- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๑๐๑
ฝ่ายเค้าเลียดอ๋องเจ้าเมืองฌ้อรู้ข่าวว่าสินเลงกุ๋นมีชัยชนะเจียวเสียงอ๋องจึงว่ากับอึงเทียดซึ่งเป็นที่ซุนซินกุ๋นว่า ท่านยกไปช่วยเมืองเตียวก็หามีความชอบสิ่งใดไม่กลับมาแต่มือเปล่า ถ้าเราได้สินเลงกุ๋นมาเป็นทหารในเมืองฌ้อแล้วเราหากลัวเมืองจิ๋นไม่ ซุนซินกุ๋นได้ฟังดังนั้นมีความละอายใจนัก ด้วยแต่เดิมหัวเมืองทั้งปวงนัดไปตีเมืองจิ๋นแต่ยกให้เมืองฌ้อเป็นใหญ่ ซุนซินกุ๋นคิดเสียใจแล้วกลับมานะนึกว่าบัดนี้เมืองจิ๋นยังระส่ำระสายอยู่ เราจะพูดให้เค้าเลียดอ๋องเจ้าเมืองฌ้อยกไปตีเมืองจิ๋นเถิด จะได้ทำราชการแก้ตัวใหม่ ซุนซินกุ๋นคิดดังนั้นแล้วจึงว่า ขอท่านได้ไปนัดหัวเมืองทั้งปวงให้ยกทัพไปตีเมืองจิ๋นเถิด ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองจิ๋นแตกมาแต่เมืองเตียวใหม่ๆ ทแกล้วทหารยังหาทันจะตั้งตัวได้ไม่ ถ้าท่านยกไปตีแล้วเห็นจะได้เมืองจิ๋นโดยง่าย แต่ท่านให้ไปบอกเมืองตังจิวเป็นทัพใหญ่ไปตีเมืองจิ๋น เมืองเราจะได้เป็นใหญ่ขึ้น
เค้าเลียดอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงใช้ทหารไปเมืองตังจิวแจ้งความกับจิวลันอ๋องว่า เมืองจิ๋นนั้นกระทำความข่มเหงเมืองฌ้อนักขอให้ท่านยกมาช่วยเมืองฌ้อไปตีเมืองจิ๋นเป็นสองทัพด้วยกัน ทหารคำนับแล้วก็ไปเมืองตังจิวเข้าไปแจ้งความตามเค้าเลียดอ๋องสั่งให้จิวลันอ๋องเมืองตังจิวฟังทุกประการ
ขณะนั้นจิวลันอ๋องรู้ข่าวว่าเมืองจิ๋นจะยกมาตีเมืองหันแล้วจะยกมาตีเมืองตังจิว พอทหารเมืองฌ้อมาแจ้งความดังนั้นมีความดีใจเป็นอันมาก จึงสั่งทหารเมืองฌ้อให้ไปบอกกับเค้าเลียดอ๋องเถิดว่าเราจะยกทัพไปช่วยเมืองฌ้อ ทหารได้ฟังดังนั้นก็คำนับลากลับมาเมืองฌ้อ เข้าไปแจ้งความให้เค้าเลียดอ๋องฟังทุกประการ เค้าเลียดอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงให้ทหารไปนัดทัพอีกสี่หัวเมือง เมืองเตียวหนึ่ง เมืองเจ๋หนึ่ง เมืองหันหนึ่ง เมืองเอี๋ยนหนึ่ง ครั้นหัวเมืองทั้งหกรู้พร้อมกันแล้วก็จะยกไปตีเมืองจิ๋น
ฝ่ายจิวลันอ๋องเจ้าเมืองตังจิวนั้นเป็นคนอ่อนแอ ว่าราชการสิ่งใดหาสิทธิ์ขาดไม่ ด้วยคิดกลัวเมืองหันเมืองเตียว จึงแบ่งเมืองตังจิวให้เป็นสองตำบล แต่ตำบลจงฮูเสียนั้นตั้งให้จิวกงอยู่รักษาด่านทิศตะวันออกเมืองตังจิว ตำบลลกอิบนั้นอยู่ทิศตะวันตกเมืองไซจิว จิวลันอ๋องอยู่รักษา ครั้นจิวลันอ๋องพูดจาสัญญาไปกับเมืองฌ้อแล้วก็เที่ยวตรวจตราดูทแกล้วทหารและม้าเกวียนทั้งปวงในเมืองตังจิวเห็นผู้คนนั้นน้อยนัก เหลือประมาณสักห้าหกพัน ทั้งม้าเกวียนเหล่านั้นก็น้อย หาพอใช้ราชการในกองทัพไม่ จิวลันอ๋องจึงไปหาคนที่มีทรัพย์ในตำบลไซจิวนั้นเข้ามาแล้วจิวลันอ๋องจึงทำหนังสือสัญญาว่ากู้เงิน ในหนังสือสัญญานั้นว่าถ้าเราไปตีเมืองจิ๋นได้แล้วเราจะคิดเป็นค่าดอกเบี้ยให้ท่านกับข้าวของสิ่งอื่นๆ บ้าง คนมีทรัพย์ได้ฟังดังนั้นก็เอาเงินมาให้จิวลันอ๋องแล้วก็เก็บหนังสือสัญญาไว้ จิวลันอ๋องก็จัดแจงทแกล้วทหารออกจากไซจิวมาตั้งอยู่ตำบลอิเคียดใกล้แดนเมืองจิ๋น
ฝ่ายเง่าเอยทหารเมืองเอี๋ยนก็ยกทัพมา ฝ่ายทหารเมืองฌ้อชื่อเกงเอียงก็คุมทัพยกทหารมาพร้อมกันเป็นสองกอง แต่เมืองเจ๋ เมืองหัน เมืองเตียว สามเมืองนั้นหายกมาตามสัญญาไม่ ด้วยเมืองเจ๋เป็นไมตรีกับเมืองจิ๋น เมืองหัน เมืองเตียว คิดกลัวว่าเมืองจิ๋นเพิ่งล่าทัพกลับไป ทแกล้วทหารทั้งปวงยังหาพร้อมมือกันอยู่ เมืองหัน เมืองเตียว จึงไม่ยกทัพมาเมืองจิ๋น ตระเตรียมทหารให้อยู่รักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง
ฝ่ายเจียวเสียงอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นแจ้งว่า เมืองฌ้อหนึ่ง เมืองเอี๋ยนหนึ่ง เมืองตังจิวหนึ่ง ยกทัพมา แต่พวกทแกล้วทหารนั้นหามีใครเข้มแข็งไม่ ทั้งสามเมืองและหัวเมืองที่นัดกันไว้ก็หาเห็นยกมาพร้อมกันไม่ เมืองฌ้อ เมืองตังจิว เมืองเอี๋ยนนั้นก็ยกมาตั้งค่ายอยู่หามีผู้ใดยกเข้าตีเมืองจิ๋นไม่ เจียวเสียงอ๋องยิ่งมีใจกำเริบหนักขึ้นจึงเรียกทหารคนหนึ่งชื่อยงคิวมาสั่งให้คุมกองทัพสิบหมื่นยกออกไปตั้งอยู่ตำบลฮำฮกกวนด่านเมืองจิ๋น แล้วใช้ให้เตียวถังทหารคนหนึ่งคุมกองทัพใหญ่ไปตีเมืองหันที่ตำบลเอียงเสีย ฝ่ายเมืองฌ้อ เมืองเอี๋ยน เมืองตังจิว ยกมาตั้งอยู่ประมาณได้สามเดือนก็ไม่มีผู้ใดยกมาเข้าตีเมืองจิ๋น ต่างคนต่างคิดท้อใจอยู่ ก็พากันยกกลับไปเมืองทั้งสามกอง ครั้นจิวลันอ๋องยกกลับมาถึงเมืองไซจิวแล้ว พวกเจ้าหนี้ที่จิวลันอ๋องกู้เงินไปนั้นต่างคนก็พากันมาทวงเงิน จิวลันอ๋องยกทัพไปครั้งนั้นเอาเงินไปใช้สอยสิ้นเป็นอันมาก ครั้นแจ้งว่าพวกเจ้าหนี้มาทวงเงินก็หลบไปอยู่ที่หอเก๋งสูง ตั้งแต่นั้นมาชาวเมืองไซจิวเรียกว่าเก๋งหลบเจ้าหนี้
ฝ่ายเจียวเสียงอ๋องแจ้งว่าทั้งสามเมืองยกทัพกลับไปแล้วจึงใช้ให้ทหารออกไปบอกยงคิวที่ฮำฮกกวน ให้ยกทัพไปช่วยเตียวถังที่ตำบลเอียงเสีย ยงกิวก็พาทหารสิบหมื่นยกไปตั้งอยู่กับเตียวถัง ฝ่ายจิวลันอ๋องนั้นก็มีความวิตกมากด้วยไม่มีเงินจะใช้หนี้ ทั้งเสบียงที่จะแจกจ่ายให้ทหารกินนั้นก็ขัดสน ครั้นรู้ว่ากองทัพเมืองจิ๋นมาติดตำบลเอียงเสียแดนเมืองหัน จิวลันอ๋องจึงคิดว่าถ้าทัพเมืองจิ๋นตีเมืองหันแตกแล้วก็คงยกมาตีเมืองไซจิวด้วย ครั้นเราจะนิ่งอยู่ฉะนี้เห็นจะเสียทีทัพเมืองจิ๋นเป็นมั่นคง จำเราจะหนีไปอยู่ ณ เมืองสามจิ้นจึงจะพ้นข้าศึก
จิวลันอ๋องคิดดังนั้นแล้วก็จัดแจงครอบครัวจะหนีไป กิตติศัพท์นั้นก็รู้ถึงจิวกง จิวกงก็มาหาจิวลันอ๋องแล้วห้ามว่า ท่านอย่าหนีไปเลย อันเมืองไซจิวนี้ต้องด้วยทำนายของไทซือเจียนเขียนว่าไว้ ถ้าถึงห้าร้อยปีแล้วก็ต้องเป็นแดนของเมืองจิ๋น ทั้งเมืองสามจิ้นก็ต้องเป็นแดนขึ้นของเมืองจิ๋นด้วย ท่านอย่าหนีไปจากเมืองเลย จงยกเอาเมืองไซจิวไปให้เจียวเสียงอ๋องเสียเถิด เห็นว่าเจียวเสียงอ๋องก็คงจะจัดแจงให้เราอยู่ตามสมควร จิวลันอ๋องได้ฟังจิวกงพูดจาดังนั้นก็เป็นความจนใจอยู่ มิรู้ที่จะคิดอ่านประการใด จึงให้หาญาติและแซ่ของตัวมาพร้อมกัน แล้วพากันไปร้องไห้ที่หอไทเบี้ยวคือเก๋งสำหรับไว้รูปกษัตริย์ซึ่งครองเมืองมาแต่ก่อน แต่ไปร้องไห้อยู่ถึงสามวันแล้วจิวลันอ๋องก็ยอมยกเมืองให้แก่ยงคิวทหารเมืองจิ๋น เป็นหัวเมืองสามสิบหกเมือง ตำบลบ้านนั้นสามหมื่น แต่ที่เมืองตังจิวนั้นยังหายกให้ไม่ ยงคิวให้เตียวถังพาจิวลันอ๋องกับพวกพ้องไปหาเจียวเสียงอ๋อง ณ เมืองจิ๋น ยงคิวก็พาทหารยกเข้าไปเมืองลกอิบเสีย ไปเที่ยวดูเมืองและตำบลบ้านทั้งปวงที่จิวลันอ๋องยกให้นั้น
