- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๔๓
ฝ่ายพระเจ้าจิวเซียงอ๋อง ครั้นรุ่งเช้าก็เสด็จทรงรถพร้อมกระบวนแห่กลับไปเมืองหลวง เซียนเบียดกับอีเอียนก็คุมเซียงก๋งตามเสด็จไปเมืองหลวง เซียนเบียดก็เอาเซียนก๋งคุมขังไว้ตามเจ้าเมืองจิ้นสั่ง ฝ่ายจิ้นบุนก๋งส่งเสด็จแล้วจึงกลับมาที่อาศัย ให้เชิญหัวเมืองทั้งปวงมากินโต๊ะแล้วปรึกษาเจ้าเมืองทั้งปวงว่า แต่ก่อนเมืองฆ้อเคยมาถวายเครื่องบรรณาการขึ้นกับเมืองหลวง บัดนี้เมืองฆ้อไปขึ้นอยู่กับเมืองฌ้อ เราคิดว่าปีหน้าเดือนหกกลางเดือน จะเชิญท่านทั้งปวงยกกองทัพมา ณ เมืองเองเอียง ประชุมทัพพร้อมแล้วจะให้ยกไปตีเมืองฆ้อ ผู้ใดจะมาช่วยเราบ้าง เจ้าเมืองเจ๋ เจ้าเมืองซอง เจ้าเมืองฬ่อ เจ้าเมืองชัว เจ้าเมืองติน เจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองกี๋ เจ้าเมืองจอ รับคำว่าข้าพเจ้าทั้งแปดหัวเมืองจะยกมาช่วยท่านตีเมืองฆ้อ
ขณะเมื่อจิ้นบุนก๋งจัดกองทัพหัวเมืองทั้งแปดนั้น ฝ่ายก๋งจูเจียบซึ่งเป็นเตงบุนก๋ง เจ้าเมืองเตงนั่งกินโต๊ะอยู่ด้วย จึงคิดว่าต๋งนีถือตัวว่าพระเจ้าเมืองหลวงชุบเลี้ยงให้เป็นอ๋องเป๋า จะทำการสิ่งใดก็ทำแต่ตามอำเภอใจ และต๋งนีแต่ก่อนมีความขัดเคืองกันกับเรา หากว่าเราไปเป็นน้องเขยเจ้าเมืองฌ้อ ต๋งนีเกรงเมืองฌ้ออยู่จึงมิได้ตีเมืองเรา บัดนี้ต๋งนีสั่งหัวเมืองทั้งแปดจะให้ไปตีเมืองฆ้อซึ่งขึ้นแก่เมืองฌ้อนั้น ครั้นจะรับไปช่วยตีเมืองฆ้อด้วย เจ้าเมืองฌ้อรู้ก็จะขัดเคือง เตงบุนก๋งยังนั่งนิ่งตรึกตรองอยู่ พอซกเหลียมซึ่งเป็นที่ไตหูเข้าไปกระซิบบอกเตงบุนก๋งว่าหัวเมืองทั้งแปดนัดกองทัพพร้อมกัน ท่านจะนิ่งอยู่ไม่รับตีเมืองฆ้อนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าเจ้าเมืองจิ้นจะขัดเคือง ถ้าทัพหัวเมืองพร้อมแล้ว เห็นจะยกไปตีเมืองท่านก่อน จึงจะไปตีเมืองฌ้อต่อภายหลังมั่นคง ขอให้ท่านรับอาสาตีเมืองฆ้อกับหัวเมืองทั้งปวงตามคำเจ้าเมืองจิ้นก่อนเถิด เจ้าเมืองจิ้นจึงจะไม่ทำอันตรายแก่เมืองท่าน เตงบุนก๋งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงอุบายบอกแก่จิ้นบุนก๋งว่า ข้าพเจ้าเป็นโรคป่วยมาหลายวันอุตส่าห์แข็งใจมาตามเสด็จ ข้าพเจ้าจะขอลาไปเมืองก่อน ถ้าข้าพเจ้ารักษาไข้คลายป่วยแล้วจึงจะยกทัพมาช่วยตีเมืองฆ้อ ถ้าข้าพเจ้ายังมิหายเห็นจะไม่ได้ยกทัพมา จิ้นบุนก๋งได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านป่วยอยู่จะไปเมืองก็ตามเถิด แต่เจ้าเมืองทั้งแปดจงยกทัพมาให้พร้อมกัน ณ เมืองเองเอียงในเดือนหกกลางเดือนตามสัญญา ถ้าเจ้าเมืองใดมิมาจะเอาตัวเป็นโทษ หัวเมืองทั้งปวงก็คำนับลาต่างแยกกันไปเมือง จิ้นบุนก๋งก็กลับไปเมืองจิ้น
เจ้าเมืองเตงครั้นมาถึงเมือง คิดวิตกเกรงเจ้าเมืองจิ้นจะขัดเคืองว่าไม่ยกไปตีเมืองฆ้อ จึงสั่งคนสนิทว่า ท่านจงทำเป็นคนค้าขายไปเมืองจิ้นเที่ยวพูดจาให้ขุนนางและราษฎรชาวเมืองจิ้นฟังว่า ชาวเมืองเตงเกิดความไข้ แล้วว่าเราก็ป่วยหนักอยู่ คนสนิทก็รับคำมาจัดแจงสินค้าบรรทุกเกวียนไปค้าขาย ณ เมืองจิ้น แล้วพูดกับชาวเมืองจิ้นตามอุบายซึ่งเจ้าเมืองเตงสั่งมาทุกประการ ขณะนั้นมีผู้เข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองจิ้นว่า คนค้าขายมาแต่เมืองเตงบอกความว่าชาวเมืองเตงเกิดความไข้ เจ้าเมืองเตงก็ป่วยอยู่ เจ้าเมืองจิ้นได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วบอกแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ขณะเมื่อเรากับเจ้าเมืองทั้งแปดหัวเมืองไปเฝ้าพระเจ้าจิวเซียงอ๋องนั้นเรานัดกองทัพหัวเมืองจะไปตีเมืองฆ้อ ก๋งจูเจียบเจ้าเมืองเตงบอกว่าป่วยแล้วว่าถ้าคลายป่วยจึงจะมาช่วยตีเมืองฆ้อ เราดูกิริยาเห็นว่าก๋งจูเจียบบิดเบือนอยู่จะมิมาตามสัญญา ซึ่งคนค้าขายมาบอกข่าวว่าชาวเมืองเตงเกิดความไข้ทั้งนี้เห็นจะเป็นกลอุบายเจ้าเมืองเตงใช้มา หวังจะไม่ไปตีเมืองฆ้อ เพราะเจ้าเมืองเตงเป็นน้องเขยฮีมฮุนเจ้าเมืองฌ้อ กองทัพเรากับทัพหัวเมืองไปตีเมืองฆ้อได้แล้วจึงจะเอาตัวเจ้าเมืองเตงมาปรึกษาโทษ
ฝ่ายเตงบุนก๋ง ขณะเมื่อใช้คนไปเมืองจิ้นแล้ว จึงแต่งหนังสือบอกให้ม้าใช้ถือไปเมืองฆ้อฉบับหนึ่ง ม้าใช้คำนับรับหนังสือแล้วออกมาขึ้นม้ารีบไปถึงเมืองฆ้อ เข้าหาขุนนางพาไปแจ้งความแก่ฆ้ออีก๋ง เจ้าเมืองฆ้อคนนี้ชื่อเกียงเยียดเป็นหลานเป๊กอี ครั้นเจ้าเมืองฆ้อแจ้งว่าเจ้าเมืองเตงให้ถือหนังสือมา รับหนังสือฉีกผนึกออกอ่านได้ความว่า เจ้าเมืองจิ้นโกรธว่าเจ้าเมืองฆ้อมาเป็นขึ้นอยู่กับเมืองฌ้อ เจ้าเมืองจิ้นนัดกองทัพทั้งแปดหัวเมืองว่าเดือนหกกลางเดือนให้ยกกองทัพมาพร้อมกัน ณ เมืองเองเอียงจะยกมาตีเมืองฆ้อ ให้เจ้าเมืองฆ้อจัดแจงค่ายคูประตูหอรบไว้ให้มั่นคง
เกียงเยียดได้แจ้งความในหนังสือดังนั้นก็ตกใจ จึงแต่งหนังสือบอกข้อราชการให้ขุนนางถือไปขอกองทัพฌ้อเซียงอ๋อง ขุนนางรับหนังสือคำนับลาออกมาขึ้นม้ารีบไปเมืองฌ้อ จึงเข้าหาขุนนางผู้ใหญ่ให้พาเข้าไปแจ้งข้อราชการแก่ฌ้อเซียงอ๋องตามหนังสือบอกเจ้าเมืองทุกประการ ฌ้อเซียงอ๋องได้แจ้งดังนั้นจึงว่า เราไปรบกับเจ้าเมืองจิ้นครั้งก่อนเสียทีมาทแกล้วทหารยังอิดโรยกำลังอยู่ ซึ่งเจ้าเมืองจิ้นจะพากองทัพหัวเมืองมาครั้งนี้เห็นจะมาตีเมืองเราด้วย เราก็จะต้องจัดแจงทหารรักษาเขตแดนไว้ให้มั่นคงก่อน ซึ่งเจ้าเมืองฆ้อให้มาขอกองทัพนั้น ถ้าเมืองเราไม่มีศึกจึงจะยกไปช่วย ขุนนางเมืองฆ้อได้ฟังฌ้อเซียงอ๋องว่าดังนั้นจึงคำนับลาออกจากเมืองฌ้อ รีบกลับไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองฆ้อตามคำฌ้อเซียงอ๋องทุกประการ
