- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๕๙
ฝ่ายจิ้นเลก๋งตั้งแต่ชนะทัพเมืองฌ้อมาแล้ว ถือตัวว่าหัวเมืองทั้งปวงหาผู้ใดเสมอมิได้มีใจกำเริบหนักขึ้น สูเสียบขุนนางดูอัชฌาสัยเห็นจิ้นเลก๋งคิดการกำเริบดังนั้น ก็เข้าใจว่าเมืองจิ้นจะเกิดการจลาจล ครั้นจะว่ากล่าวทัดทานก็กลัวจิ้นเลก๋งอยู่ คิดตรึกตรองไปจนเป็นไข้ใจก็ป่วยลง อยู่มาสูเสียบตาย จิ้นเลก๋งตั้งสูกัวบุตรสูเสียบเป็นขุนนางที่ไตหูแทนบิดา ซูต๋งคนหนึ่งเป็นขุนนางนอกทำเนียบแต่เป็นคนช่างพูด จิ้นเลก๋งชอบอัชฌาสัย ครั้นจะเอามาตั้งแต่งขึ้นก็หามีตำแหน่งไม่ ซูต๋งจึงว่ากับจิ้นเลก๋งว่า ขุนนางและแซ่คับทั้งสามคนนั้นได้เป็นนายทหารถือตัวว่าพวกพ้องมาก มีใจกำเริบหาเกรงกลัวท่านไม่ ถ้าไม่คิดหักลงเสียก่อนนานไปเห็นจะมีเหตุ
จิ้นเลก๋งจึงตอบว่า พวกแซ่คับเขามิได้คิดร้ายต่อเรา ครั้นจะเอาโทษให้ถอดเสีย เขามิได้มีผิดคนนอกจะนินทาได้ ซูต๋งจึงตอบว่าเมื่อครั้งท่านไปทำศึกกับเมืองฌ้อในแดนเมืองเตง ตำบลเอียนเหลงนั้น คับจียกทัพไปล้อมเมืองเตงไว้ เกวียนต่อเกวียนเทียบกันเข้า ข้าพเจ้าเห็นคับจีพูดอยู่กับเจ้าเมืองเตงช้านาน เห็นจะเอาความในเมืองเราให้เมืองเตงไปบอกเจ้าเมืองฌ้อ ถ้าท่านจะให้รู้เป็นแน่ ขอให้เอาฮิมหุยลูกเจ้าเมืองฌ้อจับไว้ได้นั้นมาถามดูก็จะได้ความจริง จิ้นเลก๋งสั่งซูต๋งให้ไปหาฮิมหุยมา ครั้นซูต๋งไปถึงฮิมหุยว่า ท่านจะคิดกลับไปเมืองฌ้อหรือไม่ ฮิมหุยจึงว่า อันคิดจะคืนไปบ้านเมืองนั้นข้าพเจ้าคิดอยู่ทุกเวลา แต่เป็นความจนใจจะทำกระไรได้
ซูต๋งจึงว่าถ้าดังนั้นท่านฟังคำเราเถิด จะแก้ไขให้ได้กลับคืนไปเมือง ฮิมหุยมีความยินดีจึงว่า ท่านจะให้ทำประการใดข้าพเจ้าจะทำตาม ซูต๋งก็กระซิบสั่งเป็นความลับ แล้วว่าเจ้าเมืองจิ้นจะถามท่านถึงความคับจี ท่านจงว่าตามเราสอนเราจะให้ท่านกลับไป ฮิมหุยรับคำซูต๋งแล้วก็พากันเข้าไปหาเจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นเห็นซูต๋งพาฮิมหุยเข้ามาขับขุนนางทั้งปวงออกไปเสียแล้วถามฮิมหุยว่า เมื่อครั้งเรารบกันที่ตำบลเอียนเหลงนั้น คับจีเอาความลับให้เจาก๋งไปบอกกับเจ้าเมืองฌ้อเห็นท่านจะรู้อยู่ ความอันนี้ถ้าท่านบอกเราตามความจริงแล้วเราก็จะปล่อยให้ท่านกลับไปเมือง
ฮิมหุยจึงว่าตามคำซูต๋งสอนว่า ถ้าท่านไม่เอาโทษแล้วข้าพเจ้าก็จะบอกความจริง เจ้าเมืองจิ้นจึงว่าท่านให้ความจริงแล้วโทษอะไรจะมีกับท่าน ฮิมหุยจึงว่าพวกขุนนางแซ่คับกับก๋งจูเองขุนนางเมืองข้าพเจ้าเป็นคนชอบใจกัน มีหนังสือไปมาถึงกันเนืองๆ กล่าวโทษว่าท่านมิได้เชื่อถือขุนนางผู้ใหญ่ แล้วมิได้ตั้งอยู่ในความสัตย์ ราษฎรทั้งปวงได้เจ็บแค้นท่านอยู่ ต่างคนต่างคิดถึงซุนจิวหลานเสงก๋งซึ่งไปอยู่ ณ เมืองหลวง ถ้าเมืองฌ้อกับเมืองจิ้นรบกันเข้าอีกจะมีหนังสือไปถึงซุนจิวให้มาเข้ามือกับเมืองฌ้อ ข้าพเจ้ารู้แต่เท่านี้แต่การอื่นนอกกว่านั้นข้าพเจ้าหารู้ไม่ และฮิมหุยนั้นก็มิได้รู้จักกับซุนจิวแต่ซึ่งว่ากล่าวทั้งนั้นเป็นคำของซูต๋งสอน
ครั้นซูต๋งได้ยินฮิมหุยบอกกับเจ้าเมืองจิ้นตามคำของตัวก็ยินดี แล้วจึงว่ากับเจ้าเมืองจิ้นว่า เมื่อท่านไปทำศึกกับเจ้าเมืองฌ้อตำบลเอียนเหลงนั้นคับจีรบกับก๋งจูเองมิได้ยิงเกาทัณฑ์แต่สักดอกหนึ่ง เมื่อคับขีไปล้อมเจ้าเมืองเตงเล่า ก็แกล้งปล่อยกันเสีย เห็นว่าคับจีกับคับขีจะผูกรักกับเจ้าเมืองฌ้อเมืองเตงเหมือนคำฮิมหุยจริงอยู่แล้ว ถ้าท่านจะใคร่รู้ความแน่อีก จงใช้ให้คับจีไปเฝ้าพระเจ้าจิวเตงอ๋อง ณ เมืองตังจิว ทูลบอกว่าเรายกไปทำศึกมีชัยกับเมืองฌ้อ แล้วท่านจึงใช้ให้คนที่ไว้ใจได้ลอบตามไปดูอย่าให้คับจีรู้ ถ้าคับจีคิดคดต่อท่านจริงก็จะแวะไปบอกความลับกับซุนจิว
เจ้าเมืองจิ้นเห็นชอบด้วย จึงใช้ให้คับจีไปเฝ้าพระเจ้าจิวเตงอ๋องแล้วแต่งคนสนิทลอบไปดูตามคำซูต๋งว่า ซูต๋งจึงให้คนใช้ของตัวรีบไปบอกกับซุนจิวว่า ขุนนางและราษฎรในเมืองจิ้นนั้นแต่ล้วนพวกพ้องคับจีเป็นอันมาก บัดนี้ตัวคับจีเจ้าเมืองจิ้นใช้ให้มาหาพระเจ้าจิวเตงอ๋องทำไมจึงไม่ไปหาคับจีเล่า ถ้าไปข้างหน้าท่านได้กลับไปเมืองจิ้นจะได้รู้จักคับจีไว้ ซุนจิวได้ฟังคำคนใช้ซึ่งซูต๋งให้มานั้นเห็นชอบด้วย ครั้นคับจีไปถึงเมืองตังจิวเฝ้าพระเจ้าจิวเตงอ๋อง ทูลแจ้งเนื้อความทุกประการแล้วก็ลาออกมาอยู่ ณ กงก๊วนที่รับแขกเมือง ซุนจิวก็มาหาคับจีถึงที่อยู่ ถามถึงการไปเมืองจิ้นว่าเป็นประการใดบ้าง คับจีก็เล่าเนื้อความให้ฟังทุกประการ พูดกันอยู่แต่กลางวันจนเพลาเย็นแล้วคับจีก็ลากลับไป คนใช้ซึ่งเจ้าเมืองจิ้นให้ลอบตามคับจีมานั้นเห็นคับจีกับซุนจิวพูดกันสนิท คนใช้ก็รีบกลับมาก่อน แจ้งกับเจ้าเมืองจิ้นทุกประการ
เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังดังนั้นก็เห็นว่าคับจีเอาใจออกหากสมเหมือนคำฮิมหุยว่า คิดจะให้จับพวกแซ่คับฆ่าเสียแต่ยังไม่ได้ช่องแล้วคับจีก็ยังไม่กลับมา อยู่มาวันหนึ่งเจ้าเมืองจิ้นเสพสุราอยู่ด้วยนางข้างใน จึงสั่งเม่งเกียงซึ่งเป็นพ่อครัวให้ไปซื้อเนื้อมาทำขึ้นจะกินกับสุรา เม่งเกียงไปเที่ยวซื้อเนื้อในท้องตลาดหาได้ไม่ พอคับจีซึ่งไปเมืองตังจิวนั้นกลับมาจะใกล้ถึงเมืองจิ้น พบเขายิงเนื้อทรายได้ตัวหนึ่ง คับจีซื้อเอาใส่เกวียนมา ครั้นมาถึงตลาดในเมืองพอเม่งเกียงมาซื้อเนื้อ เห็นบนเกวียนคับจีมีเนื้ออยู่ตัวหนึ่ง เม่งเกียงมิได้ว่าประการใดฉวยเอาเนื้อไปจากเกวียน คับจีเห็นเม่งเกียงชิงเอาเนื้อไป คับจีขัดใจเอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกเม่งเกียงตายแล้วยกเนื้อใส่เกวียนกลับไปบ้าน มีผู้เอาความไปแจ้งกับเจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นโกรธนักแล้วว่า คับจีข่มเหงเราเห็นจะคิดร้ายต่อเราจริงจึงบังอาจทำได้ดังนี้ แล้วสั่งคนใช้ให้เร่งไปหาซูต๋งกับเอียงอีหงอเข้ามาปรึกษาว่า คับจีทำบังอาจดูหมิ่นเราจะให้เอาตัวมาฆ่าเสีย
