- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๓๙
ขณะนั้นพระเจ้าจิวเซียงอ๋องเสวยราชสมบัติได้สิบเจ็ดปี ฝ่ายก๋งจูเจียวซึ่งเป็นเจ๋เฮาก๋งเจ้าเมืองเจ๋คิดกำเริบใจจะเป็นเมืองเอกให้เหมือนบิดาของตัวแต่ก่อน จึงคิดว่าก๋งจูสินซึ่งเป็นฬ่ออีก๋งเจ้าเมืองฬ่อมากระทำสัตย์ด้วยกัน ณ ตำบลบ้านล๊กเสียง แล้วไม่ได้ลงชื่อก็เหมือนหนึ่งหาสาบานไว้ความสัตย์ต่อเราไม่ ทั้งเจ้าเมืองซองเล่าก็นัดกับเราว่าจะมาทำสัตย์ ณ ตำบลเมาเต ถึงกำหนดแล้วก็ไม่มา ฮีมฮุนเจ้าเมืองฌ้อก็ไม่มาเป็นมิตรไมตรีกับเราโดยสุจริต แต่บิดาเราตายมาจนทุกวันนี้หัวเมืองทั้งปวงก็มิไปมานับถือ คิดขึ้นมาครั้งใดก็ให้แค้นเจ้าเมืองเหล่านี้นัก จำเราจะยกกองทัพไปตีเอาหัวเมืองให้มาขึ้นกับเราเหมือนเมื่อครั้งบิดาเรา เจ๋เฮาก๋งคิดแล้วออกมาที่ว่าราชการ จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า เมื่อบิดาเรายังอยู่นั้น จะเว้นปียกทัพก็หาไม่ เราได้เป็นเจ้าเมืองแทนบิดาจะมานอนนิ่งอยู่ในเมือง ไม่จัดแจงกองทัพยกไปรบเมืองใดให้เป็นเกียรติยศนั้นไม่ควร บัดนี้เมืองฬ่อบังเกิดข้าวแพง อาณาประชาราษฎร์อดอยากอิดโรย เราจะยกกองทัพไปตีเมืองฬ่อเห็นจะได้โดยสะดวก ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
กอฮีขุนนางผู้ใหญ่จึงว่า ซึ่งท่านจะไปตีเมืองฬ่อนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีผู้ช่วยจะไม่ได้ชัยชนะ เจ๋เฮาก๋งจึงตอบว่า ถึงครั้งนี้เราจะยกกองทัพไปจะไม่ชนะนั้นก็ตามเถิด แต่เราจะลองฝีมือทหารเมืองฬ่อดูสักครั้งหนึ่ง แล้วจะได้ดูนํ้าใจหัวเมืองทั้งปวงว่าผู้ใดจะคิดอ่านประการใด เจ๋เฮาก๋งก็สั่งให้จัดเกวียนรบสองร้อยเล่ม กับทหารกำกับเกวียนห้าพันคนพร้อมแล้ว ให้ซุยเอียวเป็นแม่ทัพหน้า เจ้าเมืองเจ๋เป็นทัพหลวงยกไป
ฝ่ายชาวด่านเมืองฬ่อรู้ว่ากองทัพเมืองเจ๋ยกมาถึงตำบลปักพีก็รีบไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองฬ่อแจ้งความจึงว่ากับตังสุยว่า กองทัพเมืองเจ๋ยกมาเราจะคิดอ่านต่อสู้หรือจะทำประการใด ตังสุยจึงว่า อันเจ๋เฮาก๋งยกมาครั้งนี้ด้วยโกรธท่าน ครั้นเราจะต่อสู้เห็นไม่ได้ บ้านเมืองเราก็กันดารด้วยอาหารเห็นจะเสียท่วงที ขอท่านจงจัดแจงหาผู้มีสติปัญญายกออกไปพูดจาด้วยกลอุบายให้เจ้าเมืองเจ๋ยกทัพกลับไปโดยดีกว่า เจ้าเมืองฬ่อจึงว่า จึงท่านว่านี้ก็ชอบอยู่แล้ว แต่ท่านจะเห็นผู้ใดมีสติปัญญาในเมืองเราที่จะออกไปพูดจากับเจ๋ฮวนก๋งได้ ตังสุยจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเห็นแต่จูขิม ซึ่งออกนอกราชการไปอยู่บ้านหิวแฮนั้น ถ้าให้ออกไปพูดจากับเจ้าเมืองเจ๋เห็นจะได้ราชการ เจ้าเมืองฬ่อจึงว่า ครั้นเราจะให้ขุนนางผู้อื่นไปก็จะไม่ได้ตัวมาทันที ท่านจงไปว่ากล่าวจูขิมเองเถิดจึงจะดี ตังสุยก็คำนับลาออกจากเมืองฬ่อ ไปหาจูขิม ณ บ้านหิวแฮ แล้วบอกจูขิมว่า บัดนี้เจ้าเมืองเจ๋ยกกองทัพจะมาตีเอาเมืองเรา และเมืองเราทุกวันนี้ก็ขัดสนด้วยเสบียงอาหาร ผู้คนก็อิดโรยเห็นจะไม่ต่อสู้ข้าศึกได้ ฬ่ออีก๋งคิดวิตกนัก จึงปรึกษากับเรา เราเห็นว่าท่านมีสติปัญญาหลักแหลมพอจะออกไปอุบายพูดจากับเจ้าเมืองเจ๋ให้ยกกองทัพกลับไปได้ จึงให้เรามาเชิญท่านจะได้จัดแจงให้ออกไป
จูขิมได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า เมื่อบ้านเมืองเป็นสุขฬ่ออีก๋งก็หาชุบเลี้ยงเราไม่ บัดนี้เราเป็นไพร่ต้องทำมาหากินเลี้ยงชีวิตด้วยกันดาร ครั้นมีศึกจะมาเรียกเราให้ไปพูดจากับกองทัพเอาแต่การของท่านนั้น เราเป็นโรคป่วยอยู่ไปไม่ได้ ตังสุยได้ฟังจูขิมพูดจาบิดพลิ้วไม่มาก็ว่ากล่าวอ้อนวอนเป็นหลายครั้ง จูขิมเห็นตังสุยเฝ้าอ้อนวอนอยู่ช้านานเสียไม่ได้จึงว่า ซึ่งกองทัพเมืองเจ๋ยกมา จะคิดอ่านพูดจาให้กลับการเพียงนี้ไม่พักร้อนถึงเราดอก แต่สติปัญญาปินฮีซึ่งเป็นน้องของเราออกไปว่ากล่าวก็พอจะได้ ท่านไปว่ากล่าวกับปินฮีเถิด ตังสุยคำนับลาไปว่ากล่าวกับปินฮีเหมือนถ้อยคำที่พูดกับจูขิม ปีนฮีแจ้งความแล้วก็มาหาเจ้าเมืองกับตังสุย ตังสุยจึงแจ้งความกับเจ้าเมืองฬ่อว่า จูขิมป่วยอยู่ให้ปีนฮีผู้น้องมาแทน เจ้าเมืองฬ่อเห็นปินฮีมามีความยินดี เรียกให้นั่งที่สมควรแล้วปราศรัยว่า เราไม่รู้เลยว่าท่านมีสติปัญญาละเมินท่านเสีย มิได้เชิญท่านมาช่วยกันทำราชการ ต่อครั้งนี้เมืองเจ๋ยกทัพมา ตังสุยจึงแจ้งความแก่เราว่าท่านเป็นคนมีสติปัญญา เห็นจะออกไปอุบายพูดจากับเจ้าเมืองเจ๋ให้ยกทัพกลับไปโดยดีได้ จึงเชิญท่านมาหวังจะดับทุกข์ของเราและธุระของราษฎรทั้งปวงให้พันภัย ถ้าท่านไปเสร็จการแล้วเราจะแทนคุณท่านให้ถึงขนาด
ปินฮีจึงตอบว่า ซึ่งธุระราชการบ้านเมืองของท่านมีมาครั้งนี้ข้าพเจ้าจะอาสาไปพูดจาลองดูตามสติปัญญาสักครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองฬ่อจึงจัดแพรสีต่างๆ กับวัวแพะสุกรเป็ดไก่บรรทุกเกวียนให้คุมไปกับปินฮีเป็นของคำนับเจ้าเมืองเจ๋ ปินฮีก็คำนับลาขึ้นเกวียนไป ครั้นถึงตำบลบ้านมูนลำพบซุยเอียวกองทัพหน้าตั้งอยู่นั้น ปีนฮีจึงจัดแจงสิ่งของคำนับเข้าไปให้ซุยเอียว บอกความที่เจ้าเมืองฬ่อใช้มาทุกประการ ซุยเอียวแจ้งความแล้วก็พาปินฮีไปในค่ายแม่ทัพ ปินฮีครั้นมาถึงเจ้าเมืองเจ๋เข้าไปคำนับแล้วก็ยืนอยู่ที่สมควร
ฝ่ายเจ้าเมืองเจ๋เห็นซุยเอียวพาผู้หนึ่งเข้ามาคำนับจึงถามว่า ท่านมาแต่ไหน มีธุระอะไรหรือ ปินฮีจึงแจ้งความว่า เจ้าเมืองฬ่อรู้ว่าท่านยกทัพมา จึงใช้ให้ข้าพเจ้าคุมสิ่งของมาคำนับท่าน เจ้าเมืองเจ๋จึงถามว่า ซึ่งเรายกกองทัพมาครั้งนี้ เจ้าเมืองฬ่อและทหารทั้งปวงมีความสะดุ้งตกใจกลัวเราหรือ ปินฮีได้ฟังทำเป็นหัวเราะแล้วตอบว่า ซึ่งท่านยกทัพมานี้แต่อาณาประชาราษฎร์ทั้งปวงซึ่งหาสติปัญญาไม่นั้นก็ตกใจกลัวอยู่ แต่ท่านที่มีสติปัญญานั้นหามีความกลัวไม่ เจ้าเมืองเจ๋จึงว่า แต่ก่อนในเมืองฬ่อนี้ ขุนนางฝ่ายพลเรือนก็มีคนดีแต่ซีเป๊กคนเดียว ขุนนางฝ่ายทหารก็มีแต่จออวยเป็นคนมีฝีมือ และคนทั้งสองก็ตายแล้ว บัดนี้เมืองฬ่อก็บังเกิดข้าวแพงผู้คนก็อดอยาก ทำไมท่านจึงว่าผู้มีสติปัญญาไม่เกรงกลัวเราด้วยเหตุประการใด ปินฮีตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าบอกท่านว่าผู้มีสติปัญญาไม่กลัวนั้นด้วยเหตุเมื่อครั้งพระเจ้าบู๊อ๋องตั้งให้เกียงจูแหยซึ่งเป็นไทก๊งมาครองเมืองเจ๋ ตั้งเป๊กกิมมาครองเมืองฬ่อ แล้วรับสั่งพระเจ้าบู๊อ๋องให้ไทก๊งกับเป๊กกิมทำสัตย์สาบานหน้าพระที่นั่งว่า ให้ท่านทั้งสองช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดิน แล้วอย่าให้คิดอ่านทำร้ายแก่กันให้ได้ความยากแค้นเดือดร้อนตราบเท่าชั่วลูกและหลานสืบไป และถ้อยคำไทก๊งเป๊กกิมซึ่งสาบานกันนั้นก็ยังจดหมายเหตุมีอยู่สำหรับแผ่นดินจนทุกวันนี้ และเมื่อครั้งเจ๋ฮวนก๋งเป็นเมืองเอกนั้น ก็ได้ประชุมหัวเมืองทั้งปวงถึงเก้าครั้ง และพระเจ้าเมืองหลวงก็ให้เจ๋ฮวนก๋งกับฬ่อจงก๋งทำสัตย์สาบานกันที่ตำบลบ้านป่าอีกครั้ง และซึ่งท่านได้ขึ้นครองเมืองเจ๋ถึงเก้าปีแล้ว ขุนนางและราษฎรชาวเมืองฬ่อรู้ก็ชวนกันยินดีบ่นอยู่ว่าเมื่อไรท่านจะได้เป็นเมืองเอกเหมือนเจ๋ฮวนก๋ง หัวเมืองทั้งปวงจะได้พึ่งท่านให้อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งท่านยกกองทัพมานี้ข้าพเจ้าว่าคนที่มีสติปัญญาคิดเห็นความแต่ก่อนมาจึงมิได้สะดุ้งตกใจกลัว แม้นท่านจะทิ้งความโบราณเสียจะกลับมาทำร้ายแก่เมืองฬ่อให้ได้ความเดือดร้อนนั้น ใจข้าพเจ้าก็ยังคิดเห็นว่าท่านหากระทำดังนั้นไม่ ตัวข้าพเจ้าก็มิได้สะดุ้งตกใจกลัว
