- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๑๐๓
ฝ่ายเกงเมียนอ๋องรู้ว่าม่องเหงาตีแดนเมืองโอยไปได้หลายตำบลก็ถอนใจใหญ่ คิดถึงสินเลงกุ๋นผู้ตายซึ่งเป็นอาว่าถ้าสินเลงกุ๋นอยู่แล้ว ไหนทัพจะยกมายํ่ายีแดนเมืองงุยได้ถึงเพียงนี้ เกงเมียนอ๋องคิดดังนั้นจึงใช้คนเอาของไปให้เจ้าเมืองเตียวขอเป็นไมตรีกัน เจ้าเมืองเตียวก็รับเป็นไมตรีกับเมืองงุย อยู่มาเพลาวันหนึ่งโตะเซียงอ๋องคิดว่า แต่ก่อนสินเลงกุ๋นเพงง่วนกุนไปนัดหัวเมืองทั้งปวงให้มาช่วยตีเมืองจิ๋น จำเราจะเอาสติปัญญาของเขาบ้าง คิดจะใคร่ให้ไปเที่ยวเกลี้ยกล่อมหัวเมืองจิ๋น พอม้าใช้แดนเมืองเตียวมาแจ้งความว่า เจ้าเมืองเอี๋ยนให้คือซินเป็นแม่ทัพคุมทหารสิบหมื่นยกมาตีตำบลฝ่ายเหนือแดนเมืองเตียว คือซินแม่ทัพเมืองเอี๋ยนคนนี้เดิมเป็นชาวเมืองเตียว เมื่อจะยกทัพมาตีเมืองเตียวนั้น พูดกับเอี๋ยนอ๋องว่าเดิมข้าพเจ้าอยู่เมืองเตียวมาก่อน เคยเห็นฝีมือแม่ทัพอยู่แต่เลียมโพคนเดียวเป็นคนหลักแหลมกว่าทหารทั้งปวง บัดนี้เลียมโพตกไปอยู่เมืองงุยแล้ว ยังอยู่แต่บังเอี๋ยนผู้เดียวซึ่งจะเป็นแม่ทัพได้ ถ้าบังเอี๋ยนเป็นแม่ทัพยกออกมารบกับข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะรับอาสาจับเอาตัวบังเอี๋ยนมาให้ท่านดูหน้าในเมืองเอี๋ยน คือซินพูดดังนี้จึงให้ยกทัพมาเมืองเตียว
ฝ่ายโตะเซียงอ๋องเจ้าเมืองเตียวแจ้งข่าวว่า เมืองเอี๋ยนยกมาตีแดนฝ่ายเหนือจึงให้หาบังเอี๋ยนเข้ามาปรึกษาว่า คือซินแม่ทัพเมืองเอี๋ยนยกมาตีเมืองเราครั้งนี้ ท่านจะเห็นใครซึ่งจะออกไปรับทัพเมืองเอี๋ยนได้ บังเอี๋ยนจึงว่าคือซินคนนี้ถือตัวว่าฝีมือดีเข้าใจว่าทหารในเมืองเตียวจะหามีผู้ใดสู้ได้ไม่ จึงยกทัพมายํ่ายีถึงแดนเรา ข้าพเจ้ากับคือซินเป็นคนเห็นกันมา แต่เพียงฝีมือข้าพเจ้าก็จะออกต้านทานได้ ท่านจงสั่งให้หลีมกซึ่งอยู่ตำบลไต๋กุ๋นให้ยกทหารมาตามทางเข้งโตะ คอยสกัดต้นทางปิดทัพคือซินอย่าให้ถอยยกกลับไปเมืองเอี๋ยนได้ ข้าพเจ้ายกไปข้างหน้า ทัพหลีมกจะได้ตีกระหนาบเข้ามาข้างหลัง เห็นจะจับตัวคือซินได้ ด้วยสกัดไว้ทั้งสองทาง โตะเซียงอ๋องเจ้าเมืองเตียวเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้บังเอี๋ยนเป็นแม่ทัพ ให้เง่าเอยเง่าเสงเป็นปีกซ้ายปีกขวา ยกทัพไปรบเมืองเอี๋ยน ตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลตังหวนแดนเมืองเตียว โตะเซียงอ๋องให้ม้าใช้ไปแจ้งความกับหลีมก หลีมกก็ยกทัพคุมทหารไปทางเข้งโตะ ตั้งค่ายสกัดทัพคือซินอยู่
ฝ่ายคือซินยกทัพมาข้ามแม่น้ำอิจุ้ยมาทางซัวตั๋ง ถึงตำบลเขาเสียงซัวจึงตั้งค่ายอยู่ ม้าใช้มาแจ้งข่าวว่าบังเอี๋ยนมาตั้งค่ายอยู่ตำบลตังมวน คือซินว่าเรามาตั้งทัพล่วงแดนเมืองเตียวเข้ามาหลายตำบล ก็ยังหาตีตำบลใดได้ไม่ คือซินจึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดจะอาสาออกเป็นทัพหน้าไปตีค่ายบังเอี๋ยนได้บ้าง ขณะนั้นเน็กหงวนก็รับอาสา ด้วยเน็กหงวนคนนี้เป็นบุตรเน็กปัก คิดแค้นบังเอี๋ยนอยู่ว่าฆ่าบิดาเสียแต่ก่อนนั้น จึงว่าข้าพเจ้าจะเป็นทัพหน้าคุมทหารไปตีบังเอี๋ยน คือซินแม่ทัพจึงว่า ซึ่งท่านจะไปแต่ผู้เดียวนั้นเห็นจะเสียที จึงให้บู๊เอี๋ยนเจ๋งไปด้วย เน็กหงวนกับบู๊เอี๋ยนเจ๋งยกทหารหมื่นหนึ่งไปตีค่ายบังเอี๋ยน
ฝ่ายบังเอี๋ยนเห็นทัพเมืองเอี๋ยนยกมาจึงสั่งให้เง่าเสงเง่าเอยเป็นปีกซ้ายขวา บังเอี๋ยนเป็นแม่ทัพใหญ่คุมทหารยกออกจากค่ายเข้ารบกับเน็กหงวนบู๊เอี๋ยนเจ๋งได้ประมาณยี่สิบเพลง บังเอี๋ยนก็จุดประทัดขึ้นเป็นสัญญาให้เง่าเสงเง่าเอยปีกซ้ายขวายกทหารเข้าช่วยกันรบทัพเมืองเอี๋ยน
ขณะนั้นบังเอี๋ยนเอาเกาทัณฑ์ยิงถูกบู๊เอี๋ยนเจ๋งล้มลงขาดใจตาย เน็กหงวนยังสู้อยู่แต่ผู้เดียว ครั้นเห็นทหารล้มตายเบาบางก็หนีกลับมายังค่ายคือซิน คือซินก็ยกทัพใหญ่เข้าต่อสู้ด้วยบังเอี๋ยนเป็นสามารถ บังเอี๋ยนเสียทีก็ล่าทัพกลับมาค่ายที่ตำบลตังหวน คือซินก็ยกเข้าตีบังเอี๋ยน บังเอี๋ยนก็ให้ทหารรักษาหน้าที่ไว้ให้มั่นคง คือซินตีค่ายหาแตกไม่แล้วก็ยกกลับไปค่าย จึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งให้ม้าใช้ถือมาให้บังเอี๋ยน บังเอี๋ยนอ่านหนังสือแจ้งความว่าเพลาพรุ่งนี้เรากับท่านขึ้นเกวียนมาคนละเล่ม แล้วห้ามทหารเสียทั้งสองฝ่ายอย่าให้เอาเกาทัณฑ์ลอบยิงกัน บังเอี๋ยนแจ้งความดังนั้น ครั้นเพลารุ่งเช้าก็ขึ้นเกวียนกับทหารพร้อมกันออกไปที่หน้าค่ายตามหนังสือคือซินเขียนมานั้น
ฝ่ายคือซินก็ขึ้นเกวียนมาตามสัญญา คือซินกับบังเอี๋ยนก็หยุดเกวียนอยู่กลางที่รบแล้วแม่ทัพทั้งสองก็พูดกัน บังเอี๋ยนจึงว่าท่านกับเราแต่ก่อนเป็นคนชอบพอกัน บัดนี้อาสาเจ้าออกมาทั้งสองฝ่ายได้ประมาณสี่สิบปีแล้วพึ่งมาพบกัน ซึ่งท่านไปอยู่กับเจ้าเมืองเอี๋ยนนั้นเราหาเห็นสมควรไม่ ด้วยเจ้าเมืองเอี๋ยนเป็นคนอ่อนแอกว่าหัวเมืองทั้งปวง ทั้งอายุท่านก็ถึงเจ็ดสิบปีแล้ว ผมเผ้าก็ยังหาสู้หงอกไม่ ฟันฟางก็ยังดีอยู่ แต่อายุนั้นแก่แล้วยังจะหลงเป็นแม่ทัพอยู่อีกเล่าหาคิดถึงตัวไม่ ยังถือเครื่องศัสตราวุธออกมาทำการศึก ท่านยังรู้สึกตัวแล้วหรือว่าจะตายเวลาไร คือซินได้ยินบังเอี๋ยนพูดดังนั้นจึงว่า แต่เราจากเมืองเตียวมาก็ได้ถึงสี่สิบปีเศษแล้ว เราดูผมเผ้าท่านก็ยังไม่สู้หงอก ฟันท่านก็ยังปกติดี ทั้งกำลังวังชาดูยังแข็งแรงอยู่ คนเราเกิดมาทุกวันอุปมาเหมือนแสงพระอาทิตย์ส่องตามช่องอันน้อยเห็นอยู่ครู่หนึ่งก็จะลับช่องนั้นไป ซึ่งเราอยู่กับเอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยนก็ชุบย้อมให้เราเป็นถึงเสียงก๊กสำเร็จราชการแล้วควรที่เราจะสนองคุณเจ้าจึงจะชอบ ประการหนึ่งเจ้าเมืองเอี๋ยนให้มาแก้อายแทนเลียดปักเป็นที่เสียงก๊กในเมืองงุย เมืองเอี๋ยนแต่ก่อนนั้น
บังเอี๋ยนจึงตอบว่า เลียดปักเป็นคนถึงที่ตายด้วยหามีเหตุไม่ยกมาตีตำบลคัดอิบจึงถึงความตาย เพราะเมืองเอี๋ยนมาทำศึกเมืองเตียวก่อนถึงสองครั้ง ซึ่งเมืองเตียวจะไปทำศึกก่อนนั้นหามิได้ แม่ทัพทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างเถียงก็โกรธกันขึ้น บังเอี๋ยนจึงว่า ถ้าผู้ใดอาสาตัดเอาศีรษะคือซินได้ เราจะให้ทองสามร้อยตำลึงเป็นบำเหน็จความชอบ คือซินได้ฟังดังนั้นจึงว่า ถ้าทหารในค่ายของเราผู้ใดตัดศีรษะบังเอี๋ยนเสียได้ เราก็จะให้ทองสามร้อยตำลึงเหมือนกัน แม่ทัพทั้งสองทุ่มเถียงโต้ตอบกันอยู่ดังนั้น ต่างคนต่างมีมานะก็ให้ทหารเข้ารบตะลุมบอนกันเป็นสามารถ เง่าเสงเง่าเอยก็เข้าตีทัพเมืองเอี๋ยน ทัพเมืองเอี๋ยนก็รับทัพเมืองเตียวมิได้แพ้ชนะกัน
ครั้นเพลาพลบคํ่าก็ตีม้าล่อต่างคนก็เลิกทัพกลับเข้าค่าย คือซินมาถึงค่ายแล้วคิดตรึกตรองว่า เมื่อเราจะยกทัพมาได้พูดสัญญาไว้กับเจ้าเมืองเอี๋ยนว่าจะจับบังเอี๋ยนไปให้ดูหน้า แต่บัดนี้เห็นว่าจะหาสมความที่คิดไว้ไม่แล้ว
ฝ่ายบังเอี๋ยนขณะเมื่อกลับไปถึงค่ายให้ม้าใช้ถือหนังสือมาถึงคือซินฉบับหนึ่ง คือซินอ่านได้ความว่า เรากับท่านก็เป็นคนเคยรักกันมาแต่ก่อนหามีผิดหมองพ้องใจกันไม่จึงมาบอกให้ท่านรู้ตัว บัดนี้เรายกมาเป็นแม่ทัพกองหนึ่ง หลีมกยกมากองหนึ่ง คอยอ้อมหลังตีสกัดตัดเสบียงอาหารมิให้เมืองเอี๋ยนออกมาส่งพวกกองทัพท่านได้ แล้วหลีมกจะยกทัพตีกระหนาบหลังทัพท่านขึ้นมา เร่งระวังตัวให้จงหนัก คือซินแจ้งในหนังสือดังนั้นคิดสำคัญว่าบังเอี๋ยนเขียนหนังสือมาลวงให้ตกใจ
ขณะนั้นม้าใช้มาแจ้งว่าหลีมกยกทัพมาตั้งอยู่ตำบลเข้งโตะ คือซินได้ยินดังนั้นก็ตกใจ แต่ปากนั้นยังหายอมกลัวลงไม่ คือซินจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งใจความว่า เวลาพรุ่งนี้ให้บังเอี๋ยนยกทัพออกมารบให้เห็นฝีมือกันจนถึงชนะและแพ้ ซึ่งท่านมีหนังสือมาถึงเรานั้นเหมือนกับเขียนเสือให้วัวกลัว ถึงแต่ก่อนเป็นคนชอบกันก็จริง บัดนี้สิต่างคนต่างจะเอาความชอบด้วยกันทั้งสองฝ่าย คือซินเขียนหนังสือเสร็จแล้วพับผนึกส่งให้ม้าใช้ของบังเอี๋ยน ม้าใช้บังเอี๋ยนถือหนังสือไปส่งให้บังเอี๋ยน ณ ค่าย บังเอี๋ยนครั้นเห็นหนังสือก็ฉีกออกอ่านดูแจ้งความแล้วก็กำชับกำชาแต่บรรดาทหารตามหนังสือสัญญาที่คือซินให้มารู้ทั่วกัน
ขณะเมื่อม้าใช้กลับไปค่าย เน็กหงวนพูดกับคือซินว่าความอันนี้ข้าพเจ้าเห็นจะจริงหาเป็นอุบายมาไม่ คือซินจึงว่าเราก็รู้อยู่ว่าหลีมกยกมา ครั้นจะไม่พูดจาให้กล้าแข็งก็กลัวว่าทหารทั้งปวงจะตื่นตกใจ ท่านจงไปเที่ยวป่าวร้องให้ทหารทั้งปวงรู้ว่าเราจะยกลอบหนีไปในเพลากลางคืนวันนี้ ตั้งแต่ค่ายเปล่าไว้อย่าให้บังเอี๋ยนรู้ เน็กหงวนก็คำนับลามาแจ้งความกับทหารทั้งปวงตามถ้อยคำคือซินสั่งทุกประการ คือซินจึงให้เน็กหงวนเป็นทัพหน้าพาทหารยกมาทางเมืองเอี๋ยน
