๖๖

ขณะนั้นพอเจ้าเมืองมีหนังสือไปนัดเจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองจิ้นเมืองใหญ่ให้มาทำสัจกัน แล้วบอกให้หัวเมืองน้อยซึ่งขึ้นกับเมืองใหญ่รู้ทั่วด้วยจะได้ไม่วิวาทรบพุ่งกัน เจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองจิ้นก็รับเป็นไมตรี เจ้าเมืองฌ้อจึงมีหนังสือไปให้เจ้าเมืองติน เจ้าเมืองฆ้อ เจ้าเมืองชัว ซึ่งเป็นเมืองขึ้นรู้ เจ้าเมืองจิ้นก็มีหนังสือไปให้หัวเมืองขึ้นของตัวคือเมืองฬ่อ เมืองเตง เมืองโอยรู้ ขณะนั้นเป๊กฮีซึ่งเป็นผู้สำเร็จราชการเมืองโอยก็ปิดความเสียหาบอกโอยเหียนก๋งไม่ จึงใช้เจียนอักไปหาเจ้าเมืองจิ้นตามเจ้าเมืองจิ้นไปเมืองซอง

ฝ่ายโอยเหียนก๋งแจ้งความว่าเป๊กฮีกระทำการแต่อำเภอน้ำใจก็โกรธ จึงให้หากงซุนเหมียนอือซึ่งเป็นขุนนางเข้ามาปรึกษาว่า ทุกวันนี้เราเป็นเจ้าบ้านภารเมืองก็แต่ตัว ราชการใหญ่น้อยก็หารู้ไม่ ด้วยเป๊กฮีปิดความเสียสิ้น เรามีความน้อยใจอายกับราษฎรนัก ท่านจงช่วยสงเคราะห์ให้เราดูหน้าคนทั้งปวงได้หน่อยเถิด กงซุนเหมียนอือจึงว่า ท่านอย่าเพ่อวุ่นวาย ข้าพเจ้าจะไปลองพูดจาชี้แจงผิดชอบให้เป๊กฮีฟังเพื่อจะรู้สึกตัว เจ้ากับข้าจะได้ดูหน้ากันสืบไป โอยเหียนก๋งก็อนุญาตว่าไปก็ไปเถิด กงซุนเหมียนอือก็ไปหาเป๊กฮีพูดว่า ทุกวันนี้ท่านได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ราชการทั้งปวงก็สิทธิ์ขาดอยู่กับท่านผู้เดียว เพราะเหียนก๋งเมตตาเชื่อถือไว้ใจตั้งแต่งท่าน จะมีราชการสิ่งใดถึงจะเล็กน้อยก็ควรเสนอให้เหียนก๋งรู้ทุกประการจึงจะชอบ ครั้งนี้ข้าพเจ้าได้ยินข่าวว่าเจ้าเมืองจิ้นมีหนังสือมานัดให้ไปทำสัจกัน ณ เมืองซองเป็นการใหญ่ เหตุใดจึงไม่บอกให้โอยเหียนก๋งรู้ ข้าพเจ้าเห็นหาควรไม่

เป๊กฮีได้ฟังก็โกรธนักจึงว่าการทั้งนี้มิใช่เราทำแต่ตามอำเภอใจ ท่านทั้งปวงก็จะย่อมรู้อยู่บ้าง ด้วยเดิมโอยเหียนก๋งอยากจะใคร่กลับมาเป็นเจ้าเมืองโอย ให้ก๋งจูจวนเข้ามาบนบานเราให้ช่วยจัดแจงได้สมปรารถนาแล้วจะให้เราสำเร็จราชการแต่ผู้เดียว ตัวโอยเหียนก๋งจะขอแต่ความสุข เดี๋ยวนี้ก๋งจูจวนก็ยังอยู่ ท่านจงไปถามเถิด ถ้าจะว่าโดยใจแล้ว โอยเหียนก๋งอยู่ในบังคับเราอีกจึงจะชอบ กงซุนเหมียนอือได้ฟังเป๊กฮีพูดล้วนความจริงใจของโอยเหียนก๋งก็หารู้แห่งจะตอบประการใดไม่ ก็ลาไปแจ้งความกับโอยเหียนก๋งว่า เป๊กฮีพูดจาดื้อดึงถือเอาความเดิมของท่านไว้ ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูไม่ช้านานเป๊กฮีจะคิดขบถต่อท่าน จงเร่งตัดความคิดเสียอย่าให้ทันรู้จึงจะได้ โอยเหียนก๋งได้ฟังดังนั้นก็นึกตรึกตรองอยู่เป็นช้านานแล้วตอบว่า ความทั้งนี้จริงของเขาสิ้น ถ้าเดิมเป๊กฮีไม่ช่วยจัดแจงแล้ว ที่ไหนเราจะได้เข้ามาเห็นหน้าท่านทั้งปวง ซึ่งจะให้เราทำตามคำท่านนั้นเราหาทำได้ไม่

กงซุนเหมียนอือได้ฟังก็ตอบว่า การทั้งนี้ข้าพเจ้าก็รู้อยู่ว่าท่านจะไม่ทำได้ ด้วยบุญคุณเขามีอยู่กับท่านมาก แต่ข้าพเจ้าเป็นข้ามีกตัญญูดูมิได้จะขอทำการสนองคุณท่านโดยลำพังตน ถ้าไม่สำเร็จข้าพเจ้าก็จะยอมตายแต่ผู้เดียวมิให้เกี่ยวข้องถึงท่าน เมื่อวาสนาท่านจะมีสืบไปและบุญของข้าพเจ้าที่จะได้แทนคุณเจ้า เทพยดาก็จะให้ช่องทำการได้คล่องโดยสะดวก ชื่อเสียงเจ้าก็จะมีไปภายหน้า โอยเหียนก๋งจึงว่าการทั้งนี้มิใช่เล็กน้อยท่านอย่ามักง่ายจงตรึกตรองให้ดี จะพาชื่อเราเสียด้วย กงซุนเหมียนอือจึงว่าท่านอย่าวิตกเลย ว่าแล้วก็คำนับลาโอยเหียนก๋งไปหากงซุนบ่อตี กงซุนฉินตีน้องทั้งสองคนปรึกษาการซึ่งจะทำร้ายเป๊กฮีว่า เป๊กฮีทุกวันนี้ทำการกำเริบท่านทั้งสองก็รู้อยู่สิ้น เหียนก๋งเจ้านายเราก็หาอาจจะว่ากล่าวเป๊กฮีไม่ เห็นจะกำเริบใจขึ้นทุกวัน ถ้าละไว้นานเห็นจะชิงเอาสมบัติโอยเหียนก๋งนั้นมั่นคง

