๑๐๔

ขณะนั้นเจ๋งอ๋องเสวยราชสมบัติในเมืองจิ๋นได้เจ็ดปี รูปร่างพ่วงพีโตใหญ่ได้แปดกำ ถ้อยคำสติปัญญาก็หลักแหลมเป็นอันมาก กิจราชการบ้านเมืองสิ่งใดก็มิไว้ใจให้ลีปุดอุยกับฮองไทเฮาว่ากล่าวเหมือนแต่ก่อน เจ๋งอ๋องจัดแจงบ้านเมืองว่ากิจราชการโดยอัธยาศัย วันหนึ่งคิดถึงบังหงอ เมื่อครั้งไปตีเมืองเตียวถูกลูกเกาทัณฑ์ตาย ก็เพราะเตียงอันกุ๋นแม่ทัพคิดกบฏต่อเราจึงไม่ได้ไปตีเมืองเตียว จำจะให้ไปตีเมืองเตียวให้ได้ คิดแล้วเจ๋งอ๋องออกว่าราชการจึงปรึกษากับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงว่า เมืองเตียวเป็นเมืองต้นคิดอ่านพาหัวเมืองทั้งปวงมายํ่ายีตีเมืองเราให้อาณาประชาราษฎร์ได้ความแค้นเคืองสะดุ้งสะเทือนเป็นหลายครั้ง แล้วบังเอี๋ยนฆ่าบังหงอทหารเราตายเราคิดเสียดายบังหงอนัก จำจะให้ยกทัพใหญ่ไปตีเมืองเตียวเสียให้ได้ นานไปมีกำลังขึ้นเห็นจะกระทำยาก ขุนนางทั้งปวงจะเห็นประการใด

กังเซงกุ๋นซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่จึงทูลว่า ซึ่งจะให้กองทัพยกไปตีเมืองเตียวนั้นก็เห็นจะได้อยู่แต่ทว่าจะหนักแรงไพร่พลนัก เพราะเหตุว่าเมืองเตียวมีกำลังมาก ได้เมืองเอี๋ยนไว้เป็นเมืองขึ้น และเมืองเอี๋ยนนี้ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าหาปรกติกับเมืองเตียวโดยสุจริตไม่ เป็นแต่ภายนอกหากปราศรัยความภายในก็ขัดเคืองกันมากอยู่ ด้วยว่าเมืองเอี๋ยน เมืองเตียวสองเมืองนี้ กิตติศัพท์ก็กลัวกองทัพเราจะยกไปทำอันตรายทั้งสองเมือง จึงจำใจร่วมคิดร่วมอ่านปรองดองกัน ข้าพเจ้าคิดว่าจะแต่งให้ผู้มีสติปัญญาไปพูดจาเกลี้ยกล่อมเมืองเอี๋ยนให้มาขึ้นกับเมืองเราโดยดีก็เห็นพอจะได้โดยง่าย ถ้าชักชวนเกลี้ยกล่อมได้แล้ว ข้าพเจ้าจะขอเอาคนสนิทของเจ้าเมืองเอี๋ยนมาไว้ใช้สอยสักคนหนึ่งอย่าให้เมืองเอี๋ยนกลับใจไปได้ เมืองเตียวก็จะเปลี่ยวเปล่าใจถอยกำลังลง เราจึงเกณฑ์กองทัพยกไปตีเมืองเตียวก็เห็นจะได้โดยง่าย

เจ๋งอ๋องได้ฟังเห็นชอบด้วย จึงสั่งกังเซงกุ๋นให้ไปคิดราชการสุดแต่ให้ได้เมืองเอี๋ยนตามแต่ความคิดเถิด กังเซงกุ๋นก็ลาเจ๋งอ๋องไปเมืองเอี๋ยน จัดแจงบ่าวไพร่ไปด้วยตามสมควร ครั้นไปถึงเมืองเอี๋ยนแล้วก็เข้าไปหาเอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยน เอี๋ยนอ๋องเห็นกังเซงกุ๋นมาก็เชื้อเชิญให้นั่งตามสมควร ต่างคนต่างคำนับแล้วพูดจาปราศรัยกัน เอี๋ยนอ๋องจึงถามว่าท่านมาหาเรานี้มีกิจธุระสิ่งอันใด กังเซงกุ๋นจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งนี้หวังจะคิดความดีให้แก่ท่านด้วย แต่ก่อนท่านกับเมืองเตียวก็เป็นอริวิวาทกัน ได้รบราฆ่าฟันกับเมืองเตียวเสียทหารตัวดีมีฝีมือชื่อฮกเซงครั้งหนึ่ง ชื่อกิลินครั้งหนึ่งท่านลืมไปแล้วหรือ บัดนี้ท่านก็ไปร่วมคิดร่วมอ่านกับเมืองเตียวจะไปตีเมืองจิ๋น ถ้าได้เมืองจิ๋นแล้วเจ้าเมืองเตียวจะให้แผ่นดินเมืองจิ๋นแก่ท่านหรือ ถ้าท่านกับเมืองเตียวยกไปตีเมืองจิ๋นเสียทีมา เจ้าเมืองจิ๋นก็ขัดเคืองท่านว่าคิดอ่านด้วยเมืองเตียว ความชั่วก็จะตกอยู่กับท่านไม่รู้หาย ซึ่งท่านจะไปร่วมคิดทำการกับเมืองเตียวนั้นข้าพเจ้าเห็นหาชอบไม่

เอี๋ยนอ๋องจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่ากล่าวตักเตือนให้สติทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่ทว่าสติกำลังของข้าพเจ้าน้อย ทุกวันนี้หามีที่พึ่งพาไม่ เป็นความจนใจจึงต้องไปอาศัยเมืองเตียวแต่พอจะได้เป็นเพื่อน ใช่จะจงใจรักภักดีกับเมืองเตียวนั้นก็หาไม่ แล้วข้าพเจ้ามิได้คิดที่จะไปตีเมืองจิ๋น กังเซงกุ๋นจึงตอบว่า บัดนี้เจ๋งอ๋องพูดกับข้าพเจ้าอยู่ว่า เมืองฌ้อ เมืองหัน เมืองงุย เมืองเจ๋ เมืองเอี๋ยน ทั้งห้าเมืองนี้ก็ยอมพร้อมใจกันกับเมืองจิ๋นแล้ว ยังแต่เมืองเตียวนี้เป็นต้นเหตุท่านก็ย่อมรู้อยู่ เจ๋งอ๋องขัดเคืองจะให้ยกกองทัพไปตีเสียให้ยับเยิน แต่คิดเมตตาแก่ท่านจึงให้ข้าพเจ้ามาบอกว่าอย่าให้ท่านไปช่วยคิดอ่านกับเมืองเตียวเลย จงกลับจิตกลับใจไปขึ้นกับเมืองจิ๋นดีกว่าจะได้เป็นที่พึ่งและเกียรติยศ ความเจริญสุขก็จะมีสืบไป

