๖๗

ฝ่ายเคงหองซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ณ เมืองเจ๋ ครั้นมียศศักดิ์มากหามีผู้ใดจะว่ากล่าวทัดทานไม่ ก็ละเมิดรั้วงานราชการเสีย มัวเมาอยู่แต่เสพสุราและฟังอิสตรีขับร้อง เพลาวันหนึ่งลูพูพีกระทำการเลี้ยงโต๊ะ ณ บ้านจึงให้คนใช้ไปเชิญเคงหองมากินโต๊ะ เคงหองก็ไปบ้านลูพูพี ลูพูพีก็ออกมาต้อนรับ เชิญให้เข้าไปนั่งกินโต๊ะอยู่ที่ในบ้านแต่สองคนด้วยกันเป็นที่สบาย ลูพูพีจึงเรียกภรรยาออกมารินสุราให้เคงหองกิน เคงหองเห็นภรรยาลูพูพีงามก็มีใจรัก พอเสพสุราเมาตึงตัวก็ทำท่วงทีพูดจาหยอกเอินต่างๆ ภรรยาลูพูพีก็มีใจปฏิพัทธ์ในเคงหอง ลูพูพีเห็นดังนั้นก็หาว่าประการใดไม่ทำเป็นเมินเสีย ครั้นเสพสุราจนเพลาคํ่าลงต่างคนต่างเมาลูพูพีก็เข้าไปนอน

เคงหองกับภรรยาลูพูพีก็พากันเข้าไปในห้องร่วมรักใคร่ได้เสียกันในเพลาคํ่าวันนั้น ภรรยาลูพูพีปฏิบัติเคงหองเป็นอันดี เคงหองก็มีใจลุ่มหลงรักใคร่ในภรรยาลูพูพีเป็นอันมาก จนลืมภรรยาของตัว ลูพูพีรู้ก็หาว่าประการใดไม่ ครั้นเพลารุ่งเช้าเคงหองตื่นนอนจึงคิดว่าครั้นเราจะกลับไปอยู่บ้านก็จะไกลภรรยาลูพูพีซึ่งเป็นสุดที่รัก จำเราจะไปบ้านขนเอาทรัพย์สินเงินทองของเรากับภรรยามาอยู่ ณ บ้าน ลูพูพีจึงจะเป็นสุข ด้วยลูพูพีกับเราเขาไม่มีความรังเกียจ คิดแล้วก็กลับไปบ้านเรียกเคงเสียงผู้เป็นบุตรเข้ามาสั่งว่า ตั้งแต่บิดารับราชการอยู่ในเมืองเจ๋ก็นานแล้ว บัดนี้บิดาก็ชราลงโรคภัยเบียดเบียนเนืองๆ บิดาจะขอเอาความสุขบ้าง เจ้าก็ประกอบไปด้วยกำลังสติปัญญา จงรับราชการแทนบิดาและรักษาบ้านของเราสืบไป ตัวบิดาจะลาเจ้าไปอยู่บ้านลูพูพีพอมีความสุข เจ้าอย่าได้ขัดข้องบิดาเลยจะเป็นคนอกตัญญูไป ว่าแล้วก็สั่งภรรยาและคนใช้จัดเอาทรัพย์สินเงินทองขนไป ณ บ้านลูพูพี เคงหองตั้งแต่อยู่บ้านลูพูพีก็อยู่กินด้วยภรรยาลูพูพี ลูพูพีก็ไปอยู่กินหลับนอนด้วยภรรยาเคงหอง ทั้งเมียน้อยเมียหลวงหามีความรังเกียจกันไม่

เพลาวันหนึ่งลูพูพีจึงว่ากับเคงหองว่า บัดนี้ลูพูกุ้ยพี่ชายข้าพเจ้ายังตกค้างอยู่ ณ เมืองฬ่อ ขอท่านจงเมตตาไปเอาตัวมาไว้ใช้เมืองนี้เถิด ท่านจะได้ใช้สอยเป็นหูเป็นตาของเราสืบไป เคงหองก็เห็นชอบด้วยจึงมีหนังสือไปหาลูพูกุ้ยมา ณ เมืองเจ๋ แล้วสั่งให้ไปช่วยราชการอยู่กับเคงเซียผู้บุตร เคงเซียคนนี้เป็นคนมีกำลังมากตัวผู้เดียวสู้ได้ถึงร้อยคน ลูพูกุ้ยมีกำลังแข็งแรงเหมือนกัน แล้วเป็นคนช่างประจบประแจงฝากตัวคนด้วย เคงเซียก็มีใจรักใคร่เป็นที่วางใจ จึงยกนางเคงเกียงบุตรีให้เป็นภรรยาลูพูกุ้ย ตั้งแต่นั้นมาจะมีกิจสุขทุกข์ลับลี้ประการใด เคงเซียก็ปรึกษาหารือลูพูกุ้ยทุกครั้ง

ฝ่ายลูพูกุ้ยตั้งแต่มาอยู่เมืองเจ๋ ได้เป็นบุตรเขยเคงเซียก็คิดอยู่ที่จะแก้แค้นแทนเจ๋จงก๋งซึ่งซุยทู้กับเคงหองฆ่าเสียนั้น แต่กีดลูพูพีน้องชายอยู่ก็ยังหามีผู้ใดจะมาช่วยร่วมคิดกันไม่ อยู่มาวันหนึ่งลูพูกุ้ยจึงว่า วันนี้หามีราชการไม่เราพากันไปเที่ยวยิงเนื้อในป่าเล่นเถิด เคงเซียก็ยอมไป ครั้นพากันไปถึงป่านอกเมืองแห่งหนึ่งก็พากันเที่ยวยิงเนื้อเล่น เมื่อขณะเที่ยวยิงเนื้ออยู่นั้น เคงเซียชมลูพูกุ้ยว่าท่านนี้ชำนิชำนาญว่องไวในการเกาทัณฑ์นัก

ลูพูกุ้ยจึงตอบว่าธรรมดาคนที่มีฝีมือนั้น ถึงจะทำการสิ่งใดก็ว่องไวทุกสิ่ง อันตัวข้าพเจ้านี้ฝีมือก็ประมาณดอก ยังมีคนหนึ่งอยู่ ณ เมืองกี๋ชื่อเองหอ ท่านจงให้คนไปชวนมาอยู่ด้วยเถิด จะได้เป็นแขนซ้ายขวาหูตาของท่านสืบไป ครั้นไล่เนื้อกลับมาบ้าน เคงเซียก็ให้คนใช้ซึ่งฉลาดพูดจาไปพูดจาเกลี้ยกล่อมได้ตัวเองหอมาไว้นั้น เพราะเองหอเป็นคนชอบกันมา เมื่อจะกระทำการกำจัดพวกแซ่เคงเสีย จะได้อาศัยมือเองหอด้วย ขณะเมื่อเองหอมาอยู่กับเคงเซียนั้น เคงเซียก็รักใคร่มาก ถึงเพลาเคงเซียก็จะไปเที่ยวและเข้าไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋แล้ว ลูพูกุ้ยกับเองหอก็ขี่ม้าถือทวนตามรักษาไปมากวดขันทุกครั้ง เดินตามทางไปนั้นก็ห้ามมิให้คนแปลกปลอมเข้าใกล้ ทุกวันคนทั้งสองจะว่ากล่าวสิ่งใด เคงเซียก็เชื่อฟังทุกประการ

อันธรรมเนียมขุนนางเมืองเจ๋นั้นถ้าเข้าไปคำนับเจ้าเมือง เจ้าเมืองยกโต๊ะมาเลี้ยงขุนนางคนหนึ่งไก่สองตัวแต่ของอื่นหาประมาณไม่ ตัวเจ๋เก๋งก๋งนั้นก็เหมือนกัน แต่เจ๋เก๋งก๋งหากินซึ่งตัวไก่ไม่ กินแต่ขาไก่พออิ่ม จึงสั่งพ่อครัวเอาขาไก่มาเติมอีกก็ยิ่งกินมากขึ้นทุกวัน จนมื้อหนึ่งถึงหลายสิบขาคิดเป็นไก่หลายสิบตัวจึงจะพอ ขุนนางทั้งปวงก็เอาอย่างเจ้าเมือง จนราคาไก่ในเมืองเจ๋แพง บางวันพ่อครัวหาขาไก่ได้ครบบ้างไม่ครบบ้าง เพลาวันหนึ่งขาไก่ไม่พอเจ๋เก๋งก๋งและขุนนางกิน พ่อครัวกลัวความผิดจึงไปหาเคงเซียซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการว่า เพลาวันนี้ขาไก่ซึ่งจะเลี้ยงขุนนางหาพอไม่ ท่านจะโปรดประการใด เคงเซียจึงตอบว่าเรากับบิดาได้เป็นผู้สำเร็จราชการทั้งปวงก็จริง แต่ธุระแผ่นดินอยู่ในเรามากนัก การแต่เพียงจะหาของเลี้ยงขุนนางเท่านี้ เราก็มอบหมายเงินทองให้พ่อครัวไปใช้สอยมากพอการแล้ว เดี๋ยวนี้พากันชอบใจกินแต่ขาไก่สิ่งเดียวทั้งเมืองจนขาไก่แพง หาไม่ได้แล้วจะมาร้องเอาแก่เรา เราจะเอาไก่ที่ไหนมาให้เล่า

ลูพูกุ้ยเองหอได้ฟังเคงเซียพูดดังนั้นก็มีความยินดีว่า ครั้งนี้เราจะให้เจ้าเมืองและขุนนางมีใจโกรธเคงหองเคงเซียพ่อลูกได้ คิดกันดังนั้นแล้วจึงว่า แต่การกินการอยู่เล็กน้อยหาควรจะกวนใจท่านไม่ เคงเซียได้ฟังก็พยักหน้า ลูพูกุ้ยเองหอก็กลับออกไปบอกกับพ่อครัวว่า ขาไก่ไม่มีแล้วก็เอาขาเป็ดแทนเถิด พ่อครัวก็กลับมาแล้วคิดกันว่า อันเนื้อไก่นี้อย่าว่าแต่เจ๋เก๋งก๋งและขุนนางพอใจกินเลย ถึงพวกเราก็ชอบใจกินเหมือนกัน บัดนี้เคงเซียก็บังคับบัญชามาดังนี้แล้ว เราเอาเนื้อไก่แบ่งกันกินเสียบ้างเถิด คิดแล้วก็พากันกินเนื้อไก่เหลือแต่กระดูกติดเนื้อบ้างเล็กน้อย จึงเอาลำดับลงก้นจาน เอาเนื้อเป็ดปนกันวางไปข้างบนแล้วเอาออกไปเลี้ยงขุนนาง

ฝ่ายลวนเจ่ากับเกาไซ ซึ่งเป็นไตหูขุนนางนั่งรับประทานโต๊ะอยู่นั้น ครั้นเห็นเนื้อเป็ดกับกระดูกไก่ติดเนื้อปนกันออกมาให้กินดังนั้นก็โกรธ จึงพากันไม่กิน ลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วพากันเดินออกไปภายนอก ลวนเจ่าจึงว่าเคงหองนี้เป็นคนโลภ บังเอาเงินค่าไก่ซึ่งเจ๋เก๋งก๋งสำหรับเลี้ยงพวกเราไว้ จึงให้พ่อครัวเอาเนื้อเป็ดปนไก่ให้เรากิน จำเราจะพากันไป ณ บ้านเคงหองต่อว่าให้ได้ความอัปยศเสียบ้าง เกาไซจึงว่าความเล็กน้อยดังนี้นิ่งเสียเถิดอย่าไปต่อว่าเขาเลยหาต้องการไม่

ขณะเมื่อลวนเจ่ากับเกาไซพูดกันนั้น มีผู้เอาเนื้อความไปบอกเคงหอง เคงหองมีความโกรธจึงปรึกษากับลูพูพีว่า บัดนี้มีผู้มาแจ้งความกับเราว่าลวนเจ่ากับเกาไซไตหูสองคนมันพูดจาหยาบช้ากับเรา เราจะคิดทำประการใดดี ลูพูพีจึงว่าจะกลัวอะไรกับคนสองคนเท่านั้น เมื่อมันหยาบช้าต่อท่านแล้วก็จับตัวมาฆ่าเสียเถิด ซึ่งลูพูพีพูดดังนั้นเพราะจะให้คนทั้งปวงเกลียดชังเคงหอง ฝ่ายเคงหองได้ฟังดังนั้นตรึกตรองไปมาแล้วก็นิ่งไว้แต่ในใจ

ฝ่ายลูพูพีครั้นพูดกับเคงหองแล้วก็ไปหาลูพูกุ้ยผู้พี่บอกความว่า บัดนี้ลวนเจ่ากับเกาไซขุนนางสองคนเป็นอริขึ้นกับเคงหองแล้ว ถ้าเราจะคิดกำจัดเคงหองเสียครั้งนี้ก็เห็นจะสำเร็จ ลูพูกุ้ยจึงว่าถ้ากระนั้นเพลาคํ่าวันนี้เราจะไปพูดจายุยงให้ขุนนางทั้งสองโกรธเคงหองให้มากขึ้นแล้วจะได้ชวนให้ช่วยกันกำจัดเคงหองเสีย ครั้นคํ่าลงลูพูกุ้ยจึงให้เองหอซึ่งเป็นคนชอบกันกับเกาไซไปหาเกาไซ เกาไซจึงถามว่า เพลาคํ่าวันนี้ท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยธุระประการใด

เองหอจึงว่า ท่านกับเราเป็นขุนนางผู้น้อยเหมือนหัวอกอันเดียวกัน เราได้ยินถ้อยความเกี่ยวข้องถึงท่าน จึงมาหาหวังจะแจ้งความให้รู้ ด้วยท่านกับเคงหองก็หามีข้อความสิ่งใดไม่ เหตุใดเคงหองจึงจะคิดฆ่าท่านกับลวนเจ่าเสีย เกาไซได้ฟังดังนั้นจึงว่า ความผิดเรากับลวนเจ่านั้นหามีไม่ ถ้าจะว่าตัวของเคงหองดอกกระทำผิดไว้มาก ด้วยคบคิดกับซุยทู้ฆ่าเจ๋จงก๋งเจ้าเมืองคนเก่าเสีย ซุยทู้นั้นก็ถึงแก่ความตายแล้วยังแต่พวกเคงหอง แต่ท่านทั้งปวงก็เป็นคนกินข้าวแดงมาในเมืองเจ๋แต่ครั้งปู่ย่าตายาย จำเราจะคิดกำจัดเคงหองแทนคุณเจ๋จงก๋งเจ้านายเราเสียก่อนจึงจะสมควร ซึ่งเราเป็นข้าเจ้าเมืองเจ๋แต่ขัดอยู่ด้วยเราผู้เดียวจะทำการมิตลอด ท่านจงช่วยอนุเคราะห์ด้วย

เองหอจึงว่าข้อนี้ท่านอย่าวิตกเลย ตัวเรากับลูพูพีลูพูกุ้ยคิดอยู่นานแล้ว แต่ยังหามีผู้คู่คิดไม่ การภายในนั้นเราจะรับเป็นธุระ การภายนอกนั้นท่านกับลวนเจ่าจงคิดจัดแจงให้ดีเถิด ถ้าเห็นได้ท่วงทีเมื่อใดจงมาบอกแก่กันให้รู้ ครั้นพูดกันแล้วเองหอก็ลามาแจ้งความกับลูพูพีลูพูกุ้ยสองคนพี่น้อง เกาไซก็เอาเนื้อความนั้นไปบอกกับลวนเจ่าทุกประการ ตั้งแต่นั้นมาลวนเจ่ากับเกาไซลูพูพีลูพูกุ้ยเองหอห้าคนคิดจะคอยทำร้ายพวกเคงหองอยู่เป็นนิจ เพลาวันหนึ่งลูพูกุ้ยจึงพูดกับเองหอว่า การซึ่งเราจะคิดกำจัดพวกแซ่เคงครั้งนี้โตใหญ่มิใช่การเล็กน้อย จะเบาแก่ความมักง่ายนักไม่ได้ ด้วยเคงหองเคงเซียพ่อลูกเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พวกพ้องบ่าวไพร่มาก เราจะต้องเสี่ยงทายเอาผีสางเทพยดาเป็นที่พึ่งด้วยจึงจะควร คิดกันดังนั้นแล้วก็พากันไป ณ ศาลเทพารักษ์ซึ่งเป็นที่นับถือของตัว จุดธูปเทียนบูชาแล้วก็เสี่ยงทายดูตามธรรมเนียมจีน ใบเสี่ยงทายออกเนื้อความว่าเสือสองตัวๆ หนึ่งใหญ่ตัวหนึ่งเล็ก ตัวใหญ่นั้นวิ่งหนีไปตัวเล็กนั้นมีโลหิตติดตัวอยู่ ลูพูกุ้ยกับเองหอเห็นดังนั้นแปลความไม่ออกว่าจะแพ้แลชนะ จึงคิดกันว่าเราจะเอาไปให้ผู้ใดช่วยแปลจึงจะดี

ลูพูกุ้ยจึงว่า อันจะรู้ดีร้ายในการเสี่ยงทายนี้หามีผู้ใดเสมอเคงเซียไม่ เราพากันไปถามหาดูก็จะรู้ความ เองหอจึงว่า เราสิจะเสี่ยงทายทำร้ายเขาจะให้เขาช่วยทายนั้นจะมิรู้ตัวหรือ ลูพูกุ้ยจึงว่าเราไปถามแต่เพียงให้แปลความแพ้แลชนะเท่านั้นจะเป็นไรมี แล้วก็พากันไปหาเคงเซียในตึกคำนับแล้วเอาความเสี่ยงทายเล่าให้ฟังทุกประการ ว่าความดังนี้จะทำการสำเร็จหรือไม่ เคงเซียได้ฟังดังนั้นก็แจ้งความว่า การอันนี้คงจะสำเร็จเพราะจับเสือตัวเล็กได้ แล้วเคงเซียจึงถามว่าความซึ่งเสี่ยงทายนี้เป็นของผู้ใด ลูพูกุ้ยจึงแสร้งบอกว่า เป็นความของราษฎรเพื่อนบ้านข้าพเจ้าเขามาถาม ข้าพเจ้าทั้งสองสติปัญญาน้อยจึงมาถามท่าน ว่าแล้วคำนับลาไปบ้านคอยหาช่องซึ่งจะกระทำการอยู่

ครั้นถึง ณ วันเดือนแปดข้างจีน เคงหองปรารถนาจะไปเที่ยวเล่นในป่า จึงให้หาเคงซือเคยหยุยผู้หลานเข้ามาสั่งให้จัดแจงเกวียนและม้ากับทหารที่แม่นเกาทัณฑ์ กับให้หาตัวตันม่ออู๊ไปด้วย

ฝ่ายตันซูบอซึ่งเป็นบิดาตันม่ออู๊รู้ดังนั้น จึงห้ามบุตรว่าอย่าไปกับเขาเลย จะพลอยเป็นอันตรายไปด้วย เจ้าไม่รู้หรือขุนนางใหญ่น้อยในเมืองเราทุกวันนี้เขาคอยทำอันตรายพวกเคงหองอยู่ ตันม่ออู๊ได้ฟังบิดาห้ามจึงว่า ข้าพเจ้าเคยไปเที่ยวป่ากับเคงหองอยู่ทุกครั้ง บัดนี้เขามาชวนครั้นจะมิไปเขาก็จะขัดเคืองเป็นที่หมองหมางแก่กัน ครั้นบิดาห้ามข้าพเจ้าก็คงประพฤติตาม แต่จะต้องไปกับเขาก่อน แล้วบิดาจึงให้คนใช้ไปบอกกับข้าพเจ้าว่ามารดาป่วยหนัก ข้าพเจ้าจะได้กลับมาเสีย ตันซูบอก็เห็นชอบด้วย ครั้นเพลารุ่งเช้าเคงหองก็พาเคงซือเคงหยุยกับตันม่ออู๊ขึ้นม้า ไปป่าตังหลายเที่ยวไล่เนื้อเล่นเป็นที่สบาย

ฝ่ายลูพูกุ้ยครั้นรู้ว่าเคงหองไปเที่ยวป่าจึงว่ากับเองหอว่า อันความเสี่ยงทายของเรานั้นแม่นนักหนา ท่านรู้หรือไม่วันนี้เสือใหญ่หนีไปป่าแล้วคือตัวเคงหอง เราช่วยกันกระทำเสียให้สำเร็จในวันนี้ ว่าแล้วก็ให้คนไปบอกลวนเจ่าเกาไซให้จัดแจงผู้คนทหารไว้ให้พร้อม เมื่อวันเจ๋เก๋งก๋งจะไปคำนับปู่ย่าตายาย ณ หอไทเบี้ยว ขุนนางทั้งปวงตามไปพร้อมกัน จงช่วยกันจับเคงเซียฆ่าเสียในวันนั้น ขุนนางทั้งปวงก็จัดแจงตามลูพูกุ้ยสั่ง