ซูต๋งเอียงอีหงอคำนับแล้วจึงตอบว่า ท่านจะให้จับคับจีฆ่าเสียบัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าคับขีคับสิวก็จะมีใจเจ็บแค้นคิดการต่อไป ถ้าจะทำแล้วเสียทั้งสามคนทีเดียวจึงจะไม่มีอันตรายถึงท่านต่อไป เจ้าเมืองจิ้นเห็นชอบด้วยจึงสั่งซูต๋ง เอียงอีหงอ เตียงอีเกียวให้จัดทหารเป็นสามกอง แยกกันไปจับคับจีคับสิวในเพลากลางคืนวันนั้น เตียงอีเกียวคำนับเจ้าเมืองจิ้นแล้วจึงว่า อันแซ่คับทั้งสามนั้นมีฝีมือเข้มแข็งทแกล้วทหารก็มาก จะไปล้อมจับเอาซึ่งหน้านั้นเห็นแซ่คับจะหายอมตายไม่ก็คงจะได้รบกัน เกลือกเพลี่ยงพลํ้าลงการจะมิเสียไปหรือ ถ้าคิดทำอย่าให้รู้ตัวเห็นพอจะได้อยู่ ด้วยแซ่คับทั้งสามนั้นเคยออกไปดูซ้อมทหารทุกวันมิขาด จะจัดเอาพวกเราให้มาก ถืออาวุธซ่อนไว้ไปยืนรายกันอยู่ที่สนามหัดประจำตัวไว้ทุกคน แล้วจึงเลือกเอาทหารที่มีฝีมือเข้มแข็งไปสองพวก เหน็บอาวุธซ่อนไว้ในกลีบเสื้อให้ทำวิวาทชกตีกันแล้วเข้าไปฟ้องกับแซ่คับ ถ้าคับจีคับสิวจะมาถามห้ามปรามและไล่เลียงเอาผู้ผิด เห็นได้ทีแล้วจึงเอาอาวุธซึ่งซ่อนไว้นั้นออกช่วยกันฟันแทงพวกแซ่คับทั้งสามเสีย ถึงทหารทั้งปวงจะมาแก้กันพวกเราคุมเชิงอยู่สิ้น ข้าพเจ้าเห็นจะสำเร็จโดยง่าย
เจ้าเมืองจิ้นเห็นชอบด้วยจึงว่า ทหารเรามีอยู่คนหนึ่งมีกำลังมากแบกของหนักได้ถึงพันชั่ง เราจะให้ไปช่วยท่าน แล้วสั่งเซงหุดถุยให้ไปกับซูต๋ง ช่วยกันคิดอ่านฆ่าพวกแซ่คับเสียให้จงได้ ซูต๋ง เตียงอีเกียว เอียงอีหงอ เซงหุดถุย ก็ออกมาจัดแจงทหารไปทำตามซึ่งคิดไว้ ครั้นเพลาบ่าย คับสิว คับขี คับจี ออกไปท้องสนามหัด ซูต๋งก็ให้เซงหุดถุยกับเตียงอีเกียวเอาเลือดไก่ทาหน้าทำเป็นไล่ตีกันมา คับสิวคับขีมิได้รู้ว่าเป็นกลอุบายออกมาจะถามเอาสาเหตุ เซงหุดถุยก็เข้าไปใกล้ทำเป็นจะบอกเนื้อความ ครั้นเห็นได้ทีเอามีดซึ่งซ่อนไว้ในกลีบเสื้อนั้นแทงถูกที่สำคัญคับสิวล้มลง คับขีเห็นดังนั้นชักกระบี่เงื้อขึ้นฟันเซงหุดถุย เตียงอีเกียวเอากระบี่ขึ้นรับไว้แล้วเตียงอีเกียวเข้ารบกับคับขี เซงหุดถุยเหลียวไปเห็นคับสิวซึ่งล้มอยู่นั้นยังไม่สิ้นใจ เอากระบี่ฟันซ้ำคับสิวตายแล้วก็กลับมาช่วยเตียงอีเกียวรบอยู่กับคับขี
คับจีนั่งอยู่บนเกวียนครั้นเห็นวุ่นวายขึ้น ทิ้งคับขีเสียให้ทหารขับเกวียนหนีไป ยังแต่คับขีผู้เดียวเห็นจะสู้เซงหุดถุยเตียงอีเกียวมิได้ผละออกจะหนีพอพลาดล้มลง เซงหุดถุยเห็นได้ทีสะอึกเข้ามาเอามีดแทงคับขีตาย แล้วเตียงอีเกียวจึงว่ากับเซงหุดถุยว่า คับจีหนีจำจะตามจับตัวมาฆ่าเสียให้สิ้นพวก พอพบซูต๋งคุมทหารแปดร้อยเศษยกมา ซูต๋งเห็นเตียงอีเกียวกับเซงหุดถุยจึงร้องว่า เจ้าเมืองจิ้นสั่งเรามาให้เร่งจับพวกแซ่คับซึ่งเป็นขบถฆ่าเสียอย่าให้หนีไปได้ เตียงอีเกียวเซงหุดถุยได้ฟังดังนั้นก็ขับทหารรีบตามคับจีไป คับจีขับเกวียนหนีมานั้นเหลียวไปดูเห็นเตียงอีเกียวตามมา ก็ชักเกวียนวกเข้าในตรอก เตียงอีเกียวไล่มาทันโดดขึ้นบนเกวียนแทงคับจีตายแล้วตัดเอาศีรษะมา
ขณะนั้นซุนเอียมนายทหารรู้ว่าคับขีซึ่งเป็นที่ตองกุ๋นง่วนโซ่ยมีผู้ฆ่าตายแต่มิได้รู้ว่าผู้ใดฆ่า ซุนเอียมจะเข้าไปฟังดู ครั้นมาถึงกลางทางพบลวนจือ ซุนเอียมเล่าให้ฟังแล้วก็พากันรีบเข้าไปถึงประตูวัง พบซูต๋งยกทหารกลับมา ลวนจือกับซุนเอียมเห็นซูต๋งก็เข้าใจว่าเกิดเหตุครั้งนี้เพราะซูต๋ง จึงแกล้งร้องว่าไปผู้ใดบังอาจยกทหารเป็นกระบวนเข้ามาในที่ห้ามให้เร่งกลับออกไปเสียโดยเร็ว ทหารเลวทั้งปวงได้ยินลวนจือกับซุนเอียมร้องมาก็ตกใจยั้งอยู่ ซูต๋งก็ร้องประกาศกับทหารว่า เป็นพวกขบถร่วมคิดกับแซ่คับถ้าผู้ใดจับได้เราจะปูนบำเหน็จจงมาก ทหารทั้งปวงก็กรูกันเข้ามา ลวนจือซุนเอียมเห็นดังนั้นก็คิดจะหนีเข้าไปหาเจ้าเมืองจิ้น ทหารซูต๋งตามเข้าไปถึงที่ว่าราชการจับลวนจือซุนเอียมได้ พอซูต๋งเข้าไปถึงเจ้าเมืองจิ้นอยู่ข้างในได้ยินเสียงคนอื้ออึงขึ้นก็ออกมาที่ว่าราชการ พอเห็นซูต๋งเข้ามาจึงถามว่า พวกขบถก็จับฆ่าเสียแล้วยังไม่เลิกทหารอีกหรือ ซูต๋งคำนับแล้วบอกว่าลวนจือกับซุนเอียมสองคนนี้เป็นพวกร่วมคิดกับแซ่คับ ข้าพเจ้าจับได้ขอเอาไปฆ่าเสีย
เจ้าเมืองจิ้นจึงว่าการทั้งนี้แซ่คับคิดขบถต่างหาก ลวนจือซุนเอียมเขามิได้รู้เห็น ซึ่งจะว่าเป็นพวกขบถนั้นผิดไป เตียงอีเกียวยืนอยู่ใกล้เจ้าเมืองจิ้นจึงว่า แซ่ลวนกับแซ่คับเป็นพวกเดียวกัน ซุนเอียมเล่าก็เป็นปลัดคับขี บัดนี้ท่านให้ฆ่าพวกแซ่คับเสียทั้งสามคน ข้าพเจ้าเห็นว่าแซ่ลวนแซ่ซุนจะมีใจเจ็บแค้นท่าน ซึ่งละไว้นานไปก็จะมีเหตุแก่บ้านเมือง
เจ้าเมืองจิ้นจึงว่าลวนจือซุนเอียมเป็นคนเก่าหามีข้อผิดไม่ จะว่าคบคิดกันเป็นขบถก็มิได้มีผู้ใดว่ากล่าวยั่งยืน ซึ่งจะเอาไปฆ่าเสียนั้นเราทำมิได้ แล้วก็สั่งให้ปล่อยลวนจือซุนเอียมเสีย คงเป็นขุนนางทำราชการตามเดิม ลวนจือซุนเอียมยินดีนัก คุกเข่าลงคำนับแล้วกลับไปบ้าน ฝ่ายเตียงอีเกียวออกมาทอดใจใหญ่คิดแต่ในใจว่า เจ้าเมืองไม่ฆ่าลวนจือซุนเอียมเสีย นานไปก็จะถึงเจ้าเมืองจิ้น ตัวเราเห็นจะอยู่ไม่ได้ แล้วเตียงอีเกียวก็หนีไปเมืองไซหยง
