- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๒๙
จิ้นฮุยก๋งครั้นได้เป็นเจ้าเมืองจิ้นแล้วให้คิดเสียดายหัวเมืองห้าตำบล จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงแต่บรรดามาพร้อมกันอยู่ในที่ว่าราชการ ต่างคนต่างก้มหน้านิ่งอยู่ แต่เค็กเสียนั้นเหลียวหน้ามาแลดูลีอี้เสง ลีอี้เสงจึงว่า เมื่อท่านยังไม่ได้เมืองเกรงว่าจะมีเสี้ยนหนามจึงต้องบนเมืองจิ๋นให้ช่วย ครั้นเมื่อท่านเข้ามาในเมืองก็ได้โดยปกติ มิได้มีผู้ใดขัดขวางช่วงชิง ทัพเมืองจิ๋นก็หาได้ช่วยสิ่งใดไม่ เป็นแต่ยกกองทัพมากับเมืองเจ๋ เมืองจิวก็เหมือนกัน ถึงท่านไม่ให้จะทำไมกับท่านได้ ลีเค็กได้ยินดังนั้นจึงว่ากับลีอี้เสงว่า ท่านว่านั้นผิดอยู่ เมืองจิ๋นเราได้ให้หนังสือสัญญาไว้ ครั้นสำเร็จการแล้วจะมาเสียสัตย์กับเขา เมืองจิ๋นก็เป็นเมืองเอกทหารก็มีมาก ข้าพเจ้าเห็นว่าให้เขาตามสัญญาจึงจะชอบ
คับโยยจึงว่า ซึ่งจะให้เขาถึงห้าหัวเมือง เหมือนเสียเมืองจิ้นไปกึ่งหนึ่ง ถึงมาตรว่าเมืองจิ๋นจะมีรี้พลมากจะเข้ามาตีเอาหัวเมืองนี้ก็เต็มยากอยู่ แล้วท่านแต่ก่อนอุตส่าห์รบพุ่งมาสักร้อยครั้งจึงได้ที่อันนี้ ลีเค็กจึงว่า รู้ว่าท่านแต่ก่อนรบพุ่งมาได้โดยลำบาก ทำไมจึงไปบนเขาเล่า ซึ่งจะไม่ให้ตามสัญญานั้นจะมิขัดเคืองกับเมืองจิ๋นหรือ ถึงท่านแต่ก่อนแรกตั้งเมืองนั้นก็ตั้งได้ที่ซกอัก แผ่นดินก็น้อยหนักหนาค่อยเพียรรบเอาบ้านเล็กเมืองน้อยจึงได้ใหญ่ขึ้นเพียงนี้ ถึงจะเสียไปห้าหัวเมืองเท่านั้น แต่อุตส่าห์บำรุงอาณาประชาราษฎร์ ทำไมตรีกับหัวเมืองทั้งปวงให้มีใจสุจริตต่อแล้ว จึงค่อยเพียรทำไป ทำไมจะไม่ได้ห้าหัวเมืองนี้หรือ
คับโยยตวาดเอาลีเค็กว่า เรารู้เท่าอยู่ซึ่งถ้อยคำของตัวว่านั้นจะเป็นใจด้วยเมืองจิ้นก็หาไม่ แต่คิดอ่านว่ากล่าวทั้งนี้เพราะจะใคร่ได้สินบนของตัว ซึ่งเจ้ารับบนไว้กับตัวนั้นกลัวจะไม่ได้หรือ จึงต้องยกเอาความเมืองจิ๋นมาเปรียบ พีเปงฮูเอาศอกแขยะเอาลีเค็ก ลีเค็กก็นิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด จิ้นฮุยก๋งจึงว่า ครั้นเราจะไม่ให้ก็จะเสียสัตย์ ครั้นจะให้ไปเล่าก็จะเข้าใจว่าเรากลัวเกรงนัก ถ้าจะแบ่งให้แต่เมืองหนึ่ง สองเมืองนั้นเหมือนแกล้งยุให้เขามาทำอันตรายเมืองเรา
จิ้นฮุยก๋งว่า ถ้าดังนั้นท่านจงทำหนังสือผัดฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า เราได้เมืองจิ้นนี้ก็เพราะบุญก๋งจูบุน ซึ่งเราบนห้าหัวเมืองจะให้กับก๋งจูบุนนั้น ครั้นปรึกษาขุนนางทั้งปวงเขาว่าแผ่นดินอันนี้เป็นของปู่ย่าตายายมาแต่เดิม ตัวพลัดออกไปอยู่เมืองเลียง ทำไมจึงเอาหัวเมืองเหล่านี้ไปบนเสีย เราได้ทุ่มเถียงกับขุนนาง ขุนนางไม่ยอมจะยกให้ เราจงขอผัดไปสักปีหนึ่งก่อนเถิด บ้านเมืองเป็นปกติแล้วจึงจะคิดผ่อนปรนให้ แต่คุณของก๋งจูบุนนั้นเราหาลืมไม่ ลีอี้เสงแต่งหนังสือแล้วก็ส่งให้จิ้นฮุยก๋ง จิ้นฮุยก๋งจึงถามว่า ผู้ใดจะอาสาถือหนังสือไปให้กับเจ้าเมืองจิ๋นได้ พีเปงฮูจึงว่า ข้าพเจ้าจะรับอาสาไป และเมื่อจิ้นฮุยก๋งแรกจะเข้ามานั้นบนไว้ว่า จะให้นากับลีเค็กร้อยหมื่น จะให้พีเปงฮูเจ็ดสิบหมื่น ครั้นได้เมืองแล้วหาให้ไม่ คนทั้งสองมีความน้อยใจแต่ไม่อาจจะออกปาก พีเปงฮูคำนับส่งหนังสือให้ก๋งจูบุน ก๋งจูบุนรับมาอ่านดูแจ้งดังนั้นก็โกรธเอามือตบโต๊ะลงแล้วว่า ทำให้อ้ายโจรลวงเราเล่นได้ แต่แรกเราก็รู้อยู่ว่าอีฮูไม่ควรเป็นเจ้าเมือง จะให้เอาพีเปงฮูไปฆ่าเสีย
กงซุนกีจึงว่า พีเปงฮูหามีความผิดสิ่งใดไม่ ขอท่านอย่าเพิ่งโกรธก่อน ก๋งจูบุนได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า ขุนนางผู้ใดเล่าที่ทัดทานอีฮูไม่ยอมให้แผ่นดินกับเรา พีเปงฮูได้ยินก๋งจูบุนถามดังนั้น จึงคิดในใจครั้นจะบอกตามจริงกลัวความจะรู้ไปถึงจิ้นฮุยก๋ง ครั้นจะมิบอกเล่าก็กลัวก๋งจูบุน พีเปงฮูทำอิดเอื้อนอยู่ แล้วแลดูก๋งจูบุน ก๋งจูบุนรู้กิริยาพีเปงฮูก็ลุกเดินเข้าไปในฉาก จึงสั่งกงซุนกีให้พาพีเปงฮูเข้าไป กงซุนกีกับพีเปงฮูก็ตามเข้าไป พีเปงฮูคุกเข่าลงคำนับแล้วบอกว่า แต่บรรดาขุนนางในเมืองจิ้น ผู้ใดที่จะไม่คิดถึงคุณท่านนั้นหามิได้ ยอมจะยกหัวเมืองห้าตำบลให้ท่านอยู่ทุกคน เว้นแต่ลีอี้เสงกับคับโยยขัดขวางไว้แล้วพูดจาองอาจนัก อีฮูก็พลอยเห็นไปด้วย
ก๋งจูบุนจึงว่า เดิมเราคิดจะเอาต๋งนีเป็นเจ้าเมือง แต่ต๋งนีอิดออดอยู่ แล้วอีฮูมีหนังสือมา ลีอี้เสงเป็นคนเขียน ทำไมเราจะได้พบลีอี้เสงกับคับโยยซึ่งอีฮูเชื่อถือว่าเป็นคนความคิดดี พีเปงฮูจึงว่า ถ้าท่านจะ ใคร่ได้ตัวคนทั้งสองนั้น อย่าว่าให้สะดุ้งสะเทือน ให้แต่สิ่งของไปกับจิ้นฮุยก๋ง เห็นจิ้นฮุยก๋งจะให้ลีอี้เสงกับคับโยยมาขอบคุณท่าน ท่านจึงจับตัวฆ่าเสีย แล้วขอให้รับต๋งนีมาเป็นเจ้าเมืองจิ้น การข้างในเมืองนั้นข้าพเจ้ากับลีเค็กจะรับจัดแจงให้สำเร็จ ถ้าได้ต๋งนีมาเป็นเจ้าเมืองแล้ว เหมือนแผ่นดินเมืองจิ้นเป็นของท่าน จะสนองพระเดชพระคุณท่านไปกว่าจะสิ้นชีวิต ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ขอท่านจงตรึกตรองดูเถิด ก๋งจูบุนจึงว่า ซึ่งถ้อยคำของท่านว่านั้นดีนัก ต้องกับนํ้าใจเราคิด แล้วเขียนหนังสือฉบับหนึ่งกับหนังสือสัญญาอีฮูให้มานั้นเข้าผนึกเดียวกันส่งให้พีเปงฮูไปให้จิ้นฮุยก๋ง พีเปงฮูรับหนังสือและสิ่งของแล้วคำนับลาไป