เจ๋เฮาก๋งได้ฟังปินฮีว่ากล่าวดังนั้น ยิ้มแล้วจึงว่า ท่านจงเร่งกลับไปบอกกับเจ้าเมืองฬ่อว่า เรามิได้คิดทำร้ายผู้ใด จะยกกองทัพกลับไปเมืองแล้วก็จะคิดไปมารักใคร่กันให้เหมือนท่านแต่ก่อน ปินฮีได้ฟังดังนั้นก็ยินดี คำนับลากลับมาเมือง ครั้นรุ่งเช้าเจ๋เฮาก๋งก็ให้เลิกทัพกลับไปเมือง
ปินฮีจึงเอาเนื้อความมาแจ้งแก่เจ้าเมืองฬ่อว่า ข้าพเจ้าออกไปพูดจากับเจ๋เฮาก๋ง เจ๋เฮาก๋งว่ามิได้คิดทำร้ายแก่ท่าน จะยกกลับไปเมืองแล้วจะให้ไปมาเป็นทางไมตรีเหมือนแต่ก่อน ฝ่ายจงสุยขุนนางผู้หนึ่งได้ฟังปินฮีแจ้งความแก่เจ้าเมืองฬ่อว่าเจ้าเมืองเจ๋มีความประมาทเมืองเราจึงยกมาทั้งนี้ หากว่าปินฮีไปพูดจาถึงใจจึงมีความละอายกลับไป ถ้าหาไม่ก็จะทำร้ายเมืองเราให้ได้ความเดือดร้อน ขอท่านจงแต่งขุนนางไปขอกองทัพเมืองฌ้อให้ยกไปตีเมืองเจ๋เสียได้ เราจึงจะมีความสุขไปหลายปี เจ้าเมืองฬ่อได้ฟังจงสุยว่าก็เห็นชอบ จึงให้ก๋งจูซุยกับจงสุยสองนายคุมเครื่องบรรณาการไปถวายเจ้าเมืองฌ้อตามถ้อยคำจงสุย ก๋งจูซุยกับจงสุยครั้นได้เครื่องบรรณาการพร้อมแล้วก็พากันรีบไป ถึงเมืองฌ้อจึงเข้าไปหาเซงติดฉินซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ คำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว จึงว่าท่านช่วยนำเราเอาเครื่องบรรณาการทั้งนี้เข้าไปถวายฌ้อเซียงอ๋องด้วย
เซงติดฉินได้ฟังดังนั้นก็พาสองนายและเครื่องบรรณาการเข้าไปคำนับฌ้อเซียงอ๋องแล้วจงสุยจึงทูลว่า เจ้าเมืองฬ่อให้ข้าพเจ้าคุมเครื่องบรรณาการมาถวาย ด้วยบัดนี้เจ้าเมืองเจ๋ละความสัตย์แต่ก่อนเสีย ยกกองทัพมากระทำเบียดเบียนเมืองฬ่อให้ได้ความเดือดร้อน เจ้าเมืองฬ่อไม่มีที่พึ่ง จะขอเอาบุญบารมีไต้อ๋องให้ยกกองทัพไปช่วยตีเมืองเจ๋ และเมืองฬ่อจะเป็นทัพหน้าไปทำกับเมืองเจ๋ให้เห็นฝีมือบ้าง
ฌ้อเซียงอ๋องทราบความแล้วจึงว่า ก๋งจูเจียวนี้เป็นคนดื้อดึง เราให้หาโดยดีก็ไม่มา เจ้าเมืองซองเล่าก็องอาจต่อสู้กับเรา ครั้งนี้เราจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองทั้งสองให้จงได้ ท่านจงเร่งไปบอกกับเจ้าเมืองฬ่อเถิด ก๋งจูซุย จงสุย ได้ฟังดังนั้นก็ยินดี คำนับลาพากันกลับไปถึงเมืองฬ่อก็เอาความไปแจ้งกับเจ้าเมืองฬ่อตามคำฌ้อเซียงอ๋องทุกประการ
ฝ่ายฌ้อเซียงอ๋องจึงสั่งให้เซงติดฉินเป็นแม่ทัพ ให้ซินกองซกเหาเป็นปลัดทัพ ฌ้อเซียงอ๋องเป็นทัพหนุน ทหารเดินเท้าและทหารเกวียน และเกวียนบรรทุกลำเลียงเป็นอันมาก ได้ฤกษ์ดีก็ให้ตีกลองใหญ่และจุดประทัดเป็นสำคัญ ฌ้อเซียงอ๋องก็ขึ้นรถยกทัพออกจากเมืองฌ้อรีบไป ครั้นมาถึงเมืองเหียงก๊กซึ่งเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองเจ๋จึงให้เซงติดฉินคุมทหารเข้าตีเมืองเหียงก๊ก ฝ่ายเจ้าเมืองเหียงก๊กและขุนนางในเมืองไม่ทันรู้ตัวก็พากันแตกหนีทิ้งเมืองเสีย ฌ้อเซียงอ๋องครั้นได้เมืองเหียงก๊กแล้ว จึงให้ก๋งจูหยงน้องเจ้าเมืองเจ๋ซึ่งหนีไปอยู่ด้วยนั้นให้อยู่รักษาเมือง ให้ยงบู๊สินเป็นขุนนางพลเรือนคุมทหารพันหนึ่งอยู่ด้วย แล้วจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า อันเมืองเจ๋กับเมืองซองก็มีความผิดเหมือนกัน แต่เราคิดแค้นเคืองเมืองซองมากกว่าเมืองเจ๋ จำเราจะไปตีเมืองซองก่อน ได้เมืองซองแล้วจึงจะกลับมาตีเมืองเจ๋ต่อภายหลัง ฌ้อเซียงอ๋องก็สั่งให้เซงติดฉินคุมทหารรีบยกไปตีเมืองซอง
เซงติดฉินจึงทูลว่า ข้าพเจ้าก็เป็นคนชราอาสาท่านทำการตีเมืองเหียงก๊กก็ได้เมืองหนึ่งแล้ว ซึ่งท่านจะให้ไปตีเมืองซองอีก ขอให้จูหยงคุมทหารไปตีเมืองซองเถิด ฌ้อเซียงอ๋องจึงว่า ซึ่งท่านจะขอตัวจะให้แต่จูหยงคุมทหารไปตีเมืองซองนั้น อันจูหยงนี้เราก็ยังไม่เห็นฝีมือเป็นที่ไว้ใจเหมือนท่าน เกลือกไปจะมิตีได้โดยเร็ว เมืองซองก็อยู่ใกล้กับเมืองจิ๋น ถ้าเมืองจิ๋นยกมาช่วยจะต้องทำการเป็นสองธุระจะเสียท่วงทีไป
เซงติดฉินจึงทูลว่า อันจูหยงนี้เป็นคนมีสติปัญญา รู้รอบคอบในการศึก ขอให้จูหยงจัดแจงทหารออกไปลองฝีมือหน้าที่นั่งก็จะได้เห็นฝีมือจูหยง ฌ้อเซียงอ๋องจึงให้จูหยงคุมทหารออกไปลองฝีมือ จูหยงก็คำนับลาไปให้ทหารเดินกระบวนม้าและ ทหารเดินเท้า ตั้งขบวนรบกันด้วยอาวุธต่างๆ ตามตำราศึกแต่เช้าจนเย็น ที่ผู้ใดกระทำผิดไม่ต้องตามบังคับนั้นจูหยงให้ลงโทษตีคนละสามสิบที ในเวลานั้นทหารต้องโทษถึงเจ็ดคน ฌ้อเซียงอ๋องดูจูหยงจัดแจงทหารเข้าออกรบสู้ตามกระบวนการรบก็ถูกต้องตามตำราศึก เห็นว่าจูหยงควรจะเป็นแม่ทัพเอาชัยชนะข้าศึกได้จึงบอกเซงติดฉินว่า จูหยงนี้เป็นคนรู้ในการศึกดีจริงต้องกับคำท่านว่า เซงติดฉินจึงทูลว่า อันจูหยงนี้ใช่จะดีแต่การศึกนั้นหามิได้ ถึงราชการบ้านเมืองก็ว่าได้ทุกสิ่ง ตัวข้าพเจ้านี้เป็นข้าทำราชการมาด้วยท่านก็ช้านาน ร่างกายก็ชราทั้งโรคก็เบียดเบียนกำลังพลังก็อิดโรยไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว จะขอลาท่านกลับไปบ้านรักษาตัวให้หายก่อนจึงจะทำราชการต่อไป
ฌ้อเซียงอ๋องจึงว่า ซึ่งท่านจะออกจากที่ไปรักษาตัวอยู่บ้านก็ตามเถิด เซงติดฉินจึงเอาตราสำหรับที่ขุนนางส่งให้ฌ้อเซียงอ๋องแล้วออกไปพาสมัครพรรคพวกของตัวกลับไปบ้าน ในขณะนั้นฌ้อเซียงอ๋องจึงตั้งจูหยงขึ้นเป็นที่เลงอินขุนนางผู้ใหญ่แม่ทัพ จึงมอบตราสำหรับที่กับเครื่องยศให้ตามบรรดาศักดิ์ ฝ่ายขุนนางและชาวบ้านในเมืองฌ้อครั้นรู้ว่าเซงติดฉินให้ยกจูหยงเป็นขุนนางผู้ใหญ่แทนตัว ตัวนั้นออกจากที่ขุนนางกลับมาบ้าน ต่างคนต่างก็ดีใจ บ้างก็ได้ข้าวของชวนกันไปคำนับแล้วว่า ทีนี้ท่านไม่ได้ทำราชการศึกสืบไปแล้วจะได้ความสุขตามอัธยาศัยของท่านโดยสบาย ขอให้ท่านมีอายุจำเริญยืดยาวไปเถิด เซงติดฉินเห็นขุนนางและชาวบ้านมาคำนับให้พรก็ลุกขึ้นขอบใจและให้แต่งโต๊ะและสุรามาเลี้ยง ในขณะเมื่อคนทั้งปวงกินโต๊ะอยู่ ยังมีเด็กบุตรขุนนางคนหนึ่งอายุสิบสามขวบ เปิดประตูตึกเดินตรงเข้าไปนั่งกินโต๊ะด้วยผู้ใหญ่ทำกิริยาองอาจ เซงติดฉินแลเห็นเด็กเข้ามานั่งกินโต๊ะด้วยคนทั้งปวงดังนั้นก็คิดประหลาดใจ จึงถามเด็กว่า บรรดาคนทั้งปวงเข้ามากินอาหารโต๊ะนี้ ต้องมาคำนับเราก่อน แล้วให้พรต่างๆ จึงกินโต๊ะ เหตุไรตัวเป็นเด็กเข้ามาแล้วมิได้คำนับเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ ดื้อดึงเข้ากินโต๊ะตามอำเภอใจดังนี้ ตัวคิดประการใด