กงซุนบ่อตีกงซุนฉินตีจึงว่า ถ้าดังนั้นทำไมจึงละไว้ไม่จับฆ่าเสีย กงซุนเหมียนอือจึงว่า เราก็ได้บอกโอยเหียนก๋ง โอยเหียนก๋งหาอาจจะทำไม่ เราจึงมาปรึกษาท่านทั้งสอง ท่านทั้งสองก็เป็นคนดีมีกตัญญู จงจัดแจงดูบรรดาพวกพ้องทหารของท่านที่ไว้ใจ เราก็อาจจะจัดแจงไปเหมือนกัน ถ้าเดชะบุญของเหียนก๋งเราก็คงจะจับมันฆ่าเสียได้โดยง่าย ถ้าโอยเหียนก๋งหาวาสนาไม่ เราแพ้มันก็จะพากันหนีไปอยู่เมืองอื่น กงซุนบ่อตีจึงว่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าพี่น้องจะเป็นกองทัพหน้าท่าน กงซุนเหมียนอือก็ยอม แล้วว่าการครั้งนี้สำคัญนักจะไว้ใจกันมิได้ ท่านกับเราจงมาสาบานร่วมชีวิตกันก่อนจึงจะควร ว่าแล้วต่างคนต่างสาบานจะเป็นตายด้วยกัน

ขณะนั้นพระเจ้าจิวเลงอ๋องเสวยราชย์ได้ยี่สิบหกปี พอเป็นวันปีใหม่ตรุษจีน เป๊กฮีทำโต๊ะเซ่นปู่ย่าตายาย แล้วนั่งเสพสุราอยู่ผู้เดียวที่ในตึก กงซุนบ่อตีใช้ให้คนสนิทไปสอดแนม กลับมาแจ้งความว่าเป๊กฮีอยู่แต่ผู้เดียวก็มีความยินดี แล้วรีบไปหากงซุนเหมียนอือบอกว่า การซึ่งเราคิดกันนั้นได้ช่องวันนี้แล้ว ด้วยเป็นปีใหม่บรรดาพวกทหารใหญ่น้อยซึ่งมารับราชการอยู่ ณ บ้านเป๊กฮีนั้นต่างคนต่างลาไปกระทำการปีใหม่อยู่ ณ บ้านสิ้น บัดนี้เป๊กฮีเสพสุราฟังขับร้องอยู่แต่ผู้เดียวเราเร่งกระทำเถิด กงซุนเหมียนอือได้ฟังตรึกตรองไปมาหาสู้วางใจไม่ แล้วเราจะกระทำการครั้งนี้โตใหญ่จะเบาแก่การนั้นไม่ได้ เราพากันเสี่ยงทายเสียก่อนจึงจะชอบ กงซุนบ่อตีก็ไม่ยอมให้เสี่ยงทายแล้วชวนกงซุนฉินตีว่า พี่ชายท่านเขาคิดรวนเรอยู่ ท่านกับเราจงคุมทหารไปกระทำการเสียในวันนี้จึงจะสำเร็จ

กงซุนฉินตีก็เห็นชอบด้วย จึงคุมทหารกับสมัครพรรคพวกของตัวถืออาวุธครบมือยกไป ณ บ้านเป๊กฮีในเพลาคํ่าวันนั้น อันบ้านเป๊กฮีนั้นกระทำบ้านผิดกับคนทั้งปวง ในประตูบ้านให้ขุดเป็นบ่อใหญ่ลึกกว้าง กลางวันเอากระดานปูเดิน เพลากลางคืนชักกระดานเสีย ทำไว้ทั้งนี้เพราะเกรงโจรและผู้ร้ายศัตรูซึ่งจะลอบเข้าไปทำอันตรายจะได้ตกลงในหลุม ขณะเมื่อกงซุนบ่อตีกงซุนฉินตียกมาหาทันพิจารณาไม่ เห็นประตูเปิดอยู่ก็มีความยินดีจึงรีบยกเข้าไป กงซุนบ่อตีเดินหน้าเป็นเพลาคํ่าหาเห็นหลุมไม่ก็พลัดตกลงไป

ฝ่ายคนใช้ในบ้านเป๊กฮีเห็นดังนั้นก็สำคัญว่าโจรเข้ามาปล้นบ้าน ต่างคนก็ถืออาวุธออกมาหวังจะจับ พอพบกงซุนฉินตีจะเข้าไปช่วยกงซุนบ่อตีซึ่งตกบ่อ ก็กลุ้มรุมกันเข้าฟันแทงกงซุนฉินตีตาย แล้วลงไปจับกงซุนบ่อตีมัดขึ้นมาจากบ่อพาตัวไปให้เป๊กฮีว่า อ้ายเหล่านี้พากันมาทำร้ายท่าน ข้าพเจ้าฆ่าเสียคนหนึ่ง จับได้ที่ในบ่อคนหนึ่งแต่พวกพ้องมันนอกนั้นหนีไปได้ เป๊กฮีจึงถามว่า ท่านกับเราเป็นเพื่อนข้าราชการมาด้วยกันหามีข้ออริขัดเคืองกันไม่ เหตุใดท่านจึงมาคิดกระทำร้ายกับเราดังนี้ หรือมีผู้ใดใช้สอยท่านจงว่าไปแต่ตามจริง กงซุนบ่อตีได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงลุกขึ้นชี้หน้าด่าว่า มึงเป็นคนอกตัญญูไม่รู้จักคุณเจ้า ถือตัวว่ามีความชอบมากจะทำการสิ่งใดแต่ตามอำเภอใจ พวกเราเป็นคนมีกตัญญูเห็นผิดนานไปจะคิดขบถ จึงรีบมาจับมึงฆ่าเสีย ซึ่งจะมีผู้ใดใช้สอยกูนั้นหามิได้ ซึ่งมึงจับกูได้วันนี้ก็เป็นกรรมของกูตามแต่มึงจะกระทำเถิด เป๊กฮีได้ฟังก็โกรธ จึงสั่งให้ทหารเอาตัวกงซุนบ่อตีไปมัดเข้ากับเสาตึก แล้วสั่งให้ตีจนกงซุนบ่อตีขาดใจตายแล้วตัดเอาศีรษะไปเสียบไว้

ฝ่ายอิวไจ้ก๊กซึ่งเป็นขุนนางชอบกันกับเป๊กฮี ครั้นแจ้งว่าเป๊กฮีจับผู้ร้ายได้ก็เรียกคนใช้ขึ้นเกวียนรีบมาบ้านเป๊กฮีหวังจะถามข่าว พอมาถึงเห็นประตูปิดอยู่ก็เรียกให้เปิด นายประตูก็เปิดออกรับเข้าไป ขณะนั้นพอกงซุนเหมียนอือยกทหารตามกงซุนบ่อตีกงซุนฉินตีถึงเข้าพร้อมกันกับอิวไจ้ก๊ก ก็ขับทหารตามอิวไจ้ก๊กเข้าไปในประตู ทันอิวไจ้ก๊กก็เอากระบี่ฟันอิวไจ้ก๊กตายแล้วรีบเข้าไปจะจับเป๊กฮี ขณะนั้นในบ้านเป๊กฮีก็เกิดฆ่าฟันกันวุ่นวายขึ้น เป๊กฮีเห็นดังนั้นก็ตกใจจึงร้องถามคนใช้ว่า ผู้ใดมากระทำร้ายเราอีกเล่า