ขณะนั้นม้าใช้บังเอี๋ยนไปเที่ยวสืบเสาะดูเห็นคือซินกับเน็กหงวนพาทหารลอบหนีออกจากค่ายยกกลับไปดังนั้น ก็เอาความมาบอกกับบังเอี๋ยนให้แจ้งตามได้ไปเห็นมา บังเอี๋ยนแจ้งดังนั้นก็ให้เง่าเสงเง่าเอยเป็นปีกซ้ายปีกขวา บังเอี๋ยนแม่ทัพก็ยกติดตามไป ครั้นมาทันคือซินที่กลางทาง คือซินรบพลางสู้พลางไปจนถึงตำบลเขาเลงจัวซัว ขณะนั้นม้าใช้คือซินที่คอยด้อมมองเห็นหลีมกยกทัพมาถึงเขาเลงจัวซัวก็เอาความมาแจ้งแก่คือซินแม่ทัพ คือซินได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งตกใจกลัว จึงคิดว่าบังเอี๋ยนคนนี้สัตย์ซื่อบอกให้เรารู้ตัวแล้วเราหาเชื่อไม่ บัดนี้เราจะหนีไปทางเมืองเอี๋ยนก็ไปไม่ได้ คือซินคิดดังนั้นแล้วก็ยกทัพไปทางจุนเลียทิศตะวันออก ครั้นมาถึงตำบลจุนเลียริมแม่นํ้าชื่อเฮาเลาหอ คือซินก็ตั้งค่ายมั่นลงไว้ที่ตำบลนั้น ตระเตรียมทหารพร้อมกันแล้วก็ยกออกรบกับทัพบังเอี๋ยนเป็นสามารถ
ขณะนั้นคือซินเสียทหารล้มตายเป็นอันมาก สู้บังเอี๋ยนมิได้ก็วิ่งหนีกลับเข้าไปอยู่ในค่าย แล้วคิดว่าเมื่อแรกเรารับอาสาเจ้าเมืองเอี๋ยนมาว่าจะจับเอาตัวบังเอี๋ยนไปให้ดูหน้า บัดนี้กลับมาแพ้เขาเราจะฝ่าหน้าเข้าไปหาเจ้าเมืองเอี๋ยนอย่างไรได้ คือซินคิดยังงั้นแล้วก็เอากระบี่เชือดคอตายเสีย หวังมิให้ผู้ใดเห็นหน้าสืบต่อไป
ฝ่ายเง่าเอยปีกขวาของบังเอี๋ยนพาทหารเข้าไปในค่ายคือซิน จับได้เน็กหงวน เห็นคือซินเชือดคอนอนตายอยู่ในค่ายดังนั้นก็ให้ทหารไล่ฆ่าฟันกองทัพเมืองเอี๋ยนล้มตายเป็นอันมาก ที่เหลือตายนั้นก็รีบหนีกลับไปเมืองเอี๋ยนได้ ครั้นบังเอี๋ยนมีชัยชนะแล้วจึงให้ม้าใช้ไปหาตัวหลีมกมาปรึกษากัน แล้วยกทัพไปตีเมืองเอี๋ยนได้สองตำบล ชื่อบู๊ซุยหนึ่ง ปักเสียหนึ่ง แล้วยกเข้าไปตีเมืองเอี๋ยนชื่อตำบลปั้งโตที่เจ้าเมืองเอี๋ยนอยู่
ขณะนั้นเอี๋ยนอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยนคิดกลัวข้าศึกจะจับตัวไปได้ตกใจกลัวนัก จึงไปหาเจี้ยงขือผู้ออกนอกราชการพูดอ้อนวอนว่า ท่านจงไปหาบังเอี๋ยนแม่ทัพเมืองเตียวว่าเรากระทำผิดแล้วจะขอเป็นไมตรีกับเจ้าเมืองเตียว เจี้ยงขือได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าถ้าเราถือโกรธเอี๋ยนอ๋องอยู่บ้านเมืองก็จะหามีความสุขสืบไปไม่ เจี้ยงขือก็ออกไปว่ากล่าวบังเอี๋ยนตามคำเอี๋ยนอ๋องสั่ง บังเอี๋ยนเห็นเจี้ยงขือออกมาพูดจาอ่อนน้อมรับผิดดังนั้น จึงปรึกษากับหลีมกว่าเราจะยอมคืนดีเป็นไมตรีกับเอี๋ยนอ๋องท่านจะเห็นประการใด หลีมกจึงตอบว่าข้าพเจ้าเป็นแต่ผู้น้อยท่านเป็นผู้ใหญ่เห็นดีแล้วข้าพเจ้าก็เห็นดีด้วย บังเอี๋ยนได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าเจี้ยงขือเป็นคนซื่อสัตย์ก็ยอมเป็นไมตรีกับเจ้าเมืองเอี๋ยนตามคำเจี้ยงขือว่า เจี้ยงขือก็คำนับลากลับเข้าไปแจ้งความกับเอี๋ยนอ๋องทุกประการ บังเอี๋ยนกับหลีมกต่างคนก็ยกทัพกลับไปเมืองเตียว หลีมกก็ไปตำบลไต๋กุ๋นที่อยู่เดิมนั้น
ขณะนั้นโตะเซียงอ๋องรู้ข่าวว่าบังเอี๋ยนยกทัพกลับมา จึงพาขุนนางทั้งปวงไปคอยรับอยู่ที่ประตูเมือง บังเอี๋ยนก็มาคำนับเจ้าเมืองเตียวแล้วพากันเข้าไปยังที่ว่าราชการในเมืองเตียว โตะเซียงอ๋องจึงพูดสรรเสริญยกย่องบังเอี๋ยนต่อหน้าขุนนางทั้งปวงว่า ท่านนี้มีสติปัญญาและฝีมือเสมอด้วยเลียมโพกับลันเซียงหยีที่อยู่ในเมืองเตียวแต่ก่อนนั้น บังเอี๋ยนได้ฟังโตะเซียงอ๋องสรรเสริญดังนั้นก็ยิ่งมีใจกำเริบ จึงพูดกับโตะเซียงอ๋องว่า เมืองเอี๋ยนก็ยอมเป็นไมตรีกับเราแล้ว ท่านจงเขียนหนังสือให้ม้าใช้ถือไปถึงเมืองหันหนึ่ง เมืองฌ้อหนึ่ง เมืองงุยหนึ่ง เมืองเอี๋ยนหนึ่ง นัดให้ยกทัพไปช่วยกันตีเมืองจิ๋น บ้านเมืองเราจะได้เป็นสุขสืบไป บังเอี๋ยนพูดดังนั้นแล้วก็คำนับลากลับมาบ้าน โตะเซียงอ๋องก็สั่งให้แต่งหนังสือสี่ฉบับส่งให้ม้าใช้ถือไปถึงเจ้าเมืองทั้งสี่ตามคำบังเอี๋ยนว่า ม้าใช้คำนับแล้วเอาหนังสือไปเมืองฌ้อ เมืองหัน เมืองเอี๋ยน เมืองงุย
ฝ่ายเจ้าเมืองฌ้อแจ้งในหนังสือนั้นแล้วจึงให้ซุนซินกุ๋นคุมทหารห้าหมื่นยกมาช่วยเมืองเตียวรบเมืองจิ๋น เจ้าเมืองหัน เจ้าเมืองงุย เจ้าเมืองเอี๋ยน แจ้งหนังสือดังนั้นให้ขุนนางที่มีฝีมือเป็นแม่ทัพคุมทหารเมืองละสี่หมื่นยกมาเมืองเตียว ซุนซินกุ๋นขุนนางเมืองฌ้อกับขุนนางทั้งสามหัวเมืองมาถึงเมืองเตียวพร้อมกันก็เข้าไปคำนับโตะเซียงอ๋องยังที่ว่าราชการ โตะเซียงอ๋องเห็นขุนนางทั้งสี่เมืองมาก็มีความยินดีนัก จึงให้หาบังเอี๋ยนมาแล้วจึงว่า บัดนี้ขุนนางทั้งสี่เมืองก็มาถึงพร้อมกัน ท่านจงปรึกษาราชการซึ่งจะยกไปตีเมืองจิ๋นนั้นตามแต่สติปัญญาของท่านเถิด บังเอี๋ยนได้ฟังโตะเซียงอ๋องว่าดังนั้นจึงผินหน้ามาปรึกษากับขุนนางเมืองงุย เมืองหัน เมืองฌ้อ เมืองเอี๋ยนว่า บัดนี้เจ้าเมืองจิ๋นตีเมืองหลวงได้ตั้งตัวเป็นเมืองใหญ่คิดการสงครามยกกองทัพกระทำย่ำยีตีเหล่าหัวเมืองทั้งปวงเนืองๆ มิได้ขาด อาณาประชาราษฎร์ได้ความเดือดร้อน เราคิดอ่านแข็งเมืองไม่ยอมขึ้นกับเมืองจิ๋น แต่เมืองเจ๋นั้นได้ขึ้นแก่เมืองจิ๋นเสียก่อนก็ตามเถิด บัดนี้รี้พลเราก็มีเมืองละสี่หมื่นบ้างห้าหมื่นบ้าง เราจะให้ยกไปตีเมืองจิ๋นท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งสี่หัวเมืองก็ยอมพร้อมใจด้วยบังเอี๋ยนสิ้น บังเอี๋ยนจึงปรึกษากับนายทัพนายกองว่าเราจะยกทัพไปตีเมืองจิ๋นครั้งนี้เป็นการใหญ่ ครั้นเราจะเป็นแม่ทัพบังคับบัญชากิจการนั้นเห็นว่าหัวเมืองทั้งปวงยังหายอมพร้อมใจไม่ ด้วยเมืองเตียวเป็นเมืองน้อย อันเมืองฌ้อเป็นเมืองใหญ่รี้พลก็มาก และซุนซินกุ๋นอุยเอียดนั้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองฌ้อ สติปัญญาก็หลักแหลมนัก เคยทำสงครามมามาก จำเราจะให้ซุนซินกุ๋นเป็นแม่ทัพบังคับบัญชากิจการทั้งห้าหัวเมืองด้วยกัน แล้วจะได้อาศัยกำลังเมืองฌ้อด้วย แม่ทัพทั้งปวงก็เห็นพร้อมกันจึงยอมให้ซุนซินกุ๋นเป็นแม่ทัพใหญ่คุมทัพทั้งห้าหัวเมืองเป็นพลยี่สิบเอ็ดหมื่น สรรพไปด้วยเครื่องศัสตราวุธหน้าไม้เกาทัณฑ์
ซุนซินกุ๋นจึงปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า ซึ่งเราจะยกทัพไปตีเมืองจิ๋นครั้งนี้ ครั้นจะยกไปทางหํ้าก๊กกวน ทหารฝ่ายเมืองจิ๋นเกณฑ์กันรักษาด่านทางตรวจตรากำชับกำชากวดขันมั่นคงอยู่ จะทำสงครามเอาชัยชนะได้เป็นอันยาก จำเราจะยกไปทางเตาวัวนั้นจะเข้าทางวัวจี๋วทิศตะวันตก แล้วจะยกอ้อมมาทางอุยหลำจึงจะเข้าจู่โจมตีเอาด่านตงกวนอย่าให้รู้ตัวเห็นจะได้โดยง่าย นายทัพนายกองทั้งปวงจะเห็นประการใด นายทัพนายกองก็ยอมพร้อมใจเห็นด้วยซุนซินกุ๋นแม่ทัพ ซุนซินกุ๋นจึงให้จัดทัพเป็นห้ากองยกไปสิบห้าวันถึงด่านอุยหลำ
ฝ่ายชาวด่านเมืองจิ๋นแจ้งว่ากองทัพยกมาจึงบอกหนังสือให้ม้าใช้ถือไปถึงเมืองจิ๋น เป็นใจความว่ามีกองทัพยกมาแต่เมืองเตียวประมาณสักสิบหมื่นเศษ ลีปุดอุยเสียงก๊กแจ้งดังนั้นจึงเอาเนื้อความเข้าไปแจ้งแก่เจ้าเมืองจิ๋นตามข้อความซึ่งมีมาในหนังสือนั้นทุกประการ เจ้าเมืองจิ๋นจึงสั่งให้ลีปุดอุยเป็นแม่ทัพคุมทหารยกไปยังค่ายอุยหลำ ลีปุดอุยจึงจัดทหารเป็นห้าทัพให้ม่องเหงาคุมทัพหนึ่ง อ๋องเจี๋ยนทัพหนึ่ง สวนกี๋ทัพหนึ่ง สิสินทัพหนึ่ง ไหลสูเทงทัพหนึ่ง เป็นทหารทัพละห้าหมื่น ลีปุดอุยเป็นแม่ทัพหลวงคุมคนสิบหมื่นเข้ากันทั้งทัพหน้าทัพหลวงเกียกกายเป็นคนสามสิบหมื่น สรรพไปด้วยเครื่องศัสตราวุธทวนง้าวเกาทัณฑ์ยกไปตั้งอยู่ใกล้ด่านตงกวนทางประมาณเจ็ดร้อยเส้น
อองเจี๋ยนแม่ทัพหน้าจึงเข้ามาปรึกษากับลีปุดอุยแม่ทัพว่า ซุนซินกุ๋นซึ่งยกทัพมาครั้งนี้ถึงห้าหัวเมือง รี้พลทหารแต่จะเท่าคนเมืองขึ้นของเราเมืองหนึ่งก็ไม่ได้ แต่เมืองเตียว เมืองหัน เมืองงุย สามหัวเมืองนี้ได้รบพุ่งกันมาหลายครั้งหลายหนอยู่แล้ว ฝีมือทหารและความคิดก็เพียงนั้น อันเมืองฌ้อนี้อยู่ฝ่ายทิศข้างใต้ แล้วทหารที่ดีมีฝีมือและความคิดก็น้อยตัว เห็นจะสู้ฝีมือทหารเรามิได้ จะยกกองทัพเข้าตีโดยเช้าสักครู่หนึ่งกองทัพเมืองฌ้อก็จะแตกไปสิ้น ลีปุดอุยก็เห็นชอบด้วยจึงเกณฑ์ให้อองเจี๋ยนแม่กองคุมทหารห้าหมื่นยกเข้าปล้นค่ายกองทัพเมืองฌ้อ กำหนดให้เข้าตีค่ายในคืนวันนี้ อองเจี๋ยนรับคำแล้วก็ลามาจัดแจงกะเกณฑ์เตรียมการอยู่ ณ ค่าย