เด็กนั้นจึงตอบว่า ซึ่งคนทั้งปวงมาสรรเสริญให้พรท่านว่าท่านพาจูหยงเข้าไปถวายว่าเป็นคนดี ฌ้อเซียงอ๋องตั้งแต่งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่แม่ทัพแทนท่านนั้น ข้าพเจ้ายังหาเห็นด้วยไม่ ด้วยจูหยงนี้รู้แต่การศึกที่จะเข้าต่อตีฝ่ายเดียว การจะเสียทีล่าทัพถอยทัพยังหาเข้าใจไม่ แม้นยกทัพไปรบครั้งนี้เห็นจะพาฌ้อเซียงอ๋องเสียการเป็นมั่นคง ถ้าบุญตัวของจูหยงยกกองทัพไปทำการศึกได้ชัยชนะเหมือนท่านสรรเสริญไว้นั้น ข้าพเจ้าจึงจะกลับมาคำนับท่านเมื่อภายหลัง ท่านอย่าวิตกเลย ว่าดังนั้นแล้วลุกขึ้นยืนในทันใด หัวเราะแล้วเดินออกไปจากตึก ขุนนางและคนทั้งปวงซึ่งอยู่ที่นั้นได้ยินเด็กว่ากล่าวตอบโต้ ต่างคนก็พูดว่าเด็กคนนี้พูดจาไม่รู้จักผิดและชอบ เห็นจะเป็นคนเสียจริต จะถือเอาถ้อยคำเป็นผิดมิได้ ครั้นกินโต๊ะแล้วต่างคนก็ต่างคำนับลาเซงติดฉินไปบ้าน
ฝ่ายฌ้อเซียงอ๋องจึงเกณฑ์กองทัพเมืองกี๋ เมืองชัว เมืองเตง เมืองฮี บรรจบกันกับทหารเมืองฌ้อเป็นอันมาก ให้จูหยงเป็นแม่ทัพรีบยกไปเมืองซอง ให้ทหารตั้งค่ายรายล้อมเมืองซองไว้จะดูท่วงทีเมืองซองก่อน
ฝ่ายซองเซียงก๋งครั้นเห็นกองทัพมาล้อมเมืองไว้นั้น ก็มิได้เกณฑ์ผู้ใดออกไปต่อสู้ ให้แต่ทหารจัดแจงเครื่องอาวุธขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้จะให้คนไปบอกเจ้าเมืองจิ้นให้ยกกองทัพมาช่วย จึงจะออกตีเมืองภายหลัง ครั้นคิดแล้วจึงเขียนหนังสือบอกข้อราชการไปถึงเมืองจิ้น ให้กองซุนกู๋ไปแจ้งราชการ แล้วให้ทหารเอาสาแหรกหย่อนตัวกองซุนกู๋กับทหารห้าคนลงมาจากกำแพงเมือง กองซุนกู๋ครั้นออกจากกำแพงเมืองได้แล้วก็พาทหารห้าคนลัดหลีกกองทัพซึ่งล้อมอยู่นั้นออกไปได้ ครั้นมาถึงเมืองจิ้นจึงเข้าไปคำนับส่งหนังสือแจ้งข้อราชการแก่จิ้นบุนก๋งให้ทราบเรื่อง จิ้นบุนก๋งรู้ในหนังสือแล้วจึงปรึกษาขุนนางว่า บัดนี้เมืองซองมีหนังสือมาถึงเราว่าเมืองฌ้อยกกองทัพมาล้อมเมืองไว้ จะให้เราไปช่วย ขุนนางทั้งปวงผู้ใดจะเห็นประการใด
เซียนเฉียซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายทหารจึงว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าฌ้อเซียงอ๋องตั้งตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน ข่มเหงยํ่ายีหัวเมืองทั้งปวงให้กลัวเกรงสิทธิ์ขาดขึ้นแก่ตัว มิได้เกรงพระเจ้าจิวเซียงอ๋องซึ่งเป็นใหญ่ แต่ฌ้อเซียงอ๋องทำดังนี้มาหลายปีแล้ว ซึ่งฌ้อเซียงอ๋องคิดอ่านทำการทั้งนี้ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าเหมือนเทพยดาจะแกล้งให้ท่านไปช่วยดับร้อนหัวเมืองทั้งปวงให้อยู่เย็นเป็นสุข แล้วนานไปท่านก็จะได้เป็นใหญ่กว่าหัวเมืองทั้งปวง ซึ่งการจะคิดอ่านช่วยเมืองซองนั้นเห็นยากอยู่ ด้วยเจ้าเมืองฌ้อกับท่านก็ได้มีคุณกันไว้แต่หลัง ครั้นท่านจะเกณฑ์กองทัพไปช่วยเมืองซองโดยสุจริตนั้น ก็เหมือนท่านให้ไปรบเมืองฌ้อหาควรไม่ ขอท่านดำริดูให้ดีก่อน
จิ้นบุนก๋งได้ฟังเซียนเฉียว่าดังนั้น มิได้ตอบประการใดจึงปรึกษาเฮาเอียนว่าท่านจะเห็นประการใดเล่า เฮาเอียนจึงตอบว่า ซึ่งเซียนเฉียว่ากล่าวดังนี้ก็ควรอยู่ แต่ซึ่งจะช่วยเมืองซองนั้นข้าพเจ้าคิดเห็นว่า เจ้าเมืองฌ้อไปตีเมืองโอยและเมืองโจ๋ได้ใหม่ๆ เจ้าเมืองโอยก็ได้ให้บุตรหญิงไปเป็นภรรยาเจ้าเมืองฌ้อ เป็นที่รักใคร่สนิทกันอยู่ แล้วเมืองโอยกับเมืองโจ๋นั้นกับเราก็เป็นอริกันมาแต่ก่อน ถ้าเรายกไปตีเมืองโอยและเมืองโจ๋ เจ้าเมืองฌ้อรู้ก็เห็นจะหาทิ้งเมืองทั้งสองเสียไม่ ก็จะเลิกกองทัพไปช่วยเมืองโอยและเมืองโจ๋ ก็อุปมาเหมือนเรามาช่วยรบข้าศึกซึ่งล้อมเมืองซอง จิ้นบุนก๋งได้ฟังเฮาเอียนว่าเป็นอุบายต้องที จึงตอบว่าท่านว่ากล่าวนี้เหมือนใจเราคิด แล้วจึงสั่งกองซุนกู๋ว่า ท่านเร่งกลับไปบอกเจ้าเมืองซองให้เร่งรักษาเมืองไว้เราจะยกไปช่วย กองซุนกู๋ได้ฟังดังนั้นก็คำนับลารีบไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองซอง
ในขณะนั้นจิ้นบุนก๋งคิดวิตกที่จะไปตีเมืองทั้งสอง จึงปรึกษาเตียวสวยว่า ทำประการใดเราจะได้ทหารมาให้มากจะได้ยกไปตีเอาเมืองทั้งสอง เตียวสวยจึงตอบว่า ท่านวิตกไม่ต้องการจะเอาทหารไปทำไม เมื่อครั้งจิ้นบูก๋งซึ่งเป็นปู่ของท่าน มีทหารแต่สองหมื่นยังรักษาเมืองและทำการศึกได้ เมื่อครั้งจิ้นเฮียนก๋งบิดาท่านเล่า ก็มีทหารแต่สี่หมื่นยังยกไปตีเอาเมืองเฆกได้ บัดนี้เราท่านก็มีทหารอยู่ถึงหกหมื่นเศษ แล้วยังจะวิตกว่าน้อยไปไยเล่า จงจัดแจงแม่ทัพไปตีเถิดก็จะทำการศึกสำเร็จเหมือนใจท่าน อันธรรมดาผู้ที่จะเป็นแม่ทัพและนายกอง ถึงจะมีกำลังมากสักเท่าใดก็ดี ก็หาเหมือนผู้มีสติปัญญาไม่ ถ้าผู้มีสติปัญญาเล่าแม้ไม่ได้เล่าเรียนชำนิชำนาญก็ไม่ทำการสำเร็จ ผู้มีสติปัญญาได้เล่าเรียนเคยกระทำชำนิชำนาญ จึงจะว่ากล่าวผู้คนสิทธิ์ขาดเอาชนะได้ ถ้าท่านจะต้องการคนดีดังว่านี้ ข้าพเจ้าได้เห็นไว้คนหนึ่ง ชื่อเซ็กก๊กอายุได้ห้าสิบเศษเป็นขุนนางผู้น้อยอยู่ในเมืองท่าน เป็นคนมีสติปัญญาเล่าเรียนรู้ชำนิชำนาญลึกซึ้ง ท่านจะต้องการแม่ทัพแล้ว จงหาเซ็กก๊กมาชุบเลี้ยงขึ้นให้เป็นใหญ่ก็จะได้ราชการเป็นมั่นคง
จิ้นบุนก๋งได้แจ้งความดังนั้นก็ยินดี จึงให้หาเซ็กก๊กมาแล้วจึงว่า เราคิดจะไปตีเมืองโอยและเมืองโจ๋ครั้งนี้จะหาผู้ใดเป็นแม่ทัพช่วยว่ากล่าวราชการให้สิทธิ์ขาดยังมิได้ เราเห็นแต่ท่าน ถ้าจะช่วยจัดแจงการในที่จะทำศึกก็จะได้ไม่ขัดสน ท่านจงรับธุระเราคุมทหารไปทำการสงครามครั้งนี้ให้สำเร็จจะได้หรือมิได้ เซ็กก๊กคำนับแล้วจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นแต่ขุนนางผู้น้อย ซึ่งจะคุมทหารของท่านไปทำศึกตีบ้านเมืองดังว่านั้นเห็นไม่ได้ ท่านจงจัดแจงเอาขุนนางที่เป็นผู้ใหญ่ควรที่จะเป็นแม่ทัพจึงจะทำการของท่านสำเร็จได้ จิ้นบุนก๋งจึงว่า ท่านเป็นคนมีสติปัญญานั้นเรารู้อยู่แล้วอย่าถ่อมตัวเลย บรรดาขุนนางของเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อยมีมากก็จริงอยู่ เราชุบเลี้ยงด้วยเขามีความชอบมาแต่หลัง อันจะหาผู้เป็นแม่ทัพสิทธิ์ขาดได้นั้นยากนัก เราเห็นแต่ท่านผู้เดียวควรจะเป็นแม่ทัพได้จึงหาตัวมาว่ากล่าวทั้งนี้ ท่านอย่าบิดพลิ้วไปเลย เซ็กก๊กแต่ว่ากล่าวอ้อนวอนขอตัวกับจิ้นบุนก๋งหลายครั้งแล้ว เห็นไม่เชื่อฟังก็จนใจ จึงรับว่า สติปัญญาข้าพเจ้าน้อย เมื่อท่านขืนให้ทำแล้วก็ขัดมิได้ด้วยเป็นข้าของท่าน จะรับอาสาทำการสนองคุณท่านลองดูทีหนึ่ง
จิ้นบุนก๋งได้ยินเซ็กก๊กรับคำแล้วก็ดีใจจึงว่า ตั้งแต่นี้ไปบรรดาทหารของเราผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ดี เราอนุญาตให้สิทธิ์ขาดสุดแต่ท่านจะบังคับตามใจเถิด แล้วจิ้นบุนก๋งจึงประกาศสั่งขุนนางกับทหารทั้งปวงให้อยู่ในบังคับบัญชาเซ็กก๊กทุกประการ ถ้าผู้ใดขัดแข็งไม่ฟังเราจะให้ตัดศีรษะเสีย เซ็กก๊กได้ยินจิ้นบุนก๋งสั่งทหารให้สิทธิ์ขาดก็เต็มใจทำราชการ จึงว่ากับจิ้นบุนก๋งว่า ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าไปเป็นแม่ทัพทำศึกนั้นเป็นการถึงชิวิตและข้าพเจ้าทั้งปวงเล่าก็ยังไม่เคยเห็นใจรู้ชั้นเชิงกัน ข้าพเจ้าจะขอเอาทหารทั้งปวงไปซักซ้อมจัดแจงก่อนจึงจะยกทัพไปได้ จิ้นบุนก๋งเห็นชอบด้วยจึงว่า ท่านจะจัดแจงประการใดก็สุดแต่ใจท่านเถิด
