๑๐

ฝ่ายหิมถองเจ้าเมืองฌ้อหัวเมืองทิศใต้ตั้งบำรุงทหารคิดตั้งตัวเป็นใหญ่ และหิมถองคนนี้เป็นเชื้อพระเจ้าโกซินซี ก่อนแผ่นดินห้องสิน สืบลูกหลานมาหลายชั่วคนจนถึงหิมชุม หิมชุมได้เป็นเจ้าเมืองฌ้อและหิมชุมนั้นมีบุตรสองคนผู้พี่ชื่อหิมบัว ผู้น้องชื่อหิมถอง ครั้นหิมชุมตาย ขุนนางทั้งปวงตั้งหิมบัวเป็นเจ้าเมืองฌ้อ หิมถองจึงคิดฆ่าหิมบัวผู้พี่เสียได้เป็นเจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองฌ้อตั้งอยู่ในยุติธรรม หัวเมืองทั้งปวงก็ขึ้นแก่เมืองฌ้อหลายเมือง เจ้าเมืองฌ้อก็ยิ่งมีนํ้าใจกำเริบจะตั้งตัวเป็นเจ้าแผ่นดิน

ครั้นแจ้งว่าพระเจ้าฮวนอ๋องยกทัพไปตีเมืองเตง เสียทีแก่หงอเสง หิมถองก็ยิ่งยินดีนัก จึงปรึกษากับเต๋าเป๊กปี่ว่า เราก็เป็นสายกษัตริย์สืบแซ่มาแต่ก่อน บัดนี้ดูพระเจ้าฮวนอ๋องก็ถอยเกียรติยศลงแล้ว หัวเมืองฝ่ายเหนือก็ตั้งแข็งเมืองอยู่หาขึ้นไม่หลายเมือง อันเมืองเรานี้เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ ทหารและเมืองขึ้นก็มีมาก เราคิดจะตั้งตัวเป็นเจ้า ท่านจะเห็นประการใด

เต๋าเป๊กปี่จึงว่า ถ้าดังนั้นจำจะคิดเกลี้ยกล่อมหัวเมืองให้เป็นไมตรีกับเราให้มาก และตำบลฮันต๋งนั้น เมืองซุยเป็นเมืองใหญ่ ถ้าได้เมืองซุยเป็นไมตรีแล้วหัวเมืองเล็กน้อยแถบนั้นก็จะพลอยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเราสิ้น หิมถองจึงว่าทำประการใดจะเป็นไมตรีกับเจ้าเมืองซุยได้ เต๋าเป๊กปี่จึงว่า ขอท่านยกทหารไปตำบลแฮปลายเมืองซุย แล้วจึงแต่งผู้มีสติปัญญาเข้าไปเชิญเจ้าเมืองซุยออกมาพูดจาตามธรรมเนียมที่จะเป็นไมตรี ถ้าเจ้าเมืองซุยมิออกมาเราจึงคิดต่อไป หิมถองก็เห็นด้วย จึงแต่งทหารพร้อมแล้วก็ยกไปตำบลแฮปลายเมืองซุย หิมถองจึงให้เอียมเจียมเข้าไปเชิญเจ้าเมืองซุยให้ออกมาปลายแดน

เจ้าเมืองซุยแจ้งดังนั้น จึงปรึกษาอุยเหลียงว่า เจ้าเมืองฌ้อให้มาเชิญเราออกไปจะเป็นไมตรีด้วยเรา ท่านจะเห็นประการใด อุยเหลียงจึงว่า เมืองเราเป็นเมืองน้อย เมืองฌ้อเป็นเมืองใหญ่ ซึ่งจะเป็นไมตรีกับท่านนั้น ท่านอย่าเพ่อวางใจก่อน จะพูดกับเจ้าเมืองฌ้อจงระมัดระวังปากให้จงดี เสียวซูจึงว่า ท่านจะด่วนออกไปพูดจากับเจ้าเมืองฌ้อนั้นไม่ควร ข้าพเจ้าจะขอออกไปพูดจาดูท่วงทีก่อน เจ้าเมืองซุยก็เห็นด้วย เสียวซูก็คำนับลาออกมาตำบลแฮ

เต๋าเป๊กปี่ซึ่งเป็นที่ปรึกษาเจ้าเมืองฌ้อแจ้งว่าเสียวซูออกมาจึงเข้าไปว่ากล่าวแก่เจ้าเมืองฌ้อว่าเจ้าเมืองซุยให้เสียวซูออกมาดูท่วงทีท่าน อันเสียวซูคนนี้เป็นคนอวดรู้ สติปัญญาตํ่าช้านัก และเมื่อเสียวซูจะเข้ามาหาท่านนั้นท่านจงจัดเอาทหารที่หนุ่มๆ ไปซ่อนเสีย เอาแต่ทหารที่แก่ชรามาไว้ในค่ายท่าน เห็นเสียวซูจะคิดประมาทเรา เราจะได้รู้ว่าเจ้าเมืองซุยจะเป็นไมตรีกับเราโดยสุจริตหรือประการใด เราจะได้คิดต่อไป แล้วเต๋าเป๊กปี่กระซิบความซึ่งคิดไว้นั้นให้หิมถองฟังทุกประการ หิมถองก็เห็นด้วย จึงได้จัดแจงทหารตามคำเต๋าเป๊กปี่

ฝ่ายเสียวซูครั้นไปถึงค่ายเจ้าเมืองฌ้อ เห็นทหารในค่ายแต่ล้วนแก่ชราหาสมที่จะเอามาใช้สอยเป็นทหารไม่ เสียวซูคิดประมาทเจ้าเมืองฌ้อนัก ก็เดินเข้าไปในค่ายชั้นใน คำนับหิมถองแล้วว่า เจ้าเมืองซุยนายข้าพเจ้าป่วยยังออกมาสนทนาด้วยท่านมิได้ก่อนจึงให้ข้าพเจ้าออกมาแทน เมื่อท่านมีกิจธุระประการใดจงว่ากับข้าพเจ้าเถิด

หิมถองได้ฟังดังนั้นก็เข้าใจว่าเสียวซูดูหมิ่นจึงว่ากับเสียวซูว่า เมืองเราเป็นเมืองน้อยทแกล้วทหารเราก็ไม่เต็มภูมิ เราแจ้งว่าเมืองซุยเป็นเมืองใหญ่บริบูรณ์ด้วยทแกล้วทหาร จึงอุตส่าห์มาขอไมตรีด้วยกลัวเกลือกทุกข์ภัยจะมีมา จะพึ่งท่านเป็นเมืองใหญ่ เสียวซูจึงว่า แต่บรรดาหัวเมืองทั้งปวงน้อยใหญ่ในตำบลฮันเต๋งนี้ก็ขึ้นกับเมืองซุยสิ้น เมื่อท่านจะเอาเป็นที่พึ่งแล้ว ถ้าท่านมีสุขทุกข์ประการใดก็บอกมาให้แจ้งเถิด นายข้าพเจ้าหาเสียไมตรีไม่ หิมถองจึงว่า เมื่อเจ้าเมืองซุยป่วยอยู่แล้วท่านจงทำสัตย์แทนเถิด หิมถองกับเสียวซูก็ถ้อยทีทำสัตย์เป็นไมตรีกันแล้วเสียวซูก็มาจากค่าย หิมกองก็ทำเป็นทีจะถอยทัพไปให้เสียวซูเห็น