ฝ่ายตันซูบอครั้นบุตรไปกับเคงหองหลายวันแล้ว จึงให้คนใช้รีบตามไปบอกความเหมือนคิดกันไว้ ตันม่ออู๊ครั้นเห็นคนใช้มาบอกจึงคำนับเคงหองว่า บัดนี้บิดาข้าพเจ้าให้คนใช้มาตาม แจ้งความว่ามารดาข้าพเจ้าเป็นโรคปัจจุบันป่วยมากให้ข้าพเจ้ารีบกลับไปโดยเร็ว ครั้นข้าพเจ้าจะทิ้งท่านเสียก็ไม่ควร ข้าพเจ้าจะขอเสี่ยงทายดู ถ้าเดชะบุญแต่เจ็บไข้เล็กน้อยข้าพเจ้าก็จะไม่ไปจะอยู่เป็นเพื่อนท่าน เคงหองจึงว่าท่านว่านี้ไม่ควร ด้วยธรรมดาเกิดมาเป็นคนแล้ว บิดามารดาเป็นใหญ่ ถึงจะมีธุระสุขทุกข์ของบุตรมากน้อยประการใดก็ดี ถ้าบิดามารดาป่วยไข้มาเรียกให้กลับไปแล้วก็ควรที่จะรีบไปโดยเร็ว ท่านอย่าวิตกด้วยเราเลย ตันม่ออู๊ได้ฟังเคงหองว่าดังนั้นก็คำนับลามาขึ้นเกวียนกลับไปบ้านกับคนใช้ ครั้นมาถึงกลางทางพบเคงซือขับเกวียนมา เคงซือจึงถามว่าท่านสิมากับเสียงก๊กแล้วเหตุใดจึงกลับมาเล่า

ตันม่ออู๊จึงตอบว่า บัดนี้มารดาข้าพเจ้าป่วยหนัก บิดาให้คนมาบอกข้าพเจ้าจึงต้องกลับไปโดยเร็ว เคงซือพิจารณาดูกิริยาตันม่ออู๊เห็นหาเป็นทุกข์ร้อนควรแก่บิดามารดาป่วยไข้ไม่ก็สงสัย ครั้นจะพูดจาไต่ถามมากก็ไม่ทัน ด้วยตันม่ออู๊รีบขับเกวียนคลาดกันไปไกล จึงรีบขับเกวียนมาทันเคงหองเข้าแล้วคำนับว่า ตันม่ออู๊มากับท่านเหตุผลประการใดจึงกลับไปเสียเล่า เคงหองจึงว่าเขามาบอกเราว่ามารดาเขาป่วยมาก เราก็ยอมให้เขากลับไปบ้าน เคงซือจึงว่าข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูความอันนี้หาจริงไม่ ด้วยธรรมดาคนซึ่งมีทุกข์ด้วยบิดามารดาป่วยไข้มีหน้าตากิริยาหาปกติไม่ นี่ข้าพเจ้าดูกิริยาตันม่ออู๊ชื่นมื่นอยู่ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความไม่จริง อนึ่ง ข้าพเจ้ามีความวิตกอยู่ท่านจะประโยชน์อันใดกับเที่ยวป่าไล่เนื้อ จงรีบกลับไปบ้านเมืองเราจะดีกว่า จะมีเหตุประการใดที่บ้านจะได้คิดการงานแก้ตัวถนัด เคงหองได้ฟังก็หัวเราะแล้วว่า เจ้าวิตกนี้เกินนักเราจะกลัวอะไร ถึงจะมีความที่บ้าน เคงเซียบุตรเราก็เป็นคนมีฝีมือกำลังมาก ขุนนางทั้งปวงในเมืองเจ๋ก็เกรงฝีมือเคงเซียสิ้น อันทางซึ่งตันม่ออู๊กลับมานั้นมีคลองใหญ่นํ้าลึกตำบลหนึ่งแต่มีสะพานข้ามม้าเกวียนเดินได้ ครั้นตันม่ออู๊ข้ามสะพานพ้นมาแล้วจึงให้ทหารรื้อสะพานเสีย ด้วยปรารถนามิให้เคงหองข้ามมาได้แล้วก็รีบมาบ้าน

ฝ่ายเจ๋เก๋งก๋งครั้นถึง ณ วันเดือนแปดเป็นสารทจีนเคยทำเครื่องเซ่นไปคำนับ ณ หอไทเบี้ยวทุกครั้ง พอจะถึงวันกำหนด รุ่งเช้าขึ้นขุนนางทั้งปวงก็เตรียมไว้พร้อมตามธรรมเนียม ฝ่ายลูพูกุ้ยจึงเรียกทหารซึ่งมีฝีมือเข้ามาสั่งการงานตามซึ่งจะคิดฆ่าเคงเซีย ในวันนั้นหน้าตาลูพูกุ้ยมึนตึงหาสู้พูดจายิ้มแย้มกับนางเคงเกียงผู้ภรรยาไม่

นางเคงเกียงเห็นกิริยาสามีประหลาด จึงถามว่าแต่ก่อนท่านจะมีราชการใหญ่น้อยสุขทุกข์ประการใด ท่านย่อมปรึกษาหารือกับข้าพเจ้าทุกครั้ง วันนี้เหตุใดจึงหาบอกให้ข้าพเจ้ารู้ไม่ ลูพูกุ้ยได้ฟังก็หัวเราะว่าเจ้าเป็นคนสติปัญญาน้อยหาควรจะรู้การไม่เราจึงมิได้บอก อันการงานซึ่งเราบอกให้เจ้ารู้ทุกทีนั้น เพราะเราเป็นสามีพิเคราะห์เห็นว่าอิสตรีจะคิดได้จึงปรึกษากับเจ้า นี่เราเห็นว่าไม่สมควรกับอิสตรี เราจึงมิบอกให้รู้ นางเคงเกียงยิ้มแล้วจึงว่าท่านอย่าเพ่อประมาทอิสตรี ลางทีตรึกตรองรู้ผิดและชอบแยบคายดีกว่าชายอีก การครั้งนี้ถ้าให้ข้าพเจ้าคิดด้วยแล้ว คงจะสำเร็จโดยง่าย

ลูพูกุ้ยได้ฟังภรรยาพูดประหลาดเหมือนจะรู้ความลับของตัวก็คิดว่าถ้าเราขืนอำพราง การซึ่งเราคิดจะแพร่งพรายไม่สำเร็จ อันตรายก็จะมีกับเรา จำจะบอกกับนางตามจริงเถิด คิดแล้วจึงยกเอาความเมืองเตงครั้งเจ้าเมืองเตงใช้ยงกีวบุตรเขยชัวจ๊กให้คิดฆ่าชัวจ๊ก ยงกีวกระทำความให้แตก นางยงกี๋บุตรีชัวจ๊กรู้จึงเอาเนื้อความบอกชัวจ๊กผู้เป็นบิดา ชัวจ๊กคิดฆ่าเจ้าเมืองและตัวยงกีวบุตรเขยเสีย เพราะเกรงดังนี้จึงมิอาจจะบอกกับเจ้า เจ้าก็เป็นคนมีสติปัญญารู้จักผิดชอบดีกว่าชายก็ตาม แต่เจ้าจะคิดให้เราดีร้ายประการใดก็อยู่กับใจของเจ้าสิ้น

นางเคงเกียงได้ฟังสามีเอาความเมืองเตงมาเปรียบให้ฟัง ก็เข้าใจความว่าลูพูกุ้ยจะฆ่าเคงเซียบิดาตัว คิดแล้วจึงกล่าวคำติเตียนนางยงกี๋บุตรีชัวจ๊กซึ่งเป็นภรรยายงกีวนั้นแล้วว่า อันประเพณีลูกผู้หญิง เมื่อน้อยอยู่ในอกบิดามารดา จะมีเหตุผลประการใดก็บอกกล่าวบิดามารดาอยู่ในโอวาทสิ้น ครั้นบิดามารดาแต่งให้มีเรือนไป ก็ตกอยู่ในอำนาจสามี คิดว่าสามีเหมือนบิดา เหมือนตัวข้าพเจ้าบิดามารดายกให้เป็นภรรยาท่าน ก็เป็นสิทธิ์อยู่กับท่าน จะมีธุระประการใดก็จะปฏิบัติตามท่านทุกประการ ลูพูกุ้ยเห็นนางเคงเกียงพูดจาถ้อยคำยั่งยืน ก็เล่าเนื้อความซึ่งเจ้าเมืองเจ๋คิดให้ตัวกับขุนนางสี่คนฆ่าเคงหองเคงเซียพ่อลูกเสีย

นางเคงเกียงจึงว่า การครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีแล้วจงเร่งทำเถิดด้วยเคงหองไปเที่ยวป่า อยู่แต่บิดาข้าพเจ้าผู้เดียว แต่ท่านตรึกตรองหาที่ทางให้ดี อย่าให้เสียทีได้ ลูพูกุ้ยจึงว่าอีกสองสามวันเจ้าเมืองจะออกไปคำนับไทเบี้ยว บิดาท่านกับขุนนางทั้งปวงคงตามไป เราเตรียมการพร้อมแล้วเจ้าอย่าวิตกเลย นางเคงเกียงจึงตอบว่า ท่านไม่รู้หรือบิดาข้าพเจ้าหาเหมือนขุนนางทั้งปวงไม่ ด้วยสันดานประกอบไปด้วยความชั่ว ลางทีรับประทานสุราเหลือขนาดมัวเมาอยู่แต่อิสตรี ถึงราชการจะมีก็หลงลืมเสีย ถ้าถึงวันเจ้าเมืองเจ๋จะไปไทเบี้ยวฉวยมัวเมาอยู่มิไปจะมิเสียการหรือ การครั้งนี้ข้าพเจ้าจะต้องคิดยั่วใจบิดาข้าพเจ้าจึงจะได้การ ลูพูกุ้ยจึงว่าซึ่งเราคิดอ่านทั้งนี้ก็ผิดกับคำโบราณว่าไว้ว่าอย่าให้แจ้งความลับกับภรรยา อนึ่งเยี่ยงอย่างก็มีมาครั้งเมืองเตง แต่เรารักใคร่ไว้ใจเจ้าประดุจเอาชีวิตไปฝากไว้ ถ้าเจ้ามิได้กรุณาตามสามีภรรยาที่รักกันเราก็จะก้มหน้าลาตายไป ณ วันไปไทเบี้ยวเหมือนยงกีวเมืองเตง

นางเคงเกียงก็ลุกขึ้นคำนับแล้วว่า ท่านกับข้าพเจ้าชีวิตเดียวกันอย่าวิตกเลย ว่าแล้วก็คำนับลาสามีไปหาเคงเซียผู้บิดา คำนับแล้วแกล้งแจ้งความว่า ถึงเดือนแปดสารทแล้วสองวันสามวัน เจ้าเมืองเจ๋จะออกไปคำนับปู่ย่าตายายที่ไทเบี้ยว ขุนนางทั้งปวงเขาตามไปมากแล้ว บิดาจงป่วยเสียอย่าไปเลย ด้วยข้าพเจ้าแจ้งกิตติศัพท์ว่าลวนเจ่ากับเกาไซสองคนเขาคอยจะทำอันตรายบิดาอยู่ ซึ่งนางแจ้งความตามจริงดังนี้เพราะนางแจ้งนํ้าใจเคงเซียบิดาอยู่ว่ามักดึงดื้อถือดีว่ามีกำลัง ถ้าแม้นมีธุระและมีที่ไปแห่งใด มีผู้ห้ามปรามว่าท่านอย่าทำสิ่งนั้นจะผิด อย่าไปตำบลนั้นจะเป็นอันตราย ก็ไม่เชื่อคงจะดื้อทำขืนไปจนได้ นางรู้จักใจดังนั้นจึงแสร้งห้ามดังนี้

ขณะเมื่อเคงเซียได้ฟังคำนางเคงเกียงผู้บุตรีห้ามปรามดังนั้นจึงว่า เจ้าอย่าปรารภถึงบิดาเลยหาต้องการไม่ อันขุนนางในเมืองเจ๋ทุกวันนี้ข้างยศศักดิ์ใครจะเกินบิดา ข้างกำลังปัญญาและไม้มือ เจ้าเห็นผู้ใดหรือว่าจะสู้บิดาได้ อนึ่งสามีเจ้ากับเองหอสองคนไซร้ก็ซื่อสัตย์ จะไปไหนก็ตามไปทุกที แม้นใครคิดร้ายเหมือนเอากายเข้ามารับคมอาวุธ เจ้าอย่าทุกข์ว่าใครจะประทุษร้ายได้ นางเคงเกียงได้ฟังบิดาพูดดังนั้นก็ดีใจว่าสมคิด จึงคำนับลามาแจ้งความกับสามีทุกประการ พอถึงวันที่เจ้าเมืองเจ๋จะออกไปไทเบี้ยว เจ้าพนักงานทั้งปวงก็จัดแจงการพร้อมแล้ว เจ๋เก๋งก๋งก็ขึ้นเกวียนมีกระบวนแห่ไปกับขุนนางทั้งปวง

ฝ่ายเคงเซียก็จัดแจงแต่งตัวจะตามไป จึงสั่งเคงสินกับลูพูกุ้ยเองหอให้ถืออาวุธรักษาตัวไปด้วยแล้วก็ขึ้นเกวียน ลูพูกุ้ยเองหอก็ถือทวนเดินเคียงไปข้างเกวียนกับด้วยทหารเลวทั้งปวง ฝ่ายเจ๋เก๋งก๋งครั้นถึงหอไทเบี้ยวก็เข้าไปจุดธูปเทียนบูชาคำนับกับด้วยขุนนางทั้งปวง ตัวเคงเซียก็เข้าไปคำนับด้วย

ฝ่ายตันม่ออู๊กับเป๋าก๊กขุนนางสองคนรู้ความอยู่ว่า เพลาวันนี้ลูพูกุ้ยเองหอกับขุนนางทั้งปวงเขาจะกำจัดเคงเซีย ตัวก็ได้ร่วมคิดกับเขา ครั้นเห็นเจ้าเมืองเจ๋ เคงเซีย เข้าไปอยู่ที่หอไทเบี้ยว จึงออกมาดูทหารเคงเซียที่นอกประตู แลเห็นผู้คนล้อมนอกไทเบี้ยวแต่ล้วนทหารเคงเซียทั้งนั้นก็กลัวจะไม่สำเร็จ จึงแสร้งหางิ้วมาเล่นที่ริมหอไทเบี้ยว หวังจะให้ทหารเคงเซียประมาทใจไปดู แล้วประกาศว่าเพลาวันนี้ เจ้านายเราออกมาเซ่นปู่ย่าตายายควรจะให้มีการฉลองจะได้เป็นสง่า ท่านทั้งปวงจงไปดูเล่นตามสบาย ทหารเคงเซียได้ฟังดังนั้นก็วางอาวุธถอดเกราะพากันไป

ฝ่ายลูพูกุ้ยตามเคงเซียเข้าไปอยู่ในไทเบี้ยว จึงแสร้งพูดว่าเจ็บท้องเบาจะออกไปเบาภายนอก จึงเอาทวนปักลงไว้ แล้วเดินออกมากำชับพวกพ้องของตัวบรรดาที่ร่วมคิดกันให้เตรียมตัว แล้วกลับเข้าไปภายในฉวยทวนขึ้นแกว่งสามรอบให้ท่วงทีกับลวนเจ่าเกาไซ ฝ่ายเกาไซเห็นดังนั้นก็สั่งคนสนิทให้ออกไปกระทุ้งบานประตู ให้สำคัญกับทหารทั้งปวง ทหารทั้งปวงก็ตรูเข้าไปในไทเบี้ยว ขณะเมื่อขุนนางทั้งปวงคิดการดังนี้ เจ๋เก๋งก๋งหาทราบไม่ ครั้นเห็นทหารถืออาวุธเข้ามาดังนั้นก็ตกใจตัวสั่น วันเอ๋งอยู่ใกล้จึงกระซิบว่า ท่านอย่าวุ่นวายไปมิใช่ใครจะทำร้ายท่าน เขาจะคิดกำจัดเคงเซียศัตรูของท่านดอก

ขณะนั้นลูพูกุ้ยยืนเคียงเคงเซีย ได้ทีก็เอาทวนแทงเข้าที่สีข้างเบื้องขวาเคงเซีย เองหอก็เอากระบี่ฟันแขนซ้ายเคงเซีย เคงเซียเป็นคนมีกำลังมากถูกอาวุธสองแห่งแล้วยังไม่ล้ม จึงกระโดดออกไปร้องว่า กูคิดว่าใครเป็นศัตรูมิรู้ก็อ้ายสองคน ว่าแล้วก็วิ่งเข้าไปฉวยเอาขวดทองเหลืองซึ่งสำหรับปักดอกไม้ในไทเบี้ยวขว้างไปถูกเองหอล้มลงขาดใจตาย ขณะนั้นเคงเซียเจ็บปวดเป็นกำลัง โลหิตไหลนองไปในไทเบี้ยวมืดหน้าซวนมาปะเสาเข้าแล้ว แขนหนึ่งก็กอดเสาอึดใจทนดิ้นรนไปจนเสากระเทือนถึงหลังคากระเบื้องร่วง ร้องขึ้นได้คำเดียวก็ขาดใจตาย ลูพูกุ้ยก็กระซิบสั่งให้ไปจับเคงเซียฆ่าเสีย

ฝ่ายเจ๋เก๋งก๋งครั้นเห็นพวกขุนนางเขาชวนกันกำจัดเคงเซียซึ่งเป็นคนชั่วแล้ว ก็มีความยินดี ครั้นคำนับไทเบี้ยวแล้วก็กลับไปที่อยู่ จึงให้ทหารไปเที่ยวสืบจับพวกแซ่เคงมาฆ่าเสียอีกเป็นอันมาก แล้วมาประกาศแก่ราษฎรว่า ท่านทั้งปวงบรรดาอยู่ในกำแพง จงช่วยกันรักษาประตูเมืองไว้ทั้งสี่ทิศ อย่าให้เคงหองกลับเข้ามาในเมืองได้ ฝ่ายคนใช้ในเรือนเคงเซียเห็นในเรือนตัววุ่นวายกลัวความตาย ก็หนีเล็ดลอดไปหาเคงหองแจ้งความทั้งปวงให้ฟังทุกประการ เคงหองได้ฟังว่าลูกหลานเป็นอันตรายก็โกรธ จึงสั่งให้เลิกการไล่เนื้อ แล้วตั้งเป็นกระบวนทัพยกกลับไปเมืองเข้าทางประตูตะวันตกเห็นประตูปิดอยู่ จึงสั่งทหารให้เข้าทลายประตู ราษฎรซึ่งรักษาประตูอยู่นั้นก็ชวนกันป้องกันสู้รบเป็นสามารถ เคงหองมิอาจหักเข้าไปได้ก็ถอยออกมา เห็นทหารของตัวเบาบางไปก็แจ้งว่าเอาใจออกหากหนีเข้าไปหาพวกพ้องในเมืองก็เสียนํ้าใจ จึงคิดว่าครั้นเราจะขืนอยู่สู้รบ ทหารของเราก็เบาบางเห็นจะสู้เขามิได้ จำจะหนีเอาแต่ตัวรอดเถิด คิดแล้วก็พาคนสนิทลอบหนีไปอาศัยอยู่ ณ เมืองฬ่อ

ฝ่ายเจ๋เก๋งก๋งครั้นแจ้งว่าเคงหองไปอาศัยอยู่เมืองฬ่อ จึงแต่งหนังสือไปให้เจ้าเมืองฬ่อเป็นใจความว่า เคงหองเป็นคนชั่วหามีกตัญญูต่อเจ้านายไม่ อย่าให้เจ้าเมืองฬ่อคบค้าคนชั่วไว้ จงเห็นกับไมตรีจับตัวเคงหองส่งมาเมืองเจ๋ ไมตรีเราทั้งสองจึงจะวัฒนาสืบไปจนลูกหลาน เขียนแล้วจึงส่งให้คนใช้ถือไปให้กับเจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองฬ่อได้แจ้งในหนังสือดังนั้นก็สั่งให้ทหารไปเที่ยวสืบดู ถ้ารู้ว่าเคงหองอยู่ในเมืองเราแน่แล้ว จงจับตัวส่งไปเมืองเจ๋ ฝ่ายเคงหองเมื่อมาอาศัยอยู่เมืองฬ่อก็เล็ดลอดซ่อนตัวอยู่หาสู้ออกหน้าไม่ ครั้นแจ้งข่าวว่าเจ้าเมืองฬ่อให้สืบจะจับตัวส่งไปเมืองเจ๋ก็ตกใจ จึงหนีไปเมืองหงอเข้าหาอีมุยอยู่เป็นเจ้าเมือง อีมุยก็มีความสงสารรับไว้ ทะนุบำรุงให้เงินทองเสื้อผ้าแล้วให้ไปรักษาตำบลเมืองจูฮองเป็นเมืองตรีขึ้นกับเมืองหงอต่อแดนเมืองฌ้อ

ขณะเมื่อเจ้าเมืองเจ๋คิดกำจัดเคงหองเคงเซียครั้งนั้น ราชการฝ่ายทหารพลเรือนก็สิทธิ์ขาดอยู่กับลวนเจ่าเกาไซสองคนได้บังคับบัญชาสืบไป ลวนเจ่าเกาไซจึงสั่งให้ตัดเอาศีรษะเคงเซียไปเสียบประจานไว้ที่หนทางสามแพร่ง แล้วเขียนหนังสือไปปิดไว้ตามประตูเป็นใจความว่า ซุยทู้เคงหองเป็นขบถต่อเจ้าเมืองเจ่คนเก่า บัดนี้เราคิดกำจัดพวกแซ่เคง จับได้ตัวเคงเซียบุตรเคงหองฆ่าเสียแล้ว แต่ตัวเคงหองนั้นหนีไปได้ อนึ่งซุยทู้ซึ่งเป็นขบถตายไปก่อนนั้นก็ยังไม่พ้นโทษ จะต้องขุดเอาศพมาทำโทษอีกจึงจะควรกับกฎหมาย แต่ไม่รู้ว่าศพซุยทู้อยู่แห่งใด ถ้าราษฎรทั้งปวงผู้ใดผู้หนึ่งรู้แห่งแล้วจงมาบอกเรา เราจะปูนบำเหน็จรางวัลตามสมควร