เกียงเยียดได้แจ้งดังนั้น เห็นว่าเจ้าเมืองฌ้อว่ากล่าวบิดอยู่จะมิมาช่วย จึงปรึกษากับบุนเสงไตหูว่า ซึ่งเจ้าเมืองจิ้นโกรธว่าเรามาเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองฌ้อ เจ้าเมืองจิ้นจะพากองทัพแปดหัวเมืองมาตีเมืองเรา เราก็ได้มีหนังสือบอกไปขอกองทัพเมืองฌ้อ เจ้าเมืองฌ้อก็มิได้มาช่วย แล้วท่านจะคิดอ่านประการใด บุนเสงจึงว่า เจ้าเมืองฌ้อไม่ช่วยทุกข์เราได้แล้ว เราเป็นเมืองน้อยจะสู้รบกับหัวเมืองทั้งแปดด้วยกำลังฝีมือทหารเห็นจะเหลือกำลัง ข้าพเจ้าคิดเห็นกลอุบายสิ่งหนึ่ง จะขอทหารไป ณ ตำบลจับลีเตงนอกเองเอียง ทางประมาณร้อยยี่สิบห้าเส้นเศษ ข้าพเจ้าจะให้ทหารขุดอุโมงค์กว้างสิบวาหรือสี่ศอก จะให้ฝังประทัดใหญ่ทำด้วยเหล็กใส่ดินดำตั้งเรียงกันให้เต็มอุโมงค์ แล้วขุดอุโมงค์น้อยกว้างสี่ศอกลึกสามศอก ห่างอุโมงค์ใหญ่ออกมาห้าวาทั้งสี่ด้าน และประทัดซึ่งตั้งรายอยู่ในอุโมงค์นั้นมีสายชนวนขุดเป็นช่องสายชนวนมาถึงอุโมงค์น้อยทุกอุโมงค์ ให้ทหารลงไปตามตะเกียงเลี้ยงไฟไว้ในอุโมงค์ และปากอุโมงค์ใหญ่นั้นเรียบกระดานเกลี่ยดินกลบเสียจึงปลูกร้านรับแขกบนปากอุโมงค์ใหญ่ ขอท่านจัดสิ่งของเป็นเครื่องคำนับออกไปคอยที่จับลีเตง แม้นเจ้าเมืองจิ้นพากองทัพหัวเมืองมาถึงเมืองเองเอียงพร้อมกันแล้วท่านจงไปยอมเข้ากับเมืองจิ้น แล้วว่ากล่าวอ่อนน้อมให้เจ้าเมืองจิ้นหายโกรธ จึงเชิญเจ้าเมืองจิ้นกับเจ้าเมืองทั้งแปดมาเลี้ยงโต๊ะ ณ ที่รับแขกปากอุโมงค์พร้อมกันแล้ว ท่านจงรีบออกมาเสีย ข้าพเจ้าจะกระทืบเท้าที่ปากอุโมงค์น้อยเป็นสำคัญ ทหารอุโมงค์ก็จะจุดชนวนติดประทัดใหญ่ให้ระเบิดหัวเมืองทั้งปวงเสียให้ตาย ครั้นเจ้าเมืองตายแล้วนายทัพนายกองทั้งปวงก็จะระส่ำระสายสับสนอลหม่านเสียกระบวนศึก แล้วข้าพเจ้าก็จะพาทหารรีบไปสกัดต้นทางร่วมคอยฆ่าทหารทั้งแปดหัวเมืองเห็นจะได้ชัยชนะ
เจ้าเมืองฆ้อได้ฟังดังนั้นก็นิ่งตรึกตรองอยู่แล้วตอบว่า หัวเมืองบรรดาซึ่งยกมาทั้งนี้ เพราะขัดต๋งนีเจ้าเมืองจิ้นมิได้จึงมา ซึ่งท่านคิดจะระเบิดเจ้าเมืองทั้งแปดเสียให้พลอยตายด้วยต๋งนีเจ้าเมืองจิ้นนั้น มาตรว่าต๋งนีเจ้าเมืองจิ้นและเจ้าเมืองทั้งแปดตาย พระเจ้าเมืองหลวงก็คงมีรับสั่งให้หัวเมืองอื่นมาตีเมืองเราเห็นหาสิ้นศึกไม่ ราษฎรชาวเมืองก็จะนินทาว่าเพราะเราไม่ไปขึ้นแก่เมืองหลวงจึงได้ความเดือดร้อน ครั้งนี้ถึงเจ้าเมืองจิ้นจะลงโทษเราประการใดก็ตามเถิด เราจะจัดแจงสิ่งของไปเข้าด้วยเจ้าเมืองจิ้น ขอเป็นเมืองขึ้นแก่พระเจ้าเมืองหลวงสืบไป เจ้าเมืองฆ้อจึงจัดแจงหยกและทองเงินแพรสิ่งของเครื่องบรรณาการ บรรทุกเต็มสามเล่มเกวียน ครั้นถึง ณ วันเดือนหกขึ้นสิบห้าคํ่า เจ้าเมืองฆ้อรู้ว่าจิ้นบุนก๋งกับเจ้าเมืองทั้งแปดยกทัพมาถึงพร้อมกัน ณ เมืองเองเอียงแล้วก็ขึ้นม้าพาขุนนางคุมเครื่องบรรณาการออกจากเมืองไปถึงเมืองเองเอียง จึงลงจากม้าบอกนายประตูค่ายให้แจ้งความแก่เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นรู้ว่าเจ้าเมืองฆ้อมาก็ดีใจ จึงให้เชิญทั้งแปดหัวเมืองมาพร้อมกัน ณ ค่ายแล้ว ให้รับเจ้าเมืองฆ้อกับสิ่งของเครื่องบรรณาการเข้าไปในค่าย เกียงเยียดเจ้าเมืองฆ้อคำนับเจ้าเมืองจิ้นแล้วว่า ซึ่งข้าพเจ้ามิได้จัดแจงสิ่งของเครื่องบรรณาการไปเฝ้าพระเจ้าเมืองหลวงตามหนังสือท่านบอกครั้งนั้นข้าพเจ้าผิดนัก ขอท่านจงกรุณายกโทษให้สักครั้งหนึ่ง
ต๋งนีเจ้าเมืองจิ้นจึงว่า ซึ่งท่านมิได้ไปเฝ้าพระเจ้าเมืองหลวง มีผู้ไปกราบทูลว่าท่านยอมไปเป็นเมืองขึ้นกับฮีมฮุนเจ้าเมืองฌ้อ พระเจ้าเมืองหลวงทรงพระโกรธ จึงมีรับสั่งให้เรากับหัวเมืองทั้งปวงยกมา ซึ่งท่านรู้ว่าโทษท่านผิดมาหาเราโดยดี เราก็จะนำสิ่งของซึ่งท่านเอามาให้ไปถวาย จะช่วยทูลเบี่ยงบ่ายให้เจ้าพ้นโทษ แล้วต๋งนีจึงว่ากับทั้งแปดหัวเมืองว่า เจ้าเมืองฆ้อรู้ว่าโทษตัวผิดมายอมรับโทษแล้ว ท่านทั้งแปดเมืองอย่าได้ทำอันตรายเจ้าเมืองฆ้อเลย จงพากันยกทัพกลับไปเมืองเถิด เจ้าเมืองทั้งแปดได้ยินเจ้าเมืองจิ้นสั่งดังนั้นต่างคนก็คำนับลาออกมา
ขณะเมื่อก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋นเดินออกมา จิ้นบุนก๋งจึงลุกจากเก้าอี้ตามออกมา จึงจับข้อมือเจ้าเมืองจิ๋นไว้แล้วว่า ท่านกับข้าพเจ้าจะจากกันวันนี้ ถ้าเบื้องหน้านานไปท่านมีทุกข์ธุระสิ่งใด จงบอกหนังสือมาถึงจะช่วยให้สำเร็จ ถ้าข้าพเจ้ามีธุระประการใด จะมีหนังสือไปถึงท่านขอท่านจงช่วยทำนุบำรุงอย่าให้เสียทางไมตรี ข้าพเจ้ากับท่านถ้อยทีทำนุบำรุงกันตั้งแต่วันนี้ไปคุ้มวันหน้า เจ้าเมืองจิ๋นก็รับคำแล้วลามาจัดแจงกองทัพไปเมือง
ฝ่ายเชียงเซียงซึ่งเป็นโจ๋จงก๋งเจ้าเมืองโจ๋ ตั้งแต่เจ้าเมืองจิ้นให้คุมขังไว้ ณ เมืองเหงาลกประมาณปีเศษ เป็นทุกข์ตรอมใจอยู่ทุกเวลา ครั้นรู้ว่าเจ้าเมืองฆ้อซึ่งมิได้มาถวายเครื่องบรรณาการเจ้าเมืองจิ้นยกทัพจะไปตี เจ้าเมืองฆ้อแต่งสิ่งของไปขอโทษเจ้าเมืองจิ้นก็มิได้เอาโทษ จึงคิดว่าโทษเราก็เหมือนกับเจ้าเมืองฆ้อ จำจะให้เฮายีจัดแจงสิ่งของเครื่องบรรณาการ ณ เมืองโจ๋ตามเจ้าเมืองจิ้นไป ณ เมืองเองเอียง เชียงเซียงคิดแล้วจึงมีหนังสือให้คนใช้ถือมาให้แก่เฮายี ซึ่งอยู่รักษาเมืองโจ๋ตามที่คิดนั้น คนใช้รับหนังสือแล้วลารีบไปถึงเมืองโจ๋จึงส่งหนังสือให้เฮายี เฮายีแจ้งความในหนังสือแล้วจัดแจงเงินทองและแพรบรรทุกเกวียนไป ณ เมืองเองเอียง ตามหนังสือซึ่งเจ้าเมืองโจ๋บอกมา ครั้นไปถึงเมืองเองเอียงจึงคิดว่าเจ้าเมืองจิ้นโกรธเจ้าเมืองโจ๋อยู่ ครั้นจะเข้าไปขอโทษเจ้าเมืองโจ๋ครั้งนี้ เจ้าเมืองจิ้นจะคลายโกรธหรือจะโกรธอยู่ก็ยังหาแจ้งความไม่ ครั้นจะด่วนเข้าไปหาเกลือกจะเสียการ จึงคิดขึ้นได้ว่า เพื่อนสนิทเรามีอยู่คนหนึ่งชื่อกวยกิว เจ้าเมืองจิ้นนับถือว่ารู้ฤกษ์ยามเหตุดีและร้าย ได้เป็นขุนนางคนสนิทอยู่ในเมืองจิ้น เฮายีไปเที่ยวสืบหา พอมาพบกวยกิว กวยกิวก็พาเฮายีไปที่อยู่ ทั้งสองพูดจาปราศรัยกัน เฮายีจึงแจ้งความซึ่งเจ้าเมืองโจ๋ใช้มาให้ฟังแล้วถามว่า ท่านพิเคราะห์ดูการซึ่งเราจะมาขอโทษเจ้าเมืองโจ๋ครั้งนี้ท่านเห็นเจ้าเมืองโจ๋จะพ้นโทษหรือมิพ้นเป็นประการใด กวยกิวจึงพิเคราะห์ดูตามสังเกตแล้วบอกว่า เจ้าเมืองโจ๋เคราะห์ร้ายล่วงมาได้ปีเศษแล้ว ต่อเวลาพรุ่งนี้จึงจะพ้นเคราะห์ ซึ่งท่านจะมาขอโทษนายท่านนั้น ได้ช่องเมื่อใดเราจะช่วยว่ากล่าวให้พ้นโทษ จงมาอยู่ด้วยเราสักสองสามวันเถิด เฮายีได้ฟังก็ดีใจจึงว่า ถ้าท่านกรุณาช่วยนายข้าพเจ้าให้พ้นโทษแล้ว เงินทองสิ่งของซึ่งบรรทุกเกวียนมานั้นจะให้แก่ท่าน เฮายีก็อาศัยอยู่กับกวยกิว