ขณะเมื่อพีเปงฮูเป็นทูตไปเมืองจิ้นนั้น อยู่ภายหลังคับโยยเข้าไปว่ากับจิ้นฮุยก๋งว่า ทุกวันนี้ท่านยกเอาราชการเมืองมาเสียจากลีเค็ก แล้วบนนาเขาร้อยหมื่นก็หาได้ให้เขาไม่ ลีเค็กมีความน้อยใจท่าน แล้วลีเค็กกับต๋งนีก็ชอบอัชฌาสัยกัน ซึ่งท่านได้เป็นเจ้าเมืองนี้ก็เพราะบุญของท่าน ใช่ว่าได้เพราะลีเค็กเมื่อไรมี เมื่อจะไปรับท่านนั้นลีเค็กก็หายอมไม่ ว่าท่านเป็นคนโลภที่ไหนจะรักษาบ้านเมืองได้ เขาลงใจข้างต๋งนีต่างหาก ข้าพเจ้าเห็นว่าต๋งนียกเข้ามา ลีเค็กอยู่ในเมืองเราจะมิรักษายากหรือ ถ้าคิดฆ่าลีเค็กเสียเหมือนตัดหนทางต๋งนีได้ เราก็จะสิ้นธุระจะได้ระวังแต่ฝ่ายเดียว
จิ้นฮุยก๋งจึงว่า ลีเค็กนั้นมีความชอบแต่หลัง ซึ่งจะฆ่าเสียนั้นเขาหามีข้อผิดไม่ คับโยยจึงว่า ลีเค็กฆ่าโต๊ะจูเสีย แล้วฆ่าสุยสิดซึ่งเป็นข้าหลวงเดิมโทษนั้นใหญ่หลวงอยู่ ความชอบเขาก็เป็นแต่ส่วนตัวเขาเอง ซึ่งข้าพเจ้าว่านี้เป็นการแผ่นดิน ถ้าท่านสั่งให้ชำระแล้วโทษลีเค็กก็คงจะมี จิ้นฮุยก๋งจึงว่าถ้าดังนั้นไตหูจงถามดูเถิด
คับโยยได้ทีแล้วก็ไปบ้านลีเค็กว่ากับลีเค็กว่า จิ้นฮุยก๋งใช้เรา เราจึงต้องมาถามท่านว่า ข้อซึ่งท่านรับจิ้นฮุยก๋งเข้ามานั้นเป็นความชอบของท่าน จิ้นฮุยก๋งหาลืมไม่ ซึ่งท่านฆ่าก๋งจูโต๊ะจูฮีเจ๋เสียถึงสองคน สุยสิดเป็นขุนนางผู้ใหญ่แล้วเป็นข้าหลวงเดิมมาหามีความผิดไม่ท่านก็ฆ่าเสียด้วย ตัวท่านก็รู้กฎหมายอย่างธรรมเนียมอยู่ ท่านฆ่าลูกเจ้า ฆ่าขุนนางเสียนี้จะมีโทษหรือหาไม่ ท่านจงตรึกตรองดูเถิด
ลีเค็กได้ยินคับโยยว่าดังนั้นรู้ว่าจิ้นฮุยก๋งแกล้งพาลเอาผิด จึงคิดแต่ในใจว่าจิ้นฮุยก๋งนี้จะพูดจาสิ่งใดก็ไม่ยั่งยืน หารู้จักคนดีและคนชั่วไม่ ซึ่งเราว่าให้ยกหัวเมืองให้เขาตามสัญญานั้น เป็นความจริงใจหวังจะมิให้ขัดเคืองกันกับเมืองจิ๋น คับโยยกลับว่าเราเป็นผิด เอาความอันนี้ไปยุจิ้นฮุยก๋ง เมื่อจิ้นฮุยก๋งรักคนสอพลออยู่ดังนี้ เราจะทำราชการตอไปก็ป่วยการเสียเปล่า มาตรว่าครั้งนี้จะไปว่ากล่าวให้จิ้นฮุยก๋งเห็นผิดและชอบปลดเปลื้องตัวไปได้ ภายหลังก็จะมีความมาอีก อายุเราก็ถึงเพียงนี้ จะมาให้คนดูหมิ่นได้ความเจ็บใจต้องการอะไรมี ผิดก็ก้มหน้าตายเสียดีกว่า ลีเค็กคิดดังนั้นแล้วจึงตอบคับโยยว่า การซึ่งเราทำนั้นหาผิดการแผ่นดินไม่ เมื่อจะแกล้งเอาโทษกันแล้ว ยากอะไรกับจะเอาผิดมาใส่กัน เราก็หารักจะทำราชการไม่ ว่าแล้วก็ลุกขึ้นชักกระบี่ออกแหงนหน้าขึ้นร้องว่า ใจเราซื่อตรงนัก ถ้าผู้ใดมาเป็นเจ้าก็ช่วยรักษาแผ่นดิน เราหามีความผิดไม่ แกล้งพาลจะเอาโทษเราถึงตาย เทพยดาจงเป็นพยานด้วยเถิด ว่าแล้วเอากระบี่เชือดคอตาย
คับโยยเห็นดังนั้นก็เอาเนื้อความมาแจ้งกับจิ้นฮุยก๋ง จิ้นฮุยก๋งมีความยินดีนัก ตั้งแต่ลีเค็กตายแล้วขุนนางทั้งปวงคิดเสียใจ ต่างคนต่างบอกป่วยออกจากราชการเป็นอันมาก แล้วมีผู้มาบอกจิ้นฮุยก๋งว่า คีกี ยงก๊ก เกียหัว ตุยฉวน นินทาว่าท่านหาเป็นสัตย์ธรรมไม่ เชื่อถือคับโยยลีอี้เสงพาลฆ่าลีเค็กเสีย จิ้นฮุยก๋งโกรธจะให้ไปจับขุนนางทั้งสี่คนมาทำโทษ คับโยยจึงห้ามว่า ขุนนางสี่คนนี้เป็นพวกกันกับพีเปงฮู พีเปงฮูยังไปอยู่เมืองจิ๋น ถ้ารู้ไปเห็นจะไม่กลับมา ขอให้งดโทษขุนนางสี่คนไว้ก่อน จิ้นฮุยก๋งก็ยอมตามคำคับโยย แล้วจิ้นฮุยก๋งปรึกษาคับโยยว่า แรกเราเข้ามาเมืองจิ้นนั้น นางเป๊กกีมีหนังสือมาถึงเราว่าให้ปฏิบัตินางแกกุ๋น แต่บรรดาเชื้อวงศ์ซึ่งไม่มีความผิดนั้นให้รับเอามารวบรวมรักษาไว้
คับโยยจึงว่า แต่บรรดาเชื้อวงศ์ซึ่งมิได้คิดจะเอาบ้านเมืองหามีความผิดไม่ก็จริง แต่ซึ่งจะเอามาไว้ในเมืองนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย ข้อซึ่งจะให้ปฏิบัตินางแกกุ๋นนั้นชอบอยู่ จิ้นฮุยก๋งได้ยินคับโยยว่าดังนั้นมิได้ตอบประการใด แล้วกลับไปที่ข้างในตรงไปตึกนางแกกุ๋น ครั้นเข้าไปถึงพบนางแกกุ๋นนั่งอยู่ให้มีใจยินดีคิดรักจะใคร่ได้เป็นภรรยา จึงว่ากับนางแกกุ๋นว่า นางเป๊กกีสั่งมาให้เราเลี้ยงดูเจ้า เราก็จะช่วยทำนุบำรุงเจ้าอย่าขัดขืนเราเลย ว่าแล้วก็เข้ากอดนางแกกุ๋น หญิงคนใช้ซึ่งนั่งอยู่เห็นดังนั้นก็ชวนกันหัวเราะแล้วต่างคนก็หลบไปเสีย นางแกกุ๋นมีความอดสูจะตามสาวใช้ออกไป จิ้นฮุยก๋งฉุดมือไว้แล้วว่าเจ้ายอมเป็นภรรยาเราโดยดีเถิด เราจะเลี้ยงเจ้าให้เป็นสุข ซึ่งจะบิดพลิ้วไปนั้นจะพ้นมือเราไปแล้วหรือ
