- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๔๗
อยู่มาวันหนึ่งก๋งจูบุนออกว่าราชการ จึงปรึกษาอิวอีว่า เราคิดจะยกไปตีเมืองเกียงหยงเสียให้สิ้นห่วงระวังหลัง แล้วปีหน้าจึงจะยกไปตีเมืองจิ้นอีกสักครั้งหนึ่ง ท่านจะเห็นประการใด อิวอีจึงว่า ขอท่านจงตระเตรียมแต่งกองทัพให้กิตติศัพท์ไปว่าจะยกไปตีเมืองเกียงหยง แล้วจึงมีหนังสือให้ไปเกลี้ยกล่อมเมืองเกียงหยงดูท่วงทีก่อน ถ้าเจ้าเมืองเกียงหยงยอมมาเข้าด้วยโดยดีก็จะไม่ได้ยากแก่มือทหาร ถ้าเจ้าเมืองเกียงหยงมิยอมขัดแข็งอยู่ปีหน้าจึงค่อยยกไปตี ก๋งจูบุนก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทำตามอุบายอิวอี แล้วมีหนังสือให้ก๋งจูหยงถือไปเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองเกียงหยง เฉียปันเจ้าเมืองเกียงหยงรู้หนังสือแล้วก็กลัวเจ้าเมืองจิ๋นจะมาตี จึงแบ่งหัวเมืองตะวันตกยี่สิบตำบลให้เป็นหัวเมืองขึ้นแก่เมืองจิ๋น
ฝ่ายเป๊กลีเบ้งเบ๋งยกมาถึงเมืองเพงแหย ให้ตั้งค่ายมั่นลงพักทหารพอมีกำลังแล้วจึงยกเข้าตีเมืองเพงแหย ฝ่ายเจ้าเมืองเพงแหยรู้ว่ากองทัพเป๊กลีเบ้งเบ๋งทหารเมืองจิ๋นยกมา จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่าเป๊กลีเบ้งเบ๋งคนนี้มีกำลังและฝีมือเข้มแข็งชำนาญการอาวุธยิ่งนัก เมืองเราเป็นเมืองน้อย ทหารก็น้อยตัวเห็นจะต้านทานทหารเมืองจิ๋นมิได้ เราคิดว่าจะแต่งสิ่งของออกไปยอมเข้าด้วย อย่าให้กองทัพเมืองจิ๋นยํ่ายีบ้านเมืองเราเลย ท่านจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงก็ยอมพร้อมกัน เจ้าเมืองเพงแหยก็จัดอิสตรีรูปงามกับสิ่งของออกไปยอมเข้าด้วยเป๊กลีเบ้งเบ๋ง เป๊กลีเบ้งเบ๋งได้อิสตรีรูปงามกับสิ่งของเป็นอันมากแล้วมิได้ทำอันตราย ก็ยกทัพไปถึงเมืองกั้ง เจ้าเมืองกั้งกลัวทัพเมืองจิ๋นจะตีเมืองก็จัดเงินทองกับหยกเหลืองยาวสองศอกหนาห้านิ้วสี่เหลี่ยม รัศมีสว่างดังเปลวเพลิง ออกไปยอมเข้าด้วยเป๊กลีเบ้งเบ๋ง เป๊กลีเบ้งเบ๋งได้หยกเป็นของวิเศษก็ดีใจ มิได้ยํ่ายีเมืองกั้งเลิกทัพกลับไปเมืองจิ๋น จึงพาอิสตรีรูปงามกับหยกและสิ่งของเครื่องบรรณาการเข้าไปคำนับก๋งจูบุน แล้วแจ้งความซึ่งเจ้าเมืองทั้งสองมาขอยอมเป็นเมืองขึ้นให้ก๋งจูบุนฟังทุกประการ
ก๋งจูบุนมีบุตรคนหนึ่ง ชื่อนางหยกอายุสิบห้าปี รูปโฉมงามฉลาดในการเป่าปี่เพราะหาผู้เสมอมิได้ ก๋งจูบุนมีความกรุณานางหยกยิ่งนัก จึงให้ช่างเจียระไนเจาะท่อนหยกทำเป็นปี่ให้แก่บุตร แล้วว่าปี่หยกบิดาทำให้เจ้าจงสงวนไว้เป่าเล่นตามสบายเถิด นางหยกคำนับรับปี่มาเป่าให้บิดาฟัง ขณะนั้นมีหงส์สองตัวบินมาได้ยินเสี่ยงปี่นางเป่า หงส์ก็ร่อนลงมาจับกิ่งไม้ ฟังเสียงปี่นางเป่าจนสิ้นเพลง หยุดเสียงปี่หงส์จึงบินไป แต่นั้นมาถึงเวลานางเป่าปี่ หงส์และนกทั้งปวงบรรดาเคยฟังก็มาจับต้นไม้ฟังเสียงปี่ทุกวัน ก๋งจูบุนก็มีความกรุณานางหยกยิ่งขึ้นไปจึงปลูกหงส์เหลาไต้ แปลคำไทยว่า ปราสาทหงส์ จัดหญิงคนใช้ยี่สิบสี่คนให้พิทักษ์รักษานางหยกอยู่บนหงส์เหลาไต้ นางหยกเลี้ยงวานรเผือกผู้ตัวหนึ่ง วานรนั้นรู้จักภาษาคน นางหยกได้ขึ้นอยู่บนหงส์เหลาไต้เป็นที่สูงสบายนัก ถึงเวลาเป่าปี่หงส์และนกน้อยใหญ่มาจับฟังทุกวันมิได้ขาดประมาณเดือนเศษ มีต้นไม้ต้นหนึ่งงอกขึ้นบนหลังคาหงส์เหลาไต้ ต้นไม้นั้นต้นแดงใบแดงดังสีชาด หงส์มาจับฟังเสียงปี่ที่ต้นไม้นั้น หญิงคนใช้เห็นต้นไม้งอกขึ้นมากิ่งก้านสาขางามนักไม่รู้จักชื่อต้นไม้ จึงคำนับถามนางหยก นางหยกจึงบอกว่าชื่อต้นโซโตซี แปลคำไทยว่าต้นไม้พระจันทร์
ขณะนั้นกิตติศัพท์ลือไปถึงเมืองหลวงและหัวเมืองทั้งปวงว่านางหยกบุตรเจ้าเมืองจิ๋นรูปงาม ฉลาดในการเป่าปี่หาผู้เสมอมิได้ พระเจ้าจิวเซียงอ๋องทรงทราบความ จึงใช้ให้ไตหูอี๋นบูก๋องไปขอนางหยกให้แก่ไทจูพระราชบุตรผู้ใหญ่ ไตหูอี๋นบูก๋องรับสั่งบังคมลาออกจากเมืองหลวงไปถึงเมืองจิ๋น จึงเข้าไปคำนับแจ้งความแก้เจ้าเมืองจิ๋นตามรับสั่ง เจ้าเมืองจิ๋นแจ้งดังนั้นจึงว่า ซึ่งพระเจ้าเมืองหลวงต้องพระราชประสงค์บุตรเราให้แก่ไทจูนั้นก็สมควรที่จะถวาย แต่ข้าพเจ้าได้ยินคำโบราณกล่าวไว้แต่ก่อน ว่าถ้าจะปลูกฝังบุตรหญิงให้มีเหย้าเรือน ให้บิดามารดาปรึกษาบุตรให้ยินยอมพร้อมใจจึงจะเป็นมงคล ข้าพเจ้าจะปรึกษาบุตรตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ก๋งจูบุนจึงเข้าไปที่ข้างใน