กงซุนเหมียนอือได้ฟังจึงร้องเข้าไปว่า มึงอย่าถามหาชื่อเลยซึ่งจะเอาชีวิตมึงนั้นนับไม่ถ้วน แล้วก็รีบเข้าไปจะจับตัวเป๊กฮี เป๊กฮีเห็นดังนั้นก็ตกใจวิ่งหนี กงซุนเหมียนอือก็ไล่ไปทันเข้าที่เสาตึก เป๊กฮีไม่รู้แห่งจะหนีไปแห่งใดก็วิ่งวนอยู่รอบเสา กงซุนเหมียนอือก็เอากระบี่ขว้างไปถูกเป๊กฮีเล่มหนึ่งแล้วซ้ำขว้างไปอีกเล่มหนึ่ง ถูกเป๊กฮีล้มขาดใจตาย แล้วก็รีบไปจับบุตรภรรยาฆ่าเสียทั้งบ้าน ครั้นชำระพวกเป๊กฮีสิ้นแล้วก็เข้าไปแจ้งความกับเหียนก๋ง เหียนก๋งจึงสั่งให้ไปเอาศพเป๊กฮีกับอิวไจ้ก๊กเข้าไปดู

ฝ่ายก๋งจูจวน ครั้นรู้ข่าวว่าเหียนก๋งฆ่าเป๊กฮีและพวกพ้องเสียสิ้นก็รีบเข้าไปที่ศพเป๊กฮีแล้วร้องไห้พรรณนาว่า ซึ่งท่านถึงแก่ความตายครั้งนี้เพราะข้าพเจ้าเอง ซึ่งข้าพเจ้าจะทำราชการดูหน้าคนในเมืองโอยนั้นหามิได้แล้ว แต่แหงนหน้าขึ้นร้องประกาศดังนี้สามหน แล้วก็กลับไปบ้านจัดแจงทรัพย์สินเงินทองลงบรรทุกเกวียน แล้วพาบุตรและภรรยาพวกพ้องออกจากเมืองโอยไปอาศัยอยู่เมืองจิ้น โอยเหียนก๋งแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงสั่งคนใช้ให้ไปตามพูดจาชักชวนให้กลับมาอยู่เมืองโอยอีก ก๋งจูจวนก็ไม่กลับ คนใช้ก็เอาเนื้อความมาแจ้งแก่โอยเหียนก๋ง โอยเหียนก๋งจึงใช้ให้ซีอักไตหูไป ซีอักไตหูไปถึงจึงว่า ท่านกับเหียนก๋งมิใช่ผู้อื่นเป็นญาติกัน การครั้งนี้มิใช่เหียนก๋งประทุษร้ายต่อท่าน เหียนก๋งกระทำกำจัดศัตรูของโอยเหียนก๋งครั้งนี้ควรที่ท่านจะยินดีด้วยจึงชอบด้วยเป็นพวกพ้องกัน นี่ท่านมากระทำดังนี้ดูประหนึ่งไม่ใช่ญาติกับโอยเหียนก๋ง เห็นชอบแล้วหรือ โอยเหียนก๋งเป็นผู้ใหญ่รักใคร่ท่านมาก จึงให้ข้าพเจ้ารีบมาเชิญท่านกลับไป

ก๋งจูจวนจึงว่า ซึ่งท่านจะให้ข้าพเจ้ากลับไปเมืองโอยนั้นไม่ได้ ต่อกระทำให้เป๊กฮีมีชีวิตขึ้นมาเมื่อใด ข้าพเจ้าจึงจะยอมไปอยู่เมืองโอย ซีอักไตหูก็พูดจาอ้อนวอนไปต่างๆ ก๋งจูจวนเห็นซีอักไตหูพูดจาเซ้าซี้นักก็โกรธ จึงไปเอาไก่มาสองตัว เอากระบี่ฟันขาดสองท่อนแล้วสาบานว่า ถ้าข้าพเจ้าพาบุตรภรรยากลับไปกินข้าวเมืองโอยอีก ก็ขอให้ข้าพเจ้าและบุตรภรรยาเป็นอันตรายเหมือนไก่นี้เถิด ซีอักไตหูเห็นดังนั้นก็หารู้แห่งจะพูดจาต่อไปไม่ก็ลากลับไปเมืองโอย ก๋งจูจวนก็รีบไปอาศัยอยู่เมืองกำเจียน ซึ่งเป็นเมืองน้อยขึ้นกับเมืองจิ้น หาคิดจะทำราชการไม่ เอาแต่หญ้ามาทำเป็นรองเท้าขายพอเลี้ยงบุตรและภรรยา ถึงผู้ใดจะเอาความเมืองโอยมาพูดจาก็ไม่ฟังชื่อเมืองโอยต่อไป ซีอักไตหูครั้นกลับมาถึงเมืองโอยจึงเข้าไปคำนับโอยเหียนก๋งแจ้งความซึ่งพูดจาอ้อนวอนก๋งจูจวนไม่กลับมาให้โอยเหียนก๋งฟังทุกประการ

โอยเหียนก๋งก็มีความอาลัยในก๋งจูจวนนัก แล้วให้เอาศพเป๊กฮีกับอิวไจ้ก๊กไปฝังเสีย จึงให้หากงซุนเหมียนอือเข้ามาจะตั้งให้เป็นขุนนางแทนเป๊กฮี กงซุนเหมียนอือจึงว่าข้าพเจ้ามีสติปัญญาน้อย ซึ่งจะรับราชการที่ตำแหน่งใหญ่เหลือกำลังนัก โอยเหียนก๋งจึงตั้งให้ไทซกหงีเป็นเสียงก๊กแทนที่เป๊กฮีผู้ตาย แต่นั้นมาเมืองโอยก็อยู่เย็นเป็นสุขมาช้านาน

ขณะเมื่อเป๊กฮียังไม่ตาย เจ้าเมืองซองกับโจซือเหียงสุดซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่สำเร็จราชการอยู่ในเมืองซอง คิดจะให้บ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขและเป็นเกียรติยศของเจ้านายต่อไป จึงได้ใช้ให้คนไปเชิญเจ้าเมืองฌ้อ เจ้าเมืองจิ้น และเมืองขึ้นของตัวสองหัวเมืองนั้นมาทำสัจกันที่ตำบลแห่งหนึ่งนอกประตูเมืองซองข้างทิศตะวันตก เจ้าเมืองจิ้นจึงสั่งให้เจียเค่งเตียวบู๊พาขุนนางบรรดาเมืองขึ้นของตัว คือเมืองฬ่อ เมืองโอย เมืองเตง เมืองกี เมืองติน เมืองซี เจ็ดหัวเมืองไปเมืองซอง เจ้าเมืองฌ้อจึงบังคับให้เลงอินคุดเกี๋ยน คุมหัวเมืองซัว เมืองติน เมืองฆ้อ เมืองตุ๋น เมืองหู เมืองซิม เมืองหมี เจ็ดหัวเมืองไปประชุมพร้อมกัน ณ เมืองซอง ขณะนั้นหัวเมืองทั้งปวงมามาก เอาเกวียนล้อมวงเป็นกำแพงกั้นที่อยู่หาต้องตัดไม้กระทำค่ายไม่ ครั้นพร้อมกันแล้ว พวกเมืองฌ้อจึงจัดแจงสิ่งของไปคำนับพวกเมืองจิ้น เมืองจิ้นจึงจัดแจงสิ่งของไปคำนับพวกเมืองฌ้อแล้ว ขุนนางเมืองจิ้นเมืองฌ้อจึงพาหัวเมืองทั้งปวงเข้าไปคำนับเจ้าเมืองซอง