ฝ่ายเสียวซูครั้นเห็นหิมถองถอยทัพไปก็รีบกลับมาเมืองซุย เล่าความซึ่งได้พูดจากับหิมถองและทำสัตย์กันให้เจ้าเมืองซุยฟังทุกประการ แล้วว่าเจ้าเมืองฌ้อนั้นมีทแกล้วทหารแต่ล้วนแก่ชรา ข้าพเจ้าจึงทำสัตย์ด้วยหวังจะให้หิมถองเจ้าเมืองฌ้อไว้ใจ บัดนี้หิมถองเพิ่งกลับไป ข้าพเจ้าขอกองทัพตามไปตีตัดเอาทหารหิมถองมาสักกึ่งหนึ่งให้หิมถองรู้จักฝีมือเราไว้ ภายหน้าไปหิมถองจะได้เกรงท่าน

เจ้าเมืองซุยได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้จัดแจงทหารจะยกตามตีทัพหิมถอง กุยเหลียงจึงว่าเมืองฌ้อนั้นทแกล้วทหารล้วนฝีมือกล้าแข็ง ซึ่งเสียวซูว่ามีแต่ทหารแก่ชรานั้นข้าพเจ้าเห็นจะเป็นกลอุบายหิมถอง ถ้าท่านยกตามไปก็จะเสียทีเป็นมั่นคง เจ้าเมืองซุยได้ฟังกุยเหลียงทัดทานดังนั้นก็คิดรวนเรเป็นสองใจ จึงให้โหรหาฤกษ์ก็หาฤกษ์มิได้ เจ้าเมืองซุยก็มิได้ให้ยกทัพไปตามหิมถอง

ฝ่ายหิมถองค่อยเดินทัพมา คอยทีจะให้ทัพเมืองซุยตามตีเป็นหลายเพลาแล้ว ก็หาเห็นกองทัพเมืองซุยตามมาไม่ จึงปรึกษาเต๋าเป๊กปี่ว่า การที่คิดไว้เห็นจะไม่สมคะเนแล้ว เต๋าเป๊กปี่จึงว่า ดังนั้นท่านจงถอยไปตั้งอยู่ตำบลฉิมลก จึงให้หนังสือไปนัดบรรดาหัวเมืองที่เป็นไมตรีกับท่านมาให้พร้อมกัน ณ ตำบลฉิมลก ถ้าเมืองซุยไม่ไปก็เห็นว่าเสียสัตย์ต่อเรา เราจึงยกกลับมาตีเอาเมืองซุยให้จงได้

หิมถองก็เห็นชอบด้วย จึงให้ถอยทัพมาตั้งอยู่ตำบลฉิมลกแล้วมีหนังสือไปนัดหัวเมืองบรรดาเป็นไมตรีกันคือเมืองบาหนึ่ง เมืองหยกหนึ่ง เมืองคะบดหนึ่ง เมืองเตงหนึ่ง เมืองแหหนึ่ง เมืองกาหนึ่ง เมืองโลหนึ่ง เมืองอุนหนึ่ง เมืองยี่หนึ่ง เมืองอึงหนึ่ง เมืองจิ้นหนึ่ง เมืองกังหนึ่ง เป็นสิบสามหัวเมืองด้วยกันทั้งเมืองซุย บรรดาหัวเมืองทั้งปวงแจ้งกำหนดนัดหิมถองก็มาพร้อมกัน แต่เมืองซุยกับเมืองอึงหามาตามกำหนดไม่ หิมถองให้เอียมเจียมคุมทหารพันหนึ่งยกไปตีเมืองอึง เจ้าเมืองอึงรู้ออกมาอ่อนน้อมรับผิด เอียมเจียมก็กลับมาแจ้งความกับหิมถองทุกประการ หิมถองก็มีความยินดีจึงปรึกษากับเต๋าเป๊กปี่ว่าเจ้าเมืองซุยเสียสัตย์ต่อเราแล้วจำจะยกไปกำจัดเสีย เต๋าเป๊กปี่ก็เห็นชอบด้วย หิมถองก็จัดทหารพร้อมแล้วก็ยกทหารไปเมืองซุยตั้งมั่นตำบลฮันต๋งทางประมาณห้าสิบเส้น

เจ้าเมืองซุยแจ้งว่าหิมถองยกมาจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า หิมถองยกมาครั้งนี้เราคิดจะสู้รบประการใด กุยเหลียงจึงว่า จะคิดสู้รบเอาชัยชนะนั้นยากนัก ขอท่านจงแต่งให้ผู้มีสติปัญญาออกไปอ่อนน้อมว่ากล่าวเกลี่ยไกล่เสียเมืองเราจึงจะมีสุข เสียวซูจึงว่ากับเจ้าเมืองซุยว่า ท่านจะเกรงอะไรกับหิมถอง ครั้งนี้หิมถองจะเอาม้าและอาวุธมาเป็นของกำนัลเรา ขอท่านรีบเกณฑ์กองทัพให้พร้อมแต่ในเวลานี้เถิด ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าหิมถองแรกยกทัพมาถึงม้าและคนกำลังอิดโรย เรายกทัพออกโจมตีก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย

เจ้าเมืองซุยก็เห็นด้วย จึงจัดทัพให้เสียวซูเป็นปีกซ้าย กุยเหลียงเป็นปีกขวา เจ้าเมืองซุยเป็นทัพหลวง รีบยกทหารออกจากเมือง ครั้นไปถึงเขาลิมซัว ใกล้ค่ายหิมถองประมาณสิบสี่เส้น เจ้าเมืองซุยก็ให้ตั้งมั่นอยู่แล้วปรึกษาเสียวซูกุยเหลียงว่า ทัพเมืองฌ้อตั้งอยู่สามค่าย เราจะเข้าตีค่ายไหนก่อน กุยเหลียงจึงว่าจำจะตีค่ายปีกซ้ายก่อน ถ้าปีกซ้ายแตกแล้วค่ายกลางกับปีกขวาเห็นจะย่อท้อลงเห็นจะได้ชัยชนะ

