- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๙๔
ฝ่ายซองค่างอ๋องเจ้าเมืองซอง เป็นบุตรของเพ็งก๋ง เป็นน้องเทียนเสง เดิมเมื่อซองค่างอ๋องจะมาเข้าสู่ครรภ์มารดานั้น มารดาฝันเห็นว่าแซ่ซือเอียมอ๋องมาเข้าท้อง ครั้นคลอดออกมาจากครรภ์ให้ชื่อเอียมตามความฝัน เมื่อบุตรนั้นโตขึ้นแล้วมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าเทียนเสงพี่ชาย แต่สูงนั้นได้เจ็ดศอก หน้านั้นยาวศอกหนึ่ง ลูกตาทั้งสองสุกสว่างอย่างดวงดาวกลางอากาศ มีสายเลือดฝาดนั้นบริบูรณ์ไปด้วยราศี ประกอบไปด้วยกำลังวังชาเป็นอันมาก ถ้าเหล็กโตแต่กำหนึ่งกำกึ่งแล้ว ก็เอางอเข้าและง้างออกได้ เมื่อศักราชพระเจ้าจิวอันอ๋องได้สี่สิบปีจึงได้เป็นที่เจ้าเมืองซอง ครั้นอยู่มาประมาณสิบเอ็ดปี ชาวเมืองซองไปได้ฟองนกกระจอกมาจากรังฟองหนึ่งเอาฟักไว้ เมื่อเป็นตัวนั้นกลับกลายไปเป็นลูกเหยี่ยว เจ้าของเหยี่ยวเห็นเป็นของประหลาดก็เอามาให้ซองค่างอ๋อง
ซองค่างอ๋องเห็นดังนั้นจึงหาโหรเข้ามาพิจารณาดู โหรจึงบอกว่า ของเล็กกลายเป็นของใหญ่ดังนี้ เหตุด้วยเมืองเราจะโตใหญ่กล้าแข็งขึ้น ซองค่างอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงว่า แต่ก่อนเมืองเราอ่อนแอนัก แม้นเรามิจัดแจงแล้วก็หามีผู้ใดจะคิดอ่านให้บ้านเมืองเป็นใหญ่ขึ้นกว่าหัวเมืองทั้งปวงไม่ ซองค่างอ๋องคิดดังนั้นแล้วก็จัดแจงหัดทหารให้ชำนาญได้ประมาณสิบหมื่น ครั้นได้วันฤกษ์ดีแล้วซองค่างอ๋องก็ยกทัพไปทางทิศตะวันออก เที่ยวตีแดนเมืองเจ๋ได้ห้าตำบลแล้วยกไปตีเมืองเตงแตกระยำยับทั้งเมืองใหญ่และเมืองขึ้นทั้งปวงแล้ว ซองค่างอ๋องก็กลับมาเมือง คิดกลัวทหารเมืองจิ๋นอยู่จึงใช้ให้คนไปพูดจาชักชวนเจียวเสียงอ๋องให้เป็นไมตรีกัน เจียวเสียงอ๋องแจ้งความแล้วจึงว่า ซึ่งเจ้าเมืองซองจะเป็นไมตรีกับเราก็ดีแล้ว ถ้าศึกมีมาติดก็ให้มาช่วยกัน แม้นเมืองซองมีศึกเราก็จะยกไปช่วย คนใช้ก็กลับมาแจ้งความกับซองค่างอ๋อง ซองค่างอ๋องยินดีนักจึงคิดว่า ชะรอยเมืองจิ๋นทหารจะน้อยลงจึงยอมมาเป็นไมตรีโดยง่าย
ตั้งแต่นั้นมาซองค่างอ๋องมีใจกำเริบคิดจะตั้งตัวเป็นอ๋องเต้ จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่าเราจะตั้งตัวขึ้นเป็นอ๋องเต้ เป็นที่กษัตริย์สูงศักดิ์แต่ผู้เดียว ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้น ครั้นจะทัดทานขัดขวางก็กลัวอาชญาเจ้าเมืองซองนัก ซองค่างอ๋องเจ้าเมืองซองเห็นขุนนางยินยอมพร้อมใจดังนั้นก็มีความยินดีนักจึงตั้งตัวขึ้นเป็นอ๋องเต้ ให้ทำเสื้อและเครื่องใช้สอยทั้งปวงให้เหมือนกษัตริย์ในเมืองหลวง แล้วให้มีหมายรับสั่งแจกไปทุกหัวเมือง ให้เรียกว่าพระเจ้าหมื่นปี บางวันก็ออกว่าราชการซุ่มอยู่ ณ ที่ข้างใน แล้วแกล้งให้หญิงคนใช้ออกมาสั่งขุนนางข้างหน้าที่มาเตรียมเฝ้าอยู่นั้น ให้ป่าวร้องราษฎรทั้งปวงให้รู้ทั่วกันว่า เวลาวันนี้หยกศีอ๋องเต้แปลว่าพระอิศวรให้มาเชิญเสด็จพระเจ้าอ๋องเต้ขึ้นไปเสวยโต๊ะบนสวรรค์จึงมิได้เสด็จออกว่าราชการ
ฝ่ายเจ้าเมืองซองจึงให้จัดสตรีรูปงามผลัดเปลี่ยนกันอยู่บำรุงบำเรอร่วมเตียงด้วยยามละห้าคน สิ้นทั้งสี่ยามทุกวันมิได้ขาด ลางวันก็ให้แต่งโต๊ะและสุราเลี้ยงขุนนางในที่เสด็จออก แล้วพระเจ้าอ๋องเต้จึงแกล้งสั่งหญิงคนใช้ให้เอานํ้าใส่ไว้ในขวดสุราให้ยกออกมารินถวายพระเจ้าอ๋องเต้เสวยนํ้าต่อหน้าขุนนางทั้งปวง ขุนนางทั้งปวงกินโต๊ะเสพสุราตามธรรมเนียมก็เมาสิ้นทุกตัวคนแต่พระเจ้าอ๋องเต้นั้นมิได้เมา แล้วให้ป่าวร้องให้รู้ทั่วกันว่าพระเจ้าอ๋องเต้มีบุญญาธิการมากเสวยสุราก็มิได้เมา และพระเจ้าเมืองซองนั้นเป็นคนมักมาก ครั้นตั้งตัวเป็นอ๋องเต้คิดทำการโกหกต่างๆ ดังนั้นแล้ว ถ้าแจ้งว่าผู้ใดมีบุตรสาวรูปงามก็ให้เก็บเอามาเลือกสรรแต่ที่ชอบใจไว้เป็นภรรยา ครั้นสิ้นบุตรพวกขุนนางแล้ว มีผู้ส่อเสียดว่าภรรยาขุนนางและราษฎรผู้ใดรูปงามก็ให้เก็บเอาเลือกสรรดูที่ชอบใจ จึงส่งเข้าไปไว้ข้างในเอาไว้เป็นภรรยา ที่ไม่ชอบก็ให้มัดเข้าไว้กับเสาเกาทัณฑ์ยิงเสียตายสิ้น
ขณะนั้นมีผู้เอาเนื้อความเข้ามาแจ้งแก่เจ้าเมืองซองว่า นางซิดซีภรรยาหั้นยีบี๋นรูปงามหาสตรีอื่นเปรียบมิได้ เจ้าเมืองซองได้ฟังยินดีนัก จึงให้บูซูไปหาตัวหั้นยีบี๋นมากับทั้งภรรยา เห็นรูปนางซิดซีงามประหลาดชอบใจนัก จึงว่าแกหั้นยีบี๋นว่าเราชอบใจภรรยาท่านจะขอเอาไว้ ท่านจงเอาเงินสามสิบตำลึงไปหาภรรยาเอาใหม่เถิด หั้นยีบี๋นจึงตอบว่านางซิดซีภรรยาข้าพเจ้านี้เป็นเพื่อนยากได้ร่วมสุขร่วมทุกข์อยู่ด้วยกันมาหลายปีแล้ว ซึ่งข้าพเจ้าจะให้ภรรยาไว้นั้นมิได้ ถ้าหาชีวิตไม่แล้วเมื่อใดข้าพเจ้ากับภรรยาจึงจะจากกันได้
เจ้าเมืองซองได้ฟังก็โกรธนัก จึงสั่งบูซูให้คุมตัวหั้นยีบี๋นไปจำขังไว้ในทิมคนโทษแล้วสั่งให้ประกอบยาพิษใส่ลงในอาหารให้หั้นยีบี๋นกินตาย แล้วให้พาตัวนางซิดซีขึ้นไปบนไต๋ ณ ที่ข้างใน ให้เสื้อผ้าและเครื่องยศสำหรับที่ฮูหยินภรรยาหลวงให้นางซิดซีแล้ว จึงปลอบว่า เจ้าเป็นภรรยาหั้นยีบี๋นคนเข็ญใจ เรารักใคร่จึงเอามาชุบเลี้ยงเป็นที่ฮูหยิน เจ้าอย่าโศกเศร้าถึงสามีเก่านักเลย จงอุตส่าห์ทำราชการไปกับเราโดยสุจริต นางซิดซีแจ้งว่าสามีถึงแก่กรรมแล้ว ไม่ขออยู่เป็นคนคิดจะฆ่าตัวตายตามผัวก็ตั้งแต่ร้องไห้มิได้หยุดหย่อน ครั้นได้ฟังเจ้าเมืองซองแทะโลมดังนั้นก็อุตส่าห์กลั้นความโศกไว้จึงตอบว่า ตัวข้าพเจ้าเป็นภรรยาหั้นยีบี๋นคนอนาถา ท่านมีความกรุณาจะชุบเลี้ยงเป็นที่ฮูหยินนั้นพระคุณหาที่สุดมิได้ แต่ข้าพเจ้ายังมิได้ลาสามีและเซ่นวักตามธรรมเนียมไม่ ถ้าท่านกรุณาจะชุบเลี้ยงโดยสุจริตแล้ว ขอให้แต่งโต๊ะและสุรากับธูปเทียนดอกไม้ให้ข้าพเจ้าได้เซ่นวักสามีตามธรรมเนียม แล้วจะโปรดเป็นประการใดข้าพเจ้าก็จะทำตามทุกประการ เจ้าเมืองซองได้ฟังสำคัญว่าจริงมีความยินดีนัก จึงสั่งนางพนักงานให้จัดโต๊ะและสุราธูปเทียนให้แก่นางซิดซีไปเซ่นวักสามีตามธรรมเนียม
ขณะเมื่อหั้นยีบี๋นจะตายนั้น จิตประหวัดถึงนางซิดซีผู้ภรรยานัก ดับจิตแล้วก็เป็นผีเสื้อมาบินตามนางซิดซีอยู่ทุกฝีเท้า เมื่อนางซิดซีให้แต่งเครื่องเซ่นบนไต๋นั้น ผีเสื้อก็มาบินตามอยู่ที่นั่นด้วย นางซิดซีมิรู้ว่าผีเสื้อนั้นเป็นสามี ครั้นเซ่นพลางชำเลืองดู เห็นนางพนักงานทั้งปวงประมาทอยู่ได้ทีก็โจนไต๋ลงไปตาย ขณะเมื่อตายนั้นจิตนางประหวัดถึงสามีและซื่อตรงต่อ ครั้นตายก็ได้เป็นผีเสื้อบินตามสามีไป เจ้าเมืองซองแจ้งความว่านางซิดซีโจนไต๋ตายดังนั้นคิดเสียดายนัก จึงให้แต่งการฝังศพตามธรรมเนียม
วันหนึ่งซองค่างอ๋องเจ้าเมืองซองออกขุนนางที่ข้างหน้าจึงปรึกษาอิปันเซียงและฮำเหงขุนนางผู้ใหญ่ เป็นผู้สำเร็จราชการฝ่ายทหารพลเรือนว่า บัดนี้เราเป็นกษัตริย์อันสูงศักดิ์หากษัตริย์เมืองใดจะเสมอมิได้ อายุเราก็ได้สี่สิบเศษแล้ว ไทจูปุดบุตรชายเราก็เป็นคนพิการแขนทั้งสองข้างด้วนเพียงข้อศอก จักษุบอดมาแต่กำเนิดดังนี้ ถ้าหาบุญเราไม่ที่ไหนไทจูปุดจะครองสมบัติสืบไปได้ เห็นแต่นางกงจูเทียนฮั่วบุตรหญิงเราจะครองสมบัติในเมืองซองสืบไปได้ นางกงจูเทียนฮั่วนั้นอายุได้สิบเจ็ดปี เส้นผมแดง ขนและหนวดเหมือนผู้ชาย มีสติปัญญามาก ฝีมือก็เข้มแข็ง หาผู้ใดจะต่อสู้มิได้ เราจะแต่งให้นางกงจูเทียนฮั่วเป็นแม่ทัพคุมทหารที่มีฝีมือยกไปเมืองตังจิว จะแต่งหนังสือฉบับหนึ่งไปถึงเจ้าเมืองตังจิวว่า บัดนี้ พระอิศวรมีรับสั่งให้หาเราขึ้นไปกินโต๊ะบนสวรรค์แล้วสั่งเราลงมาว่าชะตาเมืองตังจิวถึงกำหนดจะสาบสูญอยู่แล้ว เมืองเราจะตั้งเป็นเมืองหลวงจะบริบูรณ์ไปภายหน้า ให้เราเอากระทะทองเก้าใบมาไว้สำหรับเมืองซอง ถ้าเจ้าเมืองตังจิวทำตามถ้อยคำเรา ส่งกระทะมาให้โดยดี เราก็จะเลี้ยงให้เป็นเมืองขึ้นสืบไปตราบเท่าลูกหลาน ถ้าไม่ให้โดยดีจะให้ทหารเข้าหักเมืองตังจิว ได้แล้วก็จะให้จับแต่บรรดาแซ่เจ้าเมืองตังจิวฆ่าเสียให้สิ้นมิให้เหลือแต่สักคนเดียว เราคิดดังนี้ท่านทั้งสองจะเห็นประการใด อิปันเซียงฮำเหงได้ฟังไม่เห็นด้วยจึงทูลว่า เทศกาลนี้เป็นฤดูหนาว ซึ่งจะยกไปตีเมืองตังจิวนั้น ข้าพเจ้าเห็นจะลำบากแก่ทแกล้วทหารนัก อนึ่งเมืองตังจิวก็เป็นเมืองหลวงมาแต่ก่อน ถึงจะตีเมืองตังจิวได้ หัวเมืองใหญ่ทั้งปวงยังมีอยู่เป็นอันมาก จะเจ็บแค้นคิดร้ายท่านจะเป็นเสี้ยนหนามขึ้นเป็นอันมาก เห็นจะลำบากเมื่อปลายมือ เปรียบเหมือนนกน้อยมีขนปีกหางยังมิได้งอกงามบริบูรณ์และโผบินขึ้นบนอากาศก็จะพลัดตกลงมา ขอท่านจงคิดอ่านเกลี้ยกล่อมซ่องสุมทแกล้วทหารและเครื่องศัสตราวุธให้พร้อมไว้ คอยป้องกันอันตรายรักษาเมืองเราก่อน ข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์เขาเล่าลือกันว่าเจ้าเมืองเจ๋ให้ฝึกซ้อมทหารและเตรียมเครื่องศัสตราวุธจะยกมาตีเมืองเราอยู่ หารู้แน่ว่าจะยกมาเมื่อไรไม่ ขอท่านจงตรึกตรองดูให้เห็นควรก่อน