ฝ่ายเตียวถังพาจิวลันอ๋องเข้าไปหาเจียวเสียงอ๋องในเมืองจิ๋น จิวลันอ๋องคำนับเจียวเสียงอ๋องแล้วพูดอ้อนวอนขอโทษว่า ข้าพเจ้าได้คิดผิดแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอยอมเป็นเมืองขึ้นแก่ท่าน ท่านจงยกโทษให้ข้าพเจ้าเถิด เจียวเสียงอ๋องได้ฟังจิวลันอ๋องมาพูดอ้อนวอนดังนั้นก็มีความสงสาร จึงว่าท่านจงไปอยู่ที่เมืองเหลียงเสียเถิด แล้วเจียวเสียงอ๋องตั้งให้จิวลันอ๋องเป็นที่จิวก๋ง จิวก๋งก็พาครอบครัวไปอยู่เมืองเหลียงเสีย ครั้นมาอยู่ได้ประมาณเดือนหนึ่ง จิวก๋งมีความทุกข์ร้อนตรอมใจโรคก็บังเกิดมากขึ้น จิวก๋งก็ถึงแก่ความตาย
ฝ่ายเจียวเสียงอ๋องให้ยงคิวมาแล้ว สั่งให้พาทหารไปที่เมืองลกเอี๋ยง ยงคิวก็คำนับลาพาทหารไปถึงเมืองลกเอี๋ยง แล้วเที่ยวไล่จับคนในเมืองลกเอี๋ยง คนทั้งปวงรู้ดังนั้นมีความตกใจกลัวก็พากันหนีไปอยู่เมืองตังจิว ด้วยไม่มีผู้ใดเต็มใจยอมมาอยู่เมืองจิ๋น ฝ่ายยงคิวแจ้งว่าคนทั้งปวงหนีไปสิ้นแล้วก็สั่งให้ทหารเข้ารื้อหอไทเบี้ยวที่ไว้รูปกษัตริย์ทั้งปวงแต่ก่อนนั้นเสีย แล้วให้คนไปขนเอากระทะทองคำเก้าใบๆ หนึ่งนํ้าหนักถึงพันชั่ง แต่ก่อนหน้าได้วันหนึ่งเมื่อยงคิวยังไม่ได้ขนกระทะนั้น บังเกิดอัศจรรย์เป็นเสียงเหมือนคนร้องไห้อยู่ในกระทะนั้น ครั้นยงคิวขนกระทะลงบรรทุกเรือมาถึงตำบลซือจุย กระทะใบหนึ่งนั้นก็ลอยขึ้นบนอากาศแล้วตกลงในนํ้า ยงคิวเห็นประหลาดดังนั้น จึงใช้ให้ทหารโดดนํ้าดำลงไปตามก็หาเห็นไม่ กระทะนั้นก็กลายเป็นรูปมังกรใหญ่ผุดขึ้นมากลางนํ้า แล้วเลื้อยขึ้นไปหายอยู่บนอากาศ แม่นํ้านั้นบังเกิดลมพายุพัดเป็นลูกคลื่นใหญ่ คนทั้งปวงในลำเรือเห็นดังนั้นก็ตกใจกลัว หามีผู้ใดกล้าลงดำกระทะสืบต่อไปไม่ พากันกลับขึ้นเรือเสียสิ้น ครั้นเวลาคํ่าลงวันนั้นยงคิวนอนอยู่ในเรือเผอิญฝันเห็นว่าจิวบู๊อ๋องนั่งอยู่ที่หอไทเบี้ยว แล้วจิวบู๊อ๋องร้องเรียกยงคิวไปที่หอไทเบี้ยว ด่าว่าเอ็งเป็นคนจองหองมารื้อที่อยู่ของกูเสีย แล้วมิหนำซ้ำเอากระทะทองทั้งเก้าใบไปเสียด้วย จิวบู๊อ๋องด่าว่าดังนั้นแล้วก็ร้องเรียกตำรวจผีมาเฆี่ยนยงคิวร้อยที สิ้นความฝันเท่านั้น
ยงคิวก็สะดุ้งตกใจตื่นขึ้น ยงคิวบังเกิดเป็นฝีขึ้นทั่วไปทั้งหลังมีความปวดแสบร้อนเป็นอันมาก ครั้นเวลารุ่งเช้ายงคิวก็สั่งให้ทหารรีบล่องเรือมายังเมืองจิ๋น ยงคิวก็ให้ทหารขนกระทะเข้าไปให้เจียวเสียงอ๋อง ยงคิวก็เข้าไปคำนับเจียวเสียงอ๋อง แล้วแจ้งความทั้งปวงตั้งแต่รื้อหอไทเบี้ยวและขนกระทะให้เจียวเสียงอ๋องฟังทุกประการ
เจียวเสียงอ๋องก็สั่งให้คนไปตรวจดูกระทะที่หายไปนั้นจะเป็นชื่อใดแน่ คนใช้คำนับแล้วเข้าไปตรวจดูกระทะทั้งแปดใบ แต่ใบที่เก้าซึ่งกลายเป็นมังกรไปนั้นชื่อกระทะอิ้วจิว เพราะเหตุหล่อไว้ที่เมืองอิ้วจิวแต่ก่อนนั้น เจียวเสียงอ๋องจึงว่า แต่ที่เมืองก็เป็นของของเราแล้ว เหตุใดกระทะจึงไม่ยอมมาเป็นของเราเล่า เจียวเสียงอ๋องพูดดังนั้นแล้วจึงสั่งให้คนกลับไปดำเอากระทะมาให้จงได้ ยงคิวได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า กระทะอิ้วจิวที่หายไปนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์จึงกลายเป็นมังกรหายไปได้ ท่านอย่าใช้ให้คนไปดำเลยเห็นจะหาได้ไม่ เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ เสียดายกระทะอิ้วจิวใบนั้นก็หาได้สั่งให้ผู้ใดไปดำไม่
ยงคิวก็คำนับลากลับมาบ้าน ครั้นอยู่หลายวันมาฝีที่ผีเฆี่ยนนั้นกำเริบขึ้นยงคิวก็ถึงแก่ความตาย เจียวเสียงอ๋องจึงสั่งให้ยกเอากระทะทองแปดใบนั้นไปตั้งไว้ที่หอไทเบี้ยว แล้วจัดแจงเครื่องบวงสรวงทั้งปวงเป็นอันมากไปเคารพบูชาเป็นเครื่องสังเวยกระทะสำหรับแผ่นดินเมืองหลวงสืบกันมา เจียวเสียงอ๋องก็สั่งให้ม้าใช้ไปเที่ยวป่าวร้องชาวเมืองทั้งปวงให้มาชุมนุมในเมืองจิ๋น
ฝ่ายเมืองหันนั้นอยู่ใกล้เมืองจิ๋น ก็จัดแจงเครื่องบรรณาการมาก่อนหัวเมืองทั้งปวง ฝ่ายเมืองเจ๋หนึ่ง เมืองฌ้อหนึ่ง เมืองเตียวหนึ่ง เมืองเอี๋ยนหนึ่ง ทั้งสี่เมืองนั้นให้เสียงก๊กนำเครื่องบรรณาการมาพร้อมกัน แต่เมืองงุยนั้นหามาไม่ เจียวเสียงอ๋องเห็นหัวเมืองทั้งปวงมาพร้อมกัน ยังแต่เมืองงุยนั้นยังขาดอยู่ เจียวเสียงอ๋องก็มีความโกรธเป็นอันมาก จึงให้หาตัวอองกีเข้ามา สั่งให้ยกทัพไปตีเมืองงุย อองกีคนนี้เป็นคนชอบอัธยาศัยกับงุยอันลี้อ๋องเจ้าเมืองมาแต่ก่อนนั้น
ครั้นอองกีรู้ดังนั้นก็สั่งให้คนลอบเอาข่าวไปแจ้งกับเจ้าเมืองงุย เจ้าเมืองงุยแจ้งดังนั้นก็สะดุ้งตกใจกลัวนัก จึงหาตัวไทจูเจ้งผู้บุตรเข้ามาสั่งให้ไปเป็นตัวจำนำอยู่เมืองจิ๋นกับเครื่องบรรณาการทั้งปวง ไทจูเจ้งก็คำนับลางุยอันลี้อ๋องนำเครื่องบรรณาการมาถึงเมืองจิ๋น ไทจูเจ้งก็เข้าไปคำนับเจียวเสียงอ๋องแล้วอ้อนวอนขอโทษว่า บิดาข้าพเจ้าสั่งมาถึงท่านว่า ซึ่งเมืองงุยจะได้ขบถต่อท่านนั้นหามิได้ จึงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเป็นตัวจำนำอยู่เมืองจิ๋น เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็หายโกรธ ยอมให้ไทจูเจ้งอยู่ในเมืองจิ๋น
ขณะนั้นเจียวเสียงอ๋องเป็นเจ้าเมืองจิ๋นได้ห้าสิบสองปี เจียวเสียงอ๋องจึงประกาศหัวเมืองทั้งหก ให้ตั้งอยู่ในธรรมเนียมเมืองจิ๋นสิ้นทั้งหกหัวเมือง อยู่มาเวลาวันหนึ่ง เจียวเสียงอ๋องคิดว่าเมืองงุยนี้แต่แรกแข็งเมืองอยู่ เราสั่งให้อองกียกทัพไปตีเมืองงุยยังหาทันยกไปไม่ เหตุไฉนงุยอันลี้อ๋องจึงได้รู้ตัว ความข้อนี้เราสั่งอองกี ชะรอยอองกีเอาความไปบอกกับงุยอันลี้อ๋อง งุยอันลี้อ๋องจึงให้ไทจูเจ้งนำเครื่องบรรณาการมาให้เรา เจียวเสียงอ๋องคิดดังนั้นแล้วจึงให้หาตัวอองกีเข้ามาแล้วว่า เราสั่งให้ท่านยกทัพไปเมืองงุย ยังหาทันจะไปไม่ เมืองงุยรู้ข่าวจึงเอาเครื่องบรรณาการ มาให้เสียก่อน เราหาได้พูดจากับผู้ใดไม่ ใครเอาความไปบอกงุยอันลี้อ๋องเราสงสัยอยู่ อองกีได้ฟังก็อั้นอ้นจนใจ นั่งนิ่งอยู่หาตอบประการใดไม่ เจียวเสียงอ๋องโกรธก็สั่งให้เอาตัวอองกีไปประหารชีวิตเสีย กิตติศัพท์ก็รู้ไปถึงฮวมซุยเสียงก๊ก ฮวมซุยเสียงก๊กตกใจกลัวนักจึงเข้าไปหาเจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องเห็นฮวมซุยเข้ามาก็ถอนใจใหญ่ ฮวมซุยเห็นดังนั้นคำนับแล้วจึงว่า ธรรมดาคนทั้งปวงที่เจ้านายชุบเลี้ยงถ้าเจ้านายมีความทุกข์ ขุนนางทั้งปวงก็มีความทุกข์ ถ้าเจ้าได้ความตายขุนนางก็ถึงที่ตาย ซึ่งข้าพเจ้าเห็นท่านออกมายังที่ว่าราชการแล้วและทอดถอนใจใหญ่ฉะนี้ ข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้ใหญ่สติปัญญาน้อยมิได้ล่วงรู้ซึ่งความทุกข์ของท่านนั้น โทษทัณฑ์ของข้าพเจ้าเป็นประการใดก็แล้วแต่ท่านจะโปรดเถิด