เซ็กก๊กก็คำนับลาจิ้นบุนก๋งออกมา อยู่วันหนึ่งเซ็กก๊กจึงให้หาขุนนางนายทหารและทหารเลวมาพร้อมแล้ว ก็พาไปตำบลภิหลีสนามนอกเมือง ปักธงสำคัญให้ทหารถืออาวุธต่างๆ ตั้งเป็นกองหน้าหลังน้อยใหญ่ เดินวิ่งเข้าออกรบตามเพลง ถืออาวุธอย่างกระบวนศึก แล้วตีกลองและม้าล่อโบกธง สั่งสอนทีหนีไล่ให้รู้ทั่วกัน ถ้าผู้ใดกระทำไม่ถูกต้องตามบังคับถึงสามครั้งแล้ว จึงให้ลงโทษตีตามอาญา แต่เซ็กก๊กหัดซ้อมทหารได้สามวันชำนิชำนาญแล้ว ครั้นเพลาเย็นจวนเลิก บังเกิดพายุใหญ่พัดมาถูกต้องธงสำคัญที่ปักอยู่นั้นหักสะบั้นลง ขุนนางและทหารทั้งปวงแลเห็นประหลาด ต่างคนต่างแลดูตากันตกตะลึงอยู่ เซ็กก๊กจึงว่า ซึ่งธงสำคัญหักลงมาทั้งนี้ ท่านทั้งปวงอย่าวิตกเลย ใช่จะให้โทษร้ายแก่ท่านผู้ใดหามิได้ อันจิ้นบุนก๋งจะยกทัพไปครั้งนี้ คงจะชนะได้บ้านเมืองสมความคิดท่าน เทพยดาจึงยังเหตุให้เราประจักษ์ว่าจะมิได้เป็นแม่ทัพทำราชการศึกกับท่านยืดยาวไป ทหารทั้งปวงได้ฟังเซ็กก๊กว่าดังนั้น ก็มีความสงสัยต่างคนก็เข้ามาคำนับไต่ถามต่างๆ เซ็กก๊กก็มิได้ตอบประการใดลุกยืนขึ้นหัวเราะแล้วก็พาทหารทั้งปวงกลับเข้ามาเมือง
ในขณะนั้นพระเจ้าจิวเซียงอ๋องเสวยราชย์ได้สิบเก้าปี ครั้นเพลารุ่งเช้า ณ วันเดือนสามขึ้นปีใหม่ เซ็กก๊กจึงเข้าไปบอกจิ้นบุนก๋งว่าข้าพเจ้าไปหัดซ้อมทหารก็ดีพร้อมกันแล้ว ท่านจะยกทัพไปวันใดก็ตามแต่ใจท่านเถิด จิ้นบุนก๋งแจ้งความแล้วก็ยินดี จึงให้โหรหาฤกษ์ได้กำหนดวันดี จึงให้เซ็กก๊กจัดแจงกองทัพเร่งไปในเจ็ดวันนี้ เซ็กก๊กจึงคิดอ่านจัดแจงทหารที่สันทัดในการเกาทัณฑ์ให้ขี่ม้า ที่ชำนาญในการง้าวและทวนนั้นขี่เกวียน ที่รู้เพลงโล่เขนนั้นเกณฑ์ให้เดินเท้าและทำค่าย และจัดเกวียนบรรทุกเสบียงเป็นอันมากพร้อมแล้ว จึงให้งุยฉิวเป็นกองหน้า ให้ซับจิ๋นเป็นปลัดทัพ แล้วเกณฑ์เฮาเอียนเป็นปีกขวา
เฮาเอียนจึงว่า ข้าพเจ้าจะให้เฮามัวผู้พี่เป็นนายกอง ข้าพเจ้าเป็นแต่ปลัด เซ็กก๊กก็เห็นด้วย แล้วให้ลอนกี๋เป็นปีกซ้าย ให้เสนสิวเป็นปลัดกอง จัดเฮากี๋หม่อซึ่งเป็นคนผู้ใหญ่ยั่งยืนให้ถือธงสำหรับทัพ ให้เตียวสวยนั้นเป็นผู้ถือกฎหมายสิทธิ์ขาด ครั้นเซ็กก๊กแม่ทัพจัดแจงทหารเสร็จแล้ว รุ่งขึ้นเป็นวันฤกษ์ดีจิ้นบุนก๋งจึงให้เซ็กก๊กแม่ทัพยกทหารออกจากเมือง แล้วจิ้นบุนก๋งก็ขึ้นขี่เกวียนพาขุนนางพลเรือนตามมาด้วย
ครั้นเซ็กก๊กยกกองทัพมาถึงปลายแดนเมืองโอยแล้วหยุดอยู่ จึงเขียนหนังสือใจความว่า เราผู้เป็นแม่ทัพเจ้าเมืองจิ้น ยกมาจะไปตีเมืองโจ๋จะขอทางเดินไปตามหน้าเมืองโอย เจ้าเมืองโอยจะยอมให้เราไปโดยดีหรือมิให้ประการใด ครั้นเขียนแล้วก็ส่งหนังสือให้ขุนนางรีบไป ขุนนางรับหนังสือแล้วขึ้นม้าพาทหารมาถึงเมืองโอย จึงเอาหนังสือไปให้ไตหูมนต้าน ณ เมืองโอย ไตหูมนต้านรู้หนังสือแล้วจึงเข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองโอย เซียงก๋งก็รับหนังสือมาดูแล้วว่า ซึ่งกองทัพเมืองจิ้นยกมาจะไปตีเมืองโจ๋ จะขอเดินไปตามทางเมืองเรานั้น เมืองโจ๋ก็เป็นเมืองขึ้นกับเมืองฌ้อ เราเกรงฌ้อเซียงอ๋องอยู่ไม่ยอมให้ไป
ไตหูมนต้านตอบว่า ซึ่งท่านจะไม่ให้จิ้นบุนก๋งไปนั้น ข้าพเจ้าเห็นจะขัดเคืองกัน เมื่อบิดาท่านเป็นเจ้าเมืองอยู่แต่ก่อน ต๋งนีซึ่งเป็นจิ้นบุนก๋งตกยาก หนีมาถึงเมืองเราครั้งหนึ่ง บิดาท่านก็มิได้ต้อนรับ จิ้นบุนก๋งก็มีความน้อยใจ บัดนี้กองทัพเมืองจิ้นจะขอทางเดินไปเมืองโจ๋โดยดีนั้น จงให้เขาไปเถิดจึงจะชอบ เจ้าเมืองโอยก็ไม่ยอม ไตหูมนต้านจึงว่า ถ้าท่านมิยอมโดยดี ข้าพเจ้าก็เห็นว่าจิ้นบุนก๋งโกรธจะยกเข้าตีเมืองเราก่อน เซียงก๋งจึงว่า ซึ่งจิ้นบุนก๋งจะโกรธเรายกมาทำประการใดนั้นเราก็ไม่กลัว ด้วยฌ้อเซียงอ๋องเป็นที่พึ่งของเราคงยกมาช่วยเราจะวิตกอะไร ท่านจงไปบอกผู้ถือหนังสือเถิดว่าเรามิให้กองทัพเมืองจิ้นไป ด้วยเรากลัวฌ้อเซียงอ๋องซึ่งเป็นเจ้านายของเราอยู่ ไตหูมนต้านเห็นเจ้าเมืองว่าขัดแข็งดังนั้นจึงออกมาบอกผู้ถือหนังสือตามถ้อยคำเซียงก๋งทุกประการ ผู้ถือหนังสือก็รีบกลับไปบอกแม่ทัพเซ็กก๊ก จึงไปบอกจิ้นบุนก๋งตามถ้อยคำเมืองโอย
จิ้นบุนก๋งได้ยินดังนั้นก็สรรเสริญปัญญาเซ็กก๊กว่าท่านคิดอ่านคาดการหมายการถูกดีจริง แล้วว่าท่านจะคิดต่อไปประการใดเล่า เซ็กก๊กจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอให้ท่านยกลัดอ้อมข้ามแม่นํ้าอุยโห ไปตีเอาเมืองเหงาลก ซึ่งเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองโอยก่อน จิ้นบุนก๋งก็รับคำว่าเราจะยกไปในเพลาวันนี้ งุยฉิวซึ่งเป็นแม่กองหน้าได้ยินดังนั้นจึงว่ากับเซ็กก๊กว่า ท่านจะให้จิ้นบุนก๋งไปตีเมืองเหงาลกนั้น ข้าพเจ้าจะขอไปทำแทนจิ้นบุนก๋ง เซ็กก๊กก็ยอมให้งุยฉิวไปด้วย จิ้นบุนก๋งครั้นจัดแจงทหารพร้อมแล้ว ให้งุยฉิวเป็นกองหน้า ก็ลัดทางข้ามแม่นํ้าอุยโหมาใกล้เมืองเหงาลก จิ้นบุนก๋งก็ตั้งอยู่ที่ฝั่งแม่นํ้านั้น ให้แต่งุยฉิวกับเซียนเฉียคุมทหารไปคิดอ่านตีเอาเมืองให้จงได้ งุยฉิวกับเซียนเฉียรับคำจิ้นบุนก๋งแล้วก็พาทหารยกมา ครั้นเพลาคํ่าจึงให้เอาธงใหญ่น้อยเป็นอันมากให้ทหารลอบเอาไปปักไว้บนเนินเขารอบเมือง
ครั้นเพลารุ่งเช้าชาวเมืองเหงาลกแลไปเห็นธงสีรอบเมืองก็ตกใจว่าข้าศึกยกมาเป็นอันมาก ต่างอุ้มบุตรพาภรรยาขนข้าวของหนีออกจากเมือง เจ้าเมืองเหงาลกกับขุนนางมาห้ามปรามชาวเมืองก็มิฟังต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด เจ้าเมืองเหงาลกเห็นดังนั้นก็เสียใจ ครั้นจะอยู่ต่อสู้ก็น้อยตัวจึงพาบุตรภรรยาขึ้นเกวียนรีบไปให้พ้นภัย งุยฉิวกับเซียนเฉียครั้นเห็นได้ท่วงทีก็พาทหารกรูกันเข้าเมืองได้โดยง่าย จึงเขียนหนังสือให้ทหารไปบอกจิ้นบุนก๋ง จิ้นบุนก๋งแจ้งความแล้วก็ยินดี จึงให้คับโปเอี๋ยงคุมทหารไปอยู่รักษาเมืองเหงาลก แล้วให้ตั้งเกลี้ยกล่อมราษฎรชาวเมืองนั้นให้กลับมาอยู่เมืองเป็นปกติแล้ว จิ้นบุนก๋งก็ให้หางุยฉิวกับเซียนเฉียมาถึงแล้วก็ยกกลับมาค่ายเหียมเบ๊กที่เซ็กก๊กอยู่ รู้ว่าเซ็กก๊กป่วยก็มาเยี่ยมจึงบอกข้อราชการซึ่งตีเมืองเหงาลกได้นั้นให้เซ็กก๊กฟังทุกประการ
เซ็กก๊กแจ้งความแล้วจึงว่า อันความเจ็บของข้าพเจ้าครั้งนี้เห็นเป็นโรคปัจจุบันเหลือที่จะทนทาน เมื่อครั้งข้าพเจ้าพาทหารไปหัดที่เมืองจิ้น บังเกิดพายุพัดธงใหญ่หักลง ข้าพเจ้ารู้ตัวอยู่ว่าข้าพเจ้าจะหายืดยาวไม่ ท่านจงคอยอยู่จงดีเถิด ข้าพเจ้าจะลาท่านตายในวันนี้แล้ว ถ้าท่านอยู่ภายหลังจะทำการศึกสืบไป ขอท่านจงคิดอ่านเอากำลังเมืองเจ๋และเมืองจิ๋นเข้าด้วยให้จงได้ จึงจะเบามือท่าน เซ็กก๊กสั่งความกับจิ้นบุนก๋งแล้ว โรคกำเริบหนักขึ้นก็ขาดใจตายในขณะนั้น จิ้นบุนก๋งจึงให้เอาศพเซ็กก๊กผนึกแล้วให้ทหารรีบเอาไปส่งให้ภรรยาเซ็กก๊กที่บ้าน