ซองค่างอ๋องได้ฟังโกรธนัก ก็ชักเกาทัณฑ์ขึ้นพาดสายยิงเอาแขนและขาขุนนางทั้งสองแล้วจึงให้ถอดเสียจากขุนนางผู้ใหญ่ ให้เอาตัวไปขังไว้ในคุกกว่าจะตาย แล้วให้มีกฎหมายป่าวร้องให้รู้ทั่วกันว่า แต่นี้สืบไปภายหน้าอย่าให้ใครทัดทานเราเหมือนขุนนางทั้งสองเป็นอันมาก ถ้าใครมิฟังขืนทัดทานเราจะให้ลงโทษจนถึงสิ้นชีวิต แจกกฎหมายเสร็จแล้วเจ้าเมืองซองก็ให้เกณฑ์ทหารสิบหมื่นเข้าขบวนทัพ ให้ง่อเอียนเป็นทัพหน้า ให้ชัวเลเป็นทัพหลัง ให้นางกงจูเทียนฮั่วเป็นแม่ทัพหลวง กึ่งเดือนอ้ายข้างแรมได้ฤกษ์จะยกขึ้นไปตีเมืองตังจิว ครั้นถึงเดือนอ้ายขึ้นเจ็ดคํ่า ฝนห่าใหญ่ตกพรํ่าไปทั้งกลางคืนมิได้หยุด สายนํ้านั้นไหลเชี่ยวท่วมเข้าไปในเมืองลึกถึงหกศอก บ้านเรือนราษฎรทั้งปวงหักทลายลงเป็นอันมาก นํ้าก็ท่วมฉางข้าวสำหรับเมืองเสียสิ้น ครั้นถึงวันจะยกทัพ นางกงจูเทียนฮั่วขึ้นมาตรวจทหารอยู่บนหอคอย ฟ้าผ่าลงมาถูกศีรษะนางกงจูเทียนฮั่วแตกตาย ทัพก็งดอยู่มิได้ยกไป เจ้าเมืองซองเห็นดังนั้นคิดเสียดายนางกงจูเทียนฮั่วนักก็ร้องไห้รักจนสลบลงกับที่หาสมประดีมิได้
ขณะนั้นพระเจ้าจิวอันอ๋องครองราชสมบัติในเมืองตังจิวได้สี่สิบสามปี ครั้นถึงเดือนหกเข้าปีใหม่เป็นวันฤกษ์ดี เจ๋มินอ๋องเจ้าเมืองเจ๋จัดกองทัพได้พร้อมแล้ว ให้หั้นเลียบเป็นแม่ทัพหน้า ให้โซต๋ายเป็นที่ปรึกษา เจ้าเมืองเจ๋เป็นแม่ทัพหลวง คุมทหารสิบสองหมื่นจะยกไปตีเมืองซอง เดินทัพไปถึงเมืองฉูเอี๋ยงปลายแดนเมืองซอง จึงให้ตั้งค่ายมั่นไว้ค่อยรอกองทัพเมืองฌ้อเมืองงุย ถ้ายกมาถึงพร้อมกันแล้วเมื่อใด จะได้บรรจบทัพทั้งสามเมืองเข้าหักเอาเมืองฉูเอี๋ยง
ฝ่ายเจ้าเมืองฌ้อครั้นถึงเดือนหกเข้าปีใหม่ จึงแต่งให้ตงมวยเป็นแม่ทัพ คุมทหารสี่หมื่นยกมาตามสัญญา เจ้าเมืองงุยก็ให้บอมเบาเป็นแม่ทัพคุมทหารสี่หมื่นยกมาช่วยเจ้าเมืองเจ๋ ครั้นกองทัพทั้งสองเมืองมาถึงพร้อมกัน แม่ทัพทั้งสองก็เข้าไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋มีความยินดีนักจึงสั่งให้ทหารทั้งสามเมืองระดมกันเข้าล้อมเมืองฉูเอี๋ยงเป็นสามารถ
ฝ่ายเตียวงวนโซยเจ้าเมืองฉูเอี๋ยง เห็นกองทัพทั้งสามเมืองมาตั้งล้อมอยู่ดังนั้นก็ตกใจนัก จึงขับทหารให้ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินมั่นคง แล้วให้ม้าใช้เอาข้อราชการเข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองซองทุกประการ เจ้าเมืองซองได้ฟังตกใจนัก เห็นจะต่อสู้กองทัพสามเมืองมิได้ จึงให้ม้าใช้ไปขอกองทัพเมืองจิ๋นให้ยกมาช่วยเป็นการเร็ว เจ้าเมืองจิ๋นก็ให้จัดทัพจะยกมาช่วยเมืองซอง
ฝ่ายม้าใช้ที่เจ้าเมืองเจ๋ให้ไปคอยฟังข่าวราชการอยู่ปลายแดนเมืองจิ๋นแจ้งดังนั้น ก็รีบมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองเจ๋ฟังทุกประการ เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังเสียน้ำใจนัก จึงให้หาโซต๋ายเข้ามาปรึกษาว่า บัดนี้เจ้าเมืองซองให้ไปขอกองทัพเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นให้เตรียมทัพจะยกมาเป็นทัพกระหนาบ เราเห็นจะลำบากเมื่อปลายมือ ท่านจะเห็นอุบายเป็นประการใดจึงจะห้ามปรามกองทัพเมืองจิ๋นอย่าให้ยกมาช่วยกันได้ โซต๋ายจึงตอบว่า การที่จะห้ามกองทัพเมืองจิ๋นมิให้ยกมานั้นหายากนักไม่ ข้าพเจ้าจะขออาสาไปห้ามกองทัพเมืองจิ๋นเอง ท่านอย่าวิตกเลย จงจัดม้าที่มีฝีเท้าให้แก่ข้าพเจ้ากับทหารม้าสักสามสิบคนให้ไปแก่ข้าพเจ้าโดยเร็ว เห็นจะได้ราชการเป็นมั่นคง เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังมีความยินดีนักก็จัดม้าและทหารให้แก่โซต๋าย โซต๋ายก็คำนับลาเจ้าเมืองเจ๋ออกมาจัดแจงเสบียงอาหารและเครื่องศัสตราวุธสำหรับตัวได้พร้อมแล้ว ก็เผ่นขึ้นหลังม้ารีบมาเป็นการเร็ว ครั้นถึงเมืองจิ๋นจึงเข้าหาขุนนางผู้ใหญ่ให้นำเข้าเฝ้าคำนับเจ้าเมืองจิ๋นแล้วจึงแจ้งความว่า บัดนี้เจ้าเมืองเจ๋ให้มาแจ้งความว่า ซองค่างอ๋องเจ้าเมืองซองนั้นเป็นคนหยาบช้าหาตั้งอยู่ในยุติธรรมไม่ ทำการทุจริตต่างๆ ขุนนางและราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนัก เจ้าเมืองเจ๋จึงยกไปกำจัดเจ้าเมืองซอง คิดล่อลวงเอากองทัพเมืองฌ้อไปด้วย เพราะเห็นว่าเมืองฌ้อกับเมืองจิ๋นเป็นข้าศึกกันอยู่ ถ้าตีเมืองซองได้แล้ว เมืองฌ้อก็คงจะได้ด้วยเป็นมั่นคง ถ้าได้เมืองฌ้อแล้วจะยกให้เป็นเมืองขึ้นแก่เมืองท่าน ซึ่งเจ้าเมืองซองได้มาขอกองทัพจะให้ยกไปช่วยนั้น ขอท่านได้กรุณาเห็นแก่ไมตรีเจ้าเมืองเจ๋นายข้าพเจ้าอย่าได้ยกไปช่วยเมืองซองเลย เมืองจิ๋นกับเมืองเจ๋จะได้เป็นไมตรีกันสืบไปชั่วพระจันทร์พระอาทิตย์ เจ้าเมืองจิ๋นได้ฟังเห็นชอบด้วยจึงตอบว่า เราขอบใจท่านที่มาช่วยเตือนสติเรา อันเจ้าเมืองซองนั้นเป็นคนหยาบช้านัก เบียดเบียนขุนนางและราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน ถึงเราจะยกไปช่วยก็เห็นจะไม่รู้จักคุณ ท่านจงกลับไปบอกแก่เจ้าเมืองเจ๋นายท่านอย่าให้วิตกเลย เราไม่ยกไปช่วยเมืองซองแล้ว โซต๋ายได้ฟังมีความยินดีนักก็คำนับลาเจ้าเมืองจิ๋นกลับมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองเจ๋ทุกประการ
เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังมีความยินดีนัก จึงสั่งให้ทหารที่ล้อมเมืองฉูเอี๋ยงอยู่นั้นตรวจตราหน้าที่อย่าให้ผู้คนในเมืองเข้าออกได้ คนในเมืองก็ขัดสนด้วยอาหารอดอยากล้มตายเป็นอันมาก
ฝ่ายเจ้าเมืองซองคอยกองทัพเมืองจิ๋นอยู่เป็นหลายวันก็มิได้เห็นยกมาช่วยเสียนํ้าใจนัก กลัวว่าเตียวงวนโซยเจ้าเมืองฉูเอี๋ยงจะต่อสู้กองทัพทั้งสามมิได้ จึงให้จัดทหารสิบหมื่นเข้าขบวนทัพแล้วก็ยกออกจากเมืองรีบไป ครั้นถึงเมืองฉูเอี๋ยงก็ตั้งค่ายมั่นอยู่นอกเมืองด้านข้างตะวันตก แล้วให้เอียวกวนแม่ทัพหน้าคุมทหารเข้าตีค่าย หั้นเลียบแม่ทัพเมืองเจ๋ก็ออกต่อสู้กองทัพเมืองซองเป็นสามารถ ทหารทั้งสองฝ่ายรบกันกลางแปลงแทงฟันกันล้มตายเป็นอันมาก นายทหารทั้งสองรบกันได้สิบเพลงทวนไม่แพ้ไม่ชนะกัน
ขณะนั้นเจ้าเมืองซองก็ให้เร่งเข้าตีค่ายตงมวยแม่ทัพเมืองฌ้อ ตงมวยก็ขับม้าฝ่าทหารเข้ารบกับเจ้าเมืองซองเป็นสามารถ บอมเบาแม่ทัพเมืองงุยเห็นดังนั้นคิดเกรงว่าตงมวยจะต่อสู้เจ้าเมืองซองมิได้ ก็ขับม้าฝ่าทหารเข้าช่วยตงมวยรบเจ้าเมืองซอง พวกทหารทั้งสองฝ่ายฆ่าฟันกันล้มตายเป็นอันมาก รบกันแต่เวลาเช้าจนคํ่า เจ้าเมืองซองต่อสู้สองทหารจะเอาชัยชนะมิได้ ก็ทำเป็นชักม้าถอยออกมา บอมเบาเห็นได้ทีก็ขับม้าไล่ถลำเข้าไป เจ้าเมืองซองเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกบอมเบาตกม้าตาย พอเวลาคํ่าก็ถอยทัพกลับเข้าค่าย
ตงมวยก็คุมทหารที่เหลือนั้นกลับค่าย เอาเนื้อความที่ได้รบพุ่งกับเจ้าเมืองซองนั้นเข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเจ๋ทุกประการ เจ้าเมืองเจ๋แจ้งว่าเสียบอมเบาแม่ทัพเมืองงุยดังนั้นเสียนํ้าใจนัก จึงตั้งให้ลอบานปลัดทัพขึ้นเป็นแม่ทัพเมืองงุยแทนบอมเบาผู้ตาย แล้วจึงปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า เจ้าเมืองซองฝีมือเข้มแข็งนัก อนึ่งเมืองฉูเอี๋ยงก็มั่นคง เหลือกำลังที่ทหารเราจะเข้าหักเอาได้ จำจะคิดเป็นอุบายเขียนหนังสือเป็นเรื่องราวกล่าวโทษเจ้าเมืองซอง ผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมืองฉูเอี๋ยง ราษฎรและขุนนางในเมืองเห็นหนังสือก็จะเห็นจริงด้วย เห็นจะไม่เต็มใจรบจะเปิดประตูรับเราเข้าไปในเมืองโดยง่าย นอกเมืองก็จะให้เขียนหนังสือไปปิดไว้ทุกประตู แล้วจะให้เลิกกองทัพที่ล้อมเมืองเสียสักด้านหนึ่ง ปล่อยให้ทหารในกองทัพเมืองซองเข้าไปถึงเชิงกำแพงจะได้เห็นหนังสือที่เราปิดไว้ประตูเมือง พวกทหารทั้งปวงก็เห็นจริงด้วยไม่เป็นใจรบเห็นจะเสียทีแก่เรามั่นคง เราคิดดังนี้ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด นายทัพนายกองทั้งปวงก็เห็นด้วยต่างสรรเสริญว่า ความคิดอันนี้ดีนัก ข้าพเจ้าเห็นจะได้ชัยชนะเจ้าเมืองซองเป็นมั่นคง