ฝ่ายกำโหยซึ่งเป็นกองคุมเกวียนลำเลียงนายกองทัพสิสินมามิทันกำหนด ล่วงเวลาช้าไปวันหนึ่งจึงมาถึง สิสินแม่กองโกรธกำโหยว่าเอาเสบียงมาส่งมิทันกำหนดให้ทหารอดอยากอิดโรย จึงสั่งให้เอากำโหยไปฆ่าเสีย นายทัพนายกองและที่ปรึกษาทั้งปวงจึงว่ากับสิสินว่ากำโหยส่งลำเลียงมิทันกำหนดผิดแต่ครั้งเดียวเท่านี้ การศึกยังจะทำไปข้างหน้าอีกมากอยู่ จะขอชีวิตกำโหยไว้สักครั้งหนึ่งก่อนจะให้ทำการแก้ตัว สิสินจึงว่าซึ่งนายทัพนายกองจะขอโทษกำโหยนั้นจะให้เสียทีเดียวยังมิได้ด้วยเป็นการอาชญาศึก ซึ่งจะขอชีวิตนั้นจะยกให้สักครั้งหนึ่ง แต่จะให้ทำโทษตีเสียให้เข็ดหลาบ อย่าให้นายทัพนายกองดูเยี่ยงกัน สิสินจึงสั่งให้ตีกำโหยหกสิบทีแล้วตระเวนรอบค่าย กำโหยได้ความเจ็บอายแก่ทหารทั้งปวง ผูกพยาบาทสิสินคิดจะเป็นไส้ศึก ครั้นเวลาคํ่ากำโหยลอบไปหาซุนซินกุ๋น ณ ค่าย
ฝ่ายทหารซึ่งรักษาหน้าที่ก็พาเอาตัวกำโหยเข้าไปหาซุนซินกุ๋นแม่ทัพ กำโหยจึงบอกความว่าบัดนี้อองเจี๋ยนกับลีปุดอุยคิดกันว่าจะยกทัพเข้าระดมตีค่ายในเวลายามสามวันนี้ อย่าให้ท่านนอนใจ ซุนซินกุ๋นรู้ความดังนั้นก็ตกใจคิดจะเลิกทัพหนี ครั้นจะบอกออกความกับนายทัพนายกองหัวเมืองทั้งปวงก็กลัวจะรู้ความอื้ออึงไป จึงบอกแต่ทหารในค่ายให้รู้ ครั้นเวลาสองยามเศษก็เลิกทัพหนีไป ครั้นเวลาสามยามเศษอองเจี๋ยนกับนายทัพนายกองก็ยกเข้าปล้นค่ายเมืองฌ้อเป็นแต่ค่ายเปล่าหามีผู้คนไม่ อองเจี๋ยนจึงปรึกษานายทัพนายกองทั้งปวงว่า ซึ่งซุนซินกุ๋นพาทหารยกหนีทิ้งค่ายเสียทั้งนี้เห็นจะมีไส้ศึกมาบอกเล่าเหตุการณ์เป็นมั่นคง บัดนี้เราได้ยกทหารออกจากค่ายได้จัดแจงเครื่องศัสตราวุธพร้อมมือแล้ว จำเราจะยกเข้าตีกองทัพเมืองเตียวซึ่งบังเอี๋ยนเป็นนายค่ายอยู่นั้น อองเจี๋ยนก็ยกเข้าระดมตีค่ายบังเอี๋ยนในเวลาสามยามเศษ
ฝ่ายทหารในค่ายก็รบพุ่งต้านทานไว้เป็นสามารถ บังเอี๋ยนแม่ทัพถือกระบี่ออกมาตรวจตราทหารให้รักษาหน้าที่ไว้ให้มั่นคง แล้วประกาศแก่ทหารนายไพร่ทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดไม่เป็นใจรบพุ่งย่อหย่อนต่อข้าศึกจะให้ตัดศีรษะเสีย ทหารทั้งปวงกลัวอาชญาก็รบพุ่งต้านทานไว้จนสว่าง นายทัพนายกองซึ่งรักษาค่ายเมืองเอี๋ยน เมืองงุย เมืองหันรู้ว่ากองทัพเข้าตีค่ายบังเอี๋ยนก็เกณฑ์กันแบ่งทหารมาช่วยระดมตีอองเจี๋ยน อองเจี๋ยนเห็นทหารเพิ่มเติมมาเป็นทัพขนาบก็สั่งให้ถอยกลับเข้าค่าย บังเอี๋ยนเห็นกองทัพทั้งสามหัวเมืองยกมาช่วย แต่ทัพเมืองฌ้อนั้นหามีผู้ใดมาช่วยไม่ จึงให้ทหารไปสืบดู ณ ค่ายซุนซินกุ๋นจึงรู้ว่าซุนซินกุ๋นพาทหารยกหนีไป บังเอี๋ยนถอนใจใหญ่แล้วว่าแต่นี้ไปที่จะให้เชื่อกันนั้นยากนัก จะวางใจเหมือนครั้งนี้ไม่มีต่อไปแล้ว
ฝ่ายเมืองงุย เมืองหัน เห็นว่าราชการแก่งแย่งกันจะไม่สำเร็จเหมือนดังคิด ก็พาทหารยกถอยกลับมาเมือง แต่บังเอี๋ยนแม่ทัพเมืองเตียวกับเมืองเอี๋ยน สองเมืองนี้ยังหากลับไปไม่ จึงปรึกษากันกับนายทัพนายกองทั้งปวงว่า เมืองเจ๋นี้แต่ก่อนเคยทำสงครามมาด้วยกัน บัดนี้ก็ยกเมืองไปขึ้นเสียกับเมืองจิ๋น หามาร่วมคิดอ่านการศึกกับเราเหมือนแต่ก่อนไม่ จะละไว้มิได้นานไปจะกลับเป็นศัตรู จำเราจะยกกองทัพไปตีเมืองเจ๋เสียให้ได้ ปรึกษาเห็นพร้อมกันทั้งสองเมืองก็พากันยกกองทัพเข้าตีเมืองเยี้ยงอัง ซึ่งเป็นหัวเมืองขึ้นแก่เมืองเจ๋เมืองหนึ่งแล้วก็ยกกลับมาเมืองเตียว ครั้นถึงเมืองแล้วบังเอี๋ยนจึงแต่งหนังสือให้คนถือไปถึงซุนซินกุ๋นเป็นใจความในหนังสือนั้นว่า ซุนซินกุ๋นก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองฌ้อ ทหารไพร่บ้านพลเมืองก็นับถือว่ามีสติปัญญามาก เราจึงยกย่องให้เป็นแม่ทัพบังคับบัญชาทั้งห้าหัวเมืองหมายจะไปตีเอาเมืองจิ๋นให้ได้ ยังมิทันได้รบง้าวก็ยังมิได้ฟันเกาทัณฑ์ก็ยังมิได้ยิง ควรหรือพาทหารเลิกทัพกลับมาเสียมิได้บอกให้รู้จึงเสียการไป ทั้งนี้ให้เราได้ความอัปยศกับหัวเมืองทั้งปวง ความคิดอ่านประการใดจึงทำดังนี้ ซุนซินกุ๋นอ่านแจ้งในหนังสือแล้วก็มีความอัปยศยิ่งนัก
เค้าเลียดอ๋องเจ้าเมืองฌ้อทราบความดังนั้นก็ติเตียนซุนซินกุ๋นว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่พากองทัพหนีมิทันได้รบพุ่งให้เราพลอยอายด้วย ในขณะนั้นจูเอ๋งชาวเมืองงุยมาอาศัยอยู่ด้วยซุนซินกุ๋นแล้วว่า แต่ก่อนเมืองฌ้อนี้เป็นเมืองใหญ่ ผู้มีสติปัญญาและทหารก็เข้มแข็งแต่ล้วนมีฝีมือเป็นอันมาก แต่ครั้นตงเซียงอ๋องบิดาเค้าเลียดอ๋องยังมีชีวิตนั้น ฝ่ายทิศใต้เมืองหลวงคั่นอยู่เมืองจิ๋นจะได้มากลํ้ากรายกระทำยํ่ายีแต่เมืองฌ้อก็หามิได้ ฝ่ายเมืองฌ้อจะได้ไปทำอันตรายให้ระคายเคืองกับเมืองจิ๋นก็หามีไม่ มาทุกวันนี้เมืองจิ๋นไปตีเมืองหลวงได้มีใจกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองฌ้อกับเมืองจิ๋นจะเป็นข้าศึกรบพุ่งกันยืดยาวอยู่ ขอท่านได้ไปทูลเค้าเลียดอ๋องให้ไปตั้งอยู่เมืองสิวฉุนเลิกเมืองฌ้อเสียเถิด ข้าพเจ้าเห็นว่าจะได้เป็นสุขสืบไป ซุนซินกุ๋นก็เห็นชอบด้วย จึงเข้าไปทูลเค้าเลียดอ๋องตามซึ่งจูเอ๋งว่าทุกประการ เค้าเลียดอ๋องก็เห็นด้วยจึงสั่งให้เลิกเมือง ขับต้อนอาณาประชาราษฎรไพร่บ้านพลเมืองให้ไปตั้งอยู่เมืองสิวฉุน แต่เลิกเมืองถอยย้ายไปตั้งเป็นสี่ครั้งทั้งครั้งนี้
ขณะนั้นหลีหุยเป็นชาวเมืองมาเป็นทนายให้ซุนซินกุ๋นใช้สอย มีน้องสาวคนหนึ่งชื่อนางหลีเอี๋ยน หลีหุยจึงคิดว่านางหลีเอี๋ยนน้องเราคนนี้รูปร่างก็งามกว่าหญิงทั้งปวง ครั้นจะเอาน้องเราไปถวายเค้าเลียดอ๋อง เค้าเลียดอ๋องก็เป็นหมันหามีบุตรไม่ ครั้นจะเอาน้องสาวมายกให้ซุนซินกุ๋นเล่า ซุนซินกุ๋นมิได้สู่ขอก็จะหาเป็นเกียรติยศไม่ หลีหุยคิดรวนเรอยู่ดังนี้หาที่จะวางใจได้ไม่ ตรึกตรองไปก็คิดได้อุบายอย่างหนึ่งจึงเข้าไปลาซุนซินกุ๋นว่า ข้าพเจ้ามีธุระจะลาออกไปบ้านสักห้าวันหกวัน ซุนซินกุ๋นก็ให้หลีหุยไป ครั้นหลีหุยไปถึงบ้านแกล้งอยู่ช้าถึงสิบสองวันให้เกินกำหนด แล้วหลีหุยเข้ามาหาซุนซินกุ๋น ซุนซินกุ๋นจึงถามหลีหุยว่า ตัวลาเราไปบ้านแต่ห้าวันหกวันดอก ทำไมไปอยู่ช้าถึงสิบสองวันนั้นธุระเหตุสิ่งใดจึงเกินกำหนด หลีหุยจึงแจ้งแก่ซุนซินกุ๋นว่า ข้าพเจ้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่งอายุได้สิบเจ็ดปีรูปร่างนั้นก็ดีอยู่ บัดนี้เจ้าเมืองเจ๋ให้คนมาว่ากล่าวจะขอน้องสาวข้าพเจ้าไปเป็นภรรยา ก็ต้องรับรองเลี้ยงดูผู้คนมาว่ากล่าวจึงช้าเกินกำหนดไป ทั้งนี้ข้าพเจ้ามีความผิดอยู่แล้วตามแต่จะเอ็นดู ซุนซินกุ๋นจึงถามว่า ซึ่งเจ้าเมืองเจ๋ให้มาขอน้องสาวนั้นตัวยกให้แล้วหรือ หลีหุยจึงว่าเป็นแต่ให้มาว่ากล่าว ข้าพเจ้าและคณาญาติทั้งปวงก็ยังมิได้ยอมพร้อมใจจะยกให้เจ้าเมืองเจ๋นั้นหามิได้ ซุนซินกุ๋นจึงคิดแต่ในใจว่าน้องสาวหลีหุยคนนี้เห็นจะงามดีมีกิริยากว่าหญิงทั้งปวง กิตติศัพท์จึงเลื่องลือไปถึงเมืองเจ๋ เจ้าเมืองเจ๋จึงแต่งให้มาว่ากล่าวสู่ขอ ซุนซินกุ๋นคิดจะใคร่ได้เป็นภรรยาจึงถามหลีหุยว่าน้องสาวนั้นรูปร่างงามดีอยู่หรือ ทำไฉนเราจะได้เห็นสักครั้งหนึ่ง หลีหุยจึงว่าทุกวันนี้ข้าพเจ้าได้พึ่งบุญของท่านมีความสุข ซึ่งท่านจะดูหน้าน้องสาวข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าก็จะพามาให้ดูตัวไม่คิดสงสัยสิ่งหนึ่งสิ่งใดหามิได้
ซุนซินกุ๋นได้ฟังหลีหุยว่าดังนั้นก็มีความยินดีนัก จึงให้จัดแจงเกี้ยวกับชายหญิงคนใช้เป็นอันมากให้ไปรับนางหลีเอี๋ยน ครั้นชายหญิงคนใช้ไปถึงบ้านหลีหุย นางหลีเอี๋ยนแจ้งว่าซุนซินกุ๋นให้ออกมารับก็ตกใจ หลีหุยผู้พี่ว่าอย่าตกใจ ถ้าท่านรักใคร่แล้วเราก็จะยกให้ท่านจะได้เป็นที่พึ่งพาสืบไป แล้วหลีหุยก็พานางหลีเอี๋ยนขึ้นเกวียนมายังบ้านซุนซินกุ๋น ซุนซินกุ๋นเห็นรูปร่างนางหลีเอี๋ยนก็มีความรักใคร่ก็ว่าสู่ขอนางหลีเอี๋ยนกับหลีหุยผู้พี่ หลีหุยก็ยกนางหลีเอี๋ยนให้แก่ซุนซินกุ๋น ซุนซินกุ๋นก็จัดแจงที่ให้นางหลีเอี๋ยนอยู่ตามสมควรแล้วจึงให้แหวนเพชรกับนางหลีเอี๋ยนสองวง กำไลทองสองคู่ กับเงินสามร้อยตำลึง
