนางทั้งปวงก็ยำเกรงเชื่อฟัง สุยสิดตั้งให้ฮีเจ๋เป็นที่สีนกุ๋น แล้วสั่งให้ทำกฎหมายแจกไปแต่บรรดาหัวเมืองขึ้น