นางแกกุ๋นจึงคิดแต่ในใจว่า ถ้าจะดื้อดึงอยู่จิ้นฮุยก๋งขัดใจก็จะทำโทษ นางแกกุ๋นคิดกลัวก็จำใจยอมด้วยจิ้นฮุยก๋ง แล้วนางแกกุ๋นก็ร้องไห้ว่า ตัวข้าพเจ้าอยู่กับจิ้นเฮียนก๋งก็ไม่ตลอด บัดนี้มาเสียตัวกับท่านก็ไม่คิดอาลัยแล้ว ขอท่านช่วยชำระความแค้นซีนเซงด้วย ข้าพเจ้าจะได้เอาความอันนี้ไปแจ้งแก่นางเป๊กกี เหมือนถ่ายโทษตัวซึ่งยินยอมกับท่าน จิ้นฮุยก๋งจึงตอบว่า โต๊ะจูเขาก็ฆ่าเสียแล้ว ความแค้นซีจูก็สิ้นอยู่เพียงนั้น
นางแกกุ๋นจึงว่า ศพของซีจูฝังอยู่ที่ซกอัก ยังหาได้ทำกุฏิไม่ ขอท่านจงฝังเสียใหม่ช่วยทำกุฏิใส่ไว้ อาณาประชาราษฎร์จะได้มีความยินดี จิ้นฮุยก๋งก็รับคำนางแกกุ๋นแล้วกลับมาใช้ให้คับอิดไป ณ ซกอัก ดูที่ชอบกลจะให้ขุดศพฝังใหม่ แล้วสั่งเฮาตุกให้เอาเครื่องเซ่นไปเซ่นศพซีนเซง คับอิดเฮาตุกให้พากันไปถึงที่ซกอัก คับอิดก็จัดแจงโลงใหม่แล้วขุดลงไปถึงศพซีนเซง เห็นหน้าซินเซงปกติอยู่เหมือนเมื่อเป็นแต่กลิ่นนั้นเหม็นนักคนที่ขุดทนไม่ได้ บางคนเอามือปิดจมูกและปาก บางคนให้อาเจียนออกมา จึงว่าซึ่งจะให้ขุดต่อไปนั้นเหม็นทนไม่ได้ คับอิดจึงจุดธูปเทียนขึ้นบูชาแล้วว่า เมื่อตัวท่านยังเป็นอยู่นั้นเป็นคนมีนํ้าใจและกายสะอาด ครั้นตายแล้วทำไมจึงเหม็นนัก แล้วคับอิดอธิษฐานว่ากลิ่นซึ่งเหม็นนั้นขอให้กลับหอมเถิด กลิ่นอาสภนั้นก็หอมดุจคำอธิษฐาน คนทั้งปวงก็เข้าช่วยกันยกศพซีนเซงลงใส่โลงใหม่ เอาไปฝังไว้ที่สูงก่อกุฏิสวมไว้ แล้วจารึกอักษรไว้ที่ประตูกุฏิว่า ศพซีจูซีนเซง แต่บรรดาชายหญิงซึ่งไปส่งสการศพต่างคนต่างร้องไห้รักซีนเซงเป็นอันมาก ครั้นเอาศพไปฝังครบสามวันแล้ว เฮาตุกเอาเครื่องเซ่นของจิ้นฮุยก๋งไปเซ่น เซ่นแล้วก็เอาเหล้ามากิน เฮาตุกกินเหล้าเหลือกำลังเมานัก คนใช้ก็พยุงไปไว้ที่กงก๋วน เฮาตุกหลับไปฝันเห็นว่ามีกระบวนแห่ถือธงมาข้างหน้า แลไปเห็นแต่ม้าและรถ เฮาตุกคิดจะหลบเสีย พอเห็นงวนกวนนุ่งขาวห่มขาวลงจากรถเข้ามาคำนับแล้วว่า ซีนเซงให้มาเชิญ เฮาตุกจึงถามว่า ซีจูอยู่ไหนเล่า งวนกวนชี้บอกว่าอยู่รถโน้น เฮาตุกก็ไปหา ซีนเซงจึงให้คนซึ่งชักรถนั้นพยุงเฮาตุกขึ้นไปบนรถ ซีนเซงถามว่า ก๊กจิวรำลึกถึงข้าพเจ้าหรือหาไม่ ในฝันว่าเฮาตุกร้องไห้แล้วตอบว่า ข้าพเจ้าหรือจะลืมซีจูเสีย จนแต่ชาวเมืองทั้งปวงคิดถึงซีจูก็นํ้าตาตก ซีนเซงจึงบอกว่า ตัวข้าพเจ้าทุกวันนี้เทพยดาเอ็นดู จึงตั้งให้เป็นเทพารักษ์อยู่เขาคิวสาน แล้วว่าอีฮูทำชู้กับนางแกกุ๋นแล้วมาก่อกุฏิให้เรา เรามีความแค้น คิดว่าจะทำลายเสียกลัวคนทั้งปวงจะน้อยใจ ทุกวันนี้อีฮูทำความไม่ดี เราคิดว่าจะยกเมืองจิ้นไปให้กับก๋งจูบุน ก๋งจูบุนเขาจะได้เซ่นวักเราต่อไป เฮาตุกจึงว่า ซีจูแค้นจิ้นฮุยก๋ง อาณาประชาราษฎร์มีโทษอย่างไรเล่าจึงเอาเมืองไปให้เขาเสีย ที่แซ่เดียวกันไม่คิดจะไปขอต่างแซ่กิน ตัวท่านเขาย่อมว่าโอบอ้อมอารีต่อพี่น้อง คิดทำอย่างนี้จะมิเสียชื่อไปหรือ ซีนเซงจึงว่า ท่านว่านั้นควรอยู่ แต่เราได้ว่าไว้กับเทวดาผู้ใหญ่จะต้องกลับไปว่าเสียใหม่ ท่านคอยเราอยู่ที่ศาลสักเจ็ดวัน เราจึงจะให้มาบอกข่าว เฮาตุกก็ลาซีนเซงย่างลงจากรถเท้าแพลงไป ตกใจตื่นขึ้นแลดูทั่วไปมิได้เห็นสิ่งใดแต่ตัวนั้นเข้ามาอยู่ในกงก๋วน จึงถามคนใช้ว่าทำไมเรามาอยู่ที่นี่
คนใช้จึงบอกว่า เมื่อเซ่นแล้วท่านเสพสุราเมานัก ข้าพเจ้าทั้งปวงจึงพยุงเอาท่านเข้าไว้ เฮาตุกจึงว่าเราป่วยเท้าจะเดินมิได้ ให้หยุดอยู่นี่ก่อนกว่าจะหายจึงค่อยไป ครั้นครบเจ็ดวันคนทรงก็มาหาเฮาตุก เฮาตุกขับคนใช้เสีย คนทรงจึงเข้าไปบอกว่า เทพารักษ์ที่เขาคิวสานให้มาบอกท่านว่า ไปแจ้งเทวดาผู้ใหญ่แล้ว เทวดาในเมืองจะเกิดฆ่าฟันกัน แต่จะเป็นอันตรายแก่เมืองนั้นหาไม่ เฮาตุกจึงถามว่า ซึ่งเกิดฆ่าฟันกันนั้นโทษจะมีกับผู้ใด คนทรงว่าไม่รู้เลย เทพารักษ์สั่งมาแต่เท่านั้น เฮาตุกจึงให้รางวัลแก่คนทรงแล้วห้ามว่าอย่าพูดต่อไป เฮาตุกก็กลับมาเมือง จึงพูดกับพีป๋า บุตรพีเปงฮูว่า เราดูกิริยาจิ้นฮุยก๋งเห็นจะหายืดไม่ แผ่นดินเมืองจิ้นนี้เห็นจะได้กับต๋งนีเป็นมั่นคง ว่ายังมิทันขาดคำพอคนใช้เข้ามาบอกว่าพีเปงฮูเป็นทูตไปเมืองจิ๋นกลับมาแล้วพีป๋าก็ลาเฮาตุกกลับไป