เรียกนางหยกมาบอกว่า บัดนี้พระเจ้าจิวเซียงอ๋องให้ขุนนางมาขอเจ้าไปให้แก่ไทจูพระราชบุตรผู้ใหญ่ เจ้าจะคิดประการใด นางหยกจึงคำนับแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าได้สาบานตัวไว้แต่ก่อนว่า ชายผู้ใดรู้วิชาเป่าปี่ได้เหมือนตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงจะยอมเป็นภรรยา ซึ่งพระเจ้าเมืองหลวงให้มาขอข้าพเจ้านั้น ไทจูไม่รู้วิชาเป่าปี่ข้าพเจ้าไม่ยอม ก๋งจูบุนก็กลับออกไปบอกแก่ไตหูอี๋นบูก๋องตามคำนางหยกทุกประการ แล้วแต่งเครื่องบรรณาการให้ไตหูอี๋นบูก๋องคุมกลับไปถวายพระเจ้าจิวเซียงอ๋อง ไตหูอี๋นบูก๋องก็คำนับไปถึงเมืองหลวง จึงเข้าไปเฝ้าทูลความตามนางหยกว่ามานั้นทุกประการ พระเจ้าจิวเซียงอ๋องก็มิได้ตรัสประการใด
ขณะนั้นเจ้าเมืองฬ่อเจ้าเมืองเจ๋จะใคร่ได้นางหยกเป็นภรรยาจึงแต่งสิ่งของเครื่องคำนับให้ขุนนางมาขอ ก๋งจูบุนผู้บิดาปรึกษาบุตรหญิง บุตรหญิงรู้ว่าเจ้าเมืองซึ่งมาขอมิได้รู้วิชาเป่าปี่ก็มิยอม ก๋งจูบุนก็แต่งของตอบแทนส่งให้ขุนนางกลับไปเมือง แล้วจึงให้กงซุนกีเขียนหนังสือไปปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศว่า ผู้ใดมีวิชาเป่าปี่เพราะเหมือนนางหยกจะยกให้อยู่ด้วยกัน ขุนนางและราษฎรหัวเมืองทั้งปวงจะใคร่ได้นางหยก ต่างคนศึกษาวิชาเป่าปี่ก็ไม่เพราะเสมอนาง แต่นั้นมาหาผู้ใดมาสู่ขอนางหยกมิได้
วันหนึ่งเวลาเที่ยงคืน นางหยกนอนหลับสนิทในหงส์เหลาไต้ ฝันว่ามีหนุ่มน้อยคนหนึ่งรูปร่างเหมือนเทวดา ขี่มังกรมาอยู่บนหลังคาหงส์เหลาไต้ แล้วเป่าปี่เสียงเพราะ ชำนาญในเพลงปี่หาผู้เสมอมิได้ นางหยกมีความรักผูกพันจึงถามหนุ่มน้อยนั้นว่าท่านชื่อใดมาแต่ไหน ชายหนุ่มจึงบอกว่าเรานี้เสียงไต้ให้ลงมาเกิดเป็นคู่กับเจ้า ถ้าจะใคร่พบเรา ต่อเดือนสิบเอ็ดขึ้นสิบคํ่า จงไปที่เขาไทฮอซัวจึงจะพบเรา แล้วชวนนางหยกเป่าปี่จนสิ้นเพลง หนุ่มน้อยชมว่านางหยกเป่าปี่เพราะแล้วก็ขับมังกรกลับไป พอเวลาใกล้รุ่งนางตื่นขึ้น จึงเข้าไปคำนับแจ้งความฝันให้บิดาฟังทุกประการ ก๋งจูบุนได้ฟังก็มีความยินดี จึงทำนายว่าฝันดังนี้ดีนักเห็นคู่เจ้าจะมาเกิดอยู่ที่เขาไทฮอซัวเป็นมั่นคง บิดาจะให้ไปสืบดูก่อน
ก๋งจูบุนจึงออกไปสั่งให้ขุนนางไปสืบชาวบ้านไทฮอซัวว่าผู้ใดเป่าปี่เพราะให้พาตัวเข้ามา ขุนนางก็คำนับลาไปสืบถามชาวบ้านไทฮอซัวตามสั่ง ชาวบ้านจึงบอกว่า มีชายหนุ่มน้อยคนหนึ่งรูปงามเหมือนเทวดามาอยู่บนเขาไทฮอซัวเป่าปี่เพราะนัก ชายนั้นแปลกหน้ามาอยู่แต่ ณ เดือนเก้ามาถึงเดือนสิบเอ็ดแล้ว ข้าพเจ้าทั้งปวงหารู้จักชื่อและแซ่ไม่ ขุนนางจึงให้ชาวบ้านนำไปเที่ยวหาบนยอดเขาไทฮอซัว พบชายหนุ่มนั้นนั่งเป่าปี่อยู่บนแผ่นศิลาใต้ร่มไม้ ขุนนางจึงเข้าไปบอกว่า เจ้าเมืองจิ๋นรู้ว่าท่านเป่าปี่เพราะ ให้เราออกมาเชิญเข้าไปเมืองจิ๋น ขุนนางก็พาหนุ่มน้อยขึ้นขี่ม้ากลับมาถึงเมืองจิ๋น เข้าไปคำนับแจ้งความแก่ก๋งจูบุน ก๋งจูบุนเห็นหนุ่มน้อยรูปงามจึงถามถึงชื่อและแซ่
ผู้นั้นจึงบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเสียวสู บิดาข้าพเจ้าชื่อยีหลวงเป็นขุนนางในตำแหน่งอาลักษณ์ครั้งแผ่นดินพระเจ้าซองอ๋อง ครั้นบิดาข้าพเจ้าตายแล้ว ข้าพเจ้าออกไปเที่ยวอยู่ป่า ได้เรียนวิชาเป็นศิษย์ไทเป๊กจีนหยิน ไทเป๊กจีนหยินพาข้าพเจ้าไปถวายตัวเป็นข้าพระอิศวร พระอิศวรตรัสบอกว่าข้าพเจ้าเป็นคู่กับนางหยกบุตรหญิงท่าน พระอิศวรจึงให้ข้าพเจ้าลงมาอยู่เขาไทฮอซัวแต่เดือนเก้ามาถึงเดือนสิบเอ็ด พอท่านให้ไปหาตัวมา ข้าพเจ้ามีวิชาเป่าปี่ได้ จะขอเป่าปี่ให้ท่านฟัง
ก๋งจูบุนจึงให้หานางหยกออกมาเป่าปี่ประสานกันกับเสียวสู เสียงปี่เพราะเสมอกัน เสียวสูกับนางหยกเป่าปี่สิ้นเพลงแล้ว วางปี่ลงไว้คำนับก๋งจูบุน ก๋งจูบุนเห็นเสียวสูกับนางหยกชำนาญการเพลงเป่าปี่ ทั้งรูปก็งามสมควรเป็นคู่ครองกัน ดูกิริยานางหยกก็มีความรักใคร่เสียวสูอยู่จึงว่ากับเสียวสูว่า เจ้ามีวิชาเป่าปี่เพราะเหมือนกันกับบุตรเรา เราจะยกให้อยู่เป็นคู่ครองกัน ก๋งจูบุนจึงสั่งเป๊กลีเบ้งเบ๋งให้จัดแจงการมงคล ครั้นถึงวันฤกษ์ดีก็ให้เสียวสูกับนางหยกอยู่ด้วยกัน ณ หอเหลาไต้