เจียวเสียงอ๋องได้ฟังฮวมซุยว่าดังนั้นจึงว่า แปะคี้เป็นทหารดีมีฝีมืออยู่ในเมืองจิ๋นก็ตายเสียแล้ว แต้อันเผงก็คิดขบถไม่ซื่อตรงต่อแผ่นดินหนีไปอยู่เมืองงุย หัวเมืองทั้งปวงก็มีทหารเข้มแข็งมากกว่าในเมืองจิ๋น บัดนี้ทหารในเมืองเราก็ไม่เห็นผู้ใดที่จะนำทัพทำศึกต่อไป เราจึงถอนใจใหญ่เพราะเหตุเท่านี้ ฮวมซุยได้ฟังดังนั้นก็คิดละอายใจและประกอบไปด้วยความกลัวหาตอบประการใดไม่ ก็คำนับเจียวเสียงอ๋องแล้วกลับมาบ้าน ขณะนั้นมีชัวเจ๊กคนหนึ่งอยู่ในเมืองเอี๋ยน ถือตัวว่าเป็นคนดีมีสติปัญญาหาผู้เสมอมิได้ อยู่มาวันหนึ่งชัวเจ๊กขึ้นขี่เกวียนไปทั่วทุกหัวเมือง
ครั้นมาถึงเมืองงุยพบซินแสคนหนึ่ง ชื่อทังกือเป็นหมอดูรู้ลักษณะดีและชั่ว ชัวเจ๊กจึงถามทังกือว่า หลีต๋อยในเมืองเตียวท่านทายไว้ว่าในร้อยวันจะได้เป็นเสียงก๊กนั้นถูกหรือหาไม่ ทังกือจึงตอบว่า เราทายถูกเหมือนคำเรา ชัวเจ๊กจึงว่าท่านช่วยดูตัวเราบ้างจะได้ดีต่อเมื่อใด ทังกือแลดูหน้าชัวเจ๊กแล้วหัวเราะจึงแกล้งว่า อันคนมีลักษณะปลายจมูกเหมือนหางแมลงป่อง และมีคิ้วขมวดทั้งสองข้าง และมีบ่าทั้งสองสูง มีขาคู้มิได้เหมือนคนทั้งปวงดังนี้ ในตำราอาจารย์ของข้าพเจ้าห้ามมิให้ทาย ชัวเจ๊กได้ยินดังนั้นก็เข้าใจว่าทังกือแกล้งว่า ชัวเจ๊กจึงตอบว่า การที่มั่งมีนั้นเรารู้อยู่ในใจแล้ว จะขอถามท่านเพียงอายุจะสั้นหรือจะยาว ทังกือจึงว่า ตั้งแต่นี้ไปอายุสี่สิบสามปีท่านจะได้ดีเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ชัวเจ๊กได้ฟังทังกือว่าดังนั้นหัวเราะแล้วจึงตอบว่า เราได้ดีเหมือนปากท่านว่าแล้ว ถึงจะตายก็ตามทีเถิด ชัวเจ๊กว่าดังนั้นแล้วก็ลาทังกือขึ้นขับเกวียนไป ครั้นมาถึงเมืองหันเข้าไปหาเจ้าเมืองหันหมายว่าจะได้เป็นขุนนาง เจ้าเมืองหันก็หาชอบไม่ ชัวเจ๊กก็เที่ยวไปเมืองเตียว เข้าไปฟังดูในเมืองเตียวก็หาสมความคิดไม่จึงกลับมาเมืองงุย พอถึงกลางทางเป็นเวลากลางคืน โจรก็ลักเอาสิ่งของไปสิ้นทั้งนั้น ครั้นรุ่งเช้าทังกือเดินมาพบเข้าจึงถามชัวเจ๊กว่า ท่านยังไม่ได้เป็นขุนนางดอกหรือ เราเห็นท่านกลับมาอยู่ที่เก่า
ชัวเจ๊กได้ยินทังกือถามดังนั้น จึงบอกว่าเราไปเที่ยวหาที่ขุนนางก็ยังหามีที่ว่างไม่ ทังกือจึงว่าถ้าท่านจะรักเป็นขุนนางแล้วจงไปเที่ยวข้างทิศตะวันตกเถิด เห็นจะได้เป็นขุนนางโดยเร็ว บัดนี้ฮวมซุยเสียงก๊กเมืองจิ๋นเป็นผู้นำแต้อันเผงกับอองกีมาอยู่กับเจ้าเมืองจิ๋น เจียวเสียงอ๋องใช้ให้แต้อันเผงกับอองกีเป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองเตียว ทหารทั้งสองคนนั้นเป็นโทษเสียแล้ว บัดนี้ฮวมซุยเสียงก๊กนั้นหามีความสบายไม่ ถ้าท่านไปหาฮวมซุยแล้วคงจะได้เป็นที่ขุนนาง ซึ่งท่านจะมาอยู่ที่นี้แล้วก็จะยากจนอยู่อย่างนี้ ท่านจงรีบไปเถิด ชัวเจ๊กจึงตอบว่า เวลาคืนนี้มีผู้ชายมาลักเอาเสบียงอาหารไปสิ้นแล้ว เราหามีสิ่งอันใดจะไปกินกลางทางไม่ อนึ่ง หนทางไปเมืองจิ๋นนั้นไกลนักทำประการใดจึงจะไปได้ถึงเมืองจิ๋น ทังกือได้ฟังชัวเจ๊กว่าดังนั้นจึงหยิบเอาทองสิบตำลึงส่งให้ชัวเจ๊กแล้วบอกว่า ท่านเอาไปซื้อกินตามทางเถิด ถ้าท่านได้ดีแล้วจงคิดถึงเราให้มากๆ อย่าลืมเราเสีย ชัวเจ๊กรับเอาทองจากทังกือแล้วก็ลาขึ้นเกวียนไปทางเมืองจิ๋น ครั้นมาถึงเมืองจิ๋นก็เข้าไปอาศัยอยู่ที่เตี้ยมขายสุรา แล้วชัวเจ๊กจึงว่า ท่านจงจัดแจงเข้าที่ข้าวปลาที่มันอย่างดีมาให้เรากินเถิด ถ้าเราได้เป็นที่ไจเสียงแล้วเราจะให้เงินให้ทองสนองคุณท่าน เจ้าของเตี้ยมได้ฟังดังนั้นนึกสงสัย จึงถามว่าท่านชื่อใดมาแต่เมืองไหนจึงจะได้เป็นที่ไจเสียง ชัวเจ๊กจึงตอบว่า เรานี้เป็นคนมีสติปัญญา แต่บรรดาหัวเมืองทั้งปวงหามีผู้เสมอเราไม่ ตัวเราชื่อว่าชัวเจ๊ก ถ้าเราเข้าไปหาเจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องได้พูดจากับเราแล้วก็คงจะถอดฮวมซุยเสียงก๊กเสียจะเอาที่เสียงก๊กยกตราให้กับเรา เจ้าของเตี้ยมได้ยินชัวเจ๊กว่ากล่าวดังนั้นก็หัวเราะคิดว่าคนนี้เห็นจะเป็นบ้า เจ้าของเตี้ยมนั้นจึงไปเที่ยวพูดจาให้ชาวบ้านที่อยู่ใกล้กันนั้นฟัง
ขณะนั้นมึ่งแคะที่อยู่กับฮวมซุยได้ยินชัวเจ๊กพูดดังนั้น ก็ไปแจ้งความให้ฮวมซุยฟังทุกประการ ฮวมซุยได้ฟังดังนั้นจึงว่ากับมึ่งแคะว่า อันตัวเรานี้ก็ถือตัวว่าเป็นคนดีอยู่คนหนึ่ง ถึงหนังสือแต่ก่อนที่พระเจ้าซำอ๋องกับเง่าตี้ทำไว้เราก็ได้เรียนรู้ และบรรดาหนังสือที่อาจารย์ทั้งปวงตบแต่งไว้ เราก็ได้อ่านจนชำนาญในใจแล้ว กับประการหนึ่ง คนดีมีฝีปากอยู่ในหัวเมืองทั้งปวงนั้นก็ได้พูดจากันแล้วก็หามีผู้ใดสู้ฝีปากเราได้ไม่ แต่ชัวเจ๊กคนนี้จะพูดจาดีประการใด ยิ่งกว่าคนทุกหัวเมืองอีกหรือจึงว่าจะมาเป็นเสียงก๊กในเมืองจิ๋น ท่านจงไปบอกชัวเจ๊กให้มาหาเราเถิด เราจะขอฟังฝีปากดูสักหน่อยหนึ่ง มึ่งแคะได้ฟังฮวมซุยว่าดังนั้นก็คำนับลามาหาชัวเจ๊กที่เตี้ยมขายสุรา แล้วถามเจ้าของเตี้ยมว่าชัวเจ๊กมาอาศัยอยู่กับท่านหรือ บัดนี้ฮวมซุยเสียงก๊กให้หาตัวจะธุระประการใดก็ไม่รู้ เจ้าของเตี้ยมรู้ดังนั้นจึงไปบอกชัวเจ๊กว่า ท่านมาอาศัยอยู่กับเราไม่ทันไร บัดนี้เสียงก๊กให้หาตัวท่าน เพราะท่านพูดอวดตัวนักเห็นฮวมซุยจะโกรธท่าน ถ้าท่านจะเข้าไปหาแล้วจงระวังตัวเถิดจะอายเขา ชัวเจ๊กจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ถ้าเราไปถึงฮวมซุยแล้วก็คงยกที่เสียงก๊กให้เรา เราไม่ต้องไปถึงเจียวเสียงอ๋องดอก เจ้าของเตี้ยมจึงว่าท่านอย่าทำเป็นบ้าไปเลย ถ้าไปหาเขาแล้วจะผิดชอบประการใด อย่าให้ความผิดมาถึงเรา ชัวเจ๊กหัวเราะแล้วจัดแจงแต่งตัวใส่เสื้อผ้าใส่รองเท้าใหม่เดินออกมา หามึ่งแคะ มึ่งแคะก็พาชัวเจ๊กไปหาฮวมซุย
ขณะนั้นฮวมซุยนั่งอยู่ที่เก๋งรับแขกคอยท่าชัวเจ๊กอยู่ ชัวเจ๊กก็เข้าไปหาฮวมซุยยกมือขึ้นคำนับแต่หาคุกเข่าลงไม่ ฮวมซุยเห็นดังนั้นก็โกรธแล้วขู่ถามว่า เราได้ยินคนข้างนอกนั้นพูดว่าเจ้าจะมาแทนที่ไจเสียงของเราจริงหรือ ชัวเจ๊กยืนอยู่ข้างหนึ่งแล้วตอบว่าข้าพเจ้าพูดจริง ฮวมซุยจึงถามว่า เจ้ามีความดีสิ่งใดจะมาพูดว่ากล่าวช่วงชิงเอาที่ไจเสียงนั้น ชัวเจ๊กจึงตอบว่าสติปัญญาของท่านยังเล็งไม่เห็นดอกหรือ ธรรมดาของในแผ่นดินเหมือนรูปวาดเขียนสิ่งใดก็ดี เมื่อแรกนั้นก็ดูสีสันลวดลายสดใสสะอาดงามอยู่ ครั้นนานไปแล้วก็มีแต่จะเศร้าหมองลงทุกวัน ซึ่งตัวท่านนั้นบัดนี้จะต้องถอยยศลงเสียบ้าง เหมือนของใหม่แล้วกลับเก่าไปนั้น ฮวมซุยได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ตัวเราไม่ถอดให้ใครจะอาจสามารถมาถอดที่ของเราได้