ฝ่ายพีเปงฮูเข้ามาจะใกล้ถึงเมืองรู้ข่าวว่าลีเค็กตายก็ตกใจคิดจะกลับไปเมืองจิ๋น แต่เป็นห่วงด้วยพีป๋าผู้บุตร พีเปงฮูคิดรวนเรอยู่พอพบไตหูกีเสง พีเปงฮูจึงถามว่า ลีเค็กนั้นเป็นโทษอย่างไร กีเสงก็เล่าความให้ฟังทุกประการ พีเปงฮูจึงว่า เราจะเข้าไปดีหรืออย่าไปดี กีเสงจึงว่า ใจของเราเห็นว่าเข้าไปดี ด้วยตายแต่ลีเค็กคนเดียว พวกพ้องยังมีเป็นอันมากเงียบอยู่หาได้ยินว่าเป็นประการใดไม่ ตัวท่านเขาใช้ไปอยู่หาเมืองจนทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสียก็แล้วไป ถ้าไม่เข้าไปเขาจะสงสัยเหมือนทำโทษใส่ตัว พีเปงฮูเห็นชอบด้วยก็เข้าไปในเมืองตามคำกีเสง แล้วพาเลงจีเข้าไปคำนับจิ้นฮุยก๋งแจ้งความว่า เจ้าเมืองจิ๋นให้เลงจีถือหนังสือคุมสิ่งของมาให้ จิ้นฮุยก๋งรับหนังสือมาอ่านใจความว่า เมืองจิ๋นกับเมืองจิ้นเป็นเมืองพี่เขยน้องเมียกัน ถึงหัวเมืองอยู่ในเมืองจิ๋นก็เหมือนกับอยู่ในเมืองจิ้น ขุนนางในเมืองจิ้นเล่าสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินทุกคน ซึ่งเราจะมาชักเอาห้าหัวเมืองไป ขุนนางในเมืองจิ้นเขาจะเสียน้ำใจ แต่เรามีความสงสัยอยู่ข้อหนึ่งจะใคร่พบปรึกษาลีอี้เสง คับโยย ถ้าไตหูทั้งสองว่างการลงเมื่อใด ก็ให้มาหาเราให้จงได้และหนังสือสัญญาซึ่งจะให้ห้าหัวเมืองกับเรานั้น เราคืนให้กับท่านมาด้วยแล้ว
จิ้นฮุยก๋งเป็นคนมักได้ เห็นหนังสือสัญญาคืนมาให้กับเครื่องบรรณาการเป็นอันมากก็มีความยินดี จึงว่าเราจะให้ลีอี้เสง คับโยย ไปขอบคุณเจ้าเมืองจิ๋นตามมีหนังสือมา แล้วสั่งพีเปงฮูให้พาเลงจีไปกงก๋วนแขกเมือง พีเปงฮูเลงจีก็คำนับลาออกมา ขุนนางต่างคนต่างกลับไป คับโยยจึงไปหาลีอี้เสง ณ บ้านพูดกันเป็นความลับว่า ก๋งจูบุนให้เครื่องบรรณาการมากับนายเรา แล้วคืนหนังสือสัญญาให้ด้วย ทำทั้งนี้ซึ่งจะทำโดยปกตินั้นหาไม่ แต่พอจะมาล่อเอาตัวเราทั้งสองไปได้ ก็จะเอาตัวเราไว้เร่งเอาห้าหัวเมืองกับเรา
ลีอี้เสงจึงว่า ซึ่งเราไม่ให้หัวเมืองห้าตำบลนั้น ก๋งจูบุนจะคิดอุบายได้ถึงเพียงนี้ผิดไป เห็นจะเป็นความคิดพีเปงฮู รู้ว่าลีเค็กตายกลัวภัยถึงตัว จึงให้อุบายแก่ก๋งจูบุนมาลวงเราไปฆ่าเสีย ถ้าว่าเราทั้งสองตายแล้ว พีเปงฮูคิดการได้โดยง่าย คับโยยจึงว่า พีเปงฮูกับลีเค็กเป็นพวกเดียวกัน ซึ่งลีเค็กถึงแก่ความตายนั้น เห็นพีเปงฮูร้อนตัวนักอยู่แล้วจะไว้ใจมิได้ ด้วยขุนนางในเมืองเป็นพรรคพวกร่วมคิดกันนั้นมีมาก เราจะคิดให้เลงจีซึ่งมาแต่เมืองจิ๋นกลับไปเสียก่อน แล้วจะให้คนไปรับทราบฟังดูว่าลีเค็กตายแล้วพีเปงฮูกับพรรคพวกจะคิดกันประการใด ลีอี้เสงเห็นชอบด้วย
ครั้นเวลาจิ้นฮุยก๋งออกว่าราชการ คับโยยลีอี้เสงก็พากันเข้าไปก่อนขุนนางทั้งปวง จึงว่ากับจิ้นฮุยก๋งว่า ในเมืองเราทุกวันนี้ยังหาปกติราบคาบไม่ ข้าราชการยังกระด้างกระเดื่องก็มีอยู่ ลีเค็กซึ่งเป็นต้นคิดก็ตายแล้วแต่พวกพ้องซึ่งร่วมคิดยังมาก ท่านจงให้เลงจีกลับไปเสียก่อน จึงสั่งไปว่าเมื่อบ้านเมืองเราราบคาบแล้วจะให้ข้าพเจ้าทั้งสองตามไปต่อภายหลัง จิ้นฮุยก๋งเห็นชอบด้วย ให้หาเลงจีเข้ามาสั่งให้กลับไปเมืองจิ๋นตามคำคับโยยลีอี้เสง เลงจีก็คำนับลากลับไป
ฝ่ายคนใช้ลีอี้เสงคับโยยให้ไปคอยอยู่ ณ บ้านพีเปงฮูกลับมาแจ้งความว่า คีกี ยงเก๊ก เกียหัว ตุยฉวน ไป ณ บ้านพีเปงฮูแต่หัวคํ่าจนใกล้สว่าง จะปรึกษาราชการสิ่งใดก็ไม่รู้ ได้รู้แต่เห็นไปเนืองๆ ประหลาดอยู่ คับโยยลีอี้เสงได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งขุนนางสี่คนไปปรึกษากัน ณ บ้านพีเปงฮูทั้งนี้เห็นจะคิดคดต่อจิ้นฮุยก๋งเป็นมั่นคง จึงให้คนใช้ไปหาโต๊ะไงอีมาแล้วว่า บัดนี้ภัยจะมาถึงตัวท่าน ท่านจะคิดประการใด โต๊ะไงอีได้ยินดังนั้นก็ตกใจ แล้วคุกเข่าลงคำนับถามว่าภัยจะมาแต่ข้างไหน คับโยยจึงว่า ตัวร่วมคิดกับลีเค็กฆ่าลูกเจ้าเสียถึงสองคน ลีเค็กนั้นจิ้นฮุยก๋งก็ฆ่าเสียแล้ว ยังแต่ตัวท่านเห็นจะเอาโทษด้วย เราทั้งสองเห็นว่าตัวมีความชอบ ได้ไปรับจิ้นฮุยก๋งเข้ามาเป็นเจ้าเมือง แล้วท่านมีกำลังและฝีมือจะไปพลอยตายเสียนั้น เราก็เสียดายนัก จึงหามาบอกให้รู้ตัว โต๊ะไงอีแจ้งดังนั้นก็ร้องไห้ว่า ตัวข้าพเจ้ามีกำลังพลังก็จริง เป็นแต่สำหรับเขาใช้หารู้ว่าโทษตัวนี้อย่างไรไม่ ทั้งนี้ก็สุดแต่ไตหูทั้งสองช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย
คับโยยจึงว่า จิ้นฮุยก๋งโกรธท่านนักอยู่ แต่อุบายของเราอันหนึ่งถ้าท่านทำได้เห็นพอจะรอดตัว โต๊ะไงอีคุกเข่าลงแล้วถามว่า อุบายของท่านจะให้ทำเป็นประการใด ข้าพเจ้าจะยอมทำตามคำท่าน คับโยยก็จูงมือโต๊ะไงอีไปที่ลับแล้วบอกว่า พีเปงฮูเป็นพวกของลีเค็ก ครั้นลีเค็กตายแล้วพีเปงฮูกับพวกหลายคนคิดกันจะกำจัดจิ้นฮุยก๋งเสียแล้วจะไปรับต๋งนีมาเป็นเจ้า ความทั้งนี้จิ้นฮุยก๋งรู้แน่อยู่แล้ว แต่หามีผู้ยืนยันที่จะจับสลักสำคัญได้ไม่ ถ้าท่านกลัวตายจะหาความชอบแก้ตัวจงเร่งไปคิดอ่านตามรายนี้เถิด โต๊ะไงอีมีความยินดีนักจึงว่า ข้าพเจ้าจะรอดตายครั้งนี้เพราะไตหูทั้งสองคนช่วย แต่ข้าพเจ้าเป็นทาสปัญญาน้อยจะไปพูดอย่างไรเขาจะเชื่อ