ฝ่ายเจ้าเมืองจิ้น ครั้นลวนจือซุนเอียมออกไปแล้ว จึงให้หาซูต๋งกับพวกทหารซึ่งฆ่าแซ่คับเสียนั้นเข้ามาปูนบำเหน็จให้เงินทองเสื้อผ้าเป็นอันมาก แล้วเอาศีรษะคับสิวคับจีคับขีไปเสียบไว้ประตูเมืองอย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง พวกแซ่เดียวกันซึ่งเป็นขุนนางอยู่นั้นก็ให้ถอดเสียจากที่ แล้วตั้งซูต๋งเป็นที่เสียงกุ๋นง่วนโซ่ยแทนคับขี ตั้งเอียงอีหงอเป็นสิมกุ๋นแทนคับจี แล้วปล่อยฮิมหุยบุตรเจ้าเมืองฌ้อให้กลับไปเมือง ขณะเมื่อซูต๋งได้เป็นขุนนางนายทหารขึ้น ลวนจือกับซุนเอียมมีความน้อยใจจึงปรึกษากันว่า เราทั้งสองทำราชการมาก็ช้านานแล้ว ครั้งนี้ได้ความอัปยศกับซูต๋งนัก แล้วลวนจือซุนเอียมบอกป่วยเสียมิได้เข้ามาปรึกษาราชการด้วย
ฝ่ายซูต๋งมีใจกำเริบในยศศักดิ์ ถือตัวว่าเจ้าเมืองจิ้นรักใคร่ จะทำการสิ่งใดก็ทำแต่ตามอำเภอใจมิได้ยำเกรงขุนนางทั้งปวง ซูต๋งรู้ว่าเจ้าเมืองจิ้นมักผูกพันในการอิสตรี ซูต๋งจึงเข้าไปบอกว่า ข้างเขาอึงสานทิศใต้มีบ้านอันหนึ่ง นายบ้านชื่อชังลิสีมีเมียคนหนึ่งรูปงามหาหญิงใดเสมอมิได้ หนทางนั้นอยู่พ้นเมืองออกไปประมาณทางสองร้อยเส้นเศษ เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังมีความยินดีนักจึงว่าท่านจงพาเราไปดูเล่นสักหน่อย ซูต๋งก็ออกมาสั่งให้จัดม้าและเกวียนสำหรับเจ้าเมืองจิ้น แล้วเลือกเอาคนสนิทซึ่งเป็นพวกพ้องของตัวพาเจ้าเมืองจิ้นไปเที่ยวเล่นที่เขาอึงสาน แล้วไป ณ บ้านชังลิสี วันนั้นชังลิสีไม่อยู่ เมียชังลิสีรู้ว่าเจ้าเมืองจิ้นกับซูต๋งมา ครั้นจะนิ่งอยู่ก็คิดกลัวเจ้าเมืองจิ้นจึงออกไปต้อนรับด้วยขัดมิได้ เจ้าเมืองจิ้นเห็นเมียชังลิสีนั้นรูปงามสมเหมือนคำซูต๋งว่าให้มีใจนึกรักหญิงนั้นเป็นอันมาก มิได้คิดที่จะกลับคืนมาเมือง หยุดทหารค้างอยู่บ้านชังลิสีสามคืน
ฝ่ายซุนเอียมซึ่งบอกป่วยอยู่นั้น รู้ความว่าจิ้นเลก๋งออกไปค้างอยู่เขาอึงสานด้วยคิดรักเมียชังสิสี ซุนเอียมจึงมา ณ บ้านลวนจือเล่าความให้ฟัง แล้วว่าจิ้นเลก๋งรักษาแผ่นดินทุกวันนี้หาเป็นสัตย์ธรรมไม่ ตัวเราทั้งสองบอกป่วยอยู่มิได้เข้าไปปรึกษาราชการด้วย ท่านเข้าใจว่านอนอยู่เป็นสุขแล้วหรือ แต่ใจข้าพเจ้าหาสบายไม่ ด้วยซูต๋งคิดจะทำร้ายเราอยู่ นานไปก็จะหาความผิดมาพาลเอาเหมือนพวกแซ่คับสักวันหนึ่งเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าเห็นว่าหาพ้นอันตรายไม่ ซึ่งคำข้าพเจ้านี้ท่านจงตรองดูเถิด ลวนจือจึงว่าซึ่งท่านว่านั้นชอบแล้ว จะให้ทำประการใดจึงจะดี ซุนเอียมจึงว่าประเพณีขุนนางก็เป็นที่ทำนุบำรุงเจ้านาย ช่วยรักษาแผ่นดินเป็นสัตย์เป็นธรรม อาณาประชาราษฎร์จะได้อยู่เย็นเป็นสุข เมื่อจิ้นเลก๋งมิได้ตั้งอยู่ในความสัตย์ คิดแต่จะเบียดเบียนขุนนางอาณาประชาราษฎร์ดังนี้ ตัวท่านเป็นนายทหารผู้ใหญ่ ทหารทั้งปวงก็อยู่ในบังคับบัญชาท่าน ลูกหลานว่านเครือจิ้นเฮียนก๋งก็ยังอยู่ จงพิเคราะห์ดูเห็นว่าผู้ใดสัตย์ซื่อ นํ้าใจอารีพอจะเป็นที่พึ่งกับไพร่บ้านพลเมืองได้ เอามาตั้งให้เป็นเจ้าเมืองแทน คิดกำจัดจิ้นเลก๋งเสียจะไม่ได้เจียวหรือ
ลวนจือได้ยินดังนั้นก็ทอดใจใหญ่แล้วว่า เราเป็นข้าแผ่นดินทำราชการมาตั้งแต่ปู่แลบิดาก็ซื่อตรงต่อเจ้าหลายแผ่นดินมาแล้ว บัดนี้ตัวเราชั่วเองมิได้ตรึกตรองหาเจ้าที่ดีบ้านเมืองจึงเสียไป ต้องมาคิดการขบถอย่างนี้ ถึงมาตรว่าตัวตายไปแล้ว ชื่อเสียงก็จะเป็นที่ครหานินทากับคนทั้งปวง ครั้นจะมิได้คิดทำการเสียบ้านเมืองก็จะเป็นจลาจลขึ้น อาณาประชาราษฎร์ได้ความเดือดร้อน ลวนจือกับซุนเอียมปรึกษากันเสร็จแล้วก็จัดทหารเป็นกระบวนยกออกจากเมือง ไปตั้งอยู่ ณ เขาอึงสาน จึงเรียกเทียกุดเข้ามาสั่งให้คุมทหารสามร้อยไปตั้งสกัดอยู่ริมทาง แล้วลวนจือซุนเอียมไปหาเจ้าเมืองจิ้น ณ บ้านชังลิสีแจ้งความว่า ข้าพเจ้าป่วยอยู่พึ่งหายขึ้น รู้ว่าท่านออกมาอยู่ที่นี้ข้าพเจ้าจึงตามออกมา เหตุใดท่านจึงละบ้านเมืองเสียออกมาอยู่ในกลางป่าเป็นหลายคืนหาควรไม่ ไพร่พลเมืองจะระส่ำระสาย ที่เป็นคนพาลก็จะมีใจกำเริบ ข้าพเจ้าจึงพากันมาขอเชิญท่านกลับไปเมือง เจ้าเมืองจิ้นก็ยอมยกกลับมา สั่งให้ซูต๋งคุมทหารเดินนำหน้าเกวียนมา ลวนจือกับซุนเอียมคุมทหารตามมาข้างหลัง มาถึงริมทางเขาอึงสานทหารลวนจือซึ่งตามมาก็จุดประทัดสัญญาขึ้น เทียกุดคุมทหารซุ่มอยู่ได้ยินเสียงประทัด พอแลเห็นซูต๋งเดินหน้าเกวียนเจ้าเมืองจิ้นมา เทียกุดขับทหารออกไปเอากระบี่ฟันซูต๋งตาย
เจ้าเมืองจิ้นเห็นดังนั้นก็ตกใจพลัดตกลงจากเกวียน ลวนจือก็สั่งให้ทหารจับเอาตัวเจ้าเมืองจิ้นไปใส่กรงขังไว้ แล้วสั่งทหารทั้งปวงให้สงบตั้งมั่นอยู่ที่นั้น ลวนจือจึงปรึกษากับซุนเอียมว่าเราทำการครั้งนี้เกินอยู่ สูกัวฮันเคียดเขาจะติโทษได้ เราคิดจะให้ไปบอกว่าเจ้าเมืองจิ้นให้หาตัวสูกัวฮันเคียดมา แล้วเราจึงจะชี้แจงข้อความให้ฟังเห็นพอจะลงใจด้วยเราอยู่ ซุนเอียมเห็นชอบด้วยก็จัดนายทหารสองคนคุมเกวียนสองเล่มไปรับสูกัวฮันเคียดตามซึ่งคิดไว้
ครั้นคนใช้มาถึงเมืองจิ้นไป ณ บ้านสูกัวบอกว่าเจ้าเมืองจิ้นให้หาท่านกับฮันเคียดออกไป ณ เขาอึงสาน สูกัวจึงว่าจะให้หาเราไปนั้นท่านรู้ว่าธุระอันใดหรือ คนใช้มิรู้ที่จะบอกประการใดก็นิ่งอยู่ สูกัวคิดแคลงใจก็ให้คนสนิทไปสืบดูที่บ้านฮันเคียด คนใช้กลับมาบอกว่าฮันเคียดบอกป่วยหาไปไม่ สูกัวจึงคิดว่าฮันเคียดเป็นคนมีปัญญา ซึ่งไม่ไปนั้นจะเห็นอย่างไรกระมัง สูกัวก็บอกกับผู้ซึ่งมาหาว่าเราป่วยอยู่ยังไปมิได้ คนใช้ก็กลับไปบอกลวนจือทุกประการ