เจ้าเมืองเจ๋ก็ให้เขียนหนังสือผูกลูกเกาทัณฑ์ยิงเข้าไปในเมืองทั้งสี่ด้าน นอกเมืองก็ให้ทหารเอาหนังสือไปปิดไว้ทุกประตู แล้วให้เลิกกองทัพที่ล้อมเมืองเสียด้านหนึ่ง ให้กองทัพเมืองซองเข้าถึงเชิงกำแพง ฝ่ายทหารที่รักษาหน้าที่เชิงเทินอยู่นั้นได้หนังสือที่ลูกเกาทัณฑ์ ก็ฉีกผนึกออกอ่านดูได้ความว่า เจ้าเมืองซองทำการทุจริตหยาบช้าถึงสิบประการคือฆ่าเอียดเสงผู้พี่เสีย ชิงเอาสมบัติในเมืองซองประการหนึ่ง ไม่นับถือกษัตริย์ คิดจะยกขึ้นไปตีเมืองหลวงให้ได้ความเดือดร้อนประการหนึ่ง ทำการโกหกหลบอยู่ในที่ข้างใน แล้วแกล้งให้หญิงคนใช้ออกมาบอกแก่ขุนนางให้ป่าวร้องว่าพระอิศวรให้มาเชิญตัวขึ้นไปกินโต๊ะกับพระอิศวรบนสวรรค์ประการหนึ่ง ไม่มีความกรุณาแก่ขุนนางและราษฎรทั้งปวงประการหนึ่ง เสพสุราเล่นกระจับปี่สีซอและมัวเมาอยู่ด้วยสตรีในที่ข้างในทั้งกลางวันกลางคืน มิได้ออกว่าราชการบ้านเมืองประการหนึ่ง ทำการข่มเหงชิงเอาภรรยาขุนนางและราษฎรทั้งปวง ที่ชอบใจก็เอาไว้ ที่ไม่ชอบก็เอาเกาทัณฑ์ยิงเสียให้ตาย เขาหาโทษมิได้ฆ่าเสียนั้นประการหนึ่ง ตัวกระทำความผิด ขุนนางผู้มีสติปัญญาเข้าไปทัดทานว่ากล่าว และเอาเกาทัณฑ์ยิงให้แขนหักขาหักและถอดเสียจากที่ขุนนางประการหนึ่ง ทำการกำเริบตั้งตัวเป็นเจ้าฮ่องเต้และชิงเอาหัวเมืองเล็กน้อย อันเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองอื่นๆ มาเป็นเมืองขึ้นของตัวนั้นประการหนึ่ง ยกกองทัพไปเที่ยวตีเมืองเล็กน้อยทุกปีมิได้ขาดจนราษฎรมิได้ทำมาหากินขัดสนยากจนไปสิ้นทั้งเมืองประการหนึ่ง แต่งทหารที่มีฝีมือให้เที่ยวตีสำเภาเภตราลูกค้าวานิชอันเที่ยวค้าขายในท้องทะเล ชิงเอาทรัพย์ข้าวของมาเป็นอาณาประโยชน์ รวมสิบประการด้วยกัน เจ้าเมืองซองทำการหยาบช้าดังนี้เห็นจะเป็นเจ้าเมืองสืบไปมิได้ เรายกมาบัดนี้ใช่ว่าจะเห็นแก่สมบัติบ้านเมืองหามิได้ จะมากำจัดเจ้าเมืองซองผู้ทำผิดเสีย แล้วจะผลัดเจ้าเมืองใหม่ให้ตั้งอยู่ในยุติธรรม ขุนนางและราษฎรทั้งปวงจะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ชาวเมืองทั้งปวงได้หนังสือนี้แล้วจงตรึกตรองดูให้ดี ถ้าเห็นจริงด้วยเราแล้วจงมาเข้ากับเราช่วยกันกำจัดเจ้าเมืองซองผู้กระทำความผิด จะได้อยู่เย็นเป็นสุขด้วยกันทั้งเมือง
แต่บรรดาทหารทั้งปวงแจ้งความดังนั้นก็เห็นจริงด้วยทุกคน พวกที่เจ้าเมืองซองให้ทำโทษและข่มเหงชิงเอาภรรยาไว้แต่ก่อนก็คาดแค้นขึ้นมา ต่างคนต่างก็ปรึกษาเห็นพร้อมกันสิ้นว่าเจ้าเมืองซองกระทำความผิด ก็เอาหนังสือที่ได้มานั้นเข้าไปแจ้งแก่กงซุนปอดขุนนางผู้ใหญ่ กงซุนปอดก็เอาหนังสือเข้าไปแจ้งแก่เตียวงวนโซยเจ้าเมืองฉูเอี๋ยง เตียวงวนโซยจึงให้ขุนนางเข้ามาปรึกษาว่า หนังสือที่เจ้าเมืองเจ๋ให้ยิงเข้ามาเป็นเรื่องราวกล่าวโทษเจ้าเมืองซองสิบประการนั้นจริงของเขาสิ้น เราจะให้เขียนหนังสือยิงตอบออกไปนัดจะเปิดประตูให้เจ้าเมืองเจ๋เข้าเมืองเราในพรุ่งนี้ คนทั้งปวงจะคิดทำประการใดก็ตามเถิด แต่ตัวเรากับสมัครพรรคพวกจะขอไปอยู่เมืองเกี๋ยน ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงก็เห็นชอบด้วย เตียวงวนโซยก็ให้เขียนหนังสือนัดให้ทหารยิงออกไปให้ทหารเมืองเจ๋แจ้งทุกประการ
พวกทหารในกองทัพได้หนังสือก็เอาไปให้แก่ขุนนางผู้ใหญ่ ขุนนางผู้ใหญ่ก็เอาหนังสือเข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋แจ้งความในหนังสือแล้วก็มีความยินดีนัก จึงสั่งทหารให้เตรียมการพร้อมไว้แต่ในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งขึ้นเวลาเช้าเห็นประตูเมืองเปิดทั้งสี่ด้านก็ให้ยกเข้าตั้งอยู่ในเมืองฉูเอี๋ยง เตียวงวนโซยกับขุนนางทั้งปวงก็พากันมาคำนับเจ้าเมืองเจ๋ แล้วให้แต่งโต๊ะและสุราเลี้ยงดูกองทัพให้อิ่มหนำทั่วกัน
ขณะนั้นเจ้าเมืองเจ๋จึงให้แจกกฎหมายทั้งปวง อย่าให้ข่มเหงราษฎรและช่วงชิงเอาสิ่งของมาเป็นอาณาประโยชน์จนแต่ด้ายเส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่งเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดมิฟังขืนกระทำจะให้เอาโทษผู้นั้นถึงสิ้นชีวิต ราษฎรทั้งปวงก็ชื่นชมชวนกันสรรเสริญเจ้าเมืองเจ๋ว่ามีความกรุณาแก่ราษฎรนัก เจ้าเมืองเจ๋ก็ให้เอาธงมาจารึกเป็นชื่อเมืองเจ๋ขึ้นปักไว้บนกำแพงโดยรอบ
ฝ่ายเจ้าเมืองซองเห็นกองทัพที่ล้อมเมืองเลิกเสียด้านหนึ่งดังนั้นก็ขับทหารเข้าไปถึงเชิงกำแพง เห็นอักษรจารึกไว้บนธงปักอยู่บนกำแพงเป็นชื่อเมืองเจ๋ แจ้งว่ากองทัพเมืองเจ๋เข้าเมืองได้ดังนั้นก็เสียนํ้าใจนัก จึงสั่งทหารให้เข้าหักเมืองฉูเอี๋ยงให้จงได้ พวกทหารเมืองซองก็เข้าตั้งมั่นชิดเชิงกำแพง เห็นหนังสือปิดอยู่ที่ประตูเมืองชวนกันอ่านดูแจ้งความแล้วก็เห็นจริงด้วย ต่างคนต่างปรึกษากันเรรวนอยู่ บางคนก็เต็มใจรบ บางคนที่เจ้าเมืองซองกระทำข่มเหงให้ได้ความขัดเคืองไว้แต่ก่อนก็มิได้เป็นใจรบพุ่ง ที่เล็ดลอดออกจากกองทัพกลับเข้าไปเมืองซองยักย้ายครอบครัวออกเสียจากเมืองก็มีบ้าง ทหารในกองทัพเจ้าเมืองซองก็เบาบางน้อยลง เจ้าเมืองซองจะเข้าหักเอาเมืองก็มิได้ คิดเสียน้ำใจนักจึงให้ตั้งมั่นไว้มิได้ขับทหารออกรบพุ่ง
ฝ่ายเจ้าเมืองเจ๋จึงปรึกษาไตหูโซต๋าย และนายทัพนายกองทั้งปวงว่า เจ้าเมืองซองมีกำลังและฝีมือเข้มแข็งนัก เราจะแต่งทหารให้เข้าหักเอาก็เห็นจะได้โดยยาก ท่านทั้งปวงจะคิดประการใดจึงจะเอาชัยชนะเจ้าเมืองซองได้
ขณะนั้นอองจ๊กที่ปรึกษาผู้น้อยจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นอุบายอันหนึ่งดีนัก ถ้าทำได้แล้วเห็นจะมีชัยชนะเจ้าเมืองซองโดยง่ายไม่พักลำบากแก่ทหารเลย เจ้าเมืองเจ๋จึงถามว่าอุบายของท่านประการใด อองจ๊กจึงแจ้งความว่าเทศกาลนี้ลมพัดแต่ค่ายเราไปข้างค่ายเจ้าเมืองซอง ข้าพเจ้าคิดจะให้ทำว่าวใหญ่สักห้าร้อยตัว เอาเชื้อไฟและผ้าชุบนํ้ามันยางผูกเข้าไว้กับตัวว่าว ล่ามฝักแคแต่ตัวว่าวลงมาจนถึงต้นป่าน แล้วให้ชักว่าวขึ้นไว้แต่เวลาเย็น แต่อย่าเพิ่งให้ถึงค่าย ครั้นเวลาดึกประมาณสองยามเศษ พวกทหารในกองทัพหลับสนิทแล้วจึงให้เอาเพลิงจุดฝักแคเข้า เพลิงไหม้ลามขึ้นไปถึงเชื้อไฟที่ตัวว่าวก็จะติดเชื้อเพลิงขึ้น ตัวว่าวก็จะขาดตกลงในค่าย ติดหลังคาเพิงพะที่ทหารอาศัยเข้าแล้ว เพลิงก็จะไหม้ขึ้นในค่าย คนกำลังนอนหลับสนิทเห็นจะดับเพลิงไม่ทัน ก็จะแตกฉานซ่านเซ็นคุมกันไม่ติดด้วยเป็นเวลากลางคืน อุบายอันนี้ข้าพเจ้าเห็นจะมีชัยชนะเจ้าเมืองซองเป็นมั่นคง เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังก็เห็นชอบด้วย จึงให้ทำว่าวใหญ่ให้ได้ห้าร้อยตัวหย่อนไปตามอุบายอองจ๊ก
ครั้นเวลาคํ่าก็ให้เอาเพลิงจุดสายชนวนฝักแค เพลิงก็ติดผ้าชุบนํ้ามันยางและตัวว่าวตกลงในค่ายติดหลังคาไหม้ขึ้นแล้ว อองจ๊กก็คุมทหารเมืองฌ้อ เมืองงุย ทั้งสองกองรีบยกไปคอยจับคนที่ช่องแคบและทางใหญ่ทุกตำบล ขณะเมื่อเพลิงไหม้ค่ายนั้น พวกทหารในค่ายตื่นวุ่นวายกันขึ้น มิได้รู้ว่าข้าศึกมาแต่ทิศใด ก็ตกใจหลงฆ่าฟันกันล้มตาย ที่หนีไม่ทันตายในเพลิงก็มีบ้าง เจ้าเมืองซองตื่นขึ้นได้ยินเสียงอื้ออึงอยู่ แลไปเห็นแสงเพลิงสว่างทั้งค่ายก็รู้ว่าเพลิงไหม้ สั่งทหารให้ดับเพลิงก็มิทัน ต่างคนต่างจะหนีเอาตัวรอดสิ้น เจ้าเมืองซองก็ขึ้นม้าพาทหารคนสนิทรีบหนีออกจากค่าย พวกทหารทั้งปวงก็วิ่งปะทะปะปนกันไป บางคนที่เห็นไฟตกลงมาแต่บนอากาศก็เข้าใจว่าเทวดาโยนไฟลงมาเผาค่าย ต่างคนตกใจนักก็หนีออกจากค่ายไปตามทางช่องแคบบ้าง ไปตามหนทางใหญ่ก็มีบ้าง พวกทหารเมืองฌ้อ เมืองงุย ที่อองจ๊กให้ไปซุ่มอยู่นั้นได้ทีก็เข้ากลุ้มรุมกันจับทหารเมืองซองได้ประมาณสองร้อยเศษ
อองจ๊กก็ให้ทหารเมืองซองที่จับได้นั้นนำทางคุมทหารเมืองฌ้อ เมืองงุย รีบยกเข้าไปเมืองซอง จึงให้พวกทหารที่จับได้นั้นร้องบอกนายประตูว่า บัดนี้ซองค่างอ๋องเจ้านายเรายกออกไปปราบปรามข้าศึกตีทัพเมืองเจ๋แตกหนีไปแล้วจงเปิดประตูรับโดยเร็ว นายประตูได้ฟังก็เอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่ไตติดขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งอยู่รักษาเมือง ไตติดก็ขึ้นบนเชิงเทิน ให้เอาคบเพลิงส่องลงไปดูจำหน้าพวกทหารและเสื้อเกราะที่ทหารใส่นั้นได้ เข้าใจว่าเจ้าเมืองซองชนะศึกจะกลับเข้าเมือง ก็สั่งให้เปิดประตูรับ อองจ๊กก็ขับทหารตรูเข้าเมืองได้ ไตติดเห็นอองจ๊กตงมวย ลอบาน นายทหารทั้งสามเข้าเมืองได้ดังนั้นก็ตกใจนักจำเป็นจำมาคำนับ
อองจ๊กจึงเกลี้ยกล่อมไตติดว่า ท่านอย่าเสียใจเลย เจ้าเมืองซองทำการหยาบช้าต่างๆ ก็ย่อมแจ้งอยู่แก่ใจท่านแล้ว เจ้าเมืองเจ๋นายเราจึงยกมากำจัดเจ้าเมืองซอง จะเปลี่ยนเจ้าเมืองเสียใหม่ให้ขุนนางและราษฎรทั้งปวงอยู่เย็นเป็นสุขสิ้นทั้งเมือง ท่านจงประกาศแก่ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงว่า อย่าให้ตื่นตกใจวุ่นวายไป จงอยู่ตามภูมิลำเนาดุจก่อนเถิด ไตติดก็ให้ร้องป่าวราษฎรรู้ทั่วกัน อองจ๊กจึงให้ประกาศพวกทหารทั้งสามกอง ห้ามปรามอย่าให้ใครข่มเหงช่วงชิงเอาสิ่งของทองเงินและเครื่องใช้สอยของราษฎรชาวเมืองมาเป็นอาณาประโยชน์เลยเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าใครมิฟังจะเอาตัวเป็นโทษถึงสิ้นชีวิต ครั้นจัดแจงบ้านเมืองราบคาบแล้ว อองจ๊กจึงให้เอาธงมาเขียนหนังสือเป็นชื่อเมืองเจ๋ปักไว้บนเชิงเทินเป็นสำคัญ แล้วให้ปิดประตูเมืองไว้ให้มั่นคง จัดทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินอยู่เป็นอันมาก