ฝ่ายต๋งนีเจ้าเมืองจิ้น ครั้นเจ้าเมืองฆ้อมายอมเข้าด้วยแล้วก็พักทหารอยู่ ณ ค่ายเมืองเองเอียง ครั้นคํ่าลงเวลาประมาณสามยามเศษนอนหลับฝันว่า มีผู้หนึ่งรูปร่างพ่วงพีสูงใหญ่ ห่มเสื้อใส่หมวกอย่างกษัตริย์ถือกระบี่เดินเข้ามาถึงที่นอนเงื้อกระบี่ขึ้นจะฟัน ต๋งนีร้องตวาดผู้นั้นก็ถอยออกไปก็ตกใจตื่นขึ้น พอรุ่งสว่างปวดศีรษะสะท้านร้อนสะท้านหนาวเมื่อยมึนไปทั่วตัว จึงให้คนใช้ไปหากวยกิวเข้ามา คนใช้ก็คำนับลาไปถึงที่อยู่กวยกิวจึงแจ้งความว่าอ๋องเป๋าให้หา
เฮายีกับกวยกิวนั่งอยู่ด้วยกัน เฮายีได้ฟังคนใช้มาบอกจึงว่ากับกวยกิวว่า ทุกข์ของข้าพเจ้าซึ่งเล่าแก่ท่านนั้น ขอท่านอย่าลืมจงกรุณาช่วยให้สำเร็จ เหมือนดังอยู่ที่มืดให้ออกที่สว่าง เห็นพระจันทร์พระอาทิตย์ กวยกิวจึงว่าท่านอย่าวิตกเลยเราจะช่วย กวยกิวก็มากับคนใช้เข้าไปคำนับต๋งนี ต๋งนีจึงว่า เวลาคืนนี้เราฝันเห็นวิปริตนัก ก็เล่าความฝันให้กวยกิวฟังแล้วว่า เราป่วยไข้ลงทั้งนี้เพราะความฝัน ท่านจะแก้ไขประการใด กวยกิวเห็นได้ท่วงทีจึงว่า ซึ่งท่านฝันว่าพระมหากษัตริย์ทรงกระบี่เข้ามาจะฟันเอาท่านนั้น ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูในเศษยามตามตำราว่า ผีปู่ย่าตายายของท่านแต่ก่อนโกรธว่าท่านทำโทษแก่พี่น้องร่วมแซ่เดียวกัน ท่านทำโทษผู้ใดไว้บ้าง จงตรึกตรองดูเถิด
ต๋งนีได้ฟังดังนั้นนิ่งตรึกตรองอยู่เป็นช้านาน ก็คิดขึ้นได้จึงว่า เชียงเซียงเจ้าเมืองโจ๋ซึ่งเอามาจำขังไว้ก็เป็นหลานกีซกจิ้นซึ่งเป็นปู่ชวดเรา แต่เราเอาเชียงเซียงมาจำขังไว้ ณ เมืองเหงาลกก็ถึงปีเศษแล้ว ต๋งนีจึงเรียกขุนนางผู้หนึ่งเข้ามา สั่งให้มีหนังสือบอกไปถึงขุนนางเมืองเหงาลกให้ปล่อยเชียงเซียงเจ้าเมืองโจ๋ให้พ้นโทษคืนไปครองเมืองโจ๋ดังเก่า ทรัพย์สิ่งของและที่แดนไร่นาซึ่งเก็บริบเอามาไว้ให้คืนแก่เจ้าเมืองโจ๋เถิด ขุนนางก็คำนับลาออกมาแต่งหนังสือ ใช้ม้าใช้ถือไปให้ขุนนางเมืองเหงาลกตามเจ้าเมืองจิ้นสั่ง กวยกิวครั้นเจ้าเมืองจิ้นสั่งให้เจ้าเมืองโจ๋พ้นโทษแล้วก็ดีใจ จึงจัดแจงสิ่งของเครื่องเซ่นบวงสรวงเสียเคราะห์เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นก็หายป่วย กวยกิวก็ลาออกมาที่อยู่เล่าความให้เฮายีฟังทุกประ การ เฮายีแจ้งดังนั้นก็ดีใจนัก จึงมอบสิ่งของซึ่งบรรทุกมานั้นให้แก่กวยกิวเป็นสินบนแล้วลากลับไปหาเจ้าเมืองโจ๋
ฝ่ายผู้ถือหนังสือมาถึงเมืองเหงาลกจึงลงจากม้า เข้าไปคำนับบอกความแก่ผู้รักษาเมืองเหงาลกว่า อ๋องเป๋าใช้ให้ถือหนังสือบอกมาถึงท่านด้วยข้อความเจ้าเมืองโจ๋ ผู้รักษาเมืองเหงาลกก็รับหนังสือมาอ่านแจ้งความแล้วจึงให้ผู้คุมถอดเครื่องจำเจ้าเมืองโจ๋ออก พอเฮายีมาถึงเข้าไปคำนับแจ้งความให้เจ้าเมืองโจ๋ฟังทุกประการ เชียงเซียงครั้นพ้นโทษแล้วก็ยินดีจึงว่ากับเฮายีว่า ท่านทำความชอบไว้แก่เราครั้งนี้มากนัก เจ้าเมืองจิ้นให้เราพ้นโทษได้คงที่เป็นเจ้าเมืองโจ๋ดังเก่า บัดนี้เมืองโจ๋หามีผู้ใดรักษาไม่ จำจะพากันไปเมืองโจ๋เถิดหรือท่านจะเห็นเป็นประการใด เฮายีจึงว่าเจ้าเมืองจิ้นโกรธท่านจึงเอาท่านมาจำขังไว้ ครั้นพ้นโทษแล้วท่านจะไปเมืองนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า เจ้าเมืองจิ้นจะคิดเห็นว่าท่านยังมีความพยาบาทอยู่ เกรงเมื่อเจ้าเมืองจิ้นจะพาลเอาผิดเมื่อภายหลัง ขอท่านจงไปลาเจ้าเมืองจิ้นเสียก่อนจึงจะควร เชียงเซียงก็เห็นชอบ จึงไปลาผู้รักษาเมืองเหงาลกแล้วพาเฮายีขึ้นขี่เกวียน คนใช้ประมาณเก้าสิบคนออกจากเมืองเหงาลกไปตามระยะทางไปถึงเมืองเองเอียง จึงบอกนายประตูค่ายเข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นรู้ว่าเชียงเซียงมาก็ออกมารับเข้าค่ายพาเชียงเซียงขึ้นนั่งที่สมควร
เชียงเซียงจึงว่าแก่เจ้าเมืองจิ้นว่า โทษข้าพเจ้าผิดด้วยมิได้ไปถวายเครื่องบรรณาการแก่พระเจ้าเมืองหลวงตามประเพณีเมืองน้อย อ๋องเป๋ามิได้ฆ่าเสียตามโทษ แต่ให้จำจองนั้นคุณหาที่สุดมิได้ ต๋งนีได้ฟังดังนั้นก็เห็นว่าเชียงเซียงมิได้มีพยาบาท ก็ปราศรัยกับเชียงเซียงตามประเพณีพี่น้องร่วมแซ่ จึงเล่าความฝันให้ฟังจนกวยกิวทำนายแล้วว่า ซึ่งเรามิได้รู้ว่าท่านเป็นพี่น้องให้จองจำทำโทษท่านนั้นเราขออภัยท่าน อย่าถือโทษโกรธเลย จงไปครองเมืองโจ๋ให้เป็นสุขเถิด ต๋งนีจึงให้ยกโต๊ะมาตั้ง ทั้งสองกินโต๊ะเสพสุราพูดจากันอยู่แต่เช้าจนเวลาบ่าย ครั้นกินโต๊ะแล้วเชียงเซียงก็คำนับลาออกมานอกค่ายขึ้นเกวียนกับเฮายีไปเมืองโจ๋
เจ้าเมืองจิ้นครั้นเชียงเซียงไปแล้ว ก็สั่งนายทัพนายกองเตรียมทหารให้พร้อมจะกลับไปเมือง เจ้าเมืองฆ้อก็ให้จ่ายข้าวปลาอาหารให้กองทัพ แล้วจัดสิ่งของมาคำนับเจ้าเมืองจิ้น พอเวลารุ่งเช้าเจ้าเมืองจิ้นก็ขึ้นเกวียนยกกองทัพออกจากค่าย เจ้าเมืองฆ้อก็พาขุนนางตามส่งเจ้าเมืองจิ้นถึงที่จับลีเตงแล้วก็กลับมาเมืองฆ้อ เจ้าเมืองจิ้นเดินตามระยะทาง ผ่านมาปลายแดนเมืองเตง พอทหารกองหน้าจับเขียนสู้กับสิ่งของบรรทุกเกวียนเข้ามาคำนับแจ้งความว่า เจ้าเมืองเตงให้เขียนสู้คุมสิ่งของมาจะเอาไปให้เจ้าเมืองฌ้อ ต๋งนีได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงให้ฆ่าเขียนสู้เสียแต่เอาสิ่งของไว้ แล้วสั่งทหารให้ยกเข้าตีเมืองเตง เตียวสวยจึงห้ามว่า ท่านพึ่งคลายป่วยโรคยังไม่หายสนิท จะทำการรบพุ่งเผื่อโรคจะกำเริบ ซึ่งจะตีเมืองเตงขอให้งดต่อปีหน้าจึงจะกลับมาทำการศึกจึงจะควร ต๋งนีก็เห็นชอบด้วยจึงให้ยกกองทัพไปเมืองจิ้น