ซุนซินกุ๋นก็เลี้ยงนางหลีเอี๋ยนไว้เป็นภรรยาอยู่ด้วยกันประมาณสองเดือนเศษ นางหลีเอี๋ยนก็มีครรภ์แต่ยังไม่ปรากฏแก่คนทั้งปวง นางหลีเอี๋ยนจึงบอกความแก่หลีหุยผู้พี่ หลีหุยผู้พี่คิดจะใคร่ให้น้องสาวไปเป็นภรรยาเค้าเลียดอ๋อง แต่ยังไม่รู้น้ำใจน้องว่าจะยอมหรือมิยอม จึงถามว่าทุกวันนี้เจ้าจะเป็นเมียน้อยดีหรือจะเป็นเมียหลวงดี นางหลีเอี๋ยนจึงว่าธรรมดาสตรีทุกวันนี้ ถ้าเป็นเมียน้อยท่านก็อยู่ในบังคับบัญชาเมียหลวงจะว่ากล่าวสิ่งใดก็หาสิทธิ์ขาดไม่ ถ้าได้เป็นเมียหลวงนั้นเห็นค่อยมีความสุข แล้วก็เป็นเกียรติยศมีคนนับถือ หลีหุยจึงว่าซึ่งเจ้าว่านี้ก็ชอบแต่ทว่าเจ้าจะได้เป็นเมียหลวงซุนซินกุ๋นก็ดี ก็เป็นแต่บรรดาศักดิ์เมียขุนนาง ถ้าได้เป็นที่ฮูหยินเมียเจ้าเมืองใครจะดีกว่ากัน นางหลีเอี๋ยนจึงว่าถ้าได้เป็นที่ฮูหยินดีกว่าเป็นภรรยาขุนนาง ด้วยเป็นเกียรติยศประเสริฐกว่าหญิงทั้งปวง หลีหุยแจ้งความในใจนางหลีเอี๋ยนแล้วจึงว่า ทุกวันนี้เจ้าก็เป็นภรรยาน้อยซุนซินกุ๋น ซุนซินกุ๋นก็รักใคร่ในเจ้าเป็นอันมาก แต่ทว่าเจ้าจะคิดให้ตัวได้เป็นฮูหยินจะมิดีหรือ นางหลีเอี๋ยนจึงว่าท่านจะให้ข้าพเจ้าคิดอ่านประการใดข้าพเจ้าก็จะทำตาม หลีหุยจึงว่าถ้าเจ้าเห็นด้วยกันดังนั้นแล้ว เพลาคํ่าวันนี้ให้เจ้าว่ากับซุนซินกุ๋นให้พาเจ้าเข้าไปถวายเค้าเลียดอ๋อง บุตรซึ่งอยู่ในครรภ์เจ้าคลอดออกมา คนทั้งปวงก็จะว่าเป็นบุตรเค้าเลียดอ๋อง นานไปข้างหน้าสมบัติก็จะได้แก่บุตรเจ้าเป็นมั่นคง หลีหุยสั่งสอนนางหลีเอี๋ยนให้ว่ากล่าวกับซุนซินกุ๋นต่างๆ นางหลีเอี๋ยนก็รับคำ คำนับแล้วก็ลาหลีหุยผู้พี่ไปที่อยู่ ครั้นเพลาคํ่าประมาณยามเศษซุนซินกุ๋นเข้าที่นอน นางหลีเอี๋ยนก็เข้าไปปฏิบัติพูดจาสัพยอกเย้ากันต่างๆ เห็นได้ทีจึงมีวาจากับซุนซินกุ๋นว่า ทุกวันนี้ท่านก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเค้าเลียดอ๋อง เค้าเลียดอ๋องก็รักใคร่ยิ่งกว่าญาติพี่น้อง เค้าเลียดอ๋องก็ได้ราชสมบัติมาถึงสี่สิบปีเศษแล้ว หามีบุตรชายหญิงไม่ ทุกวันนี้ถ้านานไปสิ้นบุญเค้าเลียดอ๋องแล้วสมบัติก็จะได้แก่ผู้อื่น ซึ่งจะรักใคร่ท่านเลี้ยงดูเหมือนเค้าเลียดอ๋องดังนี้ ข้าพเจ้าก็เห็นว่าหามีไม่ และเมืองกังตั๋งซึ่งขึ้นอยู่แก่ท่านนั้น นานไปข้าพเจ้าเห็นว่าจะเป็นของผู้อื่นเสียเป็นมั่นคง
ซุนซินกุ๋นได้ฟังนางหลีเอี๋ยนว่าดังนั้นก็เห็นชอบ แล้วตอบนางหลีเอี๋ยนว่าจริงอยู่ แต่เราหารู้ที่จะคิดอ่านประการใดไม่ นางหลีเอี๋ยนจึงว่าความทั้งนี้ข้าพเจ้าคิดไว้ได้อยู่ จะให้ท่านมีวาสนาเป็นใหญ่ต่อไปภายหน้า ครั้นข้าพเจ้าจะเจรจาบอกเล่าก็คิดละอายใจแล้วเกรงท่านจะไม่เชื่อฟัง จึงมิได้แจ้งความแก่ท่าน ซุนซินกุ๋นจึงว่าทุกวันนี้ก็มีความรักใคร่เจ้าเป็นอันมาก และเจ้าคิดเห็นความประการใด ชอบแต่จะพูดจาปรึกษาหารือกัน เห็นว่าดีก็จะกระทำตาม นางหลีเอี๋ยนได้ท่วงทีจึงว่า แต่ข้าพเจ้ามาอยู่กับท่านได้สองเดือนเศษมีครรภ์อยู่แล้วแต่คนทั้งปวงยังหาล่วงรู้ไม่ ถ้าท่านจะใคร่เป็นใหญ่ไปข้างหน้า ให้พาข้าพเจ้าไปถวายเป็นห้ามเค้าเลียดอ๋อง เค้าเลียดอ๋องจะรักใคร่ท่านมากขึ้นยิ่งกว่าแต่ก่อน ถ้าบุตรที่ในครรภ์คลอดออกมา ถ้าเป็นชายเป็นหญิงก็คงจะเป็นบุตรของท่านไม่มีความสงสัย แต่คนทั้งปวงข้างนอกก็เข้าใจว่าเป็นของเค้าเลียดอ๋อง นานไปข้างหน้าถ้าหาบุญเค้าเลียดอ๋องไม่ แผ่นดินก็คงจะได้แก่ท่าน ท่านจะได้เป็นใหญ่ในราชสมบัติ
ซุนซินกุ๋นได้ฟังนางหลีเอี๋ยนว่าดังนั้นก็เห็นด้วย มีความยินดียิ่งนัก ชมว่าเจ้ามีสติปัญญายิ่งกว่าผู้ชายอีก ครั้นเวลาเช้าซุนซินกุ๋นจึงให้หาหลีหุยมาบอกความว่านางหลีเอี๋ยนคิดอ่านดังนี้ดียิ่งนัก แล้วให้หลีหุยรับนางหลีเอี๋ยนไปไว้บ้านมิให้ผู้ใดล่วงรู้ แล้วซุนซินกุ๋นจึงเข้าไปเฝ้าเค้าเลียดอ๋อง แจ้งความว่าหลีหุยทำราชการอยู่ในข้าพเจ้ามีน้องสาวคนหนึ่งรูปร่างงามดีสมควรจะเอาไว้ใช้สอยการงานในวัง ถึงจะเลี้ยงเป็นห้ามก็ได้ ถ้ามีบุตรหญิงชายก็เห็นรูปร่างบุตรนั้นจะงามสมควรเป็นลูกเจ้าลูกนาย บัดนี้เจ้าเมืองเจ๋ใช้ให้คนมาว่ากล่าวสู่ขอ หลีหุยเกรงกลัวท่านอยู่ยังไม่ให้ ถ้าจะต้องประสงค์นางหลีเอี๋ยน ข้าพเจ้าก็คงจะรับเอามาถวายจงได้
เค้าเลียดอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งให้ขันทีจัดแจงเกี้ยวและหญิงชายคนหามคนใช้ออกไปรับนางหลีเอี๋ยนเข้ามาไว้ในวัง นางหลีเอี๋ยนฉลาดที่จะแต่งตัวและบำรุงร่างกายให้งามดี เค้าเลียดอ๋องก็มีความรักใคร่ในนางหลีเอี๋ยนเลี้ยงไว้เป็นห้าม จนครรภ์นางหลีเอี๋ยนล้วนกำหนดสิบเดือนก็คลอดบุตรแฝดเป็นชายทั้งสองคน เค้าเลียดอ๋องให้นามผู้พี่นั้นชื่อโจ๋ ผู้น้องนั้นชื่อจิ๋ว เค้าเลียดอ๋องสำคัญว่าเป็นบุตรของตัวก็มีความรักใคร่บุตรนางหลีเอี๋ยนยิ่งนัก จึงตั้งให้นางหลีเอี๋ยนเป็นฮองเฮาว่ากล่าวข้างฝ่ายในสิทธิ์ขาด แล้วตั้งหลีหุยผู้พี่เป็นที่กุยเหงขุนนางผู้ใหญ่ ตำแหน่งเท่ากันกับซุนซินกุ๋น
เค้าเลียดอ๋องครองเมืองฌ้อได้สี่สิบห้าปีก็ป่วยออกว่าราชการมิได้ หลีหุยจึงคิดแต่ในใจว่า เค้าเลียดอ๋องป่วยครั้งนี้หนักอยู่เห็นจะไม่คงคืน สมบัติก็จะได้แก่หลานเราโดยง่าย ด้วยขุนนางและคนทั้งปวงก็สำคัญว่าเป็นบุตรเค้าเลียดอ๋อง จะรู้ความอยู่แต่ซุนซินกุ๋นผู้เดียว จะพูดจากันต่อไปคนทั้งปวงก็จะล่วงรู้ จำจะคิดอ่านฆ่าซุนซินกุ๋นเสียให้ได้ความจึงจะมิด หลีหุยคิดดังนั้นแล้วจัดทหารที่มีฝีมือมาเลี้ยงไว้ ณ บ้านเป็นอันมาก
ฝ่ายจูเอ๋งซึ่งเป็นคนสนิทของซุนซินกุ๋นรู้แยบคาย จึงกระซิบบอกกับซุนซินกุ๋นว่าบัดนี้เค้าเลียดอ๋องป่วยหนักอยู่แล้ว หลีหุยซึ่งเป็นที่กุยเหงซ่องสุมทหารไว้เป็นอันมาก จะคิดทำร้ายท่านเป็นมั่นคง ซุนซินกุ๋นได้ฟังดังนั้นหาเชื่อไม่จึงตอบว่า หลีหุยกับเราแต่ก่อนก็รักใคร่กันเป็นอันมาก เราก็ได้เลี้ยงดูช่วยทำนุบำรุงจนหลีหุยได้ดีมียศศักดิ์ถึงเพียงนี้แล้ว ซึ่งท่านว่าหลีหุยจะคิดทำร้ายเรานั้นเราไม่เห็นด้วย
จูเอ๋งจึงตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าบอกเหตุทั้งนี้หวังจะให้รู้ตัว เมื่อท่านไม่เชื่อก็แล้วไป แต่นานไปข้างหน้าจึงจะเห็นความจริงของข้าพเจ้า ท่านจะรู้เมื่อการจวนจะคิดแก้ตัวยากก็จะเสียทีเป็นมั่นคง
ซุนซินกุ๋นจึงขับจูเอ๋งว่าให้ไปเสียก่อนเถิด เราจะสืบดูให้แน่ก่อน จูเอ๋งคำนับแล้วก็ลาซุนซินกุ๋นไป คอยฟังซุนซินกุ๋นจะว่าประการใดก็หาเห็นให้ผู้ใดไปหามาพูดจาว่ากล่าวคิดอ่านไม่ จูเอ๋งจึงคิดว่าเราบอกความให้มิใช่จะล่อลวงเป็นกลอุบายกลับไม่เชื่ออีกเล่า ถ้าเราจะอยู่ด้วยซุนซินกุ๋นต่อไปเห็นอันตรายจะมีแก่เรามั่นคง จูเอ๋งคิดดังนั้นแล้วก็หนีออกจากเมืองฌ้อไปอาศัยอยู่เมืองหงอ จูเอ๋งไปได้สิบเจ็ดสิบแปดวัน หลีหุยเข้าออกระวังรักษาพยาบาลเค้าเลียดอ่องมิได้ขาด แล้วกำชับสั่งนางข้างในไว้ว่าถ้าเค้าเลียดอ๋องถึงแก่อสัญกรรมแล้วอย่าให้อื้ออึงไป คนทั้งปวงจะล่วงรู้ วันหนึ่งเวลาเย็นหลีหุยออกไปบ้าน พอคํ่าประมาณยามเศษ เค้าเลียดอ่องโรคกำเริบขึ้นมากก็สิ้นใจตาย
นางหลีเอี๋ยนก็ปิดความไว้มิให้คนทั้งปวงล่วงรู้ จึงใช้คนให้ไปกระซิบบอกหลีหุยผู้พี่ให้เข้าไปในพระราชวัง แล้วห้ามปรามนางสนมกำนัลทั้งปวงมิให้ร้องไห้อื้ออึงวุ่นวายไป หลีหุยก็จัดแจงให้ทหารอยู่รักษาประตูวังซึ่งจะเข้าออกให้ถือเครื่องศัสตราวุธทุกตัวคน แล้วกระซิบสั่งทหารซึ่งรักษาประตูว่า ถ้าซุนซินกุ๋นจะเข้ามาในวังกลางวันก็ดีกลางคืนก็ดี ช่วยกันจับเอาซุนซินกุ๋นไปฆ่าเสีย ครั้นหลีหุยจัดแจงวางผู้คนเสร็จแล้วจึงใช้ให้ไปบอกซุนซินกุ๋นว่า บัดนี้เค้าเลียดอ๋องสิ้นชีวิตเสียแล้ว ซุนซินกุ๋นแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงรีบไปในวัง ครั้นเข้าไปถึงประตูทหารกุยเหงซึ่งจัดแจงวางไว้นั้นก็กรูกันเข้าจับซุนซินกุ๋น ตัดศีรษะโยนออกไปนอกกำแพงแล้วปิดประตูเสียหาให้ผู้คนเข้าออกไม่ กุยเหงจึงเอาบุตรนางหลีเอี๋ยนชื่อโจ๋ผู้พี่อายุได้หกขวบ ขึ้นครองราชสมบัติแล้วขนานนามชื่อฌ้อเอียวอ๋อง แล้วกุยเหงตั้งตัวขึ้นเป็นเสียงก๊กกุ๋นใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวง แล้วจึงตั้งนางหลีเอี๋ยนเป็นฮองไทเฮา แล้วเสียงก๊กกุ๋นให้จัดแจงฝังศพเค้าเลียดอ๋องตามธรรมเนียมแล้ว จึงจัดทหารให้ไปจับพวกพี่น้องซุนซินกุ๋นมาฆ่าเสียเป็นอันมาก และเมืองกังตั๋งซึ่งขึ้นแก่ซุนซินกุ๋นนั้นให้ยกเลิกมาขึ้นแก่เสียงก๊กกุ๋น แล้วเสียงก๊กกุ๋นก็ว่าราชการบ้านเมืองเอาแต่ตามอำเภอใจมิได้ทำตามอย่างธรรมเนียม แผ่นดินก็ฟั่นเฟือนเสียไป อาณาประชาราษฎร์ก็ได้ความเดือดร้อน
ฝ่ายลีปุดอุยซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองจิ๋น คิดตรึกตรองว่า บังเอี๋ยนขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองเตียวคิดอ่านกับทั้งห้าหัวเมืองยกกองทัพมาตีเมืองเรา จำเราจะคิดอ่านไปตีเมืองเตียวกระทำตอบแทนบ้าง ลีปุดอุยคิดแค้นอยู่มิได้ขาด ก็ให้กะเกณฑ์กองทัพสรรพไปด้วยเครื่องศัสตราวุธ ให้บังหงอคุมคนสองหมื่นห้าพัน เตียงต๋องคุมคนสองหมื่นห้าพัน เข้ากันเป็นคนห้าหมื่น ให้บังหงอกับเตียงต๋องเป็นทัพหน้ายกไปตีเมืองเตียว ครั้นทัพหน้ายกไปได้สามวันแล้ว ลีปุดอุยจึงให้เตียงอันกุ๋น ขุดตั๋ง เสียงออง กับเซงเตียว ห้วมลีกีคุมทหารห้าหมื่นยกหนุนไปอีกทัพหนึ่ง ครั้นเตียงอันกุ๋น เซงเตียว ห้วมลีกี ยกออกจากเมืองจิ๋นแล้วขุนนางที่ปรึกษาทั้งปวงจึงเข้าไปหาลีปุดอุยว่า ซึ่งท่านให้เตียงอันกุ๋นเป็นแม่ทัพยกไปตีเมืองเตียวครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าเตียงอันกุ๋นยังอ่อนแก่ความคิดอยู่ จะทำการเอาชัยชนะมิได้