อยู่มาวันหนึ่งจิ้นบุนก๋งคิดถึงคำเซ็กก๊กซึ่งสั่งไว้นั้น จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งไปถึงเจ้าเมืองเจ๋เป็นใจความว่า เมื่อครั้งจิ้นเฮียนก๋งบิดาเรายังมีชีวิตอยู่แต่ก่อนนั้น เมืองเรากับเมืองเจ๋ก็เป็นมิตรไมตรีอาศัยกันมาทุกครั้ง บัดนี้เจ้าเมืองฌ้อตั้งตัวเป็นเจ้ายกทัพไปรบหัวเมืองทั้งปวงได้ความเดือดร้อนเป็นอันมาก เราคิดถึงพระเดชพระคุณพระเจ้าจิวเซียงอ๋องหวังจะช่วยดับร้อนหัวเมืองให้เป็นสุข ถ้านานไปข้างหน้าขัดสนประการใดจะอาศัยเมืองเจ๋ อย่าให้เจ้าเมืองเจ๋เห็นกับเจ้าเมืองฌ้อผู้กระทำความผิดต่อแผ่นดินเลย จงช่วยกันทำนุบำรุงแผ่นดินพระเจ้าจิวเซียงอ๋องดีกว่า ครั้นเขียนหนังสือแล้วเข้าผนึกส่งให้ขุนนางผู้มีสติปัญญารีบไป ขุนนางผู้นั้นได้หนังสือแล้วก็คำนับลาไปตามจิ้นบุนก๋งสั่ง
ขณะนั้นเจ๋เฮาก๋งเป็นโรคปัจจุบันตาย ขุนนางทั้งปวงช่วยกันเอาศพไปฝังไว้ที่สมควร แล้วจึงปรึกษากันตั้งก๋งจูผวน ซึ่งเป็นน้องเจ้าเมืองผู้ตายขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทน ชื่อว่าเจ๋เจี๋ยวก๋ง เจ๋เจี๋ยวก๋งครั้นได้เป็นเจ้าเมืองแทนพี่ชายก็มีความวิตก ด้วยเกรงเมืองฌ้อ จะคิดใคร่แต่งคนไปหาเจ้าเมืองจิ้นให้พูดจาเป็นมิตรไมตรีไว้ พอขุนนางมาแจ้งความว่าจิ้นบุนก๋งใช้ขุนนางถือหนังสือมาก็ยินดี จึงให้หาขุนนางผู้ถือหนังสือนั้นเข้ามา ถามว่าบัดนี้จิ้นบุนก๋งอยู่ที่ไหน ขุนนางนั้นคำนับแล้วจึงบอกว่าบัดนี้จิ้นบุนก๋งยกทัพไปตำบลเหียมเบ๊กแขวงเมืองโอย ครั้นบอกความดังนั้นก็ส่งหนังสือให้เจ๋เจี๋ยวก๋ง เจ๋เจี๋ยวก๋งรับหนังสือมาอ่านดูแจ้งความแล้วดีใจจึงว่า เมื่อครั้งบิดาเรายังมีชีวิตอยู่แต่ก่อนนั้นกับจิ้นเฮียนก๋งก็เป็นที่รักใคร่กันนัก ซึ่งจิ้นบุนก๋งมีหนังสือมาถึงเรานั้นก็สมความคิดแล้ว ครั้งนี้ควรเราจะรีบไปให้พบจิ้นบุนก๋งให้จงได้ แล้วสั่งขุนนางให้เตรียมทหารไว้พร้อมสักสองร้อย อีกสามวันเราจะไปหาจิ้นบุนก๋ง แล้วให้เจ้าพนักงานพาขุนนางผู้ถือหนังสือไปเลี้ยงดูให้อยู่ตึกตามธรรมเนียม ครั้นถึงกำหนดเจ๋เจี๋ยวก๋งก็แต่งตัวมาขึ้นเกวียนแล้วให้ขุนนางเมืองจิ้นนำทางมา ครั้นมาถึงตำบลเหียมเบ๊กที่ค่ายจิ้นบุนก๋งอยู่ จึงให้ขุนนางเข้าไปแจ้งความกับจิ้นบุนก๋งก่อน แล้วเจ๋เจี๋ยวก๋งนั้นก็ลงจากเกวียนตามเข้าไปภายหลัง
ฝ่ายจิ้นบุนก๋งครั้นรู้ว่าเจ้าเมืองเจ๋มาก็มีความยินดี ออกมาต้อนรับถึงประตูค่ายคำนับกันตามธรรมเนียม แล้วก็พากันเข้าไปในค่ายเชิญให้นั่งที่สมควร จึงให้ยกโต๊ะออกมาตั้ง รินสุราออกมาสู่กันกิน แล้วพูดจาปราศรัยกันพลางจึงทำสัตย์สาบานต่อกัน แล้วเจ้าเมืองเจ๋ก็ลากลับไปเมือง
ฝ่ายราษฎรชาวเมืองเหงาลกซึ่งแตกหนีจากเมืองมาถึงเมืองโอยจึงบอกความชาวเมืองโอยว่า กองทัพเมืองจิ้นยกมาล้อมเมืองเหงาลกเป็นอันมาก เราทั้งปวงเห็นว่าเหลือกำลังจะสู้รบมิได้จึงชวนกันหนีเอาตัวรอด ชายหญิงชาวเมืองโอยครั้นรู้ความดังนั้นก็บอกเพี่อนฝูงญาติต่อๆ ไป ต่างคนก็ตกใจกลัวข้าศึกจะติดตามมา แต่ระบือกันอยู่มิได้ขาดให้บังเกิดวุ่นวายตกใจวันละสามครั้งสี่ครั้งข้าศึกมาถึงเมืองแล้ว ครั้นรุ่งขึ้นวันหนึ่งเจ้าเมืองเหงาลกกับกรมการหนีมาถึงเมืองโอยจึงพากันเข้าไปหาเจ้าเมืองโอย คำนับแล้วแจ้งความว่า กองทัพเมืองจิ้นยกมาตั้งประชิดเมืองเป็นอันมาก ข้าพเจ้าคิดกันจะออกรบลองฝีมือดูสักครั้งหนึ่งก็จะเกณฑ์ทหารไม่ไปด้วยชาวเมืองแตกตื่น ต่างคนต่างหนีสิ้น ข้าพเจ้าทั้งปวงจนใจด้วยน้อยตัว จึงหนีเล็ดลอดมาหาท่านหวังจะเอาท่านเป็นที่พึ่ง
เซียงก๋งเจ้าเมืองโอยได้ฟังข่าวศึกดังนั้น ก็คิดครั่นคร้ามใจนักมิได้ว่าประการใด บิดหยูจึงว่า เมื่อครั้งต๋งนีตกยากหนีมาทางเมืองเราบิดาท่านซึ่งเป็นเจ้าเมืองก็มิได้ต้อนรับโดยไมตรี ก็เป็นที่ขัดเคืองอยู่ครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้ต๋งนีได้เป็นที่จิ้นบุนก๋งเจ้าเมืองจิ้น ยกทัพมาจะขอเดินทางไปเมืองโจ๋ ท่านก็ขัดมิให้ไป จึงเกิดศึกขึ้นจนเสียเมืองเหงาลกซึ่งเป็นเขตแดนเมืองท่านทั้งนี้เพราะจิ้นบุนก๋งโกรธ ถ้านิ่งไว้นานไป ข้าพเจ้าเห็นจิ้นบุนก๋งจะบุกรุกมาตีเอาเมืองเราด้วยเป็นมั่นคง ขอท่านจงคิดอ่านให้คนออกไปพูดจาอ่อนน้อมรับผิดโดยดีเถิด บ้านเมืองของท่านจึงจะไม่เป็นอันตราย เซียงก๋งได้ฟังบิดหยูว่าดังนั้นก็เห็นชอบจึงว่า ซึ่งท่านให้สติเรานั้นควรแล้ว อันจะจัดแจงผู้อื่นออกไปเจรจาเห็นจะไม่ได้การเหมือนท่าน ท่านจงเร่งออกไปหาจิ้นบุนก๋งเองเถิดจึงจะได้การ บิดหยูก็รับแล้วคำนับลาเจ้าเมืองโอยไปตามถ้อยคำ ครั้นมาถึงค่ายจิ้นบุนก๋งจึงส่งหนังสือปินเทียนให้นายประตูไปแจ้งความแก่จิ้นบุนก๋ง จิ้นบุนก๋งแจ้งความแล้วจึงให้หาบิดหยู บิดหยูครั้นเข้ามาถึงคำนับจิ้นบุนก๋งแล้วแจ้งความว่า เจ้าเมืองโอยใช้ข้าพเจ้ามาคำนับท่านว่า เมื่อแรกท่านมาถึงมิให้ทางท่านไปโดยดีนั้นไม่ทันคิด ผิดอยู่แล้วกับเมื่อครั้งก่อนท่านมาถึงเมือง บิดาเจ้าเมืองโอยก็มิได้รับท่านผิดถึงสองครั้ง บัดนี้เจ้าเมืองโอยจะขอลุกะโทษยอมเป็นเมืองขึ้นแก่ท่าน
จิ้นบุนก๋งได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า ท่านเร่งกลับไปบอกเจ้าเมืองโอยว่าอย่าคิดกลอุบายมาล่อลวงเราเลย เราหาเชื่อฟังคำไม่ ถ้าครั้งนี้เรามิทำการเหยียบยํ่าเมืองโอยราบคาบเมื่อใดแล้ว เราก็มิได้นอนตาหลับ บิดหยูเห็นจิ้นบุนก๋งโกรธว่ากล่าวหักหาญดังนั้นก็จนใจ ครั้นจะว่ากล่าวอ้อนวอนไปอีกก็เกรงอยู่ จึงคำนับลาจิ้นบุนก๋งแล้วกลับมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองทุกประการ
เจ้าเมืองโอยได้ฟังดังนั้นจึงปรึกษาบิดหยูว่า ซึ่งจิ้นบุนก๋งมีความพยาบาทโกรธซึ่งจะทำร้ายเมืองเรานั้น เราจะคิดอ่านประการใดดีเล่า บิดหยูจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะนิ่งอยู่ในเมืองนี้เห็นไม่ได้ ด้วยจิ้นบุนก๋งมีความพยาบาทนัก ก็จะบุกรุกเข้าตีเอาเมือง ครั้นจะคิดต่อสู้เล่าก็เห็นไพร่บ้านพลเมืองกำลังตื่นตกใจกลัวข้าศึกนักอยู่เห็นจะไม่มีผู้ใดเต็มใจรบ ก็จะพากันเดือดร้อนเสียเปล่าหาเป็นประโยชน์ไม่ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าถ้าท่านหนีทิ้งเมืองเสียให้แต่คนทั้งปวงอยู่รักษาเมือง จิ้นบุนก๋งรู้ว่าท่านหนีแล้วก็จะหายโกรธ หาทำอันตรายบ้านเมืองให้ได้ความเดือดร้อนไม่ แล้วท่านจึงคิดอ่านให้เร่งบอกไปถึงฌ้อเซียงอ๋องให้ยกทัพมาช่วยภายหลังท่านก็จะได้ชัยชนะ เจ้าเมืองโอยฟังถ้อยคำบิดหยูว่ากล่าวก็เห็นชอบ จึงให้หาซกบู๊ซึ่งเป็นน้องมนต้าน ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาแล้วว่า บัดนี้จิ้นบุนก๋งโกรธเรานัก ครั้นเราจะอยู่ในเมืองจิ้นบุนก๋งก็จะยกทัพเข้าตีเมือง คนทั้งปวงก็จะได้ความยากแค้นเพราะเรา เราคิดจะหนีไปเสียจากเมืองก่อน ท่านทั้งสองจงอยู่ช่วยกันรักษาเมืองไว้ให้จงดี ซกบู๊กับมนต้านจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะหนีไปจะให้ข้าพเจ้าทั้งสองอยู่รักษาเมืองนั้น ข้าพเจ้าก็จะอาสาท่านอยู่ช่วยกันคิดอ่านป้องกันเมืองของท่านไว้โดยสัตย์สุจริตตามสติปัญญา
เจ้าเมืองโอยจึงเรียกไตหูซุยตํ่าเข้ามาแล้วสั่งว่า ท่านจงเร่งไปทูลฌ้อเซียงอ๋องให้เร่งยกกองทัพมาช่วยเราโดยเร็ว ไตหูซุยตํ่าคำนับลาขึ้นม้าพาทหารรีบไปเมืองฌ้อ เจ้าเมืองโอยจึงให้เทียมเกวียนที่เคยขี่มาเตรียมไว้ แล้วก็กลับเข้าในห้องพาบุตรภรรยากับสิ่งของมาขึ้นเกวียน ยกจากเมืองหนีไปอาศัยอยู่ตำบลบ้านหวยหงู