ฝ่ายเจ้าเมืองซองควบม้าหนีเพลิงออกจากค่ายเห็นกองทัพเมืองเจ๋ไล่จับทหารวุ่นวายดังนั้นก็ทิ้งทหารคนสนิทเสีย ควบม้าหนีกลับมาเมืองซองในเวลากลางคืน พอรุ่งก็ถึงเมืองซอง อองจ๊กแจ้งดังนั้นสั่งให้ไตติดออกมาคอยเจรจากับเจ้าเมืองซอง ครั้นไตติดเห็นเจ้าเมืองซองมาก็ร้องบอกว่า บ้านเมืองเป็นของข้าศึกไปแล้วท่านจะกลับมาทำไมเล่า ขณะเมื่อไตติดพูดกับเจ้าเมืองซองได้สามสี่คำ ลอบานก็แอบเข้ามาข้างหลังเอากระบี่ฟันคอไตติดขาด แล้วก็โยนศีรษะลงมาให้เจ้าเมืองซอง เจ้าเมืองซองได้ยินเสียงไตติดร้องว่ามาแหงนหน้าขึ้นไปดูเห็นหนังสือเขียนไว้กับธงเป็นชื่อเมืองเจ๋ก็เสียนํ้าใจอยู่ แล้วซ้ำเห็นศีรษะไตติดตกลงมาเล่า ก็ยิ่งเสียนํ้าใจนัก แทบจะตกลงจากหลังม้า อุตส่าห์แข็งใจชักม้าหนีไปทางซอกเขาซินลงสาน ทหารอองจ๊กไล่ติดตามไปเป็นอันมาก เจ้าเมืองซองขับม้ามาถึงธารนํ้าริมเขาซินลงสาน เท้าม้าสะดุดก้อนศิลาล้มลง เจ้าเมืองซองก็ตกจากหลังม้า พอพวกทหารตามมาทัน ก็เข้ากลุ้มรุมกันฟันแทงเจ้าเมืองซองตาย ตัดเอาศีรษะมาให้แก่เจ้าเมืองเจ๋ ณ เมืองฉูเอี๋ยง แจ้งความที่อองจ๊กยกเข้าเมืองได้และรบพุ่งกันจนฆ่าเจ้าเมืองซองตายให้เจ้าเมืองเจ๋ฟังทุกประการ
เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังมีความยินดีนัก ก็รีบยกเข้าไปในเมืองซอง อองจ๊กก็พาแม่ทัพทั้งสองเมืองและขุนนางในเมืองซองมาคำนับเจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋จึงตั้งให้อองจ๊กเป็นผู้รั้งอยู่รักษาเมืองซอง แล้วแปลงชื่อเมืองซองเสียใหม่ให้เรียกว่าเมืองอุนก๋วน
ครั้นนานมาเมืองอุนก๋วนเปลี่ยนชื่อใหม่ ชื่อว่าเมืองเซเคงอู สืบมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
ฝ่ายหั้นเลียบแม่ทัพเมืองเจ๋นั้น ขัดเคืองอองจ๊กว่าทำการเกินหน้าตัวผู้เป็นแม่ทัพ จนเข้าเมืองได้ก็หาได้ปรึกษาหั้นเลียบผู้เป็นแม่ทัพไม่ คิดพยาบาทอยู่ด้วยความข้อนี้ แล้วยิ่งเห็นเจ้าเมืองเจ๋ยกความชอบอองจ๊กตั้งให้เป็นเจ้าเมืองซองดังนั้นน้อยใจนักจึงเข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองเจ๋ว่า อองจ๊กเป็นแต่ขุนนางพลเรือน เล็บยาวกว่าคืบ หนวดยาวเพียงสะดือ ดีแต่กินอิ่มแล้วก็จะนอนหาเคยทำศึกไม่ ซึ่งจะให้เป็นเจ้าเมืองนั้น ถ้ามีศึกมาติดเมืองท่านยังเห็นว่าอองจ๊กจะป้องกันเมืองไว้ได้อยู่หรือ เจ้าเมืองเจ๋จึงตอบว่าท่านว่านั้นเราหาเห็นด้วยไม่ อันอองจ๊กนี้ถึงไม่มีฝีมือเป็นขุนนางพลเรือนก็จริงแต่มีสติปัญญามาก คิดเอาชัยชนะเจ้าเมืองซองได้ อันเจ้าเมืองซองนั้นรูปร่างสูงใหญ่แล้วก็มีกำลังฝีมือเข้มแข็งนักหาผู้จะต่อสู้มิได้ จะเอากำลังและฝีมือมาสู้กำลังสติปัญญาอองจ๊กก็มิได้ จนเสียบ้านเมืองและชีวิตด้วยความคิดของอองจ๊ก เราเห็นว่ากำลังกายและฝีมือเข้มแข็งนั้นหาสู้กำลังสติปัญญาและกำลังความคิดได้ไม่ จึงตั้งให้อองจ๊กเป็นเจ้าเมืองซองตามความชอบของเขา ซึ่งท่านว่ากล่าวทั้งนี้มิเป็นความอิจฉาอองจ๊กหรือ หั้นเลียบได้ฟังก็จนใจหารู้ที่จะโต้ตอบประการใดไม่ก็ก้มหน้านิ่งอยู่
ฝ่ายตงมวยแม่ทัพเมืองฌ้อ ลอบานแม่ทัพเมืองงุยนั้น ครั้นสำเร็จราชการเมืองซองแล้ว จึงเข้ามาคำนับลาเจ้าเมืองเจ๋ว่า บัดนี้ราชการก็สำเร็จแล้ว ข้าพเจ้าจะขอแบ่งปันสิ่งของเงินทองและหัวเมืองขึ้นในเมืองไปบ้างตามคำที่ท่านได้สัญญาไว้ เจ้าเมืองเจ๋จึงตอบว่า เราได้สัญญาไว้ก็จริงอยู่ แต่ทำการศึกจนได้เมืองซองครั้งนี้ได้ด้วยกำลังความคิดเราและความคิดอองจ๊กทหารของเราต่างหาก หาได้ด้วยกำลังความคิดท่านไม่ จะให้เราแบ่งปันสิ่งของและหัวเมืองขึ้นให้แก่ท่านอย่างไรได้ ตงมวยลอบานแม่ทัพทั้งสองได้ฟังคิดน้อยใจเจ้าเมืองเจ๋นัก มิได้คำนับก็กลับมาเมือง เจ้าเมืองเจ๋แจ้งในทีโกรธแม่ทัพทั้งสองดังนั้นจึงสั่งหั้นเลียบแม่ทัพให้คุมทหารยกไปตีกองทัพทั้งสองเมือง หั้นเลียบก็คำนับลาเจ้าเมืองเจ๋ออกมาจัดทหารเป็นอันมาก รีบยกตามไปจนทันและเข้าล้อมทัพเมืองฌ้อ เมืองงุย ณ ที่หัวเมืองไวปัก ปลายแดนเมืองออง ก็ขับทหารเข้าตีกองทัพทั้งสองเมืองแตกยับเยิน ฆ่าฟันทหารทั้งสองเมืองล้มตายเป็นอันมาก เก็บเอาม้าและเครื่องศัสตราวุธได้แล้วก็รีบยกตามกองทัพเมืองฌ้อไป จนถึงหัวเมืองตังขิวปลายแดนเมืองฌ้อ ก็ขับทหารเข้าตีเอาเมืองตังขิวได้แล้ว ตั้งทหารคนสนิทให้อยู่รักษาเมืองตังขิวไว้ให้มั่นคง กองทัพทั้งสองเมืองแตกทัพ หั้นเลียบเสียทหารประมาณสี่หมื่นเศษ แต่ตงมวยลอบานแม่ทัพทั้งสองมิได้เป็นอันตรายก็ยกแยกกันกลับไปเมือง
หั้นเลียบก็กลับมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองเจ๋ทุกประการ เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังมีความยินดีนัก จึงสั่งให้ไตหูโซต๋ายเอาเมืองตังขิวไปให้เป็นกำนัลเจ้าเมืองจิ๋นตามคำที่ได้สัญญาไว้ เจ้าเมืองจิ๋นแจ้งความดังนั้นยินดีนัก จึงสรรเสริญไตหูโซต๋ายว่าเจรจาแม่นยำมิได้กลับกลอกเลย ไตหูโซต๋ายก็คำนับลาเจ้าเมืองจิ๋นกลับมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองเจ๋ทุกประการ
เจ้าเมืองเจ๋ก็ยกกองทัพกลับมา ครั้นถึงเมืองเจ๋ก็มีใจกำเริบนักจึงแต่งหนังสือสามฉบับส่งให้แก่ขุนนางไปแจ้งแก่เจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองซอง ให้แต่งเครื่องบรรณาการมาคำนับเป็นเมืองขึ้นจงทุกปี ถ้ามาโดยดีแล้วเราก็จะชุบเลี้ยงเป็นข้าขอบขัณฑเสมาเมืองขึ้นเราสืบไป ถ้ามิมาโดยดีก็แต่งเมืองไว้ให้มั่นคงเถิด เราจะยกไปฆ่าเสียให้สิ้นเชื้อวงศ์ ขุนนางทั้งสามก็คำนับลาเจ้าเมืองเจ๋ คุมหนังสือไปให้แก่เจ้าเมืองทั้งสามตามคำเจ้าเมืองเจ๋สั่ง เจ้าเมืองทั้งสามแจ้งความในหนังสือนั้นคิดเกรงอาญาเจ้าเมืองเจ๋นัก ต่างเมืองต่างก็แต่งสิ่งของบรรณาการส่งมาคำนับเจ้าเมืองเจ๋
เจ้าเมืองเจ๋ก็ยิ่งมีใจกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อนจะตั้งตัวขึ้นเป็นอ๋องเต้ จึงสั่งให้โหรหาฤกษ์กำหนดวันฤกษ์ดีก็ตั้งตัวขึ้นเป็นอ๋องเต้ ให้ขุนนางทั้งปวงเข้าคำนับพร้อมกัน จึงให้แจกกฎหมายให้ขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงเรียกว่าพระเจ้าอ๋องเต้สืบไป แล้วให้แห่เครื่องสูงเหมือนกษัตริย์ในเมืองหลวง ให้มีการสมโภชเลี้ยงดูขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงถึงเจ็ดวัน ครั้นสำเร็จการแล้วจึงให้หาขุนนางมาปรึกษาว่า บัดนี้เราตีเมืองซองได้สมคิดแล้ว หัวเมืองอื่นยำเกรงแต่งเครื่องบรรณาการมาคำนับเป็นเมืองขึ้นเราเป็นอันมาก ถึงเมืองฌ้อเมืองสามจิ้น ทั้งสามเมืองนี้เป็นเมืองใหญ่ก็เกรงฝีมือเราอยู่สิ้น เราก็เป็นอ๋องเต้ขึ้นแล้ว จะแต่งให้ขุนนางขึ้นไปเมืองตังจิวเอากระทะทองเก้าใบมาไว้สำหรับเมืองเรานั้น ท่านทั้งปวงเห็นว่าเจ้าเมืองตังจิวจะขัดเราได้อยู่หรือ
เบ๋งเสียงกุ๋นจึงตอบว่า ท่านจงตรึกตรองดูเจ้าเมืองซองก่อน เพราะทำการกำเริบบ้านเมืองจึงฉิบหาย อันเมืองตังจิวนั้นเป็นเมืองหลวง ถึงว่าพระเจ้าจิวอันอ๋องไม่เข้มแข็งก็จริงอยู่ แต่หัวเมืองใหญ่ทั้งปวงก็ยำเกรงอยู่เป็นอันมาก ถ้าแจ้งความว่าท่านชิงเอากระทะทองคำมาไว้ในเมืองเราแล้ว ต่างเมืองก็จะมีมานะควบคุมกันเข้ายกมาทำร้ายแก่เมืองเราเป็นมั่นคง แต่ท่านตั้งตัวขึ้นเป็นอ๋องเต้นั้นข้าพเจ้าก็เห็นเกินอยู่แล้ว ซ้ำจะเป็นฮ่องเต้ขึ้นดังนี้มิเกินไปนักหรือ ขอท่านจงตรึกตรองการดูจงควรก่อน ถ้าออกตัวเสียจากอ๋องเต้เป็นแต่เพียงอ๋องนั้น เห็นว่าขุนนางและราษฎรทั้งปวงจะค่อยอยู่เย็นเป็นสุข ข้าพเจ้าก็จะได้มีความสบายแล้ว
เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังโกรธนัก จึงตอบว่าตัวท่านเป็นชาวบ้านนอกหารู้จักขนบธรรมเนียมสำหรับกษัตริย์ไม่ เราเป็นผู้มีบุญเสมอพระเจ้าบู๊อ๋องลำดับกษัตริย์ต่อพระเจ้าติวอ๋องลงมา หัวเมืองทั้งปวงจึงกลัวเกรงมายอมเป็นเมืองขึ้นแก่เราเป็นหลายเมือง ตัวจะมาคิดอ่านอิจฉาเรา เราจะเลี้ยงท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่สืบไปมิได้ ว่าแล้วก็สั่งให้ถอนเบ๋งเสียงกุ๋นเสียจากที่เสียงก๊ก ให้ริบเอาเครื่องยศและตราสำหรับที่แล้วให้ขับเสียจากเมือง เบ๋งเสียงกุ๋นก็พาบุตรภรรยาและสมัครพรรคพวกไปอาศัยอยู่เมืองเลียง
ขณะนั้นกงจูบูกี๋บุตรเจ้าเมืองงุย เป็นคนโอบอ้อมอารีรักเพื่อนฝูงนัก ได้มาเป็นเจ้าเมืองเลียง เป็นหัวเมืองขึ้นแก่เมืองงุย แจ้งว่าเบ๋งเสียงกุ๋นผู้มีสติปัญญาสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่เมืองเจ๋ต้องถอดจากที่มาอาศัยอยู่เมืองเลียงดังนั้น ก็มีใจรักใคร่เบ๋งเสียงกุ๋นนักจึงออกมาต้อนรับเบ๋งเสียงกุ๋น พาเข้าไปในเมืองจัดแจงที่ให้อยู่เป็นสุขแล้วก็ให้สิ่งของทองเงินและเครื่องใช้สอยเป็นอันมาก แล้วให้แต่งโต๊ะและสุราอย่างดี เชิญเบ๋งเสียงกุ๋นมากินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน ต่างคนก็ให้สัตย์สาบานเป็นสหายร่วมสุขร่วมทุกข์กันสืบไป
ฝ่ายเตียวสินน้องเจ้าเมืองเตียว งุยเจ๋เป็นที่เสียงก๊กผู้สำเร็จราชการเมืองงุยแจ้งความดังนั้น ก็จัดแจงสิ่งของทองเงินและเครื่องใช้สอยเป็นอันมากไปคำนับเป๋งเสียงกุ๋น ทั้งสี่จึงให้สัตย์สาบานเป็นสหายกันแล้วก็ลากลับไป กงจูบูกี๋จะใคร่สนิทกับเบ๋งเสียงกุ๋น จึงยกนางหยกซีผู้เป็นพี่สาวให้เป็นภรรยาเบ๋งเสียงกุ๋นโดยสุจริตมิได้รังเกียจสิ่งใด