เสียวสูครั้นได้นางหยกเป็นภรรยา อยู่เป็นสุขประมาณสามเดือนเศษ เพลากลางคืนสงัดเสียงผู้คน เสียวสูกับนางหยกเปิดบานหน้าต่างเห็นพระจันทร์ส่องแสงสว่าง เสียวสูคิดถึงไทเป๊กจีนหยินผู้เป็นอาจารย์ จึงบอกกับภรรยาว่า แต่ข้าได้มาอยู่กับเจ้า มิได้ไปเยี่ยมเยียนไทเป๊กจีนหยินประมาณสามเดือนเศษแล้ว ข้าพเจ้าไปคำนับอาจารย์ในเพลานี้เจ้าจะไปหรือมิไปเล่า นางหยกได้ฟังดังนั้นจึงคำนับแล้วว่า ท่านจะพาข้าพเจ้าไปแห่งใดจะขอตามไปปรนนิบัติท่าน เสียวสูก็มีความยินดี จึงอ่านมนต์เรียกมังกรกับหงส์มาถึงหน้าต่าง เสียวสูขึ้นมังกรให้นางหยกขึ้นขี่หงส์เลื่อนลอยไปโดยทางอากาศ
ฝ่ายหญิงคนใช้ซึ่งอยู่ ณ หงส์เหลาไต้ ครั้นว่ารุ่งเช้ามิได้เห็นเสียวสูกับนางหยกกลับมา พากันไปคำนับแจ้งความแก่ก๋งจูบุนทุกประการ ก๋งจูบุนแจ้งว่าเสียวสูพานางหยกขี่มังกรกับหงส์หนีไปทางอากาศ จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เสียวสูนี้เราเห็นจะเป็นเทวดา ถ้ามิดังนั้นจะเป็นคนมีบุญญาธิการมากจึงมีมังกรที่เหาะได้ ท่านจงไปเที่ยวสืบให้รู้ว่าจะไปแห่งใด ขุนนางทั้งปวงก็คำนับลาไปเที่ยวหาทุกแห่งก็ไม่พบ จึงกลับมาแจ้งความแก่ก๋งจูบุน ก๋งจูบุนคิดถึงก็ทุกข์ตรอมใจนัก
อยู่วันหนึ่งมีผู้มาบอกว่า ชาวบ้านไทฮอซัวได้ยินเสียงปี่มีผู้มาเป่าสองคนอยู่บนยอดเขาไทฮอซัว ครั้นขึ้นไปเที่ยวหาก็หาเห็นตัวไม่ ก๋งจูบุนจึงสั่งเป๊กลีเบ้งเบ๋งให้ไปปลูกเหลาไต้ไว้ที่ยอดเขาไทฮอซัวหวังจะให้เป็นที่อาศัยแก่เสียวสูกับนางหยกผู้บุตรี ถึงวันตรุษสารทชาวบ้านไทฮอซัวต่างคนเอาธูปเทียนดอกไม้ไปบูชาทุกปี ครั้นอยู่มา กงซุนกีก็ป่วยถึงแก่กรรม ก๋งจูบุนคิดถึงความชอบกงซุนกีที่ทำไว้ก็ให้ทำการฝังศพตามตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ ให้หามหอเลื่อนที่แทนกงซุนกีผู้ตาย เจ้าเมืองจิ๋นทุกข์โศกถึงบุตรีไม่มีความสบายจนซูบผอมป่วยไข้หนักลง จึงให้ประชุมขุนนางพร้อมกันแล้วสั่งว่า ถ้าเราสิ้นบุญแล้ว จะให้ยกซีจูเองขึ้นว่าราชการแทนเราสืบไป ท่านทั้งปวงช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินเมืองจิ๋นอย่าให้อาณาประชาราษฎร์ได้ความเดือดร้อน ครั้นสั่งขุนนางแล้วจึงให้หญิงคนใช้ช่วยพยุงตัวขึ้นไปอยู่บนเหลาไต้ แล้วร้องไห้รำพันถึงนางหยกผู้บุตรไปต่างๆ
ขณะนั้นเดือนสี่ขึ้นสิบห้าคํ่า ก๋งจูบุนให้หญิงคนใช้เปิดหน้าต่าง แสงเดือนสว่างเข้ามาในเหลาไต้ เพลาเที่ยงคืนเสียวสูขี่มังกร นางหยกขี่หงส์ตามกันมาถึงหน้าต่างเข้ามาคำนับบอกว่า พระเจ้าเซียงเต้ใช้ให้มารับบิดาขึ้นไปเฝ้า ก๋งจูบุนดีใจนักลุกขึ้นนั่งได้ ให้หญิงคนใช้อาบนํ้าชำระตัวทาเครื่องหอมแล้ว ให้ตัดเอากิ่งโซโตซีมาถือไว้ ขึ้นนั่งเก้าอี้เหลียวหาบุตรีมิได้เห็นเสียวสูทั้งนางหยกก็หายไป ก๋งจูบุนคิดสลดใจลมกำเริบขึ้นหน้ามืดซบลงกับเก้าอี้ก็ขาดใจตาย
ขณะเมื่อก๋งจูบุนตายอายุเก้าสิบหกปี ครั้นรุ่งเช้าขึ้นซีจูเอ๋งกับขุนนางทั้งปวงก็ทำการศพที่หยงเตงตามธรรมเนียม และขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ยกซีจูเองขึ้นเป็นจิ๋นคงก๋ง ได้ครองเมืองจิ๋นแทนบิดาสืบไป ครั้นก๋งจูบุนตายประมาณเจ็ดวัน ต้นโซโตซีก็ตาย ต้นและกิ่งกลายเป็นแก้ว จิ๋นคงก๋งก็แบ่งปันให้ขุนนางเก็บไว้ในฉาง ข้าวก็บริบูรณ์ไม่รู้หมดยุ้งฉาง และกิ่งไม้เป็นแก้วนี้มีคุณคุ้มภัยอันตรายต่างๆ
ฝ่ายพระเจ้าจิวเซียงอ๋องและหัวเมืองทั้งปวงแจ้งว่าเจ้าเมืองจิ๋นถึงแก่กรรมแล้ว พระเจ้าจิวเซียงอ๋องจึงให้ก๋งจูเปียนคุมสิ่งของไปช่วยการฝังศพ พร้อมกับเชยปันเจ้าเมืองเกียงหยงและหัวเมืองทั้งปวง ฝ่ายก๋งจูหวนเจ้าเมืองจิ้นรู้ว่าก๋งจูบุนตายแล้วจึงคิดว่า ก๋งจูบุนก็เป็นเชื้อสายกันกับบิดาเรา ครั้นจะมิไปช่วยการฝังศพ หัวเมืองทั้งปวงจะนินทาว่าเรามีความพยาบาท ก๋งจูหวนเจ้าเมืองจิ้นให้ซุนหลิมหูคุมสิ่งของไปช่วยการฝังศพ ณ เมืองจิ๋น ครั้นทำการเซ่นศพแล้วซุนหลิมหูก็กลับมาเมือง และในแผ่นดินเมืองเต๊กนั้น มีผู้หญิงชื่อเต๊กยาวสูงสามวาเศษ มีขนและหนวดแดง กำลังมากถืออาวุธหนักพันชั่ง เข้ามาเป็นทหารเป๊กเปาตุนเจ้าเมืองเต๊ก เจ้าเมืองเต๊กตั้งให้เต๊กยาวเป็นที่งวนซ่วยคุมทหารหมื่นหนึ่ง ให้เตียวยี่เป็นทัพหนุนคุมทหารห้าพันเข้ากันสองทัพ เป็นทหารหมื่นห้าพันยกไปเมืองฬ่อ เต๊กยาวกับเตียวยี่ก็คำนับลายกกองทัพออกจากเมืองเต๊กเข้าเหยียบแดนเมืองฬ่อ ตีเมืองน้อยซึ่งเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองฬ่อแตกเป็นหลายตำบล