ฝ่ายพระเจ้าจิวเซียงอ๋องเสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองตังจิว วันหนึ่งเสด็จออกขุนนางเฝ้าพร้อมตามตำแหน่ง จิวก๋งไทใจจึงทูลว่า เมื่อเดือนสิบสองอ๋องเป๋าเจ้าเมืองจิ้นเชิญเสด็จ พระองค์ก็ไปให้หัวเมืองเฝ้า ณ เมืองโฮเฮียง เมื่อเสด็จกลับอ๋องเป๋า เจ้าเมืองจิ้นเอาตัวเจ้าเมืองโอยมาจำขังไว้ได้ถึงเจ็ดเดือนเศษแล้ว พระเจ้าจิวเซียงอ๋องได้ทรงฟังจึงตรัสว่า เราจะได้ให้ทำโทษเจ้าเมืองโอยหามิได้ เจ้าเมืองจิ้นเอาเจ้าเมืองโอยมาจำไว้ให้ได้ความลำบาก จึงตรัสสั่งเซียนเบียดให้พาเจ้าเมืองโอยไปคุมไว้ ณ ตึกกิวซิมเป็นตึกเปล่า อย่าให้จำจองเจ้าเมืองโอยให้ได้ความลำบากเลย เซียนเบียดก็ไปทำตามรับสั่ง พอหนังสือเจ้าเมืองจิ้นมาถึงเซียนเบียดว่าให้เซียนเบียดไปเร่งอีเอียนให้วางยาพิษเจ้าเมืองโอยเสียจงได้ เซียนเบียดแจ้งในหนังสือดังนั้นจึงไปแจ้งความแก่อีเอียน อีเอียนได้ฟังดังนั้น ครั้นจะประกอบยาพิษฆ่าเซียงก๋งเจ้าเมืองโอยเสียก็สงสารเจ้าเมืองโอย ครั้นจะมิวางยาพิษเจ้าเมืองจิ้นก็จะทำโทษ อีเอียนวิตกทุกข์ใจนัก
ฝ่ายก๋งซุนหยีซึ่งเป็นขุนนางคนสนิทเจ้าเมืองโอย ตั้งแต่เจ้าเมืองโอยต้องโทษ รู้ว่าเจ้าเมืองจิ้นให้อีเอียนวางยาพิษเจ้าเมืองโอย ก๋งซุนหยีจึงผูกพันเป็นไมตรีสนิทกับอีเอียน แล้วกำกับกินนอนระวังเจ้าเมืองโอยอยู่เป็นนิจ ครั้นเห็นอีเอียนไม่สบายจึงเข้าไปถามอีเอียน อีเอียนจึงกระซิบบอกความตามเจ้าเมืองจิ้นสั่งไว้แต่ก่อนแล้วว่า ครั้นจะทำตามสั่งเจ้าเมืองจิ้นก็คิดสงสารเจ้าเมืองโอยนายท่านนัก ครั้นจะมิทำตามเจ้าเมืองจิ้นสั่งเล่าเจ้าเมืองจิ้นก็จะเอาโทษ เรามีความวิตกมิรู้ที่จะคิดประการใดเลย ก๋งซุนหยีได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านบอกความลับแก่ข้าพเจ้าครั้งนี้ เหมือนท่านผ่าอกให้ข้าพเจ้าเห็นน้ำใจว่ารักข้าพเจ้าโดยสุจริต ซึ่งท่านกลัวอาญาเจ้าเมืองจิ้นจะฆ่าเสีย ด้วยมิได้วางยาพิษให้นายข้าพเจ้าตายนั้นอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะคิดอุบายให้สิ่งหนึ่ง อีเอียนจึงซักถามว่า กลอุบายของท่านจะทำประการใดเราจะทำตาม
ก๋งซุนหยีจึงว่าเราได้ยินกิตติศัพท์ว่าเจ้าเมืองจิ้นนับถือผี ครั้งเมื่อเจ้าเมืองโจ๋ใช้เฮาหยีคุมสิ่งของไปติดสอยบนบานกวยกิว กวยกิวก็รับสินบน พอเจ้าเมืองจิ้นป่วยลง กวยกิวเข้าไปบอกว่าต้องปู่ย่าตายาย กวยกิวให้ทำบวงสรวง ครั้นเจ้าเมืองจิ้นหายป่วยก็นับถือผีแต่นั้นมา ขอท่านจงไปบอกเซียนเบียดผู้คุมว่า จะประกอบยาพิษให้เจ้าเมืองโอยกินในเวลานี้ ขณะเมื่อท่านถือจอกยาเข้าไปจะให้นายข้าพเจ้ากินนั้น ท่านจงทำกลอุบายให้เซียนเบียดสำคัญว่าจริง ก็จะไปบอกแก่เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นก็จะปล่อยนายข้าพเจ้าเสีย ทั้งตัวก็จะพ้นโทษด้วย ก๋งซุนหยีก็บอกอุบายเป็นความลับให้แก่อีเอียนทุกประการ อีเอียนจึงว่า อุบายท่านนี้ดีนักเราจะทำตาม จึงไปหาเซียนเบียดบอกว่า ข้าพเจ้าจะประกอบยาพิษให้เจ้าเมืองโอยกินในเวลาวันนี้ อีเอียนก็เอายาพิษมาประกอบต่อหน้าเซียนเบียด
ขณะนั้นก๋งซุนหยีจึงเข้าไปแกล้งถามอีเอียนว่า ท่านประกอบยาให้นายข้าพเจ้ากินนั้น ร้ายดีประการใดข้าพเจ้ามิได้รู้จะขอเทียบทดลองดูก่อน ก๋งซุนหยีหยิบตะเกียบงาจุ่มลงในจอกยา แล้วยกขึ้นดูเห็นตะเกียบงาร้าวเป็นสองซีกยาติดดำอยู่ จึงทำเป็นห้ามว่า ยานี้เป็นยาพิษซึ่งท่านจะให้นายข้าพเจ้ากินนั้นข้าพเจ้ามิยอม อีเอียนก็มิได้ฟังจับจอกยาเดินเข้าไปจับหูเจ้าเมืองโอยจะกรอกยา แล้วอีเอียนทำเป็นผีเข้าตีนมือตัวสั่น จอกยาพลัดตกลงน้ำยาหกถูกศีรษะแตก อีเอียนล้มกลิ้งเกลือกร้องให้ช่วย แล้วทำเป็นนอนหลับตานิ่งอยู่ ก๋งซุนหยีก็แกล้งทำตกใจ เข้ากอดเซียงก๋งไว้แล้วร้องว่า ให้ช่วยชีวิตนายข้าพเจ้าด้วย เซียนเบียดเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงให้คนใช้พยุงตัวอีเอียนไปถึงที่อยู่ ก๋งซุนหยีก็ตามมาด้วย เซียนเบียดจึงให้คนใช้นวดเฟ้นแก้ไข แต่เวลาเย็นจนใกล้รุ่งอีเอียนก็มิฟื้นตัว ครั้นเวลาเช้าอีเอียนทำเป็นบิดตัวลืมตาขึ้นแล้วแกล้งถามเซียนเบียดและคนใช้เซียนเบียดซึ่งมานั่งอยู่นั้นว่า เราเป็นประการใดหรือ จึงพากันมานั่งอยู่เป็นอันมากฉะนี้ เซียนเบียดเห็นอีเอียนพูดออกมาได้ก็ดีใจ จึงแจ้งความให้อีเอียนฟังทุกประการ แล้วว่า ขณะเมื่อท่านทำให้จอกยาพลัดตกจากมือแล้วล้มลงเราสำคัญว่าเป็นลมปัจจุบัน จึงพามาแก้ไขแต่เวลาคํ่าจนรุ่งท่านหารู้ตัวไม่หรือ อีเอียนจึงบอกว่า ขณะเมื่อข้าพเจ้ากรอกยาเจ้าเมืองโอยนั้น เห็นผู้หนึ่งศีรษะโตเท่าถังรูปร่างสูงใหญ่ ถือกระบองวิ่งเข้ามาตีมือข้าพเจ้าให้จอกยาพลัดตกแล้วบอกว่ากีซกจีนให้มาเอาตัวข้าพเจ้า ผู้นั้นผูกมัดพาข้าพเจ้าไปถึงกีซกจีน กีซกจีนโกรธว่าเจ้าเมืองจิ้นจะฆ่าเจ้าเมืองโอยอันเป็นพี่น้องร่วมแซ่นั้นเสีย จึงสั่งข้าพเจ้าให้มาบอกอ๋องเป๋าให้ปล่อยเจ้าเมืองโอยเสีย ถ้าเจ้าเมืองจิ้นมิฟังจะใช้ให้ทหารเอากระบองมาตีอ๋องเป๋ากับข้าพเจ้าให้ตาย ขณะเมื่อข้าพเจ้าล้มสลบอยู่และท่านเอามาแก้ไขทั้งนี้ ข้าพเจ้าหารู้ตัวเป็นประการใดไม่
เซียนเบียดได้ฟังดังนั้นสำคัญว่าจริงก็ตกใจ จึงว่าเหตุบังเกิดทั้งนี้ ครั้นจะมิบอกความให้อ๋องเป๋ารู้ก็จะเป็นอันตราย ก๋งซุนหยีได้ฟังก็ทำเป็นโกรธอีเอียน แล้วว่ากับเซียนเบียดว่า เดิมอ๋องเป๋าว่านายข้าพเจ้าทำความผิด จึงให้เอาตัวมาคุมไว้จะปรึกษาโทษ พอนายข้าพเจ้าป่วยจึงให้อีเอียนพาเอาตัวมารักษาพยาบาล บัดนี้อีเอียนประกอบยาพิษจะให้นายข้าพเจ้ากิน ข้าพเจ้าห้ามปรามก็มิฟัง หากว่านายข้าพเจ้ายังไม่ถึงที่ตายเทวดาจึงมาช่วยกระทำให้อีเอียนเป็นวิบัติต่างๆ ท่านก็ได้เห็นเป็นพยานอยู่ฉะนี้ อีเอียนทำการเกินสั่งอ๋องเป๋าจะให้นายข้าพเจ้ากินยาพิษนั้น ข้าพเจ้าจะฆ่าอีเอียนเสียให้หายความแค้น ก๋งซุนหยีก็ชักกระบี่ออกจะฟันอีเอียน เซียนเบียดก็เข้ายึดไว้แล้วห้ามว่า อีเอียนทำการล่วงเกินคำสั่งอ๋องเป๋านั้นก็ผิดอยู่ ท่านอย่าวิวาทกันเลยเราจะไปแจ้งความแก่อ๋องเป๋าให้ลงโทษอีเอียน ก๋งซุนหยีก็เอากระบี่ใส่ฝักเสีย แล้วนั่งลงคำนับเซียนเบียด เซียนเบียดให้อีเอียนอยู่กำกับเจ้าเมืองโอยแล้วกลับไปเมืองจิ้น จึงเข้าไปคำนับแจ้งความตามซึ่งผีเข้าอีเอียนนั้นให้เจ้าเมืองจิ้นฟังทุกประการ ต๋งนีได้ฟังดังนั้นก็สำคัญว่ากีซกจีนผู้เป็นปู่ซึ่งตายไปแต่ก่อนนั้นมาช่วยเจ้าเมืองโอย ต๋งนีจึงกระซิบสั่งเซียนเบียดว่า ซึ่งสั่งไปแต่ก่อนนั้นให้อีเอียนประกอบยาพิษให้เซียงก๋งกินนั้นให้งดเสียเถิด เซียนเบียดก็คำนับลาออกมา แต่งหนังสือส่งให้คนใช้ถือหนังสือไปให้อีเอียนตามสั่ง