ลวนจือแจ้งความดังนั้นก็ไปบอกกับซุนเอียมว่า ซึ่งให้หาฮันเคียดสูกัวไม่มานั้นเราจะคิดประการใดดี ซุนเอียมจึงว่าการทั้งปวงซึ่งเราทำทั้งนี้อุปมาเหมือนขึ้นขี่อยู่บนหลังเสือ ซึ่งจะคิดกลับลงเสียนั้นยังจะได้หรือ ลวนจือได้ยินซุนเอียมว่าดังนั้นก็เข้าใจมิได้ตอบประการใด ครั้นคํ่าลงจึงใช้เทียกุดเอายาพิษใส่ในสุราแลของกินเอาไปให้เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นกินสุราและของเข้าไปก็ขาดใจตาย แล้วเอาศพไปฝังไว้ ณ ที่ประตูทิศตะวันออก
ฝ่ายสูกัวฮันเคียดกับขุนนางทั้งปวงซึ่งอยู่ในเมืองรู้ข่าวว่าเจ้าเมืองจิ้นตาย ต่างคนต่างชวนกันมา ณ เขาอึงสาน ไปคำนับศพเจ้าเมืองจิ้นตามประเพณี ขณะเมื่อไปคำนับศพนั้น ขุนนางผู้ใดจะได้ไต่ถามว่าเจ้าเมืองจิ้นตายด้วยเหตุอย่างไรนั้นหามิได้ ครั้นคำนับศพแล้วต่างคนก็พร้อมกันไป ณ ที่ลวนจือซุนเอียมอยู่นั้น ลวนจือจึงปรึกษาแต่บรรดาขุนนางและทหารทั้งปวงว่า จิ้นเลก๋งตายแล้วเมืองจิ้นว่างเปล่าอยู่หามีเจ้าเมืองไม่ ลูกหลานพี่น้องจิ้นเลก๋งยังมีมาก จำเราจะเลือกเอาที่มีนํ้าใจกว้างขวางโอบอ้อมอารีเป็นสัตย์เป็นธรรมมาตั้งเป็นเจ้าเมืองแทน
ซุนเอียมจึงว่าเหตุทั้งนี้เพราะเจ้าเมืองจิ้นใจเบาฟังคำซูต๋ง ฆ่าแซ่คับนายทหารเสียสามคน แล้วพาโลว่าคับสิวจะเอาซุนจิวมาเป็นเจ้าเมืองจิ้น ซึ่งปากของซูต๋งว่านั้นอุปมาเหมือนให้พรซุนจิว ข้าพเจ้าคิดจะไปรับซุนจิวที่เมืองหลวงมาเป็นเจ้าเมืองจิ้นนั้น ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางและทหารทั้งปวงต่างคนต่างมีความยินดียอมตามคำซุนเอียมว่า ลวนจือก็สั่งให้จัดแจงม้าและเกวียนให้ขุนนางไปรับซุนจิว ณ เมืองหลวง ขณะนั้นอายุซุนจิวได้สิบสี่ปี เป็นคนรูปร่างงามประกอบไปด้วยสติปัญญาเป็นอันมาก ทั้งน้ำใจก็กว้างขวางอารี ครั้นเห็นซุนหลองมาก็ถามถึงราชการในเมืองจิ้น ซุนหลองก็ชี้แจงให้ฟังทุกประการแล้วว่าขุนนางทั้งปวงพร้อมใจกันมาเชิญท่านไปเป็นเจ้าเมือง ขอท่านจงรีบไปโดยเร็วเถิด
ซุนจิวมีความยินดีจึงว่า เมื่อเราเล็กอยู่นั้นได้อาศัยตันเสียงก๋งช่วยทำนุบำรุงบุญคุณอยู่กับเรามาก ว่าแล้วซุนจิวก็ไป ณ บ้านตันเสียงก๋งว่าข้าพเจ้าจะลากลับไปอยู่เมืองของข้าพเจ้าแล้ว ตันเสียงก๋งให้พรเป็นอันมาก ซุนจิวก็คำนับตันเสียงก๋งแล้วก็พาซุนหลองมา ณ เมืองจิ้น ครั้นมาถึงตำบลเซงหงวนกลางทาง เห็นลวนจือ ซุนเอียม สูกัว ฮันเคียด กับขุนนางนายทหารทั้งปวงมาคอยรับอยู่ที่นั้น ซุนจิวก็ลงจากเกวียนปราศรัยกับขุนนางทั้งปวงว่า เมื่อเราตกอยู่ ณ เมืองหลวงนั้นก็เข้าใจว่าตัวนี้เป็นคนสิ้นวาสนาแล้วหาได้คิดที่จะกลับคืนมาไม่ บัดนี้ท่านทั้งปวงพร้อมใจกันไปรับมาจะให้เป็นเจ้าเมือง มิให้เสียอย่างธรรมเนียมแผ่นดินนั้นขอบใจนัก เราก็คงจะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เป็นสัตย์เป็นธรรม แต่ท่านทั้งปวงอย่ามีความน้อยใจเลย อันประเพณีผู้ซึ่งจะรักษาแผ่นดินต้องมีอาญาสิทธิ์ ถ้าผู้ใดทำผิดก็จะเอาโทษตามผิด ถ้าผู้ใดทำชอบก็จะทำนุบำรุงตามสมควร ท่านทั้งปวงจะต้องอยู่ในบังคับบัญชาฟังถ้อยคำสั่งสอนเราจึงจะยอม ถ้าจะเอาชื่อมาตั้งแต่พอเป็นเจว็ดเหมือนจิวภู ท่านทั้งปวงจะทำการสิ่งใดก็ทำแต่ตามอำเภอใจ มิได้บอกกล่าวให้รู้นั้นเราไม่ยอมเป็นเจ้าเมืองแล้วท่านจงหาที่พึ่งอื่นเถิด
ขุนนางทั้งปวงก็คุกเข่าลงคำนับต่างคนต่างร้องพร้อมกันขึ้นว่าข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ยอมทำตามท่านทุกประการ ซุนจิวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี กลับขึ้นบนเกวียนให้ทหารนำเข้ามา ครั้นเมื่อจะเข้ากำแพงเมือง ซุนจิวแวะเข้าที่ศาลเจ้าไทเปียวคำนับศพปู่ย่าตายายแล้วก็เข้าไปในเมือง ขุนนางทั้งปวงตามเข้าไปพร้อมกันที่ว่าราชการ จึงตั้งซุนจิวเป็นจิ้นเจาก๋งเป็นใหญ่ในเมืองจิ้นแล้ว จึงให้หาตัวเซงหุดถุย เอียงอีหงอ เข้ามาทั้งสองคนต่อหน้าขุนนางทั้งปวงว่า ตัวทำราชการมิได้ทำนุบำรุงเจ้าโดยสุจริต มีแต่จะยุยงให้ทำความชั่วนั้น โทษของตัวจะเป็นประการใด เซงหุดถุย เอียงอีหงอ ก้มหน้านิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด จิ้นเจาก๋งก็สั่งให้เอาเซงหุดถุยกับเอียงอีหงอไปฆ่าเสียกลางตลาดมิให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่างต่อไป เทียกุดเป็นผู้ลงมือฆ่าจิ้นเลก๋งนั้นก็ให้เอาไปฆ่าเสียด้วย
ฝ่ายลวนจือเห็นดังนั้นก็ตกใจ ครั้นกลับไปถึงบ้านเพลากลางคืนวันนั้นนอนไม่หลับมีความวิตกนัก อยู่วันหนึ่งลวนจือเข้าไปหาจิ้นเจาก๋งว่า ทุกวันนี้ตัวข้าพเจ้าชราแล้ว สติอารมณ์ฟั่นเฟือนมักหลงลืม ซึ่งจะบังคับบัญชาขุนนางและทหารทั้งปวงต่อไปนั้น เกลือกจะเสียการของท่าน จะขอให้ฮันเคียดเป็นที่ข้าพเจ้า จิ้นเจาก๋งได้ฟังดังนั้นก็ยอมตามคำลวนจือว่า ลวนจือก็ลากลับไปบ้านแล้วคิดเสียใจไม่เป็นกินเป็นนอน ล้มไข้ลงหน่อยหนึ่งก็ตาย