เสียวซูจึงว่า ซึ่งจะเข้าตีค่ายปีกซ้ายเหมือนคำกุยเหลียงว่านั้นเห็นเจ้าเมืองฌ้อจะหัวเราะเยาะเล่นว่าหลีกค่ายแม่ทัพเสีย ข้าพเจ้าคิดว่าเข้าตีเอาค่ายกลางทีเดียว ถ้าค่ายกลางแตกแล้วปีกซ้ายปีกขวาก็จะพลอยแตกเอง เจ้าเมืองซุยก็เห็นด้วยจึงยกทหารตรงเข้าตีค่ายกลาง

หิมถองก็ยกทหารออกสู้รบต้านทานไว้ แล้วโบกธงให้ปีกซ้ายปีกขวาตีกระหนาบล้อมกองทัพเมืองซุยเข้ามา เตาต้นทหารหิมถองขับม้ารำง้าวเข้ารบกับเสียวซูได้สิบเพลง เตาต้นเอาง้าวฟันเสียวซูตกม้าตายแล้ว เตาต้นขับม้าพาทหารไล่ฆ่าฟันทหารเมืองซุยตายเป็นอันมาก กุยเหลียงต้านทานมิได้ก็พาเจ้าเมืองซุยหักออกจากที่ล้อมหนีไป หิมถองก็ขับม้าพาทหารไล่ติดตาม ฆ่าฟันทหารเมืองซุยตายลงประมาณส่วนหนึ่ง เจ้าเมืองซุยเห็นจะหนีมิทัน โจนลงจากเกวียนวิ่งหนีปนไปกับทหารเลว หิมถองก็ให้เก็บเอาเกวียนและม้า และเครื่องสาตราวุธได้เป็นอันมากแล้วก็พาทหารถอยออกมาค่าย

เจ้าเมืองซุยครั้นกลับมาถึงเมือง จึงว่ากับกุยเหลียงว่า เราเสียทีครั้งนี้เพราะไม่ฟังคำท่าน แล้วถามว่าเสียวซูอยู่ไหนเล่า ทหารเสียวซูก็บอกว่าเสียวซูตายเสียในที่รบแล้ว เจ้าเมืองซุยก็ทอดใจใหญ่ กุยเหลียงเห็นดังนั้นจึงว่า ท่านเสียดายมันไย ซึ่งเสียทหารทั้งนี้มิใช่ความคิดเสียวซูหรือ เจ้าเมืองซุยก็เห็นด้วยจึงว่าราชการทั้งปวงเราให้เป็นสิทธิ์แก่ท่านผู้เดียว

กุยเหลียงจึงว่า ถ้าท่านจะเชื่อถือข้าพเจ้าก็แล้ว จงแต่งผู้มีสติปัญญาออกไปอ่อนน้อมแก่เจ้าเมืองฌ้อเสียโดยเร็วเถิด ถ้าช้าอยู่เห็นกองทัพเมืองฌ้อจะถึงเชิงกำแพง ราษฎรจะได้ความเดือดร้อนยิ่งนัก เจ้าเมืองซุยจึงว่า ครั้งนี้ท่านจงไปเองเถิดราษฎรจะได้พ้นอันตราย เจ้าเมืองซุยก็จัดแจงเครื่องบรรณาการให้กุยเหลียงรีบไปค่ายเจ้าเมืองฌ้อ ครั้นไปถึงจึงบอกนายประตูว่า เราชื่อกุยเหลียง เจ้าเมืองซุยให้คุมของมาคำนับเจ้าเมืองฌ้อ ทหารก็เข้าไปแจ้งความแก่หิมถอง หิมถองก็ให้กุยเหลียงเข้ามา

กุยเหลียงคำนับหิมถองแล้วว่า เจ้าเมืองซุยให้ข้าพเจ้าเอาสิ่งของทั้งนี้มาคำนับท่าน ด้วยข้อผิดมิได้ไปตามกำหนด หิมถองได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า นายท่านเสียสัตย์แล้วครั้นสู้รบเราไม่ได้สิกลับมาขอโทษ เมื่อแรกยกมานั้นเป็นไรมิออกมาอ่อนน้อมโดยดีเล่า นี่เราได้ทำเกินไปแล้วจะทำให้สำเร็จ

กุยเหลียงจึงว่า เมื่อแรกท่านยกมาถึงแดนเมืองซุยนั้น เจ้าเมืองซุยนายข้าพเจ้าก็จัดแจงเครื่องบรรณาการจะออกมาอ่อนน้อมต่อท่าน เสียวซูขุนนางที่ปรึกษาทัดทานไว้ แล้วอาสายกกองทัพออกมาต่อสู้ท่าน เมื่อนายข้าพเจ้าเสียทีกลับเข้าไปถึงเมืองนั้น ให้หาตัวเสียวซูจะตัดเอาศีรษะมาคำนับท่าน พอแจ้งว่าเสียวซูตายแล้วก็มีความยินดีจึงให้ข้าพเจ้าออกมาคำนับท่าน จงกรุณาแก่เจ้าเมืองซุยเถิด บรรดาหัวเมืองที่ขึ้นกับเมืองซุยนั้นจะมอบให้เป็นสิทธิ์แก่ท่านสิ้น

เต๋าเป๊กปี่ที่ปรึกษาหิมถองจึงว่า ซึ่งเสียวซูตายเสียนั้นเป็นบุญของเจ้าเมืองซุยที่จะพ้นความฉิบหาย แล้วว่ากับหิมถองว่า ท่านจงงดโทษเจ้าเมืองซุยสักครั้งหนึ่งเถิด หิมถองก็เห็นด้วย จึงว่ากับกุยเหลียงว่า เราจะยกโทษนายท่านเสียสักครั้งหนึ่ง สืบไปเมื่อหน้าอย่าให้นายท่านเชื่อคำยุยงอย่างนี้ กุยเหลียงมีความยินดีนัก คำนับหิมถองกลับมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองซุยทุกประการ เจ้าเมืองซุยก็มีความยินดีนัก

ฝ่ายหิมถองครั้นกุยเหลียงไปแล้ว ก็เลิกทัพกลับมาเมืองฌ้อ จึงให้หาวันฤกษ์ดี หิมถองก็ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า ชื่อฌ้อบู๊อ๋อง เมืองซุยและในที่ตำบลหันซุยก็ไปขึ้นแก่เมืองฌ้อสิ้น ฌ้อบู๊อ๋องจึงให้หิมจ่อแซ่เดียวกันไปเป็นเจ้าเมืองเท้ง

ฝ่ายหงอเสงขณะเมื่อมีชัยชนะพระเจ้าฮวนอ๋องครั้งนั้นมีใจกำเริบนัก ให้ปูนบำเหน็จทแกล้วทหารทั้งปวงตามความชอบในการศึก และก๋งจูหงวนนั้น หงอเสงสรรเสริญความชอบมากกว่าทหารทั้งปวงตั้งให้เป็นเจ้าเมืองลกอีบ