ลีปุดอุยได้ฟังที่ปรึกษาว่าดังนั้นก็หัวเราะ มิได้บอกความประการใด ที่ปรึกษาทั้งปวงเข้าใจว่าลีปุดอุยถือว่าเตียงอันกุ๋นดีมีความคิด กลัวลีปุดอุยจะขัดเคืองก็นิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด ฝ่ายบังหงอกับเตียงต๋องยกไปถึงหํ้าก๊กกวนแล้ว จึงให้ตั้งทัพอยู่ ณ เตาสัน เตียงอันกุ๋นก็ไปตั้งทัพลงหลังค่ายบังหงอ ห่างกันประมาณห้าสิบเส้น
ฝ่ายเจ้าเมืองเตียวรู้ความว่า กองทัพเมืองจิ๋นยกมาตั้งอยู่เตาสันในแดนเมืองเตียวดังนั้น จึงให้บังเอี๋ยนเป็นแม่ทัพหลวง เฮาฮุยเป็นเกียกกายคุมทหารสิบหมื่นยกออกไปตั้งค่ายอยู่ ณ เคงเตาใกล้เขาเงียวสันทางประมาณยี่สิบเส้น บังเอี๋ยนจึงจัดคนให้ขึ้นบนยอดเขาเงียวสัน คอยดูท่วงทีพวกกองทัพบังหงอจะคิดอ่านทำเป็นประการใด บังเอี๋ยนจึงให้เฮาฮุยคุมทหารสองหมื่นยกออกมา พบทัพบังหงอทหารเมืองจิ๋นมาตั้งกั้นทางอยู่ ณ เขาเงียวสันประมาณคนหมื่นเศษ เฮาฮุยจึงให้ทหารเข้าตีทัพบังหงอ ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ กองหน้าบังหงอแตกถอยไป เฮาฮุยก็เข้าตั้งมั่นอยู่ ณ เชิงเขาเงียวสัน
ฝ่ายบังหงอเห็นทหารซึ่งให้มาตั้งกั้นทางแตกมา จึงให้เตียงต๋องคุมกองทัพสองหมื่น ให้รีบยกไปตีทัพเฮาฮุย เตียงต๋องก็ยกไปตั้งอยู่ ณ เชิงเขา พอบังเอี๋ยนคุมทหารแปดหมื่นอ้อมเชิงเขาเงียวสันมา เตียงต๋องเห็นทหารบังเอี๋ยนยกล้อมเข้ามามากเหลือกำลังจะสู้มิได้ เตียงต๋องก็พาทหารหนีไปข้างทิศตะวันตก ฝ่ายกองทัพเฮาฮุยซึ่งอยู่บนเขาเงียวสันเห็นเตียงต๋องพาทหารหนีไปทางตะวันตก เฮาฮุยก็ยกธงแดงโบกไปเป็นสำคัญ
ฝ่ายบังเอี๋ยนเห็นธงแดงเฮาฮุยโบกไปตะวันตกก็ไล่ทหารให้ล้อมทัพเตียงต๋อง เตียงต๋องเห็นกองทัพบังเอี๋ยนโอบอ้อมเข้ามากลัวจะปิดหลัง ก็พาทหารหนีมาข้างตะวันออก เฮาฮุยก็โบกธงสำคัญหันมาข้างตะวันออก บังเอี๋ยนเห็นธงสำคัญก็ไล่ทหารสกัดกั้นไว้ข้างตะวันออก บังเอี๋ยนจึงประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดจับตัวเตียงต๋องได้ เราจะปูนบำเหน็จให้ถึงขนาด ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็มีนํ้าใจจะใคร่ได้บำเหน็จความชอบก็เข้าล้อมเตียงต๋องไว้เป็นสามารถ เตียงต๋องตกอยู่ในที่ล้อมก็รบพุ่งรับรองปะทะปะทังไว้
ฝ่ายบังหงอรู้ว่าเตียงต๋องเสียทีเข้าอยู่ในที่ล้อมกองทัพเมืองเตียว ก็รีบยกทหารตีกระทบบรรจบขนาบหลังฟาดฟันฝ่ากองทัพที่ล้อมเข้ามา เตียงต๋องเห็นกองทัพบังหงอตีขนาบเข้ามาดังนั้นก็มีนํ้าใจขับทหารให้รบรุกตีทัพบังเอี๋ยนแตกออกจากที่ล้อมได้ เตียงต๋องกับบังหงอก็พาทหารกลับไปตั้งอยู่ ณ ตำบลเตาสันดังเก่า บังหงอรู้ว่าบังเอี๋ยนมาตั้งอยู่เคงเตา จึงปรึกษากับนายทัพนายกองทั้งปวงว่า ครั้นจะยกหักหาญตีเข้าไปจะเสียทหารมาก จำเราจะตั้งมั่นรักษาตัวไว้ก่อน บอกเข้าไปถึงเตียงอันกุ๋นแม่ทัพซึ่งตั้งอยู่เมืองตันหงิวให้รีบยกทหารมาช่วย นายทัพนายกองทั้งปวงก็เห็นด้วย จึงแต่งให้เตียงต๋องถือหนังสือบอกไปถึงเตียงอันกุ๋นขอกำลังอุดหนุนมาช่วยโดยเร็ว
ฝ่ายเตียงอันกุ๋นแจ้งในหนังสือดังนั้นแล้ว ก็เห็นว่าการศึกครั้งนี้หนักหนาอยู่ อายุเราก็ได้แต่สิบเจ็ดสิบแปดปี ยังหาเคยได้ทำศึกสงครามไม่ ซึ่งจะคิดถ่ายเทเอาชัยชนะนั้นเรายังอ่อนแก่ความอยู่ จำเราจะให้ไปหาห้วมลีกีมาปรึกษาดูจะคิดอ่านผ่อนปรนประการใดก็จะได้ทำตาม เตียงอันกุ๋นจึงใช้ให้ไปหาห้วมลีกีมา ครั้นห้วมลีกีมาเตียงอันกุ๋นเชิญให้นั่งตามสมควรจึงปรึกษาว่า ทัพบังหงอถอยมาตั้งอยู่ ณ เตาสัน ให้เตียงต๋องเข้ามาขอกองทัพออกไปช่วยโดยเร็ว ศึกครั้งนี้เห็นมีกำลังหนักแน่นอยู่ จึงให้หามาปรึกษาด้วยท่านเป็นผู้ใหญ่ ได้เคยพบเคยรบพุ่งทำการสงครามมามาก จะคิดอ่านประการใดจะได้ทำตาม ห้วมลีกีจึงว่ากับเตียงอันกุ๋นว่า ท่านจงเพโทบายให้คนใช้ทั้งสองซึ่งถือหนังสือมานั้นไปเสียก่อน เตียงอันกุ๋นจึงว่ากับเตียงต๋องว่า ท่านเหนื่อยมาจงไปพักอยู่เสียให้สบายก่อนเถิด เราจะคิดอ่านตรึกตรองดูก่อน เตียงต๋องได้ฟังดังนั้นก็ลาเตียงอันกุ๋นไป ห้วมลีกีครั้นเห็นเตียงต๋องไปแล้วจึงกระซิบพูดกับเตียงอันกุ๋นว่า ลีปุดอุยคนนี้เป็นคนหาดีไม่ เอาเมียซึ่งมีครรภ์อยู่นั้นไปให้จังเสียงอ๋อง ห้วมลีกีจึงเล่าความหลังให้เตียงอันกุ๋นฟังแจ้งความทุกประการแล้วว่า เจ้าเมืองจิ๋นทุกวันนี้หาใช่บุตรจังเสียงอ๋อง จังเสียงอ๋องเป็นบุตรของลีปุดอุย ลีปุดอุยให้ครองราชสมบัติ แต่ท่านเป็นบุตรของจังเสียงอ๋อง หาได้ครองราชสมบัติของบิดาไม่ ซึ่งลีปุดอุยให้ท่านเป็นแม่ทัพกับข้าพเจ้ายกออกมาครั้งนี้ แต่พอจะให้มาเสียพ้นเมือง ทุกวันนี้ลีปุดอุยเข้าไปวังเวลาคํ่าคืนมิได้ขาดหามีผู้ใดห้ามปรามไม่ ลีปุดอุยกับฮองไทเฮาเข้าออกไปมาหาสู่กันมิได้ขาด ทุกวันนี้เกรงท่านอยู่ว่าจะรู้ความจึงใช้ให้ไปไกลมาเสียทั้งนี้ ถ้าบังหงอกับเตียงต๋องเสียทีท่านก็จะเป็นโทษ เห็นชีวิตท่านก็จะเป็นอันตรายทั้งสองฝ่าย และแผ่นดินเมืองจิ๋นนี้ นานไปข้างหน้าก็จะเป็นของลีปุดอุย อย่าให้ท่านไว้ใจเลย จงคิดอ่านจัดแจงตระเตรียมตรึกตรองรักษาตัวให้จงดี เตียงอันกุ๋นได้ฟังดังนั้นก็เสียนํ้าใจ แล้วว่าความทั้งนี้ข้าพเจ้ามิได้รู้ต้นยลกลอุบายของลีปุดอุยเลย เมื่อเป็นการดังนี้แล้ว ท่านจะคิดอ่านประการใด
ห้วมลีกีจึงว่า ทัพบังหงอก็ยกไปตั้งอยู่ ณ ที่เตาสัน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะสู้ฝีมือทัพบังเอี๋ยนมิได้ ครั้นจะล่าทัพกลับมาก็กลัวความผิด ถ้าท่านคิดเห็นด้วยข้าพเจ้าจะทำการแล้ว ให้มีหนังสือบอกการทั้งปวงไปให้บังหงอรู้ แล้วให้มีหนังสือไปปิดประตูไว้ทุกค่าย คนทั้งปวงจะได้รู้ว่าให้มาเข้าด้วย เราจะได้ยกทัพกลับไปเมืองจิ๋น จับลีปุดอุยกับฮองไทเฮา ขุนนางและอาณาประชาราษฎร์ก็มีใจขัดแค้นอยู่ ถ้าท่านคิดการแล้วเห็นจะสำเร็จโดยง่าย
เตียงอันกุ๋นได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ชักกระบี่ออกจากฝักแล้วกระทืบเท้าว่า เราเกิดมาเป็นชาติชายถึงจะตายไม่เสียดายชีวิต ชังจะมาไหว้คนเช่นนี้ มิคำนับต่อไปอีกแล้ว เตียงอันกุ๋นจึงว่ากับห้วมลีกีว่า ท่านจงได้เมตตาช่วยแนะนำให้สติปัญญาด้วยเถิด ห้วมลีกีจึงสั่งคนใช้ให้ไปบอกนายกองทหารทั้งปวงว่า บัดนี้เตียงอันกุ๋นไม่ยกไปตีเมืองเตียวแล้วจะยกกลับไปเมืองจิ๋นจับตัวลีปุดอุยฆ่าเสีย คนใช้ก็ไปบอกนายทัพนายกองกับทหารทั้งปวงตามคำห้วมลีกีสั่งทุกประการ แล้วจึงทำหนังสือแต่งคนให้ไปปิดไว้ทั้งสี่ประตูเมืองเป็นหนังสือเตียงอันกุ๋นว่า เจ๋งอ๋องคนนี้มิใช่บุตรพระเจ้าจังเสียงอ๋อง มารดาของเจ๋งอ๋องนั้นเป็นภรรยาลีปุดอุย ลีปุดอุยเอาไปถวายจังเสียงอ๋องแต่ครั้งอยู่เมืองเตียว เป็นลูกลีปุดอุยติดครรภ์ไป แต่ไม่ปรากฏจึงหารู้ไม่ ครั้นจังเสียงอ๋องได้ครองเมืองจิ๋นก็รักใคร่บุตรลีปุดอุยสำคัญว่าเป็นบุตรของตัว ครั้นสิ้นบุญแล้วลีปุดอุยจึงยกเจ๋งอ๋องผู้บุตรขึ้นครองราชสมบัติ แล้วขุนนางทั้งปวงตั้งจังเสียงอ๋อง จังเสียงอ๋องได้เลี้ยงดูมา กินเบี้ยหวัดผ้าปีทุกคนจะเข้าด้วยเจ๋งอ๋องกับลีปุดอุยหรือ หรือจะเข้าด้วยเราผู้เป็นบุตรของจังเสียงอ๋องโดยแท้ ถ้าจะเข้าด้วยเราคิดกระทำการด้วยกัน จงยกทัพกลับไปเมืองจิ๋น ครั้นนายกองทั้งปวงอ่านหนังสือรู้ความแล้ว ที่จะคิดเข้าด้วยเตียงอันกุ๋นก็มีเป็นอันมาก และคิดกลัวลีปุดอุยอยู่ก็คอยดูท่วงที ถ้าเตียงอันกุ๋นคิดการได้ตลอดสมคะเนดังคิดคนทั้งปวงก็จะเข้าด้วย แต่นํ้าจิตยังคิดเรรวนเป็นสองใจมิได้คิดปลงลงข้างไหนเป็นแน่ นายกองทั้งปวงเที่ยวซุ่มปรึกษากันอยู่
ฝ่ายเจ๋งอ๋องครั้นทัพเตียงอันกุ๋นยกไปจากเมืองแล้ว เห็นดาวหางขึ้นทิศตะวันออกบ้าง บางคืนก็เป็นขึ้นข้างเหนือบ้าง ลางคืนขึ้นข้างทิศตะวันตก เจ๋งอ๋องวิตกกลัวจะเป็นเหตุกับบ้านเมืองจึงให้หาโหรมาถามว่า ดาวหางขึ้นดังนี้จะร้ายดีประการใด จะได้กับเมืองเราหรือ หรือจะได้กับเมืองอื่น โหรทำนายว่าซึ่งดาวหางขึ้นดังนี้ เมืองเราจะเกิดศึกใหญ่ ไพร่บ้านพลเมืองจะมีใจกำเริบคิดประทุษร้ายต่อเจ้าแผ่นดิน เจ๋งอ๋องได้ฟังโหรทำนายดังนั้นก็นิ่งอยู่มิได้ว่าประการใด