ฝ่ายเจ้าเมืองเจ๋ขับเบ๋งเสียงกุ๋นเสีย ไม่มีใครจะขัดขวางได้แล้วก็ยิ่งมีใจกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน มิได้ตั้งอยู่ในยุติธรรมเบียดเบียนขุนนางและราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน อองจ๊กซึ่งเป็นเจ้าเมืองซองแจ้งความดังนั้น คิดถึงคุณเจ้าเมืองเจ๋ที่ได้ชุบเลี้ยงมาแต่ก่อนจึงแต่งเป็นเรื่องราวมาห้ามเจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋ก็มิได้เชื่อฟัง อองจ๊กเห็นว่าเมืองเจ๋จะฉิบหายเสียเป็นมั่นคงแล้วก็ลาออกนอกราชการ ไปทำมาหากินอยู่บ้านป่าตามสบาย เจ้าเมืองเจ๋ก็ให้เซียงอ๋องเจ้าเมืองลีจิ๋วว่าราชการเมืองซองแทนอองจ๊ก เจ้าเมืองเจ๋คิดจะใคร่ได้กระทะทองเก้าใบและสิงห์โตทองคำคู่หนึ่งกับตราหยกสำหรับกษัตริย์ในเมืองหลวงมาไว้สำหรับเมืองเจ๋ จึงสั่งโฮทั้นตันกีนายทหารทั้งสองว่า ท่านจงคุมทหารสามหมื่นยกขึ้นไปเมืองตังจิว คิดอ่านเอากระทะทองเก้าใบกับสิงห์โตทองคำคู่หนึ่งที่ตั้งอยู่ ณ พระที่นั่งเก๋งเทียนกับตราหยกมาไว้ในเมืองเราให้จงได้ นายทหารทั้งสองก็คำนับลาเจ้าเมืองเจ๋ออกมาจัดทหารสามหมื่นเข้าขบวนทัพเสร็จแล้วก็ยกขึ้นไปเมืองตังจิว ครั้นกองทัพยกไปแล้ว ในเมืองเจ๋นั้นฝนตกพรำไปถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน นํ้าฝนแดงเป็นสีโลหิตกลิ่นเหม็นเหมือนโลหิตเน่า ไหลลงห้วยหนองคลองนํ้าทั้งปวงเป็นโลหิตไปสิ้น ราษฎรอาศัยอาบกินนํ้าเข้าไปก็ป่วยเจ็บล้มตายเป็นอันมาก ภูเขาใหญ่ๆ ก็พังลงเป็นหลายเขา แล้วได้ยินเสียงเป็นคนร้องไห้แซ่ไปทั้งเมืองทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาด
ฝ่ายโฮทั้น ตันกี นายทหารทั้งสองยกไปใกล้จะถึงเมืองตังจิวยังทางอีกสามร้อยเส้นจะถึงเชิงกำแพงเมืองจึงให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ ให้ม้าใช้ไปแจ้งแก่ขุนนางผู้ใหญ่ให้กราบทูลพระเจ้าจิวอันอ๋องให้ทราบทุกประการ พระเจ้าจิวอันอ๋องแจ้งความดังนั้นเสียพระทัยนัก จึงให้หาขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่า บัดนี้เจ้าเมืองเจ๋จะให้มาเอากระทะทองเก้าใบ สิงห์โตทองคำคู่หนึ่ง กับตราหยกเป็นของวิเศษสำหรับเมืองเราไปนั้นดังเอาชีวิตไปจากเรา ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด
ขณะนั้นขุนนางในเมืองหลวงหาสติปัญญาและฝีมือที่จะต่อสู้ข้าศึกมิได้ ครั้นฟังพระเจ้าจิวอันอ๋องตรัสปรึกษาดังนั้นก็จนใจไม่รู้ที่จะคิดประการใด ต่างคนก็นิ่งเสียสิ้น พระเจ้าจิวอันอ๋องตรัสปรึกษาถึงสองครั้งสามครั้งก็ไม่มีผู้ใดกราบทูล เสียพระทัยนักก็เสด็จเข้าไปที่ข้างในมิได้ออกว่าราชการ รำคาญพระทัยนักไม่เป็นอันสรงอันเสวยก็เสด็จขึ้นไปซ่อนพระองค์อยู่ ณ พระที่นั่งไทเบี้ยว
ฝ่ายไทจูเงี้ยพระราชบุตรผู้ใหญ่พระเจ้าจิวอันอ๋อง อายุได้สิบแปดปีรูปงามนัก จริตกิริยาเหมือนดังสตรี มักพอใจร้อยดอกไม้ชมเล่นมิได้ขาด มีสติปัญญามากสมเป็นผู้มีบุญ แจ้งความว่าเจ้าเมืองเจ๋ทำการกำเริบให้กองทัพมาจะเอาของสองสิ่ง พระบิดาทรงพระวิตกนักเสด็จขึ้นไปซ่อนพระองค์อยู่บนพระที่นั่งไทเบี้ยว มิได้เสวยเป็นหลายเวลามาแล้ว ไทจูเงี้ยจึงชวนอองจูหับซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่เชื้อสายพระเจ้าจิวอันอ๋องเข้าไปทูลเชิญเสด็จออกมา ณ พระที่นั่งเก๋งเตียนเป็นที่เสด็จออกข้างหน้าแล้วจึงกราบทูลว่า พระองค์อย่าทรงพระวิตกนักเลย ซึ่งเจ้าเมืองเจ๋คิดการกำเริบให้โฮทั้น ตันกี นายทหารทั้งสองคุมทหารสามหมื่นจะมาเอาของสามสิ่งไปนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าพอจะคิดป้องกันได้อยู่ ด้วยทหารในเมืองเรานี้ถึงร่วงโรยก็พอจะเกณฑ์กองทัพได้สักสิบหมื่นออกต่อสู้กองทัพเมืองเจ๋ได้อยู่ อนึ่งเจียวอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยนก็เป็นบุตรเขยของพระองค์ มีทหารมากกว่าสิบหมื่น ถ้ามีรับสั่งให้ไปขอกองทัพเมืองเอี๋ยนยกมาช่วย เห็นเจ้าเมืองเอี๋ยนก็จะยกมาช่วยตีทัพเมืองเจ๋เป็นมั่นคง พระองค์จงทำเป็นกลัวเกรงกองทัพเมืองเจ๋ให้จงหนัก ออกไปต้อนรับนายทหารทั้งสองพาเข้ามาไว้ที่กงก๊วนสำหรับรับแขกเมือง แล้วพระราชทานสตรีรูปงามให้แก่นายทหารทั้งสองคนละสิบคน พระราชทานเสื้อและหมวกอย่างดีกับกระบี่สำหรับประดับยศแก่นายทหารทั้งสอง แล้วทำเป็นให้ขุนนางไปพูดเกลี้ยกล่อมว่ามีรับสั่งโปรดว่าของสามสิ่งจะให้ไป แต่มาทางไกลจงหยุดพักเสียให้สบายหายเหนื่อยก่อนแล้วจึงค่อยยกกลับไปเมือง หน่วงไว้ให้ช้ากว่ากองทัพเมืองเอี๋ยนจะยกมาถึง เห็นได้ทีแล้วก็ประกอบยาพิษให้ทหารทั้งสองกินให้ตาย กองทัพทั้งสามหมื่นเห็นนายตายก็จะแตกหนีกลับไปเป็นมั่นคง
พระเจ้าจิวอันอ๋องจึงตรัสว่า ถ้าทำดังนั้นเจ้าเมืองเจ๋โกรธมากขึ้นคงจะยกทัพใหญ่มาทำร้ายแก่เมืองเรา เจ้าจะคิดอ่านป้องกันประการใด ไทจูเงี้ยจึงกราบทูลว่า ถึงเจ้าเมืองเจ๋ยกทัพใหญ่มา เราก็ขับทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินให้มั่นไว้คอยท่ากองทัพเมืองเอี๋ยนจะยกมา ถ้ากองทัพเมืองเอี๋ยนยกมาถึงแล้ว ข้าพเจ้าจะคุมทหารออกรบทัพเมืองเจ๋ ทัพเมืองเจ๋ก็จะตกอยู่ในหว่างทัพกระหนาบก็จะพะว้าพะวังเห็นจะเสียทีแก่เราเป็นมั่นคง พระเจ้าจิวอันอ๋องได้ทรงฟังเห็นชอบด้วยจึงทำตามอุบายไทจูเงี้ย ก็เสด็จออกไปเชื้อเชิญนายทหารทั้งสองให้เข้ามาอาศัยอยู่กงก๊วนสำหรับแขกเมือง แล้วพระราชทานสิ่งของเป็นเครื่องยศและสตรีรูปงามสิบคนให้ไปขับกล่อมบำรุงบำเรอนายทหารทั้งสองข้างละห้าคน แล้วให้แต่งโต๊ะและสุราอย่างดีไปพระราชทานแก่นายทหารทั้งสองทุกวันมิได้ขาด จึงแต่งขุนนางให้ไปบอกว่าพระเจ้าจิวอันอ๋องจะยอมให้ของสามสิ่งแก่เจ้าเมืองเจ๋ บัดนี้ทรงพระเมตตาว่าท่านมาแต่เมืองไกลเห็นจะเหนื่อยนัก จงหยุดพักเสียให้สบายหายเหนื่อยก่อนจึงค่อยกลับไปเมือง โฮทั้นตันกีนายทหารทั้งสองได้ฟังสำคัญว่าจริง ก็ลุ่มหลงอยู่ด้วยการบำรุงบำเรอเพลิดเพลินอยู่ในเมืองตังจิวมิได้คิดที่จะกลับไปเมืองเจ๋
พระเจ้าจิวอันอ๋องจึงมีรับสั่งให้อูเล็กขุนนางถือหนังสือไปขอกองทัพเมืองเอี๋ยนให้ยกมาช่วย ฝ่ายโฮทั้นตันกีนายทหารทั้งสองอยู่ในเมืองหลวงหลายวัน คิดเกรงว่าเจ้าเมืองเจ๋จะคอย จึงเตือนขุนนางในเมืองหลวงว่า แต่เรามาพักอยู่ก็ช้านานแล้ว จงไปกราบทูลพระเจ้าจิวอันอ๋องว่า เราจะขอเอาของสามสิ่งไปตามรับสั่ง ขุนนางในเมืองหลวงจึงเข้าไปกราบทูลพระเจ้าจิวอันอ๋อง พระเจ้าจิวอันอ๋องจึงตรัสปรึกษาแก่ไทจูเงี้ยว่า เขาตักเตือนเอาของสามสิ่งดังนี้ เจ้าจะคิดประการใด
ไทจูเงี้ยกราบทูลว่า ก็รับสั่งให้ไปขอกองทัพเมืองเอี๋ยนช้านานเห็นจะยกมาใกล้ถึงเมืองเราอยู่แล้ว ให้แต่กระทะทองกับสิงห์โตคู่หนึ่งก่อน ตราหยกนั้นหน่วงไว้ค่อยให้ต่อภายหลัง ถึงมาตรว่าจะเอาของสองสิ่งไปไว้ก็คงจะไม่พ้นมือเรา กองทัพเมืองเอี๋ยนมาถึงเมื่อใด ข้าพเจ้าจะให้เกณฑ์กองทัพบรรจบกันเข้าตามตีกองทัพเมืองเจ๋ ชิงเอาของสองสิ่งคืนเข้าพระคลังให้จงได้ อย่าทรงพระวิตกเลย
พระเจ้าจิวอันอ๋องเห็นชอบด้วย จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานพานายทหารทั้งสองเข้าไปเอาของสองสิ่งในพระราชวัง โฮทั้นตันกีก็ให้ทหารเข้ายกกระทะก็มิได้ไหวจึงให้ทหารทั้งสามหมื่นเข้ามาช่วยกันยกก็ไม่ขึ้น กระทะติดกันเข้าสิ้นทั้งเก้าใบ พระเจ้าจิวอ๋องทราบความดังนั้นก็ดีพระทัยนัก จึงให้พาทหารทั้งสองเข้ามาตรัสว่า ถึงท่านยกกระทะไม่ขึ้นก็อย่าเพ่อเสียใจก่อน เราคงจะแต่งเครื่องบรรณาการกับตราหยกไปขอเป็นเมืองขึ้นแก่เจ้าเมืองเจ๋สืบไป ท่านจงรั้งรออยู่เที่ยวเล่นในเมืองเราก่อนเถิด โฮทั้นตันกีก็รั้งรออยู่ตามรับสั่ง พระเจ้าจิวอันอ๋องดีพระทัยจึงลอบสั่งให้ประกอบยาพิษมิให้กล้านัก ใส่ลงในอาหารพระราชทานให้แก่นายทหารทั้งสองกินทุกเวลา นายทหารทั้งสองมิได้แจ้งว่ากินอาหารอันเจือด้วยยาพิษก็เป็นโรคผอมลงทุกวัน พระเจ้าจิวอันอ๋องก็ให้แพทย์ไปอยู่ช่วยพยาบาลซ้ำเติมยาพิษจนนายทหารทั้งสองถึงแก่กรรมแล้ว จึงรับสั่งให้เอาไม้หอมมาทำหีบใส่ศพทหารทั้งสองไว้ ฝ่ายพวกทหารสามหมื่นแจ้งว่านายตายดังนั้น ก็ชวนกันยกกองทัพกลับไปสิ้น พระเจ้าจิวอันอ๋องจึงให้ยกศพนายทหารทั้งสองขึ้นใส่เกวียนให้ทหารคุมไปส่งถึงเมืองเจ๋