แล้วเจ้าพนักงานอ่านชื่อจ๊กเยียมขึ้น หงอเสงได้ยินชื่อจ๊กเยียมก็ถอนใจใหญ่ แล้วเอามือลูบหนวดนิ่งตะลึงอยู่ จ๊กเยียมเห็นดังนั้นจึงเข้ามาคำนับหงอเสงแล้วว่า การศึกครั้งนี้ความชอบของข้าพเจ้ามากกว่าทหารทั้งปวงอีก เหตุไรท่านจึงไม่ปูนบำเหน็จข้าพเจ้าเล่า

หงอเสงจึงว่า เราทำการรบพุ่งต้านทานทัพหลวงนี้ เป็นแต่จะป้องกันชีวิตและบุตรภรรยาทั้งปวง ใช่จะหมายเอาสมบัตินั้นหามิได้ ตัวท่านก็เป็นแต่ทหาร พระเจ้าฮวนอ๋องเป็นกษัตริย์ หาคู่ควรจะทำอันตรายไม่ ครั้นจะปูนบำเหน็จท่านบัดนี้ คนทั้งแผ่นดินก็จะติเตียนเราว่าหามีความกตัญญูต่อพระเจ้าแผ่นดินไม่ จ๊กเยียมได้ฟังดังนั้นก็เสียใจนักคำนับลาหงอเสงกลับมาบ้าน อยู่ประมาณสามวันก็เป็นฝีดาษตาย หงอเสงก็ให้แต่งการฝังศพตามตำแหน่งที่นายทหารเอก แล้วเอาบุตรภรรยามาปูนบำเหน็จเป็นอันมาก ครั้น ณ เดือนสี่ข้างขึ้น หงอเสงป่วยด้วยโรคชรานั้นหนักขึ้นทุกวัน จึงให้ชัวจกเข้าไปข้างในแล้วว่า เรานี้เห็นจะไม่รอดแล้ว และบุตรมีถึงสี่คน เห็นจะเอาอาการได้อยู่สามคน ก๋งจูฮุด ก๋งจูคุด ก๋งจูหมี เราคิดว่าจะให้ก๋งจูคุดเป็นเจ้าเมืองแทนเรา

ชัวจกจึงว่า ก๋งจูฮุดมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ทั้งฝีมือรบพุ่งก็เข้มแข็งควรที่จะแทนท่านได้ ซึ่งจะให้บุตรผู้น้อยขึ้นเป็นเจ้าเมืองก่อนนั้นข้าพเจ้าไม่เต็มใจ หงอเสงได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่แล้วว่า บ้านเมืองเราจะเกิดอันตรายแล้ว พอโรคกำเริบหนักขึ้นมาหงอเสงก็ขาดใจตาย ชัวจกกับขุนนางทั้งปวงก็แต่งการฝังศพตามตำแหน่งเจ้าเมืองแล้วยกก๋งจูฮุดขึ้นเป็นเจ้าเมืองเตง

ก๋งจูคุดก็พานางยงเกียดผู้มารดาหนีไปเมืองซอง เล่าความซึ่งชัวจกตั้งก๋งจูฮุดเป็นเจ้าเมืองเตงนั้นให้เจ้าเมืองซองฟังทุกประการ อีปีนเจ้าเมืองซองว่าเราจะยกไปกำจัดก๋งจูฮุดเสียเอาสมบัติบิดาให้กับเจ้า ขณะนั้นพอนายประตูมาบอกว่า ชัวจกขุนนางเมืองเตงคุมเครื่องบรรณาการมาคำนับท่าน อีปีนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่ากับก๋งจูคุดว่า เมืองเตงอยู่ในเงื้อมมือเราแล้ว หลานอย่าวิตกเลย แล้วอีปีนสั่งให้พาชัวจกเข้ามาที่ออกขุนนาง

ชัวจกเข้าไปคำนับแล้วว่า ก๋งจูฮุดซึ่งเป็นเตงจงก๋งเจ้าเมืองเตงให้คุมเครื่องบรรณาการมาคำนับท่าน อีปีนก็มิได้ว่าประการใดสั่งทหารให้เอาตัวชัวจกไปจำไว้ ชัวจกก็ตกใจนักด้วยมิได้รู้ตัวว่าผิด อยู่มาประมาณสามวัน ห่อต๊กจึงไปเยี่ยมหวังจะพูดจาดูชั้นเชิงชัวจก ชัวจกเห็นห่อต๊กมาก็ดีใจคำนับแล้วถามว่า ข้าพเจ้ามีความผิดสิ่งไรท่านจงกรุณาบอกข้าพเจ้าให้แจ้งด้วย

ห่อต๊กจึงว่า ก๋งจูคุดเป็นหลานเจ้าเมืองซอง ท่านก็รู้อยู่แล้วทำไมจึงว่าไม่รู้โทษตัวเล่า บัดนี้ก๋งจูคุดมากล่าวโทษว่าท่านยกเมืองเตงให้ก๋งจูฮุด หาทำตามหงอเสงสั่งไม่ เจ้าเมืองซองจึงเอาตัวท่านมาจำไว้ ชัวจกจึงว่า เมื่อหงอเสงจะตายนั้นสั่งข้าพเจ้าไว้ให้ก๋งจูฮุดเป็นเจ้าเมืองเตง ใช่ข้าพเจ้าจะทำตามอำเภอใจนั้นหามิได้ ห่อต๊กจึงว่า ข้อซึ่งหงอเสงสั่งท่านนั้นท่านเข้าใจว่าไม่มีผู้ใดได้ยินหรือ อันข้าพเจ้ามาเยี่ยมท่านนี้ หวังจะเตือนสติท่าน ถ้าท่านคิดกำจัดก๋งจูฮุดเสีย เอาก๋งจูคุดขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้ท่านจึงจะพ้นโทษ ชัวจกจึงว่า ข้าพเจ้าจะทำดังท่านว่านี้ก็เหมือนหากตัญญูไม่ ห่อต๊กได้ฟังดังนั้นก็ห้วเราะแล้วว่า ก๋งจูคุดนี้มิใช่บุตรหงอเสงหรือ อันพี่น้องชิงสมบัติกันก็ย่อมมีมาแต่ก่อนเป็นอันมาก เมื่อท่านถือกตัญญูทำมิได้เช่นข้าพเจ้าก็ตามเถิด แต่ได้ว่าก็มาถึงนี่แล้วจะช่วยบอกท่านให้รู้ตัว ด้วยได้รู้จักกันมาแต่ก่อน อนึ่งได้ยินเจ้าเมืองซองสั่งให้เกณฑ์ทัพ จะให้ก๋งจูคุดกับลำจงเตียบาลยกไปตีเมืองเตง และเมื่อใดได้ฤกษ์ดีจึงจะยกทัพ เมื่อจะไปนั้นจะตัดศีรษะท่านเซ่นธงสำหรับทัพเป็นฤกษ์ ห่อต๊กบอกแล้วก็ทำเป็นคำนับจะลาไป