ฝ่ายจิ้นเจาก๋ง ครั้นลวนจือขุนนางผู้ใหญ่ตายแล้ว จึงตั้งฮันเคียดให้เป็นที่ตงกุ๋นแทนลวนจือ ฮันเคียดจึงคุกเข่าลงคำนับว่า ซึ่งท่านเมตตาให้ข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้ใหญ่นั้นคุณหาที่สุดมิได้ แต่พวกผู้ซึ่งมีความชอบต่อแผ่นดินยังมีอยู่ ซุนจิวถึงถามว่า ผู้ใดซึ่งมีความชอบมาก ท่านจงชี้แจงให้เราฟัง ฮันเคียดจึงบอกว่า อันขุนนางมีความชอบมาแต่หลังนั้นผู้ใดหาเหมือนแซ่เตียวไม่ ด้วยเตียวสวยทำราชการมาแต่จิ้นเฮียนก๋ง เตียวตุนบุตรเตียวสวยทำราชการมากับเสงก๋ง มีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เมืองจิ้นได้เป็นเมืองเอกขึ้นก็เพราะแซ่เตียวทำนุบำรุงมา ฮันเคียดก็เล่าความซึ่งแซ่เตียวทำความชอบสืบลำดับแผ่นดินเมืองจิ้นมา จนโต๊ะไงเกียยุยงให้จิ้นเลก๋งฆ่าลูกหลานเตียวตุนเสีย ยังเหลือแต่เตียวบู๊บุตรเตียวซกให้จิ้นเจาก๋งฟังทุกประการ แล้วว่าบัดนี้ท่านได้รักษาแผ่นดินแล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุข จะเลี้ยงขุนนางเล่าก็เลือกเอาที่เป็นสัตย์เป็นธรรม ซึ่งท่านให้เอาโทษเอียงอีหงอ เซงหุดถุย เทียกุดนั้นก็ชอบอยู่แล้ว แต่ครั้งแผ่นดินเสงก๋งนั้น แลโต๊ะไงเกียเป็นคนสอพลอประจบประแจงยุให้ฆ่าขุนนางผู้มีความชอบต่อแผ่นดินเสีย เหตุใดท่านมิเอาโทษเล่า
เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังดังนั้นจึงว่า ความอันนี้ท่านผู้ใหญ่แต่ก่อนได้เล่าให้ฟัง เราก็ยังจำไว้ในใจมั่นอยู่หาลืมไม่ แล้วจิ้นเจาก๋งจึงถามฮันเคียดว่าบัดนี้เตียวบู๊นั้นอยู่แห่งใด ฮันเคียดจึงบอกว่า อยู่ที่เขาเมงสานอายุได้สิบห้าปี เจ้าเมืองจึงสั่งฮันเคียดว่า ท่านจงไปหาตัวเตียวบู๊มาให้เราเถิด ฮันเคียดก็คำนับลาเจ้าเมืองจิ้นแล้วกลับออกมา ณ บ้าน สั่งคนใช้ให้จัดแจงเกวียน ตัวฮันเคียดก็ขึ้นขี่เกวียนไปรับเตียวบู๊ที่เขาเมงสาน
ฝ่ายเตียวบู๊รู้ว่าเจ้าเมืองจิ้นให้มาหา เข้าไปแจ้งความกับเทียเอ๋ง เทียเอ๋งมีความยินดีจึงว่า เราก็จะเข้าไปคำนับเจ้าเมืองจิ้นด้วย ฮันเคียดก็พาเตียวบู๊กับเทียเอ๋งมาที่สินหงอเสีย เทียเอ๋งจึงว่า แต่ก่อนเมื่อแรกออกไปนั้นออกจากประตูหงอเสียเก่า บัดนี้เรามาเข้าประตูหงอเสียใหม่ ดูประหนึ่งบ้านเมืองจะกว้างขวางเป็นสุขกว่าแต่ก่อน เตียวบู๊ได้ฟังเทียเอ๋งว่าดังนั้น คิดถึงบิดามารดานํ้าตาตก ครั้นเข้ามาถึงในเมืองฮันเคียดก็พาเข้าไปหาเจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นเห็นหน้าเตียวบู๊ก็มีใจเมตตาจึงเอาเตียวบู๊ซ่อนไว้ที่ข้างในแล้วเจ้าเมืองจิ้นแกล้งทำป่วย ให้ฮันเคียดไปบอกแต่บรรดาขุนนางเก่าใหม่เข้าไปเยี่ยมบนข้างใน เจ้าเมืองจิ้นเห็นขุนนางเข้ามาพร้อมกันจึงปราศรัยว่า ท่านทั้งปวงซึ่งเราไม่สบายนั้นใช่จะเจ็บป่วยสิ่งไรนั้นหามิได้ แต่ขุ่นมัวอยู่ในอารมณ์ด้วยความอันหนึ่งหาจะแจ้งไม่ เราจึงมีความวิตกไม่สบาย ขุนนางทั้งปวงจึงถามว่าท่านสงสัยความข้อใด
เจ้าเมืองจิ้นจึงว่า เตียวสวย เตียวตุนพ่อลูกได้ทำราชการมีความชอบมาถึงสองแผ่นดิน เราคิดขอบใจนัก หาควรจะให้สูญแซ่เสียไม่ จะทำนุบำรุงแซ่เตียวขึ้นไว้ผู้ใดจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงจึงว่าซึ่งจะรักษาแผ่นดินสืบไปและคิดถึงแซ่เตียวว่ามีความชอบได้ทำนุบำรุงแผ่นดินแต่หลังนั้นควรนัก แต่ว่าแซ่เตียวนั้นเขาฆ่าเสียจนสินแซ่ถึงสิบห้าปีมาแล้ว หาผู้ใดที่จะมาเป็นขุนนางไม่ เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังดังนั้นจึงเรียกเตียวบู๊ออกมา และให้คำนับขุนนางแต่บรรดาอยู่ในที่นั้น เตียวบู๊ก็ออกไปตามเจ้าเมืองจิ้นสั่ง ขุนนางทั้งปวงเห็นประหลาดจึงถามฮันเคียดว่าคนนี้เป็นบุตรผู้ใด ฮันเคียดจึงบอกว่าลูกเตียวซกชื่อเตียวบู๊ ที่โต๊ะไงเกียเอาไปฆ่าเสียนั้นมิใช่ลูกเตียวซกเป็นลูกเทียเอ๋งดอก เตียวบู๊คนนี้เทียเอ๋งเอาไปซ่อนเลี้ยงไว้ที่เขาเซียงซัวจึงได้รอดอยู่
ขณะนั้นโต๊ะไงเกียอยู่ที่นั่นด้วย ได้ยินฮันเคียดว่าดังนั้นขวัญไม่อยู่กับตัวหาสติมีไม่ ก้มหน้าหมอบลงคำนับเจ้าเมืองจิ้นอยู่กับที่ เจ้าเมืองจิ้นจึงว่าการทั้งนี้โต๊ะไงเกียคิดทำเอง ถ้าเราไม่ฆ่าโต๊ะไงเกียเสียก็ไม่แก้แค้นของแซ่เตียวผู้มีความชอบต่อแผ่นดินไปได้ แล้วสั่งทหารซ้ายขวาให้เอาโต๊ะไงเกียไปตัดศีรษะเสียบเสีย จึงให้ฮันเคียดกับเตียวบู๊ยกทหารไปล้อมบ้านโต๊ะไงเกีย จับแต่บรรดาสมัครพรรคพวกโต๊ะไงเกียฆ่าเสียให้สิ้น ทหารซ้ายขวาฮันเคียดเตียวบู๊ก็ไปตามเจ้าเมืองจิ้นสั่ง เตียวบู๊คิดถึงบิดาก็ยิ่งมีความแค้นเป็นอันมาก จึงเข้าไปคำนับเจ้าเมืองจิ้นว่า ข้าพเจ้าจะขอเอาศีรษะโต๊ะไงเกียซึ่งเสียบไว้นั้นไปเซ่นที่ฝังศพบิดา เจ้าเมืองจิ้นก็ยอมให้ ขณะนั้นแต่บรรดาราษฎรทั้งปวงรู้ว่าโต๊ะไงเกียตายต่างคนต่างดีใจ
ฝ่ายเจ้าเมืองจิ้นครั้นฆ่าโต๊ะไงเกียกับพรรคพวกโต๊ะไงเกียเสียแล้วจึงตั้งเตียวบู๊เป็นขุนนางผู้ใหญ่แทนที่โต๊ะไงเกีย แล้วเอาที่ตึกที่นาและทรัพย์สิ่งของของแซ่เตียว ซึ่งตกอยู่กับโต๊ะไงเกียนั้นคืนให้เตียวบู๊ทั้งสิ้น แล้วเจ้าเมืองจิ้นให้หาเทียเอ๋งเข้ามาว่าท่านเป็นผู้ใหญ่มีใจสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินช่วยทำนุบำรุงเลี้ยงเตียวบู๊มานั้นขอบใจนัก เราจะตั้งให้ท่านเป็นขุนนาง
เทียเอ๋งจึงตอบว่า ข้าพเจ้ากับกงซุนกิฉินเป็นเพื่อนชอบใจกัน เมื่อครั้งเป็นโทษออกจากขุนนางนั้นได้ให้ความสัญญากันไว้ว่า ตกไหนจะตกตามกันกับแซ่เตียว ซึ่งสู้เลี้ยงเตียวบู๊มาด้วยกัน ครั้นเมื่อกงซุนกิฉินตายข้าพเจ้ามิได้ตายตามไปนั้น เพราะว่าเตียวบู๊ยังเล็กอยู่หาผู้ใดจะบำรุงรักษาไม่ บัดนี้เตียวบู๊ก็เติบใหญ่ ท่านเมตตาเอามาตั้งเป็นขุนนาง ทั้งได้แก้แค้นของบิดาเตียวบู๊แล้วข้าพเจ้าก็สิ้นความวิตกจะขอตายตามกงซุนกิฉินไป ว่าแล้วเทียเอ๋งก็เอากระบี่เชือดคอตายในที่นั้น