ฝ่ายจิ้นบุนก๋งครั้นรู้ว่าเจ้าเมืองโอยหนีไปจากเมืองแล้ว จึงสั่งเซียนเฉียกับเซสินว่า ท่านจงเร่งยกทหารเข้าตีเมืองโอยให้แตก เอาเป็นเมืองขึ้นของเราให้จงได้ เซียนเฉียกับเซสินได้ฟังดังนั้นคำนับแล้วจึงตอบว่า เดิมทีเรายกมาจะไปตีเมืองโจ๋ หวังจะช่วยเมืองซองและเมืองเจ๋ดอก เจ้าเมืองโอยขัดมิให้ทางเดิน จึงต้องไปตีเมืองเหงาลก บัดนี้เจ้าเมืองโอยรู้ตัวว่าผิด ทิ้งเมืองเสียหนีไปแล้ว ซึ่งท่านพยายามจะเข้าตีเอาเมืองโอยให้อาณาประชาราษฎร์ได้ความเดือดร้อนนั้นหาสมควรที่ท่านจะเป็นที่พึ่งแก่หัวเมืองทั้งปวงไม่ ขอเชิญท่านเร่งยกไปตีเมืองโจ๋ช่วยเมืองซองและเมืองเจ๋ให้พ้นภัยเมืองฌ้อดีกว่า นานไปหัวเมืองทั้งปวงก็จะสรรเสริญท่านว่าไม่มีพยาบาทผู้ใด จิ้นบุนก๋งได้ฟังเซียนเฉียทัดทานให้สติก็รับคำว่าชอบแล้ว จึงสั่งให้จัดแจงยกกองทัพไปเมืองโจ๋ในเวลาวันนี้ ครั้นมาถึงเมืองโจ๋จึงให้ทหารทั้งปวงรายกันออกล้อมเมืองไว้
ฝ่ายโจ๋จงก๋งรู้ว่ากองทัพเมืองจิ้นยกมาล้อมเมือง จึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า ซึ่งศึกมาติดเมืองเราครั้งนี้ ขุนนางผู้ใดยังจะคิดอ่านต่อสู้ข้าศึกเอาชัยชนะประการใดๆ บ้าง อีฮูป๋าซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายพลเรือนคำนับแล้วจึงว่า ซึ่งเจ้าเมืองจิ้นยกทัพมาครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเจ้าเมืองจิ้นมีความพยาบาทท่านแต่ครั้งยังไม่ได้เป็นเจ้าเมืองนั้นชื่อว่าต๋งนี มาอาศัยเมืองท่านและท่านไปลอบมองซี่โครงเมื่อต๋งนีอาบนํ้านั้นและน้อยใจว่าท่านหัวเราะเยาะเล่นทั้งไม่นับถือด้วย จึงคิดการมาทำทดแทนท่าน ท่านอย่าสู้รบให้เหนื่อยแรงทหารเลย ข้าพเจ้าจะขออาสาออกไปพูดจาขอโทษให้จิ้นบุนก๋งเลิกทัพไปโดยดีมิให้อาณาประชาราษฎร์ได้ความเดือดร้อน โจ๋จงก๋งจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะออกไปพูดจาให้จิ้นบุนก๋งเลิกทัพกลับไปนั้นเราเห็นไม่ได้ ด้วยเราได้ยินข่าวว่าจิ้นบุนก๋งยกทัพไปล้อมเมืองโอย เจ้าเมืองโอยได้ให้ขุนนางออกไปอ่อนน้อมยอมขอโทษโดยดี จิ้นบุนก๋งก็หาฟังไม่ ซึ่งท่านจะออกไปนั้นเราเห็นจะเสียท่วงทีไป
ขณะนั้นไตหูอีหลองซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ จึงว่ากับเจ้าเมืองโจ๋ว่า เมื่อต๋งนีมาถึงเมืองท่าน ท่านไม่นับถือ แต่อีฮูป๋านับถือ ลอบเอาสิ่งของไปให้ต๋งนีในเวลากลางคืน ซึ่งอีฮูป๋าจะอาสาออกไปพูดจานั้นท่านอย่าเชื่อถ้อยฟังคำอีฮูป๋าเลย อีฮูป๋านี้หาซื่อตรงต่อท่านไม่ ขอให้ฆ่าอีฮูป๋าเสียเถิด การศึกครั้งนี้ข้าพเจ้าจะรับอาสาคิดทำเอง ท่านอย่าได้วิตกเลย โจ๋จงก๋งก็เห็นด้วย จึงได้บอกอุบายแก่โจ๋จงก๋งให้มีหนังสือไปคำนับจิ้นบุนก๋งแล้วส่งหนังสือให้จิ้นบุนก๋ง จิ้นบุนก๋งก็รับหนังสือมาอ่านดูสำคัญว่าจริงก็ยินดี จึงให้ผู้ถือหนังสือรีบกลับไปบอกไตหูอีหลองว่า เราขอบใจไตหูอีหลองนัก เวลาคํ่าวันนี้เราจะยกเข้าไป ครั้นผู้ถือหนังสือไปแล้วจิ้นบุนก๋งจึงบอกเซียนเฉียแม่ทัพว่า ไตหูในเมืองโจ๋บอกมาว่าจะยอมเข้ากับเราจะเปิดประตูรับเวลาคํ่าวันนี้ ท่านจงสั่งทหารให้พร้อมกันจะยกเข้าเมืองโจ๋
เซียนเฉียได้ฟังจิ้นบุนก๋งสั่งดังนั้นจึงว่า อันท่านจะเชื่อฟังหนังสือไตหูอีหลองมีมาเป็นแน่นั้นไม่ได้ ข้าพเจ้ากลัวจะเป็นกลศึกล่อลวง ขอท่านจงงดอยู่ก่อน จิ้นบุนก๋งจึงถามว่า เมื่อท่านสงสัยอยู่ฉะนี้จะทำประการใดจึงจะได้เห็นจริง เซียนเฉียจึงว่า ข้าพเจ้าจะจัดคนที่รูปคล้ายกับท่านแต่งตัวให้เหมือนกับท่านขึ้นขี่เกวียนเข้าไปกับทหารสักห้าร้อยคน ถ้าเห็นความจริงของไตหูแล้ว ท่านจึงค่อยยกติดตามเข้าไปต่อภายหลัง จิ้นบุนก๋งก็เห็นด้วย จึงว่าท่านจะจัดแจงประการใดก็ตามเถิด เซียนเฉียจึงเลือกดูทหารที่กองทัพ เห็นผู้หนึ่งรูปทรงคล้ายจิ้นบุนก๋ง จึงให้แต่งตัวเป็นแม่ทัพขึ้นขี่เกวียนจิ้นบุนก๋งที่เคยขี่ แล้วจัดทหารห้าร้อยให้ถือสาตราวุธครบมือ มาเตรียมไว้พร้อมกันคอยเวลาที่จะยกทัพไป
ขณะนั้นบุดถีเห็นเซียนเฉียแต่งทหารที่จะเข้าเมืองโจ๋ จึงว่ากับเซียนเฉียว่า ข้าพเจ้าจะขออาสาขับเกวียนเข้าเมืองโจ๋ด้วย เซียนเฉียก็ให้บุดถีไปตามคำ ครั้นเวลาพลบคํ่าเซียนเฉียก็ให้คนไปลอบดูเห็นประตูเมืองเปิดเหมือนตามสัญญา จึงให้แม่ทัพซึ่งแต่งไว้นั้นคุมทหารห้าร้อยเข้าไปเมืองโจ๋ ฝ่ายไตหูอีหลองซึ่งทำอุบายได้นั้น ครั้นเห็นกองทัพเข้ามาในเมืองแล้ว เห็นจิ้นบุนก๋งขี่เกวียนขับทหารเข้ามาพ้นประตูเมืองสมความคิดแล้ว จึงร้องบอกนายประตูตามสัญญา พวกนายประตูก็ตัดสายยนต์นั้นลงปิดประตูไว้มั่นคง แล้วไตหูอีหลองก็ร้องสั่งทหารเกาทัณฑ์ซึ่งซุ่มอยู่ให้ยิงระดมเอาทหารซึ่งเข้ามาในเมืองนั้นตายสิ้น ไตหูอีหลองคิดว่าจิ้นบุนก๋งตายแล้วก็ดีใจจึงเข้ามาบอกโจ๋จงก๋งว่า จิ้นบุนก๋งพาทหารเข้ามาเหมือนข้าพเจ้าคิด บัดนี้ข้าพเจ้ายิงตายสิ้นแล้ว
โจ๋จงก๋งได้ฟังดังนั้นก็ยินดี สรรเสริญสติปัญญาไตหูอีหลองว่าท่านคิดอ่านดีนัก ฝ่ายพวกทหารจิ้นบุนก๋งซึ่งเข้ามาในประตูไม่ทันเห็นเขาปิดประตูเสียแล้ว ได้ยินเสียงรบพุ่งกันข้างในเมืองอื้ออึง ครั้นจะเข้าไปช่วยกันก็ไม่ได้ จึงพากันกลับมาค่าย เอาเนื้อความไปบอกจิ้นบุนก๋ง จิ้นบุนก๋งแจ้งความดังนั้นก็โกรธนัก จึงให้ทหารยกเข้าประชิดถึงเชิงกำแพงเมืองโจ๋ในเวลากลางคืน ฝ่ายโจ๋จงก๋งครั้นเวลารุ่งเช้าชวนขุนนางมาดูศพจิ้นบุนก๋ง มาถึงที่ศพพิเคราะห์ดูทหารทั้งปวงที่ตาย เห็นแต่แม่ทัพนั้นรูปทรงคล้ายคลึงจิ้นบุนก๋ง แต่มิใช่จิ้นบุนก๋ง จึงให้ขุนนางทั้งปวงดู ต่างคนต่างก็ว่ามิใช่จิ้นบุนก๋ง โจ๋จงก๋งก็คิดเสียใจ จึงให้หาไตหูอีหลองมาบอกว่า ซึ่งท่านบอกเรานั้นหาได้เหมือนคำท่านไม่ ทีนี้ท่านจะคิดต่อไปประการใดเล่า
ไตหูอีหลองคำนับแล้วจึงว่า ซึ่งการกลับกลายไปทั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีผู้ใดไปบอกความจิ้นบุนก๋ง จึงได้ทำการแปลงปลอมมาทั้งนี้และการซึ่งจะคิดต่อไปนั้น ข้าพเจ้าจะให้ศพทหารเมืองจิ้นขึ้นเสียบไว้ตามหว่างเสมาให้สิ้น ถ้าจิ้นบุนก๋งและทหารเห็นศพเพื่อนกันก็จะคิดย่อท้อมิได้ทำการบังอาจเข้าหักเอาเมืองเรา แต่พอให้การศึกช้าสักห้าหกวัน กว่ากองทัพเมืองฌ้อจะมาถึง เราก็จะได้ชัยชนะ โจ๋จงก๋งก็เห็นชอบจึงสั่งให้ทหารทั้งปวงทำตามถ้อยคำไตหูอีหลอง ฝ่ายทหารเมืองจิ้นครั้นแลเห็นศพพวกกันที่เขาเสียบไว้หว่างเสมาเป็นอันมาก จึงมาบอกความกับจิ้นบุนก๋ง จิ้นบุนก๋งแจ้งความแล้วจึงปรึกษาเซียนเฉียแม่ทัพ เซียนเฉียจึงว่า ไตหูอีหลองล่อลวงได้ทหารเราไป แล้วทำประจานให้ได้ความอัปยศอับอายดังนี้ เราจำจะทำทดแทนให้มันได้ความเจ็บอายบ้างจึงจะสาแก่น้ำใจ อันศพปู่ย่าตายายพี่น้องชาวเมืองโจ๋นั้นก็เอาออกมาฝังไว้อยู่บนเนินเขานอกเมืองทางทิศตะวันตก ข้าพเจ้าจะให้ไปขุดขึ้นให้หมดแล้วจะให้มาทำประจานต่างๆ จึงจะแก้แค้นได้ จิ้นบุนก๋งได้ยินดังนั้นเห็นชอบ จึงให้เร่งไปทำตามคำเซียนเฉีย