ชัวจกก็ตกใจนักจึงยุดชายเสื้อห่อต๊กไว้แล้วจึงว่า ท่านอย่าเพ่อไปก่อน จงช่วยว่ากับเจ้าเมืองซองด้วยเถิด การซึ่งท่านว่านั้นข้าพเจ้าจะทำตามแล้ว ห่อต๊กจึงว่า ซึ่งเรามาว่าทั้งนี้ใช่ว่าเจ้าเมืองซองใช้มาหามิได้ เป็นแต่มาเยี่ยมเยียนท่านกับได้ยินความมาก็เล่าให้ท่านฟัง ครั้นเราจะเอาความที่ท่านว่านี้ไปแจ้งแก่เจ้าเมืองซอง ถ้าภายหลังท่านกลับกลายไปประการใดข้าพเจ้าก็จะพลอยได้ผิดด้วยหาต้องการไม่ ถ้าท่านจะให้ข้าพเจ้าไปแจ้งแก่นายข้าพเจ้า ก็ให้เห็นความจริงก่อนเถิด ชัวจกก็สาบานตัวให้ห่อต๊กฟัง ห่อต๊กก็มีความยินดี จึงคำนับลาชัวจกกลับไปหาเจ้าเมืองซองเอาความซึ่งได้พูดกับชัวจก ชัวจกรับกำจัดก๋งจูฮุดเสีย จะตั้งก๋งจูคุดเป็นเจ้าเมืองเตงนั้นเล่าให้เจ้าเมืองซองฟังทุกประการ

อีปีนเจ้าเมืองซองก็มีความยินดี จึงว่ากับก๋งจูคุดว่า ชัวจกรับธุระแล้ว การที่ได้เมืองเตงครั้งนี้เพราะความคิดเรา เราจะเอาหัวเมืองขึ้นสามหัวเมืองกับทองร้อยชั่งกับถ้วยหยกห้าสิบห้าคู่ ข้าวสาลีสามร้อยเกวียนเป็นของคำนับเรา ก๋งจูคุดก็รับให้อีปีน อีปีนจึงให้ไปถอดเอาตัวชัวจกเข้ามาแล้วว่า ท่านจะรับจัดแจงให้ก๋งจูคุดเป็นเจ้าเมืองเตงนั้นเราขอบใจนัก และก๋งจูคุดจะให้หัวเมืองและสิ่งของกับเรา ท่านเป็นผู้ใหญ่อยู่เมืองเตง จงเขียนหนังสือสัญญาไว้ให้เราด้วย ชัวจกก็เขียนหนังสือสัญญาให้ตามคำเจ้าเมืองซอง เจ้าเมืองซองก็ให้ก๋งจูคุดกับชัวจกกลับไปเมืองเตง ให้ยงกิวผู้บุตรไปช่วยว่าราชการ ณ เมืองเตงด้วย ก๋งจูคุดก็ลามา ครั้นถึงเมืองเตงชัวจกก็เอาก๋งจูคุดกับยงกิวซ่อนไว้ในตึก ชัวจกก็ทำเป็นป่วยเสียหาเข้าไปคำนับไม่

ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงแจ้งว่าชัวจกกลับมาจากเมืองซองแล้วป่วยอยู่ ต่างคนก็ไปเยี่ยมชัวจก ณ เรือน ให้คนใช้ชัวจกเข้าไปแจ้งแก่ชัวจกที่ข้างใน ชัวจกแจ้งดังนั้นจึงให้ทหารคนสนิทมาพร้อมแล้ว ให้แต่งตัวใส่เกราะถือกระบี่ทุกคน ชัวจกก็ถือกระบี่สำหรับมือพาทหารออกมาที่รับแขก ขุนนางทั้งปวงเห็นชัวจกทำอาการประหลาดต่างคิดสงสัยนักจึงว่า ข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านป่วยพากันมาเยี่ยม บัดนี้เห็นเป็นปกติอยู่เหตุไรท่านจึงไม่เข้าไปคำนับก๋งจูฮุดเล่า

ชัวจกจึงว่า เราป่วยด้วยราชการแผ่นดินดอก ท่านทั้งปวงหารู้ไม่หรือ บัดนี้อีปีนเจ้าเมืองซองจะให้ลำจงเตียบาลเป็นแม่ทัพมาตีเมืองเตง เราเห็นว่าที่จะสู้รบทัพเมืองซองด้วยทแกล้วทหารนั้นเหลือกำลังนักจะพาบุตรภรรยามาตายสิ้น ขุนนางทั้งปวงมิได้แจ้งอุบายชัวจกก็ตกใจนัก จึงว่าบ้านเมืองจะเกิดศึกดังนั้น ท่านจะคิดผ่อนผันประการใด ชัวจกจึงว่า เราเห็นจะเอาบุตรภรรยารอดได้นั้นอย่างเดียว ถอดก๋งจูฮุดออกจากเมืองเตง ยกก๋งจูคุดขึ้นแทน ทัพเมืองซองก็จะถอยไป ด้วยก๋งจูคุดเป็นหลานเจ้าเมืองซอง ท่านทั้งปวงก็รู้อยู่ด้วยกันสิ้น แต่ผู้ใดจะเห็นด้วยเราบ้าง ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นต่างคนนิ่งตะลึงอยู่

โกกีนีจึงว่า ซึ่งท่านคิดนี้ควรนัก โกกีนีก็ยืนขึ้นถอดกระบี่ออกแล้วประกาศว่า ผู้ใดมิยอมตามคำชัวจกเราจะตัดศีรษะเสีย ขุนนางทั้งปวงกลัวนักต่างคนว่าต้องคำกันว่าการทั้งนี้สุดแท้แต่ชัวจก ชัวจกก็ให้เชิญก๋งจูคุดออกมาจากในตึกให้นั่งที่สมควร แล้วชัวจกจึงคุกเข่าลงคำนับ ขุนนางทั้งปวงก็คำนับพร้อมกัน ชัวจกจึงแต่งหนังสือแจ้งความซึ่งตั้งก๋งจูคุดเป็นเจ้าเมืองเตงนั้น ให้ขุนนางถือไปให้ก๋งจูฮุด ก๋งจูฮุดแจ้งดังนั้นก็ตกใจ คิดว่าซึ่งจะสู้รบก๋งจูคุดครั้งนี้เห็นจะไม่ได้ ด้วยก๋งจูคุดได้เจ้าเมืองซองเป็นกำลัง แต่แรกเราคิดผิดเสียเอง ถ้ายอมเป็นเขยเจ้าเมืองเจ๋แล้ว ที่ไหนก๋งจูคุดจะยํ่ายีได้ ก๋งจูฮุดคิดแล้วก็ไปที่ข้างใน พาภรรยาและบ่าวของตัวรีบหนีไปอยู่กับพี่น้องข้างบิดา ณ เมืองโอย