เตียวบู๊เห็นดังนั้นก็เข้าอุ้มศพเทียเอ๋งร้องไห้แล้วว่ากับเจ้าเมืองจิ้นว่า ข้าพเจ้าจะขอแทนคุณเทียเอ๋ง แต่งการศพไปฝังไว้เขาหุนต๋งสานที่ฝังศพกงซุนกิฉินด้วยกัน เจ้าเมืองจิ้นยอมตามคำทุกประการ ครั้นเตียวบู๊จัดแจงการศพเสร็จแล้วก็นุ่งขาวห่มขาวอยู่สามปีแทนคุณเทียเอ๋งเหมือนหนึ่งบิดา เจ้าเมืองจิ้นให้สืบหาแซ่เตียวมาชุบเลี้ยง แจ้งว่าเตียวเอ๋งปู่น้อยเตียวบู๊ไปอยู่เมืองซอง จึงให้ไปรับมาตั้งให้เป็นขุนนาง ซุนจิวได้เป็นเจ้าเมืองจิ้นฆ่าผู้ซึ่งกระทำความผิดเสียแล้ว ให้บำเหน็จรางวัลแก่ผู้มีความชอบ เลือกหาผู้มีสติปัญญามาตั้งเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน ผู้ซึ่งมีกำลังและฝีมือมาตั้งเป็นขุนนางฝ่ายทหาร แต่บรรดาขุนนางเก่าซึ่งมิได้มิข้อผิดนั้นก็ให้คงที่เป็นขุนนางทำราชการตามเดิม แล้วสั่งให้ชำระคนโทษทั้งปวง ที่โทษเบาให้ปล่อยเสียที่โทษหนักให้เบาขึ้น แต่บรรดาส่วยสาอากรที่เคยเรียกอยู่นั้นให้ลดลง เรียกเอาแต่กึ่งหนึ่ง เมืองจิ้นครั้งนั้นขุนนางและราษฎรมีความสุขเป็นอันมาก
ฝ่ายเมืองซอง เมืองฬ่อ และหัวเมืองทั้งปวงรู้ว่าซุนจิวได้เป็นเจ้าเมืองจิ้นตั้งอยู่ในความสัตย์ ทั้งนํ้าใจก็โอบอ้อมอารี ทแกล้วทหารไพร่บ้านพลเมืองรักใคร่มาก จึงแต่งทูตให้มาผูกรักเป็นไมตรีไว้กับเมืองจิ้น แต่เจ้าเมืองเตงซึ่งไปพึ่งเมืองฌ้อนั้น คิดถึงคุณเจ้าเมืองฌ้อว่าได้ยกทหารไปช่วยจนเสียตาข้างหนึ่งเพราะถูกเกาทัณฑ์ทหารเมืองจิ้น เจ้าเมืองเตงแค้นเมืองจิ้นอยู่จึงหามาเป็นไมตรีไม่
ฝ่ายเจ้าเมืองฌ้อครั้นรู้ว่าจิ้นเลก๋งตาย มีความยินดีคิดจะยกทัพไปแก้แค้นเมืองจิ้น พอรู้ความว่าซุนจิวได้รักษาแผ่นดินจิ้น นํ้าใจกว้างขวางอารี ใช้คนที่มีสติปัญญา บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข ขุนนางและทหารทั้งปวงตั้งใจรักษาแผ่นดินโดยสุจริต เห็นเมืองจิ้นจะได้เป็นเอก เจ้าเมืองฌ้อยิ่งเกรงซุนจิวมากขึ้นก็มิได้คิดยกทัพไปตีเมืองจิ้น แล้วหาแต่บรรดาขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษาว่า เราจะยกไปตีเมืองทั้งปวง อย่าให้เมืองจิ้นเป็นเอกขึ้นได้ผู้ใดจะเห็นประการใด ขุนนางและทหารทั้งปวงต่างคนต่างนิ่งอยู่สิ้น เจ้าเมืองฌ้อเห็นขุนนางและทหารนิ่งอยู่ จึงถามก๋งจูเองยิมฮูว่าท่านทั้งสองยังมีอุบายประการใดบ้าง
ยิมฮูจึงว่าอันหัวเมืองเหล่านี้ เมืองใดหาใหญ่เท่าเมืองซองไม่ เมืองจิ้นอยู่ข้างเหนือ เมืองหงออยู่ข้างใต้กระหนาบเมืองซองอยู่ ซึ่งจะคิดตัดมิให้เมืองจิ้นเป็นเอกนั้นจำจะตีเมืองซองเสียให้ได้ก่อน อันเมืองซองนั้นทแกล้วทหารมั่นคงมากก็จริง แต่เห็นจะทำได้ด้วยอีเจีย เหียงอุยหยิน ลิบจู เอี๋ยงไต อีฮู ห้าคนนี้เป็นนายทหารอยู่ ณ เมืองซอง ไม่ชอบกับอิวสิวฮ้อหงวนซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน บัดนี้มาอยู่ ณ เมืองเรา ถ้าท่านให้คนเหล่านี้คุมทหารไปตีเมืองซองเห็นจะได้โดยง่าย ด้วยนายทหารห้าคนรู้การในเมืองสันทัด รู้ทางเบาะแสที่จะเข้าออก ซึ่งเราเอาคนของเขาเข้าไปตีเมืองเขาเองดังนี้ก็เป็นอุบายอย่างหนึ่ง ประการหนึ่งเมืองจิ้นเปลี่ยนเจ้าเมืองใหม่ ผู้คนยังระส่ำระสายอยู่ไม่ปรกติ ถ้าไม่ยกกองทัพมาช่วยเมืองซองได้ ทางไมตรีเมืองจิ้นกับเมืองซองก็ขาดกัน ถ้าเจ้าเมืองจิ้นยกมาช่วยเล่า ก็จะรบกับนายทหารห้าคนคอยดูว่าผู้ใดจะแพ้แลชนะ จึงค่อยผ่อนตามต่อภายหลัง อันนี้ก็เป็นกลอุบายอีกอย่างหนึ่ง ฌ้อกังอ๋องได้ฟังยิมฮูว่าดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงให้นายทหารห้าคนเป็นนายกอง แล้วว่าเราจะให้ท่านทั้งปวง คุมทหารห้ากองเป็นทัพหน้านำทางไปตีเมืองซอง ท่านจงตั้งใจทำโดยสุจริต ถ้าสำเร็จราชการแล้วจะเลี้ยงท่านให้ถึงขนาด นายทหารทั้งห้าคนคุกเข่าลงคำนับแล้วว่า ซึ่งใช้ข้าพเจ้าครั้งนี้จะขอทำการสนองคุณท่าน ทั้งจะได้แก้แค้นอิวสิวฮ้อหงวนด้วย ฌ้อกังอ๋องได้ฟังจึงว่าแก่ยิมฮูว่า ท่านจงเป็นที่ไตเจียงกุ๋นแม่ทัพใหญ่ เราก็จะยกกำกับทัพไปด้วย ยิมฮูกับนายทหารทั้งห้าก็ออกมาจัดแจงตามเจ้าเมืองฌ้อสั่ง
ขณะนั้นพระเจ้าจิวเตงอ๋องเสวยราชสมบัติได้สิบสามปี เป็นเดือนยี่ข้างขึ้น ฌ้อกังอ๋องยกกองทัพไปตีเมืองซอง ให้ม้าใช้ถือหนังสือไปให้เจ้าเมืองเตงยกทัพมาบรรจบ ณ เมืองซอง ทหารห้าคนเป็นทัพหน้านำทาง ครั้นยกล่วงเข้ามาตำบลแพเสียด่านเมืองซอง อีเจียกับทหารทั้งปวงก็ยกเข้าตีเมืองแพเสีย ทหารซึ่งเจ้าเมืองซองให้มารักษาเมืองแพเสียอยู่นั้นหาทันจะจัดแจงไม่ ก็แตกกระจัดกระจายหนีไป ทหารเมืองฌ้อก็ยกเข้าตั้งอยู่ในกำแพงเมือง
ฝ่ายเจ้าเมืองซองรู้ว่าฌ้อกังอ๋องยกทหารมาตีเมืองแพเสียได้ก็ตกใจ จัดแจงให้ทหารขึ้นหน้าที่เชิงเทินรักษาเมืองมั่นไว้ ฝ่ายเจ้าเมืองฌ้อ ครั้นตีตำบลแพเสียได้แล้วจึงปรึกษายิมฮู ให้หาอีเจียกับทหารสี่นายเข้ามาว่า ซึ่งเรายกมาทำกับเมืองซองครั้งนี้ เมืองซองอยู่หว่างกลางเมืองจิ้นกับเมืองหงอกระหนาบอยู่ เมืองจิ้นกับเมืองหงอชอบพอกันจะใช้คนไปมาหากันต้องเดินทางนี้ ซึ่งเรามาตั้งได้ที่แพเสียนี้ก็เป็นที่สำคัญอยู่ ถ้าจะยกเข้าตีเมืองซองหนทางก็ไปสะดวก ถ้าจะตั้งมั่นอยู่แต่งแต่ทหารออกลาดตระเวนก็เหมือนตัดหนทางมิให้เมืองจิ้นกับเมืองหงอไปมาหากัน ตัวเราจะยกกลับไปเมือง ท่านจงรักษาแพเสียให้มั่นคง ถ้าเมืองจิ้นกับเมืองซองจะยกมาทำประการใดก็อย่าออกสู้รบ ให้จัดแจงรักษามั่นคงไว้แล้วมีหนังสือมาถึงเราโดยเร็ว จะกะเกณฑ์ทหารเพิ่มเติมมาตีเมืองซองให้จงได้ เจ้าเมืองฌ้อสั่งการอีเจียและพวกทหารสี่คนเสร็จแล้วเอาเกวียนรบให้ไว้สามร้อยเล่ม ฌ้อกังอ๋องกับยิมฮูก็ยกกลับไปเมือง