เอี๋ยนอ๋องได้ฟังกังเซงกุ๋นว่าดังนั้นจึงตอบว่า เมืองข้าพเจ้าอยู่ใกล้กับเมืองเตียว ข้าพเจ้าสวามิภักดิ์ไปขึ้นแก่เมืองจิ๋นไม่ช่วยกระทำการแก่เมืองเตียว เมืองเตียวก็จะโกรธ ยกกองทัพมาตีเมืองข้าพเจ้าเหมือนไฟอยู่ใกล้นํ้าอยู่ไกลจะยกมาช่วยนั้นมิทัน เมืองข้าพเจ้ามิเสียกับเมืองเตียวหรือ กังเซงกุ๋นจึงตอบว่าถ้าท่านจะสมัครไปยอมดีกับเมืองจิ๋นดังท่านว่ามั่นคงแล้ว จะกลัวอันใดกับเมืองเตียว ท่านอย่าวิตกเลย แต่ทว่าขอบุตรท่านไปด้วยข้าพเจ้าเป็นสำคัญ ให้เจ๋งอ๋องเชื่อว่าท่านสวามิภักดิ์สมัครมาขึ้นโดยสัตย์สุจริตจริง เจ๋งอ๋องก็จะโปรดให้แต่งทหารที่มีฝีมือคุมไพร่พลมารักษาเมืองท่านไว้ ถึงมาตรว่าเมืองเตียวมีความแค้นเคืองจะยกกองทัพมาตีเมืองท่าน รู้ว่ากองทัพมาพิทักษ์รักษาเมืองเอี๋ยนอยู่ เจ้าเมืองเตียวก็เห็นจะหามาทำอันตรายเมืองท่านได้ไม่ เมืองเอี๋ยนกับเมืองจิ๋นก็จะเป็นทองแผ่นเดียวกัน เราสองเมืองร่วมใจกันแล้วจะยกไปตีเมืองเตียวแก้แค้นบ้างก็เห็นจะได้โดยง่าย จะไม่มีความอัปยศแก่เมืองเตียวสืบไป เอี๋ยนอ๋องได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงยอมให้ไทจูตั๋นผู้บุตรไปด้วยกังเซงกุ๋น กังเซงกุ๋นก็ลาเอี๋ยนอ๋องพาไทจูตั๋นกลับมาเมืองจิ๋น ครั้นมาถึงแล้วกังเซงกุ๋นก็พาไทจูตั๋นเข้าเฝ้าเจ๋งอ๋อง ทูลข้อความตามซึ่งได้ไปว่ากล่าวชักชวนเอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยนมาเข้าด้วยและให้บุตรมาเฝ้าสิ้นทุกประการ

เจ๋งอ๋องแจ้งความดังนั้นก็ยินดีที่จะได้ไปทำศึกกับเมืองเตียวโดยสะดวกไม่กีดขวาง จึงให้รับไทจูตั๋นบุตรเอี๋ยนอ๋องเลี้ยงดูไว้โดยสมควร แล้วปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงว่า ถ้าเมืองเตียวรู้ว่าเมืองเอี๋ยนเอาใจออกหากกลับมาขึ้นแก่เมืองเราก็จะยกไปตีเมืองเอี๋ยน เอี๋ยนอ๋องก็จะเสียนํ้าใจ จำเราจะแต่งทหารไปพิทักษ์รักษากำกับดูแลเมืองเอี๋ยนให้เป็นสำคัญไว้ เห็นทหารผู้ใดจะยกไปรักษาเมืองเอี๋ยนได้ ลีปุดอุยจึงทูลว่า ซึ่งจะให้ไปรักษาเมืองเอี๋ยนได้นั้น ข้าพเจ้าเห็นแต่เตียงต๋องผู้เดียว ด้วยเตียงต๋องคนนี้มีความคิดสติปัญญาก็ลึกซึ้ง ทั้งฝีมือก็เข้มแข็งในสงครามพอจะให้ไปปรึกษาเมืองเอี๋ยนได้ เจ๋งอ๋องก็เห็นด้วยลีปุดอุย ลีปุดอุยจำปีเดือนวันคืนเตียงต๋องได้ จึงให้หาโหรมาพิเคราะห์ดูชะตา ว่าซึ่งจะให้เตียงต๋องไปอยู่ป้องกันรักษาเมืองเอี๋ยนครั้งนี้ชะตาราศีจะดีร้ายประการใด เห็นจะได้หรือมิได้ให้พิเคราะห์ดูจงละเอียด โหรพิเคราะห์ไล่เลียงใคร่ครวญในชะตาแต่ปักษ์ ครั้นแจ้งแล้วจึงทูลว่าซึ่งจะให้เตียงต๋องไปราชการครั้งนี้ชะตาราศีควรอยู่แล้วให้เร่งยกไปเถิด

เจ๋งอ๋องจึงให้ลีปุดอุยจัดแจง ลีปุยอุยจึงไปหาเตียงต๋อง ณ บ้าน เตียงต๋องรู้ความว่าจะให้ไปอยู่รักษาเมืองเอี๋ยนจึงแกล้งทำป่วยเสีย บอกกับผู้ไปหาว่าเราป่วยมากอยู่จะไปมิได้ คนใช้กลับมาบอกแก่ลีปุดอุยว่าเตียงต๋องป่วยอยู่ ลีปุดอุยรู้ก็มาขึ้นม้ามาบ้านเตียงต๋องเข้าไปที่เตียงต๋องอยู่ จึงบอกว่าบัดนี้เจ๋งอ๋องจะให้ท่านไปรักษาเมืองเอี๋ยน เหตุไฉนท่านจึงบิดพลิ้วทำป่วยมิไปฉะนี้เห็นชอบอยู่แล้วหรือ เตียงต๋องจึงตอบว่าข้าพเจ้าคิดเห็นว่าข้าพเจ้ากับเมืองเตียวทำศึกรบพุ่งกันมาเป็นหลายครั้งได้ฆ่าฟันทหารเมืองเตียวล้มตายเป็นอันมาก เมืองเตียวมีความเจ็บแค้นพยาบาทข้าพเจ้าอยู่ ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าไปรักษาเมืองเอี๋ยนนั้นต้องเดินไปทางหน้าเมืองเตียว เจ้าเมืองเตียวรู้ก็จะให้ทหารยกมาสกัดตี ข้าพเจ้าเห็นจะเสียราชการจึงไม่ยอมไป ลีปุดอุยว่ากล่าวปลอบโยนถึงสองสามครั้งเตียงต๋องก็ไม่ยอม

ลีปุดอุยก็กลับมาบ้าน เข้าในตึกนั่งตรึกตรองอยู่หาสบายใจไม่ กำโลอายุสิบสองขวบเห็นลีปุดอุยไม่สบายจึงเข้าไปคำนับแล้วถามว่า วันนี้ข้าพเจ้าเห็นท่านไม่สบายมีธุระทุกข์ร้อนประการใดหรือ ลีปุดอุยได้ฟังกำโลมาถามดังนั้นจึงตอบว่าเอ็งเป็นเด็กจะรู้อันใด กำโลจึงตอบว่าซึ่งท่านเมตตาเลี้ยงดูข้าพเจ้ามาทั้งนี้ท่านจะมีกิจธุระสิ่งใดจะได้ใช้สอยข้าพเจ้า บัดนี้ท่านมีธุระแล้วและมานั่งนิ่งอยู่มิบอกความให้ข้าพเจ้ารู้ฉะนี้ ผู้ใดจะหยั่งรู้เข้าไปในใจจะได้มาช่วยท่านคิดอ่านเล่า

ลีปุดอุยได้ฟังกำโลว่าดังนั้นเห็นประหลาดจึงบอกความว่า บัดนี้กังเซงกุ๋นไปเกลี้ยกล่อมเมืองเอี๋ยนได้ไทจูตั๋นบุตรเจ้าเมืองเอี๋ยนมาไว้เป็นจำนำอยู่ในเมืองเราแล้ว ปรึกษาจะให้เตียงต๋องไปรักษาเมืองเอี๋ยน เตียงต๋องไม่ยอมไป เราหาผู้จะให้ไปรักษาเมืองเอี๋ยนยังมิได้จึงไม่สบาย เรามีความวิตกอยู่ดังนี้ กำโลได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ความวิตกของท่านนิดหนึ่งเท่านี้หาควรที่จะทุกข์ร้อนไม่ ถ้าบอกข้าพเจ้าแต่โดยดีที่ข้าพเจ้าจะไปว่ากล่าวให้เตียงต๋องไปรักษาเมืองเอี๋ยนก็จะได้ไม่เห็นจะยากแก่ใจ