ขณะนั้นมีควาญม้าคนหนึ่ง เป็นคนสำหรับได้เลี้ยงม้าของซุยทู้ ครั้นได้เห็นหนังสือประกาศดังนั้น จึงเข้าไปคำนับลวนเจ่าเกาไซว่า อันศพของซุยทู้นั้นข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าพวกพ้องของเขาเอาไปฝังไว้ทั้งสองคนผัวเมียแห่งเดียวกันกับที่ฝังปู่ย่าตายายของซุยทู้นั้น ลวนเจ่าเกาไซได้ฟังก็ยินดี จึงให้คนเลี้ยงม้านั้นพาทหารไปขุดศพซุยทู้ได้มาทั้งโลง ลวนเจาเกาไซจึงสั่งให้เปิดโลงขึ้นดูเห็นอยู่ในนั้นสองศพ คือศพซุยทู้คนหนึ่ง คือศพนางซงขยงผู้เป็นภรรยาคนหนึ่ง จึงสั่งทหารให้เอาดาบฟันศพให้เป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่

วันเอ๋งขุนนางผู้หนึ่งอยู่นั่นด้วยได้ฟังดังนั้นจึงห้ามว่า อันท่านจะทำโทษศพนางซงขยงด้วยนั้นหาชอบไม่ ด้วยเป็นอิสตรีนี้มิได้มีความผิด ข้าพเจ้าขอให้เอาใส่โลงกลับไปฝังไว้ตามเดิมเถิด แต่ศพซุยทู้นั้นจะทำเป็นประการใดก็สุดแต่ท่าน ลวนเจ่าเกาไซก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ทำตามคำวันเอ๋งว่า แล้วให้เอาศพซุยทู้ไปประจานไว้ที่หนทางให้ราษฎรทั้งปวงดู แล้วลวนเจ่าเกาไซก๊กเป๋าตันม่ออู๊สี่คน จึงสั่งให้คนใช้ไปทำบัญชีทรัพย์สิ่งของในบ้านซุยทู้และบ้านเคงหองเคงเซียเป็นเงินทองข้าวของมากนัก ลวนเจ่าเกาไซจึงว่า สิ่งของเหล่านี้เจ้าเมืองเจ๋ยกให้กับเราสี่คน เราควรจะปันกันตามผู้ใหญ่ผู้น้อยจึงจะชอบ

ตันม่ออู๊จึงว่า อันสมบัติเหล่านี้ท่านทั้งสามเป็นคนเหน็ดเหนื่อยมากก็ปันกันแต่สามเถิด แต่ส่วนข้าพเจ้านั้นไม่รับประทาน ด้วยตัวข้าพเจ้าหาสู้เอาใจใส่ในราชการเหมือนท่านทั้งสามไม่ อันทรัพย์สมบัติของเคงหองนั้นขนมาระคนปนกันกับสมบัติลูพูพี ลูพูพีเห็นดังนั้นจึงว่ากับลวนเจ่าเกาไซว่า เหตุใดท่านจึงให้มาริบเอาสมบัติของข้าพเจ้าไปด้วยเล่า ลวนเจ่าเกาไซจึงว่าอันตัวท่านนี้มิใช่จะไม่มีโทษ ถ้าจะว่าแล้วก็มีโทษเหมือนกับเคงหอง ด้วยท่านกับเคงหองอยู่บ้านเดียวกันและร่วมภรรยากัน หากเราคิดอยู่ว่าเป็นเพื่อนรักเราจึงปิดความไว้ ท่านจงคิดอ่านไปอยู่เสียเมืองอื่นจึงจะพ้นภัย

ลูพูพีได้ฟังดังนั้นก็จนใจ ครั้นจะพูดจาว่ากล่าวมากความไปถึงลูพูกุ้ยพี่ชายตัว ที่ได้ฆ่าเคงเซียมีความชอบและตัวก็ไม่มีโทษก็กลัวลวนเจ่าเกาไซจะไม่เชื่อฟัง และจะมาแสร้งพาลพาโลหาโทษใส่ตัว คิดดังนี้แล้วก็กลับมาบ้าน เก็บข้าวของแต่พอสมควรแก่กำลัง พาบุตรภรรยาอพยพไปอยู่เมืองเอียน ฝ่ายลูพูกุ้ยขณะเมื่อฆ่าเคงเซียแล้วนั้น ก็สำคัญตัวว่ามีความชอบคงจะมีบำเหน็จรางวัล ครั้นคอยมาเห็นเงียบอยู่จึงให้คนใช้ไปสืบดูรู้ว่าลวนเจ่าเกาไซไล่ลูพูพีผู้น้องไปอยู่เมืองอื่นก็เสียนํ้าใจ จึงคิดว่าถ้าจะคิดคอยบำเหน็จรางวัลอยู่ในเมืองเจ่อันตรายก็จะมาถึงตัวเป็นมั่นคง จึงพานางเคงเกียงผู้เป็นภรรยากับครอบครัวของตัวยกตามน้องชายตัวไปอยู่เมืองเอียน

ขณะเมื่อลวนเจ่าเกาไซก๊กเป๋าสามคนขนเอาทรัพย์สินเงินทองข้าวของสมบัติของซุยทู้กับเคงหองมาปันกันนั้น ที่สุดลงไปแต่ชั้นถ้วยชามโอ่งไหก็ไม่เหลือ เหลืออยู่แต่ไม้ไผ่ไม้จริงเป็นท่อนๆ ซึ่งสำหรับใช้การในบ้าน ลวนเจ่าเกาไซก๊กเป๋าสามคนหามีความปรารถนาไม่ จึงพูดกับตันม่ออู๊ว่าสิ่งของทั้งปวงท่านไม่อยากได้ก็ตามใจ ท่านเข้าใจในการช่างไม้อยู่ จงเอาไม้เหล่านี้ไปทำการเล่นตามปรารถนาเถิด ตันม่ออู๊เห็นคนทั้งสามไม่ปรารถนาแล้วก็รับเอา แล้วป่าวร้องบรรดาราษฎรทั้งปวงให้มาขนเอาไม้เหล่านั้นไปทำงานตามปรารถนา ราษฎรทั้งปวงก็มีความยินดีสรรเสริญตันม่ออู๊ว่าสมควรจะเป็นที่พึ่งกับเราท่านทั้งปวงได้

ครั้นล่วงมาเข้าปีใหม่ ลวนเจ่าซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการในเมืองเจ๋ก็ถึงอนิจกรรม เจ๋เก๋งก๋งจึงแต่งการศพไปฝังไว้ตามตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ จึงตั้งลวนชีผู้บุตรลวนเจ่าขึ้นว่าราชการแทนบิดา ขณะนั้นราชการในเมืองเจ๋ก็สิทธิ์ขาดอยู่กับลวนชี เกาไซสิ้น ยังมีขุนนางคนหนึ่งชื่อเกาจี๋ เป็นบุตรเกาเก๋าแซ่เดียวกับเกาไซ แต่เป็นคนสัตย์ซื่อ รู้ว่าเกาไซเป็นคนชั่วประกอบด้วยโลภ จึงมิได้ฝากตัวประจบประแจงให้ใช้สอยรักใคร่ เกาไซก็มีใจเกลียดชังเกาจี๋ จึงคิดหาอุบายใส่โทษเกาจี๋ เกาจี๋รู้ตัวก็พาภรรยาหนีไปอยู่เมืองเอียน

ฝ่ายเกาเกียนซึ่งเป็นบุตรเกาจี๋ เจ๋เก๋งก๋งให้ไปอยู่รักษาเมืองลูอิบนั้น ครั้นแจ้งว่าเกาไซคิดกำจัดบิดาเสียก็ตกใจ คิดกลัวตัวว่าเกาไซจะยุยงเจ้าเมืองให้จับพวกตัวฆ่าเสีย จึงจัดแจงสมัครพรรคพวกและเครื่องศัสตราวุธเตรียมไว้ ถ้าเจ้าเมืองใช้ให้มาจับตัวเมื่อใดจะได้ป้องกันตัวมิให้เป็นอันตราย กิตติศัพท์อันนั้นรู้ไปถึงเกาไซ เกาไซโกรธจึงเข้าไปอุบายบอกเจ้าเมืองเจ๋ว่า บัดนี้เกาเกียนบุตรเกาจี๋ซึ่งหนีไปนั้นมีใจเจ็บแค้นท่านจึงคิดซ่องสุมทแกล้วทหารจะยกมาชิงสมบัติ ถ้านิ่งไว้ให้ยกมาถึงเมืองมิปราบปรามเสียแต่เดิมทีนานไปก็จะมีอันตราย อุปมาเหมือนหนึ่งจับลูกเสือมาได้ไว้ใจไม่ฆ่าเสียแต่ยังอ่อนขืนเลี้ยงไว้ถ้าโตใหญ่ขึ้นก็จะคิดทำร้ายเจ้าของ ขอท่านจงจัดแจงให้ทหารที่มีสติปัญญาไปคิดจับตัวเกาเกียนมาฆ่าเสีย เจ๋เก๋งก๋งได้ฟังดังนั้นจึงสั่งลือคือเองให้คุมทหารไปจับตัวเกาเกียนมาจงได้ ลือคือเองก็คำนับลามาจัดทหารแล้วก็ยกไปยังเมืองลูอิบถึงก็ล้อมเข้าไว้

ฝ่ายเกาเกียนแจ้งว่าเจ้าเมืองเจ๋ใช้ลือคือเองมาจับตัว จึงคิดว่าลือคือเองคนนี้เป็นคนสัตย์ซื่อใจคอมั่นคง เห็นจะพอไปว่ากล่าวอ้อนวอนได้อยู่ คิดแล้วจึงขึ้นไปบนเชิงเทินร้องบอกว่า ไตหูลือคือเองอยู่ไหนข้าพเจ้าจะมาเจรจาด้วย ทหารก็ไปบอกลือคือเอง ลือคือเองก็ออกมาแลเห็นเกาเกียนจึงร้องขึ้นไป เหตุใดตัวท่านจึงคิดขบถดังนี้ หาถูกด้วยอย่างธรรมเนียมไม่ เกาเกียนได้ยินดังนั้นน้อมตัวลงคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าจะได้คิดประทุษร้ายต่อเจ้าเมืองเหมือนหนึ่งคำท่านนั้นหามิได้ เหตุทั้งนี้ก็เพราะเกาไซยุยงส่งเสริมให้เจ้าเมืองให้ฆ่าพวกข้าพเจ้า บิดาจึงได้หนีไปเสีย ข้าพเจ้าคิดกลัวว่าจะเป็นอันตรายถึงตัวด้วย จึงให้ปิดประตูเมืองไว้แต่พอรักษาตัว ลือคือเองเห็นจริงด้วยก็อ่อนใจลงจึงว่า ท่านจะอยู่ในเมืองนี้เห็นจะไม่พ้นอันตราย ท่านก็มีสติปัญญาอยู่จงตรึกตรองเอาตัวรอดเถิด

เกาเกียนยินดีนัก ก็ลงมาจัดแจงข้าวของเงินทองบรรทุกเกวียน ครั้นคํ่าลงก็พาพรรคพวกเปิดประตูหนีไปยังเมืองจิ้น ลือคือเองรู้ว่าเกาเกียนไปแล้ว ก็เลิกทัพกลับมาแจ้งความแก่เจ๋เก๋งก๋งว่า ข้าพเจ้ายกทัพไปก็มิได้เห็นเกาเกียนซ่องสุมทหารและจัดแจงบ้านเมืองเหมือนหนึ่งคำเกาไซว่า ข้าพเจ้าจึงตั้งค่ายอยู่ริมเมืองลูอิบหมายจะดูท่วงที ครั้นคํ่าลงเกาเกียนก็พาสมัครพรรคพวกลอบหนีไปเสีย ข้าพเจ้าจึงได้กลับมาแจ้งความกับท่าน

เจ๋เก๋งก๋งได้ฟังดังนั้นจึงกลับคิดได้ว่า พ่อลูกสองคนนี้เป็นคนสัตย์ซื่อหามีความผิดมิได้ แต่กลัวเราจะฆ่าเสียจึงหนีไปจากเมือง อนึ่งเมืองลูอิบก็ไม่มีผู้ใดรักษา จำจะให้เกาเอียนซึ่งเป็นหลานเกาจี๋นั้นไปอยู่เป็นเจ้าเมืองลูอิบ คิดแล้วจึงเรียกเกาเอียนเข้ามาแล้วว่า ท่านจงไปรักษาเมืองลูอิบแทนเกาเกียนที่หนีไป เกาเอียนก็คำนับลาพาพวกพ้องของตัวยกไปตามคำเจ้าเมืองสั่ง ขณะนั้นเกาไซอยู่ ณ บ้าน ได้แจ้งความดังนั้น จึงคิดว่าลือคือเองนี้เป็นพวกพ้องกับเกาจี๋ จึงไม่จับเกาเกียนฆ่าเสียแกล้งปล่อยให้หนีไปได้ แล้วกลับเอาแต่ความดีมาบอกเจ๋เก๋งก๋งต่างๆ เจ๋เก๋งก๋งก็พลอยเห็นจริงไปด้วย ตั้งให้เกาเอียนไปรักษาเมืองลูอิบ เกาไซพยาบาทคิดจะฆ่าลือคือเองอยู่ ถ้าเข้าไปหาเจ๋เก๋งก๋งที่ใด ถ้าไม่เห็นลือคือเองเข้ามาแล้ว คิดอ่านหาความผิดลือคือเอง ยุยงเจ้าเมืองเจ๋เนืองๆ มิได้ขาด เจ๋เก๋งก๋งเป็นคนใจเบา ใครว่าอย่างไรก็เชื่อถ้อยคำสิ้น อุปมาเหมือนหนึ่งไม้หลักปักไว้ในเลนเอนไปมาหาตรงไม่ ครั้นเกาไซมายุยงว่าลือคือเองไม่ซื่อตรงก็พลอยเห็นจริงด้วย จึงสั่งทหารให้จับตัวลือคือเองไปฆ่าเสีย ทหารก็ไปทำตามคำเจ้าเมืองสั่ง

ฝ่ายก๋งจูซัน ก๋งจูเซียง ก๋งจูจิ๋ว บุตรเจ๋เก๋งก๋งสามคนนั้น ครั้นแจ้งว่าเกาไซยุยงบิดาให้ฆ่าลือคือเองผู้ซื่อสัตย์เสีย เกาจี๋เกาเกียนก็หนีไปอยู่เมืองอื่น จึงปรึกษากันว่า บ้านเมืองเราเห็นจะไม่มีผู้สัตย์ซื่อเสียแล้ว จะมีแต่คนพูดจาสอพลอยุยงเจ้า ตั้งแต่นี้ไปเห็นจะไม่มีสุข ต่างคนก็ถอนใจใหญ่นั่งแลดูตากันอยู่

ขณะนั้นเกาไซรอบรู้ความที่ก๋งจูทั้งสามปรึกษากันก็โกรธนักจึงเข้าไปยุเจ๋เก๋งก๋งว่า ก๋งจูบุตรท่านทั้งสามคนนับถือลือคือเองซึ่งเป็นคนชั่วท่านให้ฆ่าเสีย ก๋งจูทั้งสามมีใจเจ็บแค้นท่าน คิดจะทำร้ายอยู่เนืองๆ แต่ยังมิถนัดจึงต้องนิ่งอยู่ เจ๋เก๋งก๋งได้ฟังดังนั้นก็เชื่อถ้อยคำเกาไซ คิดโกรธบุตรทั้งสามนัก จึงสั่งทหารให้ไปไล่เสียมิให้อยู่ในเมืองเจ๋ ก๋งจูซัน ก๋งจูเซียง ก๋งจูจิ๋ว ก็คิดมานะอพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่นอกเมืองเจ๋ เกาไซก็กลับมาบ้าน ครั้นคํ่าลงวันนั้นหาสบายใจไม่ก็เข้านอนอยู่ในห้อง ปีศาจลือคือเองมีใจเจ็บแค้นเกาไซอยู่ จึงบันดาลมิให้เห็นตัวเอามือปิดปากบีบจมูกเกาไซเข้าไว้ เกาไซหายใจหาออกไม่ เวียนแต่ดิ้นรนทนมิได้ก็ขาดใจตาย พอเช้าขึ้นพวกคนใช้เกาไซเห็นผิดเพลาสายแล้วเกาไซยังหาตื่นนอนออกมาไม่ ก็เข้าไปดูเห็นเกาไซนอนนิ่งอยู่จึงเอามือจับดูรู้ว่าสิ้นชีวิตแล้วก็ตกใจอื้ออึงกันขึ้นทั้งบ้าน บ้างก็เข้าไปแจ้งความกับเจ๋เก๋งก๋ง เจ๋เก๋งก๋งเสียดายนักจึงให้จัดแจงฝังศพเสร็จแล้ว จึงเอาเกาเกียงบุตรเกาไซมาตั้งเป็นไตหูแทนบิดา แต่ยังเด็กอยู่หารู้การรอบคอบไม่ จึงให้ลวนชีช่วยว่าราชการไปพลางกว่าเกาเกียงจะโตขึ้น

ขณะนั้นบรรดาหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงก็สงบอยู่มิได้ทำศึกแก่กัน ฝ่ายเลียงเชียวซึ่งเป็นหลานก๋งจูคิวจิด บุตรของกงซุนเทียดนั้นได้เป็นที่ไตหูผู้ใหญ่ว่าราชการสิทธิ์ขาดอยู่ในเมืองเตง เป็นคนไม่มีสติปัญญา เสพแต่สุราเป็นนิจเนืองๆ มิได้ขาด แม้นวันใดจะกินสุราแล้วต้องกินแต่พลบคํ่า รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งจึงจะอิ่ม ถ้าเมาแล้วโทโสมากผู้ใดพูดจาปรึกษาด้วยราชการก็ให้ขัดขวางหูไม่ถูกใจ ถ้าเป็นบ่าวไพร่ก็ตวาดด่าว่าต่างๆ เพลาวันหนึ่งเลียงเชียวคิดจะหาที่เสพสุราให้สบายไม่ให้ใครมาหาได้ จึงให้ขุดอุโมงค์ลงที่กลางบ้านให้กว้างขวางใหญ่โต แล้วเอาอิฐก่อเรียบพื้นกระดานตึกตั้งขึ้นกันดินและเพดานก็ทำฝาปรับปากไม้ชิดไม่ให้มีช่องแล้วกั้นห้องไว้หลายแห่งสำหรับจะได้นอนนั่งเสพสุรา ตามฝาผนังนั้นแขวนฉาก ติดโคมจุดไฟสว่างไสวดังกลางวัน แสนสนุกเป็นที่สบายนัก แล้วเลียงเชียวก็ให้หากับแกล้มที่มีรสอร่อยกับสุราที่ดี แต่งโต๊ะลงไปกินอยู่ในนั้นหวังมิให้ผู้ใดมาว่ากล่าวกวนใจ ถ้าลงไปเสพสุราครั้งใด ก็เอาพวกหญิงมโหรีลงไปดีดสีฟังเล่น ครั้นสร่างเมาแล้วจึงขึ้นมาอยู่บนตึกของตัว ถึงเพลาเตงกันก๋งออกว่าราชการ เลียงเชียวก็เข้าไปแจ้งความว่าเมืองฌ้อกับเมืองจิ้นก็เป็นไมตรีกันแล้ว แต่เมืองเรายังมิได้ชอบกับเมืองใด ขอท่านได้ใช้ให้กงซุนเอกคุมข้าวของไปให้ฌ้อเลงอ๋องขอเป็นไมตรี บ้านเมืองเราจะได้เป็นสุขสืบไป เตงกันก๋งก็เห็นชอบด้วยจึงตอบว่า อีกสักสองวันสามวันก่อนเราจะจัดแจงให้กงซุนเอกไป เลียงเชียวก็คำนับลากลับมาบ้าน

ขณะนั้นกงซุนเอกกับกงซุนชัวรักน้องสาวอู๋ฮ้อมอยู่ ครั้นถึงวันฤกษ์ดีก็จัดแจงของคำนับไปขอกับอู๋ฮ้อมพร้อมกันเข้าทั้งสองคน อู๋ฮ้อมเห็นดังนั้นก็มิรู้ที่จะให้กับใครได้จึงว่า ถ้าท่านผู้ใดทำให้น้องสาวเรารักใคร่ชอบใจแล้ว เราจึงจะยกให้กับผู้นั้น กงซุนเอกกงซุนชัวได้ฟังต่างคนก็ขัดใจกันแต่มิได้ว่าประการใด ถลึงตาแลดูกันอยู่แล้วก็คำนับลาอู๋ฮ้อมกลับมาบ้าน ต่างคนตั้งความเพียรเวียนไปพูดจาเกี้ยวพานน้องสาวอู๋ฮ้อมอยู่เนืองๆ มิได้ขาดแต่มิได้พบกันเข้า เมื่อเลียงเชียวเข้าไปบอกกับเตงกันก๋งดังนั้นกงซุนเอกรู้ก็ขัดใจด้วยตัวไม่อยากจะไปไกลเมือง เพราะกลัวนางน้องสาวอู๋ฮ้อมจะรักใคร่เป็นใจด้วยก๋งซุนชัวตัวก็จะเสียทีอับอายแก่เขา จึงคิดจำจะไปว่ากล่าวกับเลียงเชียวใช้ให้ผู้อื่นไปเมืองฌ้อ คิดแล้วจึงรีบมายังบ้านเลียงเชียว พอเลียงเชียวลงไปเสพสุราอยู่ในอุโมงค์ กงซุนเอกมาถึงจึงถามคนที่นั่งเหล่านั้นว่าไตหูอยู่แห่งใดท่านจงเข้าไปบอกว่าเรามาหา