ฝ่ายม้าใช้ซึ่งตรวจตระเวนด่านทราบความดังนั้น ก็ขับม้ารีบแจ้งข้อราชการแก่เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองฬ่อรู้ว่ากองทัพเมืองเต๊กยกเหยียบแดนเข้ามาจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เจ้าเมืองเต๊กมิได้มีข้อขัดเคืองกับเรา บัดนี้ยกทัพเข้ายํ่ายีตีหัวเมืองปลายแดนเราแตกเป็นหลายตำบล เทศกาลนี้ก็จวนฤดูหนาวแล้วจะยกทัพไปตีหรือจะคิดกลอุบายผ่อนปรนประการใด ซกซุนเต๊กสินจึงว่า ข้าพเจ้าแจ้งความว่าแม่ทัพเมืองเต๊กซึ่งยกมาทั้งนี้ชื่อเต๊กยาว และเต๊กยาวคนนี้ศีรษะเป็นทองแดงกระดูกเป็นเหล็ก มีกำลังมากฝีมือเข้มแข็งนัก จะสู้โดยกำลังและฝีมือนั้นเห็นจะเอาชัยชนะไม่ได้ ขอท่านจงจัดสิ่งของและมีหนังสือไปถึงก๋งจูหวนเจ้าเมืองจิ้นโดยทางไมตรี ให้เจ้าเมืองจิ้นมีหนังสือไปถึงเป๊กเปาตุนเจ้าเมืองเต๊กให้หากองทัพกลับ ข้าพเจ้าจะออกไปคิดกลอุบายจับเต๊กยาวให้ท่าน ถ้าไม่สมความคิดถึงฤดูหนาวเข้าแล้วจะทำศึกกันมิได้ ก็จะตั้งประชิดกันเข้าอยู่ทั้งสองฝ่ายกว่าจะพ้นฤดูหนาว ถ้าเจ้าเมืองจิ้นแจ้งความว่ากองทัพเมืองเต๊กยกมายํ่ายีแดนเมืองเราก็จะเห็นกับไมตรีท่าน จะมีหนังสือมาให้เจ้าเมืองเต๊กให้กองทัพเลิกกลับไปเสีย เต๊กยาวจึงจะมิได้ยํ่ายีเมืองเราต่อไป
เจ้าเมืองฬ่อได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งกับสิ่งของตามสมควรให้ขุนนางถือไปเมืองจิ้น แล้วสั่งซกซุนเต๊กสินกับฮูอูจงเสงสองนาย เป็นแม่ทัพคุมทหารเกวียนห้าร้อยม้าห้าร้อยออกไป ซกซุนเต๊กสินกับฮูอูจงเสงก็คำนับมาแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าถือทวนยกกองทัพออกจากเมืองฬ่อ ไปถึงเมืองด่านเอียนค่างให้ตั้งค่ายมั่นไว้ ซกซุนเต๊กสินจึงให้ทหารขุดหลุมใหญ่โตยาวสี่วาเศษ จัดทหารที่มีกำลังห้าสิบคนถือเชือกบ่วงทุกคนอยู่ในหลุม แล้วตัดไม้ไผ่มาเรียงปากหลุมเอาดินเกลี่ยกลบ แล้วปลูกหญ้าแพรกเรี่ยรายไว้หวังมิให้ข้าศึกสงสัย พอเพลาคํ่าแสงเดือนสว่าง ซกซุนเต๊กสินกับฮูอูจงเสงก็ขับทหารออกจากค่ายไปถึงหน้าค่ายทัพเมืองเต๊ก พอเพลาประมาณสองยามเศษซกซุนเต๊กสินกับฮูอูจงเสงขับม้าพาทหารเข้าตีค่ายเต๊กยาว
ฝ่ายเต๊กยาวอยู่ในค่ายได้ยินเสียงอื้ออึงขึ้น พอทหารเข้ามาบอกว่าข้าศึกปล้นค่าย เต๊กยาวก็ฉวยง้าวใหญ่สำหรับมือขึ้นขี่ม้าพาทหารไล่ฟันทหารเมืองฬ่อออกไป ฮูอูจงเสงเห็นดังนั้นก็ขับม้ารำทวนเข้ารบกับเต๊กยาวได้สิบเพลง ต้านทานกำลังเต๊กยาวมิได้ ก็ทำแตกหนีย้อนไปริมปากหลุม เต๊กยาวก็ขับม้าตัดทางตรงหวังจะให้ทัน ม้าก็ตกหลุมถลำล้มลง เต๊กยาวก็ตกหลุมถลำล้มลงม้าคะมำไปอาวุธพลัดจากมือ ทหารซึ่งอยู่ในหลุมก็กลุ้มรุมกันเอาบ่วงคล้องคอจับเต๊กยาวได้มัดมาส่งให้ฮูอูจงเสง พอรุ่งสว่างขึ้น ฮูอูจงเสงกับซกซุนเต๊กสินจึงให้เอาเต๊กยาวใส่กรงเหล็กไปให้แก่เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองฬ่อมีความยินดีนัก จึงสั่งให้ทหารคุมตัวเต๊กยาวไปฆ่าเสีย ทหารก็พาเต๊กยาวไปถึงที่ฆ่า จึงมัดเต๊กยาวไว้กับเสาประโคมเอาดาบฟันดาบยู่เยินไปไม่เข้า แล้วเอาเชือกมัดชักรอกขึ้นแขวนไว้บนเสาตลุงเอาเกาทัณฑ์ยิง ลูกเกาทัณฑ์ก็กระดอนไปหาเข้าไม่ ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิงอยู่สามวันเต๊กยาวได้ความลำบากนัก จึงร้องบอกแก่ทหารผู้ฆ่าว่า เรานี้กระดูกเป็นเหล็ก ถึงท่านจะแทงฟันด้วยอาวุธสิ่งใดก็หาเข้าไม่ ท่านอย่าทำให้เราลำบากเลย เรามีเนื้ออยู่แต่ที่คอต่อสามนิ้ว ถ้าท่านจะฆ่าเราให้ฟันเข้าที่คอต่อเราก็จะตาย ทหารก็หย่อนลงมาเอาดาบฟันคอเต๊กยาวศีรษะตกกระเด็นไป เต๊กยาวก็สิ้นใจตาย ฝ่ายเตียวยี่ครั้นเต๊กยาวตกหลุมทหารเมืองฬ่อจับไปได้ก็ตกใจ จึงให้ทหารเข้ารักษาค่ายไว้เป็นสามารถ พอม้าใช้ถือหนังสือเจ้าเมืองเต๊กมาให้หา เตียวยี่ก็เลิกทัพกลับไป
ฝ่ายซกซุนเต๊กสินเห็นเตียวยี่ยกกลับไปแล้ว ก็เลิกทัพกลับเมืองฬ่อ นายทหารทั้งสองก็แจ้งความตามอุบายซึ่งจับเต๊กยาวได้ให้เจ้าเมืองฬ่อฟังทุกประการ ก๋งจูคีเจ้าเมืองฬ่อแจ้งความดังนั้นมีความยินดีนัก จึงชมทหารว่ามีสติปัญญาฉลาดในการกลศึกสมควรที่จะเป็นทหารเอก แล้วปูนบำเหน็จทแกล้วทหารตามสมควร