ลีปุดอุยได้ฟังดังนั้นก็ตวาดเอาว่า แต่เราเป็นผู้ใหญ่ไปถึงตึกเตียงต๋องอ้อนวอนว่ากล่าวถึงสองครั้งเตียงต๋องก็ยังไม่ยอมไป เอ็งเป็นเด็กจะว่ากับเตียงต๋อง เตียงต๋องจะเชื่อถ้อยคำที่ไหน ป่วยการเสียเปล่า กำโลจึงตอบว่า แต่หังทกอายุได้เจ็ดขวบ ค้วงจูเป็นครูคนทั้งแผ่นดินก็ยังนับถือว่าหังทกเป็นอาจารย์ บัดนี้อายุข้าพเจ้าได้ถึงสิบสองขวบแก่กว่าหังทกถึงห้าขวบอีก ทุกวันนี้ข้าพเจ้าคิดว่าท่านมีธุระสิ่งใด ข้าพเจ้าจะทำสนองคุณไปตามสติปัญญา ถ้าท่านใช้ให้ข้าพเจ้าไปว่ากับเตียงต๋อง เตียงต๋องไม่ไปรักษาเมืองเอี๋ยน ท่านจึงกระทำโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด ท่านเข้าใจว่าข้าพเจ้าเป็นเด็กว่ากล่าวมิได้หรือ ท่านอย่าเพ่อประมาทข้าพเจ้าก่อน

ลีปุดอุยได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วคิดแต่ในใจว่า เด็กคนนี้เจรจาเฉลียวฉลาดถ้อยคำเห็นหลักแหลมอยู่ จึงว่ากับกำโลว่า ถ้าเองรับจะไปว่ากล่าวให้เตียงต๋องไปรักษาเมืองเอี๋ยนได้จริงแล้วเราจะทูลความชอบให้เจ๋งอ๋องชุบเลี้ยงตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ กำโลได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนักจึงลาลีปุดอุยไปหาเตียงต๋อง ครั้นไปถึงจึงหยุดอยู่นอกประตูบ้าน ใช้คนเข้าไปบอกเตียงต๋องว่า ข้าพเจ้าชื่อกำโลมีธุระจะมาหาท่าน คนใช้รับคำแล้วก็เข้าไปบอกกับเตียงต๋อง เตียงต๋องแจ้งความแล้วก็ให้คนไปพากำโลขึ้นมา เตียงต๋องเห็นหน้ากำโลก็รู้จักว่ากำโลคนนี้อยู่กับลีปุดอุย จึงถามกำโลว่าเหตุใดวันนี้ท่านจึงมาถึงตึกเรา

กำโลคำนับแล้วจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามาหาท่านด้วยความรับสั่ง เตียงต๋องจึงว่าธุระราชการสิ่งใดจะติดพันตัวเราก็มี ซึ่งท่านว่ามาหาเราด้วยข้อรับสั่งนั้นด้วยราชการสิ่งอันใด กำโลจึงตอบว่าซึ่งท่านจะให้บอกรับสั่งนั้นก็ได้อยู่ แต่ข้าพเจ้าจะขอถามท่านข้อหนึ่งก่อนแล้วจึงจะบอกให้ เตียงต๋องจึงว่า ท่านมีความประสงค์จะถามเราสิ่งใดก็ให้ว่าไปเถิด กำโลจึงถามว่า อันความชอบของท่านทุกวันนี้ก็มีเป็นอันมาก ถ้าจะเปรียบกับความชอบบู๊อันกุ๋นนั้นความชอบผู้ใดจะมากกว่าเล่า เตียงต๋องได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่า บู๊อันกุ๋นนั้นได้ทำการศึกสงครามมามากเป็นหลายครั้ง ความชอบของท่านมากกว่าเราสักสิบส่วนหนึ่ง ก็ยังหาเท่าความชอบบู๊อันกุ๋นไม่ กำโลจึงถามต่อไปว่า ลีปุดอุยกับเฮงเฮาท่านทั้งสองนี้ ผู้ใดจะเป็นที่เจ้านายโปรดปรานสบเสียมากกว่ากัน เตียงต๋องจึงตอบว่า ทุกวันนี้โปรดปรานลีปุดอุยมากกว่าเฮงเฮานักที่ผู้ใดจะไม่รู้นั้นหาไม่ กำโลจึงว่าข้าพเจ้ารู้อยู่ เมื่อครั้งเฮงเฮาใช้ให้บู๊อันกุ๋นยกกองทัพไปตีเมืองเตียว บู๊อันกุ๋นขัดไม่ไป เฮงเฮาจึงขับบู๊อันกุ๋นไปเสียจากเมือง จนบู๊อันกุ๋นได้ความเวทนาเที่ยวไปตามอยู่ตำบลเต้าหี้ ถึงท่านก็ย่อมรู้อยู่ บัดนี้ข้าพเจ้าแจ้งว่าลีปุดอุยเป็นผู้รับสั่งให้ไปอยู่รักษาเมืองเอี๋ยนและท่านขัดไม่ไปฉะนี้ ท่านก็เป็นขุนนางรู้จักอย่างธรรมเนียมผิดและชอบเห็นควรอยู่หรือ แต่เฮงเฮายังขับบู๊อันกุ๋นเสียได้ ที่ท่านขัดไม่ไปตามรับสั่งนั้นท่านเห็นว่าลีปุดอุยจะไม่ว่ากล่าวเอาความผิดท่านหรือประการใด เตียงต๋องได้ฟังดังนั้นคิดดูเห็นความแล้วก็ตกใจจึงตอบว่า ท่านก็เป็นเด็กแต่มีสติปัญญามาให้สติตักเตือนเราดังนี้ เราขอบใจหนักหนาแล้ว

กำโลจึงว่า เมื่อท่านเห็นดังนั้นแล้ว เชิญท่านไปหาลีปุดอุยจะได้ช่วยว่ากล่าวแก่ลีปุดอุยมิให้ขัดเคืองเอาโทษแก่ท่าน เตียงต๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วยก็พากำโลมาถึงบ้านลีปุดอุย เตียงต๋องจึงเข้าไปคำนับลีปุดอุยแล้วอ้อนวอนว่า ข้าพเจ้าประมาทขัดขวางมิไปเมืองเอี๋ยนตามคำท่านนั้น โทษข้าพเจ้าผิดอยู่แล้ว ท่านจงได้โปรดงดโทษข้าพเจ้าไว้ครั้งหนึ่งเถิด แต่ซึ่งจะไปรักษาเมืองเอี๋ยนนั้น ข้าพเจ้าจะยกไปตามคำท่านสั่งมิให้ขัดเคือง

ลีปุดอุยได้ฟังเตียงต๋องว่าดังนั้นก็ยินดี จึงว่าถ้าฉะนั้นท่านจงไปจัดแจงทหารไว้ให้พร้อมเถิด เตียงต๋องมีความยินดีนักคำนับลาลีปุดอุยแล้วกลับไปที่อยู่ ฝ่ายกำโลเห็นเตียงต๋องไปแล้วจึงว่ากับลีปุดอุยว่า ซึ่งเตียงต๋องไม่รับคำท่านว่าจะไปทั้งนี้เพราะเตียงต๋องกลัวเจ้าเมืองเตียวจะรู้จะออกสกัดตีนั้นก็เป็นความจริงของเตียงต๋องอยู่ ที่ท่านจะให้เตียงต๋องไปรักษาเมืองเอี๋ยนตามคำท่านว่านั้น ข้าพเจ้าคิดเห็นว่ายังไปไม่ได้ ท่านได้โปรดจงนำความนี้เข้าไปกราบทูลเจ๋งอ๋องให้ทราบก่อน ถ้ามีรับสั่งมาประการใด ท่านช่วยทูลว่าข้าพเจ้ามีนํ้าใจสวามิภักดิ์จะขออาสาไปดูท่วงทีเจ้าเมืองเตียวจะคิดทำประการใด ข้าพเจ้าจะคิดอุบายถ่ายเทสุดแต่ให้ได้ราชการมา ลีปุดอุยได้ฟังกำโลว่าดังนั้นก็ยินดีนัก แล้วคิดว่ากำโลนี้เป็นคนมีสติปัญญาพอจะทำราชการได้ ซึ่งกำโลว่ากล่าวทั้งนี้เป็นข้อราชการแผ่นดินถ้อยคำหนักแน่นอยู่ เราจะนิ่งไว้ก็มิได้ จำจะกราบทูลให้ทราบ ครั้นคิดแล้วก็พากำโลเข้าไปเฝ้าทูลเจ๋งอ๋องตามถ้อยคำกำโลที่ได้ไปว่ากล่าวกับเตียงต๋องทุกประการ แล้วว่ากำโลคนนี้เป็นหลานกำหมอง ข้าพเจ้าได้ใช้สอยมาช้านาน แต่ว่าเป็นเด็กสติปัญญาหลักแหลมอยู่ บัดนี้กำโลว่าจะอาสาไปคิดราชการให้ได้เมืองเตียว ขอท่านให้กำโลไปคิดราชการดูสักครั้งหนึ่ง