ฝ่ายโจซือเฮียงสุดขุนนางเมืองซอง ครั้นหัวเมืองมาพร้อมแล้วจึงสั่งให้ออกไปจัดแจงที่ซึ่งจะกระทำสัจกับหัวเมืองในเพลารุ่งเช้า แล้วสั่งให้คนไปนัดหัวเมืองด้วย ฝ่ายเลงอินคุดเกี๋ยนขุนนางเมืองฌ้อ ครั้นเพลารุ่งเช้าก็กระซิบสั่งบรรดาพวกทหารของตัวให้ใส่เกราะชั้นในเหน็บอาวุธซ่อนไปทุกคน ปรารถนาจะกระทำร้ายเตียวบู๊ขุนนางเมืองจิ้น ฝ่ายเป๊กจิวหลีขุนนางเมืองฌ้อมาด้วย เห็นเลงอินคิดกระทำดังนั้นก็ห้ามว่าการทั้งนี้มิใช่เรานัดหัวเมืองมากระทำเอง นี่เจ้าเมืองซองเป็นผู้ใหญ่ชวนเราท่านทั้งปวงมา ถ้าท่านทำดังนั้น เจ้าเมืองซองจะมิขัดเคืองหรือ เลงอินได้ฟังก็เห็นด้วยจึงสั่งให้เลิกการทั้งปวงเสีย

ฝ่ายเตียวบู๊ขุนนางเมืองจิ้นแจ้งความว่าพวกเมืองฌ้อจะกระทำร้ายจึงให้หาอีจีพันเข้ามาเล่าความให้ฟังว่า เขาสิจะคิดทำร้ายเรา เราจะมิต้องเตรียมตัวไปบ้างหรือ อีจีพันจึงตอบว่า ซึ่งท่านว่าพวกเมืองฌ้อจะกระทำร้ายกับท่านเท่านั้น ข้าพเจ้ายังไม่เห็นด้วย การซึ่งมาประชุมกันครั้งนี้เป็นการดี ที่จะให้เราท่านทั้งปวงรักใคร่ มิให้มีการรบพุ่งต่อกัน ถึงชาวเมืองฌ้อจะคิดจริงก็คงจะมีผู้ห้ามปราม ด้วยเมืองฌ้อเป็นเมืองใหญ่ ผู้มีสติปัญญาก็มากท่านอย่ามีความวิตกเลย เตียวบู๊ได้ฟังอีจีพันว่าดังนั้นก็หาสั่งให้ทหารเตรียมตัวไปไม่ ครั้นเพลารุ่งเช้าเลงอินคุดเกี๋ยนก็ไป ณ ที่ชาวเมืองซองแต่งไว้ โจซือเฮียงสุดก็ออกไปรับคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว เลงอินคุดเกี๋ยนจึงว่าการซึ่งท่านเชิญเรามากระทำสัจครั้งนี้ เราก็ได้มาถึงก่อนเมืองจิ้นแล้วเมืองเราเป็นเมืองใหญ่ เราจะแทงเอาโลหิตออกก่อน ท่านจงไปบอกกับเตียวบู๊ให้รู้เถิด โจซือเฮียงสุดก็ออกไปหาเตียวบู๊ เตียวบู๊จึงถามว่าท่านมาหาข้าพเจ้าด้วยธุระสิ่งใดหรือ โจซือเฮียงสุดมิอาจจะเอาคำซึ่งเลงอินสั่งบอกกับเตียวบู๊ได้ไม่ ด้วยเกรงใจว่าเมืองจิ้นเคยเป็นเมืองใหญ่มาแต่ก่อน จะไปทำสัจกันที่ตำบลใดแล้ว เมืองจิ้นได้แทงเอาเลือดออกสาบานก่อนหัวเมืองทั้งปวงทุกครั้ง

ฝ่ายคนใช้ของโจซือเฮียงสุดเห็นนายไม่อาจจะเอาความซึ่งเลงอินสั่งบอกเตียวบู๊ได้ ก็คิดว่าเมืองจิ้นกับเมืองเราเคยรักกันมาช้านาน ครั้นเราจะนิ่งความเสีย เตียวบู๊ก็จะได้รับความอัปยศแก่ชาวเมืองฌ้อ คิดแล้วจึงเข้าไปคำนับเตียวบู๊ว่า เพลาเช้าวันนี้เลงอินทหารใหญ่เมืองฌ้อไปถึงที่ประชุมก่อนท่านแล้วแทงเอาโลหิตออกไว้คอยจะสาบานกับท่าน หวังจะได้ชื่อเสียงเป็นใหญ่กว่าหัวเมืองทั้งปวง เตียวบู๊ได้ฟังคนใช้โจซือเฮียงสุดแจ้งความดังนั้นก็คิดเคืองอยู่ในใจแล้วว่า การซึ่งเลงอินทำแต่อำเภอใจครั้งนี้หาชอบไม่ ท่านทั้งปวงก็ย่อมรู้อยู่สิ้น แต่ครั้งจิ้นบุนก๋งถือรับสั่งพระเจ้าจิวเซียงอ๋องไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองทั้งปวงได้พาขึ้นไปเฝ้า พระเจ้าจิวเซียงอ๋องก็โปรดปรานพระราชทานชื่อเสียงมียศศักดิ์มาก ถึงจะไปทำสัจกับหัวเมืองทั้งปวง หัวเมืองทั้งปวงก็ยอมให้เป็นเอกทุกครั้ง ซึ่งเลงอินคุดเกี๋ยนทำให้ผิดกับรับสั่งเดิมดังนี้ เราหาควรจะไปร่วมสัจด้วยไม่ ท่านจงนำเอาคำของเราไปบอกกับเลงอินเถิด

โจซือเฮียงสุดได้ฟังดังนั้นจึงคำนับตอบว่า ความซึ่งท่านว่ามานี้ข้าพเจ้าก็ทราบอยู่ในใจสิ้นว่าชาวเมืองฌ้อมีนํ้าใจกำเริบ ข้าพเจ้าจึงหาอาจจะออกปากแจ้งความกับท่านตามเลงอินสั่งไม่ ท่านจงงดโทษแก่ข้าพเจ้าผู้เป็นเมืองน้อยเถิด ว่าแล้วก็คำนับลาไปแจ้งความกับเลงอินตามคำเตียวบู๊สั่ง เลงอินคุดเกี๋ยนจึงตอบว่า เมืองจิ้นได้เป็นเมืองเอกมาแต่ครั้งจิ้นบุนก๋งลงมาจนลูกหลานหลายชั่วก็จริงอยู่ ด้วยจิ้นบุนก๋งมีสติปัญญาใจคอก็อารีรอบคอบมาหลายชั่วเจ้าเมืองแล้ว บัดนี้เมืองจิ้นก็ร่วงโรย เมืองฌ้อแต่ก่อนเจ้าเมืองมียศศักดิ์เป็นถึงอ๋องสืบเชื้อสายลงมาจนทุกวันนี้ เจ้าเมืองฌ้อก็ประกอบด้วยสติปัญญาเมตตากับคนทั้งปวง คนทั้งปวงก็นับถือมีชื่อเสียงมากกว่าเมืองจิ้น ครั้งนี้เราจึงเห็นว่าเมืองฌ้อควรจะเป็นเอกแล้ว เราจึงกระทำดังนี้ ท่านจงไปบอกกับเตียวบู๊เถิด ซึ่งเตียวบู๊ไม่ยอมนั้น เราก็ไม่ยอมเหมือนกัน