ชัวเจ๊กจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่านั้นหาต้องด้วยอย่างธรรมเนียมไม่ อันมนุษย์ทุกวันนี้ถ้าเกิดมาเป็นรูปกายแล้ว ต้องมีมือและเท้าพร้อมทั้งสติปัญญากับกำลังวังชาด้วย กับประการหนึ่งต้องจำแนกแจกทานไว้ในแผ่นดิน จึงจะสมกับคนที่มีสติปัญญาเป็นอันมาก ซึ่งถ้อยคำของข้าพเจ้าว่าท่านเห็นจริงด้วยหรือไม่ ฮวมซุยก็รับว่าจริง ชัวเจ๊กจึงย้อนถามว่าลักษณะคนเรานั้นเกิดมาแล้วก็ต้องแสวงหาความสุขสนุกสบาย ครั้นได้สมความคิดแล้ว จะรู้หรือว่าความสุขนั้นจะตลอดหรือไม่ ตลอดกับประการหนึ่งจะรู้ว่าอายุนั้นจะสั้นหรือจะยืน เหมือนคนเราทุกวันนี้ได้ความสุขแล้วก็จะหาแต่ความสบาย ซึ่งจะกำหนดอายุนั้นหาได้ไม่ ถึงจะเอาความสุขนั้นสืบไปจนชั่วลูกชั่วหลาน ก็ยังหาคาดถูกไม่ว่าจะตลอดหรือจนชั่วอายุ ซึ่งข้าพเจ้าว่ามาทั้งนี้ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ฮวมซุยก็รับว่าเราเห็นด้วย
ชัวเจ๊กจึงชักเรื่องขุนนางทั้งปวงมาพูดเปรียบให้ฮวมซุยฟังว่า เมืองจิ๋นมีเซียงเอี๋ยงคนหนึ่ง เมืองฌ้อมีเง่าคี้คนหนึ่ง เมืองอวดมีบุนจงคนหนึ่ง คนทั้งสามนี้มีความชอบเป็นอันมาก เมื่อตัวจะตายนั้นหามีความสะดวกไม่ เพราะเหตุดังนี้ เราจึงมาว่าให้ท่านเห็น ท่านจะยอมหรือหาไม่ ฮวมซุยได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าชัวเจ๊กนี้พูดจาเปรียบเทียบเข้ามาถึงตัวเรา ถ้าเราพูดออกไปว่าจะยอมก็จะเสียทีชัวเจ๊ก ฮวมซุยคิดดังนั้นแล้วจึงถามว่า เหตุอันใดที่ท่านพูดว่าจะยอมหรือไม่ เรายังไม่เข้าใจที่ท่านว่ามานั้น ชัวเจ๊กจึงว่าเซียงเอี๋ยงคนนี้ เดิมอยู่กับจิ๋นเฮาก๋ง เป็นคนซื่อตรงต่อแผ่นดิน แล้วมีความกตัญญูกับเจ้า มิได้อาลัยกับสมบัติ กระทำกฎหมายขึ้นไว้ในเมืองจิ๋น จนเจ้าเมืองจิ๋นนั้นมั่งคั่งบริบูรณ์ ทั้งได้ตำบลทัดตี้นั้นพันลี้ ฝ่ายเง่าคี้ซึ่งอยู่ในเมืองฌ้อนั้นก็มีความกตัญญูต่อเจ้า หามีความอาลัยกับบุตรภรรยาไม่ สู้กระทำศึกสนองคุณเจ้าเมืองฌ้อ เที่ยวปราบข้าศึกไปจนข้างทิศเหนือจนเมืองอวด ฝ่ายใต้นั้นก็กระทั่งถึงสามจิ้น อันบุนจงซึ่งอยู่กับอวดอ๋องเจ้าเมืองอวดนั้น มีความอุตส่าห์ทำนุบำรุงจนเมืองอวดนั้นกล้าแข็งเพียงจะกลืนหงออ๋องเสียได้ ขณะเมื่ออวดอ๋องล่าทัพ หงออ๋องหนีไปอยู่ตำบลเขาชื่อกวยกีซัว บุนจงก็คิดอ่านด้วยสติปัญญา แก้แค้นแทนอวดอ๋องได้ ขุนนางทั้งสามคนนั้นแต่ล้วนเป็นคนดีมีฝีมือและสติปัญญาเป็นอันมาก ครั้นตัวจะถึงตายก็ไม่มีความสะดวก อันคนเราเกิดมาเป็นลูกผู้ชายในทุกวันนี้จะทำแต่ความดีให้มีชื่อไว้ในแผ่นดิน แต่ตัวของตัวนั้นหารักไม่ ถึงจะตายก็ไม่คิดแก่ชีวิต เอาแต่ชื่อให้ลือไว้ต่อภายหลัง คนอย่างนี้เห็นจะมีบ้างหรือไม่ เป็นใจท่านจะยอมหรือไม่ยอม
ฮวมซุยได้ฟังชัวเจ๊กว่าดังนั้น จะนั่งก็ไม่เป็นสุขด้วยใจนั้นไม่สบาย แต่หากทำปากนั้นแข็งไว้แล้วลุกขึ้นยืนฟังด้วยความนั้นกระทั่งถึงตัวเข้า ชัวเจ๊กเห็นกิริยาฮวมซุยไม่สบายดังนั้นจึงพูดว่า ธรรมดาเจ้าเมืองสัตย์ซื่อ ไม่เบียดเบียนอาณาประชาราษฎร์ แล้วขุนนางทั้งปวงก็ประกอบไปด้วยสติปัญญาเป็นอันมาก จักได้ชื่อว่าเมืองนั้นมีบุญอันประเสริฐกว่าหัวเมืองทั้งปวง กับประการหนึ่งถ้าบิดานั้นดีมีความกรุณาสั่งสอนบุตรจะให้มีแต่ความเจริญ บุตรนั้นก็ต้องมีความกตัญญูรู้คุณบิดา ถ้าบ้านใดมีคนชนิดนี้อยู่แล้ว บ้านนั้นก็จะมีความสุขมาก ประเพณีบุตรกับบิดา ถ้าบิดาดีแล้วบุตรก็ต้องรัก ขุนนางทั้งปวงเล่า ถ้าเจ้าดีแล้วขุนนางก็ต้องรัก ใครเลยจะไม่แสวงหาความสุข อันคนเราเกิดมาในโลกนี้ ถ้าเป็นขุนนางทำราชการก็ให้มีความสัตย์ซื่อเสมอไปได้จนตราบเท่าวันตายแล้ว ก็จัดเอาเป็นคนดีที่หนึ่งได้ ถ้าผู้ใดทำราชการปรารถนาจะเอาแต่ชื่อให้เลื่องลืออยู่ในแผ่นดิน แต่ตัวนั้นตายไม่สะดวก คนจำพวกนี้จัดเอาเป็นคนดีที่สอง อีกประการหนึ่ง ถ้าผู้ใดชื่อก็ชั่วตัวก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีความดีทั้งสองประการ คนอย่างนี้มีแต่ชั่วทั้งตัวและชื่อแล้วจะจัดเอาเป็นที่สามก็หาได้ไม่ จัดว่าเป็นแต่คนชั่วอย่างตํ่า
ฮวมซุยได้ฟังชัวเจ๊กว่าดังนั้นก็มีความสบายใจขึ้น จึงเดินออกมาจากที่โต๊ะแล้วก้าวลงไปยืนอยู่ใกล้ชัวเจ๊กสรรเสริญว่าท่านช่างพูดจาฉลาดเปรียบเทียบ เราได้ฟังมีความสบายใจนัก ชัวเจ๊กจึงว่าท่านเห็นหรือไม่ เช่นเซียงเอี๋ยง เง่าคี้ บุนจง คนทั้งสามนั้นแต่ล้วนกระทำความชอบ มีชื่ออยู่ในแผ่นดินด้วยกันทั้งนั้น ตัวท่านทุกวันนี้จะเปรียบกับคนทั้งสามนั้นได้หรือไม่ ฮวมซุยก็ว่าอันเรานี้ที่จะเอาไปเปรียบเสมอเขานั้นเราหาเหมือนเขาไม่ ชัวเจ๊กจึงว่าเจียวเสียงอ๋องทุกวันนี้เชื่อถือขุนนางที่สัตย์ซื่อเป็นอันมาก ถ้าจะเปรียบจิ๋นเฮาก๋งกับฌ้อเจียวอ๋องและอวดอ๋องจะเป็นอย่างไรกัน
ฮวมซุยก็นิ่งคิดตรึกตรองอยู่เป็นครู่ จึงตอบชัวเจ๊กว่าเราหาอาจที่จะเปรียบเทียบได้ไม่ ชัวเจ๊กจึงว่า ท่านจงคิดดูให้ดีที่ความของท่านได้กระทำไว้กับเจียวเสียงอ๋องนั้นเป็นอันมาก จะคิดอ่านประการใดก็ได้ดังความปรารถนาสิ้นทุกประการ จะเหมือนเซียงเอี๋ยง เง่าคี้ บุนจงทั้งสามคนนั้นหรือไม่
ฮวมซุยจึงว่าอันตัวเราทุกวันนี้จะเปรียบกับคนทั้งสามนั้นไม่ได้ ชัวเจ๊กจึงว่า เจียวเสียงอ๋องทุกวันนี้ก็ไว้ใจท่านอยู่ แต่หาเหมือนกับจิ๋นเฮาก๋ง ฌ้อเจียวอ๋อง กับอวดอ๋องนั้นไม่ ซึ่งท่านทำความชอบกับเจียวเสียงอ๋องนั้นก็ไม่เหมือนเซียงเอี๋ยง บัดนี้ท่านทำราชการจนได้ดีมีศฤงคารบริวารมากยิ่งกว่าคนทั้งสามนั้น ขณะนี้ก็ควรที่ท่านจะคิดอ่านออกตัวเสียบ้าง ถ้าสืบไปเมื่อหน้าเจียวเสียงอ๋องจะโกรธขึ้งท่าน ท่านก็จะตายหาสะดวกไม่เหมือนคนทั้งสามนั้น อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แต่นกและสัตว์อยู่ในป่าอันไกลก็ย่อมตายด้วยเหยื่อเหมือนโซจิ๋นกับตีเป๊กนั้น ก็เป็นคนดีมีสติปัญญาใช่ว่าจะคิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดหาสำเร็จไม่ แต่ว่าโลภนั้นมากอยู่ในสันดานจึงถึงแก่ความตาย เปรียบเช่นนกอันโลภเหยื่อจึงต้องติดบ่วงแร้วถึงแก่ความตาย อันตัวท่านนี้แต่ก่อนก็เป็นคนเสมอกับด้วยชนิดเรา มาบัดนี้เจียวเสียงอ๋องยกย่องขึ้นเป็นถึงที่เสียงก๊กมีสมบัติพัสถานก็บริบูรณ์แล้ว ทั้งความที่โกรธงุยฉีนั้นท่านก็ได้แก้แค้นแล้ว ทานของท่านก็ได้จำแนกแจกจ่ายไว้เป็นอันมาก ซึ่งท่านจะมาโลภหลงยิ่งขึ้นไปนั้น นํ้าใจท่านจะให้เหมือนโซจิ๋นตีเป๊กหรือ คำโบราณนั้นย่อมว่าไว้ ถ้าพระอาทิตย์เดินตามราศีมาจนกระทั่งถึงเที่ยงเข้าแล้ว ก็มีแต่จะบ่ายไปจนตราบเท่าหาเห็นดวงไม่ กับประการหนึ่งดวงพระจันทร์นั้นเล่า ถ้าเป็นวันข้างขึ้นแล้วก็มีดวงกลมบริบูรณ์อยู่ ครั้นตกถึงแรมเข้า พระจันทร์นั้นก็มีวงอันเศร้าหมอง หาเต็มดวงเหมือนข้างขึ้นไม่ บัดนี้ควรที่ท่านจะแบ่งเบาเอาความสบายด้วยมั่งมี และการสิ่งใดก็สำเร็จแล้ว ท่านจงคิดอ่านเอาตราที่เสียงก๊กไปมอบให้เจียวเสียงอ๋องเสีย แล้วจัดแจงหาคนที่ดีมีสติปัญญาพาเข้าไปให้เจียวเสียงอ๋องสักคนหนึ่ง อันตัวท่านอุปมาเหมือนคนที่ต้องหาบของหนักไว้บนบ่า ถ้าท่านหาคนมีสติปัญญาเข้าไปให้เจียวเสียงอ๋องได้แล้ว เปรียบเหมือนท่านปลงหาบออกจากบ่าท่าน ท่านจะได้ไปเที่ยวหาที่สบายในซอกห้วยและลำธารเขาอยู่ให้สบาย จะได้ชมผลไม้ในกลางป่าและสัตว์เดินดินบินได้ตามความผาสุกของท่าน อันบุตรและหลานสืบกันไปในเบื้องหน้าก็เห็นว่าจะหามีผู้ใดเสมอกับท่านไม่ ท่านจงคิดอ่านเอาความสบายหนีภัยเสียให้เป็นสุขเถิด
ฮวมซุยได้ฟังดังนั้นก็สรรเสริญว่า ซินแสชัวเจ๊กมีสติปัญญาว่ากล่าวบัดนี้เราเห็นจริงด้วยซินแสแล้ว ตัวเราควรจะนับถือเชื่อถ้อยคำของท่าน ฮวมซุยพูดดังนั้นแล้วก็จูงมือซินแสซิวเจ๊กไปนั่งบนเก้าอี้ที่โต๊ะแล้วเสพสุราอยู่ด้วยกันทั้งสองคน ครั้นเสพสุราเสร็จแล้วฮวมซุยก็จัดแจงที่ให้ชัวเจ๊กอยู่ สั่งให้คนคอยดูปฏิบัติมิได้ขาด ครั้นเวลารุ่งเช้าฮวมซุยก็เข้าไปหาเจียวเสียงอ๋องที่ว่าราชการคำนับแล้วแจ้งความว่า บัดนี้ยังมีซินแสมาแต่ชัวตังคนหนึ่ง ชื่อชัวเจ๊กเป็นคนดีมีสติปัญญา อาจสามารถจะทำนุบำรุงเมืองจิ๋นให้รุ่งเรืองกว่าหัวเมืองทั้งปวง แต่ตัวข้าพเจ้าเที่ยวไปพบคนดีมีสติปัญญามามากนับหมื่นแล้ว ก็ยังไม่เห็นผู้หนึ่งผู้ใดที่จะพูดจาเฉลียวฉลาดรู้ทีไหวพริบเหมือนชัวเจ๊กคนนี้หามิได้ แต่สติปัญญาข้าพเจ้าก็รู้เท่าทันคนทั้งปวงอยู่แล้วก็ยังเป็นรองชัวเจ๊กซินแสอยู่ ซึ่งข้าพเจ้าพบคนดีดังนี้ก็ไม่อาจปกปิดไว้ได้ จึงเข้ามาแจ้งความให้ท่านทราบ
เจียวเสียงอ๋องได้ฟังฮวมซุยสรรเสริญซินแสชัวเจ๊กดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงให้ฮวมซุยไปพาชัวเจ๊กเข้ามา ชัวเจ๊กก็คำนับเจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องพิจารณาดูหน้าตาชัวเจ๊กแล้วจึงถามว่า ท่านเป็นคนดีมีสติปัญญา ถ้าเราจะคิดอ่านเอาหกหัวเมืองมารวบรวมเป็นเมืองขึ้นของเรา ท่านจะให้ตีเมืองไหนก่อนจึงจะชอบ ชัวเจ๊กจึงตอบเจียวเสียงอ๋องว่า ในใจข้าพเจ้านี้เห็นว่าถ้าท่านจะไปตีเมืองทั้งปวงแล้ว จงไปตีแต่เมืองที่เล็กๆ ก่อน อุปมาเหมือนคนที่กินของร้อนก็ต้องกินแต่ริมเข้าไปก่อน จะกระโจมจู่เอาตรงกลางนั้นเห็นว่าจะร้อนนัก ถ้าท่านตีหัวเมืองเล็กๆ เหล่านั้นได้แล้ว เมืองใหญ่ทั้งปวงก็เหมือนหนึ่งตกอยู่ในกลางใจมือของท่าน ทั้งจะไม่หนักมือทหารของท่าน เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงสรรเสริญซินแสชัวเจ๊กว่ามีสติปัญญาเหมือนดังฮวมซุยว่านั้นทุกประการ แล้วเจียวเสียงอ๋องก็ตั้งชัวเจ๊กซินแสนั้นให้เป็นที่แคะเคง
ขณะนั้นฮวมซุยเสียงก๊กจึงว่ากับเจียวเสียงอ๋องว่า ให้ท่านเอาตราที่มอบไว้ให้ข้าพเจ้านั้นยกให้กับแคะเคงว่าราชการแทนที่ข้าพเจ้าเกิด ด้วยข้าพเจ้านี้มีโรคเบียดเบียนอยู่ จะทำราชการนั้นหาสะดวกไม่ เจียวเสียงอ๋องจึงว่า ถ้าท่านเจ็บป่วยก็จริงแล แต่ยังพอทำราชการได้อยู่ อันตราที่เสียงก๊กนั้นยังหาที่จะคืนเอามาจากท่านไม่ ฮวมซุยได้ฟังดังนั้นก็คำนับลากลับมาบ้าน ครั้นเวลาวันหนึ่งฮวมซุยก็เอาตราเข้ามาส่งให้เจียวเสียงอ๋อง คำนับแล้วแจ้งความว่า บัดนี้โรคเบียดเบียนข้าพเจ้าทวีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก ข้าพเจ้าจะขอลาออกจากที่เสียงก๊ก ซึ่งจะทำราชการนั้นหาได้ไม่แล้ว ขอท่านได้รับเอาตรานี้ไปตั้งให้แคะเคงเป็นที่ไจเสียงทำราชการแทนข้าพเจ้าเถิด เจียวเสียงอ๋องได้ฟังฮวมซุยพูดจาหาเต็มใจเป็นที่เสียงก๊กไม่แล้ว ก็รับเอาตรานั้นมาจากมือฮวมซุย ฮวมซุยก็ลาเจียวเสียงอ๋องออกมา ไปอยู่ตำบลเองเซียนอกเมืองจิ๋น
ขณะนั้นเจียวเสียงอ๋องจึงให้หาตัวชัวเจ๊กเข้ามาตั้งให้เป็นที่ไจเสียงชื่อกังเซงกุ๋น แล้วมอบตราของฮวมซุยนั้นให้แก่ชัวเจ๊กว่าท่านจงทำราชการในเมืองจิ๋นแทนที่ฮวมซุยเถิด ชัวเจ๊กก็รับตราตั้งแล้วคำนับลากลับไปบ้าน
ฝ่ายเอี๋ยนเยจิวอ๋อง ซึ่งหนีเจ๋มินอ๋องไปอยู่แดนเมืองฮูเป๊กภายหลังกลับมาเป็นเจ้าเมืองเอี๋ยนได้สามสิบสามปีแล้วถึงแก่ความตาย ฮุยอ๋องได้เป็นเจ้าเมืองเอี๋ยนแทนที่ได้เจ็ดปีถึงแก่ความตาย บู๊เซงอ๋องได้แทนที่เป็นเจ้าเมืองได้ประมาณสิบสี่ปีแล้วก็ตายไป ภายหลังเฮาอ๋องเป็นเจ้าเมืองเอี๋ยนได้สามปีก็ถึงแก่ความตาย บุตรชายเฮาอ๋องคนหนึ่งชื่อฮีได้เป็นเจ้าเมืองเอี๋ยนชื่อฮีเอี๋ยนอ๋อง ฮีเอี๋ยนอ๋องมีบุตรคนหนึ่งชื่อซีจูตั้นเป็นที่ไทจู ฮีเอี๋ยนอ๋องได้เป็นเจ้าเมืองขึ้นสี่ปี
ขณะนั้นเจียวเสียงอ๋องเป็นเจ้าเมืองจิ๋นได้ห้าสิบหกปี ฝ่ายเพงง่วนกุนที่อยู่ในเมืองเตียวก็ถึงแก่กรรม เตียวเฮาเซงอ๋องเจ้าเมืองเตียวก็ให้เอาศพเพงง่วนกุนไปฝังไว้ตามธรรมเนียมแต่ก่อน แล้วก็ตั้งให้เลียมล้อเป็นที่ไจเสียงชื่อชินเพงกุ๋น ครั้นเวลาวันหนึ่งเอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยน จึงใช้ให้ขุนนางคนหนึ่งชื่อเน็กปักเอาเครื่องเซ่นไปเยือนศพเพงง่วนกุน กับทองคำห้าร้อยตำลึงเอาไปให้เจ้าเมืองเตียวเป็นของกำนัลด้วยเป็นเมืองใกล้กัน เน็กปักรับสิ่งของกับทองนั้นแล้วก็คำนับลามาเมืองเตียว เน็กปักก็เอาเครื่องเซ่นไปเซ่นศพเพงง่วนกุนเสร็จแล้วจึงเข้าไปหาเจ้าเมืองเตียว คำนับแล้วเอาทองห้าร้อยตำลึงนั้นส่งให้เตียวเฮาเซงอ๋อง แล้วแจ้งความว่า เอี๋ยนอ๋องให้ข้าพเจ้าเอาทองมาให้ท่านเป็นของกำนัลทางมิตรไมตรีกันตามอย่างธรรมเนียมมาแต่ก่อน
ขณะนั้นเตียวเฮาเซงอ๋องกำลังตั้งโต๊ะเสพสุราอยู่ หาพูดจาว่ากล่าวกับเน็กปักประการใดไม่ เน็กปักก็ขัดใจคำนับแล้วก็กลับมาเมืองเอี๋ยน จึงเข้าไปพูดจายุยงเอี๋ยนอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปในเมืองเตียวเที่ยวพิจารณาดูภูมิฐานบ้านเมืองแล้วเห็นร่วงโรยนัก ตั้งแต่เมืองเตียวยกไปรบกับเมืองจิ๋น แปะคี้ฆ่าทหารล้มตายเสียเป็นอันมาก บัดนี้มีอยู่แต่เลียมโพเป็นคนดีมีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็งก็จริงแลแต่เป็นคนชรา ทั้งทหารในเมืองเตียวนั้นก็เบาบางลงกว่าแต่ก่อน จะหาคนที่ฉกรรจ์นั้นมิได้ เห็นมีอยู่แต่คนเฒ่าคนแก่ ถ้าท่านยกทัพไปตีเมืองเตียวอย่าให้ทันรู้ตัวแล้วเห็นจะได้โดยง่าย