อยู่วันหนึ่งเจ้าเมืองฬ่อออกปรึกษาราชการขุนนางพร้อมกัน เจ้าเมืองฬ่อจึงว่า เจ้าเมืองเต๊กประมาทดูหมิ่นเราให้ทหารยกเหยียบแดนเราเข้ามา เรามีความแค้นนัก จำจะยกไปตีเมืองเต๊กให้ยับเยินจึงจะสาสมแก่ความแค้น เจ้าเมืองฬ่อจึงสั่งฮูอูจงเสงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งไปนัดกองทัพเมืองเจ๋เมืองโอยว่า ณ เดือนห้าขึ้นปีใหม่ ให้ยกไปช่วยตีเมืองเต๊ก ฮูอูจงเสงก็แต่งหนังสือส่งให้ม้าใช้ถือไปเมืองเจ๋เมืองโอยตามสั่ง ฝ่ายเจ้าเมืองเจ๋เมืองโอยแจ้งความในหนังสือซึ่งเจ้าเมืองฬ่อให้มาก็จัดกองทัพเตรียมไว้ ครั้นถึงเดือนห้าก็ยกกองทัพออกจากเมืองเจ๋เมืองโอยมาสมทบกับเมืองฬ่อ ไปล้อมเมืองเต๊กไว้ทั้งสามด้าน
ฝ่ายเจ้าเมืองเต๊กรู้ว่ากองทัพทั้งสามเมืองมาล้อมเมืองไว้ ก็แต่งทหารออกรบเป็นหลายครั้ง ต้านทานมิได้ก็พาครอบครัวหนีออกจากเมืองเต๊กไปอาศัยอยู่เมืองจิ้น ฝ่ายกองทัพทั้งสามเมือง ครั้นเจ้าเมืองเต๊กยกหนีไปแล้วก็ยกทัพตามไปถึงแดนเมืองจิ้น รู้ว่าเจ้าเมืองเต๊กเข้าอาศัยอยู่ในแดนเมืองจิ้น ครั้นจะล่วงแดนเข้าไปก็เกรงเจ้าเมืองจิ้นอยู่ ทั้งสามเมืองก็เลิกทัพกลับไป
ฝ่ายเจ้าเมืองจิ้นรู้ว่าเป๊กเปาตุนเจ้าเมืองเต๊กแตกหนีกองทัพทั้งสามเมืองมา อาศัยอยู่ในแดน เจ้าเมืองจิ้นจึงว่ากับขุนนางทั้งปวงว่า เป๊กเปาตุนคนนี้ได้พาทหารมีกำลังไว้คนหนึ่ง คิดกำเริบใจยกไปตีเมืองฬ่อ เจ้าเมืองฬ่อได้มีหนังสือบอกมาถึง ซึ่งเป๊กเปาตุนเสียทีแก่หัวเมืองทั้งสามทั้งนี้ก็เพราะคิดประทุษร้ายต่อมิตรอันตรายจึงถึงตัว ครั้นจะให้อยู่อาศัยในเมืองเรา หัวเมืองทั้งสามก็จะโกรธเราว่าสมคบเป๊กเปาตุนไว้ เจ้าเมืองจิ้นก็ให้ทหารไปจับเป๊กเปาตุนฆ่าเสีย แล้วให้ฮูเฉียโกไปจัดแจงรักษาเมืองเต๊ก เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองลู้ขึ้นกับเมืองจิ้น
ครั้นก๋งจูหวนครองเมืองได้หกปี ณ เดือนหกข้างขึ้น จึงสั่งขุนนางทหารทั้งปวงให้ตระเตรียมเกวียนและม้าออกไปเที่ยวเล่นป่า ก๋งจูหวนเจ้าเมืองจิ้นกับเซียนเฉียกี เตียวสวย ลอนกี๋ ซุนสิน ขี่ม้าไล่เนื้อไปตามราวป่า ถึงตำบลหนึ่งเห็นหญิงชาวบ้านป่าเปลือยกายเดินลงอาบนํ้าอยู่ริมห้วยแต่ผู้เดียว ก๋งจูหวนเห็นหญิงนั้นก็โกรธด่าว่าเป็นหญิงอัปรีย์ จึงสั่งขุนนางทั้งสี่คนให้จับหญิงนั้นมัดกลับเข้าเมือง แล้วสั่งให้ลงอาญาตีหญิงนั้นร้อยทีแล้วเอาตัวไปคุมขังไว้ อยู่มาสองสามวันเซียนเฉียกีกับเตียวสวย ลอนกี๋ ซุนสิน ทั้งสี่คนป่วยเป็นปัจจุบันตาย เจ้าเมืองจิ้นมีความอาลัยนัก จึงสั่งเจ้าพนักงานให้ทำการฝังศพตามธรรมเนียม ครั้นอยู่ประมาณเดือนเศษ เจ้าเมืองจิ้นเป็นโรคป่วย แพทย์ประกอบยารักษาก็ไม่หาย โรคยิ่งหนักลงทุกที เห็นจะไม่รอดชีวิตคิดเป็นห่วงให้วิตกถึงผู้บุตรยิ่งนัก จึงให้หาซีโฮยเข้ามากับขุนนางพร้อมกันแล้วว่า สมบัติในเมืองจิ้นจะมอบให้อีโก๋บุตรเรา ท่านจงเป็นไตสูเตาผู้สำเร็จราชการ
ซีโฮยจึงว่า สติปัญญาข้าพเจ้าน้อยนัก จะรับที่ไตสูเตานั้นมิได้ ให้เตียวตุนบุตรเตียวสวยเป็นไตสูเตาเถิดจึงจะควร ก๋งจูหวนก็ให้เตียวตุนเป็นไตสูเตา แล้วว่าอีโก๋บุตรเราอายุหกขวบยังเยาว์นัก ท่านจงช่วยทำนุบำรุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด เตียวตุนกับขุนนางทั้งปวงได้ฟังก๋งจูหวนสั่งดังนั้น ต่างคนมีความสงสารร้องไห้อื้ออึงขึ้นทั้งข้างในข้างหน้า พอเวลาประมาณสองยามเศษ ก๋งจูหวนก็ถึงอนิจกรรม ขณะเมื่อก๋งจูหวนตายนั้นอายุได้ยี่สิบสองปี ได้ครองเมืองจิ้นอยู่หกปี เตียวตุนกับขุนนางทั้งปวงก็ยกหีบไม้หอมมาใส่ศพตั้งเครื่องบูชาตามธรรมเนียม ครั้นเวลารุ่งเช้า เตียวตุนจึงว่าเป็นอย่างธรรมเนียมมาแต่ก่อน ผู้ครองเมืองใหญ่แม้นอายุห้าสิบปีเศษตาย จึงทำการเซ่นศพถึงสามปีได้ เจ้าเมืองจิ้นดับสูญลงครั้งนี้อายุแต่ยี่สิบสองปีเศษ ผู้ซึ่งจะนุ่งขาวห่มขาวเซ่นศพได้แต่หกเดือน ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย จึงทำการฝังศพเซ่นศพตามตำแหน่งเจ้าเมืองใหญ่ ขุนนางทั้งปวงจึงปรึกษาเตียวตุนว่าจะให้อีโก๋ขึ้นครองเมืองตามคำเจ้าเมืองผู้ดับสูญสั่งไว้