โจซือเฮียงสุดก็คำนับลาไปแจ้งความกับเตียวบู๊ เตียวบู๊จึงปรึกษากับอีจีพันว่า การครั้งนี้ท่านจะคิดประการใด อีจีพันจึงตอบว่าซึ่งชาวเมืองฌ้อกระทำดังนี้ เพราะจะให้หัวเมืองทั้งปวงนับถือว่าเป็นใหญ่กว่าเมืองเรา ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูซึ่งจะดีและชั่วเป็นน้อยทุกวันนี้ มิใช่จะประสงค์เอาที่ได้แทงโลหิตออกสาบานก่อนและหลังกันนั้นหามิได้ อันจะเป็นที่นับถือกลัวเกรงแก่หัวเมืองและอาณาประชาราษฎร์ทุกวันนี้ ก็เพราะบุญหนหลังอุปถัมภ์มาประกอบให้มีสติปัญญาและอารี รู้จักดีและชั่ววางอารมณ์ของตัวให้อยู่ในสัจธรรม ถ้าหัวเมืองใดทำได้ดังนี้ถึงจะไม่มีใครยกย่องให้เป็นเอก ก็คงเป็นเอกใหญ่อยู่เองโดยธรรมดา ท่านอย่าถือความข้อนี้มาเป็นอารมณ์อยู่เลย เขาจะทำประการใดก็ตามใจเขาเถิด เราช่วยกันทำนุบำรุงเจ้านายเราไว้ได้แล้วก็คงจะเป็นที่กลัวเกรงนับถือกับหัวเมืองทั้งปวงอยู่เอง เตียวบู๊ได้ฟังอีจีพันว่าก็เห็นชอบด้วย แล้วชวนหัวเมืองขึ้นของตัวไป ณ ที่กระทำสัจ เตียวบู๊จึงแทงเอาโลหิตออก แล้วบังคับให้ขุนนางบรรดาเมืองขึ้นของตัวแทงเอาโลหิตออกพร้อมกัน ต่างคนสาบานว่าจะร่วมสุขทุกข์มิได้เบียดเบียนกันแล้วต่างก็เลิกกลับไปเมือง

แต่ซีอักไตหูขุนนางเมืองโอย ซึ่งเป๊กฮีบังคับให้มานั้น ครั้นกลับไปถึงกลางทางแจ้งข่าวว่าเหียนก๋งฆ่าเป๊กฮีเสียแล้วก็หาไปเมืองโอยไม่ ตามเตียวบู๊ไปทำราชการอยู่เมืองจิ้น แต่นั้นมาเมืองจิ้นเมืองฌ้อก็มิได้รบพุ่งเบียดเบียนกัน ราษฎรทั้งสองหัวเมืองก็ค่อยอยู่เป็นสุขมาหลายปี

ฝ่ายซุยทู้ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองเจ๋ ตั้งแต่ฆ่าเจ๋จงก๋งแลัวตั้งเจ๋เก๋งก๋งขึ้นเป็นเจ้าเมือง ราชการก็สิทธิ์ขาดอยู่ในซุยทู้สิ้น ขุนนางและอาณาประชาราษฎร์ก็กลัวเกรงมาก มีใจกำเริบจะทำงานสิ่งใดเอาตามอำเภอใจหาได้บอกให้เจ๋เก๋งก๋งรู้ไม่ ซุยทู้มีบุตรชายสามคนเกิดกับภรรยาหลวงซึ่งถึงแก่กรรมทั้งสองคน ชื่อซุยเสง ซุยเกียง เกิดกับนางทังเกียงคนหนึ่ง ชื่อซุยเหมง แต่ซุยทู้นั้นรักซุยเสงมากด้วยเป็นคนซื่อ ในใจนั้นคิดว่าถ้าตัวหาบุญไม่แล้ว จะให้ซุยเสงรับราชการแทนที่ตัวสืบไป แต่เกรงใจนางทังเกียง ด้วยนางทังเกียงนั้นปรารถนาจะให้ซุยเหมงบุตรของตัวเป็นใหญ่กว่าพี่น้องทั้งปวง แต่ซุยทู้ตรึกตรองที่จะตั้งซุยเสงให้เป็นใหญ่อยู่ในเรื่องดังนี้เนืองๆ แต่ไม่อาจจะออกปาก ซุยเสงนั้นรู้ใจบิดาว่ารักใคร่ตัวมาก เพลาวันหนึ่งจึงเข้าไปคำนับว่า ทุกวันนี้บิดาก็ชราแล้ว ข้าพเจ้าเป็นบุตรผู้ใหญ่คิดอยู่ว่าจะสนองคุณบิดาให้ต้องตามธรรมเนียมคนทั้งปวง แต่คิดอยู่ด้วยมารดาเลี้ยงจะหายอมไม่ ด้วยปรารถนาจะให้ซุยเหมงผู้บุตรรับราชการแทนบิดา ครั้นข้าพเจ้าจะอยู่ในบ้านเรือนของบิดาสืบไป ก็จะกวนใจบิดาเพราะมารดาเลี้ยง บิดาจงโปรดให้ข้าพเจ้าไปรักษาเมืองซุยอิบอยู่แต่พอเลี้ยงชีวิตสืบไป

ซุยทู้ได้ฟังบุตรว่ากล่าวดังนั้นก็ยอมให้ไป จึงให้หาตังกวดเอียมทังมอกิวซึ่งเป็นพี่ชายของนางทังเกียงเข้ามาปรึกษาว่า เราจะให้ซุยเสงบุตรใหญ่เราไปอยู่เมืองซุยอิบ การภายในเรือนจะมอบให้ซุยเหมงว่ากล่าว ท่านจะเห็นประการใด ตังกวดเอียมกับทังมอกิวจึงตอบว่า ซึ่งท่านจะให้ซุยเสงไปจากเรือนนั้นไม่ควร ด้วยซุยเสงเป็นบุตรผู้ใหญ่ควรจะให้อยู่ใกล้ตัวท่านจึงจะชอบ ซึ่งขุนนางทั้งสองว่ากล่าวทัดทานดังนี้มิใช่จะรักซุยเสงหามิได้ ด้วยเมืองซุยอิบเป็นเมืองน้อยก็จริง แต่บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สินเงินทองเสบียงอาหารเป็นอันมากเป็นกำลังของซุยทู้อยู่ทุกวัน หวังจะให้ซุยเหมงเป็นใหญ่จะได้อาศัยเมืองซุยอิบเป็นกำลังแล้วจึงจะคิดกำจัดซุยเสง ซุยเกียงสองคนพี่น้องเสียจึงว่ากล่าวกับซุยทู้ดังนี้ ฝ่ายซุยทู้ได้ฟังขุนนางทั้งสองทัดทานดังนี้หารู้ว่าจะเป็นความดีร้ายประการใดไม่ก็นิ่งอยู่