เอี๋ยนอ๋องได้ฟังเน็กปักแจ้งความดังนั้นก็ดีใจ จึงให้คนใช้ไปเรียกเง่าเอยซึ่งเป็นที่เสียงก๊กกุ๋นเข้ามาปรึกษาว่า เราจะยกทัพไปตีเมืองเตียว ท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ เง่าเอยจึงตอบว่าซึ่งเมืองเตียวนั้นข้างทิศตะวันออกนั้นก็ใกล้กับเมืองเอี๋ยน ข้างทิศตะวันตกก็ใกล้กับเมืองจิ๋น ทิศใต้นั้นก็ใกล้กับเมืองงุย เมืองหัน ทิศเหนือนั้นก็ชนกันกับแดนเมืองฮูเป๊ก อันเมืองทั้งสี่ทิศนี้แต่ล้วนมีทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้สำหรับเมือง ล้วนแต่กล้าแข็งเป็นเมืองใหญ่ทั้งนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองเตียวนั้นตั้งอยู่ในท่ามกลาง คงจะจัดแจงทหารอยู่รักษาเมืองเป็นมั่นคง ด้วยเมืองเตียวหาไว้ใจเมืองทั้งปวงไม่ ท่านอย่ายกไปตีเมืองเตียวเลย
เอี๋ยนอ๋องได้ฟังเง่าเอยว่าทัดทานดังนั้นจึงว่า เมืองเตียวมีทหารอยู่ส่วนหนึ่ง เรามีทหารสามส่วน จะไปตีได้หรือไม่ได้ เง่าเอยจึงตอบว่าข้าพเจ้าเห็นจะตีเมืองเตียวหาได้ไม่ เอี๋ยนอ๋องจึงว่าถ้าทหารเราห้าส่วนเขามีอยู่ส่วนเดียว เราจะตีได้หรือไม่ เง่าเอยได้แจ้งดังนั้นก็นิ่งเสียหาตอบเอี๋ยนอ๋องประการใดไม่ เอี๋ยนอ๋องก็โกรธกระทืบเท้าแล้วว่า เพราะบิดาท่านไปตายอยู่ในเมืองเตียว ศพยังฝังอยู่เมืองโน้น ท่านจึงพูดกีดกันเสียหาให้เราไปตีเมืองเตียวไม่ เรารู้เท่าเข้าใจอยู่ เง่าเอยจึงตอบว่า ถ้าท่านไม่เชื่อคำข้าพเจ้าแล้วท่านจงปรึกษากับพวกขุนนางทั้งปวงก่อนเถิด
ขณะนั้นยังมีขุนนางในเมืองเอี๋ยนคนหนึ่ง ชื่อเจี้ยงขือเข้าไปหาเอี๋ยนอ๋องคำนับแล้วจึงพูดว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่าเมืองเตียวมีทหารน้อยเมืองเอี๋ยนมีทหารมาก จะยกไปตีเมืองเตียวนั้น ความข้อนี้ข้าพเจ้าของดไว้ก่อน จะเอาแต่ความเดี๋ยวนี้มาพูดกันแต่ที่ตรงเถิด ด้วยท่านใช้ให้เน็กปักขุนนางในเมืองเอี๋ยนไปเยี่ยมศพเพงง่วนกุน แล้วเอาทองห้าร้อยตำลึงไปให้เจ้าเมืองเตียวขอเป็นไมตรีกัน แล้วท่านจะยกทัพไปตีเมืองเตียวนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าหัวเมืองทั้งปวงรู้ก็คงจะนินทาท่านว่าท่านหาซื่อตรงต่อเมืองเตียวไม่ ถ้าไปตีเมืองเตียวได้ก็จะดีอยู่ ถ้าไปตีมิได้ก็เห็นกิตติศัพท์จะเล่าลือกันต่อไปในภายหน้า ท่านอย่ายกไปตีเมืองเตียวเลย เห็นจะหาสมความคิดของท่านไม่
เอี๋ยนอองได้ฟังก็ไม่เชื่อถ้อยคำของเจี้ยงขือ จึงสั่งให้เน็กปักเป็นไตเจียง กับเง่าเสง คุมทหารสิบหมื่นยกไปตีแดนเมืองเตียว ชื่อตำบลเกาเสีย แล้วสั่งให้เข่งจิ๋น ฮูเจี๋ยง กับเง่าเอยคุมทหารสิบหมื่นยกไปแดนเมืองเตียวตีตำบลไต๋เสีย ตัวเอี๋ยนอ๋องเป็นแม่ทัพหลวง คุมทหารสิบหมื่นยกไปภายหลัง ขณะเมื่อเอี๋ยนอ๋องจะขึ้นเกวียนยกทัพไปครั้งนั้น เจี้ยงขือจึงวิ่งมายุดชายเสื้อเอี๋ยนอ็องไว้แล้วร้องไห้อ้อนวอนห้ามว่า ท่านอย่าไปเลยให้คนอื่นเป็นแม่ทัพไปแทนท่านเถิด ข้าพเจ้าเห็นว่าจะทิ้งบ้านเมืองเสียนั้นหาชอบไม่ เอี๋ยนอ๋องได้ฟังดังนั้นนึกขัดใจ จึงยกเท้าขึ้นถีบเอาเจี้ยงขือ เจี้ยงขือก็เอามือจับเท้าเอี๋ยนอ๋องไว้แล้วจึงว่า ข้าพเจ้าห้ามไม่ให้ไปนั้น เพราะข้าพเจ้ามีความสัตย์ซื่อต่อท่าน ถ้าท่านขืนจะไปก็เห็นเมืองเอี๋ยนจะหามีความสุขไม่
เอี๋ยนอ๋องได้ฟังเจี้ยงขือพูดจาอย่างนั้นก็โกรธ จึงสั่งทหารให้เอาเจี้ยงขื้อไปใส่คุกไว้ แล้วว่าถ้าไปตีเมืองเตียวได้แล้ว เรากลับมาจึงจะตัดศีรษะเสีย เอี๋ยนอ๋องสั่งดังนั้นแล้วก็ยกทัพไปเมืองเตียวพร้อมกันทั้งสามกอง
ฝ่ายเตียวเฮาเซงอ๋องแจ้งว่ากองทัพเมืองเอี๋ยนยกมา จึงให้หาขุนนางในเมืองเตียวมาปรึกษาพร้อมกัน ขณะนั้นเลียมโพจึงว่า บัดนี้เมืองเอี๋ยนยกทัพมาตีเมืองเราเพราะเขารู้ว่าเพงง่วนกุนตายไปแล้ว ครั้งก่อนนั้นเรายกทัพไปตีเมืองจิ๋น ทหารล้มตายเสียเป็นอันมาก เมืองเอี๋ยนจะสำคัญว่าทหารในเมืองเตียวหามีผู้ใดกล้าแข็งไม่ ยังอยู่แต่คนเฒ่าคนแก่น้อยลงกว่าแต่ก่อน จึงคิดอ่านมาตีเมืองเรา ท่านจงป่าวร้องอาณาประชาราษฎร์แต่บรรดาเป็นชายที่มีอายุตั้งแต่สิบห้าปีขึ้นไป ให้ถืออาวุธออกช่วยกันรบกองทัพเมืองเอี๋ยน อย่าให้หักเข้ามาในเมืองเราได้ เราคงจะมีชัยชนะเมืองเอี๋ยนเป็นแท้ อันเน็กปักทหารเมืองเอี๋ยนนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าหาสติปัญญามิได้ มีแต่จะอยากได้ที่ทางนั้นอย่างเดียว หารู้จักขนบธรรมเนียมที่จะทำศึกสงครามไม่ เข่งจิ๋นทหารอีกคนหนึ่งนั้นเล่าข้าพเจ้าก็ยังไม่ได้ยินปรากฏว่าไปทำทัพศึกที่ไหนสักครั้งหนึ่งเลย อนึ่งเง่าเอย เง่าเสง ก็ชอบกันกับเมืองเตียว เห็นจะหาเข้าด้วยกับเอี๋ยนอ๋องไม่ ซึ่งทัพเมืองเอี๋ยนยกมาครั้งนี้ ข้าพเจ้าจะคิดอ่านตีให้แตกไปจงได้ ท่านจงให้หาหลีมกที่อยู่ตำบลงั่นหมึงมาเป็นทัพหน้าเถิด ด้วยหลีมกคนนี้เป็นคนดีมีสติปัญญาและฝีมือกล้าแข็งในขบวนรบ ให้มาช่วยคิดอ่านกับข้าพเจ้า
เตียวเฮาเซงอ๋องได้ฟังเลียมโพว่าดังนั้น ก็สั่งคนใช้ให้ไปหาตัวหลีมกที่ตำบลงั่นหมึง หลีมกก็ขึ้นม้ารีบมาหาเตียวเฮาเซงอ๋องในเมืองเตียว เตียวเฮาเซงอ๋องจึงสั่งเลียมโพให้เป็นแม่ทัพคุมทหารห้าหมื่นยกไปตำบลเกาเสีย ออกไปรับกองทัพเน็กปักทหารเมืองเอี๋ยน แล้วเตียวเฮาเซงอ๋องจึงสั่งหลีมกให้เป็นปีกซ้ายคุมทหารห้าหมื่นยกออกไปตำบลไต๋เสีย ออกไปรบทัพเข่งจิ๋นนายทหารเมืองเอี๋ยน ขณะเมื่อเลียมโพยกทัพมาถึงตำบลปั้งจูเสีย รู้ข่าวว่าเน็กปักตั้งค่ายอยู่ริมเมืองเกาเสีย เลียมโพจัดแจงเลือกเอาทหารที่มีกำลังนั้นให้ตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเขาทิซัวกองหนึ่ง แล้วจัดเอาทหารที่แก่ๆ หากำลังวังชามิได้ตั้งอยู่ค่ายหนึ่งที่ปังจูเสีย
ฝ่ายเน็กปักแม่ทัพเมืองเอี๋ยน จึงสั่งให้คนใช้มาสอดแนมดูกองทัพเมืองเตียว ครั้นมาถึงค่ายที่เลียมโพตั้งไว้ เห็นแต่ทหารที่ชราทั้งนั้นก็สำคัญว่ามีอยู่แต่ค่ายเดียว เท่านั้น หาได้สืบเสาะต่อไปไม่ มีความยินดีนักก็พากันมาแจ้งความแก่เน็กปักให้ฟังทุกประการ เน็กปักได้ฟังดังนั้นก็มีความกำเริบขึ้น ด้วยหารู้ว่าเลียมโพมีสติปัญญาทำเป็นกลไว้ เข้าใจเสียว่าหามีทหารฉกรรจ์ออกมาไม่ เน็กปักก็ให้ยกเข้าตีตำบลเกาเสีย
ขณะนั้นทหารที่อยู่เฝ้าเมืองเกาเสีย เห็นกองทัพยกประชิดเข้ามาก็ปิดประตูเมืองรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคงคอยท่าทัพเมืองเตียวอยู่ ฝ่ายเน็กปักให้ล้อมตำบลเกาเสียไว้ถึงสิบห้าวันก็หาได้เมืองเกาเสียไม่ พอม้าใช้มาแจ้งความกับเน็กปักว่า บัดนี้กองทัพเมืองเตียวยกมาช่วยเมืองเกาเสียแล้ว ท่านจะคิดอ่านประการใด เน็กปักได้แจ้งดังนั้นจึงปรึกษาเง่าเสงว่า ท่านจงแบ่งทหารไว้ห้าหมื่นรีบตีเมืองเกาเสียให้จงได้ เราจะยกทหารไปห้าหมื่นรีบไปรบทัพเลียมโพ เง่าเสงก็มาจัดแจงแบ่งทหารไว้ครึ่งหนึ่ง เน็กปักก็พาทหารห้าหมื่นขึ้นมาทางปั้งจูเสีย