ฝ่ายอูเล็กขุนนางถือหนังสือไปขอกองทัพเมืองเอี๋ยนนั้น ครั้นไปถึงเมืองเอี๋ยนเข้าหาขุนนางผู้ใหญ่ให้พาเข้าไปคำนับเจ้าเมืองเอี๋ยน แล้วจึงส่งหนังสือรับสั่งให้แก่เจ้าเมืองเอี๋ยน เจ้าเมืองเอี๋ยนรับหนังสือมาอ่านดูแจ้งความแล้วให้คิดแค้นเจ้าเมืองเจ๋นัก จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า อันเมืองเจ๋กับเมืองเราก็เป็นข้าศึกกันมาแต่ครั้งบิดาเรายังอยู่นานถึงยี่สิบแปดปีนี้แล้ว จะแก้แค้นเมืองเจ๋ก็ยังไม่สมความคิด บัดนี้เจ้าเมืองเจ๋คิดทำการกำเริบยํ่ายีกษัตริย์ในเมืองหลวงให้ได้ความเดือดร้อน หัวเมืองทั้งปวงก็จะเจ็บแค้นด้วยพระเจ้าจิวอันอ๋องเป็นอันมาก เราคิดจะเกณฑ์ทหารให้สิ้นเชิงยกไปตีเมืองเจ๋ให้หายแค้น ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด งักเงเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่เสียงก๊กผู้สำเร็จราชการจึงตอบว่า อันเมืองเจ๋นั้นเป็นเมืองใหญ่มีทหารมาก ซึ่งจะเกณฑ์ทหารแต่เมืองเราเมืองเดียวนั้นเห็นจะเอาชัยชนะเจ้าเมืองเจ๋มิได้ จงให้มีหนังสือไปขอกองทัพเมืองเตียวเมืองหันเมืองงุย อันเป็นเมืองสามจิ้นให้ยกไปช่วยตีเมืองเจ๋ อนึ่งเมืองสามจิ้นกับเมืองจิ๋นใกล้กัน แล้วก็เป็นข้าศึกกันอยู่ด้วย เกลือกว่าเจ้าเมืองสามจิ้นจะคิดเกรงเจ้าเมืองจิ๋นอยู่จะมิได้ยกไปช่วยตีเมืองเจ๋ จำจะแต่งเครื่องบรรณาการกับหนังสือฉบับหนึ่ง ไปยุยงเจ้าเมืองจิ๋นว่าบัดนี้เจ้าเมืองเจ๋คิดกำเริบตั้งตัวเป็นอ๋องเต้ แล้วให้ยกกองทัพขึ้นไปเมืองหลวงจะชิงเอากระทะเก้าใบ นานไปถ้าได้กระทะสมความคิดเห็นจะมีใจกำเริบเที่ยวข่มเหงตีเมืองอื่นๆ ต่อไป ถึงเมืองท่านซึ่งว่าเป็นไมตรีกันนั้นก็คงจะไม่พ้นกองทัพเมืองเจ๋จะยกไปตี เราคิดจะไปกำจัดเมืองเจ๋เสียอย่าให้ทันไปทำร้ายแก่เมืองท่านและเมืองอื่นๆ ได้ ท่านจงยกไปช่วยเรากำจัดเจ้าเมืองเจ๋ด้วยเถิด ท่านกับเราจะได้เป็นไมตรีมีสุขสืบไปด้วยกัน ถ้าให้มีหนังสือไปยุยงดังนี้ เจ้าเมืองจิ๋นก็จะเห็นจริงด้วยเราก็จะเกณฑ์กองทัพให้ยกไปช่วยตีเมืองเจ๋ ถ้าเจ้าเมืองจิ๋นเกณฑ์กองทัพยกไปจากเมืองแล้ว เจ้าเมืองสามจิ้นก็จะหายวิตกมิได้รังเกียจเจ้าเมืองจิ๋น ก็จะยกไปช่วยตีเมืองเจ๋ เราจึงยกไปบรรจบกองทัพสี่เมืองพร้อมกันเข้าระดมตีเมืองเจ๋ เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
เจ้าเมืองเอี๋ยนได้ฟังเห็นชอบด้วย จึงให้ทำตามอุบายงักเงแต่งหนังสือสี่ฉบับส่งให้ทหารคุมไปแก่เจ้าเมืองทั้งสี่ ให้ยกไปช่วยตีเมืองเจ๋ ฝ่ายเจ้าเมืองจิ๋นแจ้งในหนังสือซึ่งเจ้าเมืองเอี๋ยนให้มาตรึกตรองดูก็เห็นด้วย รับเครื่องบรรณาการแล้วจึงว่าแก่ทหารผู้ถือหนังสือว่า ท่านจงกลับไปบอกแก่นายท่านเถิด ถึงเดือนหกข้างขึ้นเราจะแต่งกองทัพให้ยกไปช่วยตีเมืองเจ๋ อย่าให้เจ้าเมืองเอี๋ยนวิตกเลย ผู้ถือหนังสือก็คำนับลาเจ้าเมืองจิ๋นกลับมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองเอี๋ยนทุกประการ
ครั้นเจ้าเมืองจิ๋นส่งผู้ถือหนังสือไปแล้ว จึงเกณฑ์ทหารห้าหมื่นให้เป๊กคีเป็นแม่ทัพยกไปช่วยตีเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเตียวแจ้งความว่ากองทัพเมืองจิ๋นยกไปช่วยเจ้าเมืองเอี๋ยนตีเมืองเจ๋ดังนั้น มีความยินดีนักค่อยคลายวิตกที่จะระวังเจ้าเมืองจิ๋น จึงให้เลียมโพเป็นแม่ทัพคุมทหารห้าหมื่น เจ้าเมืองหันให้โปเนียวเป็นแม่ทัพคุมทหารห้าหมื่น เจ้าเมืองงุยให้จินพีเป็นแม่ทัพคุมทหารห้าหมื่นยกไปช่วยเจ้าเมืองเอี๋ยน เจ้าเมืองเอี๋ยนเป็นทัพหลวงคุมทหารสิบหมื่นรีบยกไป ครั้นถึงเมืองเจ๋ซุยทางไกลแต่เมืองเจ๋สี่ร้อยห้าสิบเส้น จึงให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้รอท่ากองทัพทั้งสี่เมืองอยู่
ฝ่ายแม่ทัพทั้งสี่เมืองนั้น ครั้นยกมาถึงพร้อมกันแล้ว ต่างคนต่างก็พากันเข้าไปคำนับเจ้าเมืองเอี๋ยน เจ้าเมืองเอี๋ยนมีความยินดีนัก จึงสั่งทหารให้ระดมตีเมืองเจ๋ซุยเป็นสามารถ เจ้าเมืองเจ๋ซุยต่อสู้มิได้ก็ทิ้งเมืองเสียหนีเข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองเจ๋ทุกประการ เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังตกใจนักจึงขับทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคงแล้วแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง จึงให้ทหารม้าใช้รีบไปขอกองทัพเมืองฌ้อให้ยกมาช่วย จึงให้หั้นเลียบเป็นแม่ทัพคุมทหารเป็นอันมากยกออกไปตั้งรับอยู่นอกเมืองทางไกลร้อยห้าสิบเส้น
ฝ่ายเจ้าเมืองเอี๋ยนตีเมืองเจ๋ซุยแตกแล้ว ก็ยกเข้าตั้งอยู่ในเมืองในเพลากลางคืน ครั้นรุ่งขึ้นจึงสั่งงักเงแม่ทัพหน้าให้เดินทัพเข้าไปจนถึงค่ายหั้นเลียบที่ออกมาตั้งรับอยู่นอกเมือง หั้นเลียบเห็นกองทัพเมืองเอี๋ยนยกมาก็ขึ้นม้าพาทหารออกจากค่ายเข้ารบกับงักเงเป็นสามารถ ทหารทั้งสองฝ่ายก็ฆ่าฟันกันล้มตายเป็นอันมาก แต่ทหารข้างเมืองเจ๋นั้นอิดโรยนัก ด้วยเป็นโรคอันเกิดแต่กินนํ้าไม่ปกติ กำลังน้อยถอยลง จะต่อสู้มิได้ก็แตกยับไม่คุมกันเข้าได้ พวกทหารเมืองเอี๋ยนก็ไล่ฆ่าฟันกองทัพเมืองเจ๋เป็นอันมาก หั้นเลียบแม่ทัพเมืองเจ๋นั้นตายในที่รบ งักเงก็ขับทหารไล่ติดตามไปถึงเชิงกำแพง พอเวลาคํ่าคนที่รักษาหน้าที่เชิงเทินอยู่ในเมืองสำคัญว่าหั้นเลียบแตกทัพมาจึงเปิดประตูรับ งักเงก็ขับทหารตรูเข้าเมืองได้ไล่ทหารฆ่าฟันทหารเมืองเจ๋ที่บนหน้าที่เชิงเทินล้มตายเป็นอันมาก เจ้าเมืองเจ๋แจ้งว่าข้าศึกเข้าเมืองได้เสียนํ้าใจนัก ก็ขึ้นม้าพาไทจูฮวดเจี๋ยงกับขุนนางที่สนิทสิบคนหนีออกจากเมืองทางประตูข้างทิศตะวันตกในเพลาเที่ยงคืน
ครั้นรุ่งขึ้นเช้า เจ้าเมืองเอี๋ยนก็ยกเข้าตั้งอยู่ ณ เมืองเจ๋ ขุนนางในเมืองเจ๋จึงพากันเข้ามาคำนับเป็นอันมาก เจ้าเมืองเอี๋ยนให้เอาสิ่งของทองเงินและเสื้อผ้าแพรพรรณในคลังออกแจกจ่ายปูนบำเหน็จรางวัลแก่นายทัพนายกองและทหารทั้งห้าหมื่นตามสมควร แล้วปราบปรามราษฎรทั้งปวงให้ราบคาบเป็นปกติแล้ว จึงแบ่งทหารในเมืองเอี๋ยนไว้กึ่งหนึ่ง ให้งักเงแม่ทัพหน้าเป็นที่เสียงก๊กกุ๋นอยู่รักษาเมืองเจ๋ แม่ทัพทั้งสี่เมืองก็เข้ามาคำนับลาเจ้าเมืองเอี๋ยนแล้วต่างคนต่างก็ยกแยกกันกลับไป เจ้าเมืองเอี๋ยนก็เลิกทัพกลับมาถึงเมือง จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งให้ขุนนางคุมขึ้นไปกราบทูลแก่พระเจ้าจิวอันอ๋อง
ฝ่ายเจ้าเมืองเจ๋พาทหารสิบคนหนีไปในเวลากลางคืน ครั้นรุ่งขึ้นก็รีบเดินเข้าไปในเมืองโอยยั้งอยู่แต่นอกเมือง ให้อีอุยขุนนางเข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองโอย เจ้าเมืองโอยก็ออกมาต้อนรับเชิญเจ้าเมืองเจ๋เข้าไปในเมือง แล้วให้แต่งโต๊ะและสุราอย่างดีมาเลี้ยงเจ้าเมืองเจ๋ และให้ขึ้นนั่งกินโต๊ะบนที่นั่งของตัวคำนับเหมือนกษัตริย์ในเมืองหลวง กราบทูลว่าอ๋องเต้เสียเมืองแก่ข้าศึกมาพักอยู่ในเมืองข้าพเจ้าบัดนี้ จงอยู่บนที่ข้าพเจ้าให้เป็นสุขเถิด จะคิดแก้แค้นเจ้าเมืองเอี๋ยนประการใดข้าพเจ้าจะช่วยอุปถัมภ์ให้สำเร็จจงได้ เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังก็มีความยินดีนักก็รั้งรออยู่ในที่เจ้าเมืองโอยสามสี่วัน เจ้าเมืองโอยคำนับเจ้าเมืองเจ๋มิได้ขาด
ขณะนั้นขุนนางในเมืองโอยเกรงว่าเจ้าเมืองเจ๋จะคิดทำร้ายนายของตัวชิงเอาสมบัติบ้านเมือง ก็พร้อมใจกันลอบสั่งเจ้าพนักงานมิให้เลี้ยงดูเจ้าเมืองเจ๋กับไทจูฮวดเจี๋ยง และขุนนางสิบคนที่ตามมาด้วย ถ้ามิฟังจะประหารชีวิตเสีย เจ้าพนักงานกลัวเกรงขุนนางทั้งปวงนัก ก็มิได้เลี้ยงดูเจ้าเมืองเจ๋และขุนนางสิบคนเหมือนแต่ก่อน เจ้าเมืองเจ๋เห็นประหลาดจึงปรึกษาแก่อีอุยว่า เจ้าเมืองโอยมีใจโอบอ้อมนับถือเรา ซึ่งมิให้เลี้ยงดูเราบัดนี้จะเป็นความคิดขุนนางมิไว้ใจ เกรงว่าเราจะทำร้ายเจ้าเมืองโอยจึงทำการมิให้เจ้าเมืองโอยรู้ เราจะอยู่ในเมืองโอยเห็นจะไม่พ้นความตาย จำจะคิดหนีเอาตัวรอดจึงจะชอบ
ขณะนั้นขุนนางคนสนิทเก้าคนนั้น อดอาหารแต่เพลาเช้าจนคํ่าให้กระวนกระวายนักก็ออกไปเที่ยวขออาหารชาวเมืองกิน อยู่แต่อีอุยกับไทจูฮวดเจี๋ยง ได้ยินเจ้าเมืองเจ๋ปรึกษาดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงตอบว่าเมื่ออันตรายบังเกิดแล้วก็จำจะคิดหนีเอาตัวรอดรักษาชีวิตไว้ก่อน จะช้าอยู่ไยหนีไปเมืองฬ่อเถิด เห็นจะรอดจากความตาย เจ้าเมืองเจ๋เห็นชอบด้วยก็ทิ้งขุนนางเก้าคนเสีย พาอีอุยกับไทจูฮวดเจี๋ยงลอบหนีออกจากเมืองโอยแต่เพลากลางคืนรีบไปเมืองฬ่อ ครั้นถึงด่านเมืองฬ่ออีอุยจึงว่าแก่กวนซูนายด่านว่า พระเจ้าอ๋องเต้เสด็จมาเที่ยวตรวจแผ่นดิน จะเข้าประทับแรมอยู่เมืองฬ่อ ให้นายด่านเร่งเข้าไปบอกแก่เจ้าเมืองฬ่อให้เร่งจัดแจงออกมารับเสด็จโดยเร็ว กวนซูขุนนางนายด่านได้ฟังดังนั้นจึงสั่งให้ม้าใช้รีบไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองฬ่อจึงสั่งให้จัดแจงกงก๊วนสำหรับรับแขกเมือง แล้วให้เจ้าพนักงานคุมรถและเครื่องสูงออกไปรับเสด็จพระเจ้าอ๋องเต้
ฝ่ายม้าใช้ชาวด่าน ครั้นแจ้งข้อราชการแก่ขุนนางผู้ใหญ่เสร็จแล้วก็กลับมาแจ้งความแก่กวนซูนายด่าน ขณะนั้นอีอุยเห็นม้าใช้กลับมาจึงไปถามกวนซู กวนซูตอบว่า ข้าพเจ้าได้ยินม้าใช้มาบอกว่าเจ้าเมืองฬ่อสั่งให้จัดแจงกงก๊วนไว้ให้เป็นที่ประทับ แล้วให้ขุนนางเจ้าพนักงานคุมรถและเครื่องสูงออกมารับเสด็จ อีอุยจึงตอบว่าเจ้าเมืองฬ่อคิดการดังนั้นหาต้องด้วยอย่างธรรมเนียมไม่ ให้เจ้าเมืองฬ่อออกมารับเสด็จเอง เชิญเสด็จเข้าไปให้อยู่ที่เก๋งเตียนอันเป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองฬ่อ แล้วตัวไปอยู่เสียในที่อันอื่น ให้แต่งโต๊ะและสุราอย่างดีมาถวาย ถึงเวลาให้มาเฝ้าพระเจ้าอ๋องเต้จงทุกวันจึงจะต้องด้วยอย่างธรรมเนียม ท่านจงให้ม้าใช้กลับเข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองฬ่อ ให้ทำตามถ้อยคำเราว่าจงทุกประการ