ฝ่ายก๋งจูสินซึ่งเป็นฬ่ออีก๋งเจ้าเมืองฬ่อ ได้ยินกิตติศัพท์ลือไปว่าเจ้าเมืองจิ้นให้อีเอียนประกอบยาพิษให้เซียงก๋งซึ่งเอาไปคุมไว้ ณ เมืองหลวง เมื่ออีเอียนจะวางยาเกิดวิบัติเหตุ อ๋องเป๋ารู้มิทำโทษต่อไปให้แต่ก๋งซุนหยีกับเจ้าเมืองโอยอยู่ ณ เมืองหลวง ฬ่ออีก๋งจึงปรึกษาจวนสุนเสงว่า เจ้าเมืองโอยนั้น อ๋องเป๋าเจ้าเมืองจิ้นเอาไปจำไว้ ณ เมืองหลวงช้านานแล้วเรามีความสงสารนัก จะคิดอ่านประการใดจึงจะแก้ไขว่ากล่าวแก่เจ้าเมืองจิ้นให้เซียงก๋งพ้นโทษ จวนสุนเสงจึงว่า อ๋องเป๋านั้นนับถือผี ซึ่งอ๋องเป๋ายังมิให้เจ้าเมืองโอยพ้นโทษนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าอ๋องเป๋าจะคอยให้มีผู้มาขอโทษ จึงจะให้เจ้าเมืองโอยพ้นโทษ ท่านจงจัดแจงสิ่งของไปเป็นกำนัลเจ้าเมืองจิ้นแล้ว ขอโทษเจ้าเมืองโอย ข้าพเจ้าเห็นว่าเจ้าเมืองโอยจะพ้นโทษเป็นมั่นคง
ฬ่ออีก๋งเห็นชอบด้วย จึงสั่งจวนสุนเสงให้จัดศิลาแก่ยี่สิบแผ่นกับสิ่งของบรรทุกเกวียน แล้วแต่งหนังสือฉบับหนึ่งส่งให้จวนสุนเสงถือไปเมืองจิ้น จวนสุนเสงรับหนังสือแล้วคำนับลา คุมสิ่งของไปตามเจ้าเมืองฬ่อสั่ง ครั้นไปถึงเมืองจิ้นจึงเข้าไปหาขุนนางให้พาเข้าไปคำนับเจ้าเมืองจิ้น แล้วบอกว่าเจ้าเมืองฬ่อให้ข้าพเจ้าคุมของมาคำนับขอโทษเซียงก๋ง จวนสุนเสงก็ส่งหนังสือให้แก่เจ้าเมืองจิ้น เจ้าเมืองจิ้นรับหนังสือฉีกผนึกออกอ่านแจ้งความแล้วจึงว่า ซีซูเตงทำความผิดโทษถึงตายเป็นหลายครั้ง เราคิดว่าเป็นพี่น้องร่วมแซ่กันจึงมิได้ฆ่าเสีย บัดนี้เจ้าเมืองฬ่อให้ท่านมาขอโทษนั้น เราจะแต่งเรื่องราวกับสิ่งของซึ่งให้มานี้ไปถวายพระเจ้าเมืองหลวง จะให้ขุนนางช่วยทูลให้ซีซูเตงพ้นโทษ เจ้าเมืองจิ้นจึงแต่งเรื่องราวฉบับหนึ่งส่งให้เซียนเบียดคุมสิ่งของไปเมืองตังจิว เซียนเบียดก็คำนับลาพาจวนสุนเสงกับเครื่องบรรณาการไปเมืองตังจิว เข้าหาขุนนางให้พาเข้าเฝ้าถวายเรื่องราวกับสิ่งของทั้งปวง พระเจ้าจิวเซียงอ๋องทรงทราบในเรื่องราวเจ้าเมืองจิ้นดังนั้น จึงตรัสสั่งเซียนเบียดว่า ซีซูเตงทำความผิด เจ้าเมืองจิ้นเอามาจำไว้ บัดนี้เจ้าเมืองจิ้นมีหนังสือมาถึงเราแล้วก็ให้พ้นโทษกลับไปเถิด
เซียนเบียดก็คำนับรับสั่งแล้วออกไปแจ้งความแก่เซียงก๋งทุกประการ เซียงก๋งครั้นพ้นโทษแล้วก็มีความยินดีนัก จึงเข้าไปเฝ้าทูลลาพระเจ้าจิวเซียงอ๋อง พระเจ้าจิวเซียงอ๋องตรัสปราศรัยกับเซียงก๋งต่างๆ แล้วเสด็จขึ้น เซียงก๋งก็ออกมาจากเฝ้า จึงปรึกษากับก๋งซุนหยีว่า ขณะเมื่อเรามาต้องโทษอยู่ ณ เมืองหลวงนี้ งวนต้านจิวซุยตีกิ๋นยกก๋งจูแหซึ่งเป็นน้องซกบูผู้ตายขึ้นเป็นเจ้าเมืองโอย แล้วงวนต้านกับก๋งจูแหก็มีความพยาบาทเราอยู่ ครั้นรู้ว่าเราพ้นโทษแล้วจะกลับไปเมือง เกรงเกลือกงวนต้านจะแต่งทหารมาคอยฆ่าเราเสียกลางทางท่านจะคิดประการใด
ก๋งซุนหยีจึงว่า ขณะเมื่อท่านเป็นโทษนั้น เจ้าเมืองจิ้นสั่งให้งวนต้านจิวซุยตีกิ๋นไปจัดแจงยกก๋งจูแหเป็นเจ้าเมืองโอย งวนต้านให้จิวซุยตีกิ๋นเป็นขุนนางผู้น้อย ขุนนางทั้งสองมีความน้อยใจงวนต้านอยู่ เพื่อนสนิทข้าพเจ้าคนหนึ่งชื่อคงตัด และคงตัดคนนี้เดิมเป็นขุนนางเมืองซองมาอยู่เมืองโอย คงตัดชอบพอกับจิวซุยตีกิ๋น ข้าพเจ้าจะมีหนังสือไปถึงคงตัดให้ว่ากล่าวกับจิวซุยตีกิ๋น คิดอ่านฆ่างวนต้านเสีย ถ้างวนต้านตายแล้ว ทหารทั้งปวงหามีผู้ใดทำอันตรายท่านไม่ ขอท่านอย่าวิตกเลย เซียงก๋งได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงให้ก๋งซุนหยีแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้คนใช้ถือไปเมืองโอย แล้วเซียงก๋งนุ่งห่มปลอมเป็นไพร่ พาก๋งซุนหยีกับคนใช้ทั้งปวงออกจากเมืองหลวง ไปอาศัย ณ ตำบลหนึ่งอยู่นอกเมืองโอย แล้วให้คนใช้ทั้งปวงไปเที่ยวพูดจากับขุนนางและราษฎรชาวเมืองโอยหวังจะให้กิตติศัพท์เลื่องลือว่าเซียงก๋งออกจากโทษแล้ว ครั้นจะกลับมาเมืองก็อายแก่ขุนนางและราษฎรทั้งปวง ว่าบัดนี้ไปอาศัยอยู่เมืองฌ้อ
ฝ่ายคนใช้ถือหนังสือมาถึงเมืองโอย จึงเข้าไปคำนับส่งหนังสือให้คงตัด แล้วแจ้งความตามก๋งซุนหยีสั่งทุกประการ คงตัดรับหนังสือมาอ่านแจ้งความดังนั้นจึงไปหาจิวซุยตีกิ๋น ทั้งสามคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว คงตัดจึงบอกกับจิวซุยตีกิ๋นว่า เซียงก๋งนั้นบัดนี้พระเจ้าเมืองหลวงโปรดให้พ้นโทษแล้ว จะกลับมาเมืองเกรงงวนต้านจะคิดทำร้าย ก๋งซุนหยีเพื่อนสนิทเราซึ่งเป็นที่ปรึกษา จึงให้หนังสือลับมาถึงเราให้ช่วยกำจัดงวนต้าน โดยสติปัญญาและฝีมือเราแต่ผู้เดียวเล่าก็เห็นจะทำมิตลอด ขอท่านทั้งสองช่วยฆ่างวนต้านเสีย เซียงก๋งได้มาเป็นเจ้าเมืองดังเก่าเราจะช่วยว่ากล่าวให้ท่านได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่
จิวซุยตีกิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงว่า ขณะเมื่อเซียงก๋งเป็นโทษหาผู้จะว่าราชการบ้านเมืองมิได้ เจ้าเมืองจิ้นให้งวนต้านยกก๋งจูแหขึ้นป็นเจ้าเมืองโอย บัดนี้งวนต้านให้เราทั้งสองเป็นแต่ขุนนางผู้น้อย เรามีความพยาบาทอยู่ งวนต้านรู้ว่าเซียงก๋งพ้นโทษ เกรงจะมาชิงสมบัติก๋งจูแห จึงเกณฑ์ทหารนั่งยามตามเพลิงรักษาประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ตัวงวนต้านนั้นเที่ยวตระเวนตรวจตราอยู่มิได้ขาด แต่เราคงจะคิดฆ่างวนต้านเสียให้จงได้อย่าวิตกเลย เวลาคํ่าวันนี้เราจะพาทหารไปซุ่มอยู่ ณ ประตูเมืองข้างทิศตะวันออก งวนต้านมาตรวจทหารรักษาประตูเราจะจับฆ่าเสีย แล้วจะเข้าไปฆ่าก๋งจูแหเสียด้วย พอเวลาใกล้คํ่าจิวซุยตีกิ๋นก็จัดทหารคนสนิทที่มีฝีมือเข้มแข็งประมาณยี่สิบคนถืออาวุธพร้อมมือพากันออกจากบ้านไปซุ่มคอยงวนต้านอยู่