ฝ่ายเลียมโพจึงสั่งทหารที่ชราห้าพันให้ออกล่อทัพเน็กปัก ถ้าเน็กปักไล่ตีมาแล้วท่านจงพากันล่อมาทางเขาทิซัว เราจะซุ่มคอยสกัดตีกองทัพอยู่ที่ตำบลอันนี้ พวกทหารชราก็คำนับรับคำพากันยกมาถึงกลางทางก็พบกองทัพเน็กปัก เน็กปักเห็นทหารที่เลียมโพให้ยกมานั้นแต่ล้วนคนชราก็มีความยินดีนัก หัวเราะขึ้นด้วยเสียงอันดัง แล้วสั่งให้ทหารไล่ฆ่าฟันทหารเลียมโพ ทหารเลียมโพก็สู้พลางหนีพลางรบล่อมา เน็กปักกับพวกทหารก็ได้ใจ ไล่ติดตามล่วงทางมาประมาณสามสิบเส้นจนถึงเขาทิซัวที่เลียมโพซุ่มอยู่
เลียมโพเห็นเน็กปักไล่ทหารชราล่วงถลำมาดังนั้น เห็นได้ทีก็เร่งทหารที่ซุ่มไว้ออกมาสกัดหน้าร้องว่า ตัวเราชื่อเลียมโพตั้งกองทัพคอยท่านอยู่ที่นี่ช้านานแล้ว ท่านจงมาคำนับเราเสียเถิดจึงจะรอดขีวิต เน็กปักได้ยินเสียงเลียมโพร้องว่ามาดังนั้นมีความโกรธนัก มือถือง้าวขับเกวียนเข้ารบด้วยเลียมโพ เลียมโพต่อสู้เป็นสามารถ เน็กปักสู้ฝีมือเลียมโพมิได้ ทั้งทหารก็ล้มตายเป็นอันมาก เน็กปักเสียใจนักไม่เป็นอันที่จะสู้รบก็เสียทีเลียมโพ เลียมโพก็จับเน็กปักได้ ให้ทหารมัดมือแล้วก็รีบยกมาช่วยเมืองเกาเสีย
ขณะนั้นพวกทหารเน็กปักก็แตกหนีล่าไปหาเง่าเสงแจ้งความว่าเลียมโพจับตัวเน็กปักได้ พาทหารยกมาท่านจะคิดอ่านประการใด เง่าเสงได้แจ้งดังนั้นก็ตกใจ จึงร้องป่าวทหารที่ล้อมเมืองเกาเสียไว้ให้เลิกทัพกลับไปหาเอี๋ยนอ๋องแม่ทัพเถิด ฝ่ายเลียมโพยกทัพมาถึงตำบลเกาเสียเห็นเง่าเสงกับพวกทหารยกกลับไป จึงใช้ทหารที่คุ้นเคยกับเง่าเสงให้ไปบอกเง่าเสงว่า ท่านอย่าหนีไปเลยจงมาเข้ากับเราเถิด ทหารรับคำแล้วก็รีบไปหาเง่าเสงแจ้งความที่เลียมโพสั่งให้ฟังทุกประการ เง่าเสงได้ฟังดังนั้นก็ดีใจจึงพาทหารมายอมอยู่ด้วยเลียมโพ เลียมโพก็ตั้งค่ายมั่นอยู่ที่ตำบลเกาเสีย
ฝ่ายหลีมกยกทัพออกจากเมืองเตียวมาถึงตำบลไต๋เสีย เห็นเข่งจิ๋นตั้งค่ายมั่นอยู่ก็พาทหารเข้าตีค่ายเข่งจิ๋น เข่งจิ๋นกับพวกทหารก็รบด้วยทหารหลีมกเป็นสามารถ เข่งจิ๋นกับหลีมกก็สู้รบกันเป็นหลายเพลง เข่งจิ๋นทานกำลังหลีมกมิได้ก็ขับเกวียนหนีหลีมก หลีมกก็เอาทวนแทงถูกเข่งจิ๋นล้มลงถึงแก่ความตาย เง่าเอยเห็นเข่งจิ๋นถูกทวนล้มลงดังนั้นก็พาทหารถอยไปตั้งค่ายอยู่ตำบลเขาเซ่งเลี่ยงซัว หลีมกเห็นเง่าเอยถอยทัพไปดังนั้น จึงห้ามทหารให้สงบทัพไว้ แล้วให้ม้าใช้เอาความซึ่งฆ่าเข่งจิ๋นตายและเง่าเอยถอยทัพไปตั้งค่ายอยู่ตำบลเขาเซ่งเลี่ยงซัวให้เลียมโพฟังทุกประการ
เลียมโพได้ฟังดังนั้น จึงหาตัวเง่าเสงมาพูดว่า เง่าเอยกับท่านก็เป็นแซ่เดียวกัน ท่านจงเขียนหนังสือมีชื่อท่านให้ม้าใช้ถือไปใช้เง่าเอย ให้เง่าเอยมาอยู่ด้วยกันในเมืองเตียวเถิด เง่าเสงได้ฟังดังนั้นจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า เราผู้ชื่อเง่าเสงตกมาอยู่ในเมืองเตียวแล้ว เง่าเอยกับเราเป็นแซ่เดียวกันจงมาอยู่ด้วยกันในเมืองเตียวเถิด ครั้นเง่าเสงเขียนหนังสือเสร็จแล้วก็ส่งให้ม้าใช้ถือไปให้เง่าเอยที่ตำบลเขาเซ่งเลี่ยงซัว เง่าเอยรับหนังสือมาคลี่ออกอ่านแจ้งความดังนั้น จึงคิดในใจว่า เราได้ทัดทานเอี๋ยนอ๋องแล้วก็หาเชื่อถ้อยคำเราไม่ ถึงจะกลับไปอยู่ด้วยก็หามีประโยชน์อันใดไม่ คิดดังนั้นแล้วก็เกลี้ยกล่อมพวกทหารได้พร้อมใจกันแล้ว เง่าเอยก็พาทหารมาหาเง่าเสง ณ ค่ายเลียมโพ เง่าเสงเห็นเง่าเอยพาทหารเข้ามาใกล้ค่ายมีความยินดีนัก ก็ออกไปต้อนรับคำนับกันตามธรรมเนียม แล้วจึงพาเง่าเอยเข้าไปคำนับเลียมโพผู้เป็นแม่ทัพ ขณะนั้นหลีมกรู้ว่าเง่าเอยมาอยู่กับเลียมโพแล้ว ก็พาทหารยกกลับมาหาเลียมโพที่ตำบลเกาเสีย
ฝ่ายเอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยนแจ้งว่า เน็กปักกับเข่งจิ๋นเสียทีทัพเมืองเตียวแล้ว คิดเสียดายทหารทั้งสองคนนัก นึกในใจว่าครั้งนี้เราจะสู้ทหารเมืองเตียวมิได้ ครั้นเพลากลางคืนเอี๋ยนอ๋องก็พาทหารยกกลับมาตั้งอยู่ตำบลตงโต๋ในแดนเมืองเอี๋ยน เลียมโพให้ม้าใช้ไปสืบข่าวทัพเมืองเอี๋ยน แจ้งความว่าล่าทัพไปแต่ในเวลากลางคืนแล้ว เลียมโพกับหลีมกก็ยกทหารไปล้อมทัพเอี๋ยนอ๋องไว้มั่นคง เอี๋ยนอ๋องเห็นเลียมโพนายทหารเมืองเตียวยกทัพใหญ่มาตั้งล้อมอยู่ดังนั้นมีความสะดุ้งตกใจกลัวนัก เห็นจะสู้มิได้จึงใช้ให้ขุนนางที่สนิทมาหาเลียมโพพูดจารับผิดขอเป็นไมตรีกับเจ้าเมืองเตียว เลียมโพได้ฟังขุนนางเมืองเอี๋ยนมาพูดจาดังนั้นก็นิ่งอยู่
ขณะนั้นเง่าเอยจึงอ้อนวอนเลียมโพแม่ทัพว่า ซึ่งเจ้าเมืองเอี๋ยนยกทัพมาตีเมืองเตียวครั้งนี้ เพราะเชื่อถ้อยคำขุนนางคนหนึ่งชื่อเน็กปักพูดยุยง อนึ่งยังมีขุนนางผู้หนึ่งชื่อเจี้ยงขือได้ห้ามปรามทัดทานมิให้เอี๋ยนอ๋องยกทัพมาตีเมืองเตียว เอี๋ยนอ๋องโกรธให้เอาตัวไปจำไว้ ณ คุกแล้วว่าถ้าตีเมืองเตียวได้กลับไปเมืองเอี๋ยนจะตัดศีรษะเสีย ข้าพเจ้าเห็นว่าเจี้ยงขือเป็นคนซื่อตรงต่อแผ่นดิน ท่านจงว่ากล่าวให้เอี๋ยนอ๋องถอดเจี้ยงขือออกจากโทษตั้งให้เป็นที่ไจเสียง แล้วจึงจะยอมเป็นไมตรีด้วยเจ้าเมืองเอี๋ยน เลียมโพได้ฟังเง่าเอยว่าดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงสั่งขุนนางที่สนิทของเอี๋ยนอ๋องให้ไปแจ้งความกับเจ้าเมืองเอี๋ยนตามคำเง่าเอยพูดนั้น คนสนิทก็คำนับลาเลียมโพกลับมาแจ้งความให้เอี๋ยนอ๋องฟังทุกประการ
เอี๋ยนอ๋องได้ฟังดังนั้นก็สั่งให้คนไปถอดเจี้ยงขือมาตั้งให้เป็นที่ไจเสียงตามคำเลียมโพสั่ง เจี้ยงขือคำนับแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นคนปากร้ายห้ามท่านหาฟังไม่จึงต้องโทษ ซึ่งท่านจะยกให้เป็นที่ไจเสียงนั้นหาสมควรไม่ เอี๋ยนอ๋องจึงว่าเรารับผิดแล้ว เพราะไม่เชื่อท่านจึงแพ้แก่เมืองเตียว เอาท่านไปจำไว้ครั้งนี้ก็สมคำท่านทุกประการ ท่านจงรับเอาที่ไจเสียงเป็นของขวัญที่เราทำท่านผิดไปนั้นจงอดโทษให้เราเถิด อนึ่งเมืองเตียวก็สั่งมาให้ท่านเป็นที่ไจเสียง ประการหนึ่งเง่าเสงเง่าเอยก็ไปยอมอยู่กับเจ้าเมืองเตียวแล้ว เราเห็นอยู่แต่ท่านผู้เดียวเป็นคนดีมีสติปัญญา ซื่อตรงต่อเราหาผู้เสมอเป็นอันยาก เจี้ยงขือได้ฟังเอี๋ยนอ๋องพูดจาว่ากล่าวดังนั้นก็รับเอาที่ไจเสียงตามคำเจ้าเมืองเอี๋ยนอ้อนวอน แล้วจึงว่ากับเอี๋ยนอ๋องว่า บัดนี้ เง่าเสงเง่าเอยก็ไปอยู่เมืองเตียว แต่ตัวครอบครัวยังตกอยู่ในเมืองเรา ท่านจงคิดอ่านส่งบุตรภรรยาไปให้เง่าเสงเง่าเอยเสียเถิด ข้าพเจ้าเห็นว่าคนทั้งสองคงจะคิดถึงบุญคุณของท่านเป็นมั่นคง เอี๋ยนอ๋องเห็นชอบจึงใช้ให้เจี้ยงขือไจเสียงพาครอบครัวเง่าเสงเง่าเอยไปส่งให้ที่ค่ายเลียมโพขอเป็นไมตรีกับเจ้าเมืองเตียว เลียมโพก็ยอมรับเป็นไมตรีกับเจ้าเมืองเอี๋ยน เง่าเสงเง่าเอยก็รับเอาครอบครัวไว้ที่ในค่าย