ฝ่ายทหารเมืองโจ๋รู้ว่ากองทัพเมืองจิ้นไปขุดเอาศพปู่ย่าตายายของเรามาทำประจานต่างๆ บรรดาหญิงชายชาวเมืองรู้ดังนั้นต่างคนก็ตื่นตกใจ เรียกกันขึ้นยืนดูกำแพงเมืองอื้ออึงอยู่ บ้างเห็นเขาเอาศพบุตร ภรรยา บิดา มารดา ญาติของตัวมาก็ร้องไห้โศกเศร้าเสียงเซ็งแซ่ไปทั้งเมือง บ้างก็วิ่งเข้าไปบอกโจ๋จงก๋ง โจ๋จงก๋งแจ้งความแล้วจึงปรึกษาไตหูอีหลองว่า ทหารเมืองจิ้นมาทำการหยาบคายกับญาติวงศ์เหล่านี้ ท่านจะคิดอ่านแก้ไขประการใดดี ไตหูอีหลองจึงว่า ซึ่งกองทัพเมืองจิ้นทำหยาบคายต่อศพญาติเราที่ฝังไว้นั้น เราจะคิดแก้ไขประการใดเห็นยากอยู่ ด้วยจิ้นบุนก๋งโกรธเรานัก จึงคิดอ่านทำการดังนี้ แล้วจะเข้าบุกบั่นตีเอาเมืองเราให้จงได้ ข้าพเจ้าคิดว่าจะให้คนร้องบอกออกไปว่า อย่าให้ทำทรมานแก่ศพให้ได้รับความทุกขเวทนาเลย ให้เร่งเอาไปฝังไว้ดังเก่า ชาวเมืองทั้งปวงจะยอมเข้าด้วยจิ้นบุนก๋ง จิ้นบุนก๋งก็มิให้ทำหยาบคายต่อไป เห็นพอจะหน่วงการศึกช้าลงพอกองทัพเมืองฌ้อจะมา โจ๋จงก๋งก็ตอบว่าชอบแล้ว ไตหูอีหลองก็มาบนเชิงเทินจึงให้คนร้องออกไปดังว่านั้น
ฝ่ายเซียนเฉียครั้นได้ยินชาวเมืองโจ๋ร้องออกมาดังนั้น จึงให้ทหารร้องตอบไปว่า ซึ่งจะให้เราเอาศพคืนไว้ที่เก่านั้นก็ให้ชาวเมืองเอาศพทหารของเราที่ตายใส่โลงส่งออกมาจนสิ้นก่อน เราจึงจะเอาศพญาติกาคนทั้งปวงไปฝังเสียดังเก่า ไตหูอีหลองจึงให้ร้องตอบว่า ถ้าจะให้ส่งศพทหารใส่โลงออกไปโดยดี เราก็จะทำตามหาขัดไม่ แต่ถอยทัพออกไปตั้งอยู่ให้ไกลเมืองทางสักหกร้อยเส้นเศษแล้ว อีกสามวันเราจึงจะเอาศพทหารท่านใส่โลงบรรทุกออกไปส่งให้ถึงค่าย เซียนเฉียได้ฟังดังนั้นก็มิได้ให้ทหารร้องตอบประการใด จึงคิดว่าชาวเมืองโจ๋นี้คิดย่อท้อต่อฝีมือทหารเราอยู่จึงจะได้ให้เราถอยทัพไปให้ไกลเมือง ครั้งนี้เห็นจะได้ทีแล้วเราจะคิดอ่านอุบายเอาเมืองโจ๋ให้จงได้ในสามวันนี้ ครั้นเวลารุ่งขึ้นเซียนเฉียจึงบอกความกับจิ้นบุนก๋งตามกลอุบายที่คิดไว้ แล้วให้เลิกทัพถอยออกมาตั้งอยู่ตามคำชาวเมืองโจ๋ ครั้นอยู่สองวันเซียนเฉียจึงสั่งเฮาเอียน เฮามัว ซูฉิน ลอนกี๋ สี่นายคุมทหารแยกกันยกไปซุ่มอยู่ที่ตรงประตูเมืองโจ๋ทั้งสี่แห่ง ครั้นรุ่งขึ้นให้คอยดู ถ้าเห็นชาวเมืองโจ๋เปิดประตูเมืองหามเอาศพออกมานอกเมืองตามสัญญาแล้วก็ให้สี่นายจุดประทัดบอกกันเร่งขับทหารเข้าประตูเมืองโจ๋ให้ได้แต่ในเวลาเดียว ถ้าผู้ใดย่อหย่อนอยู่ไม่ทำให้ได้เหมือนเราสั่ง ก็จะให้ตัดศีรษะเสีย เฮาเอียน เฮามัว ซูฉิน ลอนกี๋ ได้ฟังเซียนเฉียสั่งดังนั้น ต่างคนต่างคำนับแล้วลาไปจัดแจงทหารได้พร้อมก็รีบยกไปตั้งอยู่ตามคำเซียนเฉียสั่ง
ฝ่ายเซียนเฉียแม่ทัพ ครั้นถึงกำหนดสามวันไม่เห็นชาวเมืองโจ๋เอาศพมาส่งเหมือนสัญญา จึงให้ทหารเข้าไปร้องตักเตือน ไตหูอีหลองรู้แล้วจึงมาบอกเจ้าเมืองโจ๋ว่า บัดนี้ถึงกำหนดสามวันแล้วทหารเมืองจิ้นมาเตือนให้เร่งส่งศพ เจ้าเมืองโจ๋จึงว่ากับไตหูอีหลองว่า กองทัพเมืองจิ้นก็ยกถอยออกไปไกลตามคำเราแล้วจะส่งอะไรเล่า จงไปจัดแจงเอาศพส่งไปเถิด ไตหูอีหลองก็คำนับลาออกมา จึงให้เอาศพทหารเมืองจิ้นที่ตายนั้นใส่โลงบรรทุกเกวียนเป็นหลายเล่ม แล้วให้ขุนนางคุมเกวียนซึ่งบรรทุกศพไปเป็นหลายนาย แยกกันออกทั้งสี่ประตูเมือง
ฝ่ายเฮาเอียน เฮามัว ซูฉิน ลอนกี๋ ซึ่งคุมทหารซุ่มอยู่ ครั้นเห็นชาวเมืองโจ๋เปิดประตูขับเกวียนออกจากเมือง ได้ท่วงทีแล้วต่างคนก็ให้จุดประทัดขึ้นตามสัญญา แล้วขับทหารออกสี่กอง พวกขุนนางที่คุมเกวียนมาครั้นเกวียนออกนอกประตูได้สักส่วนหนึ่ง พอได้ยินเสียงประทัดอื้ออึงขึ้น ต่างคนก็ตกใจเห็นผิดประหลาดอยู่ จะกลับเกวียนเข้าเมืองก็มิได้ ด้วยเกวียนข้างหลังนั้นขับหนุนกันออกมาคับคั่งประตูอยู่ นายทหารทั้งสี่เห็นเกวียนชานเมืองข้างหน้านั้นกลับ ข้างหลังหนุนออกมาวุ่นวาย ก็เร่งทหารไล่ฆ่าฟันชาวเมืองแตกกระจัดกระจาย งุยฉิวแลเห็นเจ้าเมืองโจ๋หนีขึ้นอยู่บนหอรบ จึงขึ้นไปจับตัวได้มัดพามาให้ทหารคุมไว้ ไตหูอีหลองเห็นงุยฉิวจับตัวเจ้าเมืองโจ๋มัดไปตกใจนักจึงวิ่งหนี เตียวเกียดเห็นก็ไล่ติดตามไปทันเข้าเอากระบี่ฟันไตหูอีหลองตาย ตัดศีรษะมามอบให้งุยฉิวดู แล้วสองนายก็คุมตัวเจ้าเมืองโจ๋กับศีรษะไตหูอีหลองไปให้จิ้นบุนก๋ง จิ้นบุนก๋งมีความยินดี จึงให้ทหารคุมตัวเจ้าเมืองโจ๋ไว้ แล้วพาขุนนางทั้งปวงเข้าไปในเมืองโจ๋ ให้ทำหางว่าวรายชื่อขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยบรรดาอยู่ในเมืองให้สิ้นเชิง เจ้าเมืองโจ๋ก็จดหมายบัญชีชื่อขุนนางให้ตามจิ้นบุนก๋งสั่ง จิ้นบุนก๋งครั้นได้หางว่าวมาอ่านดู มีขุนนางสามร้อยคนไม่เห็นมีชื่ออีฮูป๋า จึงให้ถามว่าอีฮูป๋าซึ่งเป็นขุนนางอยู่ในเมืองนี้ไปไหนเล่า จึงไม่เห็นชื่อในบัญชี
ฝ่ายหนึ่งจึงบอกจิ้นบุนก๋งว่า เมื่อแรกท่านมาถึงเมืองนั้น อีฮูป๋าว่ากับเจ้าเมืองโจ๋ว่าจะขออาสาไปพูดจารับผิดโดยดี ไตหูอีหลองไม่เห็นด้วย กลับกล่าวโทษอีฮูป๋าว่าเป็นคนไม่ตรงลอบเอาของกำนัลไปให้ท่านเมื่อท่านมาเมืองโจ๋ครั้งก่อน เจ้าเมืองโจ๋แจ้งความแล้วโกรธอีฮูป๋าจึงถอดจากที่ขุนนาง จิ้นบุนก๋งแจ้งความดังนั้นแล้วจึงว่า โจ๋จงก๋งนี้มีคนดีอยู่ในเมืองหารู้จักทำนุบำรุงเลี้ยงไม่ เลี้ยงแต่คนชั่วช่างพูดยุยง เหมือนเด็กเล่นบ้านเมืองจึงเกิดอันตรายขึ้นก็สมควรแล้ว จิ้นบุนก๋งจึงสั่งทหารให้เอาเจ้าเมืองโจ๋จำใส่กรงไว้ที่ค่าย กว่ากองทัพเมืองฌ้อจะยกมา เรารบชนะเมืองฌ้อแล้วจึงจะให้พ้นโทษ แล้วให้ทหารจับเอาขุนนางในเมืองโจ๋แต่บรรดามีรายชื่อตามบัญชีทั้งสามร้อยคนนั้นไปฆ่าเสียสิ้น อยู่ภายหลังจิ้นบุนก๋งคิดจะแทนคุณอีฮูป๋า จึงสั่งทหารทั้งนายและไพร่ว่า อีฮูป๋าเป็นคนดีอยู่มีความชอบ ได้ทำคุณไว้แก่เราแต่ก่อน บัดนี้ออกจากที่ขุนนางมาอยู่บ้านริมประตูเมืองข้างทิศเหนือ อย่าให้ทหารผู้ใดไปข่มเหงทำร้ายเก็บเอาข้าวของอีฮูป๋า จนชั้นแต่ด้ายเส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่งให้ได้ความเดือดร้อนเป็นอันขาดทีเดียว ถ้าผู้ใดไม่ฟังเราจะเอาโทษถึงตาย ครั้นสั่งแล้วจิ้นบุนก๋งจึงจัดทหารให้อยู่รักษาเมืองโจ๋ครึ่งหนึ่ง จิ้นบุนก๋งพาทหารมาอยู่ค่ายนอกเมืองครึ่งหนึ่ง
ฝ่ายงุยฉิว เตียวเกียดทั้งสองนาย ได้ยินจิ้นบุนก๋งสรรเสริญคุณอีฮูป๋ามีความน้อยใจ จึงพากันมาพูดแต่สองคนว่าเราอุตส่าห์ทำราชการเหนื่อยยากมาด้วยจิ้นบุนก๋งก็ช้านานแล้ว ครั้งนี้เราก็ได้ฆ่าไตหูอีหลองและจับเจ้าเมืองโจ๋ไปให้ จิ้นบุนก๋งก็หายกความชอบเราแต่สักคำหนึ่งไม่ อีฮูป๋าได้เอาแต่สิ่งของเล็กน้อยให้จิ้นบุนก๋งกินแต่ครั้งเดียว จิ้นบุนก๋งนี้หารู้จักการหนักเบาไม่ นานไปถ้าจิ้นบุนก๋งเอาอีฮูป๋าไปชุบเลี้ยงเป็นขุนนาง ณ เมืองจิ้นก็เห็นอีฮูป๋าจะกำเริบใจข่มเหงเราเป็นมั่นคง
เตียวเกียดจึงว่า เวลาวันนี้เราช่วยกันลอบเอาไฟเผาบ้านอีฮูป๋าคลอกมันเสียให้ตายจนสิ้นทั้งพวกเถิด งุยฉิวก็เห็นชอบด้วย พูดกันพลางรินสุราออกสู่กันกินจนเมา ดึกแล้วก็พากันเอาไฟเผาบ้านอีฮูป๋าไหม้ขึ้นเป็นอันมาก จนแสงไฟลุกสว่างจับท้องฟ้า งุยฉิวนั้นกำลังเมานักหมายจะฆ่าอีฮูป๋าเสียให้ได้จึงบุกรุกเข้าไปในบ้าน ปีนประตูตึกเข้าไปจะจับตัวอีฮูป๋า พอกำลังไฟลุกลามหนักติดหลังคาตึกเข้าพังลง งุยฉิวพลัดตกลงในไฟไหม้เสื้อกางเกงสิ้น แล้วไฟลวกเอาที่อกและขาพองเป็นหลายแห่ง งุยฉิวได้ความเจ็บปวดสาหัส ลุกวิ่งหนีไฟไปมิได้ก็หมอบซบหน้ารากโลหิตอยู่ เตียวเกียดเห็นงุยฉิวดังนั้นจึงถอดเสื้อชั้นนอกของตัวออกใส่ให้ แล้วอุ้มออกมาขึ้นไปที่อยู่