ลีอี้เสงจึงสอนโต๊ะไงอีแล้วกำชับว่า ท่านจำไปอย่าลืมเสีย ครั้นเวลาคํ่าโต๊ะไงอีก็ไป ณ บ้านพีเปงฮูแล้วว่ากับนายประตูว่า เราจะมาบอกความลับกับนายท่าน นายประตูก็เข้าไปแจ้งกับพีเปงฮู พีเปงฮูจึงให้ออกมาว่าวันนี้เรากินเหล้าเมานัก ซึ่งจะออกมาพูดด้วยนั้นไม่ได้แล้ว โต๊ะไงอีนั่งคอยอยู่ที่ประตูจนดึก นายประตูเห็นประหลาดจึงเข้าไปบอกพีเปงฮู พีเปงฮูจึงคิดว่าโต๊ะไงอีจะเอาความลับอะไรมาบอกจริงกระมัง จึงให้คนใช้ออกมารับเข้าไป ครั้นโต๊ะไงอีเข้าไปถึงคุกเข่าลงคำนับพีเปงฮูแล้วว่าไตหูช่วยชีวิตข้าพเจ้าครั้งนี้ด้วย พีเปงฮูได้ยินดังนั้นตกใจ จึงถามว่าเป็นเหตุอย่างไรหรือ โต๊ะไงอีจึงบอกว่า ข้าพเจ้าช่วยลีเค็กฆ่าก๋งจูโต๊ะเสีย จิ้นฮุยก๋งจะเอาโทษข้าพเจ้าถึงตาย พีเปงฮูจึงตอบว่า คับโยยลีอี้เสงเขาได้ว่าราชการเมืองทำไมจึงไม่ไปหาเขาเล่า
โต๊ะไงอีจึงว่า ความเกิดขึ้นทั้งนี้ก็เพราะคับโยยกับลีอี้เสงจะคิดฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้ามีความแค้นนัก ถ้าได้ตัวมาทันกำลังแค้นจะขอกินเนื้ออ้ายคนทั้งสองเสียให้ได้ ซึ่งจะให้ไปอ่อนน้อมนั้นไม่ไปแล้ว เมื่อท่านไม่ช่วยข้าพเจ้าก็จะสู้ตาย พีเปงฮูได้ฟังดังนั้นคิดแคลงโต๊ะไงอีอยู่ จึงถามต่อไปอีกว่า ใจของท่านจะคิดอย่างไรเล่า โต๊ะไงอีจึงว่า ข้าพเจ้าคิดว่าต๋งนีเป็นคนใจบุญนํ้าใจก็กว้างขวางโอบอ้อมอารี อาณาประชาราษฎร์รักใคร่มาก จิ้นฮุยก๋งทุกวันนี้พลเมืองมีใจเจ็บแค้นแล้วก็เสียสัตย์กับเมืองจิ๋น เมืองจิ๋นเขาจะใคร่เอาต๋งนีมาเป็นเจ้า ข้าพเจ้าคิดว่าจะขอหนังสือท่านรีบไปทั้งกลางวันกลางคืนแจ้งความกับต๋งนีว่า ไพร่พลเมืองได้ความเดือดร้อนนัก ให้ต๋งนีขอกองทัพเมืองจิ๋นมาบรรจบกับเมืองเต๊กยกมา ท่านอยู่ในเมืองจึงชักชวนพวกคนเก่าจับคับโยยลีอี้เสงฆ่าเสีย การทั้งนี้ก็จะสำเร็จโดยง่าย
พีเปงฮูจึงว่า ท่านพูดดังนี้เรากลัวแต่จะไม่ยั่งยืน แล้วจะกลับความเสียดอกกระมัง โต๊ะไงอีได้ฟังดังนั้นก็เอานิ้วมือเข้ากัดจนโลหิตไหลแล้วสาบานตัวว่า ถ้าข้าพเจ้าเป็นใจสองแล้ว ขออย่าให้ตัวข้าพเจ้าพ้นคมดาบเลย พีเปงฮูได้ยินโต๊ะไงอีสาบานดังนั้นก็สิ้นความสงสัยจึงว่า พรุ่งนี้คํ่าเวลาสามยามเราจะปรึกษากันให้พร้อม ตัวท่านจงมาให้ทันกำหนดเถิด โต๊ะไงอีก็ลากลับไป ครั้นถึงกำหนดนัดกัน คีกี ยงเก๊ก เกียหัว ตุยฉวน ขุนนางสี่คนกับซกเกวียน ลุยฮอ เต๊กยง สันกี๋ สี่คนนั้นเป็นข้าเก่าของซีนเซง ก็มา ณ บ้านพีเปงฮูพร้อมกันกับโต๊ะไงอีทำสัตย์กัน เอามีดเชือดอกเอาเลือดปนลงในสุรากินเข้าไปสาบานตัวต่อกันว่า ถ้าผู้ใดไม่ช่วยบำรุงต๋งนีโดยสุจริต ก็ขอให้เทพยดาสังหารชีวิตเสียเถิด ครั้นทำสัตย์กันแล้วก็มีความยินดีต่อกัน พีเปงฮูจึงให้ยกโต๊ะและเครื่องเลี้ยงมาเลี้ยงกินแล้วต่างคนต่างกลับไป
โต๊ะไงอีจึงเอาความมาบอกกับคับโยยตามซึ่งได้พูดจากระทำสัตย์กันนั้นทุกประการ คับโยยจึงว่า ซึ่งท่านว่านั้นจะเอาเป็นแน่ยังไม่ได้ด้วยไม่มีสิ่งใดเป็นสำคัญ การทั้งนี้ก็เป็นการใหญ่อยู่ ต่อเมื่อใดได้หนังสือสำคัญของพีเปงฮูมาจึงจะเชื่อฟังได้ โต๊ะไงอีได้ฟังดังนั้นก็ลากลับไป ครั้นเวลาคํ่าก็มา ณ บ้านพีเปงฮูจึงว่า การซึ่งคิดนั้นท่านอย่านอนใจ ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาจะแต่งคนเที่ยวสอดแนมอยู่ถ้าช้าวันไปจะเสียการของเรา ท่านจงเร่งทำหนังสือเถิด ข้าพเจ้าจะได้รีบไปรับต๋งนีมาโดยเร็ว พีเปงฮูมิได้รู้กลอุบายเห็นชอบด้วย จึงเขียนหนังสือใส่ชื่อบรรดาผู้ที่ลงใจด้วยเป็นสิบคนทั้งโตะไงอี พีเปงฮูเข้าผนึกแล้วส่งให้โต๊ะไงอี จึงสั่งกำชับว่าการทั้งนี้ท่านทำจงดีอย่าให้ผู้ใดรู้แพร่งพราย
โต๊ะไงอีรับหนังสือจากพีเปงฮูได้แล้วก็ลาออกมา มีใจยินดีเหมือนกับได้แก้ว ก็ตรงไปหาคับโยย ณ บ้านส่งหนังสือให้ดู คับโยยครั้นได้หนังสือพีเปงฮูแล้วก็เอาโต๊ะไงอีซ่อนไว้ ณ บ้าน คับโยยกับลีอี้เสงก็พากันมาเล่าความให้เค็กเสียฟังแต่ในเวลากลางคืนแล้วปรึกษากันว่า ครั้งนี้เราก็ได้ความเป็นแน่นอนอยู่แล้ว ครั้นจะมิหักลงเสียก่อนภายหลังจะทำยาก คิดกำจัดเสียโดยเร็วจึงจะได้ ว่าแล้วเค็กเสีย คับโยย ลีอี้เสงพากันมาเรียกให้เปิดประตูวังในเวลากลางคืนเข้าไปแจ้งความกับจิ้นฮุยก๋งว่าพีเปงฮูกับพรรคพวกเป็นขบถ กระทำสัตย์สาบานตัวเข้าชื่อกันถึงสิบคน ข้าพเจ้าจับหนังสือสำคัญได้ แล้วเอาหนังสือนั้นส่งให้จิ้นฮุยก๋ง จิ้นฮุยก๋งรับเอามาอ่านดูแจ้งความดังนั้นก็โกรธจึงว่า พีเปงฮูกับพรรคพวกคิดการทั้งนี้เป็นการอันเร็วอยู่แล้ว เราจะคิดจับเสียในวันนี้อย่าให้ทันตั้งตัวได้
เค็กเสียคับโยยลีอี้เสงจึงว่า พีเปงฮูกับพรรคพวกคิดการใหญ่ถึงเพียงนี้เห็นจะรักษาตัวกวดขันอยู่ แล้วพวกพ้องเห็นจะพร้อมมูลกัน ครั้นจะให้ไปหาโดยดีเวลากลางคืนก็ดึกแล้ว พีเปงฮูเห็นประหลาดก็จะเข้าใจว่าท่านรู้การทั้งปวงเห็นจะไม่มีมา ครั้นจะให้ไปล้อมจับเอาเล่า พีเปงฮูกับพรรคพวกจวนตัวเข้าที่ไหนจะนิ่งตาย แล้วผู้ซึ่งร่วมคิดกันจะมีแต่เท่านั้นหรือจะมีอีกก็ไม่รู้ ข้าพเจ้าเห็นว่าพีเปงฮูยังประมาทอยู่ เข้าใจว่าท่านยังหารู้ไม่ เวลาเช้าท่านออกไปที่ว่าราชการ ขุนนางทั้งปวงเข้ามาพร้อมแล้วท่านจงสั่งให้ชำระตามในหนังสือใบนี้ก็จะจับพีเปงฮูกับพรรคพวกได้โดยง่าย