ฝ่ายงวนต้านตั้งแต่รู้ว่าเซียงก๋งพ้นโทษแล้ว ก็เกรงว่าจะมาชิงสมบัติก๋งจูแห งวนต้านมิได้ไว้ใจให้ทหารนั่งยามตามเพลิงเที่ยวตรวจดูผู้คนและรักษาเมืองมั่นคงมิได้ประมาท ครั้นเวลาประมาณสองยามเศษงวนต้านกับคนใช้สิบคนไปเที่ยวตรวจตราทหาร ซึ่งจัดให้นั่งยามเพลิงมาถึงประตูตะวันออก เห็นจิวซุยกับตีกินสองคนนั่งอยู่ริมกองไฟ งวนต้านเดินเข้าไปถามว่า เวลากลางคืนเราได้ห้ามไว้มิให้ผู้ใดแปลกปลอม เหตุใดท่านทั้งสองจึงพากันมานั่งอยู่ที่นี่ จิวซุยตีกินจึงตอบว่า ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าเซียงก๋งพ้นโทษแล้วกลับมาจะถึงเมืองในวันพรุ่งนี้ ก๋งซุนหยีให้คนเข้ามาบอกขุนนางชาวเมืองให้ออกไปรับในเวลาพรุ่งนี้หารู้ไม่หรือ
งวนต้านได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เซียงก๋งทำความผิดอ๋องเป๋าถอดเสียจากที่ ให้เราตั้งก๋งจูแหเป็นเจ้าเมือง ราษฎรก็ราบคาบเป็นปกติอยู่แล้ว เราได้ยินชาวเมืองลือกันว่าเซียงก๋งออกจากโทษไปอาศัยอยู่เมืองฌ้อ ซึ่งตัวว่าออกจากโทษให้ก๋งซุนหยีใช้คนเข้ามาบอกให้ขุนนางออกไปรับนั้น ตัวเจรจาไม่มีความจริงเรายังหาเชื่อไม่ จิวซุยตีกิ๋นจึงว่า ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เจ้าเมืองมาถึงแล้วไม่ออกไปคำนับเชิญตามธรรมเนียมนั้น ท่านเป็นขบถต่อเจ้า ว่าแล้วขุนนางทั้งสองลุกขึ้นฉวยมืองวนต้าน ตีกิ๋นชักกระบี่ออกแทงงวนต้านตาย ทหารซึ่งซุ่มอยู่นั้นต่างคนก็วิ่งไล่ฆ่าฟันพวกงวนต้านหนีไปสิ้น จิวซุยตีกิ๋นได้ทีก็พาทหารวิ่งไปตามถนน แล้วร้องประกาศว่าแก่ชาวเมืองด้วยอุบายว่า เซียงก๋งนั้นพระเจ้าเมืองหลวงโปรดให้พ้นโทษ บัดนี้ไปยืมกองทัพเมืองเจ๋เมืองฬ่อมาตั้งอยู่นอกเมือง จะยกเข้าจับก๋งจูแหเจ้าเมืองใหม่ ถ้าผู้ใดจะยอมเข้าด้วยเซียงก๋งก็ให้เร่งปิดประตูบ้านเสียอย่าออกมา ผู้ใดเป็นพรรคพวกก๋งจูแหก็ให้เร่งออกมารบกันกับเรา ขุนนางและราษฎรชาวเมืองได้ยินเสียงอื้ออึงมิได้รู้เหตุประการใด ต่างคนตกใจกลัววิ่งไปปิดประตูบ้านเสียทุกบ้าน จิวซุยตีกินก็พาทหารเข้าไปถึงที่อยู่ก๋งจูแห
ขณะนั้นก๋งจูแหกับก๋งจูหยีผู้น้องนั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่มิทันรู้ตัว จิวซุยตีกิ๋นก็เปิดประตูพาทหารกรูกันเข้าไป ตีกิ๋นเอากระบี่แทงก๋งจูหยีตาย ก๋งจูแหตกใจวิ่งหนีไปตกบ่อจมน้ำตาย จิวซุยตีกิ๋นกับทหารยี่สิบคนก็เที่ยวค้นหาก๋งจูแห จนเวลารุ่งสว่างจึงเห็นก๋งจูแหอยู่ในบ่อนํ้า จิวซุยตีกิ๋นก็พาทหารกลับออกมาหยุดอยู่ ณ ที่ออกขุนนางให้หาขุนนางมาพร้อมกัน จึงว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมให้ปกติราบคาบ แล้วจัดกระบวนแห่ตามธรรมเนียม พาขุนนางออกไปคำนับเซียงก๋งซึ่งมาอาศัยอยู่ ณ บ้านนอกเมืองเข้ามาครองเมืองโอย เซียงก๋งครั้นได้เป็นเจ้าเมืองแล้วจึงสั่งก๋งซุนหยีให้เป็นอาเซียงเบงหมูจู คำไทยว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือนมีอุบายความคิดมาก ตั้งคงตัดเป็นอาเซียงช่วยราชการในก๋งซุนหยี แล้วตั้งจิวซุยตีกิ๋นทั้งสองเป็นไต้เจียง จงกุนขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร บรรดาทหารและคนใช้ซึ่งทำความชอบไว้แต่ก่อนก็ตั้งให้เป็นขุนนางมียศฐาบรรดาศักดิ์ตามสมควร
ครั้นถึงวันฤกษ์ดี เซียงก๋งให้จัดแจงเครื่องเซ่นไปคำนับรูปบิดามารดาซึ่งทำไว้ ณ หอไทเบี้ยว จิวซุยตีกิ๋นนั่งอยู่นอกประตูหอไทเบี้ยว งวนต้านผู้ตายเดินเข้ามายืนอยู่ต่อหน้าแล้วว่า ครั้งเมื่อเซียงก๋งเป็นโทษเจ้าเมืองจิ้นให้เรามาตั้งก๋งจูแหเป็นเจ้าเมือง เราจึงได้ทำตามบังคับเจ้าเมืองจิ้น ซึ่งท่านทั้งสองจะใคร่ได้เป็นขุนนาง อาสามาฆ่าเราผู้หาความผิดมิได้ เรามีความน้อยใจนัก เราจะเอาตัวท่านไปส่งให้กีซกจีนปรึกษาโทษ ว่าแล้วก็โถมเข้าหักคอจิวซุย จิวซุยตกใจร้องให้ตีกิ๋นช่วยจนรากโลหิตออกปากทางจมูกล้มลง ตีกิ๋นกับขุนนางทั้งปวงต่างตกใจเข้าช่วยกันแก้ไขอยู่ จิวซุยขาดใจตาย แต่ตีกิ๋นนั้นสะท้านร้อนสะท้านหนาว ตัวสั่นเป็นไข้จับก็กลับไปบ้าน เซียงก๋งคำนับรูปบิดามารดาอยู่ในหอไทเบี้ยว ได้ยินเสียงคนร้องไห้อื้ออึงว่าจิวซุยมีอันเป็น จึงออกมาเห็นจิวซุยตายก็ตกใจจึงถามขุนนางทั้งปวง แจ้งความว่าต้องผีงวนต้านตายก็มีความเสียดายจิวซุยนัก จึงให้เอาศพจิวซุยไปฝังไว้ตามตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ แล้วเซียงก๋งกลับมาที่อยู่ ครั้นอยู่มาสองวันมีผู้มาบอกว่าตีกิ๋นป่วยเป็นปัจจุบันตาย เซียงก๋งคิดอาลัยตีกิ๋นนัก จึงให้ทำการฝังศพตามธรรมเนียม
ขณะนั้น พระเจ้าจิวเซียงอ๋องเสวยราชสมบัติได้ยี่สิบสองปี เซียงก๋งเจ้าเมืองโอยจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่ง ให้ขุนนางคนสนิทถือหนังสือคุมสิ่งของเครื่องบรรณาการไปเมืองจิ้น ผู้ถือหนังสือครั้นไปถึงเมืองจิ้น จึงเข้าหาขุนนางพาเข้าไปคำนับแจ้งความแก่อ๋องเป๋า ตามในหนังสือบอกนั้นว่า ข้าพเจ้าเซียงก๋งขอคำนับมาถึงเจ้าเมืองจิ้น ด้วยข้าพเจ้าเป็นโทษครั้งนี้อ๋องเป๋ามีความกรุณานับว่าร่วมแซ่เดียวกัน ทูลขอโทษพระเจ้าเมืองหลวงโปรดให้พ้นจากเวรจำนั้นคุณหาที่สุดมิได้ บัดนี้จิวซุยตีกิ๋นรู้ว่าพระเจ้าเมืองหลวงโปรดให้ข้าพเจ้าคงที่เป็นเจ้าเมืองดังเก่า จิวซุยตีกิ๋นก็คิดฆ่างวนต้านกับก๋งจูแหเสีย แล้วให้ข้าพเจ้าว่าราชการเมืองโอยต่อไป
ต๋งนีแจ้งดังนั้นจึงว่า ประเพณีแผ่นดินสืบมา เมืองใดมีเจ้าถึงสองก็คงจะเกิดรบพุ่งฆ่าฟันกัน และเซียงก๋งกับก๋งจูแหก็เป็นพี่น้องกัน งวนต้านก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ถ้ารู้ว่าเซียงก๋งไปถึง ว่าแล้วชักชวนก๋งจูแหให้ออกไปอ่อนน้อมเซียงก๋งผู้พี่ ก๋งจูแหกับงวนต้านก็จะไม่เป็นอันตราย ซึ่งก๋งจูแหกับงวนต้านตายทั้งนี้ก็เพราะงวนต้านหาสติปัญญามิได้ ซึ่งเซียงก๋งทำความผิดมาแต่ก่อน พระเจ้าเมืองหลวงให้ทำโทษพอหลาบจำก็โปรดคืนไปครองเมืองดังเก่าแล้ว จึงให้แต่งสิ่งของเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าเมืองหลวงจงทุกปีตามประเพณีเมืองขึ้นสืบไป เจ้าเมืองจิ้นก็สั่งให้เลี้ยงโต๊ะ ขุนนางเมืองโอยกินโต๊ะแล้วลาเจ้าเมืองจิ้นกลับไปถึงเมืองโอย จึงเข้าไปแจ้งความแก่เจ้าเมืองโอยตามคำเจ้าเมืองจิ้นสั่งทุกประการ