บ่าวเลียงเชียวจึงบอกว่า ท่านไตหูลงไปเสพสุราอยู่ในอุโมงค์ ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าลงไปบอกนั้น ข้าพเจ้าหาอาจลงไปแจ้งความได้ไม่ ด้วยเป็นที่ห้ามปรามอยู่ กงซุนเอกจึงว่าเรามาด้วยธุระร้อนท่านจงไปบอกไตหูให้จงได้ คนเหล่านั้นก็สั่นศีรษะเสีย กงซุนเอกเห็นคนเหล่านั้นไม่ลงไปบอกเลียงเชียวก็โกรธ จึงรีบกลับมาปรึกษากับพวกพ้องของตัวว่า เลียงเชียวเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่พึ่งกับคนทั้งปวงมาหลงอยู่ด้วยการอิสตรีและเสพสุรา ห้ามมิให้ผู้คนไปมาหาได้ ครั้งนี้เรามีธุระจะไปปรึกษาราชการก็ไม่พบ ทำดังนี้สมควรกับผู้ใหญ่แล้วหรือ ถ้ามิทำให้เข็ดหลาบเสียบ้างก็จะกำเริบจิตทำความชั่วต่างๆ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด เราคิดพากันเอาเพลิงไปคลอกเสียเดี๋ยวนี้เถิดหรือ คนทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย พอพลบคํ่าลงกงซุนเอกก็สั่งพวกพ้องให้จัดเชื้อเพลิงครบมือกันแล้ว ก็รีบไปถึงบ้านเลียงเชียว จึงให้เอาคบเพลิงเผาบ้านเลียงเชียวเสีย

เลียงเชียวสาระวนเสพสุราฟังขับร้องอยู่ ครั้นเห็นควันเพลิงตลบลงมาในอุโมงค์ก็ตกใจ ยังไม่รู้เหตุเกิดขึ้นประการใด ก็วิ่งวนเวียนอยู่กับหญิงทั้งปวง คนใช้ก็วิ่งเข้าไปประคองพาออกไปทางประตูอุโมงค์ข้างหลังแล้วอุ้มขึ้นใส่สะเอวหนีออกไปนอกเมือง ถึงตำบลยงเหลียงเป็นเมืองน้อยขึ้นกับเมืองเตง พอรุ่งขึ้นเลียงเชียวสร่างเมาสุรารู้สึกตัวจึงถามคนใช้ว่าเหตุผลทั้งนี้เกิดขึ้นเพราะผู้ใด คนใช้ก็แจ้งความทุกประการ เลียงเชียวก็มีความแค้นกงซุนเอกนักจึงพักอยู่ ณ เมืองยงเหลียงนั้นหลายวัน พวกพ้องของเลียงเชียวแจ้งความก็ตามออกมาหา แจ้งความว่าขุนนางในเมืองเตงเขาชิงชังท่านนัก บัดนี้เขาคบคิดกันจะกำจัดท่านเสียทั้งเมือง ที่จะไม่คิดร้ายแก่ท่านก็แต่ขุนนางสองแซ่ คือแซ่ก๊กแซ่ฮัน ท่านอย่าได้ประมาทเหมือนแต่ก่อนอันตรายจะมี เลียงเชียวได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า อันพวกขุนนางทั้งสองแซ่นั้นเพราะเขาเห็นสติปัญญาเราดี หมายจะเอาเราเป็นที่พึ่งสืบไปจึงมิได้คิดร้ายต่อเรา ขณะเมื่อเลียงเชียวอาศัยอยู่ ณ เมืองยงเหลียงมีพวกพ้องมากขึ้นแล้วก็จัดแจงทหารยกเข้ามาตีเมืองเตงทางประตูทิศเหนือ

ฝ่ายกงซุนเอก ครั้นเห็นเลียงเชียวเป็นขบถยกเข้ามาดังนั้นก็สั่งให้ซือไตผู้เป็นหลานกับอินต๋วนคุมทหารเปิดประตูเมืองออกไปรบกับเลียงเชียว เลียงเชียวสู้ไม่ได้ก็ทิ้งทหารหนีไปอาศัยซ่อนตัวอยู่ในร้านพ่อค้าขายแพะ พวกทหารกงซุนเอกก็ตามไปสืบจับเอาตัวมาฆ่าเสียแล้วเอาเนื้อความมาแจ้งกับซือไตอินต๋วน ซือไตอินต๋วนก็เลิกทัพกลับเข้าไปแจ้งความกับกงซุนเอกในเมืองเตง ขณะเมื่อเลียงเชียวตายนั้น ซากศพกลิ้งอยู่กลางทางหามีผู้ใดนำพาไม่ มีแต่กงซุนเกียวผู้เดียวไปร้องไห้พรรณนาต่างๆ ว่า ประเพณีพี่น้องปราศจากสามัคคีรบพุ่งกันดังนี้ก็ควรที่จะฉิบหายตายด้วยกันทั้งสองข้าง แล้วก็นำเอาศพเลียงเชียวไปฝังไว้ ณ ตำบลเต๋าเสีย

กงซุนเอกรู้ความก็โกรธจึงว่า กงซุนเกียวนี้เป็นพวกพ้องของเลียงเชียวจำเราจะจับตัวมาฆ่าเสียจึงจะไม่มีเสี้ยนหนามต่อไป ฮันโฮจึงห้ามว่า ซึ่งท่านจะให้จับตัวกงซุนเกียวมาฆ่าเสียนั้น ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย กงซุนเกียวคนนี้เป็นคนดีมิใช่คนชั่วเหมือนเลียงเชียว แต่หากเขามีอุปการะแก่กันมาก กงซุนเกียวคิดถึงคุณเขาจึงจัดแจงทำดังนี้ ซึ่งท่านจะให้ฆ่ากงซุนเกียวผู้มีกตัญญูเสียนั้น ข้าพเจ้าหาเห็นด้วยไม่ กงซุนเอกก็เห็นชอบด้วย ก็คลายโกรธกงซุนเกียวลง

ฝ่ายเตงกันก๋งเจ้าเมืองเตง ครั้นแจ้งว่ากงซุนเอกคิดฆ่าเลียงเชียวเสียก็มิได้ว่ากล่าวประการใด ด้วยเห็นว่าเลียงเชียวเป็นคนเสพสุราว่าการงานก็ฟั่นเฟือนไม่แน่นอน ครั้นตายก็หาสู้เสียดายไม่ จึงให้หาฮันโฮเข้ามาแล้วจึงว่า เรารู้ว่าท่านมีสติปัญญา จะตั้งให้เป็นไตหูแทนที่เลียงเชียว ว่าราชการสิทธิ์ขาดอยู่ในเมืองนี้ ฮันโฮคำนับแล้วตอบว่า ข้าพเจ้านี้เป็นคนสติปัญญาน้อยหาควรจะเป็นผู้สำเร็จราชการไม่ เตงกันก๋งจึงว่าซึ่งท่านถ่อมตัวดังนี้ ก็ท่านจะเห็นผู้ใดมีสติปัญญากว่าท่านขึ้นไปอีกเล่า ฮันโฮจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นอยู่ว่ากงซุนเกียวนี้มีสติปัญญาแล้วสัตย์ซื่อสุจริต ถ้าผู้ใดมีคุณก็ไม่ลืมคุณเลย สมควรที่จะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ ขอท่านจงตั้งให้เป็นแทนที่เลียงเชียวจึงจะชอบ เตงกันก๋งก็เห็นด้วย จึงเรียกกงซุนเกียวมาตั้งขึ้นเป็นผู้ใหญ่สำหรับว่าราชการสิทธิ์ขาด ขณะนั้นพระเจ้าจิวเกงอ๋องเสวยราชย์ในเมืองตังจิวเป็นสุขสบายมาได้สามปี

กงซุนเกียวครั้นได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ขึ้นแล้วคิดจะจัดแจงบ้านเมืองให้เป็นสุข จึงให้ลดกฎหมายแผ่นดินเสีย ให้หย่อนน้อยลงกว่าแต่ก่อนแล้วทำกฎหมายเติมเข้าว่า ถ้าผู้ใดตระกูลปู่ย่าตายายของตัวเป็นแต่เพียงคนขอทาน ถึงจะมีเงินทองข้าวของสักเท่าใดๆ ก็อย่าให้ทำเย่อหยิ่งยกตัวขึ้นเป็นผู้ดี ถ้าตระกูลของตัวเป็นเศรษฐีและขุนนางพ่อค้า ก็ให้แต่งตัวใส่เสื้อและหมวกตามตระกูลมิให้เกินขึ้นไปเป็นอันขาด แม้นผู้ใดไม่ทำตามกฎหมายจะเอาโทษแก่ผู้นั้นจงหนัก แล้วให้ไปประกาศแก่ราษฎรให้รู้ทั่วกัน ชาวเมืองทั้งปวงครั้นแจ้งดังนั้นที่เป็นคนหนักแน่นสุภาพเรียบร้อยและที่เหนียวแน่นกับคนสัตย์ซื่อก็ชอบอัชฌาสัยสรรเสริญว่าดี ที่เป็นคนเย่อหยิ่งอยากจะแต่งตัวและเป็นคนใจพาลก็หาชอบไม่ติเตียนต่างๆ แล้วกงซุนเกียวจึงให้ทหารไปเที่ยวดูตามภูมิลำเนาบ้านช่อง ถ้าที่ไหนดอนอยู่ก็ให้ขุดแซะดินไปทุ่มทิ้งเสียที่หล่มลุ่มนํ้าลึกตกกล้าทำนาไม่ได้นั้น หนทางที่แห่งใดกว้างขวางใหญ่กองซุนเกียวคิดเห็นป่วยการ จึงให้ร่นทำเข้าให้เล็กแล้วขุดดินให้ตํ่าลง ทำนาตามริมถนนทุกตำบลมิได้ขาด ราษฎรก็ทำนาได้อาหารเป็นอันมาก กองซุนเกียวก็ให้เก็บข้าวขึ้นยุ้งฉางหลวงไว้บ้างสำหรับจะได้เลี้ยงทแกล้วทหารเมื่อศึกมาติดเมือง

เพลาวันหนึ่งกองซุนเกียวคิดว่าอันกองซุนเอกนี้เป็นคนพาล ถ้าละไว้นานบ้านเมืองก็ไม่เป็นสุข จึงเข้าไปบอกกับเจ้าเมืองเตงว่า อันกองซุนเอกนี้เป็นคนไม่ดี จะทำสิ่งใดก็ทำตามอำเภอใจของตัวหากลัวเกรงท่านไม่ จงฆ่าเสียเถิด อย่าเอาไว้เลย เตงกันก๋งเห็นด้วยจึงให้หากองซุนเอกเข้ามาแล้วยกข้อผิดขึ้นว่า ตัวท่านนี้หาเกรงใจเราไม่ เลียงเชียวนั้นผิดสิ่งใด ท่านจึงเอาไฟเผาบ้านแล้วซ้ำฆ่าตัวเลียงเชียวเสียด้วย ถ้าเอาท่านไว้คนก็จะครหาติเตียนเราว่าไม่อยู่ในยุติธรรม ท่านจงตายเสียเถิด ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารเอากองซุนเอกไปฆ่าเสีย ทหารก็ทำตามคำสั่งทุกประการ ขณะนั้นเมืองเตงก็เป็นสุข บริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร ราษฎรก็ร่าเริงทุกตัวคน

อยู่มาวันหนึ่งเพลาบ่าย ชายชาวบ้านอยู่ในเมืองเตงคนหนึ่งเดินออกไปเที่ยวเล่นนอกเมืองทางประตูทิศใต้ ครั้นเดินมาใกล้ไม้ต้นหนึ่งเห็นใต้ต้นนั้นรื่นร่มลมพัดเย็นสบายก็หยุดนั่งเล่นอยู่ที่นั้น นั่งตรึกตรองเรื่องราวต่างๆ แล้วให้เคลิ้มสติไป เห็นเป็นรูปเลียงเชียวใส่เสื้อเกราะถือทวนเดินบ่นมาว่า เราคิดแค้นซือไตอินต๋วนอยู่ คงจะคิดฆ่าแก้แค้นเสียให้จงได้ ชายผู้นั้นก็สะดุ้งตกใจกลัวเป็นกำลังแล้วให้บังเกิดขนพองสยองศีรษะหนาวสะท้านไปทั้งตัว แล้วลุกขึ้นเดินรีบหนีเข้าไปในเมือง จึงเล่าความให้ชาวเมืองฟังทุกประการแล้วผู้นั้นก็ป่วยลง ราษฎรจึงคิดว่าปีศาจเลียงเชียวนี้ศักดิ์สิทธิ์กล้าแข็งนัก แต่ผู้ที่ได้เห็นมายังให้เจ็บไป เห็นปีศาจเลียงเชียวจะตามเข้ามาในเมืองนี้มั่นคง ครั้นคิดเห็นดังนั้นต่างก็มีความกลัวเป็นอันมาก แต่ชั้นลมพัดต้องใบไม้ไหวก็สะดุ้งตกใจกลัว สำคัญผิดคิดว่าปีศาจเลียงเชียวมา ต่างคนต่างก็เข้าเรือนร้านบ้านตึกของตัว ปิดหน้าต่างและประตูมิได้ออกมานั่งข้างนอกตึกเลย

ขณะนั้นซือไตอินต๋วนเพลาคํ่าก็เข้าไปนอนอยู่ในห้อง พอม่อยหลับลงฝันเห็นว่าปีศาจเลียงเชียวมายืนสยายผมอยู่ริมตัวก็สะดุ้งตกใจลุกขึ้น ให้วิงเวียนศีรษะสะท้านร้อนสะท้านหนาวเมื่อยมึนไปทั้งตัว อยู่มาอีกสามวันก็ถึงแก่กรรม ครั้งนั้นชาวบ้านชาวเมืองก็ยิ่งมีความกลัวมากขึ้น ถ้าผู้ใดเจ็บก็พลอยว่าปีศาจเลียงเชียวมากระทำให้ป่วยลง ต่างคนก็ไม่มีความสบายเลย จึงมีคำกลางติเตียนว่า ชาวเมืองทั้งปวงนี้เป็นคนโง่เง่า หาสติปัญญามิได้ เมื่อปีศาจเลียงเชียวมีความเจ็บแค้นแต่ซือไตอินต๋วนต่างหาก เหตุใดคนทั้งนั้นจึงพลอยกลัวด้วยเล่าเห็นไม่ต้องการเลย

ฝ่ายกองซุนเกียวครั้นแจ้งว่าชาวเมืองกลัวปีศาจเลียงเชียวเป็นกำลัง จึงเข้าไปบอกเตงกันก๋งตามเหตุซึ่งราษฎรกลัวนั้นทุกประการ เตงกันก๋งได้ฟังดังนั้นจึงให้ปลูกศาลขึ้นแห่งหนึ่ง แล้วจึงให้หาเลียงจีบุตรเลียงเชียวกับกองซุนเสียบบุตรกองจูเกียซึ่งตายแต่เดิมมาตั้งเป็นขุนนางทั้งสองคน แล้วจึงให้จัดแจงของไปเซ่นเลียงเชียวที่ศาลนั้นเนืองๆ ราษฎรทั้งปวงก็พลอยหาของไปเซ่นที่ศาลนั้นเป็นอันมาก ตั้งแต่นั้นมาชาวเมืองก็คลายความกลัวลง

ฝ่ายอิวกิดเป็นขุนนางอยู่ในเมืองเตง ไปหากองซุนเกียวยังบ้านจึงถามว่า บัดนี้บ้านเมืองก็ปกติแล้ว ซึ่งเจ้าเมืองตั้งเลียงจีเป็นขุนนางกับปลูกศาลไว้นั้นธุระประการใด กองซุนเกียวจึงตอบว่า อันเจ้าเมืองทำดังนี้ก็เพราะว่าปีศาจเลียงเชียวศักดิ์สิทธิ์ดุร้ายชาวเมืองกลัวยิ่งนัก ถึงจะสงบแล้วก็จริง แต่ตัวปีศาจนั้นยังอยู่ ถ้าไม่ตั้งบุตรเป็นขุนนางและปลูกศาลไว้แล้วก็เห็นว่าปีศาจเลียงเชียวจะหามีที่อยู่ไม่ จะมาทำอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ชาวเมืองก็จะไม่มีความสบาย อิวกิดจึงว่าท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่กองซุนเสียบบุตรกองจูเกียพลอยเอามาตั้งเป็นขุนนางด้วยนั้น เจ้าเมืองกลัวปีศาจกองจูเกียจะมาหลอกหลอนราษฎรด้วยหรือ ข้าพเจ้าสงสัยอยู่ กองซุนเกียวจึงตอบว่า ซึ่งเจ้าเมืองเอากองซุนเสียบมาตั้งด้วยนั้น ก็เพราะว่าเลียงจีเป็นบุตรเลียงเชียวอันเป็นคนชั่วช้า ไม่มีความชอบสิ่งใด ตั้งให้เป็นขุนนางก็เพราะกลัวเกรงปีศาจเลียงเชียว อันข้อที่นับถือผีกับเอาเลียงจีมาตั้งขึ้นนั้น ถ้าหัวเมืองรู้ก็จะติเตียนนินทาต่างๆ จึงได้เอากองซุนเสียบบุตรกองจูเกียมาตั้งขึ้นด้วยกันเพราะจะให้หลบลบความนินทาให้เป็นว่าตั้งขึ้นเองดอก หาได้ตั้งเพื่อเหตุสิ่งใดไม่ อิวกิดได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงด้วย จึงว่าแต่แรกข้าพเจ้าสงสัยอยู่ ครั้นท่านเล่าความชี้แจงให้ข้าพเจ้าจึงแจ้งความ ว่าแล้วก็คำนับลากลับมาบ้านของตัว ขณะเมื่อศักราชพระเจ้าจิวเกงอ๋องเสวยราชย์ได้สองปี ให้เมืองเตงเกิดวุ่นวายกันอยู่

ชัวเก๋งก๋งเจ้าเมืองชัวคิดจะตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่ จึงให้ขุนนางที่ช่างพูดช่างเจรจามีปัญญาเฉลียวฉลาดคุมของเครื่องคำนับไปขอบุตรสาวเจ้าเมืองฌ้อจะให้แก่ซีจูผวนบุตรชายของตัว ขุนนางผู้นั้นคำนับลามาจัดแจงเกวียนบรรทุกของเสบียงเสร็จแล้ว กับคนใช้ของตัวประมาณเก้าคนสิบคน ก็รีบขับเกวียนมาตามระยะทาง ครั้นถึงเมืองฌ้อ จึงเข้าไปหาขุนนางเมืองฌ้อ ขุนนางเมืองฌ้อก็พาเข้าไปหาฌ้ออ๋อง ขุนนางเมืองชัวแจ้งความว่าชัวเก๋งก๋งให้คุมของคำนับมาขอนางอุสีบุตรสาวท่าน ไปเป็นภรรยาซีจูผวนบุตรชัวเก๋งก๋ง อนึ่งเมืองชัวก็เป็นเมืองเล็กน้อย หาควรที่จะเอาบุตรมาเป็นบุตรเขยท่านอันเป็นเมืองใหญ่ไม่ อุปมาเหมือนหนึ่งผู้ที่มีตระกูลอันตํ่าช้าไปเดินเที่ยวเล่นด้วยคนตระกูลอันสูงศักดิ์ประกอบด้วยสติปัญญา แม้นผู้ใดเห็นก็จะค่อนติเตียนว่ากล่าวต่างๆ แต่ชัวเก๋งก๋งคิดเห็นว่าเมืองชัวอยู่ใกล้กับเมืองฌ้อก็เหมือนลูกหลานว่านเครือท่านเหมือนกัน เห็นจะไม่มีใครนินทา จึงให้ข้าพเจ้ามาว่ากล่าว ขอท่านจงได้กรุณาด้วยเถิด

ฌ้ออ๋องได้ฟังดังนั้นชอบใจนัก จึงตอบว่าเราไม่ถือดอก จะยกนางอุสีบุตรีเราให้เป็นบุตรนายท่าน ว่าแล้วก็เรียกนางอุสีออกมาแล้วตั้งขุนนางให้จัดแจงเกวียนและทหารไปป้องกันส่งตามทาง แล้วให้นางอุสีกับหญิงคนใช้สอยไปขึ้นเกวียน ขุนนางเมืองชัวก็ขี่เกวียนนำหน้าพานางอุสีมาถึงเมือง จึงพาเข้ามาคำนับชัวเก๋งก๋งแล้วแจ้งความที่พูดจากับฌ้ออ๋องทุกประการ ชัวเก๋งก๋งเห็นนางอุสีมีจริตกิริยางดงาม ก็มีใจรักใคร่ยิ่งนักแลตะลึงลืมสติไปเป็นครู่ ครั้นรู้สึกตัวจึงคิดว่าเราคิดผิดไปเสียแล้ว เดิมจะขอเป็นภรรยาตัวเองก็จะดี แต่ได้ลั่นปากออกไปว่าจะให้เป็นภรรยาซีจูผวน ครั้นเราจะกลับคำเสียคนทั้งปวงก็จะนินทา จำจะยกให้ซีจูผวนเสียก่อน ค่อยคิดจัดแจงต่อภายหลัง คิดแล้วจึงให้พานางอุสีไปให้ซีจูผวนยังบ้าน แล้วให้คนคอยสอดแนมดู รู้ว่าซีจูผวนมีธุระไปจากบ้านเมื่อใดก็ลอบไปพูดจาเล้าโลมทำชู้ด้วยนางอุสีลูกสะใภ้นั้นเนืองๆ จนซีจูผวนรู้ระแคะระคายเข้าก็โกรธ จึงคิดว่าบิดาเราเป็นคนหาดีไม่ มืดมัวไปด้วยตัณหา ถึงเราจะฆ่าเสียก็หามีผู้ใดนินทาไม่ เพลาวันหนึ่งซีจูผวนจึงอุบายว่าวันนี้เราจะไปเที่ยวไล่เนื้อเล่นที่ป่า จึงจัดแจงแต่งตัวถืออาวุธสำหรับมือพาคนสนิทลงจากตึก แล้ววกเข้าข้างประตูหลังบ้านขึ้นไปแอบอยู่ในห้องนางอุสี หวังจะคอยทำร้ายบิดา