เจ๋งอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงให้เรียกกำโลเข้าไปตรงหน้าเก้าอี้ เห็นกำโลรูปร่างงามหน้าขาวผิวพรรณดี จักษุทั้งสองยาวคิ้วสุดหางตา เห็นลักษณะสมมีสติปัญญาจริง จึงตรัสถามกำโลว่า ซึ่งตัวจะไปเมืองเตียวนั้นจะคิดอ่านว่ากล่าวประการ ใด กำโลจึงทูลว่า ความทั้งนี้ข้าพเจ้ายังหารู้ที่จะกราบทูลได้ไม่ด้วยเป็นความไกลตา ต่อข้าพเจ้าไปถึงเมืองเตียว เห็นท่วงทีเตียวอ๋องจะพูดจาว่ากล่าวฉันใด ข้าพเจ้าจึงจะคิดอ่านผันแปรว่ากล่าวตอบโต้ตามกระแสความสุดแต่ให้ได้ราชการ ซึ่งข้าพเจ้าจะว่าไปก่อนนั้น เกลือกจะไม่สมคะเนกลัวความผิดและชอบอยู่ เจ๋งอ๋องได้ฟังดังนั้นเห็นว่ากำโลพูดจาห้าวหาญมีสติปัญญาดีพอจะชุบเลี้ยงให้เป็นนายกองได้ จึงสั่งให้จัดทหารไปด้วยกำโลร้อยหนึ่งกับเกวียนสิบเล่ม กำโลได้ฟังรับสั่งให้จัดแจงทหารและเกวียนได้พร้อมเสร็จลาออกมาขึ้นเกวียนยกไปทางเมืองเตียว

ฝ่ายเตียวอ๋องเจ้าเมืองเตียวรู้ความว่า ขุนนางเมืองจิ๋นมาเกลี้ยกล่อมเอาเมืองเอี๋ยนไปขึ้นแก่เมืองจิ๋นได้ ไทจูตั๋นบุตรเจ้าเมืองเอี๋ยนก็ตกไปอยู่ ณ เมืองจิ๋น เตียวอ๋องจึงคิดในใจว่า บัดนี้เมืองเอี๋ยนไปสวามิภักดิ์ร่วมคิดอ่านด้วยเมืองจิ๋นแล้ว นานไปเห็นจะมีกองทัพมาตีเมืองเราเป็นมั่นคง แต่คิดวิตกอยู่ดังนี้ยังหาทันจะปรึกษาขุนนางทั้งปวงไม่พอคนใช้มาบอกว่า บัดนี้เมืองจิ๋นให้กำโลเป็นข้าหลวงมาฟังราชการ ณ เมืองเรา เตียวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ออกไปรับกำโลนอกเมืองประมาณสี่ร้อยเส้น เตียวอ๋องแลเห็นกำโลเป็นเด็กมีความสงสัยอยู่ ครั้นพากำโลเข้ามาถึงเมืองแล้ว เตียวอ๋องจึงถามกำโลว่ากำหมองนั้นเป็นแซ่เดียวกับท่านหรือ กำโลจึงตอบว่ากำหมองนั้นเป็นปู่ของข้าพเจ้า เตียวอ๋องจึงถามกำโลว่า ท่านมีอายุได้สักเท่าใด กำโลบอกว่าอายุของข้าพเจ้าได้สิบสองขวบแล้ว เตียวอ๋องจึงถามว่าเมืองจิ๋นนี้คนผู้ใหญ่ซึ่งมีสติปัญญาหามีใช้ไม่หรือ จึงใช้ให้ท่านผู้เป็นเด็กมาดังนี้ กำโลจึงตอบว่า อันเจ๋งอ๋องนี้มีสติปัญญากว้างขวางลึกซึ้ง รู้คาดการคะเนการที่จะใช้ทหารและเสนาบดีทั้งปวงให้สมด้วยสติปัญญาคุณารูป ผู้ใหญ่ก็ใช้ให้ไปทำการอันใหญ่ ผู้น้อยก็ใช้ให้ไปกระทำการอันน้อย และความซึ่งมาเจรจากับเมืองท่านนี้ แต่พอข้าพเจ้าก็จะมาว่ากล่าวกระทำได้ เจ๋งอ๋องตรัสใช้ให้ข้าพเจ้ามาใช่จะไม่มีคนผู้ใหญ่ซึ่งมีสติปัญญาและทหารที่ดีมีฝีมือกล้าหาญใช้สอยในเมืองจิ๋นดุจหนึ่งท่านว่านั้นหามิได้

เตียวอ๋องได้ฟังกำโลว่าดังนั้น เห็นว่ากำโลฉลาดเป็นคนมีสติปัญญาหลักแหลมอยู่ เตียวอ๋องถึงถามกำโลว่า ท่านมาบัดนี้จะว่ากล่าวและคิดประการใดหรือ กำโลจึงตอบว่า เอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยนให้ไทจูตั๋นผู้บุตรไปอยู่ ณ เมืองจิ๋น เมืองจิ๋นกับเมืองเอี๋ยนเป็นแผ่นดินเดียวรักใคร่กัน ไม่คิดที่จะรบพุ่งกันต่อไปแล้ว บัดนี้เมืองจิ๋นจะให้เตียงต๋องไปรักษาเมืองเอี๋ยนท่านรู้หรือไม่ เตียวอ๋องจึงบอกกำโลว่าความทั้งนี้เราก็แจ้งอยู่ เตียวอ๋องจึงย้อนถามกำโลว่า ซึ่งเมืองจิ๋นกับเมืองเอี๋ยนสมัครรักใคร่ดีกันเข้าดังนี้แล้วจะคิดประการใดบ้าง กำโลจึงตอบว่าซึ่งเมืองจิ๋นกับเมืองเอี๋ยนรักใคร่กันเข้าดังนี้เห็นจะมาตีเมืองเตียว หวังจะชิงเอาหัวเมืองหอกันซึ่งเป็นเมืองขึ้นของท่าน ข้าพเจ้าเห็นว่าอาณาประชาราษฎร์ไพร่บ้านพลเมืองจะได้ความเดือดร้อน จึงมาว่ากล่าวแก่ท่าน ถ้าท่านจะใคร่ได้เมืองคืนดังเก่า ก็ให้ยอมถวายที่หัวเมืองหอกันแก่เจ๋งอ๋องแล้ว ข้าพเจ้าจะทูลเบี่ยงบ่ายมิให้เตียงต๋องไปอยู่รักษาเมืองเอี๋ยน ภายหลังท่านจงแต่งกองทัพไปตีเอาเมืองเอี๋ยนเถิด เจ๋งอ๋องมิได้ให้กองทัพไปช่วยเมืองเอี๋ยนแล้ว ท่านก็จะได้ที่หัวเมืองขึ้นเป็นอันมาก

เตียวอ๋องได้ฟังกำโลว่าดังนั้นก็ยินดีหามีความสงสัยไม่ แล้วว่าแก่กำโลว่าท่านว่ากล่าวจริงดังนั้นแล้ว ที่หัวเมืองหอกันห้าหัวเมืองนี้เราจะยอมถวายแก่เจ๋งอ๋อง ท่านได้อนุเคราะห์ช่วยเพ็ดทูลเบี่ยงบ่ายให้เจ๋งอ๋องเมตตาเราด้วยเถิด เตียวอ๋องจึงให้ทองคำแก่กำโลหนักหกสิบชั่งกับเพชรสองคู่ กำโลรับเอาแล้วก็คำนับลาเตียวอ๋องกลับมาเมืองจิ๋น ครั้นกำโลมาถึงเมืองแล้วก็เข้าไปหาเจ๋งอ๋องกราบทูลข้อความตามซึ่งได้ว่ากล่าวกับเตียวอ๋องนั้นให้ทราบสิ้นทุกประการ แล้วทูลถวายหัวเมืองหอกันแก่เจ๋งอ๋อง เจ๋งอ๋องได้ฟังกำโลกราบทูลดังนั้นยินดีนัก สรรเสริญว่ากำโลคนนี้เป็นเด็กก็จริง แต่มีสติปัญญาความคิดเกินตัวเป็นอันมาก จึงสั่งให้จัดแจงทหารไปรักษาที่หัวเมืองหอกันไว้ มิให้เตียงต๋องไปรักษาเมืองเอี๋ยน แล้วให้บำเหน็จรางวัลแก่กำโลเป็นอันมาก