ฝ่ายเจ้าเมืองซองครั้นรู้ว่าฌ้อกังอ๋องยกกลับไปเมือง ทหารซึ่งรักษาแพเสียอยู่นั้นน้อยตัว จึงให้ฮัวซิวโลเป็นแม่ทัพคุมทหารยกไปล้อมแพเสียไว้ พวกอีเจียทั้งห้าคนก็ตั้งมั่นอยู่ในเมือง แล้วให้คนใช้ถือหนังสือไปแจ้งความกับเจ้าเมืองฌ้อ ฌ้อกังอ๋องแจ้งดังนั้นจึงหาก๋งจูเองเข้ามาสั่งว่า ท่านเร่งคุมทหารยกไปช่วยแพเสียโดยเร็วก่อน ภายหลังจึงให้ยิมฮูคุมทหารยกไปตีเอาเมืองซองทีเดียว ก๋งจูเองก็รับคำเจ้าเมืองฌ้อแล้วออกมาจัดแจงทหารยกไป ครั้นถึงเมืองแพเสียเห็นกองทัพเมืองซองล้อมเมืองแพเสียไว้ ก๋งจูเองก็ขับทหารให้ระดมตีเข้าไป
ฝ่ายฮัวซิวโลรู้ว่ากองทัพเมืองฌ้อมาช่วยแพเสีย ก็แบ่งทหารออกจากที่ล้อมไปรับทัพเมืองฌ้อ พอกองทัพมาปะทะกันเข้า ทหารเมืองฌ้อก็เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกฮัวซิวโลตาย ก๋งจูเองเห็นได้ทีก็ยกทหารตีเข้ามา กองทัพเมืองซองแตกกระจัดกระจายกันไปหนีกลับไปเมืองแจ้งความกับเจ้าเมืองซองทุกประการ
เจ้าเมืองซองรู้ดังนั้นก็ตกใจ จึงหาฮ้อหงวนเข้ามาแล้วว่า บัดนี้ทัพเมืองฌ้อยกเพิ่มเติมมาตีทัพฮัวซิวโลแตก เห็นจะยกล่วงมาถึงเมืองเรา ท่านจงไปแจ้งความกับเจ้าเมืองจิ้น ขอกองทัพมาช่วยโดยเร็ว ฮ้อหงวนก็รีบไปตามเจ้าเมืองซองสั่ง ครั้นถึงเมืองจิ้นเข้าไปแจ้งความกับจิ้นเจาก๋งทุกประการ จิ้นเจาก๋งรู้ดังนั้นจึงให้หาฮันเคียดเข้ามาปรึกษา ฮันเคียดจึงว่าเมื่อครั้งจิ้นบุนก๋งนั้นเมืองได้เป็นเมืองเอกขึ้นก็เพราะยกทัพไปช่วยเมืองซอง ครั้งนี้ถึงจะดีและร้ายประการใดต้องยกไปช่วยจึงจะควร
จิ้นเจาก๋งจึงว่าถ้าไม่สมคะเนเราก็จะยกล่วงไปตีเมืองเตงทีเดียว จิ้นเจาก๋งก็สั่งให้จัดแจงกองทัพ แล้วมีหนังสือไปถึงเมืองฬ่อ เมืองโอย เมืองจอ เมืองจู เมืองติน เมืองซี เมืองฦๅ ทั้งแปดหัวเมืองให้ยกทหารมาช่วยเมืองซอง กำหนดให้พร้อมกัน ณ ตำบลไต้ก๊ก ครั้นฮันเคียดจัดทัพเมืองจิ้นเสร็จแล้ว เจ้าเมืองจิ้น ฮันเคียดกับทหารทั้งปวงยกกองทัพมาตั้งคอยทัพหัวเมืองอยู่ ณ ตำบลไต้ก๊ก ฝ่ายก๋งจูเองตีแพเสียแตกแล้วมีใจกำเริบยกทหารล่วงไปตั้งอยู่ในแดนจะตีเอาเมืองซอง ครั้นรู้ว่าเจ้าเมืองจิ้นยกทัพใหญ่มาช่วยเมืองซอง ก๋งจูเองเห็นเหลือกำลังก็ยกทหารหนีกลับไปเมืองแจ้งความกับเจ้าเมืองฌ้อทุกประการ
ขณะนั้นศักราชพระเจ้าจิวเตงอ๋องเสวยราชย์ได้สิบสี่ปี หัวเมืองทั้งปวงรู้หนังสือเจ้าเมืองจิ้นต่างก็ยกมา ณ ตำบลไต้ก๊ก เจ้าเมืองจิ้นเห็นหัวเมืองทั้งปวงพร้อมกันแล้ว ก็สั่งให้เร่งทัพเกวียนเข้าล้อมแพเสียไว้ทั้งสี่ด้าน เหียงสุนขุนนางเมืองซองจึงให้ทหารขึ้นเกวียนร้องประกาศเข้าไปกับพวกอีเจียทั้งห้าคน เดิมตัวเป็นขุนนางอยู่เมืองซองไม่ตรงต่อเจ้าหนีไปอยู่เมืองฌ้อแล้วยังกลับมาทรยศอีกเล่า ผีสางเทพยดาหาเข้าด้วยไม่ บัดนี้เจ้าเมืองจิ้นกับแปดหัวเมืองยกทหารมายี่สิบหมื่นเศษ ล้อมแพเสียไว้เพราะต้องการคนห้าคน ถ้าราษฎรชาวแพเสียคิดกลัวจะอันตรายกับบุตรภรรยาให้ช่วยกันจับพวกอีเจีย ซึ่งเป็นคนร้ายส่งออกมาแล้วเปิดประตูเมืองรับโดยดี ถ้าชาวเมืองนิ่งเสียเป็นใจด้วยพวกอีเจียอยู่ ตีแพเสียแตกแล้วจะจับฆ่าให้สิ้น
ราษฎรได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ชวนกันเปิดประตูเมืองรับกองทัพเข้าไป ทหารเมืองฌ้อเห็นดังนั้นมิรู้ที่จะทำประการใด ต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด จิ้นเจาก๋งก็ยกเข้าตั้งอยู่ในแพเสีย นายทหารทั้งปวงจับอีเจีย อีฮู เหียงอุยหยิน เอี๋ยงไต ลิบจู ได้แล้วพาเข้ามาให้เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นจึงสั่งให้เอาไปฆ่าเสียที่หอต๋งตำบลหูขิง แล้วเจ้าเมืองจิ้นแบ่งกองทัพให้รักษาแพเสีย ตัวเจ้าเมืองจิ้นกับทหารทั้งปวงก็ยกกองทัพไปตีเมืองเตง
ขณะนั้นยิมฮูซึ่งเจ้าเมืองฌ้อให้ยกไปตีเมืองซองนั้น มาถึงกลางทางรู้ข่าวว่าเจ้าเมืองจิ้นยกทัพมาช่วยเมืองซองตีแพเสียได้ จับพวกอีเจียห้าคนฆ่าเสีย แล้วเกณฑ์กองทัพยกไปตีเมืองเตง ยิมฮูแจ้งความดังนั้น กลัวเมืองเตงจะเสียกับเมืองจิ้นก็ยกไปช่วยรักษาเมืองเตงไว้
ฝ่ายเจ้าเมืองจิ้น ครั้นยกมาใกล้เมืองเตงรู้ว่ากองทัพเมืองฌ้อมาช่วยรักษาเมืองอยู่เห็นจะหักเอาโดยเร็วมิได้ แล้วก็จวนเทศกาลฝนทแกล้วทหารจะได้ความลำบากก็ถอยทัพกลับไปเมือง แต่บรรดาหัวเมืองขึ้นซึ่งมาช่วยเจ้าเมืองจิ้นนั้น ต่างคนต่างก็ยกกลับไปเมือง
ขณะนั้นพระเจ้าจิวเตงอ๋องเสวยราชย์ได้สิบสี่ปีก็สวรรคต ขุนนางใหญ่น้อยทั้งปวงปรึกษาพร้อมกันเอาเสียบสินราชบุตร ซึ่งเป็นที่ไทจู๊นั้นตั้งขึ้นเป็นเจ้าแทน เรียกว่าพระเจ้าจิวเลงอ๋อง ได้เสวยราชย์ปีแรกเจาก๋งเจ้าเมืองเตงเจ็บหนักลง จึงให้หากองจูหุยกับขุนนางทั้งปวงเข้าไปถึงที่นอนแล้วสั่งว่า อันชีวิตของเราเห็นจะตายในวันพรุ่งนี้เป็นมั่นคง ท่านทั้งปวงอยู่ภายหลังจงช่วยกันรักษาบ้านเมืองทำนุบำรุงอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่เย็นเป็นสุข อนึ่งเจ้าเมืองฌ้อกับเราได้ผูกใจรักเป็นไมตรีกันมาช้านาน เมื่อเจ้าเมืองจิ้นยกมาตีเมืองเรา เจ้าเมืองฌ้อก็ได้มาช่วยจนถูกเกาทัณฑ์เสียตาข้างหนึ่ง คุณอยู่กับเราเป็นอันมาก ถ้าเราตายแล้วท่านทั้งปวงอย่าลืมคุณเจ้าเมืองฌ้อเสีย อนึ่งคุนหงวนบุตรของเรายังอ่อนศักดิ์อยู่ ซึ่งจะรักษาแผ่นดินไปนั้นท่านทั้งปวงอย่าละเมิดเสียเอาใจใส่ดูผิดและชอบด้วย สั่งความแล้วเจาก๋งก็สิ้นใจตาย กองจูหุยกับขุนนางทั้งปวงก็ออกมาจัดแจงให้คุนหงวนซึ่งเป็นที่ซีจูขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทนเรียกว่าเตงฮีก๋ง เตงฮีก๋งก็แต่งการศพบิดาไปฝังไว้ตามสมควร ครั้นแล้วก็จัดแจงบ้านเมือง ขุนนางและอาณาประชาราษฎร์อยู่เย็นเป็นสุข