ขณะนั้นคนที่ชัวเก๋งก๋งใช้ให้ไปคอยดูนั้น จึงมาบอกชัวเก๋งก๋งว่าบัดนี้ซีจูผวนหาอยู่ไม่ไปเที่ยวป่า ชัวเก๋งก๋งยินดีนักก็รีบมายังบ้านซีจูผวนตรงเข้าไปในห้องนางอุสี ซีจูผวนกับคนสนิทก็จับชัวเก๋งก๋งฆ่าเสีย แล้วตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองชัวชื่อเลงก๋ง แล้วให้คนไปเที่ยวบอกเล่าตามหัวเมืองทั้งปวงว่าชัวเก๋งก๋งป่วยตายเอง

ขณะนั้นผู้สำหรับจดหมายเรื่องราวในเมืองก็เขียนลงว่าชัวเก๋งก๋งทำชู้ด้วยลูกสะใภ้ แล้วซีจูผวนผู้บุตรฆ่าชัวเก๋งก๋งเสีย ซีจูผวนซึ่งเป็นชัวเลงก๋งแจ้งความเข้าจะให้ลบเสีย ผู้สำหรับจดหมายจึงตอบว่า ซึ่งจะให้ลบเสียนั้นก็ผิดธรรมเนียมไป ถึงท่านจะประหารชีวิตข้าพเจ้าเสีย ก็หาอาจลบได้ไม่ ชัวเลงก๋งก็จนใจอยู่ กิตติศัพท์นั้นปิดไว้มิได้มิดก็รู้ไปถึงหัวเมืองทั้งปวงว่าซีจูผวนฆ่าบิดาตาย จิ้นเปงก๋งเจ้าเมืองจิ้นเป็นเมืองเอก จึงคิดว่าเราจะยกไปปราบปรามเมืองชัวก็หาต้องการไม่ป่วยการทหารเปล่าก็นิ่งเสียมิได้ยกมา

ขณะนั้นในเมืองซองเกิดเพลิงไหม้ขึ้นริมที่อยู่เจ้าเมืองซอง เจ้าเมืองซองพาทหารออกไปดับไฟ เพลิงมิได้ดับ ไหม้มากเข้ามาเกือบถึงที่อยู่เจ้าเมืองซอง หญิงคนใช้เหล่านั้นก็ตกใจวิ่งวุ่นวาย บ้างเข้าไปคำนับกับนางเป๊กคีภรรยาเจ้าเมืองซองว่า เพลิงไหม้หาหยุดไม่ ติดเข้ามาถึงที่ระเบียงตึกแล้ว ท่านจงหนีไปให้พ้นภัยเถิด นางเป๊กคีจึงว่าเราเป็นหญิง ซึ่งจะให้ลงไปจากตึกแต่ตามลำพังตัวนั้นไม่ควร จะต้องให้คนสนิทที่เคยใช้สอยไว้ใจได้มาพร้อมแล้วจึงจะไป หญิงคนใช้จึงว่า ไฟไหม้ตึกเข้ามาเกือบจะถึงห้องท่านแล้ว จึงนั่งนิ่งไม่หนีไปได้ละหรือ นางเป๊กคีจึงว่า ถึงเราจะสิ้นชีวิตอยู่ในเพลิงก็ตามเถิด เราไม่ลงไปเบียดเสียดกับผู้อื่นให้มัวหมองในตัวเลย พอไฟไหม้ลามเข้ามาถึงห้องนางเป๊กคี หญิงทั้งปวงก็วิ่งหนีไฟไปได้สิ้น แต่นางเป๊กคีนั้นมิได้หนีตายอยู่ในเพลิง

อันนางเป๊กคีคนนี้เป็นบุตรีเจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองซองขอมาเป็นภรรยา ครั้นเพลิงสิ้นเชื้อเหือดดับลงแล้ว เจ้าเมืองซองเห็นที่อยู่และข้าวของเงินทองของตัวเพลิงไหม้สูญไปสิ้นก็เสียใจ พอหญิงคนใช้เข้ามาบอกว่านางเป๊กคีภรรยาท่านหาหนีไฟออกมาไม่ พวกข้าพเจ้าจะพาไปก็ไม่ยอม บัดนี้ตายอยู่ในเพลิงนั้นแล้ว ซองเจียวก๋งได้ฟังดังนั้นยิ่งเสียใจคิดสงสารนางเป๊กคีนัก จึงให้ค้นหาซากศพได้มาแล้วก็จัดแจงฝังไว้ตามธรรมเนียม จึงให้กวาดเอาเถ้าและถ่านขนไปทิ้งเสียแล้วทำที่อยู่ขึ้นใหม่ให้เหมือนเดิม

ฝ่ายจิ้นเปงก๋งเจ้าเมืองจิ้นแจ้งว่าในเมืองซองเกิดเพลิงไหม้ที่อยู่ซองเจียวก๋ง ซองเจียวก๋งเสียภรรยาและข้าวของเครื่องใช้สอยเป็นอันมาก คิดสงสารจึงใช้คนไปเที่ยวบอกหัวเมืองทั้งปวงให้เอาของมาเยี่ยมเจ้าเมืองซอง แล้วตัวก็จัดแจงข้าวของใช้ขุนนางไปให้ซองเจียวก๋ง ซองเจียวก๋งก็ได้เงินทองเครื่องใช้สอยเป็นอันมาก ผู้มีสติปัญญาในเมืองซองก็ติเตียนเจ้าเมืองจิ้นว่า ส่วนเมืองชัวเกิดวุ่นวายขึ้นหาไปปราบปรามให้ราบคาบไม่ ในเมืองซองเกิดไฟไหม้กลับเอาข้าวของไปเยี่ยมเยือนตามอย่างธรรมเนียมเจ้าเมืองเอก ความสองข้อนี้ไม่ต้องกัน อันเจ้าเมืองจิ้นนี้ใจหาแน่นอนไม่

ฝ่ายซองเจียวก๋งตั้งแต่ได้ข้าวของหัวเมืองทั้งปวงมาเป็นกำนัลมีความยินดีนัก จึงให้จัดแจงปลูกที่อยู่เสร็จแล้วคิดถึงคุณเจ้าเมืองจิ้นซึ่งมีคุณ จึงคิดว่าจิ้นเปงก๋งกับฌ้ออ๋องก็เป็นไมตรีดีกันแล้ว จำจะให้ไปเชิญหัวเมืองทั้งปวงมากระทำสัจกันใหม่ คิดแล้วจึงให้เขียนหนังสือหลายฉบับเป็นใจความว่า ให้หัวเมืองทั้งปวงมากระทำสัจกันที่ตำบลอูเคียดแดนเมืองเตง ครั้นเสร็จสั่งให้ม้าใช้ถือไปถึงหัวเมืองทั้งปวง แล้วจัดขุนนางสองคนให้ถือไปเมืองจิ้น เมืองฌ้อ ขุนนางกับม้าใช้ก็คำนับรับหนังสือแยกกันไปตามเจ้าเมืองสั่ง

ขณะนั้นเมืองฌ้อ ก๋งจูอุ๋ยได้เป็นที่เลงอิน อันก๋งจูอุ๋ยคนนี้เป็นน้องฌ้อคังอ๋อง บุตรฌ้อกังอ๋องเจ้าเมืองเดิม ครั้นฌ้อคังอ๋องเจ้าเมืองฌ้อนี้ได้เป็นเจ้าเมืองขึ้น ก๋งจูอุ๋ยคิดกำเริบใจหาสู้เกรงกลัวฌ้ออ๋องไม่ คิดอ่านซ่องสุมทแกล้วทหารได้พวกพ้องเป็นอันมาก ราชการสิ่งใดก็ชิงเอามาว่าเสีย สิทธิ์ขาดอยู่แก่ตัวสิ้น มีขุนนางคนหนึ่งชื่ออวนเอียม อวนเอียมคนนี้เป็นคนสัตย์ซื่อ มีกตัญญูต่อเจ้าเมืองมิได้ฝากตัวก๋งจูอุ๋ย ก๋งจูอุ๋ยจึงได้เกลียดชัง เพลาวันหนึ่งก๋งจูอุ๋ยเข้าไปยุยงฌ้ออ๋องว่า อวนเอียมคนนี้เป็นคนชั่วช้าไม่ดี ซึ่งจะเลี้ยงไว้ในเมืองเห็นจะประทุษร้ายแก่ท่านจงประหารชีวิตเสียเถิด

ฌ้ออ๋องหาทันตรึกตรองไม่ก็พลอยเห็นจริงด้วย ให้ทหารไปจับตัวอวนเอียมฆ่าเสีย ก๋งจูอุ๋ยนั้นชอบอัชฌาสัยสนิทสนมอยู่กับหงอกือ หงอกือจะว่ากล่าวสิ่งใดก็เชี่อฟัง ก๋งจูอุ๋ยมีใจกำเริบคิดแต่จะชิงสมบัติในเมืองฌ้ออยู่เนืองๆ เพลาวันหนึ่งก๋งจูอุ๋ยจะออกไปเล่นป่า จึงจัดแจงให้ทหารถือธงและเครื่องศัสตราวุธเป็นขบวนแห่ห้อมล้อมหน้าหลังอย่างฌ้ออ๋องออกจากเมืองไปถึงตำบลอูอิบซึ่งซินบูอู๊รักษาอยู่ ซินบูอู๊คนนี้ก๋งจูอุ๋ยนับถือยำเกรงมาก ครั้นก๋งจูอุ๋ยมาถึง ซินบูอู๊ก็ออกมาต้อนรับ แลเห็นก๋งจูอุ๋ยทำยศศักดิ์เหมือนเจ้าเมืองฌ้อก็ตกใจ จึงให้ทหารเก็บอาวุธและธงเทียวเครื่องแห่นั้นเสียสิ้น แล้วว่ากับก๋งจูอุ๋ยว่าคนทั้งปวงเขาคอยจะนินทาอยู่ทุกวัน เหตุใดจึงมาด่วนทำดังนี้จะมิสมกับที่เขานินทาหรือ จงงดเสียก่อนเมื่อถึงที่ควรกระทำจึงกระทำเถิด ก๋งจูอุ๋ยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วจับข้อมือซินบูอู๊ชวนไปเที่ยวป่ายิงเนื้อเล่น ครั้นบ่ายก็กลับเข้ามาในเมืองฌ้อ พอเวลาเจ้าเมืองออกว่าราชการ ก๋งจูอุ๋ยก็เข้าไปหาฌ้ออ๋องตามธรรมเนียม

ขณะนั้นขุนนางเมืองซองมาถึง เอาหนังสือเข้าไปให้ฌ้ออ๋อง ฌ้ออ๋องก็ฉีกผนึกออกอ่านดู แจ้งความในหนังสือแล้ว จึงคิดว่าเมืองซองนี้เป็นแต่เมืองเล็กน้อย หาคู่ควรที่เราจะไปเองไม่ ก็สั่งก๋งจูอุ๋ยว่าท่านจงไปทำสัจแทนเราที่ตำบลอูเคียดแดนเมืองเตง ก๋งจูอุ๋ยยินดีนักจึงคิดว่า ครั้งนี้เราจะทำสง่าให้หัวเมืองทั้งปวงกลัวเกรงเราจงได้ แล้วจะขอหลานสาวเจ้าเมืองเตงมาเป็นภรรยาเรา พวกพ้องจะได้กว้างขวางออกไป จะคิดกำจัดเจ้าเมืองฌ้อเมื่อใดก็จะได้โดยสะดวก คิดแล้วจึงว่ากับฌ้ออ๋องว่า เมืองเราตั้งขึ้นเป็นอ๋องเสมอกับเมืองหลวง หัวเมืองทั้งปวงยังเป็นแต่เพียงก๋งอยู่ ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปนี้จะต้องยกไปเป็นทัพใหญ่อย่าให้เมืองอื่นประมาทเราได้จึงจะควร ฌ้ออ๋องก็เห็นด้วย จึงว่าดีแล้วตามแต่ใจท่านจะจัดแจงเถิด ก๋งจูอุ๋ยก็ลาออกมาจัดแจงทหารเข้ากระบวนทัพใหญ่เหมือนหนึ่งทัพเจ้าเมืองฌ้อยกไปรบข้าศึก แล้วแต่งตัวใส่เสื้อลายทองและหมวกเหมือนหนึ่งฌ้ออ๋อง จึงยกทหารออกจากเมืองฌ้อตามระยะทาง

ฝ่ายขุนนางที่ไปเมืองจิ้น และม้าใช้ที่ถือหนังสือไปให้เจ็ดหัวเมืองนั้น ครั้นมาถึงก็เอาหนังสือให้กับเจ้าเมืองทั้งปวง คือเจ้าเมืองจิ้นหนึ่ง เจ้าเมืองเจ๋หนึ่ง เจ้าเมืองฬ่อหนึ่ง เจ้าเมืองตินหนึ่ง เจ้าเมืองชัวหนึ่ง เจ้าเมืองเตงหนึ่ง เจ้าเมืองฆ้อหนึ่ง เจ้าเมืองฌ้อหนึ่ง ทั้งเจ็ดเมืองแจ้งหนังสือเจ้าเมืองซองแล้ว ต่างคนคิดว่าเมืองซองนี้เป็นแต่เพียงเมืองตรี ซึ่งเราจะไปเองนั้นหาควรไม่ จำจะให้ขุนนางผู้ใหญ่ไปแทน คิดเห็นพร้อมกันแล้วเจ้าเมืองจิ้นจึงให้เตียวบู๊ยกทัพไป เจ้าเมืองทั้งเจ็ดก็จัดแจงขุนนางที่ฉลาดเจรจาคุมทหารยกไปยังตำบลอูเคียดพร้อมกันทั้งแปดเมือง

ฝ่ายซองเจียวก๋งครั้นแจ้งว่าเมืองจิ้นกับเจ็ดหัวเมืองให้แต่งขุนนางยกมาจึงให้ขุนนางที่สำเร็จราชการยกมาแทนบ้าง ครั้นมาถึงก็พูดจาปราศรัยทักถามกันตามธรรมเนียม แต่คอยเมืองฌ้ออยู่ยังหาพร้อมกันไม่ ฝ่ายก๋งจูอุ๋ย ครั้นมาถึงเมืองเตงก็ให้ตั้งทัพพักทหารอยู่ที่ปลายแดน ชาวด่านแลเห็นทัพใหญ่ยกมามีธงสำหรับทัพเมืองฌ้อก็สำคัญว่าฌ้ออ๋องยกมาเอง จึงรีบเข้ามาหาเตงกันก๋งแจ้งความว่า บัดนี้ฌ้ออ๋องยกทัพมาพักอยู่ที่ด่านปลายแดนเมืองเรา

เตงกันก๋งได้ฟังดังนั้นจึงชวนกองซุนเกียวกับขุนนางทั้งปวงออกมาข้างนอก หวังว่าจะได้รับฌ้ออ๋องเข้าไป พอมีชาวด่านผู้หนึ่งมาบอกเจ้าเมืองเตงว่า ซึ่งเป็นแม่ทัพยกมานี้หาใช่ฌ้ออ๋องไม่ ก๋งจูอุ๋ยซึ่งเป็นที่เลงอินดอก กองซุนเกียวได้ฟังชาวด่านมาแจ้งความกับเจ้าเมืองดังนั้นจึงว่ากับเตงกันก๋งว่า ก๋งจูอุ๋ยผู้นี้เป็นคนพาลกำเริบใจเย่อหยิ่งยกตัวอยากจะเป็นเจ้าเมือง จึงได้จัดแจงเป็นกระบวนทัพมาดังนี้ ถ้าจะรับให้ก๋งจูอุ๋ยเข้าไปในเมืองก็เห็นจะดูหมิ่นท่านหาต้องการไม่ เตงกันก๋งได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงกลับเข้ามาในเมืองแล้วถามกองซุนเกียวว่าท่านจะคิดประการใด กองซุนเกียวจึงให้อิวกิดออกไปบอกก๋งจูอุ๋ยว่า กงก๊วนที่ในเมืองเราชำรุดทรุดโทรมปรักหักพังอยู่จะต้องซ่อมแซมให้ดีเสียก่อนจึงจะรับท่านเข้ามาในเมืองได้ อิวกิดก็คำนับลามายังกองทัพก๋งจูอุ๋ย เข้าไปหาแล้วแจ้งความตามกองซุนเกียวสั่งทุกประการ ก๋งจูอุ๋ยได้ฟังดังนั้นนึกขัดใจอยู่แต่มิได้ตอบประการใด อิวกิดก็ลากลับเข้ามาในเมือง

ก๋งจูอุ๋ยเห็นอิวกิดกลับไป จึงปรึกษากับพวกพ้องของตัวว่า เราจะคิดอ่านเอาเมืองเตงให้จงได้ แต่แกล้งขอนางฮงสีหลานสาวเตงกันก๋ง ถ้าเตงกันก๋งให้แล้วเราจะยกเข้าไปอยู่ในเมืองจับเตงกันก๋งฆ่าเสีย ท่านทั้งปวงเห็นว่าจะได้หรือไม่สมที่เราคิด คนเหล่านั้นจึงว่าท่านคิดนี้เห็นจะสำเร็จเป็นมั่นคง ก๋งจูอุ๋ยยินดีนัก จึงใช้ให้หงอกือคุมของกำนัลเข้าไปขอหลานสาวเตงกันก๋ง หงอกือก็ลาออกมาจัดแจงสิ่งของพร้อมก็เข้าไปในเมืองเตง มาหาเตงกันก๋งแจ้งความว่า ก๋งจูอุ๋ยได้เป็นที่เลงอินสำเร็จราชการเมืองฌ้อ อยากจะเป็นไมตรีกับท่าน จึงให้ข้าพเจ้ามาว่ากล่าวขอนางฮงสีหลานสาวท่านไปเป็นภรรยา เมืองเตงกับเมืองฌ้อจะได้ชอบอัชฌาสัยกัน

เตงกันก๋งได้ฟังดังนั้นครั้นจะมิยอมให้ก็เกรงก๋งจูอุ๋ยได้ให้มาว่าขอแล้วเราก็จะยอมยกให้ หงอกือก็คำนับลามาแจ้งความกับก๋งจูอุ๋ยทุกประการ ก๋งจูอุ๋ยจึงจัดแจงข้าวของตามธรรมเนียมจีนซึ่งเคยแต่งขันหมากกัน เสร็จแล้วก็จัดทหารเข้ากระบวนให้มีสง่า จะยกไปรับนางฮงสี ขณะนั้นกองซุนเกียวแจ้งความว่าก๋งจูอุ๋ยจะยกเข้ามาในเมืองตกใจนัก จึงปรึกษาอิวกิดว่าท่านจะคิดประการใด อิวกิดจึงว่าข้าพเจ้าจะอาสาออกไปว่ากล่าวมิให้ก๋งจูอุ๋ยเข้ามาในเมืองได้ กองซุนเกียวก็ยอมให้ไป อิวกิดก็ลาออกมานอกเมือง เข้าไปหาก๋งจูอุ๋ยแจ้งความว่า ท่านยกทหารมาเป็นทัพใหญ่ซึ่งจะเข้าไปรับนางฮงสีหลานเจ้าเมืองเตงนั้น ก็จะประดักประเดิดกับทแกล้วทหารด้วยในเมืองเตงนั้นเล็กนักหามีที่จะอาศัยไม่ เตงกังก๋งจึงใช้ให้ข้าพเจ้าออกมาบอกท่านว่าจะพานางฮงสีออกมาให้ท่านเอง อย่าให้ท่านต้องเข้าไปให้ลำบากเลย

ก๋งจูอุ๋ยได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า เตงกันก๋งให้มาบอกเราดังนั้นเห็นว่าหมิ่นประมาทหาเกรงใจเราไม่ สิยกหลานสาวให้เป็นภรรยาเราแล้ว เราเป็นถึงที่เลงอินขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองฌ้อ ถึงฌ้ออ๋องจะทำสิ่งใดก็เกรงใจเรา เราจึงจัดแจงเข้าไปรับให้ยศศักดิ์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย ท่านห้ามเสียนี้เห็นควรแล้วหรือ อิวกิดจึงตอบว่า ถ้าท่านจะทำให้มีสง่าแก่อาณาประชาราษฎร์แล้ว ขอท่านอย่าได้ให้ทหารถืออาวุธเข้าไปในเมืองเตงเลย