ฝ่ายเตียงต๋องก็มีความยินดีด้วยจึงว่าแก่กำโลว่า ซึ่งเราไม่ต้องไปอยู่รักษาเมืองเอี๋ยนครั้งนี้ก็เพราะสติปัญญาและความคิดของท่าน เราขอบใจท่านยิ่งนัก ฝ่ายเตียวอ๋องเจ้าเมืองเตียวรู้ความกำหนดว่าเจ๋งอ๋องมิได้ให้เตียงต๋องไปรักษาเมืองเอี๋ยนสมคำกำโลพูดไว้ดังนั้น เตียวอ๋องก็มีความยินดีนัก เห็นว่าเมืองจิ๋นมิได้เอาธุระเมืองเอี๋ยนเป็นมั่นคงแล้ว ก็สั่งให้บังเอี๋ยนกับหลีมกคุมทหารไปตีเมืองเซียงก๊กซึ่งขึ้นแก่เมืองเอี๋ยนได้สามสิบหัวเมือง และหัวเมืองที่ใกล้กับหัวเมืองหอกันนั้นเตียวอ๋องก็ถวายให้ขึ้นแก่เมืองจิ๋นสิบแปดหัวเมือง เจ๋งอ๋องมีความยินดีนักว่าที่ได้หัวเมืองขึ้นมาอีกทั้งนี้ก็เพราะความคิดกำโล จึงตั้งกำโลให้เป็นเสียงก๊กขุนนางผู้ใหญ่แล้วให้บ้านส่วยและหัวเมืองขึ้นเป็นอันมาก ตั้งแต่นั้นมากำโลจะว่าราชการบ้านเมืองสิ่งใดก็สิทธิ์ขาด

ฝ่ายไทจูตั๋นบุตรเจ้าเมืองเอี๋ยนซึ่งมาอยู่ ณ เมืองจิ๋นนั้น ครั้นรู้ว่าเมืองเตียวมาตีเอาหัวเมืองขึ้นไปได้สามสิบหัวเมือง ฝ่ายข้างเมืองจิ๋นก็หาให้กองทัพไปช่วยเมืองเอี๋ยนไม่ แต่คิดเสียใจไม่รู้ที่จะทำประการใด ครั้นจะหนีไปเมืองก็มิได้รำคาญใจยิ่งนัก จึงคิดว่าเราจะไปหากำโลพูดจาอ้อนวอนให้กำโลช่วยคิดอ่านให้ได้กลับไปเมืองเถิด ไทจูตั๋นคิดดังนั้นแล้วก็ไปหากำโลเนืองๆ มิได้ขาดหวังจะให้สนิทไว้ แต่ยังมิได้พูดจาด้วยความของตัว อยู่มาวันหนึ่งเวลากลางคืนกำโลนอนหลับอยู่ฝันเห็นไปว่าผู้หนึ่งใส่เสื้อแดงเหาะลงมาแต่สวรรค์บอกกำโลว่า พระอิศวรซึ่งเป็นใหญ่อยู่ในเมืองสวรรค์ให้ลงมาหาท่านขึ้นไป ครั้นกำโลตื่นขึ้นจากที่นอนเล่าความให้คนทั้งปวงฟังแล้ว เวลาเช้ากำโลก็นอนตายอยู่ในที่นอน และเมื่อกำโลตายอายุพอได้สิบหกปี

ฝ่ายลีปุดอุยแต่ลอบลักไปมาหาฮองไทเฮา ตั้งแต่จังเสียงอ๋องสิ้นบุญมาจนเจ๋งอ๋องเจริญวัยได้ว่าราชการเมืองจิ๋น เห็นเจ๋งอ๋องมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลมนักเกรงความจะไม่มิด ลีปุดอุยคิดกลัวตัวเป็นอันมากทำเหินห่างอยู่มิใคร่จะเข้าไปเฝ้า ฮองไทเฮาก็ให้มาหาลีปุดอุยเข้าไป ลีปุดอุยจึงคิดว่าทำไฉนเราจะหาคนแทนตัวให้ฮองไทเฮาสืบต่อไปได้ ลีปุดอุยคิดรำคาญใจไม่มีความสบาย จึงคิดขึ้นได้ว่าเล่าไอคนหนึ่งเป็นคนนักเลงเล่นชู้ ถ้าเล่าไอได้สมรักด้วยหญิงคนใด หญิงคนนั้นมีความยินดีรักใคร่ยิ่งนัก เล่าไอมีใจกำเริบเที่ยวทำชู้ด้วยบุตรภรรยาไพร่บ้านพลเมืองเนืองๆ ไปจนเล่าไอเป็นโทษต้องเวรจำอยู่ ลีปุดอุยจึงให้ไปถอดเอาเล่าไอมาไว้ใช้สอยในบ้าน และเป็นอย่างธรรมเนียมเมืองจิ๋นสืบๆ มา ถ้าพ้นเทศกาลนานแล้ว ก็ให้เล่นการมหรสพทุกปี แต่บรรดาผู้รู้วิชาในการเครื่องเล่นเต้นรำสิ่งใดๆ ก็ให้มาเล่นในกำหนดสามวันให้พร้อมกันตามประเพณี ครั้งนั้นพอเทศกาลวันจะเล่นมหรสพ ลีปุดอุยจึงให้ทำจักรกลอันหนึ่งใหญ่เท่านกกระเรียน ถ้าหันไปแล้วมีเสียงดังไพเราะต่างๆ ได้จักรกลแล้วก็กระทำให้จักรกลผัดผันไป มีเสียงดังต่างๆ คนทั้งปวงเห็นประหลาดก็ชวนกันหัวเราะเล่าไอ จนกิตติศัพท์ลือเข้าไปถึงฮองไทเฮา ฮองไทเฮาจึงให้หาลีปุดอุยเข้าไปสอบถามถึงความเล่าไอ ลีปุดอุยรู้ในท่วงทีฮองไทเฮา ลีปุดอุยจึงถามว่าท่านจะใคร่ดูเล่าไอหรือ ข้าจะพาเข้ามาอยู่ให้ใช้แทนตัว