ชัวจกก็เชิญก๋งจูคุดมาที่ออกขุนนาง มอบตราสำหรับที่เจ้าเมืองเตงให้ก๋งจูคุด ก๋งจูคุดก็ตั้งชัวจกเป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการ ชัวจกยกบุตรีหญิงให้เป็นภรรยายงกิวบุตรเจ้าเมืองซอง แล้วตั้งยงกิวเป็นขุนนางในเมืองเตง ก๋งจูคุดครั้นได้เป็นเจ้าเมืองเตงแล้ว จึงแต่งหนังสือบอกข้อราชการไปถึงอีปีนเจ้าเมืองซอง เจ้าเมืองซองก็มีความยินดี ครั้นขึ้นปีใหม่ อีปีนมิได้เห็นเจ้าเมืองเตงเอาของมาให้ตามสัญญา อีปีนจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งใจความว่า เจ้าเมืองซองอวยพรถึงก๋งจูคุดเจ้าเมืองเตง เราแจ้งว่าท่านได้เป็นเจ้าเมืองโดยสะดวกเรายินดีนัก ด้วยสมเหมือนความคิดเรา แต่ค่อยคิดอ่านอย่าให้ผิดกับถ้อยคำที่มีหนังสือไว้ แล้วให้คนใช้รีบถือไปให้ก๋งจูคุด ณ เมืองเตง

ก๋งจูคุดรับหนังสือมาอ่านแจ้งความแล้วจึงส่งให้ชัวจก ชัวจกรับหนังสือมาอ่านแจ้งความแล้วจึงว่า หัวเมืองเราเหล่านี้ขึ้นแก่เมืองเตงมาช้านานหลายชั่วเจ้าเมืองเตง มาแต่ครั้งปู่ย่าและบิดาท่าน บัดนี้ท่านได้เป็นเจ้าเมือง และจะเอาหัวเมืองทั้งสามตำบลไปให้ขึ้นแก่เมืองซองเสียนั้น บรรดาหัวเมืองใหญ่ทั้งปวงจะหัวเราะเยาะท่านว่ารักษาของบิดาไว้ไม่ได้ ประการหนึ่งหัวเมืองที่ยังอยู่แก่เราก็เห็นว่าท่านอยู่ในอำนาจเจ้าเมืองซอง นานไปก็จะเอาใจออกห่างไปขึ้นแก่เมืองซองเสียสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าขอท่านจงจัดทองและถ้วยหยกส่งไปให้บ้าง ฟังท่วงทีดูสักครั้งหนึ่งก่อน

ก๋งจูคุดก็เห็นด้วย จึงให้จัดถ้วยหยกอย่างดีห้าสิบคู่กับทองสิบชั่งแล้วแต่งหนังสือฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า ข้าพเจ้าก๋งจูคุดหลานท่านขอคำนับมายังซวนก๋งเจ้าเมืองซอง ด้วยข้าพเจ้าได้สมบัติและบ้านเมืองของบิดาข้าพเจ้าครั้งนี้ก็เพราะบารมีท่าน ใช่จะลืมคุณลืมคำสัญญาเสียนั้นหามิได้ แต่บัดนี้ขุนนางและราษฎรในเมืองเตงและหัวเมืองขึ้นทั้งหมดยังไม่ปกติ ครั้นจะด่วนแบ่งหัวเมืองไปให้ท่านราษฎรจะระส่ำระสายนัก ข้าพเจ้าจึงจัดได้แต่สิ่งของทั้งนี้ส่งมาคำนับท่านก่อน ถ้าข้าพเจ้าจัดแจงบ้านเมืองราบคาบแล้ว จึงจะให้สิ่งของทั้งปวงตามสัญญามาให้ท่านต่อครั้งหลัง ครั้นแต่งหนังสือแล้วจึงมอบทองกับหยกให้ผู้ถือหนังสือมานั้นกลับไปให้เจ้าเมืองซอง

อีปีนเจ้าเมืองซองเห็นสิ่งของและแจ้งข้อความในหนังสือดังนั้นก็โกรธ จึงใช้ให้คนกลับไปว่ากับก๋งจูคุดว่า เมื่อหัวเมืองและสิ่งของมิได้ครบตามสัญญาแล้ว ก็ให้ชัวจกมาคิดกับเราเถิด คนใช้ก็รีบมาแจ้งแก่ก๋งจูคุด ก๋งจูคุดจึงว่าท่านกลับไปก่อนเถิด เราจะปรึกษาชัวจกดูก่อน คนใช้เจ้าเมืองซองก็กลับไป

ก๋งจูคุดจึงหาชัวจกมาปรึกษาว่า เจ้าเมืองซองจะให้ท่านไปนั้นเห็นจะคิดทำประการใด ชัวจกจึงว่า ซึ่งเจ้าเมืองซองให้ข้าพเจ้าไปครั้งนี้หมายจะยึดตัวไว้ หวังจะให้ท่านเอาหัวเมืองและสิ่งของไปถ่ายตัวข้าพเจ้า ก๋งจูคุดจึงว่า เราก็เห็นอย่างท่านว่า แต่เราจะคิดประการใดจึงจะตัดขาด อย่าให้เจ้าเมืองซองทวงหัวเมืองทั้งสามตำบลได้ ชัวจกจึงว่า ซึ่งเจ้าเมืองซองมีคุณกับท่านแต่เพียงนี้ หาควรจะเอาของตอบแทนไม่ ด้วยตัวท่านก็เป็นหลานสนิท ประการหนึ่งบิดาท่านก็มีคุณแก่เมืองซองมาแต่ก่อนเป็นอันมาก ก๋งจูคุดจึงถามชัวจกว่า บิดาเรามีคุณกับเจ้าเมืองซองเป็นอย่างไรแต่ครั้งไรท่านจงเล่าให้เราฟัง

ชัวจกจึงบอกว่า เมื่อครั้งบกก๋งบิดาอีปีนตายนั้น ซ่วนก๋งลุงอีปีนได้เป็นเจ้าเมืองซอง อีปีนหนีมาอยู่เมืองเตง บิดาท่านทำนุบำรุงอีปีนมิให้อนาทร ครั้นห่อต๊กฆ่าซ่วนก๋งเสีย บิดาท่านจึงจัดแจงส่งอีปีนไปเป็นเจ้าเมืองซอง อีปีนได้ให้เซียงอี้ แปลว่าหยกทองของวิเศษมากับบิดาท่านแต่สิ่งเดียว ข้าพเจ้าคิดจะเอาเซียงอี้คืนไปให้อีปีน อีปีนจะได้คิดถึงคุณบิดาท่านที่มีไว้กับอีปีนแต่ก่อนบ้าง แต่ซึ่งจะเอาเซียงอี้ไปให้อีปีนนั้น จึงจะให้เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองเจ๋เอาไปให้ด้วยเจ้าเมืองทั้งสองเป็นไมตรีกันมากับบิดาท่าน จะให้ช่วยว่ากล่าวอีปีนอย่าให้ทวงเอาหัวเมืองทั้งสามตำบลแก่ท่าน และที่บิดาท่านมีคุณกับอีปีนไว้นั้นเจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองเจ๋แจ้งอยู่จะได้คิดละอายใจ