ฝ่ายเจาก๋งเจ้าเมืองจิ้น รู้ว่าเจ้าเมืองเตงตายจึงหาขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษาว่า เจ้าเมืองเตงมีใจกำเริบมิได้อ่อนน้อมต่อเราเพราะอาศัยเจ้าเมืองฌ้อ บัดนี้เมืองเตงเปลี่ยนเจ้าเมืองใหม่ เราคิดจะมีหนังสือไปให้หัวเมืองขึ้นทั้งปวงยกมาพร้อมกัน ณ ตำบลอูเซกปลายแดนเมืองโอย แล้วจะให้ไปตีเมืองเตง
กองซุนบีจึงว่ากับเจ้าเมืองจิ้นว่า ซึ่งจะให้เมืองเตงมาอ่อนน้อมต่อเรานั้นจะยากอะไรมี ด้วยเมืองเตงนั้นก็กันดารอยู่หาสู้จะบริบูรณ์นักไม่ แต่ทุกวันนี้ได้พึ่งเมืองฌ้อ อาศัยเสบียงอาหารตำบลหอโล้ เมืองฌ้อกับเมืองเตงจะไปมาหากันเล่าก็เดินทางหอโล้ ถ้าเราไปตั้งก่อกำแพงให้ทหารรักษาตำบลหอโล้มั่นไว้ เมืองเตงจะไปมาหาเมืองฌ้อก็จะกันดาร ทั้งจะขัดสนด้วยข้าวปลาอาหารก็คงจะมาอ่อนน้อมขอเป็นไมตรีต่อเรา
ขณะนั้นบูสินทหารเมืองฌ้อซึ่งหนีมาทำราชการอยู่ในเมืองจิ้นได้ยินเจ้าเมืองจิ้นกับกองซุนบีว่ากันดังนั้น บูสินคุกเข่าลงคำนับแล้วว่ากับเจ้าเมืองจิ้นว่า ข้าพเจ้ามีอุบายอันหนึ่ง ถ้าท่านจะยกไปตีเมืองเตงจะคิดมิให้เมืองฌ้อยกมาช่วยเมืองเตงได้ เจ้าเมืองจิ้นจึงถามว่า ท่านจะให้ทำประการใด บูสินจึงว่าเมืองฌ้อนั้นลำน้ำร่วมกันกับเมืองหงอ ข้าพเจ้าเคยไปมาอยู่ เจ้าเมืองหงอกับข้าพเจ้าก็รู้จักกัน จะคิดไปเกลี้ยกล่อมให้เจ้าเมืองหงอเป็นพวกเราไว้ ถ้าจะยกไปตีเมืองเตงเมื่อไรจึงไปนัดเจ้าเมืองหงอให้แต่งทหารไปกระทำยํ่ายีหัวเมืองเล็กน้อยซึ่งขึ้นกับเมืองฌ้อ แล้วมีหนังสือให้เมืองหงอยกไปตีเมืองฌ้อ เจ้าเมืองหงอจะไปตามหนังสือก็ดีจะมิไปก็ดี กิตติศัพท์ก็คงจะดัง เห็นเจ้าเมืองฌ้อจะหามาช่วยเมืองเตงไม่
เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังกองซุนบีกับบูสินว่าเห็นชอบด้วย จึงให้บูฮอยงซึ่งเป็นบุตรบูสินขุนนางถือหนังสือไปเมืองหงอ แล้วให้คนไปก่อกำแพงตำบลหอโล้ เกณฑ์เอาคนหัวเมืองทั้งปวงเมืองใหญ่เอาพันหนึ่ง เมืองน้อยสามร้อยสี่ร้อยบ้างมารักษาด่านหอโล้ แล้วให้ตั้งเอียนตุนขึ้นไว้เป็นสำคัญ ถ้ามีข้าศึกมาก็ให้จุดไฟขึ้นเป็นสัญญา หัวเมืองทั้งปวงจะได้ยกมาช่วยโดยเร็ว ครั้นก่อกำแพงตั้งเอียนตุนเสร็จแล้ว เจ้าเมืองจิ้นยกมาตั้งอยู่ ณ ตำบลหอโล้
ฝ่ายบูฮอยงครั้นไปถึงเมืองหงอก็เข้าไปหาเจ้าเมืองหงอแจ้งความว่าเจ้าเมืองจิ้นจะยกมาตีเมืองเตง บัดนี้มาตั้งด่านอยู่ตำบลหอโล้ให้ข้าพเจ้าถือหนังสือมาถึงท่าน ให้ท่านเห็นกับไมตรียกกองทัพไปตีปลายแดนเมืองฌ้อเกี่ยวไว้ เจ้าเมืองหงอรับมาอ่านดูแจ้งแล้วจึงสั่งจูหวนผู้บุตรให้คุมทหารเป็นแม่ทัพยกไปตั้งอยู่ตำบลกังเค้าซ้อมหัดทหารให้ชำนาญในการเรือ แล้วจะยกไปตีเมืองฌ้อ จูหวนก็ออกมาจัดแจงทหารยกไปตามบิดาสั่ง
และเมื่อเจ้าเมืองจิ้นให้เกณฑ์หัวเมืองก่อกำแพง ตั้งด่าน ณ หอโล้นั้นรู้ไปถึงเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋คิดจะใคร่เป็นไมตรีกับเมืองจิ้น จึงให้กองจูสีกี๋ผู้บุตรกับสิวจิวขุนนางคุมทหารมาช่วยเจ้าเมืองจิ้น บรรจบกันกับหัวเมืองทั้งปวงเป็นเก้าหัวเมือง
ฝ่ายเตงฮีก๋งเจ้าเมืองเตงรู้ว่าเจ้าเมืองจิ้นยกทหารมาสกัดทางไว้ แล้วก่อกำแพงตั้งด่านที่ตำบลหอโล้ เตงฮีก๋งคิดจะไปพึ่งเจ้าเมืองฌ้อก็เห็นไม่ทัน จึงมาอ่อนน้อมขอเป็นไมตรีกับเจ้าเมืองจิ้นที่ตำบลหอโล้ เจ้าเมืองจิ้นครั้นเตงฮีก๋งมาขอเป็นไมตรีดังนั้น ก็ยินดีด้วยสมความคิดแล้วปราศรัยกับเจ้าเมืองเตงว่า ท่านกับเราได้ผูกรักกันตั้งแต่นี้อย่าได้คิดคดต่อกันสืบไปเลย เจ้าเมืองเตงคำนับเจ้าเมืองจิ้นให้สัญญาต่อกันแล้ว ต่างคนต่างก็ยกกลับไปเมือง ฝ่ายเจ้าเมืองจิ้นกลับมาถึงเมืองจิ้นให้บำเหน็จรางวัลตั้งแต่งผู้มีความชอบตามสมควร
ขณะนั้นกิเหขุนนางผู้ใหญ่เป็นที่ตงกุ๋น เข้าไปว่ากับเจ้าเมืองจิ้นว่าตัวข้าพเจ้าก็แก่แล้วจะขอออกนอกราชการ เจ้าเมืองจิ้นจึงว่าตัวท่านจะออกแล้วจะได้ใครแทนที่เล่า กิเหจึงว่าไกหอขุนนางเห็นจะแทนที่ข้าพเจ้าได้ เจ้าเมืองจิ้นจึงว่าไกหอคนนี้เป็นอริไม่ชอบกับท่าน เหตุไรท่านจึงลงใจให้ไกหอแทนที่เล่า กิเหจึงว่าเมื่อท่านถามข้าพเจ้านั้น ด้วยจะหาผู้ช่วยบำรุงแผ่นดินต่างหาก ข้าพเจ้าเห็นว่าไกหอจะเป็นได้ข้าพเจ้าก็บอกท่านตามเห็น ซึ่งท่านจะกลับเอาความไกหอกับข้าพเจ้าขัดเคืองกันมาถามนั้นข้าพเจ้ามิรู้ที่จะบอกได้ เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังดังนั้นเห็นว่ากิเหเป็นคนผู้ใหญ่มิได้มีความพยาบาท เจ้าเมืองจิ้นก็สั่งให้เอาไกหอมาตั้งเป็นขุนนางแทนที่กิเห ไกหอป่วยอยู่ยังหาได้มารับที่ไม่ อยู่มาหน่อยหนึ่งไกหอตาย เจ้าเมืองจิ้นแจ้งความจึงให้หากิเหเข้ามาว่า เดิมท่านจะให้ไกหอเป็นที่ท่านบัดนี้ไกหอตายเสียแล้ว ท่านจะเห็นควรกับผู้ใดเล่า
กิเหจึงว่านอกจากไกหอแล้ว เห็นแต่กิงอพอจะเป็นได้ เจ้าเมืองจิ้นจึงถามว่า กิงอนี้เป็นบุตรของผู้ใด กิเหจึงว่าเป็นบุตรข้าพเจ้า เจ้าเมืองจิ้นก็ตั้งให้กิงอเป็นที่ตงกุ๋นอวยแทนกิเห แล้วเจ้าเมืองจิ้นจึงว่ากับกิเหว่า เอียงจีแจะขุนนางซึ่งตายนั้น ยังหามีตัวแทนไม่ ท่านเป็นผู้ใหญ่รู้จักคนมากจะให้เอาผู้ใดมาตั้งจึงจะดี กิเหจึงว่าเอียงจีแจะมีลูกชายอยู่สองคน ลูกคนใหญ่ชื่อเอียงจีเซก ลูกน้อยชื่อเอียงจีพัน สติปัญญาดีเสมอกันจะเอาผู้ใดเป็นก็ตามแต่ท่านเถิด เจ้าเมืองจิ้นก็เอาเอียงจีเซกมาตั้งเป็นขุนนางแทนบิดาทำราชการในเมืองจิ้นต่อไป