ฝ่ายอีฮูป๋าครั้นเห็นไฟไหม้ที่อยู่ขึ้นก็ตกใจ จึงวิ่งเข้าดับไฟ พอเปลวไฟตลบมาถูกเข้าล้มลง พี่น้องเข้าช่วยพยุงยกขึ้นพามาแก้ไขก็ไม่ฟื้นสมประดีจนตาย แต่ตานั้นหาหลับลงเหมือนคนตายทั้งปวงไม่ ในขณะเมื่อไฟไหม้นั้นพี่น้องลูกหลานบ่าวไพร่ที่อยู่ด้วยนั้นก็ตายเป็นอันมาก ทั้งเพื่อนบ้านใกล้เคียงก็พลอยตายด้วยเป็นหลายคน แต่ภรรยาอีฮูป๋านั้นหนีได้ พาอีลกบุตรชายอายุห้าขวบเข้าไปอยู่ในสวนดอกไม้
ฝ่ายเฮาเอียน ซูฉินซึ่งอยู่ค่ายนอกเมืองแลเห็นแสงไฟลุกขึ้นข้างในเมืองทิศเหนือ ก็สงสัยว่ากองทัพชาวเมืองเกิดรบพุ่งกัน จึงเข้าไปแจ้งความแก่จิ้นบุนก๋ง แล้วก็พาทหารรีบเข้ามาในเมืองโจ๋รู้ว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นที่บ้านอีฮูป๋า ก็พากันไปช่วยแย่งยื้อดับไฟจนเวลาเวลารุ่งไฟจึงดับลง แล้วทำบัญชีเรือนที่ไฟไหม้และคนที่ถูกไฟตาย ได้บัญชีว่าอีฮูป๋ากับคนที่เรือนและเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่ไหม้นั้นก็ตายเป็นหลายคน จึงหาชาวบ้านมาซักถาม เดิมเกิดไฟขึ้นด้วยเหตุประการใด ครั้นรู้ว่างุยฉิวกับเตียวเกียดเอาไฟมาลอบทิ้งเป็นแน่ จะปิดความเสียก็มิได้ จึงให้ขุนนางมาบอกความแก่จิ้นบุนก๋ง จิ้นบุนก๋งแจ้งความแล้วก็รีบพาทหารเข้ามาจนถึงบ้านอีฮูป๋า จึงไปเยี่ยมศพอีฮูป๋า เห็นอีฮูป๋าลืมตาชำเลืองดูดังคนเป็น จิ้นบุนก๋งเห็นดังนั้นก็ถอนใจใหญ่คิดเสียดายอีฮูป๋านัก
ฝ่ายภรรยาอีฮูป๋าเห็นจิ้นบุนก๋งมาก็อุ้มอีลกบุตรมาคำนับแล้วร้องไห้ จิ้นบุนก๋งก็คิดสงสารกลั้นนํ้าตามิได้ รับเอาอีลกมาอุ้มไว้แล้วว่ากับภรรยาอีฮูป๋าว่า ถึงผัวเจ้าตายก็อย่าทุกข์ร้อนต่อไปเลย เสร็จการศึกแล้วแล้วจะพาเจ้าไปเมืองจิ้นจะทำนุบำรุงให้เป็นสุขกว่าแต่ก่อน จึงตั้งอีลกให้เป็นที่ไตหูขุนนาง ให้เงินทำการฝังศพอีฮูป๋าตามสมควร แล้วสั่งเตียวสวยให้ชำระความที่ทิ้งไฟ ครั้นได้ความว่างุยฉิว เตียวเกียด เป็นผู้ทิ้งแน่แล้ว จึงให้ทหารเอาตัวงุยฉิว เตียวเกียดไปตัดศีรษะเสียอย่าให้ทหารทั้งปวงดูเยี่ยงอย่างกัน
เตียวสวยได้ยินจิ้นบุนก๋งสั่งดังนั้น คำนับแล้วจึงว่า งุยฉิวเตียวเกียดทำการทั้งนี้ก็ล่วงเกินถึงที่ตายอยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าคิดว่าคนทั้งสองนี้ได้เป็นเพื่อนทุกข์ยากมากับท่านช้านาน ครั้งนี้ก็ได้ตีเมืองโจ๋ฆ่าไตหูอีหลองเสีย แล้วจับเจ้าเมืองโจ๋มาให้ท่านก็โเป็นความชอบมากอยู่ คุณกับโทษก็พอกลบลบกัน ข้าพเจ้าขอชีวิตคนทั้งสองไว้
จิ้นบุนก๋งได้ฟังเตียวสวยว่ากำลังโกรธนัก จึงร้องตวาดว่า ถ้าคนได้ทำราชการถึงยี่สิบปีสามสิบปี แม้นทำผิดจะไม่เอาโทษหรือ เราเป็นผู้ใหญ่รักษาสัตย์ ถ้าผู้ใดทำผิดก็จะเอาโทษตามมากและน้อย ซึ่งท่านว่าคนทั้งสองนี้หาผิดไม่ จะเอาไว้ก็ตามเถิด เราสั่งสิ่งใดไม่สิทธิ์ขาดแต่นี้ไปเราไม่ว่าการต่อไปแล้ว เตียวสวยเห็นจิ้นบุนก๋งโกรธครั้นจะขัดแข็งก็มิได้ คิดเสียดายงุยฉิวนักจึงว่าอ้อนวอนจิ้นบุนก๋งต่อไปว่า เตียวเกียดนี้ท่านจะให้ฆ่าเสียก็ตามเถิด แต่งุยฉิวนั้นเป็นคนมีฝีมือ รบพุ่งกล้าแข็งนัก การศึกข้างหน้ายังจะทำไปมากอยู่ ข้าพเจ้าจะของุยฉิวไว้ทำราชการแก้ตัวอีกครั้งหนึ่ง จิ้นบุนก๋งเห็นเตียวสวยอ้อนวอนถึงสองครั้งก็ขัดมิได้ แล้วก็เห็นว่างุยฉิวเจ็บป่วยรากเลือดหนักอยู่ถึงไม่ฆ่าก็คงจะตายในวันหนึ่งสองวัน จึงพยักหน้าให้แล้วเดินไป เตียวสวยจึงสั่งซุนหลิมฮูให้เอาตัวเตียวเกียดไปคุมไว้ แล้วจะตัดศีรษะเสียอย่าให้ดูเยี่ยงอย่างกัน แล้วเตียวสวยจึงว่าจำจะไปดูงุยฉิวให้ถึงตัวว่าป่วยหนักหรือจะหายประการใด ถ้าเห็นว่าป่วยหนักจะไม่รอดแล้วจึงจะให้ทหารนำเอาไปฆ่าเสีย ถ้าเห็นจะหายก็จะอุตส่าห์อ้อนวอนขอจิ้นบุนก๋งไว้ให้จงได้ คิดแล้วเตียวสวยก็เดินไปแต่ผู้เดียว ถึงที่อยู่งุยฉิวจึงให้คนที่นั้นไปบอกงุยฉิวว่าเรามาเยี่ยม งุยฉิวครั้นรู้ว่าเตียวสวยมาจะนิ่งเสียก็มิควร จึงเอาแพรพับหนึ่งมาพันตัวปิดแผลที่ถูกไฟนั้นให้มิดตัว แล้วให้บ่าวพยุงเดินออกมาต้อนรับคำนับเตียวสวยที่ประตู เตียวสวยเห็นงุยฉิวออกมาจึงถามว่า ท่านป่วยค่อยยังชั่วพอเดินเหินได้อยู่หรือ บัดนี้จิ้นบุนก๋งให้เรามาดูท่าน
งุยฉิวคำนับแล้วจึงว่า ซึ่งข้าพเจ้าคิดอ่านทำการทั้งนี้ โทษข้าพเจ้าก็ถึงตาย และท่านโปรดให้งดไว้นั้นพระคุณหาที่สุดไม่ ถ้าข้าพเจ้าหายป่วยแล้วจะตั้งใจทำราชการสนองคุณจิ้นบุนก๋งไปกว่าจะสิ้นชีวิต เตียวสวยได้ฟังงุยฉิวว่ารับผิด แล้วจะทำการทดแทนคุณจิ้นบุนก๋งโดยสุจริตก็มีความยินดีแล้วลากลับมา จึงไปหาจิ้นบุนก๋ง แจ้งความตามคำงุยฉิวว่าทุกประการ ครั้นเห็นกิริยาจิ้นบุนก๋งคลายโกรธลงจึงขอชีวิตงุยฉิวไว้ จิ้นบุนก๋งก็ยอมยกโทษงุยฉิว ให้เอาแต่ตัวเตียวเกียดมาถามว่า เหตุใดตัวจึงคิดอ่านองอาจเอาไฟไปเผาบ้านอีฮูป๋า เตียวเกียดมีความน้อยใจจิ้นบุนก๋งจึงตอบว่า ไกจือฉุยซึ่งเป็นคนเก่าของท่าน เมื่อตกยากพลัดบ้านเมืองไปท่านอดอาหาร ไกจือฉุยได้เชือดเนื้อที่แขนแกงให้ท่านกิน ท่านก็หารู้จักคุณไกจือฉุยไม่ กลับเอาไฟเผาป่าจนไกจือฉุยตายทั้งแม่ทั้งลูก อันอีฮูป๋านั้นได้เอาของมาให้ท่านกินที่เมืองโจ๋แต่ครั้งเดียว ข้าพเจ้าได้ยินท่านสรรเสริญคุณอีฮูป๋ายิ่งกว่าทหารทั้งปวงซึ่งทำราชการมากับท่านแต่ก่อนเป็นอันมาก ข้าพเจ้ามีความน้อยใจจึงเอาไฟไปเผาเรือนอีฮูป๋าให้ตายเสีย หวังจะให้อีฮูป๋าไปอยู่ด้วยไกจือฉุยจะได้กินเครื่องเซ่นด้วยกันตามสบาย
จิ้นบุนก๋งได้ฟังเตียวเกียดว่ากล่าวกระทบความเปรียบดังนั้นก็โกรธจึงว่า ไกจือฉุยนั้นหนีเราไปเสียก่อน มิใช่เราจะแกล้งไม่ชุบเลี้ยง ซึ่งเราให้เอาไฟเผาป่านั้น หมายจะให้ไกจือฉุยออกมาหา จะได้เอาตัวไปตั้งเป็นขุนนาง ไกจือฉุยดื้อดึงไม่ออกจากป่า ก็ตายอยู่ในไฟจะโทษเราอย่างไรเล่า ซึ่งทหารทั้งปวงผู้มีคุณแก่เรา เราก็ชุบเลี้ยงตามความชอบ แต่อีฮูป๋าเรายังหาได้แทนคุณไม่ จึงป่าวร้องบอกทหารทั้งปวงหวังมิให้ทำอันตราย กลับมาเก็บความไปน้อยใจอีกเล่า จึงสั่งเตียวสวยให้ปรึกษาโทษเตียวเกียดที่ล่วงเกินไม่ฟัง บังคับโทษเตียวเกียดจะเป็นประการใด เตียวสวยจึงว่า ซึ่งกองทัพยกมาครั้งนี้ สิทธิ์ขาดอยู่กับท่านและแม่ทัพ ซึ่งเตียวเกียดไม่ฟังบังคับท่าน โทษเตียวเกียดก็ต้องด้วยกฎหมายถึงตาย แล้วจิ้นบุนก๋งก็สั่งทหารให้เอาเตียวเกียดไปตัดศีรษะเสียในทันใดนั้น แล้วสั่งให้ถอดงุยฉิวออกจากที่ปลัดทัพ ให้เอาจิวจิเกียเป็นที่แทน ฝ่ายทหารทั้งปวงครั้นรู้ว่าจิ้นบุนก๋งให้ฆ่าเตียวเกียดเสีย ต่างคนก็กระซิบพูดกันว่า เตียวเกียดได้ทำความชอบมากับจิ้นบุนก๋งถึงสิบเก้าปีแล้ว เตียวเกียดทำผิดลงครั้งนี้ก็ถึงตาย เราทั้งปวงจะทำราชการต่อไปข้างหน้าเร่งระวังตัวเถิด ถ้าผู้ใดประมาทก็จะตายเสียเปล่าหาได้กลับไปเห็นบุตรภรรยาต่อไปไม่