จิ้นฮุยก๋งได้ยินดังนั้นเห็นชอบด้วย ครั้นเวลาเช้าออกมาข้างหน้า ลีอี้เสง คับโยยก็จัดทหารเตรียมไว้ ครั้นขุนนางใหญ่น้อยเข้ามาพร้อมกัน จิ้นฮุยก๋งจึงถามพีเปงฮูว่า เราได้ยินว่าท่านจะถอดเราเสียจะไปรับต๋งนีมานั้นเรามีความผิดประการใด พีเปงฮูไม่รับ คับโยยจึงร้องว่า ตัวใช้โต๊ะไงอีถือหนังสือไปรับต๋งนี แต่หากว่าบุญของเจ้าเรามีอยู่ จึงเผอิญให้จับโต๊ะไงอีได้ ค้นได้หนังสือสำคัญเข้าชื่อกันถึงสิบคน เราไล่เลียงโต๊ะไงอีก็ได้ความจริงแล้ว ตัวยังปฏิเสธไปถึงไหนเล่า จิ้นฮุยก๋งก็เอาหนังสือสำคัญทิ้งลงมา ลีอี้เสงก็หยิบขึ้นอ่านต่อหน้าขุนนางทั้งปวง แล้วจึงประกาศให้ทหารจับพวกขบถบรรดามีชื่อในหนังสือ ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็กรูกันเข้าจับขุนนางที่มีชื่อในจดหมายได้แปดคน ขาดอยู่แต่ยงเค็กไม่เข้ามา โต๊ะไงอีนั้นเป็นโจทก์ คับโยยเอาตัวไปซ่อนไว้ ณ บ้าน จิ้นฮุยก๋งก็ให้เอาขุนนางแปดคนไปฆ่าเสียนอกประตูเมือง แล้วจิ้นฮุยก๋งก็สั่งให้ไปจับยงเค็ก
ฝ่ายยงเค็กอยู่ ณ บ้านแจ้งความว่าจิ้นฮุยก๋งจับพีเปงฮูกับพรรคพวกไปฆ่าเสีย จึงคิดว่าเรากับพีเปงฮูได้สาบานไว้ต่อกัน บัดนี้การเกิดขึ้น จิ้นฮุยก๋งก็เอาเราไปฆ่าเสีย ครั้นจะคิดหลบหนีเอาชีวิตรอดก็จะเป็นคนเสียสัจ เราจะสู้รักษาคำสาบานไว้ จะเข้าไปรับโทษต่อจิ้นฮุยก๋ง พอทหารจิ้นฮุยก๋งมาถึงเข้าจับตัวยงเค็กไปฆ่าเสีย พีป๋าบุตรพีเปงฮูรู้ดังนั้นก็หนีไปเมืองจิ๋น จิ้นฮุยก๋งจึงปรึกษาคับโยยว่า จะให้ไปจับเอาบุตรภรรยาญาติพี่น้องลีเค็กพีเปงฮูกับพวกซึ่งร่วมคิดกันไปฆ่าเสีย คับโยยจึงว่า ผู้ซึ่งร่วมคิดร้ายต่อท่านก็ตายสิ้นแล้ว คนเหล่านี้หาได้รู้เห็นร่วมคิดด้วยไม่ ซึ่งท่านจะให้เอามาฆ่าเสียความก็จะเอิกเกริกไป ข้าพเจ้าขอโทษคนเหล่านี้ไว้เถิด จิ้นฮุยก๋งก็ยอมตามคำคับโยยแล้วสั่งว่า โต๊ะไงอีมีความชอบต่อเราให้เลื่อนที่เป็นจงไตหู ให้ที่นาด้วยสามสิบหมื่นเป็นบำเหน็จ
ฝ่ายพีป๋าครั้นไปถึงเมืองจิ๋นเข้าไปคำนับก๋งจูบุน แล้วร้องไห้บอกความว่า ข้าพเจ้าเป็นบุตรพีเปงฮู จิ้นฮุยก๋งฆ่าบิดาข้าพเจ้าเสีย จึงเล่าความทั้งปวงซึ่งจิ้นฮุยก๋งลงลบหลู่บุญคุณเมืองจิ๋น กับราษฎรชาวเมืองหาเข้าด้วยไม่ แล้วว่าถ้าท่านยกทัพไปตี เห็นจะมีไส้ศึกในเมืองออกช่วย ก๋งจูบุนได้ฟังพีป๋าว่าดังนั้นจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า ถ้อยคำของพีป๋าว่านั้นจะเห็นประการใด กวนซกจึงตอบว่า พีป๋าเป็นข้าของจิ้นฮุยก๋ง ถ้าเราจะยกทัพไปตีเหมือนถ้อยคำพีป๋า หัวเมืองทั้งปวงก็จะนินทาว่าเราสมคบบ่าวเขา แล้วยกทัพไปตีเอาบ้านเมืองหาเป็นสัจเป็นธรรมไม่ เป๊กลีเหจึงว่า ซึ่งพีป๋าว่าอาณาประชาราษฎร์มีใจเจ็บแค้นไม่เข้าด้วยนั้น ถ้าจริงเหมือนพีป๋าไม่ช้าก็จะเกิดศึกกันขึ้นเอง เมื่อเห็นว่าเมืองจิ้นเกิดรบพุ่งฆ่าฟันกันขึ้น เราจึงค่อยยกทัพไปตีเอาก็จะได้โดยง่าย ไม่สู้หนักมือทแกล้วทหารนัก ก๋งจูบุนได้ฟังเป๊กลีเหว่าเห็นชอบด้วย แล้วสั่งให้รับเอาพีป๋าไว้ ตั้งให้เป็นไตหูรับราชการอยู่ในเมืองจิ๋น ครั้งนั้นจิ้นฮุยก๋งครองเมืองได้สองปี ศักราชพระเจ้าจิวเซียงอ๋องเสวยราชย์ได้สามปี
ไทซกตั้วลอบไปคบคิดกับเมืองอีลก ซึ่งขึ้นกับเมืองหยงแต่งเครื่องบรรณาการไปถึงเมืองหยง ให้เมืองหยงมาตีเมืองหลวงไทซกตั้วจะรับเป็นไส้ศึก เจ้าเมืองหยงแจ้งดังนั้นก็ยกทัพมาล้อมเมืองหลวง พระเจ้าจิวเซียงอ๋องจึงสั่งจิวกองคองกับเตียวเป๊กเลี้ยวขุนนางให้จัดแจงรักษาเมืองมั่นไว้ มิให้ยกทหารออกสู้รบ แล้วพระเจ้าจิวเซียงอ๋องแต่งให้ทูตถือหนังสือไปแจ้งความกับเจ้าเมืองทั้งปวง
ฝ่ายก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋น จิ้นฮุยก๋งเจ้าเมืองจิ้น แจ้งในหนังสือรับสั่งก็จัดแจงกองทัพยกมาช่วย เจ้าเมืองหยงรู้ข่าวว่าหัวเมืองยกมาก็ตกใจ กลัวจะเป็นทัพกระหนาบ สั่งทหารรีบเลิกทัพกลับ ฝ่ายก๋งจูบุนกับจิ้นฮุยก๋งยกล่วงเข้ามาในแดนเมืองหลวง รู้ว่ากองทัพเมืองหยงหนีไปแล้วมิได้ยกเข้าไปในเมือง ตั้งอยู่แต่ภายนอก ให้มีหนังสือเข้าไปแจ้งกับพระเจ้าจิวเซียงอ๋องว่าได้ยกกองทัพมาช่วยหาทันข้าศึกไม่ จะลากลับไปเมืองแล้ว จิ้นฮุยก๋งนั้นพบกองทัพก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋น จิ้นฮุยก๋งมีความอดสูด้วยเป็นเท็จ มิได้ให้ห้าหัวเมืองตามสัญญา จิ้นฮุยก๋งจึงยกทัพกลับไปเสียโดยเร็ว พีป๋าซึ่งมากับก๋งจูบุนนั้นจึงเข้าไปคำนับก๋งจูบุนว่า เราได้ทีอยู่แล้ว เวลากลางคืนวันนี้ขอให้ยกทัพเข้าล้อมตีเอาทัพจิ้นฮุยก๋งจึงจะหายความแค้นท่านแต่หลัง ก๋งจูบุนจึงตอบพีป๋าว่า เรากับจิ้นฮุยก๋งมาช่วยราชการเมืองหลวงด้วยกัน ถึงจะมีความแค้นเคืองประการใดก็ดี หาควรที่จะทำกันครั้งนี้ไม่ แล้วต่างคนต่างยกกลับไปเมือง