ฝ่ายเตียงอันกุ๋นซึ่งตั้งอยู่เมืองตันหลิวนั้นเกลี้ยกล่อมได้เมืองเตียงจูเมืองหนึ่ง เมืองฮูกวนเมืองหนึ่ง ได้กำลังมากขึ้น และเตียงต๋องซึ่งบังหงอใช้ให้ไป เตียงอันกุ๋นคิดการขบถ เตียงต๋องได้หนังสือสำคัญที่เตียงอันกุ๋นให้ไปปิดไว้นั้น ก็ขึ้นม้ารีบมาทั้งกลางวันกลางคืน ครั้นมาถึงเมืองจิ๋นแล้วจึงเข้าไปคำนับเจ๋งอ๋อง เอาหนังสือนั้นขึ้นถวาย เจ๋งอ๋องพิเคราะห์ดูในหนังสือแล้วก็ขัดเคืองเตียงอันกุ๋นเป็นอันมาก จึงให้หาลีปุดอุยเข้ามากระซิบบอกเหตุการณ์ทั้งปวง ลีปุดอุยจึงว่าเตียงอันกุ๋นยังหนุ่มแก่ความอยู่หาคิดการได้ดังนี้ไม่ เห็นจะเป็นห้วมลีกีคิดบอกข้อความ แนะนำสอนให้เตียงอันกุ๋นคิดการ อันห้วมลีกีคนนี้ดีแต่ฝีมืออันปัญญาความคิดนั้นเป็นประมาณอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะจัดแจงทหารยกออกไปจับตัวเตียงอันกุ๋นกับห้วมลีกีให้จงได้ ลีปุดอุยก็จัดแจงให้อองเจี๋ยนเป็นแม่ทัพ กับสวนกีอองพูนเป็นเกียกกายซ้ายขวา คุมทหารสิบหมื่นให้เตียงต๋องนำทัพกลับยกออกไปจับตัวเตียงอันกุ๋นกับห้วมลีกีให้จงได้ อองเจี๋ยนกับเตียงต๋องก็คุมทหารสิบหมื่นยกไป
ฝ่ายบังหงอซึ่งตั้งค่ายอยู่ ณ เตาสันนั้น ตั้งค่ายประชิดกันอยู่กับบังเอี๋ยน คอยท่าเตียงอันกุ๋นแม่ทัพอยู่หลายวันก็หาเห็นยกกองทัพมาช่วยไม่ บังหงอเห็นช้าไปหลายวัน พอม้าใช้เตียงอันกุ๋นเอาหนังสือไปส่งให้บังหงอ บังหงออ่านดูแจ้งในหนังสือก็ตกใจ จึงคิดว่าลีปุดอุยให้เรากับเตียงอันกุ๋นยกทัพไปตีเมืองเตียวเป็นคู่คิดอ่านด้วยกัน และเมื่อเตียงอันกุ๋นมาคิดการใหญ่ฉะนี้ ถ้าเราจะไม่ช่วยเตียงอันกุ๋นก็เห็นการจะไม่สำเร็จ ชีวิตเราก็จะพลอยตายด้วย เพราะเป็นพวกเพื่อนว่านเครือด้วยกัน บังหงอคิดอ่านตรึกตรองดังนั้นแล้ว จึงสั่งทหารในกองทัพว่าเราจะยกเลิกกลับไปเมือง แต่อย่าให้กองทัพบังเอี๋ยนรู้ นายทัพนายกองได้ฟังก็บอกกล่าวกำชับบัญชากำหนดกฎหมายกับทหารทั้งปวง ก็เลิกทัพยกแยกกันเดินเป็นสามพวก แต่ทัพบังหงอนั้นยกรั้งหลังรอมา
ฝ่ายบังเอี๋ยนแจ้งว่าบังหงอล่าทัพไปแล้ว จึงจัดให้เฮาฮุยคุมทหารสามหมื่นยกออกสกัดไปข้างหน้า ตั้งอยู่ในป่าตำบลเขาไทหางสัน แล้วบังเอี๋ยนสั่งเฮาฮุยว่าบังหงอคนนี้มีสติปัญญามาก ซึ่งเลิกทัพไปครั้งนี้เห็นว่าจะไม่ยกรีบเร็วนักจะรอหลังอยู่ จะให้แต่ทหารล่วงหน้าไปก่อน ถ้าท่านไปถึงเขาไทหางสันแล้ว ให้ซุ่มทหารไว้ในป่า ให้ทัพบังหงอเดินไปก่อนจึงจัดแยกกันเข้าตีหลังให้ยับเยิน เห็นจะจับตัวบังหงอได้เป็นมั่นคง ท่านจงรีบยกไปก่อนเถิด แล้วเราจะให้ทหารยกหนุนไปตาม เฮาฮุยรับคำแล้วก็คุมทหารสามหมื่นยกไปตั้งสกัดอยู่ในป่าตำบลเขาไทหางสัน
ฝ่ายบังหงอให้ทหารยกรีบล่าทัพไปกองหนึ่งก่อน ทัพบังหงอรอรั้งหลังก็หาเห็นกองทัพติดตามมาไม่ บังหงอคิดสงสัยเหตุใดจึงไม่มีกองทัพติดตาม เห็นจะมีเหตุข้างหน้าเป็นมั่นคง จึงกำชับทหารให้เดินเป็นหมวดเป็นกอง มิให้คนกระจัดพลัดพรายเสียขบวนได้ ครั้นมาถึงตำบลเขาไทหางสัน ทหารซึ่งเดินมาข้างหน้าเกินป่าเขาไทหางสันเข้าไป เฮาฮุยซึ่งบังเอี๋ยนให้มาสกัดหน้าเห็นดังนั้นก็จุดประทัดสัญญาขึ้นแล้วก็ขับทหารออกมาล้อมทัพบังหงอไว้ ทั้งสองทัพรบพุ่งกันเป็นสามารถยังมิทันแพ้ชนะ พอทัพบังเอี๋ยนยกทหารอุดหนุนตามมาทัน ก็เข้าช่วยระดมตีทัพบังหงอ บังหงอรบพุ่งต้านทานเป็นสามารถ ถูกลูกเกาทัณฑ์เข้าหลายเล่ม บังหงอฟันทหารบังเอี๋ยนตายเป็นหลายคนแล้วยิงเกาทัณฑ์ถูกบังเอี๋ยนดอกหนึ่ง บังเอี๋ยนโกรธนักชักลูกเกาทัณฑ์ออกเสีย แล้วก็ขับทหารล้อมบังหงอเข้าไว้เป็นหลายชั้น ต่างยิงแย้งแทงฟันกันตะลุมบอน ลูกเกาทัณฑ์ถูกบังหงอติดตัวรุงรังดังขนนก บังหงอสิ้นกำลังล้มลงตายในที่รบตำบลเขาไทหางสัน ทหารทั้งนั้นก็กระจัดกระจายไป บังเอี๋ยนได้ชัยชนะทัพบังหงอแล้วก็พาทหารกลับมา ณ เมืองเตียวให้หมอรักษาแผลซึ่งถูกลูกเกาทัณฑ์ก็ยังมิหายดี
ฝ่ายอองเจี๋ยนกับเตียงต๋อง คุมทัพออกมาถึงเมืองตันหลิว เตียงอันกุ๋นรู้ความดังนั้นก็ตกใจ จึงให้หาห้วมลีกีมาปรึกษาว่า ซึ่งอองเจี๋ยนคุมทหารยกออกมาจะจับเราครั้งนี้ท่านจะคิดประการใด ห้วมลีกีจึงตอบเตียงอันกุ๋นว่า ตัวท่านทุกวันนี้อุปมาดังขี่เสืออยู่แล้วจะมาคิดกลัวลงเสียจากหลังเสือนั้นมิชอบ เราทุกวันนี้ก็ตีได้หัวเมืองไว้สองเมืองสามเมืองแล้ว ทหารก็มีถึงสิบสี่หมื่นสิบห้าหมื่น จะกลัวอะไรกับอองเจี๋ยน จะรบดูฝีมือกันสักครั้งก็เห็นพอจะได้ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคุมทหารยกออกไปรับกับทัพอองเจี๋ยนให้เห็นฝีมือดีและชั่ว ห้วมลีกีก็ลาเตียงอันกุ๋นมาจัดแจงทหารพร้อมไปด้วยเครื่องศัสตราวุธ เปิดประตูเมืองยกออกไปรับปะทะทัพอองเจี๋ยนเข้าไว้
ฝ่ายอองเจี๋ยนเห็นห้วมลีกีคุมทหารยกออกมารบดังนั้น ขึ้นเกาทัณฑ์พลางถามห้วมลีกีว่า ท่านก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ครั้งจังเสียงอ๋อง จังเสียงอ๋องครั้นสิ้นบุญแล้วเจ๋งอ๋องได้เป็นเจ้า ก็ชุบเลี้ยงให้ท่านกินเบี้ยหวัดห้าปีสืบต่อมามิได้ถอดถอนให้เสื่อมยศฐาบรรดาศักดิ์ เจ๋งอ๋องทำสิ่งไรให้ท่านขัดเคืองหรือ ท่านกับเตียงอันกุ๋นจึงมาคิดประทุษร้ายต่อเจ๋งอ๋อง ทั้งนี้จะเอาสมบัติให้ผู้ใดหรือ หรือตัวจะเอาเอง ห้วมลีกีนั่งอยู่บนเกวียนได้ยินอองเจี๋ยนถามมาดังนั้น ก็ยอบกายลงคำนับแล้วตอบว่า เจ๋งอ๋องคนนี้เป็นลูกของลีปุดอุย คนทั้งปวงไม่รู้หรือ ข้าพเจ้าและท่านขุนนางทั้งปวงได้กินเบี้ยหวัดผ้าปีของจังเสียงอ๋อง จังเสียงอ๋องได้ชุบเลี้ยงยศฐาบรรดาศักดิ์มาทุกคน บัดนี้หาบุญจังเสียงอ๋องไม่แล้ว ลีปุดอุยจะเอาราชสมบัติไปยกให้บุตรลีปุดอุยซึ่งปลอมเป็นเจ้าดังนี้ จะไม่คิดอ่านให้ราชสมบัติให้แก่บุตรจังเสียงอ๋องนั้นมิชอบ ถ้าท่านคิดกตัญญูต่อจังเสียงอ๋องอยู่ ท่านกับข้าพเจ้าจะมารบกันเองหาควรไม่ จำเราจะชวนกันยกเข้าไปในเมืองจิ๋น จับลีปุดอุยกับเจ๋งอ๋องฆ่าเสียแล้วจะยกราชสมบัติให้แก่เตียงอันกุ๋น ซึ่งเป็นบุตรจังเสียงอ๋องให้ครองราชสมบัติสืบไป จึงจะไม่เสียวงศ์กษัตริย์จะมิดีหรือ อองเจี๋ยนจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าเจ๋งอ๋องเป็นบุตรของลีปุดอุยนั้นเรายังไม่เห็นด้วย เมื่อฮองไทเฮาทรงครรภ์อยู่ในวัง ถ้วนคำรบสิบเดือนจึงประสูติเจ๋งอ๋อง คนทั้งปวงก็รู้อยู่สิ้น ซึ่งท่านว่าเป็นบุตรของลีปุดอุยนั้น ท่านแกล้งมุสาเอาความไม่ดีมาใส่หวังจะให้คนทั้งปวงกำเริบ จะพากันล้มตายฉิบหายสิ้นทั้งโคตร ถ้าเราจับตัวท่านได้ครั้งนี้จะฟันมิให้นับท่อนได้
ห้วมลีกีได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ร้องตวาดด้วยเสียงเป็นอันดัง แล้วถือง้าวไล่โจมเข้าฟันทหารอองเจี๋ยน อองเจี๋ยนเห็นดังนั้นขับทหารเข้าล้อมจับห้วมลีกี ห้วมลีกีเอาง้าวไล่ฟันทหารกระจัดกระจายไป พอจวนเวลาคํ่าลงต่างคนก็เลิกทัพไป อองเจี๋ยนไปตั้งอยู่ ณ ซัวไตสัน จึงคิดแต่ในใจว่าห้วมลีกีคนนี้กำลังเข้มแข็งนัก ซึ่งเราจะสู้รบหักหาญเอาโดยซึ่งหน้าก็เห็นจะเสียทหารมาก แล้วก็จะหาจับตัวห้วมลีกีได้ไม่ จำเราจะคิดกลอุบายล่อลวงให้ทัพห้วมลีกีแตกจงได้ อองเจี๋ยนคิดดังนั้นแล้วจึงถามทหารทั้งปวงว่า ผู้ใดรักใคร่สนิทกับเตียงอันกุ๋นบ้าง อิวตวนโหจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นชาวเมืองตันหลิว ได้ไปเป็นทนายใช้สอยอยู่แต่ก่อน อองเจี๋ยนได้แจ้งคำอิวตวนโหดังนั้นก็มีความยินดียิ่งนัก จึงว่าถ้าดังนั้นก็ดีแล้ว เราจะให้ท่านถือหนังสือไปถึงเตียงอันกุ๋นให้ท่านว่ากล่าวห้ามปรามเตียงอันกุ๋นเสีย อย่าให้คิดการเช่นนี้จะพากันตาย
อิวตวนโหจึงตอบว่า ซึ่งจะใช้ให้ข้าพเจ้าไปว่ากล่าวห้ามปรามเตียงอันกุ๋นนั้น ข้าพเจ้าก็มิได้ขัด แต่จะทำไฉนจะเข้าไปในกำแพงเมืองได้ อองเจี๋ยนจึงว่า ถ้ารบกันครั้งนี้ ให้แปลงตัวปลอมเข้าไปในเมืองอย่าให้รู้เห็นพอจะได้อยู่ อิวตวนโหรับคำอองเจี๋ยนจึงเขียนหนังสือลับเข้าผนึกส่งให้อิวตวนโห อิวตวนโหได้หนังสือแล้วก็ลาออกไปแปลงตัวคอยท่าอยู่ อองเจี๋ยนจึงสั่งสวนกีให้คุมทหารยกไปล้อมเมืองจูไว้ แล้วให้อองพูนคุมทหารไปล้อมเมืองฮูกวน ฝ่ายเราจะเข้าตีทัพเตียงอันกุ๋น ซึ่งตั้งอยู่ ณ เมืองตันหลิว อย่าให้กองทัพสามเมืองนี้แยกไปช่วยกันได้ สวนกีกับอองพูนรับคำแล้วก็คุมทหารแยกไปล้อมเมืองจูและเมืองหูก๋วนไว้เป็นสามารถ