หงอกือได้ฟังอิวกิดว่าดังนั้นจึงเข้าไปกระซิบบอกกับก๋งจูอุ๋ยว่า การที่ท่านคิดไว้นั้นเห็นจะไม่สำเร็จ กองซุนเกียวซึ่งเป็นคนสำเร็จราชการอยู่ในเมืองเตงนี้มีสติปัญญาอยู่ คงแจ้งอุบายของเราแล้วท่านอย่าคิดให้เคืองใจกันเลย จงเข้าไปรับโดยดีเถิด แล้วจะได้รีบไปทำสัจกับหัวเมืองทั้งปวง ก๋งจูอุ๋ยก็เห็นชอบด้วย จึงว่ากับอิวกิดว่าเราจะยอมทำตามคำท่าน แล้วก็แบ่งทหารไปแต่น้อยมิให้ถือเครื่องศัสตราวุธ ตัวนั้นขึ้นขี่เกวียน อิวกิดก็นำก๋งจูอุ๋ยเข้ามาในเมืองเตง เตงกันก๋งก็จัดแจงแต่งตัวนางฮงสีหลานสาวพามาให้ก๋งจูอุ๋ย ก๋งจูอุ๋ยครั้นได้นางแล้วก็พูดจาปราศรัยกับเตงกันก๋งต่างๆ แล้วพานางฮงสีมาขึ้นเกวียนกลับออกไปค่ายของตัว ตรวจตราทหารพร้อมแล้วก็รีบยกมายังตำบลอูเคียด ครั้นมาถึงรู้ว่าขุนนางทุกหัวเมืองมาพร้อมกัน จึงใช้คนไปบอกเตียวบู๊ว่า ซึ่งจะทำสัจกันครั้งนี้อย่าให้ต้องลำบากเลย เราจะเอาคำสาบานและรายชื่อเจ้าเมืองเมื่อทำสัจกันครั้งก่อนมาอ่านตามแบบนั้น

คนใช้ก็มาแจ้งความกับเตียวบู๊ตามคำก๋งจูอุ๋ยสั่งทุกประการ เตียวบู๊ได้ฟังนิ่งตรึกตรองอยู่ยังมิทันจะว่าประการใด คีเง้าเห็นดังนั้นก็เดินเข้าไปใกล้กระซิบบอกว่า ซึ่งก๋งจูอุ๋ยให้มาว่ากล่าวดังนี้เพราะปรารถนาจะให้เมืองฌ้อเป็นใหญ่กว่าหัวเมืองทั้งปวงสืบต่อไป เตียวบู๊จึงกระซิบตอบว่า อันก๋งจูอุ๋ยคนนี้เย่อหยิ่งถือตัวหาเหมือนคนทั้งปวงไม่ มาครั้งนี้เล่าก็ตบแต่งกระบวนแห่แหนทำยศศักดิ์เหมือนกับเจ้าเมืองฌ้อ โดยกำเริบใจหวังจะให้หัวเมืองทั้งปวงเกรงกลัวอยู่ในอำนาจตัวทั้งสิ้น แล้วคงจะคิดขบถกำจัดฌ้ออ๋องเสีย ตั้งตัวขึ้นเป็นใหญ่มั่นคง การครั้งนี้เราพิเคราะห์เห็นว่าจะต้องยอมเขาก่อน ดูท่วงทีก๋งจูอุ๋ยจะกำเริบไปได้สักเพียงไหน เราจึงค่อยผันแปรไปตามการ

คีเง้าจึงว่าท่านสิตรองการเห็นแล้ว เพลาพรุ่งนี้จงระวังตัวอย่าให้เสียทีอายกับเขา เตียวบู๊ก็พยักหน้าเอาแล้วพูดกับคนใช้ก๋งจูอุ๋ยว่า ท่านจงนำเอาคำของเราไปแจ้งกับนายท่านว่าเราจะยอมตามคำนายท่าน แล้วเพลาพรุ่งนี้จงเชิญมาให้พร้อมกันบนที่เก๋งสูงจะได้ทำสัจกัน คนใช้ก็คำนับกลับไปแจ้งแก่ก๋งจูอุ๋ยทุกประการ

ก๋งจูอุ๋ยยินดีนัก จึงลอบแต่งคำสาบานนั้นเสียใหม่ แล้วใช้คนไปนัดขุนนางหัวเมืองทั้งปวง ครั้นเพลาพรุ่งนี้ ต่างคนก็มาพร้อมกันที่ประชุม ผู้ที่สำหรับอ่านคำสาบาน รายชื่อหัวเมืองก็อ่านขึ้นว่า ข้าพเจ้าผู้ชื่อก๋งจูอุ๋ยผู้สำเร็จราชการเมืองฌ้อมีใจเมตตากับหัวเมืองทั้งปวง อุปมาเหมือนพี่ชายใหญ่โอบอ้อมรักใคร่กับน้องทั้งปวงนั้น ด้วยแผ่นดินทุกวันนี้เป็นจลาจล ต่างคนถือว่าตัวเข้มแข็งไม่กลัวใคร ผู้ใหญ่เบียดเบียนผู้น้อย ผู้น้อยไม่เกรงผู้ใหญ่ บัดนี้มาประชุมกันกระทำสัจสาบานเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกัน ถ้าผู้ใดไม่อยู่ในสัจธรรมเราก็จะชวนกันไปลงโทษ แล้วก็อ่านเรียงชื่อตามเมืองเอก โท ตรี ตลอดลงไป ครั้นสิ้นคำสาบานแล้วขุนนางต่างคนก็ดื่มสุราปนโลหิตของกันและกัน แล้วต่างคนก็ลากลับไปเมือง

ขณะเมื่อเดินลงมาจากเก๋งทำสาบานนั้น ซกซุนป้าขุนนางเมืองฬ่อจึงว่ากับเตียวบู๊ว่า แต่ก่อนจะนัดทำสัจกัน ณ ที่ตำบลใด เมืองจิ้นก็ได้เป็นเอกทุกที เหตุใดครั้งนี้ท่านจึงยอมให้เมืองฌ้อเป็นเมืองใหญ่ ไม่อัปยศกับหัวเมืองทั้งปวงหรือ เตียวบู๊จึงว่า อันคำซึ่งท่านว่านี้ มิใช่เราจะไม่รู้ก็แจ้งอยู่ในใจสิ้น แต่เราตรองเห็นการในบ้านเมืองเราทุกวันนี้หาเหมือนแต่ก่อนไม่ ครั้นจะขัดขืนกันไปก็จะยากแก่ราษฎร เราเห็นเหตุดังนี้จึงคิดการเอาแต่พอคุ้มตัวไปได้วันหนึ่ง อายุเราก็ปานนี้แล้ว จะคิดการโตใหญ่นั้นหาต้องการไม่ ซกซุนป้าได้ฟังเตียวบู๊พูดดังนั้นก็หันหน้ามาพูดกับฮันโฮขุนนางเมืองเตงว่า เตียวบู๊นี้เห็นจะสิ้นอายุเสียแล้วจึงพูดดังนี้ ด้วยประเพณีผู้ซึ่งจะไว้ชื่อเสียงให้ยืดยาวจะคิดการงานสิ่งใดก็ยืดยาวจึงจะสมควรด้วยคำโบราณว่า ผู้ใดจะมีอายุยืนนานหรืออายุน้อยก็มักกล่าวถ้อยคำเป็นลางกับตัวเอง พูดกันแล้วต่างคนก็แยกกันคุมทหารกลับไปเมือง

ฝ่ายก๋งจูอุ๋ยครั้นกลับไปถึงเมืองฌ้อ ก็รีบเข้าไปหาฌ้ออ๋องหวังจะแจ้งข้อราชการ พอเข้าไปถึงประตูรู้ว่าฌ้ออ๋องป่วย จึงคิดว่าครั้งนี้ได้ทีที่จะกำจัดฌ้ออ๋องแล้ว ก็รีบเดินเข้าไปจนถึงที่ฌ้ออ๋องนอนป่วยอยู่ เห็นหญิงคนใช้พยาบาลอยู่ประมาณสี่ห้าคน ก๋งจูอุ๋ยจึงแกล้งว่ากับหญิงคนใช้ว่า เจ้าทั้งปวงจงออกไปอยู่ภายนอกสักประเดี๋ยว เราจะเอาความลับมาเจรจากับฌ้ออ๋อง หญิงทั้งปวงก็ออกไปสิ้น ก๋งจูอุ๋ยจึงเข้าไปข้างเตียง เห็นฌ้ออ๋องนอนหลับตานิ่งอยู่ก็เที่ยวแลดูหาอาวุธซึ่งจะทำร้ายหาเห็นสิ่งใดไม่ ก็แก้เอาไหมพู่หมวกของตัวออกตรงเข้ารัดคอฌ้ออ๋อง ฌ้ออ๋องร้องขึ้นได้คำเดียวก็ขาดใจตาย

ขณะนั้นก๋งจูหม่อกับก๋งจูเผงซึ่งเป็นบุตรฌ้ออ๋อง คอยพยาบาลบิดานั่งอยู่นอกฝา ครั้นได้ยินบิดาร้องขึ้นก็แจ้งความว่าก๋งจูอุ๋ยทำร้ายบิดาก็ขัดใจนัก ต่างคนก็ถือกระบี่วิ่งเข้าไปจะฟันก๋งจูอุ๋ย ก๋งจูอุ๋ยก็กระโดดออกมาชิงเอากระบี่ได้เล่มหนึ่งแล้วก็ฟันเอาก๋งจูเผงก๋งจูหม่อตายทั้งสองคน ฝ่ายก๋งจูกัก ก๋งจูเซก แจ้งความว่าก๋งจูอุ๋ยคิดประทุษร้ายฆ่าฌ้ออ๋องเสียแล้ว กลัวก๋งจูอุ๋ยจะทำอันตรายกับตัวด้วยก็พาบุตรภรรยาไปอยู่เมืองอื่น ก๋งจูกักนั้นไปอยู่เมืองจิ้น ก๋งจูเซกนั้นไปอยู่เมืองเตง

ฝ่ายก๋งจูอุ๋ยครั้นกำจัดฌ้ออ๋องเสียแล้ว ก็ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองชื่อฌ้อเลงอ๋อง แล้วให้ประชุมขุนนางทั้งปวงพร้อมกันปรึกษาว่า เราเพิ่งได้เป็นเจ้าเมืองใหม่ จำจะมีหน้าหนังสือไปให้หัวเมืองทั้งปวงรู้ว่าฌ้ออ๋องป่วยถึงแก่ความตาย เมืองฌ้อหามีผู้ใดจะว่าราชการบ้านเมืองไม่ ขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษาพร้อมกันยกเราผู้ชื่อก๋งจูอุ๋ย เชื้อสายเจ้าเมืองฌ้อเก่าขึ้นครองเมืองชื่อฌ้อเลงอ๋อง ท่านทั้งปวงเคยรักใคร่เป็นไมตรีกับเมืองฌ้อแต่ก่อนนั้นฉันใด ก็ให้เป็นไมตรีรักใคร่กันเหมือนแต่ก่อนเถิด ขุนนางทั้งปวงขัดมิได้จึงว่าท่านคิดนี้ชอบแล้ว ฌ้อเลงอ๋องก็ให้เขียนหนังสือตามคำซึ่งปรึกษากันนั้น ส่งให้คนใช้รีบไปให้แก่หัวเมืองทั้งปวง แล้วจึงตั้งแต้ตันเป็นอิวอิน หงอกือเป็นเสียงก๊ก โตเซียงเหยียนเป็นเกาอิว ตั้งกงจูลกผู้บุตรเป็นไทจู แต่เป๊กจิวหลีซึ่งเป็นไถใจไปรักษาแดนตำบลเอยิมแต่ครั้งเมืองเจ้าเมืองเก่านั้นหาเข้ามาหาไม่ ฌ้อเลงอ๋องก็มีใจรังเกียจเกรงเป๊กจิวหลีจะคิดประทุษร้าย จึงมีท้องตราปรับโทษออกไปให้ประหารชีวิตเสีย แล้วตั้งอวนคีเกียงขึ้นเป็นที่ไถใจแทน จึงให้เอาศพฌ้ออ๋องออกไปฝังไว้ ณ ตำบลเอยิม

ขณะเมื่อก๋งจูอุ๋ยได้เป็นเจ้าเมืองฌ้อ จัดแจงบ้านเมืองและตั้งแต่งขุนนางไว้บริบูรณ์ครบตามตำแหน่งแล้ว คิดว่าบรรดาหัวเมืองทั้งปวงนั้นหามีเมืองใดกล้าแข็งเหมือนเมืองฌ้อไม่ คิดกำเริบใจจะขึ้นไปตีเอาเมืองหลวงมิได้ขาด เพลาวันหนึ่ง ฌ้อเลงอ๋องคิดว่าอันนางฮงสีซึ่งเป็นหลานสาวเจ้าเมืองเตง เรารับมาเป็นภรรยาแต่ก่อนนั้นเดิมเราเป็นขุนนางเห็นว่าสมควรแล้ว บัดนี้เราได้เป็นเจ้าเมืองฌ้อมียศศักดิ์มากขึ้น จำเราจะไปขอบุตรสาวเจ้าเมืองจิ้นมาเลี้ยงเป็นภรรยา จึงจะสมกับวาสนาเราเป็นอ๋อง คิดแล้วจึงสั่งให้หงอกือคุมสิ่งของไปคำนับเจ้าเมืองจิ้นและขอบุตรสาวด้วย หงอกือก็คำนับรับสิ่งของไปเมืองจิ้น

ขณะนั้นเตียวบู๊ขุนนางเมืองจิ้นป่วยลงก็ถึงแก่กรรม จิ้นเปงก๋งจึงตั้งให้ฮันคี้เป็นที่แทนเตียวบู๊ ฝ่ายหงอกือครั้นมาถึงเมืองจิ้นรู้ว่าเตียวบู๊ตายจึงไปหาฮันคี้แจ้งความทั้งปวงให้ฟัง ฮันคี้จึงพาหงอกือเข้าไปคำนับจิ้นเปงก๋ง หงอกือคำนับแล้วแจ้งความว่า ฌ้อเลงอ๋องซึ่งเป็นเจ้าเมืองฌ้อใหม่หมายจะให้ไมตรีเมืองฌ้อกับเมืองจิ้นยืดยาวมั่นคงกว่าแต่ก่อน จึงให้ข้าพเจ้ามาคำนับขอบุตรีสาวท่านไปเลี้ยงเป็นภรรยาใหญ่ในเมืองฌ้อ จิ้นเปงก๋งได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า บัดนี้เตียวบู๊ซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการของเราเป็นที่ไว้วางใจได้ก็ตายเสียแล้ว เราหามีผู้ที่จะช่วยคิดการไม่ ครั้นจะมิให้ฌ้อเลงอ๋องก็จะโกรธ จำเราจะผ่อนผันยอมตามคำหงอกือจึงจะเป็นสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย คิดแล้วจึงว่ากับหงอกือว่า การซึ่งท่านมาว่ากล่าวทั้งนี้ เราก็มีความยินดีด้วย ท่านจงกลับไปแจ้งความกับฌ้อเลงอ๋องว่าต่อถึงวันเดือนดีจึงให้มารับเถิด หงอกือก็ยินดีคำนับลาพาทหารกลับมาเมืองฌ้อ ขณะนั้นพระเจ้าจิวเกงอ๋องครองสมบัติในเมืองตังจิว ราษฎรเป็นสุขมาได้หกปี

พอเป็นเดือนสิบสองข้างขึ้น เตงกันก๋งเจ้าเมืองเตงกับฆ้อเจาก๋งเจ้าเมืองฆ้อคุมบรรณาการมาคำนับฌ้อเลงอ๋อง ฌ้อเลงอ๋องจึงแจ้งความซึ่งใช้ให้หงอกือไปเมืองจิ้นให้เจ้าเมืองทั้งสองฟังแล้วว่า ถ้าการเมืองจิ้นสมคิดแล้วเราจะเชิญท่านทั้งสองให้อยู่ประชุมกัน ณ ตำบลซินตี้ ทำสัจสาบานกันให้พร้อมสักครั้งหนึ่ง ขณะเมื่อฌ้อเลงอ๋องว่านั้น พอหงอกือกลับมาถึงเข้าไปหาฌ้อเลงอ๋องเล่าความซึ่งเจ้าเมืองจิ้นยอมให้บุตรสาวนั้นให้ฟังทุกประการ ฌ้อเลงอ๋องก็มีความยินดี จึงเขียนหนังสือให้คนใช้ถือไปนัดหัวเมืองให้มาทำสัจกัน ณ วันปีใหม่เดือนสาม ม้าใช้ก็รีบแยกกันไป เตงกันก๋งคำนับฌ้อเลงอ๋องแล้วว่า ข้าพเจ้าอุปมาเหมือนคนใช้ในบ้านท่าน ซึ่งท่านจะไปทำสัจในที่ตำบลซินตี้ครั้งนี้เป็นเขตแดนเมืองข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะขอลาไปจัดแจงปลูกที่สำนักท่านจะได้อาศัย และที่สำหรับรับแขกหัวเมืองซึ่งจะมากระทำสัจให้สมควรกับยศศักดิ์ท่าน ฌ้อเลงอ๋องก็อนุญาตยอมให้ไป เตงกันก๋งจึงออกมาตรวจตราทหารของตัวพร้อมแล้วก็ยกกลับไปเมืองเตง

ฝ่ายม้าใช้ซึ่งฌ้อเลงอ๋องให้ไปทุกหัวเมืองนั้น ครั้นถึงจึงเอาหนังสือไปให้กับหัวเมืองทั้งปวง หัวเมืองทั้งปวงฉีกออกอ่านดูแจ้งในหนังสือนั้นแล้วก็คอยวันกำหนดอยู่ ครั้นถึงเดือนสามข้างจีน เจ้าเมืองชัวหนึ่ง เจ้าเมืองตินหนึ่ง เจ้าเมืองตั๋นหนึ่ง เจ้าเมืองฉือหนึ่ง เจ้าเมืองตุ๋นหนึ่ง เจ้าเมืองสิมหนึ่ง เจ้าเมืองหูหนึ่ง เจ้าเมืองตุหนึ่ง แปดหัวเมืองนี้เจ้าเมืองมาเอง แต่เมืองซองนั้นให้ไตหูเฮียงสุดมา เมืองเตงให้กองซุนเกียวไตหูมา อันเมืองเจ๋ เมืองฬ่อ เมืองโอย สามหัวเมืองนี้บอกมาว่ามีราชการเมืองอยู่หามาได้ไม่

ฝ่ายฌ้อเลงอ๋อง ครั้นถึงเดือนสามข้างจีนเป็นวันดี จึงให้อวนพีคุมของคำนับไปรับบุตรสาวเจ้าเมืองจิ้น แล้วฌ้อเลงอ๋องก็ให้จัดแจงทหารแห่เป็นกระบวนทัพชวนฆ้อเจาก๋งเจ้าเมืองฆ้อยกไป ณ ตำบลซินตี้ตามที่นัดหัวเมืองไว้ เจ้าเมืองและขุนนางเห็นฌ้อเลงอ๋องมาถึง ก็ชวนกันออกมายืนรับคำนับอยู่ทั้งสองข้างทาง เชิญฌ้อเลงอ๋องให้ขึ้นอยู่ที่สำนักแล้วตัวก็กลับไปที่อยู่ ฌ้อเลงอ๋องจึงถามหงอกือว่า การซึ่งเราจะมาทำสัจกับหัวเมืองครั้งนี้ จะให้เป็นเกียรติยศสง่ามากกว่าทุกครั้ง หัวเมืองทั้งปวงจะได้กลัวเกรงเราจะทำประการใดจึงจะดี

หงอกือจึงว่า การซึ่งจะทำสัจครั้งนี้ จงเอาอย่างเจ๋ฮวนก๋งมาทำสัจกับหัวเมืองที่ตำบลเตียวเหลง จิ้นบุนก๋งกระทำสัจกับหัวเมืองที่ตำบลเจียนทั่วทั้งสองครั้งนี้ หัวเมืองทั้งปวงกลัวเกรงนับถือจะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิ์ขาดมีเกียรติยศมาก ฌ้อเลงอ๋องจึงว่า การซึ่งคนทั้งสองมีชื่อเสียงมานั้นเราก็แจ้งอยู่ แต่เขาทำสัจแล้วพาหัวเมืองไปปราบปรามหัวเมืองใดซึ่งกล้าแข็งก่อน หงอกือจึงว่า เมื่อครั้งเจ๋ฮวนก๋งนัดหัวเมืองมาทำสัจที่ตำบลเตียวหลงนั้น ยกโทษฌ้อเซียงอ๋องปู่ท่านว่าเบียดเบียนหัวเมือง และเป็นเสี้ยนหนามกับเมืองหลวง เมื่อทำสัจแล้วจึงพาหัวเมืองยกมาตีเมืองเรา ก็การซึ่งจะกระทำครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นควรจะพาหัวเมืองไปกระทำได้ก็แต่เมืองหงอ ด้วยคบเอาเคงหองซึ่งประทุษร้ายกับเข้าเมืองเจ๋ไว้ อันเคงหองนี้เป็นคนชั่วก็แจ้งอยู่กับหัวเมืองทั้งปวง หนีมาอาศัยเจ้าเมืองหงอ เจ้าเมืองหงอรับไว้เลี้ยงดูให้เป็นขุนนาง ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเจ้าเมืองหงอก็มีโทษเพราะคบคนผิด ควรที่ท่านจะชวนหัวเมืองไปตีจึงจะต้องกับแบบเจ๋ฮวนก๋ง ฌ้อเลงอ๋องก็เห็นชอบด้วย