ฮองไทเฮาได้ฟังแล้วก็ยิ้มนิ่งอยู่ แล้วจึงว่าท่านเจรจาเล่นดอกกระมัง คนนอกหรือจะเอามาใช้ข้างในได้ ลีปุดอุยรู้ในกิริยาจึงตอบว่า ข้าคิดอุบายได้สิ่งหนึ่ง ซึ่งจะให้เล่าไอเข้ามาอยู่พอจะได้ แต่จะต้องยกโทษเล่าไอซึ่งกระทำผิดมาแต่หลังนั้น แล้วจะทำให้เล่าไอเป็นขันที จะเอาตัวเข้ามาให้ใช้คนสนิท เห็นคนทั้งปวงจะหาสงสัยไม่ ฮองไทเฮาได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก จึงตอบว่าซึ่งท่านคิดอุบายถ่ายเทดังนี้ดีนัก ฮองไทเฮาจึงให้เงินไปแก่ลีปุดอุยเป็นสินบนแก่เจ้าพนักงานผู้รู้ทำให้เป็นขันที ลีปุดอุยก็กลับมา ณ บ้าน จึงให้หาเล่าไอมาบอกความซึ่งคิดอ่านกับฮองไทเฮาให้ฟังทุกประการ เล่าไอได้แจ้งดังนั้นดีใจนักด้วยจะได้รู้จักฮองไทเฮา ลีปุดอุยจึงให้หาเจ้าพนักงานผู้กระทำโทษนั้นมาบอกความลับแล้วให้เงินสินบนแก่เจ้าพนักงานทั้งปวง ลีปุดอุยจึงสั่งว่า ท่านจงเอาตัวเล่าไอไปแล้วประกาศแก่คนทั้งปวงว่าเล่าไอคนนี้กระทำล่วงประเพณีผิดด้วยกฎหมาย ให้ทำโทษตัดเพศชายเสียส่งไปเป็นขันทีในวัง ท่านประกาศให้แก่คนทั้งปวงรู้ดังนั้นอย่าให้มีความสงสัย แล้วท่านจงส่งตัวเล่าไอให้ไปเป็นขันทีใช้ในวัง เจ้าพนักงานได้สินบนรับคำลีปุดอุยแล้วส่งตัวเล่าไอไปในที่ทำโทษแล้วทำตามถ้อยคำลีปุดอุยสั่งทุกประการ ครั้นแล้วก็โกนหนวดเล่าไอเสีย แต่งตัวเป็นขันทีส่งให้ลีปุดอุย ลีปุดอุยจึงพาตัวเล่าไอไปส่งให้ฮองไทเฮา ฮองไทเฮาตั้งแต่ได้เล่าไอเข้ามา รู้ว่าเล่าไอมิใช่ขันทีแท้ก็ใช้ชิดเป็นชาวที่ การสิ่งใดก็วางใจไว้ความลับแก่เล่าไอทุกสิ่ง ฮองไทเฮาเห็นเล่าไอฉลาดชอบอัชฌาสัย ก็รักใคร่เล่าไอมากกว่าลีปุดอุย ฮองไทเฮาคิดขอบคุณลีปุดอุยว่าหาคนดีมาให้ใช้ จึงให้หาลีปุดอุยเข้ามาให้สิ่งของทั้งปวงเป็นอันมาก ลีปุดอุยรู้ทีในฮองไทเฮาว่ารักใคร่ในเล่าไอสมความคิดแล้วลีปุดอุยก็หายความวิตก แต่นั้นไปลีปุดอุยก็มิได้เข้าไปหาฮองไทเฮาสืบไปเลย ฮองไทเฮากับเล่าไอก็อยู่ด้วยกันจนฮองไทเฮามีครรภ์แล้วคิดกลัวเจ๋งอ๋องผู้บุตรและคนทั้งปวงจะรู้ความ ฮองไทเฮาแกล้งกระทำป่วยจึงให้เล่าไอเอาเงินไปให้แก่หมอดูเคราะห์ให้ทายว่าฮองไทเฮาจะอยู่ในเมืองนี้มิได้เคราะห์นั้นร้าย ให้แปลงสถานไปอยู่ฝ่ายตะวันตกให้พ้นเมืองประมาณสี่พันเส้น เล่าไอเอาเงินไปให้แก่หมอดู หมอก็ทำนายมาตามฮองไทเฮาสั่งทุกประการ เจ๋งอ๋องแจ้งความว่าฮองไทเฮาป่วย จะอยู่ในเมืองนี้มิได้จะต้องแปลงสถานออกไปเสียให้พ้นเมือง

เจ๋งอ๋องมีความยินดีนัก ด้วยแต่ก่อนสงสัยลีปุดอุยกับฮองไทเฮาอยู่ บัดนี้ ฮองไทเฮาจะออกไปอยู่เสียนอกเมือง ลีปุดอุยกับฮองไทเฮาก็จะได้ไกลพ้นกันไป เจ๋งอ๋องจึงว่ากับฮองไทเฮาว่า ซึ่งท่านจะออกไปอยู่เสียนอกเมืองให้พ้นเคราะห์ร้ายนั้นก็ควรอยู่แล้ว และที่ยงจิ๋วนั้นพ้นเมืองออกไปฝ่ายตะวันตก ทางสี่พันเส้นเป็นที่เมืองเก่ามีตำหนักไต๋แต้เก๋งที่นั่งเย็นและสวนดอกไม้เป็นที่สบาย เชิญท่านไปอยู่ ณ ที่ยงจิ๋วเถิด ฮองไทเฮาก็มีความยินดี จัดแจงสมัครพรรคพวกหญิงคนใช้กับเล่าไอก็ยกออกไปตั้งอยู่ ณ ที่ยงจิ๋ว ได้ประมาณสองปีเศษเกิดบุตรด้วยเล่าไอถึงสองคน ฮองไทเฮาก็จัดแจงที่อยู่และพี่เลี้ยงแม่นมให้รักษาอยู่แต่ข้างในมิให้คนทั้งปวงเห็น และกิตติศัพท์ก็เลื่องลือ อาณาประชาราษฎร์ชาวเมืองยงจิ๋วก็ทราบความอยู่สิ้น แต่หามีผู้ใดอาจพูดจาว่ากล่าวไม่

ฝ่ายฮองไทเฮามีความรักเล่าไอนัก จึงพูดกับเล่าไอว่าถ้าหาบุญเจ๋งอ๋องไม่ ข้าจะให้สมบัติแก่บุตรเราทั้งสองคนนี้ เล่าไอได้ฟังดังนั้นมีความยินดีนัก อยู่วันหนึ่งฮองไทเฮาจึงให้คนเข้าไปทูลเจ๋งอ๋องว่าเล่าไอคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์ อุตส่าห์ทำราชการโดยสุจริต สมควรที่จะชุบเลี้ยงให้เป็นผู้ใหญ่ได้ เจ๋งอ๋องได้ฟังดังนั้นขัดมารดามิได้ จึงตั้งให้เล่าไอเป็นขุนนางผู้ใหญ่ชื่อเซียงสินเฮา ยกเมืองฮอเอียงให้เป็นส่วยขึ้นแก่เล่าไอ ครั้นเล่าไอได้ที่เซียงสินเฮาขุนนางผู้ใหญ่มีส่วยขึ้นดังนั้นก็มีนํ้าใจกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน ฮองไทเฮาก็จัดแจงข้าวของเครื่องยศให้แก่เล่าไอทุกประการ เล่าไอต้องการสิ่งใดฮองไทเฮาก็จัดแจงให้แก่เล่าไอมิได้ขัดสน และกิจการในเมืองยงจิ๋วประการใดก็บังคับบัญชาว่ากล่าวสิทธิ์ขาดอยู่ในเล่าไอทั้งสิ้น เล่าไอก็ชักชวนเกลี้ยกล่อมบ่าวไพร่ซ่องสุมผู้คนไว้ได้เป็นหลายพัน หัวเมืองทั้งปวงรู้กิตติศัพท์ไปว่าเล่าไอเป็นคนโปรดปรานสบเสียชุบเลี้ยงเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ก็สมัครมาเข้าด้วยเล่าไอประมาณอีกพันเศษ แล้วเล่าไอให้เสื้อผ้าเงินทองไปชักชวนเกลี้ยกล่อมชาวเมืองจิ๋น ได้สมัครพรรคพวกเป็นอันมาก เกียรติยศก็ลือชาปรากฏยิ่งกว่าลีปุดอุยอีก