กวนซูนายด่านจึงให้ม้าใช้กลับเข้าไปแจ้งแก่ขุนนางผู้ใหญ่ให้แจ้งความแก่เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองฬ่อได้ฟังก็โกรธนักจึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เดิมเจ้าเมืองเจ๋เป็นแต่หัวเมืองใหญ่ขึ้นกับเมืองตังจิว เป็นข้าขอบขัณฑเสมาเหมือนกันกับเมืองเรา เจ้าเมืองเจ๋ตั้งตัวเป็นอ๋องเต้คิดจะทำร้ายเมืองหลวง หัวเมืองทั้งปวงเจ็บแค้นด้วยเจ้าแผ่นดินพร้อมใจกันยกไปกำจัดเจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋สู้เขามิได้ทิ้งเมืองเสียเที่ยวซัดเซมาแต่สองสามคนบ่าวนาย เราปรานีจะให้รับเข้ามาบำรุงไว้ให้ได้ความสุขกลับจะมาตั้งอิสริยยศแก่เราอีกเล่า ท่านจงให้ม้าใช้กลับออกไปบอกแก่กวนซูนายด่านว่า จะแต่งรับเสด็จอ๋องเต้เช่นนั้นเราทำไม่ได้ ให้เชิญอ๋องเต้เสด็จไปเมืองเอี๋ยน ให้เจ้าเมืองเอี๋ยนแต่งรับเสด็จเถิด จึงจะต้องด้วยอย่างธรรมเนียม ขุนนางผู้ใหญ่ก็สั่งม้าใช้ให้กลับไปบอกแก่กวนซูนายด่านตามคำเจ้าเมืองฬ่อสั่งทุกประการ กวนซูจึงว่าแก่อีอุยว่าเจ้าเมืองฬ่อขัดเคืองนัก ให้เชิญอ๋องเต้ไปเมืองเอี๋ยน ให้เมืองเอี๋ยนแต่งรับเสด็จเช่นนั้นเถิด อีอุยและเจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังมีความละอายนัก ก็พากันหนีออกจากด่านเมืองฬ่อ หวังจะไปอาศัยเจ้าเมืองจอแต่พอได้อาหารเลี้ยงชีวิต
ขณะนั้นเจ้าเมืองจอถึงแก่กรรม บุตรผู้ใหญ่ได้เป็นเจ้าเมืองแทน ยังแต่งการฝังศพบิดาไม่แล้ว จึงป่าวร้องราษฎรชาวเมืองให้นุ่งขาวตามธรรมเนียม เจ้าเมืองเจ๋ อีอุย พากันมาถึงแดนเมืองจอ เห็นราษฎรนุ่งขาวห่มขาวดังนั้นจึงไต่ถามได้ความว่าบิดาเจ้าเมืองถึงแก่กรรม จึงพากันเข้าไปหยุดอยู่ที่ประตูเมือง อีอุยจึงร้องบอกแก่นายประตูว่า ท่านจงให้เข้าไปบอกขุนนางผู้ใหญ่ให้เข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองจอว่า พระเจ้าอองเต้เสด็จมาเที่ยวประพาสดูแว่นแคว้นน้อยใหญ่ แจ้งว่าบิดาท่านถึงแก่กรรมจะเสด็จเข้าไปแต่งการฝังศพ ให้เจ้าเมืองจอจัดแจงออกมารับเสด็จโดยเร็ว นายประตูก็รีบเข้าไปคำนับขุนนางผู้ใหญ่ ขุนนางผู้ใหญ่ก็เข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองจอ
เจ้าเมืองจอแจ้งความดังนั้นจึงให้หานายประตูเข้ามาสั่งว่า ท่านกลับไปบอกอ๋องเต้ตามคำเราสั่งว่า พระเจ้าอ๋องเต้เป็นกษัตริย์อันสูงศักดิ์ได้เป็นเจ้าแผ่นดินกอปรไปด้วยอิสริยยศอันยิ่ง เราเป็นแต่หัวเมืองเล็กน้อย ไม่ควรที่อ๋องเต้จะเสด็จเข้ามาในเมืองเรา อนึ่งเราไม่มีสิ่งของที่เป็นเครื่องกษัตริย์จะแต่งรับอ๋องเต้ แล้วตัวเราคนอนาถารักษาเมืองอยู่แต่ผู้เดียว ถึงจะแต่งการรับเสด็จก็หาพร้อมไม่ เชิญเสด็จไปเมืองเอี๋ยนเถิด เจ้าเมืองเอี๋ยนจะได้บอกหนังสือไปถึงเมืองเตียว เมืองหัน เมืองงุย เมืองจิ๋น ให้มาช่วยรับเสด็จจึงจะพร้อมเพรียงสมด้วยยศศักดิ์อ๋องเต้ผู้มีบุญ นายประตูก็คำนับลาออกมาแจ้งความแก่อีอุยตามคำเจ้าเมืองจอ อีอุยกับเจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังดังนั้นให้คิดละอายแก่นายประตูก็พากันรีบออกจากเมืองจอ เจ้าเมืองเจ๋ก็อิดโรยกำลังลง ให้หอบบอบชํ้าด้วยอดอาหารเป็นหลายเวลาแล้ว จึงปรึกษากับอีอุยว่า แต่เราเที่ยวมาหลายเมืองแล้วจะหาที่อาศัยแต่สักเมืองเดียวก็มิได้ เราจะพากันไปอาศัยเมืองฌ้อเถิดหรือ อีอุยจึงตอบว่า อันเจ้าเมืองฌ้อนั้นเดิมก็เป็นไมตรีอยู่กับเมืองเรา มาผิดใจกันเมื่อครั้งไปตีเมืองซอง ท่านให้ไปขอกองทัพเมืองฌ้อให้ยกมาช่วย เจ้าเมืองฌ้อก็แต่งกองทัพให้ยกมาช่วยตีเมืองซองได้แล้ว มิได้แบ่งหัวเมืองให้เขาแล้วมิหนำซ้ำให้หั้นเลียบยกไปตีทัพเมืองฌ้อ ฆ่าฟันทหารเมืองฌ้อล้มตายเป็นอันมาก ข้าพเจ้าเห็นว่าเจ้าเมืองฌ้อจะขัดเคืองท่านอยู่ อันเราจะไปเมืองฌ้อบัดนี้เหมือนหนึ่งเนื้อเข้าไปในปากเสือเห็นจะไม่พ้นความตายมั่นคง เจ้าเมืองเจ๋ได้ฟังเห็นชอบด้วยเสียน้ำใจนักจึงตอบว่า เราทำการเกินไปเสียแล้ว จะอยู่เป็นคนไปไยเล่า เทพยดาไม่เอ็นดู เราจึงเผอิญให้คิดผิดไปสิ้น ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกจากฝักจะเชือดคอตาย อีอุยเห็นดังนั้นจึงเข้ายุดมือเจ้าเมืองเจ๋ไว้ว่า เซียงอ๋วนเจ้าเมืองลีจิ๋วนั้นเป็นหัวเมืองขึ้นของเรา นํ้าใจโอบอ้อมอารีนัก ถ้าเราพากันไปอาศัยเมืองลีจิ๋วเห็นเซียงอ๋วนจะไม่เสียได้ อุตส่าห์แข็งใจไปให้ถึงเมืองลีจิ๋วเถิด เจ้าเมืองเจ๋ก็อุตส่าห์แข็งใจพาอีอุยกับไทจูฮวดเจี๋ยงเดินไป
ฝ่ายงักเงแม่ทัพเมืองเอี๋ยนได้เป็นที่เสียงก๊กกุ๋นเจ้าเมืองเจ๋จัดแจงบ้านเมืองราบคาบปกติแล้ว คิดเกรงเตียนตั๋นขุนนางซึ่งเป็นเชื้อสายเจ้าเมืองเจ๋จะควบคุมพี่น้องเจ้าเมืองเจ๋เข้ามาทำร้าย จึงสั่งทหารคนสนิทจะให้จับเตียนตั๋นและขุนนางเชื้อสายแซ่เจ้าเมืองเจ๋มาฆ่าเสียให้สิ้นเสี้ยนศัตรู เนื้อความแจ้งไปถึงขุนนางพวกนั้นจึงควบคุมกันเข้าได้เป็นอันมาก ก็อพยพหนีออกจากเมืองเจ๋ ยกตัดไปตีเอาอันเป๋งได้จับก๊กเป๋งเจ้าเมืองฆ่าเสีย ก็เข้าตั้งมั่นอยู่ในเมืองอันเป๋ง ขับทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้มั่นคง พวกทหารงักเงตามจับกุมก็มิได้ด้วยเมืองอันเป๋งนั้นแน่นหนานัก แล้วขุนนางบรรดาเป็นเชื้อสายแซ่เดียวกับเจ้าเมืองเจ๋นั้น คุมสมัครพรรคพวกได้มากกว่าสามหมื่น ทั้งได้ทหารเมืองอันเป๋งบรรจบเข้าเป็นอันมากด้วย เห็นเหลือกำลังจะจับกุมเอาได้โดยง่ายก็พากันกลับมาแจ้งความแก่งักเงทุกประการ
งักเงได้ฟังจึงตอบว่า อันขุนนางแซ่เจ้าเมืองเจ๋จะละไว้มิได้ นานไปเห็นจะคิดร้ายต่อเราเป็นมั่นคง จำจะจับประหารชีวิตเสียให้สิ้นเชิง แต่ทว่าจะสืบเอาตัวอองจ๊กมาช่วยทำราชการให้ได้ก่อน ด้วยอองจ๊กคนนี้เป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เจ้าเมืองเจ๋ให้เป็นเจ้าเมืองซอง แจ้งว่าเจ้าเมืองเจ๋กระทำผิดแต่งเรื่องราวมาห้ามปราม เจ้าเมืองเจ๋ไม่ฟังคำจึงเสียเมือง เราได้ยินเขาลือกันว่าอองจ๊กออกจากราชการไปทำมาหากินอยู่บ้านป่าแห่งใดตำบลใด ท่านทั้งปวงจงสืบเอาความให้ได้แล้วจงมาบอกแก่เรา พวกทหารทั้งปวงก็สืบเสาะได้ความว่าอองจ๊กไปทำมาหากินอยู่ ณ บ้านติวอิบ จึงเอาความเข้ามาแจ้งแก่งักเง งักเงจึงให้ทองคำสองร้อยตำลึงกับสิ่งของอื่นๆ เป็นอันมาก ให้ขุนนางคุมไปคำนับอองจ๊ก ให้เชิญอองจ๊กมาทำราชการในเมืองเจ๋
ขุนนางก็คำนับลาพาสิ่งของไปยังบ้านติวอิบ จึงเข้าไปคำนับอองจ๊กแจ้งความว่างักเงให้มาเชิญให้อองจ๊กฟังทุกประการ อองจ๊กไม่เต็มใจจึงแกล้งตอบว่าทุกวันนี้เราก็ชราลงนัก แล้วก็เป็นคนโรคเห็นจะทำราชการไปมิได้ อันเจ้านายของเรานั้นท่านได้ชุบเลี้ยงเรามาแต่เรายังเป็นขุนนางเล็กน้อยอยู่ จนเราได้เป็นเจ้าเมืองซอง ท่านมิดีทำการกำเริบทำให้ผิดอย่างธรรมเนียมไปเราก็ได้ห้ามปรามเป็นหลายครั้ง ไม่ฟังคำเราจึงเสียเมืองแก่ข้าศึก เราเห็นไม่เป็นการจึงลาออกจากที่เจ้าเมืองซอง มาทำมาหากินอยู่ในที่นี้ก็พอเลี้ยงชีวิตเป็นสุขแล้ว ซึ่งงักเงให้เอาสิ่งของมาเชิญเราทำราชการด้วยนั้นเราขอบคุณนัก แต่จะรับมิได้ด้วยตัวเราเป็นข้าเจ้าเมืองเจ๋ ได้รับเบี้ยหวัดผ้าปีของท่านแล้ว ที่จะไปเป็นข้าผู้อื่นสืบไปนั้นจะเป็นที่ติเตียนแก่ขุนนางที่มีสติปัญญาและซื่อสัตย์ต่อเจ้า ถึงตายไปแล้วชื่อเสียงก็จะปรากฏอยู่ในแผ่นดินว่าเป็นคนไม่ซื่อตรง บัดนี้บ้านเมืองก็เป็นของงักเงแล้ว เราจะอยู่ไปก็จะเป็นที่ขัดเคืองแก่งักเง ว่าแล้วอองจ๊กก็เอาศีรษะโดนต้นไม้จนศีรษะแตกตาย ขุนนางที่ออกไปรับก็กลับมาเข้าไปแจ้งความแก่งักเง งักเงจึงว่าอองจ๊กเป็นขุนนางซื่อต่อเจ้าของตัวนัก จึงไปแต่งการฝังศพอองจ๊กตามบรรดาศักดิ์ขุนนางผู้ใหญ่ ให้เอาเสาศิลามาจารึกชื่ออองจ๊กว่าสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินในเมืองเจ๋ แล้วให้เอาไปไว้ริมกุฏิฝังศพอองจ๊ก เสาศิลาก็ยังปรากฏอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ แล้วงักเงจึงให้เอาบุตรภรรยาอองจ๊กมาชุบเลี้ยงให้กินเงินเดือนตามบรรดาศักดิ์