ครั้นเพลารุ่งขึ้น ฌ้อเลงอ๋องกับหัวเมืองทั้งปวงก็ทำสัจสาบานกันตามอย่างธรรมเนียมเสร็จแล้ว ฌ้อเลงอ๋องก็กลับมาที่อยู่ นั่งตรึกตรองคิดขึ้นได้จึงว่ากับหงอกือว่า การที่เราคิดกันนั้นอย่าให้แพร่งพรายรู้ถึงหูเจ้าเมืองฉือ ด้วยเจ้าเมืองฉือคนนี้เป็นบุตรนางหงอกี นางหงอกีเป็นบุตรเจ้าเมืองหงอ ถ้าเจ้าเมืองฉือรู้ความก็จะบอกกับมารดา มารดาก็จะจัดแจงรักษาบ้านเมืองกวดขัน เราจะกระทำยาก จำจะหน่วงตัวเจ้าเมืองฉือไว้สักสองสามวัน พอเราจัดแจงกองทัพพร้อมแล้วจึงปล่อยตัวไป ท่านจะเห็นเป็นประการใด หงอกือก็เห็นด้วย

ฌ้อเลงอ๋องจึงแกล้งสั่งคนใช้ให้ไปห้ามเจ้าเมืองฉือไว้ว่า อย่าเพ่อกลับไปเมืองก่อน จงอยู่สักสองสามวันเราจะปรึกษาราชการด้วย คนใช้ก็รับคำแล้วไปหาเจ้าเมืองฉือ แจ้งความตามฌ้อเลงอ๋องสั่งทุกประการ เจ้าเมืองฉือได้ฟังคำคนใช้ฌ้อเลงอ๋องมาว่าดังนั้นก็รับไว้ แต่มีความสงสัยอยู่ว่าฌ้อเลงอ๋องกับเราก็หามีถ้อยความเกี่ยวข้องกันไม่ ครั้นคนใช้ฌ้อเลงอ๋องกลับไปแล้วจึงให้คนสนิทไปสืบดูก็รู้ว่าเป็นกลอุบายจะยกไปตีเมืองหงอ ครั้นรุ่งขึ้นเจ้าเมืองฉือจึงเข้าไปคำนับฌ้อเลงอ๋องแล้วว่า การซึ่งท่านมากระทำสัจกับหัวเมืองครั้งนี้ก็เสร็จแล้ว เมื่อไรท่านจะยกทัพไปลงโทษเจ้าเมืองหงอข้าพเจ้าจะขอนำทางไปเอง ฌ้อเลงอ๋องได้ฟังเจ้าเมืองฉือรู้เท่ามาว่าดังนั้นก็ยิ้มอยู่ แล้วพิเคราะห์ดูเห็นเจ้าเมืองฉือรักใคร่ตัวโดยสุจริตก็มีความยินดี จึงว่าเราขอบใจท่านซึ่งจงรักภักดีกับเรา ผู้ซึ่งจะนำทางนั้นก็มีตัวอยู่แล้ว จะกลับบ้านเมืองก็ไปเถิด เจ้าเมืองฉือยินดีนักก็คำนับลาพาทหารกลับไปเมืองฉือ ฌ้อเลงอ๋องจึงสั่งให้ไตหูคุดซินเป็นแม่ทัพกำกับหัวเมืองซึ่งมาทำไมตรีกันนั้นให้ยกไปตีเมืองหงอ จับเคงหองมาฆ่าเสีย คุดซินก็รับคำ

ครั้นได้ฤกษ์ก็พากองทัพหัวเมืองยกมาเข้าแดนเมืองหงอ ถึงตำบลลูห่องซึ่งตัวเคงหองอยู่ จึงสั่งทหารให้เข้าล้อมบ้านจับตัวเคงหองกับสมัครพรรคพวกได้สิ้นแล้วจะยกกองทัพไปตีเมืองหงอ พอแจ้งความว่าเจ้าเมืองหงอรู้ตัวจัดแจงการรักษาเมืองกวดขันนักเห็นจะหักเอามิได้ก็เลิกทัพคุมตัวเคงหองกลับมาถึงตำบลซินตี้ที่ฌ้อเลงอ๋องตั้งอยู่ คุดซินจึงพาหัวเมืองคุมตัวเคงหองเข้าไปคำนับฌ้อเลงอ๋อง แล้วแจ้งความทั้งปวงให้ฟังทุกประการ ฌ้อเลงอ๋องจึงสั่งให้เอาเคงหองไปฆ่าเสีย หงอกือจึงกระซิบห้ามไว้ว่า เคงหองคนนี้ถึงเขามีโทษผิดก็เป็นคนเมืองอื่นประทุษร้ายต่อเจ้านายเขา จะได้ประทุษร้ายแก่บ้านเมืองเราก็หามิได้ จะให้ฆ่าเสียนั้นข้าพเจ้าเห็นหาควรไม่ เรามาคิดกระทำการครั้งนี้ก็เพราะจะให้หัวเมืองนิยมรักใคร่ว่าใจโอบอ้อมอารี ถ้าท่านจะขืนฆ่าเขาก็จะพูดหยาบช้ากับท่านต่างๆ จะได้อัปยศแก่คนทั้งปวง

ฌ้อเลงอ๋องจึงว่าท่านได้ห้ามก็จะฟังคำ แต่จะประจานมันให้สมที่ประทุษร้ายแก่เจ้าเมือง จึงสั่งให้เอาเคงหองมัดไพล่หลังแล้วเอาดาบผูกกระหนาบไว้กับคอ ให้ร้องประจานตัวว่า ข้าพเจ้าเคงหองผู้เป็นขุนนางสำเร็จราชการเมืองเจ๋หามีใจสุจริตกับเจ้าเมืองของตัวไม่ พาสมัครพรรคพวกคิดขบถฆ่าเจ้านายของตัวเสีย ควรที่ข้าพเจ้าจะรับอาญาจนถึงสิ้นชีวิตแล้ว อย่าให้ขุนนางทั้งปวงดูเยี่ยงอย่างข้าพเจ้าสืบไป ทหารทั้งปวงก็ทำตามฌ้อเลงอ๋องสั่งทุกประการ แล้วเตือนให้เคงหองร้องตามฌ้อเลงอ๋องว่า เคงหองจึงคิดว่าไหนๆ ฌ้อเลงอ๋องจะไม่เลี้ยงเราแล้ว จำจะประจานความชั่วฌ้อเลงอ๋อง ซึ่งขบถฆ่าเจ้านายเสียให้หัวเมืองปรากฏไว้ในแผ่นดินบ้าง คิดแล้วก็ร้องขึ้นว่า บรรดาขุนนางทั้งปวงซึ่งมาประชุมพร้อมกันวันนี้จงฟังคำข้าพเจ้า จะประจานคนชั่วให้ฟัง เดิมฌ้อกังอ๋องผู้เป็นเจ้าเมืองฌ้อเก่ามีบุตรเกิดกับภรรยาน้อยคนหนึ่งชื่อก๋งจูอุ๋ย ทำราชการอยู่ในเมืองฌ้อจนถึงฌ้ออ๋องได้เป็นเจ้าเมือง ฌ้ออ๋องรักใคร่ไว้ใจตั้งให้เป็นที่เลงอินสำเร็จราชการสิทธิ์ขาด ฌ้ออ๋องหามีความผิดสิ่งใดไม่ ก๋งจูอุ๋ยคิดประทุษร้ายฆ่าเสียแล้วยกตัวขึ้นเป็นอ๋องครองเมืองฌ้อ อย่าให้คนทั้งปวงดูเยี่ยงอย่างเลย

หัวเมืองทั้งปวงได้ฟังเคงหองร้องดังนั้น ต่างคนก็ปิดปากหัวเราะและเมินหน้ายิ้มบ้าง ฌ้อเลงอ๋องมีความอัปยศนัก โกรธเคงหองเป็นกำลังจึงให้เอาไปตัดศีรษะเสีย แล้วเลิกกองทัพกลับไปเมืองฌ้อ มากลางทางจึงคิดว่าเพราะเราไม่เชื่อคำหงอกือห้ามขืนฆ่าเคงหอง มันจึงว่ากล่าวประจานให้ได้ความอัปยศกับหัวเมือง จนมาถึงเมืองฌ้อกลับคิดโกรธคุดซินซึ่งให้เป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองหงอไม่ได้ จับเอาแต่เคงหองเลิกทัพกลับมาให้เคงหองว่ากล่าวให้เราได้ความอาย ก็เพราะคุดซินเป็นต้นเหตุ คิดแล้วจึงให้หาคุดซินเข้ามากล่าวโทษว่าไม่ไปตีเมืองหงอให้ได้ ก็สั่งทหารให้เอาไปตัดศีรษะเสีย ทหารก็คุมตัวไปทำตามสั่ง แล้วฌ้อเลงอ๋องจึงเอาคุดเซงบุตรคุดเกี๋ยนมาตั้งเป็นไตหูแทนคุดซิน

ขณะนั้นอวนพีซึ่งไปรับนางกีสีบุตรสาวเจ้าเมืองจิ้นมาถึง ฌ้อเลงอ๋องจึงตั้งให้อวนพีเลื่อนที่ขึ้นเป็นที่เลงอิน แล้วทำตึกให้นางกีสีอยู่ข้างในตั้งให้เป็นภรรยาหลวง ฝ่ายอีมุยเจ้าเมืองหงอ ครั้นแจ้งว่าฌ้อเลงอ๋องฆ่าเคงหองเสียก็โกรธนัก จึงกะเกณฑ์ทหารพร้อมแล้วก็ยกทัพรีบมาถึงแดนเมืองฌ้อ จึงตั้งค่ายลงริมแม่นํ้าเคียกไหงข้างฝั่งทิศตะวันออก ชาวด่านเห็นดังนั้นจึงเอาความเข้าไปแจ้งแก่ฌ้อเลงอ๋อง ฌ้อเลงอ๋องรู้ว่าอีมุยยกทัพมาก็โกรธ จึงให้ม้าใช้ไปเที่ยวบอกแก่บรรดาหัวเมืองซึ่งเป็นไมตรีกันนั้น ให้ยกมาช่วยรบทัพเมืองหงอ ม้าใช้ก็รีบแยกกันไปบอกทุกหัวเมือง เจ้าเมืองซึ่งมาทำไมตรีกับฌ้อเลงอ๋องนั้น ครั้นแจ้งจึงจัดแจงทหารยกมาตั้งค่ายรายกันอยู่ ห่างค่ายอีมุยประมาณสามร้อยเส้นคอยท่าฌ้อเลงอ๋องอยู่

ฝ่ายฌ้อเลงอ๋องแจ้งว่าหัวเมืองมาพร้อมกันแล้ว จึงให้อวนคีเกียงคุมทหารยกทัพเรือไปรบด้วยทัพเมืองหงอ อวนคีเกียงก็จัดแจงเรือรบให้ทหารลงประจำในลำเรือ พร้อมแล้วก็รีบยกมา ครั้นถึงฟากฝั่งข้างทิศตะวันออกก็ยกขึ้นบนบก เห็นได้ท่วงทีก็เข้าตีทัพเมืองหงอ ทหารอีมุยก็รบต้านทานไว้เป็นสามารถ ทหารอวนคีเกียงน้อยตัวสู้มิได้ก็แตกหนีมาลงเรือ ที่มามิทันทหารเมืองหงอก็ฆ่าฟันล้มตายเป็นอันมาก อวนคีเกียงครั้นลงเรือได้ก็พาทหารที่เหลือตายรีบแจวเรือหนีเข้าเมืองมาแจ้งความแก่ฌ้อเลงอ๋อง ฌ้อเลงอ๋องโกรธเป็นกำลัง จึงสั่งให้จัดทหารเข้าเป็นกระบวนทัพใหญ่ แล้วก็รีบยกมาตั้งอยู่ที่ตำบลฬ่อ นับฝั่งข้างทิศตะวันตก

ฝ่ายอีมุยครั้นแจ้งว่าฌ้อเลงอ๋องยกทัพมา จึงจัดแจงเครื่องโต๊ะกับสุราให้เคียดอิวซึ่งเป็นแซ่เดียวกันนั้นคุมไปให้ฌ้อเลงอ๋องยังค่าย ฟังดูว่าจะคิดอุบายประการใดบ้าง เคียดอิวก็คุมเอาสิ่งของรีบข้ามน้ำมาให้แก่ฌ้อเลงอ๋องยังค่าย ฌ้อเลงอ๋องครั้นแลเห็นเคียดอิวมาก็โกรธนัก จึงสั่งให้ทหารจับเอาตัวเคียดอิวจะให้ไปฆ่าเอาเลือดทาหน้ากลองศึกเสีย ทหารก็พาเอาตัวไป แล้วฌ้อเลงอ๋องจึงเรียกกลับมาถามว่า เมื่อเองจะมานี้ได้ให้โหรหาฤกษ์ดีแล้วหรือจึงมาเจรจากับกู เคียดอิวจึงบอกว่า เมื่อข้าพเจ้าจะมานี้หมอได้ทายว่าถ้าได้มาในเพลาวันนี้ดีนัก ข้าพเจ้าจึงได้มาหาท่าน ก็สมคำหมอ

ฌ้อเลงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า เราจะให้เอาไปฆ่าเสียเดี๋ยวนี้ ยังจะเห็นว่าถูกกับคำหมอแล้วหรือ เคียดอิวจึงว่าซึ่งให้หมอดูนี้ใช่จะดูว่าข้าพเจ้าจะตายจะรอดนั้นหามิได้ ให้ดูว่าบ้านเมืองหงอจะเสียแก่ข้าศึกหรือจะเป็นสุขดอก บัดนี้ท่านจะให้ฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่าสมกับคำหมอดูว่าบ้านเมืองจะไม่มีอันตราย ด้วยอีมุยใช้ข้าพเจ้ามานี้หมายจะให้ซับทราบว่าท่านจะโกรธมากหรือน้อยประการใด ถ้าท่านฆ่าข้าพเจ้าเสีย อีมุยก็จะรู้ว่าท่านโกรธมาก จะคิดอ่านป้องกันระวังระไวเมืองมั่นคงเข้า เห็นว่าท่านจะตีเอาเมืองหงอนั้นได้โดยยาก แม้นท่านปล่อยให้ข้าพเจ้า อีมุยก็จะประมาทว่าท่านหาโกรธไม่ก็จะเพิกเฉยเสีย จะไม่คิดอ่านป้องกันบ้านเมือง ท่านก็จะตีได้โดยง่าย

ฌ้อเลงอ๋องได้ฟังดังนั้นไม่ทันคิดก็พลอยเห็นจริงด้วย จึงคิดว่าเคียดอิวนี้เป็นคนมีสติปัญญาพูดจาเฉลียวฉลาด ซึ่งจะฆ่าเสียนั้นหาต้องการไม่ หัวเมืองทั้งปวงจะครหานินทา จึงรับเครื่องโต๊ะและสุรานั้นไว้ปล่อยเคียดอิวนั้นกลับไป เคียดอิวก็รีบมาแจ้งความแก่อีมุยตามที่ได้พูดจากับฌ้อเลงอ๋องนั้นให้ฟังทุกประการ ฝ่ายฌ้อเลงอ๋องครั้นปล่อยเคียดอิวไปจึงกลับคิดขึ้นมาได้ว่า ซึ่งเราปล่อยเคียดอิวไปนี้ก็เหมือนหนึ่งให้ไปเพิ่มเติมปัญญาอีมุยให้มากขึ้น ยิ่งคิดโกรธเคียดอิวว่ามาล่อลวงให้เสียที จึงจัดแจงทหารยกข้ามแม่น้ำมาระดมตีค่ายเมืองหงอ หัวเมืองทั้งปวงก็เข้าช่วยตีเป็นทัพกระหนาบ อีมุยก็ไล่ทหารออกรบต้านทานไว้เป็นสามารถ ทหารเมืองหงอเสียทีล้มตายลง อีมุยเห็นจะสู้มิได้ก็ให้ยกทัพล่าเลิกกลับมาเมืองหงอ

ฌ้อเลงอ๋องกับหัวเมืองทั้งปวงก็ยกติดตามมา อีมุยกับทหารรบพลางหนีพลางจนถึงเมืองด่านแดนของตัว อีมุยก็ไล่ทหารให้ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้เป็นมั่นคง ฌ้อเลงอ๋องจึงให้ทหารเข้ารบหักเอาเมืองหงอเป็นหลายครั้งก็หาได้ไม่ ทั้งเสบียงอาหารนั้นก็น้อยลงไม่พอเพียงที่จะเลี้ยงทหาร ฌ้อเลงอ๋องก็ให้เลิกทัพกลับเมือง แต่บรรดาหัวเมืองทั้งปวงก็เลิกทัพกลับเมืองของตัว

ฌ้อเลงอ๋องครั้นมาถึงเมืองจึงคิดว่า ซึ่งเรากล่าวโทษคุดซินว่าไปตีเมืองหงอไม่ได้ให้ฆ่าเสียนั้นหาควรไม่ ด้วยเมืองหงอนี้เขารักษามั่นคงนัก แต่เรายกทัพใหญ่ไปตีเมืองหน้าด่านของเขาก็ยังหาได้ชัยชนะไม่ ให้เสียดายคุดซินนักไม่ควรฆ่าเขาเสียเลย ทำอย่างไรจึงจะแก้ความอายหัวเมืองทั้งปวงได้ นิ่งตรึกตรองอยู่จึงคิดขึ้นได้ว่าเขตแดนเมืองเราก็กว้างขวาง ผู้คนก็มั่งคั่งทรัพย์สินเงินทอง ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ ทั้งไม้ยางใหญ่ก็มีเป็นอันมาก หัวเมืองทั้งปวงหามีเหมือนเราไม่ จำจะสร้างเหลาไต๋ขึ้นให้สนุกสนานไว้ชมเล่น ถ้าหัวเมืองทั้งปวงเห็นจะสรรเสริญเลื่องลือไปว่าเรามีบุญญาธิการเป็นอันมาก จึงจะแก้ความอายได้ ฌ้อเลงอ๋องยินดีนักออกมาที่ว่าราชการ จึงใช้ขุนนางที่ดูตำราดูแผนที่ให้ไป ณ ตำบลเกงจิวเสียนอกเมือง ดูชัยภูมิที่กว้างขวางประมาณสักหกร้อยเส้นปราบที่ถมดินไว้ให้เสมอ จึงสั่งขุนนางอีกผู้หนึ่งให้เกณฑ์เอาราษฎรไปตัดไม้ที่ยาวใหญ่ให้จงมาก เราจะสร้างเก๋งชมเล่น ขุนนางต่างคนก็คำนับลาออกมาทำตามฌ้อเลงอ๋องสั่งทุกประการ

ครั้นถึงวันฤกษ์ดี ฌ้อเลงอ๋องก็ให้เกณฑ์เอาราษฎรมาช่วยกันแต่งตัวไม้ทำการต่างๆ ในเครื่องเก๋ง ราษฎรที่มีเงินทองก็จ้างออนลงต่างคนไม่ได้ทำมาหากิน ยากจนไร้ทรัพย์ได้ความทุกข์ร้อนเป็นอันมาก แต่ฌ้อเลงอ๋องคิดอ่านสร้างเก๋งอยู่นานประมาณปีเศษการจึงได้สำเร็จ อันเก๋งนั้นถ้าจะวัดกว้างยาวโดยรอบนอกได้ห้าร้อยเส้นโดยสูงเป็นชั้นขึ้นไปยี่สิบเส้น แม้จะขึ้นไปบนชั้นสุดนั้นต้องหยุดพักให้หายเหนื่อยถึงสามครั้งจึงจะขึ้นไปตลอดได้ จึงให้ชื่อเก๋งสูงว่าชำฮิวโต๋ อันชำฮิวโต๋นี้แสนสนุกสนานรโหฐานยิ่งนัก มีเก๋งน้อยล้อมรอบเป็นลดหลั่น แล้วมีกำแพงแก้วกั้นรอบเก๋งน้อย ข้างภายนอกปลูกต้นไม้ที่มีผลไว้ตามแผ่นดินเป็นอันมาก ตามชานเก๋งข้างทุกๆ ชั้นนั้นตั้งกระถางปลูกต้นไม้ที่มีดอกดกกลิ่นหอมโอชารสไว้หลายอย่างต่างๆ กัน

แล้วฌ้อเลงอ๋องจึงให้จัดหาชายอายุในยี่สิบปีลงมาที่รูปร่างหน้าตางดงามเอวเล็กๆ มาได้ประมาณร้อยเศษให้แต่งตัวใส่เสื้อและกางเกงเหมือนหนึ่งผู้หญิง จึงให้หัดดีดกระจับปี่สีซอไว้สำหรับจะได้บำรุงบำเรอ แล้วให้อยู่ตามเก๋งน้อยๆ เหล่านั้น จึงเรียกชื่อเก๋งน้อยว่าเซยเอียแปลว่าเก๋งคนเอวเล็ก ฌ้อเลงอ๋องก็ไปนอนอยู่ด้วยชายรูปงามเป็นนิจ มิได้เข้าไปนอนด้วยหญิงภรรยาเลย ถ้าแม้นเห็นคนอ้วนพีโตแล้วให้มีใจเกลียดชังค่อนแคะว่าต่างๆ บรรดาคนที่ฌ้อเลงอ๋องใช้สอยอยู่แต่เดิมกับราษฎรทั้งปวงนั้น ที่รูปร่างไม่งามนั้นก็สู้อุตส่าห์ทรมานอดอาหาร หวังจะให้เอวนั้นเล็ก ถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ขุนนางใหญ่น้อยทั้งปวงแม้จะเข้าไปหาฌ้อเลงอ๋อง ก็ต้องเอาแพรรัดเอวให้เล็ก แล้วใส่เสื้อปิดเสียหวังจะให้ฌ้อเลงอ๋องมีใจเมตตา