ขณะนั้นเจ๋งอ๋องเสวยราชสมบัติมาได้เก้าปี และในปีนั้นเห็นดาวหางขึ้นขวางอากาศอยู่ยาวยิ่งนัก โหรจึงทำนายว่าปีนี้เมืองเราจะเกิดศึก และเป็นเยี่ยงอย่างเคยกระทำมาแต่ก่อน ครั้งซินเสียงก๋งได้สมบัติก็ให้ทำศาลเทพารักษ์ไว้ที่ยงจิ๋ว ถึงปีก็ไปกระทำบวงสรวงเทพารักษ์มิได้ขาด ครั้นเต๊กก๋งยกไปตั้งอยู่ยงจิ๋วก็ให้ปลูกศาลเทพารักษ์ขึ้นบูชาอีกศาลหนึ่ง ครั้นถึงปีก็ไปบูชาทุกปีสืบต่อกันมา จนถึงเจ๋งอ๋องได้ราชสมบัติก็เคยไปกระทำบวงสรวงอยู่ทุกปีมิได้ขาด ครั้นถึงกำหนดในปีนั้น โหรทำนายว่าจะเกิดศึก เจ๋งอ๋องจึงจัดแจงบ้านเมืองรี้พล ให้ลีปุดอุยกับอองเจี๋ยนอยู่รักษาเมือง ให้สวนกีคุมทหารสามหมื่นไปตั้งทัพอยู่เขากีสัน เจ๋งอ๋องยกไปยงจิ๋ว ครั้นถึงจึงเข้าไปหามารดา คำนับมารดาแล้วก็ลาไปพักอยู่ที่คีนี่เก๋ง ครั้นถึงวันกำหนดที่จะบูชาเทพารักษ์ เจ๋งอ๋องให้จัดแจงเครื่องบวงสรวงแล้ว ก็ไปบูชาเทพารักษ์ ณ ศาลซึ่งซินเสียงก๋งทำไว้นั้น ครั้นบวงสรวงเทพารักษ์ตามธรรมเนียมแล้วก็กลับมาที่อยู่

ฮองไทเฮาจึงให้คนมาทูลเจ๋งอ๋องว่า ทุกวันนี้เจ๋งอ๋องมีอายุได้ยี่สิบสองปี ยังหนุ่มอยู่ให้จัดแจงเครื่องพลีกรรมไปบวงสรวงเทพารักษ์ ณ ศาล ซึ่งเต๊กก๋งสร้างไว้นั้นด้วย จึงจะได้เจริญอายุเป็นเกียรติยศปรากฏใหญ่ยิ่งขึ้นไป ครั้นเจ๋งอ๋องแจ้งแล้วก็ไปบวงสรวงบูชาเทพารักษ์ ณ ศาลเต๊กก๋ง แล้วให้แต่งโต๊ะเลี้ยงขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยอยู่ ณ ศาลเทพารักษ์ แต่ตัวเจ๋งอ๋องมากินโต๊ะอยู่ด้วยฮองไทเฮาผู้มารดา ณ ตำหนักไต๋แต้เก๋ง

ฝ่ายเล่าไอก็กินโต๊ะอยู่กับขุนนางทั้งปวง แล้วก็เล่นพะบ๊วยทายนิ้วมือพนันกินเหล้ากัน เล่าไอเล่นพนันกับงวนเสียบ เสพสุราพลางต่างคนต่างเมา เล่าไอมีแต่แพ้งวนเสียบเป็นหลายครั้ง เล่าไอจึงชวนงวนเสียบจะให้เล่นพนันอีก งวนเสียบว่าท่านแพ้เราหลายครั้งเราไม่เล่นกับท่านแล้ว เล่าไอขัดใจฉุดเอาข้อมืองวนเสียบเข้ามาแล้วตบเอาแก้มงวนเสียบ งวนเสียบโกรธก็ต่อสู้กระชากเอาหมวกบนศีรษะเล่าไอ เล่าไอโกรธเป็นกำลังถลึงตาตวาดเอางวนเสียบแล้วว่า เจ๋งอ๋องก็เป็นบุตรเลี้ยงเรา หน้าเจ้าแต่เพียงนี้หรือจะมาทำหยาบช้าเกินเลยเรา งวนเสียบได้ฟังดังนั้นก็ตกใจจึงลุกหนีออกมา พอพบเจ๋งอ๋อง เจ๋งอ๋องเสพสุรากับฮองไทเฮามารดาแล้วก็เดินออกมาพบงวนเสียบ งวนเสียบร้องไห้กราบทูลเจ๋งอ๋องแล้วทูลอ้อนวอนขอโทษ เจ๋งอ๋องเห็นงวนเสียบเศร้าโศกดังนั้น ก็ไว้แต่ในใจหาว่ากล่าวสิ่งใดไม่ ให้คนใช้พยุงเอาตัวงวนเสียบไปตำหนักคีนี่เก๋ง ครั้นไปถึงแล้วเจ๋งอ๋องจึงถามงวนเสียบว่า เหตุสิ่งใดจึงมาร้องขอโทษเรา งวนเสียบจึงทูลว่าเวลาวันนี้ข้าพเจ้าเสพสุราเล่นพนันกับเล่าไอ เล่าไอแพ้ข้าพเจ้าแล้วชวนข้าพเจ้าจะให้เล่นอีก ข้าพเจ้าไม่เล่น เล่าไอโกรธตบเอาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำตอบบ้าง เล่าไอโกรธว่าข้าพเจ้าหยาบช้า แล้วว่าท่านเป็นบุตรเลี้ยงของเล่าไอ ซึ่งข้าพเจ้าได้กระทำว่ากล่าวล่วงเกินเล่าไอนั้นโทษข้าพเจ้าถึงตายอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงมาขอชีวิต

เจ๋งอ๋องจึงถามงวนเสียบว่าความข้อนี้เราหาแจ้งไม่ แต่ก่อนท่านได้แยบคายรู้เห็นประการใดจงบอกให้เราแจ้ง งวนเสียบจึงทูลว่าแต่ก่อนข้าพเจ้าแจ้งอยู่ว่าเล่าไอคนนี้ปลอมเป็นขันทีเข้าไปอยู่ด้วยฮองไทเฮา และซึ่งว่าให้กระทำโทษให้เป็นขันทีนั้นหาจริงไม่ แกล้งทำเป็นกลอุบายแต่พอให้คนทั้งปวงเห็น ครั้นเล่าไอได้เข้าไปอยู่ในวังแล้วฮองไทเฮาก็รักใคร่เล่าไอ จนมีบุตรชายถึงสองคน บัดนี้ลอบให้พี่เลี้ยงไปอยู่พิทักษ์รักษามิให้ใครล่วงรู้ นานไปเห็นจะคิดเอาราชสมบัติ เจ๋งอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงใช้ให้ม้าเร็วลอบมีหนังสือไปหาสวนกีนายทหารซึ่งตั้งอยู่เขากีสัน ให้ยกมาเมืองยงจี๋วโดยเร็ว

ขณะนั้นไลสือซื่อคนหนึ่ง จอคอเกียดคนหนึ่ง สองคนนี้เป็นคนใช้อยู่ในเจ๋งอ๋อง เล่าไอให้เงินทองชักชวนไว้เป็นพวกเล่าไอ ไลสือซื่อกับจอคอเกียดคิดถึงบุญคุณเล่าไอ ครั้นรู้ว่างวนเสียบมาบอกความแก่เจ๋งอ๋องดังนั้น ไลสือซื่อกับจอคอเกียดจึงเอาเนื้อความมาบอกแก่เล่าไอทุกประการ เล่าไอครั้นสร่างเมาสุราแล้วได้ยินไลสือซื่อและจอคอเกียดมาบอกความดังนั้นก็ตกใจ จึงไปหาฮองไทเฮา ณ ตำหนักไต๋แต้เก๋งในเวลากลางคืน เอาเนื้อความแจ้งแก่ฮองไทเฮาทุกประการ

ฮองไทเฮาได้ฟังดังนั้นก็ตกใจยิ่งนัก จึงคิดกันว่าเมื่อเกิดความขึ้นทั้งนี้ เราจะทำประการใด เล่าไอจึงตอบว่ากองทัพสวนกีซึ่งเจ๋งอ๋องให้ไปหามานั้น ในวันนี้ยังจะมาไม่ถึงก่อน จำเราจะจัดแจงทหารซึ่งอยู่รักษาไต๋แต้เก๋งกับสมัครพรรคพวกของเรายกไปตีคีนี่เก๋งจับเจ๋งอ๋องฆ่าเสีย เราผัวเมียจะได้อยู่ด้วยกันเป็นสุขสืบไป ฮองไทเฮาจึงว่าซึ่งคิดการดังนี้เกลือกทหารซึ่งรักษาไต๋แต้เก๋งจะไม่ยอมด้วยเรา เล่าไอจึงว่าจะขอตราของท่านปลอมเป็นตราเจ๋งอ๋องออกไปว่ากล่าวแก่ทหารทั้งปวงว่าตำหนักคีนี่เก๋งนั้นมีคนร้ายมาอาศัยอยู่ ให้ท่านทั้งปวงยกไปจับผู้ร้าย ทหารทั้งปวงจะขัดมิได้ก็จะต้องยกไปตามคำเรา ฮองไทเฮาได้ยินดังนั้นก็คิดเรรวนอยู่ จึงตอบว่าการทั้งนี้สุดแต่ท่านจะคิดอ่านเถิด