ฝ่ายซุยเสงซุยเกียงครั้นแจ้งความดังนั้นก็คิดกันว่า เราสองคนไม่ช้าอันตรายคงจะมี ด้วยศัตรูเกิดขึ้นใกล้เคียงกับที่พึ่งของเรา จำเราจะไปปรึกษากับเคงหองซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายซ้ายจึงจะพ้นภัย คิดแล้วก็ไปหาเคงหอง ณ บ้านเล่าความซึ่งคนทั้งสองเขาทัดทานบิดาตัวให้ฟังทุกประการ แล้วว่า ครั้งนี้ข้าพเจ้าหาที่พึ่งไม่ได้แล้ว ท่านจงเป็นที่พึ่งด้วยเถิด เคงหองจึงตอบว่า บิดาท่านรักใคร่ตังกวดเอียมกับทังมอกิวมาก จะว่ากล่าวสิ่งใดก็เชื่อฟังกัน ท่านจะให้เราไปชี้แจงให้บิดาท่านฟังเห็นจะป่วยการเสียเปล่า บัดนี้คนทั้งสองเขาคอยจะกำจัดท่านเสีย ท่านจงคิดระวังตัวให้จงดี ซุยเสงจึงว่าครั้งนี้ท่านสิรู้แน่แล้วจงเมตตาช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นจากอันตรายด้วย เคงหองจึงว่าอันจะคิดอย่างอื่นนั้นเห็นจะไม่ทันท่วงที เขาสิจะเอาชีวิตเราแล้ว เราจงกระทำการตัดความคิดเขาเสียก่อนถึงจะพ้นภัย

ซุยเสงจึงว่า ข้าพเจ้าสองคนพี่น้องนี้เป็นคนกำลังสติปัญญาน้อยจึงมาหวังเอาท่านเป็นที่พึ่ง ถ้าท่านไม่เมตตาแล้วข้าพเจ้าจะไปพึ่งผู้ใดเล่า เคงหองจึงว่าถ้ากระนั้นเราจะต้องปรึกษาพวกพ้องคนสนิทของเราดูก่อน ต่อวันอื่นจงมาคิดกันใหม่ ซุยเสงซุยเกียงก็คำนับลาไปบ้าน

เคงหองจึงให้หาลูพูพีทหารเอกของตัวเข้ามาปรึกษาว่า ที่ในบ้านซุยทู้เดี๋ยวนี้พ่อลูกพี่น้องหาปรองดองกันไม่ ต่างคนต่างคิดจะทำร้ายแก่กัน ซุยเสงซุยเกียงลอบมาบอกกับเราว่า ตังกวดเอียมทังมอกิวเป็นคนหาดีไม่ยุยงซุยทู้ต่างๆ จะให้เราช่วย ท่านจะคิดประการใด ลูพูพีจึงตอบว่าบัดนี้ก็วุ่นวายขึ้น ซุยทู้เป็นเสียงก๊กฝ่ายขวาว่าข้างทหาร ท่านเป็นเสียงก๊กฝ่ายซ้ายว่าข้างพลเรือน ไม่คิดอ่านบ้างจะเอาแต่เที่ยวยิงเนื้อเล่นอย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นหาดีไม่ ขอท่านจงตรึกตรองดูก่อนเถิด เคงหองก็นิ่งอยู่

เพลาวันหนึ่ง ซุยเสงซุยเกียงมาบอกเคงหองว่า ตังกวดเอียมทังมอกิวเฝ้ายุยงบิดาอีก จะคิดอ่านฆ่าอ้ายสองคนเสียให้ได้ ท่านจงช่วยด้วยเถิด เคงหองจึงว่าเพลาคํ่าวันนี้ท่านจงคิดอ่านฆ่าเสียทั้งสองคน เราจะยกพลไปช่วย ท่านอย่าวิตกเลย ซุยเสงซุยเกียงก็ยินดีคำนับลามายังบ้านของตัว ครั้นคํ่าลงจึงจัดแจงแต่งตัวใส่เสื้อเกราะเหน็บกระบี่ให้มั่นคง ชวนกันลอบกลับมาแอบอยู่ที่ริมหนทางที่ตังกวดเอียมทังมอกิวเดินไปหาซุยทู้

ฝ่ายตังกวดเอียมทังมอกิว ถึงเพลาเคยไปพูดเล่นด้วยซุยทู้ก็เดินมา ซุยเสงซุยเกียงก็แอบซุ่มอยู่เห็นได้ทีก็ถอดกระบี่โถมเข้าแทงตังกวดเอียมทังมอกิวล้มลงขาดใจตาย คนใช้ซุยทู้ทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจร้องขึ้นว่าซุยเสงซุยเกียงแทงตังกวดเอียมทังมอกิวตาย แล้วกลัวจะฆ่าตัวเสียด้วยก็พากันไปซ่อนเสียหาให้เห็นตัวไม่ ซุยเสงซุยเกียงก็รีบหนีออกไปจากบ้าน

ขณะนั้นซุยทู้ได้ยินเข้าก็โกรธนัก รีบออกมาเรียกทหารให้จับบุตรทั้งสองก็หาเห็นผู้ใดไม่ ยิ่งโกรธเป็นกำลัง จึงเดินไปที่โรงม้าเห็นคนเลี้ยงม้านั่งอยู่คนหนึ่ง ก็ให้ผูกม้ามาเทียมเกวียนเข้าแล้ว รีบไปยังบ้านเคงหองแล้วร้องไห้บอกว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเสียนํ้าใจนัก ด้วยบุตรข้าพเจ้าทั้งสองหาอยู่ในถ้อยคำบิดาเหมือนบุตรเขาทั้งปวงไม่ แล้วเล่าความทั้งปวงให้เคงหองฟังทุกประการ เคงหองได้ฟังแล้วทำเป็นหารู้ความไม่ จึงแสร้งตอบว่าแซ่ซุยกับแซ่เคงนี้เหมือนแซ่เดียวกัน ด้วยตัวท่านกับข้าพเจ้าได้รับราชการร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกันมา อันซุยเสงซุยเกียงละเมิดบิดาบังอาจกระทำการทั้งนี้ให้ท่านได้ความอัปยศ ถ้าท่านจะคิดจับบุตรทั้งสองข้าพเจ้าก็จะช่วยด้วย ซุยทู้ได้ฟังก็มีความยินดีหาสงสัยไม่ จึงลุกขึ้นคำนับเคงหองว่าถ้าท่านจับอ้ายสองคนพี่น้องฆ่าเสียได้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะยกซุยเหมงบุตรข้าพเจ้าให้เป็นบุตรท่าน ท่านช่วยทำนุบำรุงซุยเหมงด้วยเถิด