เตียวตุนจึงว่า อีโก๋เป็นเด็กอายุได้หกขวบ จะครองเมืองใหญ่นั้นไม่ควร เราจะให้ไปเชิญก๋งจูหยงผู้น้องเจ้าเมืองจิ้นซึ่งไปอยู่เมืองจิ๋นมาครองสมบัติ เมืองจิ๋นกับเมืองเราจึงจะมิได้เป็นข้าศึกกันต่อไป เมืองเราจะได้อยู่เย็นเป็นสุข ตันกะกับเฮาจกจึงตอบว่า ก๋งจูหยงไปอยู่เมืองจิ๋นช้านานแล้ว ถึงจะเป็นน้องเจ้าเมืองจิ้นที่ตายก็เหมือนผู้อื่น ด้วยมิได้ไปมาหากันฉันญาติ ซึ่งจะไปรับก๋งจูหยงมาครองเมืองให้ผิดคำเจ้าเมืองจิ้นสั่งไว้นั้นไม่เห็นด้วย เตียวตุนได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เป็นขุนนางผู้ใหญ่จัดแจงบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ท่านจะล่วงว่ากล่าวขัดขืนเราให้เสียการใหญ่นั้นไม่ชอบ ตันกะกับเฮาจกจึงว่า ถ้าท่านจะไม่ยกอีโก๋ขึ้นครองเมือง ก๋งจูหลกซิน ณ เมืองติน ก็เป็นน้องเจ้าเมืองผู้ตายเหมือนกับก๋งจูหวน ข้าพเจ้าจะไปรับก๋งจูหลกซินมาครองเมืองเห็นจะดีกว่าก๋งจูหยงอีก เตียวตุนกับเฮาจกตันกะทั้งสามคนก็วิวาททุ่มเถียงไม่ตกลงกันแล้วต่างคนก็กลับไปบ้าน เตียวตุนครั้นกลับมาถึงบ้านจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งส่งให้เซียนเบียดไปเชิญก๋งจูหยง ณ เมืองจิ๋น เซียนเบียดก็คำนับรับหนังสือพาทหารยี่สิบคนไปตามคำเตียวตุนสั่ง
ฝ่ายมารดาเตียวตุนรู้ความดังนั้น จึงเรียกเตียวตุนผู้บุตรเข้ามาถามว่า เจ้าเมืองจิ้นสิ้นบุญแล้วสมบัติควรจะได้แก่อีโก๋ผู้บุตร เหตุใดเจ้าจึงให้ไปรับก๋งจูหยงมา ครองเมือง จะมิผิดอย่างธรรมเนียมไปหรือ เตียวตุนจึงว่า ครั้งเมื่อเจ้าเมืองจิ้นยังมีชีวิตอยู่รักนางปกเองผู้มารดาอีโก๋ยิ่งนัก ครั้นเมื่อนางปกเองไปคำนับเทพารักษ์ ณ ศาลเจ้าหลักเมืองกลับมาพอพบข้าพเจ้าที่กลางถนน นางปกเองถือตัวว่าเป็นภรรยาผู้ใหญ่ของเจ้าเมืองจิ้น นางปกเองให้คนใช้ขับเกวียนชิงไปก่อนข้าพเจ้า นางปกเองดูหมิ่นไม่เกรงข้าพเจ้าผู้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ข้าพเจ้ามีความแค้นอยู่ยังไม่หาย ขณะเมื่อเจ้าเมืองจิ้นจะตายนั้นสั่งไว้ให้ยกสมบัติให้แก่อีโก๋ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าอีโก๋ยังเด็กนัก จึงให้ไปเชิญก๋งจูหยงมาว่าราชการเมืองจิ้นต่อไป
มารดาเตียวตุนจึงว่า จะตั้งเจ้าบ้านภารเมืองเป็นการใหญ่ ถึงอีโก๋เป็นเด็กก็ควรจะมอบเมืองให้ ด้วยบิดาอีโก๋ยกสมบัติให้อีโก๋ขุนนางทั้งเมืองรู้สิ้นด้วยกัน ถ้ามิฟังคำมารดาเบื้องหน้าเจ้าจะมีอันตราย เตียวตุนจึงว่า การทั้งนี้มิใช่การผู้หญิง ซึ่งมารดาจะมาว่ากล่าวทัดทานข้าพเจ้านั้นไม่ควร ว่าแล้วก็ลุกออกไปเสียให้พ้น ฝ่ายนางปกเองแจ้งว่าเตียวตุนให้เซียนเบียดไปรับก๋งจูหยงก็มีความทุกข์ร้อนนัก
ครั้นเวลาขุนนางมาพร้อมกันปรึกษาราชการ ณ ที่ออกขุนนาง นางปกเองก็อุ้มอีโก๋เดินร้องไห้ออกมาเห็นเตียวตุน นางปกเองจึงยุดชายเสื้อเตียวตุนไว้แล้วว่า ท่านไม่คิดถึงคำบิดาอีโก๋สั่งไว้แล้วหรือ อนึ่งอีโก๋ก็เป็นเด็กเหมือนหลานท่าน ซึ่งท่านให้ไปเชิญก๋งจูหยงมาครองเมืองนั้น ท่านจะให้ข้าพเจ้ากับอีโก๋ตายอยู่แห่งใดเล่า เตียวตุนจึงทำเป็นหัวเราะแล้วว่า อีโก๋บุตรท่านยังเด็กนัก จะว่าราชการบ้านเมืองที่ไหนได้ ขุนนางทั้งปวงปรึกษาเห็นว่าก๋งจูหยงผู้อาอีโก๋จะบำรุงแผ่นดินในเมืองจิ้นได้ จึงให้ไปเชิญมา การทั้งนี้เป็นการใหญ่มิใช่การผู้หญิง ท่านอย่ามาว่ากล่าววิงวอนเราเลย
นางปกเองได้ฟังก็จับชายเสื้อเตียวตุนร้องไห้ว่าวอนต่างๆ เตียวตุนก็สลัดมือเสียมิให้ยุดชายเสื้อ นางปกเองก็ร้องไห้อุ้มอีโก๋กลับเข้าไป ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นต่างคนมีความสงสารนางปกเองนัก เตียวตุนกับขุนนางทั้งปวงครั้นพ้นเวลาปรึกษาราชการกันแล้วต่างคนก็กลับไปบ้าน
ขณะนั้นฮูเฉียโกซึ่งอยู่ ณ เมืองลู้แจ้งความว่าเฮาจกผู้น้องซึ่งอยู่ ณ เมืองจิ้นวิวาทกันกับเตียวตุน ด้วยจะตั้งอีโก๋ให้ว่าราชการเมืองจิ้นยังหาตกลงกันไม่ ฮูเฉียโกก็มีความวิตกถึงเฮาตกผู้น้องนัก จึงพาคนใช้ออกจากเมืองลู้มาถึงเมืองจิ้น เฮาจกก็ออกไปรับคำนับเชิญขึ้นมาบนตึก แล้วใช้คนใช้ยกโต๊ะมาตั้ง ฮูเฉียโกกับเฮาจกกินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน ฮูเฉียโกจึงถามเฮาจกว่า ขณะเมื่อเจ้าเมืองจิ้นจะดับสูญนั้นสั่งให้ผู้ใดเป็นขุนนางผู้ใหญ่จัดแจงบ้านเมือง และสมบัติในเมืองจิ้นนี้ผู้ใดจะเป็นเจ้าเมืองสืบไปเล่า