ฮองไทเฮาก็ส่งตราให้เล่าไอ เล่าไอจึงทำเป็นหนังสือเจ๋งอ๋องแล้วเล่าไอถือออกมาว่ากล่าวแก่ทหารทั้งปวง แล้วก็ให้แบ่งทหารออกเป็นสามกอง ให้ไลสือซื่อคุมไปกองหนึ่ง จอคอเกียดคุมไปกองหนึ่ง ครั้นจัดแจงทหารทั้งปวงพร้อมแล้ว ก็ยกไปล้อมตำหนักคีนี่เก๋งเข้าไว้ว่าจะจับผู้ร้าย เจ๋งอ๋องจึงถามทหารทั้งปวงว่า ซึ่งยกมาล้อมคีนี่เก๋งไว้ดังนี้ด้วยเหตุสิ่งใด ทหารทั้งปวงจึงตอบว่าเล่าไอบอกว่าคีนี่เก๋งมีผู้ร้ายจึงให้ยกมา เจ๋งอ๋องจึงว่าที่คีนี่เก๋งหามีผู้ร้ายไม่ อ้ายเล่าไอนั้นแหละเป็นผู้ร้ายเอง

ฝ่ายทหารทั้งปวงได้ฟังเจ๋งอ๋องว่าดังนั้นก็กลับเข้ารบกับเล่าไอก็มีบ้าง ที่กลับไปเสียไม่อยู่รบก็มีบ้าง เจ๋งอ๋องจึงร้องประกาศว่าถ้าผู้ใดจับตัวเล่าไอมาได้เราจะให้บำเหน็จแล้วจะตั้งให้เป็นขุนนาง ทหารทั้งปวงซึ่งรบพุ่งอยู่นั้นก็มีนํ้าใจ จึงกระทำการรบพุ่งกับเล่าไอเป็นสามารถ ฝ่ายทหารเจ๋งอ๋องกับไพร่บ้านพลเมืองก็เต็มใจช่วยรบพุ่งพวกเล่าไอเป็นสามารถ สมัครพรรคพวกของเล่าไอต้านทานมิได้ตายลงประมาณสามร้อยสี่ร้อย เล่าไอก็เสียทีเห็นเหลือกำลังสู้มิได้ก็รบฝ่าหนีออกมาข้างประตูตะวันออก พอพบกองทัพสวนกีมาถึงก็ยิ่งตกใจ

ฝ่ายสวนกีก็ให้ทหารสกัดล้อมจับตัวเล่าไอกับไลสือซื่อ จอคอเกียดได้ ก็มัดมาถวายเจ๋งอ๋อง และไพร่พลของเล่าไอนั้น กองทัพจับได้บ้าง หนีกระจัดกระจายไปได้บ้าง เจ๋งอ๋องจึงสั่งทหารให้เอาตัวเล่าไอไปกระทำโทษ แล้วให้ซักถามเอาความจริงจงได้ เล่าไอต้องรับอาญาทนมิได้ก็ให้การออกความตามลีปุดอุยคิดอ่านกระทำมาแต่หลังจนได้เข้าไปอยู่กับฮองไทเฮานั้นให้แจ้งทุกประการ เจ๋งอ๋องแจ้งความดังนั้นก็ไปตำหนักไต๋แต้เก๋ง ให้ไปเอาตัวบุตรเล่าไอมาใส่ถุงทุบเสียทั้งสองคน ฮองไทเฮาก็ปิดประตูร้องไห้อยู่ไม่รู้ที่จะว่ากล่าวประการใด

เจ๋งอ๋องก็มิได้คำนับฮองไทเฮา แล้วก็กลับมาตำหนักคีนี่เก๋งแล้วว่าโหรซึ่งทำนายว่าจะเกิดศึกนั้นถูกต้องแม่นยำ จึงให้บำเหน็จรางวัลกับโหรเป็นอันมาก และตัวเล่าไอนั้นสั่งให้เจ้าพนักงานเอาตัวไปกระทำโทษนอกประตูทิศตะวันออก ให้ผูกเท้า ผูกเอว ผูกมือเล่าไอขึงเข้าไว้กับเกวียนแล้วให้ลากเกวียนนั้นไป มือขาดเท้าขาดอกแตกเป็นท่อนน้อยท่อนใหญ่ เล่าไอถึงแก่ความตายครั้งนั้นศพหาเป็นสมประดีไม่ แล้วให้จับบิดามารดาญาติพี่น้องของเล่าไอมาประหารชีวิตเสียสิ้นโคตร แล้วให้ตัดศีรษะไลสือซื่อกับจอคอเกียดเสียบไว้มิให้คนดูเยี่ยงอย่าง และสมัครพรรคพวกที่มาช่วยเล่าไอนั้นก็ให้ประหารชีวิตเสียสิ้น ที่มิได้ยกมาช่วยนั้นให้ขับไปเสียให้พ้นจากเมือง ประมาณสี่พันเรือนเศษ และเจ๋งอ๋องคิดแค้นว่าฮองไทเฮาไปสมคบกับเล่าไอแล้วคิดความใหญ่หลวงให้ได้ความอัปยศถึงเพียงนี้ หาสมควรที่จะเป็นผู้ใหญ่ไม่ ให้ลดเบี้ยหวัดส่วยสาอากรสำหรับขึ้นนั้นลงเสีย แล้วให้ทหารสามร้อยพาตัวฮองไทเฮาไปคุมไว้ ณ ตำหนักแฝกเอียงเก๋ง ผู้ใดจะไปมาเข้าออกให้ค้นคว้าตรวจตราระวังระไวจงกวดขันด้วยหาไว้ใจไม่ ครั้นจัดแจงสำเร็จแล้ว เจ๋งอ๋องก็ยกกลับมาเมืองจิ๋น

ฝ่ายลีปุดอุยรู้ความกลัวเจ๋งอ๋องจะทำโทษ จึงแกล้งทำป่วยเสียหามาเฝ้าเจ๋งอ๋องไม่ ฝ่ายเจ๋งอ๋องคิดตรองเห็นว่าได้ความอัปยศและเกิดเหตุขึ้นทั้งนี้ก็เพราะลีปุดอุยทำให้เล่าไอปลอมเข้าไปอยู่ในวัง ลีปุดอุยเป็นต้นเหตุ จำจะฆ่าลีปุดอุยเสีย คิดดังนั้นแล้วจึงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวงว่า ความทั้งนี้ก็เพราะความคิดลีปุดอุย เล่าไอจึงล่วงเข้าไปกระทำได้ถึงเพียงนี้ เราจะให้ฆ่าลีปุดอุยเสียท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงจึงทูลว่าลีปุดอุยคนนี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ได้ทำราชการมีบำเหน็จความชอบมาถึงสองแผ่นดินแล้ว ประการหนึ่ง ข้อความซึ่งเล่าไอให้การซัดทอดติดพันถึงลีปุดอุยนั้น ก็หาได้สอบสวนให้เห็นเท็จและจริงไม่ เป็นฟังคำข้างเดียวอยู่ ซึ่งจะให้ฆ่าลีปุดอุยนั้นข้าพเจ้าทั้งปวงเห็นหาควรไม่

เจ๋งอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ให้ยกโทษลีปุดอุยเสียมิได้ให้ประหารชีวิต แต่ถอดเสียจากขุนนางผู้ใหญ่ ตราสำหรับที่นั้นก็เรียกคืนเอามา และสวนกีทหารซึ่งยกไปช่วยจับเล่าไอกับไลสือซื่อ จอคอเกียดศัตรูราชสมบัตินั้น มีความชอบให้บำเหน็จรางวัลเป็นอันมาก แล้วเลื่อนที่สวนกีขึ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