ก๋งจูคุดได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบด้วยจึงว่า บิดาเรามีคุณกับอีปีนมากกว่าอีปีนมีคุณกับเราอีก ไม่ควรเลยที่จะมาเร่งรัดเอาสิ่งของและหัวเมืองแก่เราผู้หลานให้ได้ความอัปยศ แล้วก๋งจูคุดแต่งหนังสือสองฉบับใจความต้องกัน ให้ซกตำถือไปเมืองเจ๋ฉบับหนึ่ง ให้ยงกิวถือหนังสือกับเซียงอี้ทั้งข้าวสาลีและทองไปเมืองฬ่อ ยงกิวครั้นไปถึงเมืองฬ่อเอาหนังสือกับสิ่งของไปให้เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองฬ่อรับหนังสือมาอ่านได้ความว่า ข้าพเจ้าก๋งจูคุดเจ้าเมืองเตง คำนับมาถึงฬ่อจงก๋งเจ้าเมืองฬ่อ ด้วยข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านกับบิดาข้าพเจ้าเป็นไมตรีกันมาแต่ก่อน และเมื่อครั้งบิดาข้าพเจ้าตาย ต้องไปพึ่งเมืองซองจึงได้เป็นเจ้าเมืองเตง บุญคุณของเจ้าเมืองซองก็อยู่กับข้าพเจ้าเป็นอันมาก และเจ้าเมืองซองจะทวงเอาหยกกับหัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองเตงสามหัวเมือง ทองหยกนั้นข้าพเจ้าได้จัดแจงส่งไปให้บ้างแล้ว และบัดนี้เจ้าเมืองซองจะเร่งรัดเอาเมืองขึ้นแก่ข้าพเจ้าให้จงได้ ครั้นข้าพเจ้าจะแบ่งหัวเมืองทั้งสามให้ไปขึ้นกับเมืองซองเล่า ตัวข้าพเจ้าพึ่งได้เป็นเจ้าเมืองใหม่ราษฎรยังไม่ปกติ ข้าพเจ้าให้ไปเรียกเอาส่วยสามหัวเมืองมาจัดซื้อข้าวแลทอง อันเซียงอี้เป็นของวิเศษสำหรับเมืองซองที่อีปีนเจ้าเมืองซองให้มากับบิดาข้าพเจ้านั้น ส่งมาให้แก่ท่าน ท่านจงเห็นแก่ไมตรีซึ่งมีมากับบิดาข้าพเจ้าแต่ก่อน ช่วยเอาของทั้งนี้ให้แก่เจ้าเมืองซองแทนสามหัวเมือง แล้วท่านจงช่วยว่ากล่าวเจ้าเมืองซองให้คิดถึงคุณบิดาข้าพเจ้าด้วย

ฬ่อจงก๋งดูหนังสือแล้วก็หัวเราะ จึงว่าแก่ยงกิวว่า ก๋งจูคุดนายท่านจะยืมปากให้เราลำเลิกเจ้าเมืองซองหรือ ท่านจงไปแจ้งแก่ก๋งจูคุดเมืองเตงว่า ทุกวันนี้เรายังคิดถึงหงอเสงบิดาก๋งจูคุดอยู่มิขาด ถ้าก๋งจูคุดมีธุระสิ่งไรก็บอกมาให้แจ้งเถิด เราจะช่วยตามสติกำลัง และซึ่งธุระที่เกี่ยวข้องกันกับเมืองซองนี้เราจะช่วยว่ากล่าว อย่าให้ก๋งจูคุดวิตกเลย ยงกิวก็คำนับลากลับมาแจ้งแก่ก๋งจูคุดตามคำเจ้าเมืองฬ่อสั่งมาทุกประการ ก๋งจูคุดก็มีความยินดี

ฝ่ายซกตำซึ่งถือหนังสือก๋งจูคุดไปถึงเมืองเจ๋นั้น ครั้นถึงก็เอาหนังสือเข้าไปให้เจ๋ฮูก๋ง เจ๋ฮูก๋งดูหนังสือแจ้งว่าก๋งจูคุดเป็นเจ้าเมืองเตงก็โกรธจึงถามผู้ถือหนังสือว่า เดิมสิเราแจ้งว่าก๋งจูฮุดเป็นเจ้าเมืองเตงแล้วเหตุผลประการใดก๋งจูคุดถึงขึ้นเป็นเจ้าเมืองเตงเล่า บัดนี้ก๋งจูฮุดไปอยู่แห่งใด ซกตำก็เล่าความซึ่งก๋งจูคุดได้เป็นเจ้าเมืองเตงแล้ว ก๋งจูฮุดหนีไปอยู่เมืองโอยนั้นให้เจ๋ฮูก๋งฟังทุกประการ

เจ๋ฮูก๋งจึงว่า ก๋งจูฮุดนั้นทำความชอบไว้กับเราครั้งศึกไตเหลียง เราคิดจะสนองคุณก๋งจูฮุดอยู่ และซึ่งก๋งจูคุดเป็นศัตรูก๋งจูฮุดนั้นเหมือนเป็นศัตรูเรา จะให้เราไปช่วยว่าเจ้าเมืองซองนั้นป่วยการปากหาต้องการไม่ เราจะไปกำจัดก๋งจูคุดเสีย คืนเอาสมบัติเมืองเตงให้ก๋งจูฮุดจงได้ ซกตำเห็นเจ๋ฮูก๋งพูดจาตัดรอนดังนั้นก็คำนับลากลับมาเมืองเตงแจ้งความแก่ก๋งจูคุดทุกประการ ก๋งจูคุดแจ้งดังนั้นก็น้อยใจเจ้าเมืองเจ๋นัก จึงปรึกษาชัวจกว่า เจ้าเมืองเจ๋ว่าจะยกมาตีเมืองเรานั้น ท่านจะคิดประการใด ชัวจกว่าเกิดมาเป็นชายชาติทหารแล้วจะเกรงอะไรกับสงคราม ก๋งจูคุดมิได้ตอบประการใด