ตั้งแต่นั้นมาฌ้อเลงอ๋องก็ขึ้นอยู่บนเก๋งทั้งกลางวันกลางคืน เสพแต่สุราฟังเสียงกระจับปี่สีซอและขับร้องต่างๆ ก็เพลิดเพลินอยู่ มิใคร่จะเอาใจใส่ในราชการเมือง เพลาวันหนึ่งฌ้อเลงอ๋องนั่งเล่นอยู่บนเก๋งได้ยินอื้ออึงที่ข้างล่างคิดสงสัยนักก็เดินออกมาดู เห็นพวกจูฉินซึ่งเป็นผู้รักษาเก๋งจับไตหูซินบูอูไว้ จึงถามว่าเป็นเหตุประการใดท่านจึงจับขุนนางไว้ฉะนี้ พวกจูฉินคำนับแล้วบอกว่า ซินบูอูนี้ทำบังอาจหาเกรงท่านผู้เป็นเจ้าเมืองไม่ เข้ามาจับคนถึงกำแพงเก๋ง ข้าพเจ้าห้ามปรามก็มิฟัง จึงได้จับเอาตัวมาให้แก่ท่านตามแต่ท่านจะเมตตาเถิด

ฌ้อเลงอ๋องได้ฟังจึงถามซินบูอูว่า อันคนผู้นี้มาแต่ไหนเป็นอย่างไรท่านจึงได้บังอาจเข้ามาจับถึงในนี้ ซินบูอูจึงแจ้งว่าคนที่ข้าพเจ้าจับนี้ เดิมเป็นคนเฝ้าประตูของข้าพเจ้า ลักเอาจอกหยกสำเร็จใส่สุราหนีโดดข้ามกำแพงมา แต่ข้าพเจ้าเที่ยวสืบเสาะมาช้านานประมาณปีหนึ่งแล้วก็หาพบตัวไม่ เพิ่งพบเข้าที่ในกำแพงเก๋งของท่าน ข้าพเจ้าจึงได้ตามเข้ามาจับ ฌ้อเลงอ๋องจึงว่าเขาหนีท่านมาพึ่งเราแล้ว ท่านอย่าจับเขาไปเลย

ซินบูอูได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าแม้เราจะขืนจับบ่าวเราไปให้ได้ก็จะขัดใจเจ้า จำจะอุบายเปรียบความให้ฟังก่อนจึงจะไม่ขัดเคือง คิดแล้วจึงว่าท่านไม่รู้หรือชื่อวันข้างจีนนั้นมีสิบอย่าง คือ กะ อิด เปี๊ย เคง โป๊ กี แก่ ซิน หยิม กุ้ย เรียงลำดับกันลงมา คนก็มีอยู่สิบชนิดคือเจ้าเมืองเป็นที่หนึ่ง ขุนนางผู้ใหญ่เป็นที่สอง ขุนนางผู้น้อยเป็นที่สาม คนที่รู้หนังสือจีนลึกซึ้งเป็นที่สี่ คนเป็นพ่อค้ารู้กระบวนค้าขายเป็นที่ห้า คนที่เป็นช่างรู้ทำสิ่งของได้ต่างๆ เป็นที่หก คนรู้ในการล้อเกวียนเป็นที่เจ็ด คนรู้วิชาทำไร่นาเป็นที่แปด คนสำหรับรับจ้างหาบคอนเป็นที่เก้า คนที่หาเลี้ยงตัวโดยชอบธรรมไม่ได้นั้นเป็นที่สิบ คนสิบจำพวกนี้นับถือกันเป็นชั้นลงมาบ้านเมืองจึงมีความสุข ก็บัดนี้คนเฝ้าประตูของข้าพเจ้าลักสิ่งของหนีมาอาศัยแปลกปนอยู่ในบ้านท่าน เจ้าของตามตัวมาพบก็หาอาจที่จะจับไปได้ไม่ คนพาลก็จะกำเริบใจเที่ยวทำร้าย เขาแล้วก็จะหนีมาอยู่เสียกับท่าน บ้านเมืองก็จะเกิดโจรชุกชุมขึ้น ผู้ใดจะห้ามปรามได้ ครั้นข้าพเจ้าจะปล่อยคนผู้นี้เสียตามคำท่านห้ามก็เหมือนเป็นใจกับโจร แสร้งจะให้บ้านเมืองเป็นจลาจล ข้าพเจ้าไม่ฟังแล้วคงจะจับไปกระทำโทษให้จงได้ ถึงท่านจะขัดเคืองว่าไม่ฟังบังคับบัญชาจะเอาโทษก็ตามเถิด

ฌ้อเลงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงด้วย จึงว่ากับซินบูอูว่า ท่านว่านี้ชอบอยู่แล้ว จึงสั่งให้จับคนเฝ้าประตูของซินบูอูส่งให้กับซินบูอู ซินบูอูก็ลากลับมาบ้าน ครั้นเพลาวันหนึ่งฌ้อเลงอ๋องคิดจะให้หัวเมืองทั้งปวงมาชมเก๋ง ครั้นจะให้แต่ม้าใช้ไปก็เกรงหัวเมืองจะบิดพลิ้วเสีย จึงให้อวนคีเกียงกับขุนนางหลายคนแยกกันไปเชิญตัวเจ้าเมือง อวนคีเกียงก็รีบมาเมือง ขุนนางเหล่านั้นก็แยกกันมาทุกหัวเมือง

ครั้นถึงจึงไปบอกเจ้าเมืองทั้งปวง เจ้าเมืองทั้งปวงก็พูดจาบิดพลิ้วหามาไม่ ขุนนางเหล่านั้นก็กลับมา ฝ่ายอวนคีเกียงครั้นมาถึงเมืองฬ่อจึงเข้าไปหาฬ่อเจาก๋งเห็นรูปร่างฬ่อเจาก๋งประกอบด้วยลักษณะดียิ่งนัก คำนับแล้วจึงแจ้งความว่า บัดนี้ฌ้อเลงอ๋องสร้างเก๋งขึ้นสนุกสนาน จึงให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านไปชมเก๋งยังเมืองฌ้อ ฬ่อเจาก๋งได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าฌ้อเลงอ๋องให้มาเรียกเราไปชมเก๋ง เป็นแต่การสนุกสนานไม่ควรที่เราจะไป คิดแล้วจึงว่าบัดนี้เรายังหาสู้สบายไม่ด้วยโรคเบียดเบียนอยู่เนืองๆ ถ้าหายปกติแล้วเราจึงจะไป

อวนคีเกียงได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าฬ่อเจาก๋งพูดบิดพลิ้วหายอมไปไม่ จึงคิดว่าเพื่อนชอบอัชฌาสัยกับเราเป็นไตหูอยู่ในเมืองนี้คนหนึ่งชื่อเองฉี จะว่ากล่าวสิ่งใดฬ่อเจาก๋งก็เชื่อฟังทำตามทุกประการ จำจะไปบอกให้มาช่วยว่ากล่าว คิดแล้วอวนคีเกียงก็ลามายังบ้านเองฉี เองฉีเห็นก็ออกมาต้อนรับคำนับกันตามธรรมเนียม เองฉีจึงถามว่าท่านมานี้มีธุระประการใดหรือ อวนคีเกียงจึงบอกว่าฌ้อเลงอ๋องใช้ให้เรามาเชิญเจ้าเมืองฬ่อไปชมเก๋ง เจ้าเมืองฬ่อบิดพลิ้วเสียหาไปไม่ ถ้าเรากลับไปบอกฌ้อเลงอ๋องจะโกรธ

เองฉีได้ฟังก็ตกใจ จึงคิดว่าเมืองเรานี้เล็กกว่าเมืองฌ้อนัก แม้ฌ้อเลงอ๋องยกมาตีเห็นจะเสียทีเป็นมั่นคง จึงตอบอวนคีเกียงว่าท่านอย่าเพิ่งกลับไปเมืองก่อน เราจะเข้าไปว่ากล่าวกับฬ่อเจาก๋งให้ไปเมืองฌ้อจงได้ แล้วเองฉีก็พาอวนคีเกียงเข้ามาหาฬ่อเจาก๋ง แล้วเดินเข้าไปใกล้กระซิบแจ้งความว่า ซึ่งท่านตัดไมตรีฌ้อเลงอ๋องเสียนั้นหาควรไม่ ขอท่านอย่าได้ทำให้ฌ้อเลงอ๋องโกรธเลย อันเมืองเรานี้เขตแดนก็น้อยนัก แม้นข้าศึกมาทำอันตราย ฌ้อเลงอ๋องเห็นแก่ไมตรีท่านจะได้มาช่วยรบป้องกันเมือง ฬ่อเจาก๋งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงว่ากับอวนคีเกียงว่า บัดนี้เราค่อยปกติสบายขึ้นแล้ว ท่านจงกลับไปก่อนเถิดเราจะตามไปต่อภายหลัง

อวนคีเกียงก็คำนับลาพาบ่าวไพร่กลับมาเมืองฌ้อ ฬ่อเจาก๋งครั้นให้อวนคีเกียงกลับไปแล้วก็จัดแจงทหารยกทัพรีบตามมา อวนคีเกียงครั้นมาถึงเข้าไปหาฌ้อเลงอ๋อง แจ้งความให้ฟังทุกประการ ฌ้อเลงอ๋องได้ฟังก็ยินดีนัก จึงว่ากับอวนคีเกียงว่า อันฬ่อเจาก๋งนี้เรายังหารู้จักหน้าไม่ รูปร่างนั้นจะเป็นประการใด

อวนคีเกียงจึงบอกว่าฬ่อเจาก๋งสูงประมาณหกศอก หน้าขาวเป็นนวลสีเลือดสุก ประสานกันกับผิวเนื้องามนัก หนวดดำเป็นมันยาวประมาณกำมาหนึ่ง ลักษณะกิริยาก็ดีเป็นคนรู้ขนบธรรมเนียม ถ้าเขามาถึงแล้วท่านจงเอาใจใส่เลี้ยงดูอย่าให้เขาติเตียนนินทาได้

ฌ้อเลงอ๋องได้ฟังอวนคีเกียงว่าดังนั้น จึงให้จัดทหารชายที่สูงรูปงามหนวดยาวมาได้สิบคน หัดกิริยามารยาทให้ถูกขนบธรรมเนียมได้ดีแล้วจึงจัดหมวกให้ใส่พอสมควร ให้เป็นนายคุมกระบวนแห่ออกไปคอยรับฬ่อเจาก๋ง คนทั้งสิบก็คำนับลาพาพวกทหารรีบมาคอยอยู่นอกเมือง ครั้นฬ่อเจาก๋งมาถึง คนสิบคนก็ออกไปรับคำนับ แล้วแจ้งความว่าฌ้อเลงอ๋องให้มาคอยรับท่านเข้าไปในเมือง ฬ่อเจาก๋งได้ฟังดังนั้นนึกประหม่าอยู่ในใจแล้วว่า เราเป็นแต่เมืองเล็กน้อย ซึ่งฌ้อเลงอ๋องให้เอากระบวนแห่ออกมารับเรานี้หาสมควรไม่ จึงห้ามว่าท่านอย่าเดินเป็นขบวนเลย แล้วก็พาทหารของตัวยกเข้าไปในเมืองฌ้อ นายทหารสิบคนก็คุมกระบวนแห่ตามมาภายหลัง

ฬ่อเจาก๋งครั้นมาถึงที่ว่าราชการจึงเข้าไปหาฌ้อเลงอ๋อง ฌ้อเลงอ๋องก็ลุกขึ้นมาต้อนรับ ฬ่อเจาก๋งก็คำนับทำเป็นเกรงกลัวยิ่งนัก ฌ้อเลงอ๋องจึงชวนฬ่อเจาก๋งขึ้นไปบนชำฮิวโต๋ ฬ่อเจาก๋งก็เดินตามขึ้นไปดูเห็นตัวไม้ใหญ่ยาวหายากนัก ตามฝาผนังนั้นเขียนเป็นเรื่องราวสนุกสนานก็พูดชมสรรเสริญมิได้หยุดคำ ฌ้อเลงอ๋องนิ่งฟังอยู่ก็ยินดีนัก จึงผินหน้ามาถามว่าเมืองท่านยังจะมีเก๋งอย่างนี้แลหรือ

ฬ่อเจาก๋งจึงตอบว่า เมืองข้าพเจ้านั้นอุปมาเหมือนแมลงเม่าแมลงหวี่ เมืองไตอ๋องนี้เหมือนหนึ่งพญาหงส์อันมีตระกูลสูงจึงสร้างเก๋งกว้างใหญ่อย่างนี้ได้ อันวาสนาเช่นข้าพเจ้าหาอาจที่จะทำเก๋งอย่างนี้ไว้ในเมืองได้ไม่ท่านอย่าถามเลย ฌ้อเลงอ๋องได้ฟังฬ่อเจาก๋งพูดดังนั้นยิ่งมีความยินดีเป็นอันมาก จึงพาฬ่อเจาก๋งขึ้นไปตามบันไดเวียน ครั้นไปถึงเก๋งชั้นสอง ฌ้อเลงอ๋องจึงให้ชายรูปงามที่สำหรับใช้สอยยกเอาสุรากับเครื่องโต๊ะมาเลี้ยงฬ่อเจาก๋ง ฬ่อเจาก๋งเห็นชายรูปงามแต่งตัวเหมือนผู้หญิงเข้ามาทำจริตกิริยาดังอิสตรี รินสุราให้ฌ้อเลงอ๋องกับตัวกินดังนั้นก็นึกหัวเราะอยู่แต่ในใจ

ฝ่ายชายที่สำหรับทำเพลงมโหรีก็ดีดสีขึ้นพร้อมกับร้องเพลงภาษาเมืองฌ้อให้ฬ่อเจาก๋งฟังทุกประการ ฬ่อเจาก๋งก็ชมว่าเพราะนัก ฌ้อเลงอ๋องก็ชอบใจ ครั้นเสพสุราแล้วก็ชวนฬ่อเจาก๋งขึ้นไปหยุดฟังเพลงมโหรีและขับร้องทุกๆ ชั้นจนถึงชั้นสุด ฬ่อเจาก๋งฟังเสียงขับร้องและเพลงกระจับปี่สีซอก้องกังวานเย็นฉํ่าเฉื่อยเป็นที่สนุกสบาย และหอมตลบไปด้วยกลิ่นดอกไม้ที่ฌ้อเลงอ๋องให้ปลูกใส่กระถางไว้ตามชานชั้นเก๋งนั้นชื่นชอบอารมณ์ยิ่งนัก เปรียบประดุจถํ้าที่อยู่เทพยดา แล้วฬ่อเจาก๋งจึงว่ากับฌ้อเลงอ๋องว่า ซึ่งท่านพาข้าพเจ้าขึ้นมาบนเก๋งนี้ อุปมาเหมือนหนึ่งท่านพาข้าพเจ้าขึ้นไปชมที่อยู่แห่งเทพยดาบนสวรรค์ปานกัน ฌ้อเลงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งยินดีเป็นกำลัง ชี้ให้ฬ่อเจาก๋งดูของที่ทำไว้ต่างๆ

ครั้นขึ้นมาอยู่บนเก๋งนานแล้ว ก็พาฬ่อเจาก๋งลงมาจากเก๋งไปยังที่ว่าราชการ จึงคิดว่าฬ่อเจาก๋งมาถึงเมืองเราครั้งนี้ จะต้องหาของที่ดีให้จึงสมที่เราเป็นเมืองใหญ่ นิ่งตรึกตรองคิดขึ้นได้จึงให้ชาวคลังไปเอาคันเกาทัณฑ์อันชื่อว่าไตคุดเก๋งเป็นของดีสำหรับเมืองฌ้อนั้น ชาวคลังก็ไปเอามาให้ฌ้อเลงอ๋อง ฌ้อเลงอ๋องรับมาส่งให้ฬ่อเจาก๋ง จึงว่าเราให้ท่านไว้ถือสำหรับมือ แล้วสั่งขุนนางให้จัดที่กงก๊วนให้ฬ่อเจาก๋งอยู่อาศัย ฬ่อเจาก๋งก็คำนับลาพาทหารมาอยู่ยังกงก๊วน

ครั้นเพลารุ่งขึ้นฌ้อเลงอ๋องคิดเสียดายคันเกาทัณฑ์ขึ้นมา ด้วยเป็นของสำหรับเมือง จึงว่ากับอวนคีเกียงว่าเราหาทันได้คิดไม่ ให้เกาทัณฑ์กับฬ่อเจาก๋งไป ทำประการใดจึงจะได้กลับคืนมา อวนคีเกียงได้ฟังดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าจะไปคิดอ่านด้วยสติปัญญาเอาเกาทัณฑ์นี้กลับคืนมาให้แก่ท่านจงได้ ว่าแล้วก็คำนับลามาหาฬ่อเจาก๋งยังกงก๊วน จึงแกล้งอุบายถามว่า เพลาวันนี้ฌ้อเลงอ๋องพาท่านขึ้นไปเสพสุราบนเก๋ง เมื่อกลับลงมาได้ให้อะไรแก่ท่านบ้าง ฬ่อเจาก๋งจึงบอกว่าเจ้าเมืองฌ้อให้คันเกาทัณฑ์แก่เรา จึงหยิบเอาเกาทัณฑ์มาให้อวนคีเกียงดู อวนคีเกียงครั้นเห็นคันเกาทัณฑ์จึงแกล้งลุกขึ้นคำนับฬ่อเจาก๋ง แล้วสรรเสริญว่าซึ่งฌ้อเลงอ๋องให้คันเกาทัณฑ์มานี้ เพราะใจรักใคร่ท่านเป็นอันมาก

ฬ่อเจาก๋งจึงถามว่าคันเกาทัณฑ์เป็นของวิเศษประการใดท่านจึงว่าดังนี้ อวนคีเกียงจึงว่า อันคันเกาทัณฑ์นี้เป็นของดียิ่งนัก เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองอวด ยากได้ให้มาขอฌ้อเลงอ๋องก็หาให้ไม่ ซึ่งให้ท่านมานี้ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าฌ้อเลงอ๋องรักใคร่ แต่ว่าท่านเอาเกาทัณฑ์ไปไว้เมืองฬ่อแม้นสามหัวเมืองรู้ก็จะไปขอ ถ้าท่านไม่ให้ก็คงจะเกิดรบพุ่งกันขึ้น ก็จะต้องเป็นกังวลรักษาคันเกาทัณฑ์อันนี้อยู่

ฬ่อเจาก๋งได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงด้วย จึงคิดว่าเราจะเอาของสิ่งนี้ไปให้มีอันตรายแก่บ้านเมืองหาต้องการไม่ จำจะคืนให้ฌ้อเลงอ๋องเสีย คิดแล้วก็เอาเกาทัณฑ์นั้นส่งให้อวนคีเกียง สั่งว่าท่านจงไปบอกฌ้อเลงอ๋องว่าเราจะเอาของสิ่งนี้ไปไว้เมืองนั้นหาสมควรไม่ ด้วยเป็นของดีสมควรแต่เมืองใหญ่ที่มีบุญมาก เมื่อฌ้อเลงอ๋องให้นั้น ครั้นจะมิรับมาก็จะขัดอัชฌาสัยไป อวนคีเกียงก็ดีใจรับคันเกาทัณฑ์คำนับลาออกมาให้ฌ้อเลงอ๋อง แล้วแจ้งความตามที่พูดจาล่อลวงฬ่อเจาก๋งนั้นให้ฟังทุกประการ ฌ้อเลงอ๋องยินดีนักสรรเสริญอวนคีเกียงว่ามีสติปัญญาเป็นอันมาก

ครั้นอยู่มาหลายวัน ฬ่อเจาก๋งก็เข้าไปลาฌ้อเลงอ๋องจะกลับไปเมือง ฌ้อเลงอ๋องก็ให้ไป ฬ่อเจาก๋งก็ยกทหารกลับไปเมืองฬ่อ ฝ่ายหงอกือซึ่งเป็นที่จออิน ครั้นแจ้งว่าฌ้อเลงอ๋องให้คันเกาทัณฑ์กับฬ่อเจาก๋งแล้วคิดอุบายเอากลับคืนมาเสีย ก็ถอนใจใหญ่คิดว่าฌ้อเลงอ๋องนี้เห็นจะเป็นเจ้าเมืองไปไม่ตลอดเสียแล้ว ให้ไปหาหัวเมืองทั้งปวงก็หามีผู้ใดมาไม่ มาแต่ฬ่อเจาก๋งผู้เดียว ควรที่จะคิดรักใคร่ให้ข้าวของฬ่อเจาก๋งให้มาก นี่ให้แต่คันเกาทัณฑ์อันเดียว ยังคิดเอากลับคืนมาให้เสียวาจาไปได้ ฌ้อเลงอ๋องรักของของตัวอยู่ก็คงจะคิดโลภเอาของของเขามาเป็นประโยชน์ ถ้าเจ้าเมืองมีความโลภอยู่แล้วบ้านเมืองก็คงจะไม่มีความสุข หงอกือไม่สบายใจหารู้ที่จะทำประการใดไม่ ขณะนั้นพระเจ้าจิวเกงอ๋องเสวยราชย์ในเมืองตังจิวตั้งอยู่ในยุติธรรมมาได้สิบปี

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