เฮาจกจึงแจ้งความตามซึ่งเจ้าเมืองจิ้นผู้ตายสั่งให้ฟังแล้วว่า ซึ่งข้าพเจ้ากับเตียวตุนวิวาทกัน เพราะเตียวตุนถือตนว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ไม่ทำตามคำเจ้าเมืองจิ้นสั่งไว้ จะไปรับก๋งจูหยงมาเป็นเจ้าเมือง ข้าพเจ้ามิยอม เตียวตุนมีความพยาบาทอยู่ ถ้าก๋งจูหยงได้มาเป็นเจ้าเมืองจิ้น เตียวตุนก็จะคิดยุยงให้ก๋งจูหยงฆ่าข้าพเจ้าเสียเป็นมั่นคง ข้าพเจ้ามีความวิตกนัก ฮูเฉียโกได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งเตียวตุนได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ขึ้นทั้งนี้ก็เพราะซีโฮย เราจะคิดลอบฆ่าซีโฮยเสีย แล้วจึงไปคิดอ่านกับคับพวด ยกอีโก๋ขึ้นเป็นเจ้าเมืองจิ้น แล้วจึงคิดฆ่าเตียวตุนเสียต่อภายหลัง เฮาจกก็เห็นชอบด้วย ครั้นเวลาค่ำประมาณยามเศษ เฮาจกก็พาทหารคนสนิทประมาณสามสิบคนถืออาวุธครบมือพากันไปถึงบ้านซีโฮย จึงให้ทหารนั่งซุ่มอยู่นอกประตู แต่ตัวเฮาจกนั้นเอากระบี่เหน็บหลังปีนกำแพงเข้าไปในบ้าน แล้วเดินเข้าไปถึงห้องที่นอนเห็นซีโฮยตามตะเกียงดูหนังสืออยู่ ซีโฮยเห็นก็วางหนังสือลงไว้ถามเฮาจกว่าเวลามืดคํ่าแล้ว ท่านมาหาเราด้วยธุระร้อนสิ่งใดหรือ
เฮาจกจึงว่า ข้าพเจ้ามาหาท่านผิดเวลาเพราะจะปรึกษาการใหญ่ ด้วยข้าพเจ้าได้ยินคำโบราณกล่าวไว้ว่า เมืองใดว่างอยู่ถึงสามวันไม่มีเจ้าเมือง เมืองนั้นมักเกิดอันตราย บัดนี้เจ้าเมืองจิ้นดับสูญแล้ว เหตุใดท่านจึงไม่คิดอ่านยกอีโก๋ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเล่า ซีโฮยจึงว่า การซึ่งจะตั้งเจ้าเมืองครั้งนี้ก็สิทธิ์ขาดอยู่กับเตียวตุน จะมาว่ากล่าวกับเรานั้นไม่ชอบ เฮาจกได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ลุกขึ้นยืนเอามือชี้หน้าด่าซีโฮยว่า ตัวเป็นพวกเตียวตุนหาทำตามคำเจ้าเมืองจิ้นสั่งไว้ไม่ กลับจะไปเอาก๋งจูหยงมาเป็นเจ้าเมืองให้ผิดคำสั่งเจ้าเมืองจิ้นผู้ตายเล่าเราจะฆ่าท่านเสีย ว่าแล้วชักกระบี่ออกฟันซีโฮยคอขาดตาย แล้วเฮาจกก็วิ่งลงจากตึก พอคนใช้ซีโฮยยกนํ้าชามาถึงตีนบันไดพบเฮาจก คนใช้ก็ยกนํ้าชาขึ้นไปถึงห้องเห็นซีโฮยคอขาดก็ตกใจ วิ่งกลับออกมาร้องว่าเฮาจกเข้ามาฆ่าซีโฮยเสียแล้ว พวกเราช่วยกันตามจับตัวให้จงได้ พวกคนใช้ซีโฮยก็ไล่ติดตามเฮาจกไป เฮาจกก็ปีนกำแพงหนีออกมาพาทหารคนสนิทกลับไปบ้าน คนใช้ซีโฮยก็เปิดประตูไล่ติดตามไปจนถึงประตูบ้านเฮาจกแล้วกลับมาพากันไปบอกความแก่เตียวตุน
เตียวตุนแจ้งว่าเฮาจกลอบฆ่าซีโฮยเสียก็โกรธ จึงสั่งยีเบงกองตระเวนให้คุมทหารไปล้อมบ้านจับตัวเฮาจกกับบุตรภรรยามาฆ่าเสียจงได้ ทหารทั้งปวงก็พากันไปล้อมบ้านเฮาจกในเวลากลางคืน จับตัวเฮาจกกับบุตรภรรยามาได้ ฮูเฉียโกเห็นวุ่นวายขึ้นก็ตกใจ ออกข้างหลังบ้านหนีกลับไปเมืองลู้ พอเวลารุ่งขึ้นทหารก็มัดเฮาจกไปให้เตียวตุน เตียวตุนก็ให้ทหารเอาตัวเฮาจกกับบุตรภรรยาไปฆ่าเสีย
คับพวดรู้ว่าเตียวตุนฆ่าเฮาจกเสีย เห็นบ้านเมืองจะเกิดฆ่าฟันกันวุ่นวายขึ้น เพราะเตียวตุนทำให้ผิดคำเจ้าเมืองจิ้นสั่ง คับพวดก็ถือทวนเดินเข้าไปที่ว่าราชการ เตียวตุนเห็นก็ออกเชิญคับพวดขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วถามว่า ท่านมาด้วยธุระสิ่งใด คับพวดจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าท่านใช้ให้เซียนเบียดไปรับก๋งจูหยงจะให้มาเป็นเจ้าเมือง ผิดกับคำเจ้าเมืองจิ้นผู้ตายสั่งไว้ ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยจะขอให้อีโก๋เป็นเจ้าเมืองจิ้นอย่างธรรมเนียม ถ้าท่านมิฟังข้าพเจ้าก็คงจะรบกัน ถ้าข้าพเจ้าตายแล้วท่านจะยกก๋งจูหยงขึ้นเป็นเจ้าเมืองก็ตามเถิด เตียวตุนได้ฟังดังนั้นดูกิริยาเห็นคับพวดโกรธก็เกรงอยู่ จึงหัวเราะแล้วว่า เดิมข้าพเจ้าเห็นว่าอีโก๋เป็นเด็กนักจะว่าราชการเมืองมิได้ จึงให้ไปรับก๋งจูหยงมาว่าราชการแทนก๋งจูหวนผู้พี่ ซึ่งข้าพเจ้าเบาความมิได้ปรึกษาท่านนั้นผิดอยู่ ท่านมิยอมให้ก๋งจูหยงเป็นเจ้าเมืองจะให้อีโก๋ขึ้นครองสมบัติก็ตามใจเถิด คับพวดได้ฟังดังนั้นก็คลายโกรธแล้วเชิญอีโก๋ออกมานั่งที่ว่าราชการ จึงมอบสมบัติให้แก่อีโก๋เป็นที่เลงก๋งเจ้าเมืองจิ้นแทนที่บิดาสืบไป
เตียวตุนจึงปรึกษาคับพวดว่า ข้าพเจ้าได้ใช้ให้เซียนเบียดไปรับก๋งจูหยง ณ เมืองจิ๋นมาครองเมืองจิ้น บัดนี้สมบัติในเมืองจิ้นก็เป็นของอีโก๋แล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าจะจัดกองทัพไปตั้งคอยอยู่ ณ ปลายแดนเมืองจิ้น ถ้าก๋งจูหยงมาแล้วให้จับฆ่าเสีย ท่านจะเห็นประการใด คับพวดจึงว่า ก๋งจูหยงนั้นรู้ว่าท่านจะยกสมบัติในเมืองจิ้นให้ก็จะพาพรรคพวกมาโดยปกติ เราคอยให้ก๋งจูหยงเข้ามาในเมืองแล้วจึงจับฆ่าเสีย ซึ่งท่านจะให้ยกเป็นกระบวนทัพไปคอยฆ่าก๋งจูหยงถึงปลายแดนนั้น ข้าพเจ้าเห็นจะลำบากแก่ทหารหาต้องไม่ เตียวตุนจึงว่า ก๋งจูหยงนั้นเป็นหลานซีจูเองซึ่งเป็นคงก๋งเจ้าเมืองจิ๋น แม้นว่าคงก๋งรู้ว่าให้ไปเชิญก๋งจูหยงมาครองเมืองจิ้น คงก๋งก็คงจะแต่งทหารยกเป็นกระบวนทัพมาส่งก๋งจูหยง ซึ่งท่านจะละให้ทหารเมืองจิ๋นเข้ามาถึงเมือง แล้วจึงจับก๋งจูหยงนั้นเห็นจะต้องรบพุ่งกันขึ้นกลางเมือง คับพวดได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงจัดให้เซียนเต๋ากับเซียนเค็กเป็นทัพหน้า ให้ซุนลิมฮูเป็นแม่ทัพ คีเตงฮูเป็นทัพหลัง เกณฑ์ทหารสี่พันกับทหารม้าสองร้อยเกวียนสองร้อยไปคอยก๋งจูหยงอยู่ ณ ตำบลโฮตัง ซุนลิมฮูกับนายทัพนายกองก็คำนับลายกกองทัพไปตามคับพวดสั่ง