ฝ่ายเจ้าเมืองจิ้น ครั้นเจ้าเมืองฆ้อยอมขึ้นกับเมืองหลวงแล้วเลิกทัพกลับมาเมือง อยู่ประมาณปีเศษ คิดพยาบาทเจ้าเมืองเตงไม่รู้หาย วันหนึ่งเจ้าเมืองจิ้นออกว่าราชการ ขุนนางนายทหารพร้อมกันแล้ว จึงปรึกษาเซียนเฉียว่า ขณะเมื่อเจ้าเมืองจิ๋นไปถวายเครื่องบรรณาการพระเจ้าเมืองหลวงครั้งก่อนนั้น เจ้าเมืองจิ๋นกับเราได้สัญญาแก่กันไว้ มีธุระสิ่งใดเป็นการแผ่นดิน ให้ช่วยพระเจ้าเมืองหลวงปราบผู้ซึ่งเป็นเลี้ยนหนามให้ราบคาบ บัดนี้ก๋งจูเจียบเจ้าเมืองเตงให้ขุนนางคุมสิ่งของไปเข้าด้วยเจ้าเมืองฌ้อ ซึ่งตั้งตัวเป็นเจ้ามิได้มาอ่อนน้อมเจ้าเมืองหลวง เราคิดจะให้มีหนังสือไปขอกองทัพเมืองจิ๋นยกมาช่วยตีเมืองเตง ท่านจะเห็นประการใด
เซียนเฉียจึงว่า เมืองเตงเมืองน้อย ทั้งทแกล้วทหารก็น้อยกว่าเมืองเรา ซึ่งจะให้มีหนังสือไปขอกองทัพมาช่วยตีเมืองเตงนั้น ถ้าทัพเมืองจิ๋นกับทัพเมืองเราตีเมืองเตงได้ เจ้าเมืองจิ๋นจะแบ่งเอาที่เมืองเตงไปขึ้นแก่เมืองจิ๋นกึ่งหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นว่าเจ้าเมืองจิ๋นกับท่านจะเกิดวิวาทกัน และเมืองเตงนั้นก็ไกลกันกับแดนเมืองเรา แต่หากเมืองเราจะยกไปทัพเดียวก็เห็นจะตีเมืองเตงได้โดยง่าย ไม่ต้องไปขอกองทัพเมืองจิ๋นมาให้เปลืองเสบียงอาหาร
ต๋งนีได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านจะประมาทหมิ่นฝีมือทหารเมืองเตงนั้นไม่ได้ ด้วยเจ้าเมืองเตงเป็นน้องเขยเจ้าเมืองฌ้อ ถ้ากองทัพเมืองเรายกไปตีเมืองเขาแล้ว กองทัพเมืองฌ้อจะยกมาช่วยเมืองเตง แม้นศึกติดพันกันเข้าแล้วไม่มีกองทัพหัวเมืองอุดหนุน ถ้าเสียทีลงเจ้าเมืองเตงจะมีใจกำเริบ อันเจ้าเมืองจิ๋นคนนี้กับเราก็สัญญากันไว้แต่ก่อน ถึงสองกองทัพจะตีเมืองเตงแตก ก็เห็นจะหาวิวาทกันเหมือนดังคำท่านว่าไม่ ต๋งนีจึงว่ากับก๋งจูหลันว่า ท่านก็เป็นบุตรก๋งจูเจียบซึ่งเป็นเตงบุนก๋ง เจ้าเมืองเตงกับท่านไม่ชอบกันท่านจึงหนีมาอยู่กับเรา เราจะให้ท่านเป็นทัพหน้ายกไปแก้แค้นของท่าน
ก๋งจูหลันจึงตอบว่า ซึ่งท่านมีความกรุณาทำนุบำรุงข้าพเจ้าได้ความสุขมาช้านาน ข้าพเจ้าก็ตั้งใจอยู่ว่าจะสนองคุณท่าน แม้นท่านจะให้ข้าพเจ้ายกไปตีเมืองอื่น จะอาสากว่าจะสิ้นชีวิต อันเมืองเตงนี้เป็นเมืองปู่ย่าตายายของข้าพเจ้าได้ครองเมืองมาหลายชั่ว ก๋งจูเจียบก็เป็นบิดาของข้าพเจ้า ถึงบิดาข้าพเจ้าจะทำให้ข้าพเจ้าได้ความแค้นเคืองประการใด ข้าพเจ้าก็มิได้มีพยาบาท ซึ่งจะให้ข้าพเจ้าเป็นทัพหน้าไปตีเมืองเตงนั้น คนทั้งปวงก็จะครหานินทาว่าข้าพเจ้าเป็นคนอกตัญญู ถึงจะตายไปชื่อข้าพเจ้าก็จะปรากฏความชั่วอยู่ชั่วพระจันทร์พระอาทิตย์ ขอท่านจงกรุณาอย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนอกตัญญูเสียเลย
ต๋งนีได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่าก๋งจูหลันเป็นคนมีกตัญญูหาผู้เสมอมิได้ ก็ยิ่งมีความรักใคร่ก๋งจูหลันนัก จึงให้ก๋งจูหลันไปอยู่รักษาเมืองตังพี เป็นหัวเมืองฝ่ายตะวันออก แล้วจึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งให้ม้าใช้ถือไปนัดกองทัพเมืองจิ๋น ยกมาตีเมืองเตงให้ทัน ณ เดือนสิบสองข้างขึ้น ม้าใช้ได้หนังสือคำนับลาออกมาขึ้นม้ารีบไปถึงเมืองจิ๋นตามหนังสือบอกทุกประการ
ก๋งจูบุนแจ้งว่าเจ้าเมืองจิ้นให้มานัดกองทัพจะยกไปตีเมืองเตง ก็จัดแจงทหารหมื่นหนึ่งตั้งให้เป๊กลีเหกับเป๊กลีเบ้งเบ๋งเป็นทัพหน้า กีจูเป็นปีกขวา หองสุนเป็นปีกซ้าย เอียงสุนเป็นกองหลัง เจ้าเมืองจิ๋นเป็นทัพหลวง ครั้นถึงเดือนสิบสองข้างขึ้นเป็นวันฤกษ์ดี ก็ยกกองทัพออกจากเมืองจิ๋น เดินทัพตามระยะทางถึงแดนเมืองเตง มิยั้งให้ทหารตีหัวเมืองรายทางเข้าไปถึงตำบลซกอิวทิศตะวันออก ห่างเมืองเตงประมาณทางสามร้อยเส้น จึงตั้งค่ายมั่นลงไว้ ให้ม้าใช้ไปสืบกองทัพจิ้นบุนก๋ง ม้าใช้ไปสืบได้ความแล้วกลับมาบอกว่า ทัพเมืองจิ้นยกมาตั้งค่ายอยู่ ณ ตำบลกอหลำทิศตะวันตก ประมาณทางห่างเมืองเตงสามร้อยเส้นเศษ ก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋นจึงให้ทหารกองหน้าตีบ้านซึ่งอยู่นอกเมืองแตกหนีเข้าเมืองแล้วเก็บริบเอาทรัพย์สิ่งของและข้าวปลาอาหาร เข้าล้อมเมืองเตงบรรจบกับกองทัพเจ้าเมืองจิ้นทั้งสองทัพ ให้ทหารตระเวนตรวจตรารักษาค่ายเป็นสามารถ หวังมิให้ผู้คนในเมืองเข้าออกแปลกปลอม
ฝ่ายก๋งจูเจียบเจ้าเมืองเตงรู้ว่าทัพเมืองจิ๋น เมืองจิ้น ตีล่วงเข้ามาล้อมเมืองไว้ จะออกรบเหลือกำลังที่จะต่อสู้ จึงให้ทหารปิดประตูเมืองไว้ ขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินไว้ให้มั่นคง แล้วปรึกษาซกเหลียมว่า กองทัพเมืองจิ๋น เมืองจิ้น ยกมาล้อมเมืองเราครั้งนี้ทแกล้วทหารล้วนฝีมือกล้าแข็งเป็นอันมากท่านจะคิดอ่านกลอุบายสู้รบประการใด ซกเหลียมจึงว่าศึกยกมาล้อมเมืองเราครั้งนี้ถึงสองทัพ ทหารเมืองเราน้อยตัวจะออกต้านทานทหารทั้งสองเมืองนั้นเห็นเหลือกำลังนัก ขอท่านจงแต่งให้เตียดจีหอไปว่ากล่าวเกลี่ยไกล่เจ้าเมืองจิ๋นให้เลิกทัพกลับไปแล้ว ยังแต่จิ้นบุนก๋งเจ้าเมืองจิ้นทัพเดียวก็เห็นพอจะคิดอ่านทำศึกเขตแดนเมืองไว้ได้
ก๋งจูเจียบได้ฟังก็เห็นชอบด้วยจึงว่ากับเตียดจีหอว่า จงอาสาเราไปว่ากล่าวให้ทัพเมืองจิ๋นเลิกไปเสียโดยอุบายความคิดของท่านครั้งนี้จะได้หรือมิได้ เตียดจีหอจึงตอบว่า ข้าพเจ้าสติปัญญายังอ่อนนักจะรับอาสาท่านไปว่ากล่าวให้เจ้าเมืองจิ๋นเลิกทัพไปนั้น เกลือกการของท่านจะมิสำเร็จ อันคนฉลาดพูดจาในเมืองเตงนี้ ข้าพเจ้าเห็นแต่จกบูอายุได้เจ็ดสิบปีเศษ เป็นนายบ้านผู้ใหญ่ ขอให้ไปเชิญมาว่ากล่าวให้ไปห้ามทัพเมืองจิ๋นเห็นจะสมความคิดท่านเป็นมั่นคง
ก๋งจูเจียบได้ฟังดังนั้นจึงให้คนไปหาจกบูเข้ามาเชิญให้นั่งที่สมควรแล้วจึงว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าไม่รู้เลยว่าท่านเป็นคนผู้มีสติปัญญา จึงมิได้เชิญมาตั้งแต่งให้เป็นขุนนาง เตียดจีหอออกชื่อท่าน ข้าพเจ้ารู้ให้เชิญท่านมาจะตั้งให้เป็นที่ไจเสียงขุนนางผู้ใหญ่ ออกไปว่ากล่าวก๋งจูบุนเจ้าเมืองจิ๋นให้เลิกทัพกลับไปเสีย ท่านจะเห็นประการใด จกบูได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วตอบว่า ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองนี้แต่หนุ่มจนอายุเจ็ดสิบปีเศษ ท่านพึ่งจะให้เป็นขุนนางออกไปเจรจาความเมืองเมื่อเมืองเกิดศึกฉะนี้ ข้าพเจ้าก็แก่ชรากำลังน้อยจะเดินก็ต้องถือไม้เท้าและผู้มีสติปัญญาหนุ่มๆ ซึ่งท่านตั้งแต่งเป็นขุนนางกินเบี้ยหวัดมีอยู่มาก ขอท่านจงใช้ไปว่ากล่าวเถิด