ฝ่ายเจ๋ฮวนก๋งเจ้าเมืองเจ๋แจ้งหนังสือเมืองหลวงดังนั้น ก็ให้กวนต๋งยกทัพมาช่วย มาถึงกลางทางพอได้ข่าวว่าทัพเมืองหยงหนีไปแล้ว กวนต๋งจึงแต่งผู้มีสติปัญญาถือหนังสือไปว่ากล่าวกำหราบเจ้าเมืองหยงซึ่งมาทำล่วงเกินกับเมืองหลวง เจ้าเมืองหยงกลัวอำนาจเมืองเจ๋ จึงแต่งทูตไปให้รับผิดขอดีกับเจ้าเมืองหลวงตามซึ่งกวนต๋งมีหนังสือไป ครั้นทูตมาถึงเมืองหลวง จึงแจ้งความกับพระเจ้าจิวเซียงอ๋องว่า เมืองหยงและหัวเมืองทั้งปวงมีความยำเกรงอยู่ มิได้คิดที่จะมาทำร้ายกับเมืองหลวง แต่เกิดเหตุทั้งนี้เพราะไทซกตั้วซึ่งเป็นน้องของพระองค์ไปอยู่ ณ ที่กำซกนั้นมีหนังสือไปชวนเจ้าเมืองหยงให้มาตี พระเจ้าจิวเซียงอ๋องแจ้งดังนั้นทรงพระโกรธนักสั่งให้ทหารไปจับไทซกตั้ว ไทซกตั้วรู้หนีไปอาศัยอยู่เมืองเจ๋ พระเจ้าจิวเซียงอ๋องแจ้งความว่า ไทซกตั้วหนีก็มิให้ติดตาม
พอแจ้งความว่ากวนต๋งมาถึง พระเจ้าจิวเซียงอ๋องมีความยินดีจึงสั่งให้แต่งรับและเลี้ยงดูเหมือนบรรดาศักดิ์ขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง เจ้าพนักงานทั้งปวงก็จัดแจงตามพระเจ้าจิวเซียงอ๋องสั่ง กวนต๋งไม่ยอม จึงว่าในเมืองหลวงนี้ขุนนางผู้ใหญ่และราชบุตรก็มีอยู่ ซึ่งจะแต่งยกข้าพเจ้าเกินยศถาบรรดาศักดิ์หาควรไม่ ให้รับแต่เพียงบรรดาศักดิ์ขุนนางผู้น้อยเถิด ครั้นรับเข้าไปถึงในเมืองพระเจ้าจิวเซียงอ๋องให้เลี้ยงดูและให้บำเหน็จรางวัลเป็นอันมาก แล้วกวนต๋งก็ลากลับไปเมืองเจ๋ แจ้งความกับเจ๋ฮวนก๋ง แต่นั้นมาเมืองเจ๋มีเกียรติยศเป็นที่ยำเกรงแก่หัวเมืองทั้งปวง
ครั้นอยู่มาเป็นเทศกาลแล้ง กวนต๋งป่วย เจ๋ฮวนก๋งมีความวิตกนักสั่งให้หมอไปพยาบาล หมอประกอบยาให้กินเป็นหลายขนานโรคนั้นไม่คลาย กวนต๋งป่วยหนักลง เจ๋ฮวนก๋งไปเยี่ยมถึงบ้าน เห็นอาการนั้นหนักจึงจับเอามือแล้วว่า ท่านป่วยมากทีเดียวจนลุกไม่ขึ้น เราจะเอาการแผ่นดินเมืองมอบกับท่านผู้ใดเล่า เล็งอวดกับปินซูปูก็ตายเสียก่อนแล้ว กวนต๋งได้ฟังดังนั้นก็ทอดใจใหญ่แล้วว่า เล็งอวดตายเสียนั้นข้าพเจ้าคิดเสียดายนัก เจ๋ฮวนก๋งจึงถามว่า นอกจากเล็งอวดจะไม่มีผู้ใดต่อไปแล้วหรือ เราจะใคร่ตั้งเปาซกแหยให้ว่าราชการแผ่นดินท่านจะเห็นประการใด
กวนต๋งจึงตอบว่า เปาซกแหยนั้นเป็นคนมีสติปัญญาทั้งสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินมั่นคงนัก นํ้าใจก็โอบอ้อมอารี ไพร่บ้านพลเมืองรักใคร่มาก อันความดีของเปาซกแหยนั้นหาผู้เสมอมิได้ แต่จะว่ากล่าวสิ่งใดไม่พอใจให้ผู้อื่นขัดเคือง เมื่อไว้อัชฌาสัยเสียฉะนี้ ที่ไหนจะมีคนกลัว อันผู้ซึ่งจะบังคับบัญชาการแผ่นดิน เมื่อไม่มีผู้ยำเกรงแล้ว การก็ไม่สิทธิ์ขาด ถ้ามีทัพศึกมาเห็นจะหนักอกท่าน
เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า ถ้าดังนั้นเราจะให้กับกองซุนสิบผอง ท่านจะเห็นประการใดเล่า กวนต๋งจึงว่า อันกองซุนสิบผองเป็นคนสัตย์ซื่อทั้งรอบคอบเอาใจใส่ในราชการ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าจะไม่ยืด ว่าแล้วกวนต๋งก็ทอดใจใหญ่ เจ๋ฮวนก๋งจึงถามต่อไปว่า เหมือนหนึ่งเอ็ดแหยซูเตียว สองคนนี้ท่านจะเห็นประการใด กวนต๋งจึงว่า ความข้อนี้ถึงท่านไม่ถามก็คงจะบอก อันเอ็ดแหย ซูเตียว ไคหอง ทั้งสามคนนี้ขอท่านอย่าได้เชื่อถือให้เข้ามาใกล้ ท่านจงคิดกำจัดเสียบ้านเมืองจึงจะเป็นสุข เจ๋ฮวนก๋งจึงว่าเอ็ดแหยเขาภักดีต่อเราจริงๆ แต่ลูกเขาเป็นที่รักเขายังฆ่าให้เรากิน เขารักเราถึงเพียงนี้หาควรที่จะแคลงไม่ กวนต๋งจึงตอบว่า เกิดมาเป็นคนแล้วบุตรนั้นและเป็นที่รัก มียศศักดิ์และสมบัติทั้งปวงก็ตั้งใจจะให้กับบุตรด้วยกันสิ้นทุกคน นี่แต่บุตรของเขาเป็นที่รักหามีความผิดสิ่งใดไม่ยังฆ่าเสียได้ ก็เพราะหมายจะเอาการข้างหน้า นับประสาอะไรกับท่าน
เจ๋ฮวนก๋งจึงถามต่อไปว่า ซูเตียวนั้นท่านเห็นประการใดเล่า ทุกวันนี้ราชการทั้งปวงเขาก็เอาใจใส่ว่ากล่าวอยู่ เราดูอัชฌาสัยเห็นว่าเขารักเรายิ่งกว่าตัวเขาอีก กวนต๋งจึงว่า ซึ่งท่านว่าซูเตียวรักท่านยิ่งกว่าตัวเขานั้นผิดไป อย่าว่าแต่มนุษย์เลย ถึงสัตว์เดียรฉานแต่บรรดามีชีวิตเกิดมาในแผ่นดินแล้วรักตัวเป็นที่ยิ่ง ซึ่งจะได้รักผู้อื่นแต่เพียงเสมอกับตัวก็หามิได้ เมื่อตัวของเขาๆ ไม่รัก เขาจะมารักท่านยิ่งกว่าตัวเขานั้นต้องการอะไร เจ๋ฮวนก๋งจึงถามว่า ก๋งจูไคหองซึ่งเป็นบุตรเจ้าเมืองโอย เมืองก็บริบูรณ์หาอยู่กับบิดามารดาไม่ สู้มาติดตามเราอยู่ช้านานแล้ว จนบิดามารดาตายก็หาไปเยี่ยมศพไม่ รักเรายิ่งกว่าบิดามารดาอีก เราจะแคลงอะไรเขาเล่า กวนต๋งจึงตอบว่า แต่บิดามารดาของเขาได้เลี้ยงดูมา มีคุณเป็นที่ยิ่งยังละเสีย จะมาอาศัยอะไรกับท่าน ถึงสมบัติบริบูรณ์อยู่แล้ว ก็คิดจะให้มีมากต่อขึ้นไปอีก