ฝ่ายห้วมลีกีจึงปรึกษาเตียงอันกุ๋นว่า เวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะคุมทหารยกออกไปรบกับอองเจี๋ยนให้ถึงแพ้ชนะให้จงได้ ถ้าละไว้ช้ากองทัพอองเจี๋ยนยกไปตีเมืองจู เมืองฮูกวน สองเมืองนี้ได้กำลังมากกล้าขึ้น เราจะป้องกันตัวยาก เตียงอันกุ๋นได้ฟังดังนั้นก็เกิดเศร้าหมองแล้วร้องไห้ จึงตอบว่าการทั้งนี้สุดแต่ท่านเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นเด็กหารู้จักจะผ่อนปรนประการใดไม่ แต่อย่าให้เสียการจะคิดอ่านสิ่งใดก็ตามเถิด ห้วมลีกีก็ออกมาจัดแจงทหารหมื่นเศษเปิดประตูเมืองออกไป พออองเจี๋ยนยกกองทัพมาปะกันเข้าก็รบพุ่งกันเป็นสามารถ อองเจี๋ยนต้านทานกำลังและฝีมือห้วมลีกีไม่ได้ก็แตกถอยไปตั้งอยู่ตำบลเขาหกเลงสัน ใกล้เมืองตันหลิวทางประมาณสองร้อยเส้น ห้วมลีกีก็กลับเข้าเมือง อิวตวนโหแปลงตัวปลอมเข้าเมืองได้ แอบแฝงพี่น้องซ่อนอยู่
ฝ่ายเตียงอันกุ๋นจึงถามห้วมลีกีว่า อองเจี๋ยนเสียทัพก็ยังหากลับไปบ้านเมืองไม่ ยังตั้งมั่นอยู่เขาหกเลงสันนั้น ท่านจะคิดอ่านต่อไปเป็นประการใด ห้วมลีกีจึงว่าเวลาวันนี้อองเจี๋ยนแพ้ฝีมือข้าพเจ้าถอยทัพไปอยู่เขาหกเลงสัน พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะยกไปตีจับอองเจี๋ยนให้จงได้ แล้วจะยกเข้าตีเมืองจิ๋น ชิงเอาราชสมบัติให้แก่ท่านให้จงได้อย่าวิตกเลย
ฝ่ายอองเจี๋ยนถอยทัพไปตั้งมั่นอยู่ ณ เขาหกเลงสัน จึงสั่งกำชับทหารทั้งปวงว่า ถ้ากองทัพห้วมลีกีจะยกมาตีเราอีกครั้งนี้อย่าให้ทหารออกรบพุ่งต้านทานห้วมลีกีเลย จงรักษาที่มั่นไว้อย่ารบสู้อยู่แต่ในค่ายเถิด แล้วอองเจี๋ยนจึงเกณฑ์ทหารสองหมื่นให้เพิ่มเติมหนุนไปช่วยทัพสวนกีกับอองพูนซึ่งไปตีเมืองจู เมืองฮูกวน อีกสองทัพ ทหารทั้งปวงรับคำอองเจี๋ยนแล้วก็พาทหารสองหมื่นเร่งรีบยกทัพไปตีเมืองจูกับเมืองฮูกวน
ฝ่ายห้วมลีกีคุมทหารยกออกไปจะรบกับทัพอองเจี๋ยนทุกวัน อองเจี๋ยนก็หาออกสู้รบไม่รักษาแต่ค่ายไว้มั่นคง ห้วมลีกีจะหักเข้าไปก็ไม่ได้ห้วมลีกีก็กลับมา ตรึกตรองแต่ในใจว่าเหตุไฉนอองเจี๋ยนมิออกมารบ นิ่งอยู่ในค่ายหลายเวลามาแล้ว ชะรอยจะคิดอ่านให้กองทัพไปตีเมืองจูกับเมืองฮูกวนเป็นมั่นคง จำเราจะแบ่งทหารให้ยกแยกไปช่วยสองเมืองนี้ไว้ คิดอ่านจัดแจงยังมิทันจะได้ยกกองทัพไป พอเจ้าเมืองจูเจ้าเมืองฮูกวนให้ม้าใช้มาบอกว่าบัดนี้อองเจี๋ยนยกกองทัพไปตีเมืองได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ ต้านทานฝีมือทหารอองเจี๋ยนมิได้ ไพร่บ้านพลเมืองระส่ำระสายกีดไว้มิอยู่ เมืองจู เมืองฮูกวนเสียแก่ทหารอองเจี๋ยนแล้ว ห้วมลีกีได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงคิดว่าอองเจี๋ยนยกกองทัพไปตีเมืองจูเมืองฮูกวนได้ทั้งสองเมืองแล้วเห็นว่าอองเจี๋ยนมีชัยใจกำเริบอยู่ จะเข้ามาตีเมืองตันหลิวเป็นมั่นคง จำเราจะยกกองทัพไปรักษาอยู่นอกเมืองอย่าให้อองเจี๋ยนยกกองทัพเข้ามาประชิดเชิงกำแพงได้ ห้วมลีกีคิดดังนั้นจึงจัดสรรทหารที่ดีมีฝีมือเป็นอันมาก ยกทัพออกไปตั้งรับอยู่นอกเมือง
ฝ่ายสวนกี อองพูน ครั้นตีเมืองจู เมืองฮูกวนได้แล้วรู้ข่าวว่าอองเจี๋ยนยกไปตั้งอยู่เขาหกเลงสัน สวนกีอองพูนจัดแจงให้ขุนนางอยู่รักษาเมืองจูเมืองฮูกวนเสร็จแล้วก็ยกกองทัพตามอองเจี๋ยนมา ณ เขาหกเลงสัน ครั้นมาถึงแล้วก็เข้าไปคำนับอองเจี๋ยน แจ้งความซึ่งได้รบพุ่งตีสองเมืองได้ทุกประการ อองเจี๋ยนได้ฟังสวนกีอองพูนแจ้งดังนั้นก็มีความยินดีนักจึงว่า เมืองตันหลิวแต่ก่อนได้เมืองจู เมืองฮูกวนไว้เป็นกำลัง บัดนี้ก็เสียแก่เราทั้งสองเมืองแล้วกำลังเมืองตันหลิวจะถอยลง เห็นว่าจะจับตัวเตียงอันกุ๋น ห้วมลีกีได้เป็นมั่นคง ปรึกษาพูดกันยังมิทันจะขาดคำ พอคนใช้มาบอกว่าเจ๋งอ๋องให้ซินแสออกมาหา บัดนี้มานั่งอยู่ที่ศาลานอกค่าย
อองเจี๋ยนได้ฟังดังนั้นก็ลุกออกไปหาซินแสให้เข้ามาในค่ายจัดแจงให้นั่งที่สมควร แล้วถามว่าท่านมาครั้งนี้มีธุระสิ่งอันใด ซินแสจึงว่ามีรับสั่งใช้ให้มาว่า ท่านยกกองทัพมาครั้งนี้ช้านาน ทหารไพร่พลเมืองได้ความอดอยาก จึงให้ข้าพเจ้าคุมของกินและใบชาเสื้อผ้าออกมาให้แจกทหารไพร่พลเมืองทั้งปวง บรรดาที่ผู้มีบำเหน็จความชอบตามสมควร สั่งมาว่าให้ท่านคิดอ่านจับห้วมลีกีและเตียงอันกุ๋นให้จงได้ อองเจี๋ยนก็รับเอาสิ่งของมาจัดแจงแบ่งปันให้ทหารตามสมควรแล้วจึงพูดจากับซินแสว่า ท่านได้ถือรับสั่งออกมาถึงเราแล้วให้ท่านออกไปช่วยดูเป็นพยาน จะตีทัพจับเอาตัวห้วมลีกีให้จงได้ อองเจี๋ยนจึงปรึกษากับนายทัพนายกองทั้งปวงว่าเราจะแต่งทัพออกไปรบกับห้วมลีกีในครั้งนี้ จะให้อองพูนกับสวนกีคุมทหารออกไปตั้งซุ่มอยู่ข้างซ้ายกองหนึ่ง ขวากองหนึ่ง เป็นคนสองหมื่น แล้วให้ซินแสคุมทหารห้าพันยกออกไปรบกับห้วมลีกีแล้วเราจะคุมทหารเป็นทัพใหญ่ยกหนุนออกไป ถ้าห้วมลีกียกมาตีทัพซินแส เราให้ทัพซินแสรบถอยหลังมา ถ้าทัพห้วมลีกีตามถลำเข้ามาในขบวนเห็นได้ทีจึงจะให้ทัพสวนกีอองพูนตีขนาบล้อมเข้าไว้ กองทัพเราจะยกไปล้อมเมืองหลิว เห็นจะจับตัวเตียงอันกุ๋นกับห้วมลีกีได้เป็นมั่นคง อองเจี๋ยนปรึกษาเห็นพร้อมยอมกันแล้วก็สั่งให้ทหารออกมาเกณฑ์ทัพสรรพไปด้วยเครื่องศัสตราวุธเตรียมกันไว้ให้พร้อม
ฝ่ายเตียงอันกุ๋นรู้ว่า เมืองจู เมืองฮูกวน เสียกับอองเจี๋ยนแล้วจึงให้คนใช้ไปหาห้วมลีกีมาปรึกษาว่า ซึ่งอองเจี๋ยนให้ทหารไปตีเอาเมืองจูเมืองฮูกวนได้รี้พลเป็นอันมาก ฝ่ายเราก็หย่อนกำลังลงท่านจะคิดอ่านประการใดจึงจะได้เมืองจู เมืองฮูกวนคืน ห้วมลีกีจึงตอบว่า เวลาพรุ่งนี้เราจะยกออกรบกับอองเจี๋ยน ดูฝีมืออีกสักครั้งหนึ่ง ถ้ามีชัยชนะก็จะได้คิดการต่อไป ถ้าข้าพเจ้าเสียทีแล้วเปิดประตูเมืองข้างทิศเหนือพารี้พลหนีไปเมืองเตียว เมืองเอี๋ยน ขอกำลังรี้พลเจ้าเมืองเตียวเจ้าเมืองเอี๋ยนกลับมารบจับเอาตัวเจ๋งอ๋องฆ่าเสียให้จงได้ ท่านจึงจะได้มีความสุข
เตียงอันกุ๋นได้ฟังดังนั้นจึงกำชับกำชาห้วมลีกีว่า ถ้าท่านจะออกไปรบกับอองเจี๋ยนครั้งนี้อย่าประมาทคิดอ่านจัดแจงให้จงดี ทีจะหนีทีจะสู้อย่าไว้ใจ ห้วมลีกีรับคำเตียงอันกุ๋นคำนับแล้วก็กลับออกมาที่อยู่ พอม้าใช้มาบอกว่าเจ๋งอ๋องให้ซินแสออกมาเข้ากองทัพอองเจี๋ยนอีกทัพหนึ่ง บัดนี้คุมทหารประมาณห้าพันออกมาคอยรบกับท่าน ห้วมลีกีได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซินแสคนนี้หามีฝีมือชื่อเสียงปรากฏในสงครามไม่ เราจะกลัวอะไรกับซินแส ถ้ายกออกมาตีทัพกับเรา เราจะจับฆ่าเสียให้จงได้ ห้วมลีกีว่าดังนั้นแล้วก็จัดแจงทหารที่ฝีมือเข้มแข็ง พร้อมไปด้วยเครื่องศัสตราวุธ ทวน ง้าว เกาทัณฑ์ ห้วมลีกีขี่ม้าขับทหารกองหน้าเข้ารบซินแส ฝ่ายซินแสก็ขับทหารเข้ารบกับห้วมลีกี รบพลางทางคอยรั้งรอมา ห้วมลีกีเห็นได้ทีมิทันคิดก็รุกไล่ทัพซินแสไปประมาณทางสองร้อยห้าสิบเศษ
ฝ่ายสวนกีกับอองพูนคุมทหารซุ่มอยู่สองข้างทาง เห็นทัพห้วมลีกีตีถลำเข้ามาในขบวน สวนกี อองพูน ก็ขับทหารตีกระหนาบหลังล้อมห้วมลีกีเข้าไว้ กองทัพซินแสตีกระทบเป็นหน้ากระดานชักปีกกาบรรจบรบกันเป็นสามารถ ห้วมลีกีเห็นเสียทีรี้พลทหารก็ระส่ำระสายแตกถอยจะกลับเมืองตันหลิว
ฝ่ายอองเจี๋ยนและทหารก็ล้อมเมืองไว้รอบ ห้วมลีกีจะหนีก็มิพ้นก็ฝ่าฟันทหารอองเจี๋ยนแตกเป็นช่อง ห้วมลีกีก็เข้าถึงประตูเมือง ฝ่ายทหารซึ่งรักษาหน้าที่เห็นห้วมลีกีแตกเข้ามาก็เปิดประตูรับให้เข้าไปในเมืองได้
ฝ่ายอองเจี๋ยนก็ขับทหารเข้าตีรี้พลแตกกระจัดกระจายล้มตายเป็นอันมาก แล้วตั้งค่ายรายล้อมเมืองไว้เป็นหลายชั้น ห้วมลีกีเสียทีหนีเข้าไปในเมือง ก็ตรวจตราให้ทหารรักษาหน้าที่เชิงเทินเป็นกวดขันทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ละเลย
ฝ่ายอิวตวนโหถือหนังสือปลอมเข้าไปอยู่ในเมืองตันหลิวเห็นว่าทัพห้วมลีกีรี้พลระส่ำระสายมิได้เป็นหมวดเป็นกอง พอคํ่าลงคืนวันนั้นลอบเข้าไปหาเตียงอันกุ๋นได้มิให้ใครล่วงรู้ คำนับแล้วจึงว่าข้าพเจ้ามีธุระสิ่งหนึ่งจึงเข้ามาหาท่าน เตียงอันกุ๋นเห็นอิวตวนโหเป็นคนเก่าเคยได้ใช้สอยมาแต่ก่อนหามีความรังเกียจสงสัยไม่ จึงว่าท่านมีธุระสิ่งใดจงบอกมาเถิด อิวตวนโหจึงว่าธุระข้าพเจ้าครั้งนี้เป็นการใหญ่ ไม่ควรจะพูดแพร่งพรายรู้หลายหู เตียงอันกุ๋นได้ฟังดังนั้นก็เพโทบายแกล้งใช้คนใช้ให้ตรวจการงาน อิวตวนโหเห็นคนไปสิ้นแล้วจึงว่าทุกวันนี้ท่านก็รู้อยู่ว่าเมืองจิ๋นนี้กำลังรี้พลทหารก็มากกว่าแต่ก่อน และท่านมีทหารอยู่แต่เท่านี้ จะมาคิดการกบฏประทุษร้ายต่อทหารเจ๋งอ๋องจะตีเอาเมืองจิ๋นนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าหาได้ไม่ เตียงอันกุ๋นจึงตอบว่า เหตุไฉนท่านจึงมาว่าดังนี้ ห้วมลีกีเขาบอกเล่าเราว่าเจ๋งอ๋องคนนี้เป็นบุตรของลีปุดอุย ลีปุดอุยยกราชสมบัติให้แก่เจ๋งอ๋องแต่หามีผู้ใดล่วงรู้ไม่ ตัวเรานี้เสียอีกเป็นบุตรของจังเสียงอ๋อง คนทั้งปวงก็รู้อยู่สิ้น ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็หวังจะให้ราชสมบัติกับเราจึงแนะนำให้ทำการดังนี้ อิวตวนโหจึงตอบว่า อันห้วมลีกีมีแต่ฝีมือแกล้วกล้าหามีสติปัญญาไม่ ซึ่งท่านจะทำการตามห้วมลีกีนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าหาสมควรคิดไม่ ท่านจะถึงแก่ความตายเป็นมั่นคง และซึ่งท่านเขียนหนังสือให้ไปปิดประตูเมืองไว้ทุกประตูนั้นก็ไม่เห็นมีผู้ใดมาช่วย บัดนี้ทัพอองเจี๋ยนก็ล้อมเมืองไว้รอบแน่นหนาอยู่ ข้าพเจ้าเห็นว่าเสียเมืองวันหนึ่งเป็นแน่ ท่านจะคิดแก้ไขประการใดจึงจะเอาตัวรอดได้