ฝ่ายเซียนเบียดซึ่งถือหนังสือเตียวตุนมาถึงเมืองจิ๋น จึงเข้าไปคำนับส่งให้เป๊กอิดเปีย แล้วแจ้งความตามเตียวตุนสั่งมาทุกประการ เป๊กอิดเปียแจ้งดังนั้นก็พาเซียนเบียดเข้าไปแจ้งแก่คงก๋ง คงก๋งรับหนังสืออ่านแล้วก็เข้าไปคำนับส่งหนังสือให้มารดา นางเป๊กกีแจ้งในหนังสือแล้วก็ดีใจ จึงสั่งคงก๋งให้จัดทหารไปส่งก๋งจูหยงให้ถึงเมืองจิ้น คงก๋งก็คำนับลาออกมาจัดสิ่งของและหญิงคนใช้สิบคนให้ก๋งจูหยง แล้วสั่งเป๊กอิดเปียให้คุมทหารม้าสี่ร้อยเกวียนสี่ร้อยไปส่งก๋งจูหยงให้ถึงเมืองจิ้น เป๊กอิดเปียกับก๋งจูหยงเซียนเบียดก็ลาออกมา จัดแจงทหารม้าและเกวียนพร้อมแล้ว ยกออกมาจากเมืองจิ๋นไปถึงเมืองกีนอี๋น เป๊กอิดเปียก็จัดเรือที่หัวเมืองกีนอี๋นพาก๋งจูหยงกับทหารทั้งปวงลงเรือข้ามปากอ่าวโฮตังไป
ฝ่ายซุนลิมฮูมาตั้งค่ายพักทหารคอยก๋งจูหยง อยู่ ณ เมืองด่านองกวนเสีย รู้ข่าวว่าคงก๋งเจ้าเมืองจิ๋นให้เป๊กอิดเปียคุมทหารเป็นอันมากมากับก๋งจูหยงถึงเมืองกีนอี๋น ข้ามอ่าวโฮตังมาถึงฝั่งแล้ว ซุนลิมฮูก็ลงไปรับเซียนเบียด เซียนเบียดคิดสงสัยอยู่ จึงถามซุนลิมฮูว่า เตียวตุนเห็นเรามารับก๋งจูหยงช้าไปจึงใช้ให้ท่านมาตามเราหรือ ซุนลิมฮูจึงบอกว่า บัดนี้เตียวตุนกับคับพวดยกอีโก๋ขึ้นป็นเจ้าเมืองจิ้นแล้ว ให้ข้าพเจ้ากับเซียนเต๋าเซียนเค็กคีเตงฮู คุมทหารมาคอยอยู่ที่นี้ ถ้าท่านพาก๋งจูหยงมาถึงให้ข้าพเจ้าฆ่าเสียท่านจะคิดประการใด เซียนเบียดได้ฟังดังนั้นก็เสียใจนัก จึงคิดว่า เตียวตุนแกล้งล่อลวงให้เรามารับก๋งจูหยง แล้วกลับใช้ท่านมาให้คอยฆ่าก๋งจูหยงเสียเล่า เซียนเบียดจึงคิดว่าเดิมเตียวตุนก็ได้ใช้ให้เราออกไปเชิญก๋งจูหยงมาเป็นเจ้าเมือง บัดนี้กลับตั้งอีโก๋ขึ้นเป็นเจ้าเมืองจิ้น ครั้นเราจะทำราชการด้วยเตียวตุนก็หาสมควรไม่ จึงกลับไปแจ้งความกับก๋งจูหยงทุกประการ
ก๋งจูหยงจึงปรึกษากับเป๊กอิดเปียว่า เดิมเตียวตุนก็ให้เซียนเบียดถือหนังสือมาว่าให้เราไปครองเมืองจิ้น บัดนี้กลับตั้งอีโก๋ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเสีย เห็นว่าเตียวตุนพูดจากลับกลอกอยู่ดังนี้ ครั้นจะยกเข้าตีหักเอาเมืองเล่า เตียวตุนก็เกณฑ์กองทัพมารักษาด่านทางอยู่เป็นอันมาก เป๊กอิดเปียจึงว่า เรายกกองทัพเดินมาถึงนี่แล้ว จำจะคิดอ่านตีเอาเมืองให้จงได้ ครั้นจะหักเอาเดี๋ยวนี้ทหารก็ยังอิดโรยอยู่ จึงสั่งนายทัพนายกองให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้
ฝ่ายซุนลิมฮูแม่ทัพเมืองจิ้น จึงปรึกษาเซียนเต๋าเซียนเค็กคีเตงฮูกับนายทัพนายกองว่า ก๋งจูหยงเป๊กอิดเปียยกทัพมาเห็นทแกล้วทหารอิดโรยอยู่ เวลาวันนี้เราจงจัดแจงทหารเข้าปล้นค่ายเห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย ครั้นดึกประมาณสามยามจึงจัดทหารพร้อมแล้ว ซุนลิมฮูจึงยกเข้าปล้นค่ายก๋งจูหยงเป๊กอิดเปีย ครั้นเข้าไปถึงค่ายเห็นผู้คนหลับสนิทอยู่ก็ดีใจ จึงให้ทหารตีม้าล่อฆ้องกลองขึ้น แล้วตีหักเข้าไปในค่ายไล่ฆ่าฟันทหารก๋งจูหยงแตกกระจัดกระจายไปเป็นอลหม่าน
ฝ่ายเป๊กอิดเปียตื่นขึ้นเห็นทหารแตกวุ่นวายสับสนนัก ไม่ทันใส่เกราะขึ้นม้าพาทหารคนสนิทเที่ยวค้นหาก๋งจูหยงก็มิได้พบ ครั้นจะสู้รบก็เห็นเหถือกำลังนัก จึงถอยออกไปรวบรวมทหารที่แตกตื่นไว้ แล้วก็ทหารคนหนึ่งแจ้งความว่า เมื่อทหารเมืองจิ้นเข้าค่ายได้นั้นพบก๋งจูหยงได้รบกัน ก๋งจูหยงตายในที่รบ เป๊กอิดเปียแจ้งว่าก๋งจูหยงตายแล้วก็พาทหารกลับไปเมืองจิ๋นแจ้งความกับคงก๋งทุกประการ คงก๋งมีความแค้นเตียวตุนเป็นอันมาก จึงคิดว่าเซียนเบียดซีฮวยสองคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์มั่นคงนัก เมื่อเซียนเบียดซีฮวยพาก๋งจูหยงไปถึงแดนเมืองจิ้น เซียนเบียดก็มิได้กลับใจไปเข้าด้วยเตียวตุน จึงตั้งให้เซียนเบียดซีฮวยเป็นขุนนางอยู่ในเมืองจิ๋น