ขณะนั้นถึงปีใหม่ เป็นเทศกาลหัวเมืองทั้งปวงจะแต่งเครื่องบรรณาการมาคำนับเจ้าเมืองเจ๋ เจ็ดสิบหกหัวเมืองที่เคยขึ้นอยู่เมืองเจ๋นั้นแจ้งความว่าเมืองเจ๋เสียกับเมืองเอี๋ยนแล้ว ต่างเมืองมิได้แต่งเครื่องบรรณาการส่งมาคำนับเหมือนเมื่อครั้งเจ๋มินอ๋องเป็นเจ้าเมือง งักเงแจ้งว่าหัวเมืองมิได้ยำเกรงดังนั้นก็มีความโกรธนัก จึงแต่งให้ขุนนางนายทหารที่มีฝีมือเข้มแข็งคุมทหารเป็นอันมากยกไปปราบปรามหัวเมืองทั้งปวงให้ราบคาบเป็นปกติสิ้น แต่เมืองลีจิ๋วเมืองเจกเบกเมืองอันเป๋ง สามเมืองนี้แน่นหนามั่นคงนัก แล้วก็มีทหารเป็นอันมากเหลือกำลังที่จะหักเอาได้ แต่งักเงให้ทหารไปล้อมทั้งสามหัวเมืองอยู่นั้นช้านานเป็นหลายวัน จนสิ้นเสบียงอาหารแล้วจึงให้เขียนหนังสือเกลี้ยกล่อมปิดไว้ที่ประตูเมืองเป็นใจความว่า แต่เมืองเจ๋เป็นเมืองใหญ่ยังต่อสู้กองทัพเมืองเอี๋ยนมิได้ บัดนี้เมืองเจ๋ก็เป็นเมืองเอี๋ยนไปแล้ว เมืองท่านเป็นแต่หัวเมืองเล็กน้อยขึ้นแก่เมืองเจ๋ ซึ่งจะขัดขืนอยู่มิได้แต่งเครื่องบรรณาการไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋ตามธรรมเนียมนั้น เห็นจะต่อสู้กองทัพเมืองเอี๋ยนได้แล้วหรือ จงตรึกตรองดูให้เห็นควร ถ้าจะต่อสู้ได้ก็ให้ตั้งแข็งเมืองไว้ ถ้าเห็นจะต่อสู้มิได้ก็ให้เร่งแต่งเครื่องบรรณาการไปอ่อนน้อมยอมเป็นเมืองขึ้นเสียโดยดี อย่าให้เรายกทัพใหญ่มาปราบปรามให้ยากแก่ทหารและไพร่บ้านพลเมืองเลย เขียนหนังสือปิดประตูเมืองไว้แล้วก็ล่าทัพกลับไป
ขณะนั้นพอเจ้าเมืองเจ๋พาไทจูฮวดเจี๋ยงกับอีอุยไปถึงเมืองลีจิ๋ว เซียงอ๋วนเจ้าเมืองก็ออกมาเชิญเข้าไปในเมือง นับถือยำเกรงเหมือนหนึ่งข้ากับเจ้า อุตส่าห์ทำนุบำรุงโดยสุจริต เจ้าเมืองเจ๋ก็ได้อาศัยอยู่เป็นสุข แล้วเซียงอ๋วนแจ้งความในหนังสือที่งักเงให้ปิดไว้ ณ ประตูเมืองดังนั้น จึงคิดกันกับเจ้าเมืองเจ๋เอาฟางข้าวบรรทุกให้เต็มเล่มเกวียนกับหนังสือฉบับหนึ่งส่งให้ทหารคุมไปเป็นเครื่องบรรณาการแก่งักเง งักเงจึงให้เอาหนังสือมาอ่านดูได้ความว่า เราพึ่งได้มาเป็นเจ้าเมืองว่าที่แทนอองจ๊ก ไม่มีสิ่งอันใดจะเป็นของประหลาดส่งมาคำนับท่าน จึงจัดได้ฟางข้าวเล่มเกวียนหนึ่งส่งมาคำนับท่านพอเป็นหญ้าให้ม้ากิน งักเงเห็นฟางข้าวและได้ฟังเรื่องราวในหนังสือดังนั้นก็โกรธนัก จึงให้เอามูลม้าอันละเอียดบรรทุกให้เต็มเล่มเกวียนแล้ว จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งตอบไปใจความว่า ม้าในเมืองเรากินแต่ฟางแห้ง ถ่ายมูลออกมาหาเป็นกองไม่ จะเผาไฟก็จะไหม้เป็นเถ้าละเอียดไป จะทิ้งลงนํ้าก็จะลอยไปเสียเปล่า จึงเอามาให้แก่ท่านตามแต่จะจัดแจงให้สมควรเถิด
ครั้นงักเงส่งหนังสือตอบไปแล้วแจ้งความว่าเจ้าเมืองเจ๋กับไทจูฮวดเจี๋ยงผู้บุตรหนีไปอยู่เมืองลีจิ๋วดังนั้นก็คิดวิตกนัก จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งส่งให้ม้าใช้ไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองเอี๋ยน เจ้าเมืองเอี๋ยนจึงตอบหนังสือมาถึงงักเงว่า ให้งักเงเร่งจัดกองทัพยกไปตีเมืองลีจิ๋วจับเจ้าเมืองเจ๋กับบุตรประหารชีวิตเสียจงได้ งักเงแจ้งความดังนั้นก็รีบจัดกองทัพจะยกไปตีเมืองลีจิ๋ว
ฝ่ายม้าใช้ที่เจ้าเมืองเจ๋ให้ไปขอกองทัพเมืองฌ้อให้ยกมาช่วยแต่เมืองเจ๋ไม่เสียนั้น ครั้นไปถึงเมืองฌ้อจึงเข้าไปคำนับขุนนางผู้ใหญ่ ให้เอาหนังสือเข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองฌ้อแจ้งความในหนังสือแล้ว จึงให้หาต๊กซีนายทหารเอกมาสั่งว่า เจ๋มินอ๋องเจ้าเมืองเจ๋เป็นคนไม่ตรง เดิมให้มาขอกองทัพเรายกไปตีเมืองซองได้สัญญาไว้ว่า ถ้าตีเมืองซองได้สมความคิดแล้วจะแบ่งหัวเมืองออกเป็นสามส่วนจะยกให้แก่เราส่วนหนึ่ง ครั้นตีได้เมืองซองแล้วมิได้แบ่งปันหัวเมืองให้แก่เราตามสัญญา แล้วมิหนำซ้ำให้ทหารตามตีกองทัพฆ่าฟันทหารเราเสียเป็นอันมาก เราคิดจะยกไปแก้แค้นเจ้าเมืองเจ๋อยู่มิรู้วาย ตัวทำการกำเริบหนักขึ้นจนเจ้าเมืองเอี๋ยนยกมาตีเมืองเจ๋ เห็นจะต่อสู้เขามิได้จวนตัวเข้าแล้วจึงให้มาขอกองทัพเมืองเราไปช่วย อยู่มาภายหลังเมืองเจ๋แตก บัดนี้เราได้ยินท่านเจ้าเมืองเจ๋พาบุตรหนีไปอาศัยอยู่เมืองลีจิ๋ว ท่านจงเป็นแม่ทัพคุมทหารยี่สิบหมื่นยกไปตีเมืองลีจิ๋ว คิดเป็นอุบายล่อลวงจับเจ้าเมืองเจ๋ฆ่าเสียให้จงได้
ต๊กซีก็คำนับลาออกมาจัดทหารยี่สิบหมื่นเข้าขบวนทัพแล้วก็รีบยกไปถึงเมืองลีจิ๋ว จึงเข้าไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋แจ้งความว่า เตงเซียงอ๋องเจ้าเมืองฌ้อให้ข้าพเจ้าคุมทหารยี่สิบหมื่น ยกมาช่วยอ๋องเต้กำจัดทัพเจ้าเมืองเอี๋ยน ข้าพเจ้าแจ้งความว่าอ๋องเต้เสียเมืองแก่เจ้าเมืองเอี๋ยนแล้วหนีมาพักอยู่เมืองลีจิ๋ว ข้าพเจ้าจึงยกตามมาเฝ้า จะคิดแก้แค้นเจ้าเมืองเอี๋ยนประการใดจงใช้สอยข้าพเจ้าเถิด
เจ๋มินอ๋องได้ฟังมีความยินดีนักจึงตอบว่า ซึ่งเจ้าเมืองฌ้อให้ท่านยกมาช่วยเรานั้น คุณเจ้าเมืองฌ้ออยู่กับเราหาที่สุดมิได้ บัดนี้เราเสียเมืองแตกมาแต่สองสามคน สิ้นทแกล้วทหารที่จะเป็นนายทัพนายกองแล้ว ท่านจงเป็นที่เสียงก๊กผู้สำเร็จราชการช่วยเราอยู่เมืองลีจิ๋วเถิด จะได้ช่วยกันกำจัดเจ้าเมืองเอี๋ยนและงักเงที่มาตั้งอยู่เมืองเจ๋ ถ้าสำเร็จราชการแล้วเราจะชุบเลี้ยงท่านให้ถึงขนาด ต๊กซีก็ทำเป็นยินดีรับที่เสียงก๊กแล้วจึงว่า กองทัพข้าพเจ้ายกมาครั้งนี้ถึงยี่สิบหมื่น จะเข้าอยู่ในเมืองลีจิ๋วเห็นเมืองจะไม่จุกัน ข้าพเจ้าจะตั้งค่ายมั่นอยู่ ณ บ้านเก๋าลี้นอกเมือง ถ้ามีราชการจะยกไปตีเมืองเจ๋เมื่อใด จงกำหนดวันให้แน่แล้วข้าพเจ้าจะยกไป เจ้าเมืองเจ๋ไม่รู้กลต๊กซีก็ยอมให้ต๊กซีตั้งค่ายมั่นอยู่ ณ บ้านเก๋าลี้ ครั้นต๊กซีพักทหารให้หายเหน็ดเหนื่อยแล้วก็เข้าไปคำนับเจ๋มินอ๋องในเมืองลีจิ๋วทุกวันมิได้ขาด เจ้าเมืองเจ๋ก็มอบราชการบ้านเมืองให้สิทธิ์ขาดอยู่แก่ต๊กซีสิ้น
วันหนึ่งต๊กซีจึงแต่งหนังสือลับลอบให้ทหารเอาไปให้แก่งักเงว่า เราจะคิดการฆ่าเจ๋มินอ๋องเจ้าเมืองเจ๋อันเป็นข้าศึกกับเจ้าเมืองเอี๋ยนเสียแล้วจะขอเอาเมืองลีจิ๋วไว้เป็นเมืองขึ้น ถ้าท่านยอมด้วยเราจะได้คิดทำการ เรากับท่านจะได้เป็นไมตรีกันสืบไป งักเงแจ้งความในหนังสือมีความยินดีนัก จึงตอบหนังสือกลับมาถึงต๊กซีว่าการที่ท่านคิดนั้นชอบนัก ต้องด้วยความคิดเรา ท่านจงทำเถิด เรายอมให้เมืองลีจิ๋วแล้ว ต๊กซีได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงเข้าไปคำนับเจ๋มินอ๋องแล้วแกล้งกล่าวเป็นอุบายว่า แต่ข้าพเจ้ามาพักอยู่ก็ช้านานแล้ว ยังหาได้ทำการอาสาสิ่งใดไม่ บัดนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะจัดกองทัพยกไปตีเอาเมืองเจ๋ได้แล้วจะเชิญท่านให้อยู่รักษาเมือง ตัวข้าพเจ้าจะยกไปตีเมืองเอี๋ยนทีเดียว จะจัดให้ผู้ใดเป็นทัพหน้าทัพหลวง และเป็นยกกระบัตรปลัดทัพ ก็ตามอัชฌาสัยอ๋องเต้เถิด เวลาพรุ่งนี้เชิญอ๋องเต้เสด็จออกไปจัดกองทัพ ณ บ้านเก๋าลี้ให้จงได้ เจ๋มินอ๋องได้ฟังก็สำคัญว่าจริงก็รับคำว่าจะออกไปจัดทัพ ต๊กซีก็คำนับลากลับออกไปจึงสั่งทหารที่สนิทไว้ว่า เวลาพรุ่งนี้เจ๋มินอ๋องจะพาอีอุยและเซียงอ๋วนออกมาค่ายเรา ท่านจงช่วยกันจับเจ๋มินอ๋องกับเซียงอ๋วนและอีอุยให้จงได้
ครั้นรุ่งขึ้นเช้า เจ๋มินอ๋องก็พาอีอุยกับเซียงอ๋วนออกไปค่ายต๊กซี ขณะนั้นไทจูฮวดเจี๋ยงไปเที่ยวเล่นเมืองเจกเบก ค้างอยู่เป็นหลายวันจึงมิได้ตามเจ้าเมืองเจ๋ออกไปด้วย พอเจ้าเมืองเจ๋กับอีอุยเซียงอ๋วนเข้าไปในประตูค่าย พวกทหารต๊กซีก็ปิดประตูเข้ากลุ้มรุมกันจับเจ๋มินอ๋องและเซียงอ๋วนอีอุยได้มัดเอาไปให้แก่ต๊กซีแม่ทัพ ต๊กซีจึงว่าแก่เจ๋มินอ๋องว่าตัวท่านเป็นคนชั่ว มิได้ตั้งอยู่ในสัตย์ธรรม คิดการกำเริบตั้งตัวเป็นอ๋องเต้ แล้วจะชิงเอากระทะทองในเมืองหลวง จนเจ้าเมืองเอี๋ยนยกไปตีจึงได้หนีมาอยู่เมืองลีจิ๋ว อนึ่งเมื่อยกไปตีเมืองซอง ให้ไปขอกองทัพเมืองเรายกไปช่วย ครั้นตีได้เมืองซองแล้วก็มิได้แบ่งหัวเมืองให้ตามสัญญา แล้วให้หั้นเลียบตามตีกองทัพเราฆ่าฟันทหารเสียเป็นอันมาก โทษท่านผิดถึงตายอยู่แล้ว อย่าอยู่ให้หนักแผ่นดินเลย ว่าแล้วก็สั่งทหารให้เอาตัวอีอุยกับเซียงอ๋วนไปตัดศีรษะเสียบประจานไว้หน้าค่าย ให้เอาเจ๋มินอ๋องขึ้นไปมัดไว้บนหอรบ แล้วป่าวร้องทหารที่แตกทัพเหลือตายมาแต่ครั้งไปตีเมืองนั้นให้เอาเกาทัณฑ์มาระดมยิงเจ้าเมืองเจ๋ให้หายแค้น พวกทหารที่เหลือตายอยู่นั้นต่างคนต่างก็เอาเกาทัณฑ์มายิงเจ๋มินอ๋องจนขาดใจตายก็ยังไม่หายแค้น แต่พากันมายิงอยู่นั้นถึงสามวันจนศพเปื่อยเน่าไป แต่ลูกเกาทัณฑ์ติดอยู่ที่ศพเจ๋มินอ๋องนั้นมากกว่าร้อยกว่าพัน
ต๊กซีก็ยกเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองลีจิ๋ว จึงให้ไปสืบหาตัวไทจูฮวดเจี๋ยงจะเอามาฆ่าเสียด้วยก็มิได้พบ จึงแต่งหนังสือส่งให้ทหารไปแจ้งความแก่งักเงให้รู้ว่าฆ่าเจ๋มินอ๋องเสียแล้ว งักเงได้ฟังมีความดีใจนักจึงแต่งหนังสือเป็นไมตรีเป็นเครื่องบรรณาการตอบมา ตั้งแต่นั้นต๊กซีกับงักเงก็เป็นไมตรีกัน ถ้อยทีถ้อยส่งเครื่องบรรณาการไปมาเนืองๆ งักเงจึงแต่งหนังสือส่งไปแจ้งข้อราชการแก่เจ้าเมืองเอี๋ยน เจ้าเมืองเอี๋ยนได้ฟังมีความยินดีนัก จึงจัดตราสำหรับที่เจ้าเมืองลีจิ๋วกับเครื่องยศเป็นอันมากให้ขุนนางคุมไปให้เป็นรางวัลแก่ต๊กซี ต๊กซีก็ยิ่งมีความยินดีรักใคร่งักเงและเจ้าเมืองเอี๋ยนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แล้วจึงแต่งหนังสือให้คนสนิทถือไปแจ้งข้อราชการแก่เจ้าเมืองฌ้อ