ฝ่ายฬ่อจงก๋งเจ้าเมืองฬ่อ ครั้นยงกิวผู้ถือหนังสือเมืองเตงกลับไปแล้ว ก็ให้เอาสิ่งของทั้งปวงของก๋งจูคุดบรรทุกเกวียนไปตำบลฮูเจ๋งปลายแดนเมืองซอง ครั้งนั้นพระเจ้าฮวนอ๋องเสวยราชสมบัติได้ยี่สิบปีเป็นเดือนเก้า เจ้าเมืองฬ่อจึงให้คนใช้เข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองซองว่าให้เชิญออกมาตำบลฮูเจ๋ง เจ้าเมืองซองแจ้งดังนั้นก็ออกไปหาเจ้าเมืองฬ่อ ถ้อยทีถ้อยคำนับกันแล้ว เจ้าเมืองซองจึงถามเจ้าเมืองฬ่อว่าท่านอุตส่าห์มาถึงตำบลฮูเจ๋ปลายแดนเมืองข้าพเจ้าด้วยกิจธุระประการใด เจ้าเมืองฬ่อว่าเราแจ้งว่าท่านช่วยทำนุบำรุงก๋งจูคุดขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทนบิดานั้นเราพลอยยินดีด้วย ก็เหตุไรท่านจะเร่งรัดเอาหัวเมืองขึ้นกับเมืองเตงถึงสามหัวเมืองเล่า

อีปีนได้ฟังก็โกรธก๋งจูคุดนัก จึงว่าแก่เจ้าเมืองฬ่อว่า ก๋งจูคุดนั้นมิได้รู้คุณข้าพเจ้า ข้าพเจ้าทำนุบำรุงก๋งจูคุดเหมือนแม่ไก่ฟักฟอง ครั้นก๋งจูคุดมีปีกหางบริบูรณ์แล้ว ก็ลืมคำสัญญาไว้กับข้าพเจ้าเสีย เจ้าเมืองฬ่อจึงว่า ก๋งจูคุดได้สัญญาไว้ก็หาให้เสียคำสัญญาไม่ บัดนี้ก็จัดได้ทองและหยกกับข้าวสาลีสองเกวียนวานให้เราเอามาให้แก่ท่าน อีปีนจึงว่าของทั้งนี้ก็ครบตามสัญญาแล้ว แต่สามหัวเมืองนั้นเมื่อไรก๋งจูคุดจะให้เล่า

เจ้าเมืองฬ่อได้ฟังอีปีนว่าดังนั้นจึงคิดว่าอีปีนเป็นคนโลภไม่มีความอาย ครั้นจะพูดจาโดยไมตรีหาต้องไม่ เจ้าเมืองฬ่อคิดแล้วจึงว่า ซึ่งจะเอาสามหัวเมืองมาขึ้นกับเมืองซองนั้นไม่ชอบ ด้วยหัวเมืองทั้งสามนั้นได้ขึ้นแก่เมืองเตงมานานแล้ว บัดนี้ก๋งจูคุดเอาเซียงอี้ของวิเศษมาให้ท่านแทนสามหัวเมือง ท่านอย่าได้ทวงถามก๋งจูคุดต่อไปเลย แล้วเจ้าเมืองฬ่อก็ให้คนใช้เอาเซียงอี้มาวางลงตรงหน้าอีปีน จึงแกล้งถามอีปีนว่า เซียงอี้นี้ท่านจำได้หรือไม่ อีปีนเห็นเซียงอี้ก็อายใจเมินหน้าเสียบอกว่า ของสิ่งนี้ข้าพเจ้าแคลงอยู่

เจ้าเมืองฬ่อจึงว่า เมื่อท่านจำมิได้แล้วเราจะช่วยชี้แจงให้รู้จัก เซียงอี้นี้เรารู้อยู่ว่าเป็นของสำหรับเมืองซองมาแต่ครั้งปู่บิดาท่าน และเมื่อท่านไปอาศัยเมืองเตง หงอเสงบิดาก๋งจูคุดทำนุบำรุงท่านดุจหนึ่งพี่น้อง ท่านจึงได้รอดชีวิตอยู่จนได้เป็นเจ้าเมืองซอง ท่านรู้จักคุณหงอเสงจึงเอาเซียงอี้นี้ให้หงอเสง อันหงอเสงมีคุณแก่ท่านนั้นเราและหัวเมืองทั้งปวงก็รู้ทั่วทั้งแผ่นดิน ซึ่งเราว่านี้ท่านรำลึกได้บ้างหรือไม่ อีปีนได้ฟังดังนั้นทั้งอายทั้งเกิดโมโหขึ้นจนหน้าแดงหนวดชันขึ้นทุกเส้น แต่มิรู้ที่โต้ตอบเจ้าเมืองฬ่อประการใด พอมีผู้เข้ามาบอกว่าเจ้าเมืองเอียนจะเข้ามาหาท่าน

อีปีนแจ้งดังนั้นก็ให้คนใช้ยกเซียงอี้ไปซ่อนเสีย แล้วให้เชิญเจ้าเมืองเอียนเข้ามา ถ้อยทีถ้อยคำนับกันแล้วเชิญให้นั่งที่สมควร เจ้าเมืองเอียนจึงว่ากับอีปีนว่า เจ๋ฮูก๋งเจ้าเมืองเจ๋จะยกมาตีเมืองเอียนแต่ลำพัง ข้าพเจ้าเห็นจะต้านทานทัพเมืองเจ๋ไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงมาหาท่านหวังจะให้ช่วยว่ากับเจ๋ฮูก๋งเจ้าเมืองเจ๋ อย่าให้มาทำอันตรายแก่ข้าพเจ้า อีปีนก็รับว่าท่านอย่าวิตกเลย เรากับเมืองเจ๋พอจะห้ามปรามกันได้อยู่ เจ้าเมืองเอียนก็มีความยินดี จึงคำนับลากลับไปเมือง

ครั้นเจ้าเมืองเอียนกลับไปแล้วอีปีนจึงทำเป็นว่ากังวล ทัพข้าพเจ้ามีอยู่จะลาท่านไปก่อน แล้วก็ลุกขึ้นจะไป เจ้าเมืองฬ่อจึงว่า ท่านกับก๋งจูคุดเป็นอันเสร็จแก่กันแล้ว อย่าได้ไปทวงก๋งจูคุดอีกเลย อีปีนมิได้ตอบประการใด สั่งให้คนใช้ขนสิ่งของทั้งปวงที่เจ้าเมืองฬ่อเอามาให้นั้นบรรทุกเกวียนกลับไปเมืองซอง จึงปรึกษาห่อต๊กว่า ก๋งจูคุดมิได้คิดถึงคุณเราแล้ว ถึงจะตามทวงต่อไปนั้นที่ไหนก๋งจูคุดจะให้ตามสัญญา เราคิดว่าจะไปขอกองทัพเมืองเจ๋มาบรรจบทัพ ยกไปกำจัดก๋งจูคุดเสียจึงจะหายนินทา ห่อต๊กเห็นชอบด้วย อีปีนจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งให้แก่ก๋งจูยือถือไปเมืองเจ๋กำชับสั่งว่า จงอ้อนวอนให้เจ๋ฮูก๋งยกทัพมาช่วยเราให้จงได้ ก๋งจูยือคำนับลาไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