เคงหองเห็นซุยทู้เชื่อถือสนิทก็มีความยินดีด้วยจะได้ล้างแซ่ซุยเสียให้สิ้น ครั้งนี้สมคิดจึงเรียกลูพูพีทหารเอกของตัวมากระซิบสั่งว่า ซุยทู้หลงกลเราแล้ว ท่านจงคุมทหารที่มีฝีมือประมาณสองร้อยรีบไปจับซุยเสงซุยเกียงบุตรซุยทู้ฆ่าเสีย แล้วเก็บริบเอาทรัพย์สินเงินทองของดีรีบมาหาเราจงเร็ว ลูพูพีคำนับแล้วออกมาจัดทหารรีบยกไป ณ บ้านซุยทู้ ซุยเสงซุยเกียงเห็นลูพูพีมาประหลาดก็ไม่วางใจจึงสั่งให้ปิดประตูบ้านเสีย ลูพูพีเห็นดังนั้นก็แสร้งร้องเข้าไปว่าทำไมท่านทั้งสองจึงมารังเกียจข้าพเจ้าเล่า การซึ่งท่านสมคิดทั้งนี้มิใช่ความคิดเคงหองนายข้าพเจ้าคิดให้หรือ ซึ่งทั้งนี้ก็เพราะเคงหองกลัวว่าแต่กำลังท่านทั้งสองจะกระทำหาสำเร็จไม่ จึงให้ข้าพเจ้ายกมาช่วยท่าน

ซุยเสงได้ฟังก็สิ้นสงสัย จึงมาปรึกษาซุยเกียงว่าชะรอยเคงหองจะเห็นว่าเราพี่น้องจะหาอาจทำร้ายกับซุยเหมงไม่ จึงให้ลูพูพีมาช่วยกระทำการ ซุยเสงก็เห็นจริงด้วย ปรึกษากันแล้วพี่น้องทั้งสองก็ออกมาเปิดประตูให้ ลูพูพีได้ทีก็พาทหารยกเข้าไปในประตู ซุยเสงซุยเกียงเห็นผู้คนมามากก็ตกใจครั้นจะห้ามก็ไม่ทัน จึงถามลูพูพีว่า ท่านยกผู้คนมามากดังนี้จะประสงค์สิ่งใดหรือ ลูพูพีจึงตอบว่า ซึ่งเรามาทั้งนี้ด้วยบิดาท่านไปกล่าวโทษให้นายเราฟัง แล้วขอทหารนายเราให้มาฆ่าท่านเสีย นายเราขัดมิได้ด้วยเป็นคนรักกันมาจึงใช้ให้เรามาตัดศีรษะท่านไปเดี๋ยวนี้ บิดาท่านก็ยังคอยอยู่ ณ บ้านนายเรา ท่านอย่าน้อยใจเลย ว่าแล้วก็สั่งให้ทหารตัดศีรษะซุยเสงซุยเกียงเสีย แล้วรีบเข้าไปในบ้านจะจับนางซงขยงกับซุยเหมง นางซงขยงครั้นเห็นเกิดความดังนั้นก็ตกใจกลัว อนึ่งซุยทู้ก็ไม่อยู่ นางเห็นจะหนีมิพ้นก็ผูกคอตายเสีย ขณะนั้นซุยเหมงเที่ยวอยู่นอกบ้านหาอยู่ไม่

ฝ่ายลูพูพีครั้นเห็นนางซงขยงผูกคอตายแล้วก็รีบเข้าไปเก็บริบทรัพย์สมบัติของซุยทู้ แล้วเอาศีรษะซุยเสงซุยเกียงกลับไป ณ บ้านเคงหอง ครั้นถึงจึงสั่งให้ทหารเอกเอาทรัพย์สมบัติของซุยทู้ลอบเข้าไปทางประตูหลังบ้านเคงหอง ตัวลูพูพีนั้นหิ้วศีรษะซุยเสงซุยเกียงเข้าไปให้ซุยทู้ต่อหน้าเคงหอง ซุยทู้เห็นดังนั้นก็มีความยินดีจึงถามว่า เมื่อขณะท่านไปกระทำการนั้น เห็นนางซงขยงอยู่ดีดอกหรือ ลูพูพีจึงแสร้งตอบว่า เมื่อขณะข้าพเจ้าไปกระทำการนั้น นางซงขยงนอนหลับอยู่ ซุยทู้ได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับเคงหองว่า ครั้งนี้บุญคุณของท่านอยู่กับข้าพเจ้ามากนัก ข้าพเจ้าจะลาท่านกลับไปบ้านก่อน แต่บัดนี้คนซึ่งขับเกวียนของข้าพเจ้ามันเป็นเด็กขับเกวียนมาแต่เช้าเหนื่อยกลับไปเสียแล้ว ข้าพเจ้าขอยืมคนช่วยขับเกวียนไปส่งสักคนหนึ่ง

ลูพูพีได้ฟังจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอขับเกวียนไปส่งเอง ซุยทู้ก็มีความยินดีจึงคำนับลาเคงหองขึ้นเกวียนไปกับลูพูพี ครั้นมาถึงบ้านเห็นประตูปิดอยู่ก็รีบเข้าไปในบ้าน เห็นเงียบสงัดหามีผู้คนไม่ ก็ประหลาดใจรีบเข้าไปในตึกที่อยู่ เห็นข้าวของกลาดเกลื่อนแตกหักเป็นอันมาก แล้วแลไปเห็นนางซงขยงผูกคอตายแขวนอยู่ก็ตกใจ รู้สึกตัวว่าหลงกลเคงหอง จึงเรียกลูพูพีก็หาเห็นลูพูพีไม่ จึงไปเที่ยวหาซุยเหมงผู้บุตรไม่เห็นก็ยิ่งเสียนํ้าใจนักเดินร้องไห้ไปมาว่า ครั้งนี้เรามาเสียรู้ให้ศิษย์มาเป็นศัตรูกระทำร้ายได้ดังนี้ จะมีหน้าอยู่ทำราชการสืบไปนั้นจะประโยชน์สิ่งใด ว่าแล้วก็เชือดคอตายเสีย

ฝ่ายซุยเหมงบุตรซุยทู้ซึ่งไปเที่ยวเล่นนอกบ้าน ครั้นได้ยินข่าวที่ในบ้านตัวว่าเคงหองใช้ลูพูพีมาทำอันตรายบิดามารดาถึงแก่ความตายก็ตกใจ จึงรีบกลับมา ณ บ้าน เก็บเอาศพบิดามารดาใส่โลงแล้วเอาไปฝังเสียกับปู่ย่าตายายที่ตายก่อนนั้น แล้วก็รีบไปอาศัยอยู่ ณ เมืองฬ่อ