ขณะนั้นเลียมโพสั่งให้ทหารเอาตัวเน็กปักไปตัดศีรษะเสียที่หน้าค่าย แล้วเอาศีรษะเน็กปักกับศพเข่งจิ๋นมอบให้เจี้ยงขือไจเสียงเอามาให้เอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยน เจี้ยงขือก็คำนับลากลับมาหาเอี๋ยนอ๋องเอาศพกับศีรษะมาส่งให้แล้วแจ้งความที่เลียมโพรับเป็นไมตรีให้เจ้าเมืองเอี๋ยนฟังทุกประการ
ฝ่ายเลียมโพกับหลีมกก็พาเง่าเสงเง่าเอย กับพวกทหารยกกลับไปเมืองเตียว เพลาวันหนึ่งเลียมโพกับหลีมกพาเง่าเสงเง่าเอยเข้าไปหาเจ้าเมืองเตียวยังที่ว่าราชการ คำนับแล้วแจ้งความว่า เง่าเสงเง่าเอยพาครอบครัวมาสมัครทำราชการอยู่กับท่าน เตียวเฮาเซงอ๋องเจ้าเมืองเตียวได้ฟังดังนั้นมีใจยินดีนัก จึงตั้งเง่าเสงให้เป็นที่บู๊เซงกุ๋น ให้เง่าเอยเป็นที่เสียงก๊กกุ๋น ตั้งหลีมกเป็นที่ไต่โตซิว มอบให้เป็นนายด่านใหญ่ แต่เลียมโพนั้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่แล้ว ก็ให้รางวัลตามสมควรที่มีชัยชนะแก่ข้าศึก แต่บู๊เซงกุ๋นกับเสียงก๊กกุ๋นนั้น เตียวเฮาเซงอ๋องจัดแจงที่ให้อยู่ตามสมควร ครั้นเสร็จแล้วเจ้าเมืองเตียวก็เข้าไปยังที่ข้างใน ขุนนางทั้งปวงต่างคนต่างก็คำนับกลับออกไปบ้าน
ฝ่ายเอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยน ได้แจ้งความตามเจี้ยงขือไจเสียงมาเล่าให้ฟังทุกประการก็ยินดีนัก จึงยกทหารกลับเข้าไปในเมืองเอี๋ยน ครั้นอยู่มาเพลาหนึ่งเอี๋ยนอ๋องรำลึกถึงเง่าเสงเง่าเอยที่ไปเป็นขุนนางอยู่เมืองเตียว เอี๋ยนอ๋องพิจารณาว่าจะได้ผู้ใดหนอไปพูดจาเกลี้ยกล่อมให้เง่าเสงเง่าเอยกลับมาอยู่ในเมืองเอี๋ยนได้ คิดตรึกตรองไปก็เห็นแต่เกียะซินเป็นนายทหารอยู่ตำบลโซจิวขึ้นเป็นเมืองเอี๋ยน เกียะซินขุนนางคนนี้กับบิดาเง่าเอยชื่อเง่าหงี เป็นคนชอบอัชฌาสัยกันมาแต่ก่อนนั้น ควรที่จะให้หามาปรึกษาว่ากล่าว ให้เกียะซินไปชักชวนเง่าเอยเง่าเสงให้กลับมาจากเมืองเตียว เมื่อเอี๋ยนอ๋องคิดดังนั้นแล้วก็ออกมาสั่งคนใช้ยังที่ว่าราชการให้รีบไปหาตัวเกียะซินมาโดยเร็ว คนใช้คำนับลาแล้วก็รีบไปถึงตำบลโซจิวแจ้งความกับเกียะซินว่าเอี๋ยนอ๋องให้หา เกียะซินได้ฟังดังนั้นก็จัดแจงแต่งตัวรีบมากับคนใช้เข้าไปคำนับเอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยน เอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยนก็แจ้งความกับเกียะซินตามที่ตรึกตรองไว้แต่ก่อนนั้น เกียะซินได้ทราบความดังนั้นก็รับอาสาว่า ข้าพเจ้าจะคิดอ่านให้เง่าเสงเง่าเอยกลับมาทำราชการในเมืองเอี๋ยนให้จงได้ เกียะซินพูดดังนั้นแล้วก็คำนับลากลับมายังตำบลโซจิว ครั้นถึงบ้านแล้วจึงเขียนหนังสือลับฉบับหนึ่งส่งให้คนสนิทถือไปให้เง่าเอยเง่าเสง ณ เมืองเตียว คนใช้รับหนังสือแล้วก็รีบไป ครั้นถึงเมืองเตียวก็เข้าไปคำนับเง่าเอยที่บ้านแล้วเอาหนังสือออกจากมือเสื้อส่งให้เง่าเอย เง่าเอยรับหนังสือไว้แต่ยังหาอ่านไม่ จึงใช้ให้คนไปเชิญเง่าเสง เง่าเสงมาถึงแล้ว เง่าเอยก็คลี่หนังสือออกอ่านดูแจ้งความว่า หนังสือเราผู้ชื่อเกียะซินเป็นเพื่อนสนิทของบิดาเง่าเอย บัดนี้แจ้งว่าท่านทั้งสองมาเป็นขุนนางทำราชการอยู่ในเมืองเตียว ตัวเราก็ชราแล้วยังทำราชการอยู่ในเมืองเอี๋ยนแต่ผู้เดียว หาเห็นใครที่จะเป็นคู่ปรึกษาไม่ เราเข้าไปหาเอี๋ยนอ๋องปรึกษาว่ารำลึกถึงท่านนัก อยากจะให้ท่านทั้งสองกลับไปอยู่เมืองเอี๋ยน เราเห็นชอบด้วยจึงเขียนหนังสือมาให้ท่าน ท่านจงพากันกลับมาอยู่ตามเดิมเถิด สืบไปเบื้องหน้าถ้ามีราชการสถานใด เราจะได้ปรึกษาหารือกันต่อไป ท่านแจ้งในหนังสือนี้แล้วจงคิดถึงเราว่าเป็นมิตรของบิดาท่านเถิด อย่าให้เสียทางไมตรีที่เป็นผู้ใหญ่ได้รักกันมาแต่ก่อนเลย เง่าเอยเง่าเสงแจ้งในหนังสือเกียะซินก็พากันนึกแต่ในใจว่าตัวเรามาอยู่ในเมืองเตียว เตียวเฮาเซงอ๋องก็ชุบเลี้ยงให้ได้เป็นสุข อันที่จะกลับไปอยู่เมืองเอี๋ยนนั้นหาต้องการไม่ เพราะเอี๋ยนอ๋องไม่เชื่อคำเรา เราจึงได้ตกมาอยู่เมืองเตียว เง่าเอยเง่าเสงคิดดังนั้นแล้วจึงเขียนหนังสือตอบฉบับหนึ่งส่งให้คนใช้ของเกียะซินถือกลับมา คนใช้คำนับลาแล้วรีบกลับมาถึงโซจิว เอาหนังสือเข้าไปให้เกียะซินผู้เป็นนาย เกียะซินรับหนังสือมาอ่านดูได้ความว่า ข้าพเจ้าเง่าเสงเง่าเอยคำนับมาถึงท่านด้วยเถิด ซึ่งท่านให้กลับมาอยู่เมืองเอี๋ยนนั้นก็คงจะได้กลับไปดอก แต่บัดนี้ยังหาช่องที่จะมามิได้ ช้าๆ สักหน่อยก่อนข้าพเจ้าจึงจะพากันกลับไป เกียะซินรู้ในหนังสือดังนั้นก็กลับมาแจ้งให้เอี๋ยนอ๋องฟังทุกประการ
เอี๋ยนอ๋องก็หลงเชื่อว่าเง่าเสงเง่าเอยคงจะมาอยู่เมืองเอี๋ยน เกียะซินก็คำนับกลับมาบ้านโซจิว
ฝ่ายเจี้ยงขือเมื่อได้เป็นที่ไจเสียง เพราะเลียมโพขืนใจให้เอี๋ยนอ๋องตั้งครั้งนั้น เอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยนก็หาเต็มใจใช้ไม่ ครั้นทำราชการได้ประมาณค่อนปีก็แกล้งบอกป่วยเอาตราที่ไจเสียงคืนให้เอี๋ยนอ๋อง เอี๋ยนอ๋องก็รับเอาตราไว้ด้วยไม่เต็มใจมาแต่ก่อนนั้น เมื่อเจี้ยงขือกลับไปแล้วจึงให้หาเกียะซินมาตั้งให้เป็นที่ไจเสียงทำราชการอยู่ในเมืองเอี๋ยน
ฝ่ายเจียวเสียงอ๋องเป็นเจ้าเมืองจิ๋นได้ห้าสิบหกปี อายุได้เจ็ดสิบปีถ้วนป่วยหนักก็ถึงแก่กรรมตาย ขณะนั้นขุนนางในเมืองจิ๋นจึงประชุมกันตั้งไทจูเถียวซึ่งเป็นที่อันก๊กกุ๋นบุตรเจียวเสียงอ๋องขึ้นเป็นเจ้าเมืองจิ๋นชื่อเฮาบุนอ๋อง มีเมียหลวงชื่อฮัวเอียงฮูหยินได้เป็นที่นางฮองเฮา อองซุนอิหยินบุตรเฮาบุนอ๋อง เฮาบุนอ๋องตั้งให้เป็นไทจูอิหยิน
ฝ่ายเจ้าเมืองหันแจ้งว่าเจียวเสียงอ๋องตายก็นุ่งขาวห่มขาวมาไหว้ศพเจ้าเมืองจิ๋น แต่หัวเมืองทั้งปวงใช้ให้ขุนนางเอาของมาเยือนศพ ตัวเจ้าเมืองนั้นหามาไม่ ขณะนั้นเฮาบุนอ๋องทำศพบิดาได้สามวันเลี้ยงโต๊ะกินสุรากับพวกขุนนางในเมืองจิ๋นพร้อมกัน ครั้นเพลากลางคืนเฮาบุนอ๋องเมาสุรานักก็ถึงแก่ความตาย ขุนนางทั้งปวงต่างคนต่างนึกสงสัยแคะเคงลีปุดอุยเอาเงินไปจ้างคนรินสุราเอายาพิษวางเฮาบุนอ๋องเสีย เพราะจะให้ไทจูอิหยินเป็นเจ้าเมืองจิ๋น เป็นแต่ความแคลงใจอยู่ หามีผู้จะพูดจาไม่ด้วยเกรงใจแคะเคงกลัวจะคิดพยาบาท