ท่านอย่าไว้ใจให้มาอยู่ เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า เอ็ดแหย ซูเตียว ไคหอง สามคนนี้มาอยู่ให้เราใช้สอยช้านาน แต่ก่อนเป็นไรท่านจึงหาว่าไม่ กวนต๋งจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้ามิได้บอกกับท่านนั้น ด้วยเห็นว่าท่านได้คนทั้งสามมาเลี้ยงไว้แล้ว ข้าพเจ้าก็เอาใจใส่ท่านอยู่ อุปมาเหมือนนํ้าเปี่ยมตลิ่ง ข้าพเจ้าเหมือนทำนบระวังกันอยู่มิให้ล้นขึ้นได้ บัดนี้ตัวข้าพเจ้าจะหาบุญไม่แล้ว ก็เหมือนคลองนํ้าไม่มีทำนบ นํ้าจะไหลไปถึงไหนก็ไม่รู้ ขอท่านอย่าเลี้ยงคนสามคนนี้ไว้เลย จงคิดกำจัดเสียบ้านเมืองจึงจะเป็นสุข การแผ่นดินซึ่งข้าพเจ้าว่ากล่าวทั้งนี้ ขอให้กองซุนสิบผองว่าต่อไปเถิด เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นมิได้ตอบประการใด ลุกออกมาภายนอกกำชับหมอให้พยาบาลกวนต๋ง สั่งแล้วเจ๋ฮวนก๋งก็กลับไปที่อยู่
ขณะนั้นมีผู้ไปแจ้งความกับเอ็ดแหยว่า กวนต๋งป่วย สั่งเจ๋ฮวนก๋งให้ขับท่านกับซูเตียวไคหองไปเสียจากเมือง ให้ตั้งกองซุนสิบผองเป็นที่ใจเสียงขุนนางผู้ใหญ่แทนกวนต๋ง เอ็ดแหยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงไปหาเปาซกแหยบอกว่า เดิมเมื่อกวนต๋งจะได้เป็นขุนนางก็เพราะท่านช่วยทำนุบำรุง มาบัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งความว่าเจ๋ฮวนก๋งจะตั้งท่านเป็นขุนนางแทนที่กวนต๋ง กวนต๋งทัดทานเสียให้ตั้งกองซุนสิบผอง ข้าพเจ้าเห็นหาสมควรไม่ เปาซกแหยหัวเราะแล้วว่า เรายกย่องให้กวนต๋งเป็นขุนนางเพราะว่าเห็นเป็นขุนนางสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินโดยแท้ ซึ่งกวนต๋งไม่ยอมให้ตั้งเรานั้นด้วยเห็นเกินสติปัญญานัก เหมือนเช่นเรานี้จะเป็นได้ก็แต่ที่สี่ข้อ ขุนนางข้างกรมเมืองสำหรับจับโจรผู้ร้าย แต่เราคิดอยู่ถ้าได้เป็นที่สี่ข้อสมคิดแล้ว จะกำจัดคนสอพลอไปเสียจากเมืองมิให้มีเสี้ยนหนามในแผ่นดินต่อไป เอ็ดแหยได้ฟังดังนั้นคิดละอายก็ลากลับไปบ้าน
ฝ่ายกวนต๋งป่วยหนักลง จะไหวติงพลิกตัวไปมาก็มิสะดวก เจ๋ฮวนก๋ง กองซุนสิบผอง เปาซกแหย ขุนนางทั้งปวงก็มาพร้อมกันเห็นอาการกวนต๋งไม่รอดแล้ว ต่างคนคิดสงสารร้องไห้นั่งดูใจอยู่ กวนต๋งเห็นเจ๋ฮวนก๋งกับกองซุนสิบผอง เปาซกแหย ก็ยิ่งคิดอาลัยนัก ครั้นจะสั่งเสียพูดจาด้วยลิ้นคางก็แข็งกระด้าง ได้แต่แลดูอยู่ไม่วางตา พอเวลาสามยามเศษโรคกำเริบขึ้นมากวนต๋งก็ถึงแก่กรรม
เจ๋ฮวนก๋งก็ร้องไห้รำพันว่า กวนต๋งทิ้งเราเสียแล้ว เหมือนใครตัดเอามือไปข้างหนึ่ง จะหาใครที่สัตย์ซื่อมีสติปัญญาช่วยทำนุบำรุงเหมือนกวนต๋งต่อไปเล่า ครั้นค่อยสร่างโศกจึงสั่งกออีขุนนางผู้ใหญ่ให้จัดแจงทำการศพให้งามยิ่งกว่าขุนนางทั้งปวง ครั้งถึงกำหนดก็เชิญศพไปฝังตามธรรมเนียม แล้วเจ๋ฮวนก๋งตั้งให้กวนเผงบุตรกวนต๋งเป็นไตหูขุนนางข้างพลเรือน อันทรัพย์สมบัติของกวนต๋งกับเมืองแผนอีบเป็นส่วยขึ้นกับกวนต๋งนั้นก็ยกให้กวนเผงด้วย
เอ็ดแหยแจ้งดังนั้นจึงไปหาเป๊กสีแล้วว่า เดิมเมืองแผนอีบเป็นส่วยขึ้นอยู่แก่ท่าน ครั้นเมื่อกวนต๋งมีความชอบ เจ๋ฮวนก๋งยกเมืองแผนอีบให้ บัดนี้กวนต๋งตายแล้วเจ๋ฮวนก๋งมอบเมืองแผนอีบให้ขึ้นแก่กวนเผงผู้บุตรยังหามีความชอบสิ่งใดไม่ ท่านจงไปหาเจ๋ฮวนก๋งขอเอาเมืองแผนอีบคืนตามเดิม ข้าพเจ้าจะช่วยว่ากล่าวอ้อนวอนเจ๋ฮวนก๋งให้จงได้ เป๊กสีได้ฟังดังนั้นคิดน้อยใจจนน้ำตาตกแล้วว่า เราไม่มีความชอบไว้ต่อเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งจึงมิได้ให้เมืองแผนอีบแก่เรา กวนต๋งนั้นถึงตัวตายความชอบก็มีอยู่จนบุตร ซึ่งเราจะไปขอคืนเอาเมืองแผนอีบ จะมีหน้าเปิดปากพูดออกมาได้หรือ เอ็ดแหยไม่โต้ตอบประการใดก็ลากลับมาบ้าน
ฝ่ายกองซุนสิบผองเป็นขุนนางผู้ใหญ่แทนที่กวนต๋งได้ประมาณเดือนหนึ่งก็ถึงแก่กรรม เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า กวนต๋งบอกไว้ว่าที่อันนี้ชะตาแรงผู้ใดเป็นหายืนไม่ก็จริงอยู่ แล้วเจ๋ฮวนก๋งให้หาเปาซกแหยเข้ามาจะตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ เปาซกแหยบิดพลิ้วอยู่ไม่ยอม เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า ซึ่งท่านไม่เป็นขุนนางผู้ใหญ่นั้นจะให้เราตั้งผู้ใดเล่า ขุนนางนอกนั้นหามีใครมีสติปัญญาเสมอท่านไม่ เปาซกแหยจึงว่า ข้าพเจ้ารักคนสัตย์ซื่อชังคนสอพลอ ท่านก็ย่อมแจ้งอยู่ ถ้าท่านขับซูเตียว เอ็ดแหย ไคหอง คนทั้งสามนี้เสียจากเมืองเหมือนคำกวนต๋งผู้ตายสั่งไว้ ข้าพเจ้าจึงจะยอมเป็นขุนนางทำราชการสนองคุณท่านสืบไป เจ๋ฮวนก๋งให้ขับซูเตียว เอ็ดแหย ไคหอง ไปจากเมือง แล้วตั้งเปาซกแหยเป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการในเมือง อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงก็เป็นสุขมาช้านาน