เตียงอันกุ๋นได้ฟังดังนั้นจึงว่า ถ้าเมืองตันหลิวแตกเสียแก่อองเจี๋ยนแล้ว เราก็จะหนีไปอาศัยอยู่ ณ เมืองเอี๋ยน เมืองเตียวข้างทิศฝ่ายเหนือ จะเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวงได้รี้พลมากแล้วจึงจะยกทัพกลับมาตีเมืองจิ๋นให้จงได้ ท่านจะเห็นประการใด อิวตวนโหจึงตอบว่าซึ่งท่านคิดหาควรไม่ ด้วยแต่ก่อนท่านก็รู้อยู่ว่าเหล่าหกหัวเมืองนี้คิดอ่านยกรี้พลมาตีเมืองจิ๋นเป็นหลายครั้งหลายหนก็แตกกลับไป หัวเมืองทั้งปวงก็กลัวเกรงเมืองจิ๋นอยู่ ถึงท่านจะชักชวนเกลี้ยกล่อมมากระทำสงครามอีกก็คงจะสู้รบเมืองจิ๋นหาได้ไม่ ถึงท่านจะอาศัยเมืองใดตำบลใด เจ๋งอ๋องจะใช้สอยแต่งคนให้ไปว่ากล่าวขอตัวมาก็เห็นเจ้าเมืองทั้งปวงจะไม่ขัดขืน จะจับตัวส่งมา ณ เมืองจิ๋น
เตียงอันกุ๋นได้ฟังอิวตวนโหว่าเห็นหนักแน่นดังนั้นก็ตกใจ จึงอ้อนวอนว่า ท่านได้กรุณาเราช่วยคิดอ่านผ่อนปรนให้สติปัญญาบ้างเหมือนช่วยชีวิตไว้ครั้งหนึ่ง อิวตวนโหเห็นกิริยาเตียงอันกุ๋นสิ้นความคิดอ่อนลงแล้วจึงว่า บัดนี้อองเจี๋ยนก็รู้อยู่ว่าห้วมลีกีคิดอ่านยุยงสั่งสอนให้คิดการทั้งนี้ อองเจี๋ยนปรานีจึงมีหนังสือให้ข้าพเจ้าถือมาถึงท่าน อิวตวนโหว่าดังนั้นแล้วจึงเอาหนังสือส่งให้เตียงอันกุ๋น เตียงอันกุ๋นรับเอาหนังสือแล้วฉีกผนึกออกอ่านดูเป็นใจความว่า ท่านกับเจ๋งอ๋องเป็นพี่น้องวงศ์วานแซ่เดียวกันหาได้คิดรังเกียจกันไม่ และบัดนี้ท่านมาฟังคำห้วมลีกีเป็นคนพาลคิดกระทำการใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ แต่ลำพังท่านก็หาคิดการเช่นนี้ไม่ เจ๋งอ๋องก็ทราบความอยู่สิ้นทุกประการ ถ้าท่านรักชีวิตก็ให้จับห้วมลีกีส่งไปโดยเร็ว ซึ่งโทษทัณฑ์ทั้งปวงเจ๋งอ๋องจะยกโทษเสียไม่ทำอันตรายแก่ท่าน เตียงอันกุ๋นแจ้งในหนังสือดังนั้นนํ้าตาตกมิรู้ที่จะคิดสิ่งใดได้ จึงว่ากับอิวตวนโหว่า ห้วมลีกีคนนี้เป็นคนมีสัตย์กตัญญูมิรู้ที่จะคิดประการใด ซึ่งจะให้จับกุมฆ่าฟันส่งตัวและศีรษะไปนั้นเป็นจนใจ เห็นจะทำมิได้
อิวตวนโหได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ จึงว่าใจท่านนี้เหมือนสตรี จะจับกุมห้วมลีกีไม่ได้แล้วข้าพเจ้าจะลาไป เตียงอันกุ๋นได้ฟังอิวตวนโหว่าดังนั้นจึงว่าตัวท่านนานไปนานมาช้าๆ จึงค่อยไป การซึ่งท่านว่าครั้งนี้เราจะตรึกตรองดูก่อน อิวตวนโหจึงตอบว่าความทั้งนี้ท่านอย่าให้แพร่งพรายอื้ออึงไป แล้วอิวตวนโหลาเตียงอันกุ๋นไปที่อยู่ ครั้นเพลาเช้าห้วมลีกีเข้ามาหาเตียงอันกุ๋น แจ้งว่าทัพอองเจี๋ยนซึ่งมาล้อมเมืองเราไว้มีกำลังหนักแน่นยิ่งนัก รี้พลในเมืองก็สะดุ้งสะเทือนระส่ำระสายวุ่นวายอยู่แล้ว เห็นว่าเมืองเราจะเสียแก่ข้าศึกในสองวันสามวันเป็นมั่นคง ท่านกับข้าพเจ้าพากันหนีไปเมืองเตียวเมืองเอี๋ยนเสียก่อนเถิด เราจึงคิดอ่านแก้ตัวต่อไปเบื้องหน้า เตียงอันกุ๋นจึงตอบว่าสมัครพรรคพวกพี่น้องของเราก็อยู่ในเมืองจิ๋นเป็นอันมาก ซึ่งเราจะหนีไปอาศัยเมืองอื่นนั้นเขาจะรับเราไว้หรือจะประมาณการเป็นแน่นั้นมิได้ ห้วมลีกีจึงว่าหัวเมืองทั้งปวงก็มีใจเจ็บแค้นเมืองจิ๋นอยู่ทุกเมือง ถ้าเราหนีไปอาศัยเห็นจะรับไว้เป็นมั่นคง ห้วมลีกีกับเตียงอันกุ๋นพูดจาหารือกันยังมิทันขาดคำ พอม้าใช้มาบอกว่าทหารอองเจี๋ยนมาร้องเรียกท้าทายชวนให้ออกไปรบ ห้วมลีกีได้ยินดังนั้นก็พลันคิดข้างจะหนี จึงว่ากับเตียงอันกุ๋นว่าถ้าท่านจะอุดหนุนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกออกไปตี ถ้าท่านจะหนีก็หนีไป ถ้าอองเจี๋ยนตีเข้ามาได้จะหนียาก
เตียงอันกุ๋นได้ฟังดังนั้นมิรู้ที่จะคิดสิ่งใดได้ก็นิ่งอยู่ ฝ่ายทัพอองเจี๋ยนขู่เข็ญเรียกร้องเป็นหลายครั้ง ห้วมลีกีอดทนมิได้ก็มานะจึงให้เปิดประตูไล่ทหารออกข้างทิศใต้ขี่รถรบด้วยอองเจี๋ยน อองเจี๋ยนขับทหารเข้ารบทัพห้วมลีกีเป็นสามารถ พวกห้วมลีกีก็แตกพ่ายเข้ามา ฝ่ายเตียงอันกุ๋นขึ้นไปคอยดูอยู่บนเชิงเทิน เห็นทัพอองเจี๋ยนตีทัพห้วมลีกีท้อถอยมา เตียงอันกุ๋นเสียใจนักเห็นว่าห้วมลีกีจะสู้มิได้ก็ถอยทัพกลับมาถึงประตูเมืองร้องให้เปิดรับ
ฝ่ายอิวตวนโหถือกระบี่ยืนแอบอยู่ข้างซ้ายเตียงอันกุ๋นเห็นกองทัพห้วมลีกีเสียทีหนีเข้ามาเรียกให้เปิดประตูรับ อิวตวนโหก็ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า บัดนี้เมืองตันหลิวจะยอมขึ้นแก่เมืองจิ๋นสิ้นแล้ว ฝ่ายทหารทั้งปวงที่เป็นแซ่เดียวกับอิวตวนโหร้องประกาศกับทหารซึ่งรักษาประตูหน้าที่เชิงเทินว่า ถ้าผู้ใดเปิดประตูรับกองทัพห้วมลีกีเราจะตัดศีรษะเสีย เตียงอันกุ๋นเห็นดังนั้นก็ตกใจร้องไห้อยู่
ฝ่ายห้วมลีกีก็มิได้เห็นผู้ใดเปิดประตูรับก็ยืนถอนใจใหญ่แล้วคิดว่าเราทำการกับเด็กหาเคยทำศึกไม่ดังนี้จึงเสียทีไป ฝ่ายอองเจี๋ยนก็รุกขับทหารให้ไล่ล้อมห้วมลีกีเข้าไว้เป็นหลายชั้น แล้วสั่งทหารทั้งปวงว่าห้วมลีกีอยู่ในที่ล้อมแล้วจงจับเอาเป็นให้จงได้ ฝ่ายห้วมลีกีเห็นทหารอองเจี๋ยนกลุ้มรุมจะจับเอาตัวดังนั้น ก็เอาง้าวฟาดฟันกองทัพซึ่งล้มตายเป็นอันมาก ห้วมลีกีออกมาได้จากที่ล้อมก็หนีไปทางเมืองเอี๋ยนเมืองเตียว
ฝ่ายอิวตวนโหเตียงอันกุ๋นก็เปิดประตูรับอองเจี๋ยน อองเจี๋ยนกับทหารก็เข้าไปในเมืองได้ แล้วสั่งให้จับเตียงอันกุ๋นเอาไปคุมไว้ ณ ตึกรับแขกเมืองมิให้จำจอง และอองเจี๋ยนจึงว่ากับซินแสว่าท่านเป็นข้าหลวงออกมากำขับกำชาตรวจตราดูการงานทั้งปวง บัดนี้เราตีได้เมืองตันหลิวแล้ว ห้วมลีกีก็หนีไปจับได้แต่เตียงอันกุ๋นให้คุมไว้จะโปรดประการใดจะได้ทำตาม ซินแสคำนับอองเจี๋ยนแล้วก็ลาขึ้นม้ากลับมาเมือง จึงนำเอาข้อความกิจราชการซึ่งอองเจี๋ยนได้รบพุ่งกับห้วมลีกีและตีเมืองตันหลิวได้ จับเตียงอันกุ๋นคุมไว้ตามได้รู้เห็นแจ้งแก่เจ๋งอ๋องทุกประการ
ฝ่ายฮองไทเฮาผู้มารดาทราบความว่า อองเจี๋ยนยกทัพไปตีได้เมืองตันหลิวจับตัวเตียงอันกุ๋นไว้ดังนั้น จึงให้หาลีปุดอุยเข้ามาว่าได้เมตตาไปช่วยขอโทษเตียงอันกุ๋นไว้อย่าให้ทำอันตรายฆ่าฟันเสียเลย ลีปุดอุยรับคำฮองไทเฮาแล้วก็เข้ามากราบทูลเจ๋งอ๋องว่าเตียงอันกุ๋นคนนี้ยังเยาว์อยู่มิได้รู้จักการศึก คิดขึ้นทั้งนี้ก็เพราะห้วมลีกีเป็นผู้ใหญ่จึงได้รบพุ่งกัน ฮองไทเฮาขออย่าให้ฆ่าฟันและทำอันตรายกับเตียงอันกุ๋นเลย
เจ๋งอ๋องได้ฟังลีปุดอุยขอโทษจึงว่า เตียงอันกุ๋นคนนี้คิดการใหญ่หลวงหยาบช้าถึงเพียงนี้ หาคิดว่าเป็นแซ่เดียวกันไม่ ท่านมาขอชีวิตไว้มิให้ฆ่าฟันนั้นก็จะเป็นเยี่ยงอย่างไป ประการหนึ่งห้วมลีกีก็มีความเจ็บแค้นพยาบาทอยู่ยังจะคิดทำศึกต่อไปอีกจะไว้ชีวิตนั้นมิได้ แล้วสั่งให้ขุนนางมีหนังสือไปถึงอองเจี๋ยน ให้เอาตัวเตียงอันกุ๋นกับพวกเพื่อนเหล่าทหารซึ่งได้คิดอ่านด้วยกันนั้นไปประหารชีวิตเสียที่เมืองตันหลิวให้สิ้นอย่าให้ทหารดูเยี่ยงอย่างกัน แล้วให้ขับไล่ไพร่พลอาณาประชาราษฎร์ในเมืองตันหลิวกวาดต้อนมาอยู่เมืองลิดติว แล้วให้มีหนังสือประกาศไปทุกหัวเมืองว่า ถ้าผู้ใดจับตัวห้วมลีกีได้จะให้ปูนบำเหน็จความชอบให้บ้านส่วยขึ้นตามสมควร ขุนนางก็แต่งหนังสือส่งให้ม้าใช้ไปแจ้งแก่อองเจี๋ยน ณ เมืองตันหลิวสิ้นทุกประการ
อองเจี๋ยนยังมิทันสั่งให้ผลาญชีวิต กิตติศัพท์ก็รู้ไปถึงเตียงอันกุ๋น เตียงอันกุ๋นเห็นจะไม่รอดชีวิตต่อไปแล้วก็ผูกคอตาย ณ ตึกรับแขกเมือง ผู้คุมจึงเอาเนื้อความไปแจ้งกับอองเจี๋ยนว่า บัดนี้เตียงอันกุ๋นผูกคอตายเสียแล้ว อองเจี๋ยนจึงสั่งให้ตัดเอาศีรษะเตียงอันกุ๋นไปเสียบไว้ที่ประตูเมือง และสมัครพรรคพวกคนสนิทที่ไว้ใจของเตียงอันกุ๋นนั้นก็ให้ประหารชีวิตเสียเป็นอันมาก แล้วก็ให้รื้อกำแพงเลิกเมืองตันหลิวเสีย ขับต้อนไพร่บ้านพลเมืองให้ไปตั้งอยู่เมืองลิดติวตามรับสั่ง