ก๋งจูเจียบว่า อันขุนนางในเมืองนี้หามีสติปัญญาเสมอท่านไม่ จึงต้องไปเชิญท่านมาช่วยทุกข์ของราษฎรชาวเมืองให้พ้นจากเงื้อมมือข้าศึก ถ้าท่านจะบิดเบือนเสียละให้กองทัพสองเมืองใหญ่ตีเมืองเราไต้ ตัวท่านกับพี่น้องลูกหลานก็จะพากันฉิบหายด้วยเห็นสมควรกับผู้มีสติปัญญาไม่ ถ้าท่านไปว่ากล่าวเจ้าเมืองจิ๋นโดยดีมิฟัง ถึงเมืองเราจะเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองจิ๋นก็ตามเถิด แต่อย่าให้ราษฎรระส่ำระสายเลย จกบูจึงตอบว่า ข้าพเจ้าขัดท่านมิได้จะอุตส่าห์ออกไปว่ากล่าวเจ้าเมืองจิ๋นดูก่อน ถ้าเจ้าเมืองจิ๋นเชื่อฟังข้าพเจ้าเลิกทัพกลับไปก็เป็นเดชะบุญของท่าน ถ้าเจ้าเมืองจิ๋นมิฟังก็จนใจอยู่ จกบูก็คำนับลาขึ้นไปบนเชิงเทิน พอเพลาคํ่าลงจึงให้ทหารเอาแพรผูกตัวหย่อนลงไปถึงเชิงกำแพงภายนอกก็ถือไม้เท้าเดินไปถึงหน้าค่ายเจ้าเมืองจิ๋น จกบูก็ร้องไห้เสียงโดยอุบายว่าเมืองจิ๋นจะฉิบหายเสียครั้งนี้แล้ว
ฝ่ายทหารเมืองจิ๋นซึ่งนั่งยามตระเวนรักษาค่าย ได้ยินเสียงคนร้องไห้ ต่างคนก็วิ่งออกมาจับตัวได้ซักถาม แจ้งความว่าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองเตง ก็พามาค่ายเข้าไปคำนับแจ้งแก่เจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นจึงถามจกบูว่า ตัวท่านเป็นขุนนางในเมืองเตง เหตุใดไม่อยู่รักษาบ้านเมือง ร้องไห้ออกมาให้ทหารเราจับได้ท่านไม่กลัวความตายหรือ จกบูจึงตอบว่า เดิมข้าพเจ้ารู้ว่าจิ้นบุนก๋งซึ่งเป็นอ๋องเป๋านัดกองทัพท่านให้ยกมาตีเมืองเตงครั้งนี้ ถ้าเมืองเตงแตกแล้วเมืองท่านก็จะเสียแก่เมืองจิ้นด้วย
ก๋งจูบุนได้ฟังดังนั้นจึงถามว่า อันเมืองเตงนี้เป็นเมืองน้อย กองทัพใหญ่ยกมาตีถึงจะเสียบ้านเมืองก็ควรอยู่ ซึ่งท่านว่าเมืองเตงแตกแล้วเมืองเราก็จะพลอยเสียด้วยนั้น ท่านว่าทั้งนี้จะให้เราย่อท้อมิให้ตีเมืองเตงหรือ
จกบูจึงตอบว่า ข้าพเจ้ามาว่ากล่าวทั้งนี้ ใช่จะแกล้งให้ท่านท้อใจหามิได้ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าต๋งนีคนนี้เป็นบุตรจิ้นเซียนก๋ง จิ้นเซียนก๋งมิได้ซื่อตรงต่อมิตร ครั้งเมื่อจิ้นเซียนก๋งบิดาต๋งนีจะใคร่ได้สมบัติในเมืองหงอ จึงคิดกลอุบายให้กิตติศัพท์ลือไปว่า จะยกกองทัพไปตีเมืองเกีย เจ้าเมืองหงอสำคัญว่าจริงก็มิได้จัดแจงบ้านเมืองให้มั่นคง ด้วยไว้ใจจิ้นเซียนก๋งว่าเป็นไมตรีกันจะไม่ทำอันตราย จิ้นเซียนก๋งคิดอุบายเอาเมืองหงอได้โดยง่าย ตั้งแต่ต๋งนีได้เป็นเจ้าเมืองจิ้นแล้วก็คิดจะไปตีเมืองจิ๋นอยู่มิได้ขาด แต่เกรงอยู่ด้วยเมืองเตงป้องกันปลายแดนเมืองท่านอยู่จึงยํ่ายีเมืองท่านไม่ได้ ซึ่งเจ้าเมืองจิ้นนัดกองทัพท่านมาช่วยตีเมืองเตงให้เมืองจิ้นครั้งนี้เหมือนดังจะให้ท่านเลิกด่านทางที่ช่องแคบของท่านเสีย ถ้าเมืองเตงได้แก่เมืองจิ้นแล้วเมืองท่านก็จะได้ความเดือดร้อน ครั้งนี้ท่านก็หลงกลอุบายเจ้าเมืองจิ้นอยู่แล้ว ข้าพเจ้าเกรงเมืองท่านจะเสีย จึงร้องไห้ออกมาหวังจะแจ้งความแก่ท่าน ใช่จะเศร้าโศกด้วยจะเสียเมืองเตงหามิได้
ก๋งจูบุนได้ฟังสำคัญว่าจริง จึงลงมาจูงมือจกบูขึ้นนั่งที่สมควรแล้วว่า ทุกวันนี้ ข้าพเจ้าเจ้าอุปมาเหมือนหลับอยู่ หารู้ตัวว่าเหตุภัยจะมาถึงเมื่อใดไม่ ซึ่งท่านว่ากล่าวเตือนสติทั้งนี้เหมือนดังหลับแล้วและตื่นขึ้นได้รู้เหตุการณ์ทั้งปวง เป๊กลีเหเห็นเจ้าเมืองจิ๋นหลงนับถือเชื่อฟังคำชาวเมืองเตงดังนั้น จึงเดินเข้าไปกระซิบบอกก๋งจูบุนว่า จกบูเป็นคนช่างพูดชาวเมืองเตงก็ลือปรากฏอยู่ จกบูเห็นว่าเมืองเตงจะเสียอยู่แล้ว จึงออกมาว่ากล่าวยุยงว่าท่านหลงกลอุบายเจ้าเมืองจิ้น หวังจะให้เลิกทัพกลับไปเสีย ขอจงจับจกบูขังไว้กว่าจะได้เมืองเตงแล้วจึงค่อยคิดอ่านต่อไป
ก๋งจูบุนก็ไม่เชื่อ คิดระแวงจิ้นบุนก๋งอยู่ จึงพูดกับจกบูต่อไปว่า ซินแสเห็นการซึ่งจะเป็นไปภายหน้าลึกซึ้งนัก ซึ่งท่านออกมาหาข้าพเจ้าทั้งนี้ เจ้าเมืองเตงใช้มาหรือท่านมาเอง จกบูจึงว่า เจ้าเมืองเตงรู้ว่าท่านยกทัพมา เกรงอาณาประชาราษฎร์จะได้ความเดือดร้อน จึงให้ข้าพเจ้าออกมาคำนับขอเป็นเมืองขึ้น แม้นท่านแคลงใจอยู่ว่าจะล่อลวงข้าพเจ้าจะสาบานให้เห็นความจริง จกบูก็เอาปลายมีดกรีดเนื้อให้โลหิตออก เอาพู่กันชุบเลือดของตัวจารึกอักษรลงบนกระดาษขาวว่า จะให้เมืองเตงและเมืองฌ้อเสีย มาขึ้นแก่เมืองจิ๋น แล้วส่งหนังสือสัญญาให้แก่เจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นก็รับไว้ จึงสั่งให้ยกโต๊ะมาตั้งเลี้ยงจกบู เจ้าเมืองจิ๋นกับจกบูกินโต๊ะเสพสุรา พูดจาเป็นที่สบาย แต่เวลายามเศษจนรุ่ง ครั้นกินโต๊ะแล้วเจ้าเมืองจิ๋นจึงสั่งจกบูว่า เราก็จะกลับไปเมืองในเวลานี้ จะให้แต่หองสุน กีจู เอียงสุน สามนายคุมทหารอยู่ช่วยป้องกันกองทัพเมืองจิ้น อย่าให้นายท่านทุกข์ร้อนเลย เจ้าเมืองจิ๋นจึงให้นายทหารทั้งสามคุมทหารสามพันเข้าอยู่ในเมืองเตง แล้วก็เลิกทัพกลับไปเมือง จกบูก็พาทหารเมืองจิ๋นกลับมาเมืองเตง จึงบอกทหารให้เปิดประตูรับเข้าไปแจ้งความตามที่ได้สัญญาแก่เจ้าเมืองจิ๋นนั้นให้เจ้าเมืองเตงฟังทุกประการ
ฝ่ายต๋งนีเจ้าเมืองจิ้น ยกทัพมาตั้งค่ายล้อมเมืองเตงอยู่ถึงสามวัน มิได้เห็นทหารเมืองเตงยกออกมารบ จึงสั่งทหารจะให้ไปนัดกองทัพเมืองจิ๋นยกเข้าตีเมืองเตง พอมีผู้มาบอกว่าเจ้าเมืองจิ๋นยกทัพกลับไปเสียแล้ว ต๋งนีได้ฟังดังนั้นครั้นจะให้ไปว่ากล่าวห้ามปรามก็เกรงใจเจ้าเมืองจิ๋นอยู่ เฮาเอียนจึงว่า เจ้าเมืองจิ๋นรับคำท่านว่าจะช่วยตีเมืองเตง ขอท่านจงยกทัพตามไปจับเจ้าเมืองจิ๋นฆ่าเสียจึงจะควร ต๋งนีจึงว่าเจ้าเมืองจิ๋นได้มีคุณไว้แก่เราแต่ก่อน เห็นเจ้าเมืองจิ๋นจะเชื่อคำคนจึงทำดังนี้ ถึงเจ้าเมืองจิ๋นจะกลับไปเสีย แต่กองทัพเราก็พอจะตีเมืองได้อยู่ท่านอย่าวิตกเลย ว่าแล้วจึงแบ่งทหารห้าพันไปรักษาค่ายเมืองจิ๋น