ฝ่ายเคงหองครั้นกำจัดพวกซุยทู้เสร็จแล้ว ก็เข้าไปคำนับเจ๋เก๋งก๋งแจ้งความว่า เดิมซุยทู้คิดฆ่าเจ๋จงก๋งพี่ท่านเสีย บัดนี้ข้าพเจ้าคิดฆ่าซุยทู้แก้แค้นแทนคุณเจ๋จงก๋งได้แล้ว ท่านจะได้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไป เจ๋เก๋งก๋งได้ฟังก็นิ่งอยู่หาตอบประการใดไม่ ด้วยรู้อยู่ว่าซุยทู้กับเคงหองสองคนนี้ก็เป็นคนชั่วเหมือนกัน จึงสั่งตั้งให้เคงหองเป็นที่ต๊กเสียงสำเร็จราชการแต่ผู้เดียวหามีผู้อื่นจะตั้งไม่

ฝ่ายอีเจ้ซึ่งเป็นเจ้าเมืองหงอได้สองปีอาณาประชาราษฎร์อยู่เป็นสุข คิดจะแผ่อาณาเขตให้กว้างขวาง จึงสั่งคุดหูหยงซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ไจเสียงให้ไปเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองซูขิวซึ่งขึ้นกับเมืองฌ้อมาให้ขึ้นเมืองหงอได้ ฌ้อคังอ๋องซึ่งเป็นเจ้าเมืองฌ้อแจ้งความดังนั้นก็โกรธจึงสั่งให้เลงอินคุดเกี๋ยนเป็นแม่ทัพ เอียงอิวกีเป็นทัพหน้า คุดเกี๋ยนได้ฟังดังนั้นจึงว่ากับเอียงอิวกีว่า การซึ่งจะไปทำกับเมืองซูขิวมิใช่โตใหญ่ เป็นเมืองเล็กน้อยตัวท่านก็ชราอย่าไปให้ลำบาก แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวก็พอจะทำการให้สำเร็จได้ เอียงอิวกีจึงตอบว่า แต่ลำพังเมืองซูขิวนั้นก็จะไม่สู้หนักแรงเหมือนท่านว่า ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าเราไปตีเมืองซูขิวแล้ว เมืองหงอรู้ก็คงจะยกทัพใหญ่มาช่วย เจ้านายเราเห็นการตลอดแล้วจึงให้ข้าพเจ้ากับท่านยกไปครั้งนี้ ถึงข้าพเจ้าแก่ ก็จะขอทำราชการสนองคุณเจ้าไปกว่าจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต อนึ่งฝีมือเกาทัณฑ์ข้าพเจ้าก็ยังปรากฏอยู่กับชาวเมืองหงอ เราไปครั้งนี้ก็เห็นจะสู้หนักแรงไม่

เลงอินได้ฟังเอียงอิวกีออกปากว่าความตายเป็นลางก็ไม่สู้ชอบ ครั้นจะว่ากล่าวทัดทานต่อไปก็เกรงใจ จึงยอมให้เอียงอิวกีเป็นทัพหน้าไป ครั้นถึงวันดีฌ้อคังอ๋องก็ให้เอียงอิวกีกับเลงอินยกกองทัพไป แล้วให้ไตหูเซกหวนไปช่วยคิดราชการด้วย ครั้นยกไปถึงเมืองซูขิวกิตติศัพท์ก็รู้ไปถึงเมืองหงอ หงออ๋องจึงไปอีมุยน้องชายกับคุดหูหยงยกกองทัพมาช่วยเมืองซูขิว

ฝ่ายเอียงอิวกีทัพหน้าเมืองฌ้อ ครั้นถึงเมืองซูขิวก็รีบขับทหารจะเข้าตีเสียให้ได้โดยเร็ว ไตหูเซกหวนจึงห้ามว่า ท่านจงรอท่าเลงอินให้มาถึงพร้อมกันจึงจะไม่หนักแรง ท่านอย่าเพิ่งประมาทชาวเมืองหงอ การรบเขาก็มีฝีมือลือชื่ออยู่ เอียงอิวกีจึงตอบว่า จะกลัวอะไรกับชาวเมืองหงอ ได้ยินแต่เสียงสายเกาทัณฑ์ข้าพเจ้าแล้วก็จะเลิกทัพหนีไปเอง ว่าแล้วก็ยกไปจะรบกับชาวเมืองหงอ

ฝ่ายคุดหูหยงครั้นเห็นเอียงอิวกียกมาก็ขึ้นเกวียนพาทหารยกออกไปรบ เอียงอิวกีเห็นคุดหูหยงก็ร้องด่าว่าไอ้ข้าโจษเจ้า มึงยังจะมีหน้ามาสู้กูผู้เป็นทหารเจ้าเก่าหรือ คุดหูหยงได้ยินดังนั้นนึกว่าเอียงอิวกีคนนี้มีฝีมือเกาทัณฑ์แม่นนัก ครั้นจะสู้ซึ่งหน้าก็จะเอาชัยชนะยาก จำเราจะหนีให้กำเริบใจไล่จึงค่อยเอาชัยต่อภายหลัง คิดแล้วก็ขับเกวียนโบกธงให้ทหารถอย เอียงอิวกีเห็นดังนั้นก็มีใจยินดีขับเกวียนไล่ไปแต่ผู้เดียว คุดหูหยงครั้นถอยไปหน่อยหนึ่งถึงที่สำคัญ ก็แยกทหารออกหุ้มเอาเกาทัณฑ์ระดมยิงถูกเอียงอิวกีตาย ขณะเมื่อเอียงอิวกีไล่พวกเมืองหงอไปนั้น เซกหวนจะรีบไปช่วยก็ไม่ทัน ครั้นแจ้งว่าเอียงอิวกีตายก็กลับเอาเนื้อความมาแจ้งกับเลงอินคุดเกี๋ยน เลงอินคุดเกี๋ยนก็มีความอาลัยเสียดายฝีมือเกาทัณฑ์เอียงอิวกีนัก จึงคิดว่าชาวเมืองหงอมีชัยชนะเอียงอิวกีครั้งนี้คงจะมีใจกำเริบ จำเราจะคิดอุบายล่อให้ไล่เอาชัยชนะแก้แค้นบ้าง คิดแล้วจึงสั่งให้ทหารเข้าซุ่มอยู่สองข้างทางเขาอุยสัน แล้วให้จือเกียงซึ่งเป็นนายทหารคุมทหารเลวประมาณสองร้อยคนไปล่อร้องท้าทายให้ไล่ จือเกียงก็ยกไปตามสั่ง

ฝ่ายคุดหูหยงเห็นดังนั้นก็คิดสงสัยว่าชาวเมืองฌ้อจะทำเป็นกลอุบายมั่นคง จึงว่ากับอีมุยว่า เพลาวันนี้เราอย่าเพิ่งไล่ไปเลย ข้าพเจ้าเห็นจะเป็นกลอุบาย อีมุยจึงว่า ถ้ากระนั้นเราจะขึ้นไปดูบนยอดเขาน้อยจะเป็นกลอุบายประการใดก็คงจะเห็น ว่าแล้วอีมุยก็ขึ้นไปบนยอดเขาน้อย แลไปดูเห็นกองทัพเมืองฌ้อ ไม่เห็นกองทัพซุ่มอยู่ก็กลับลงมาว่ากับคุดหูหยงว่า ชาวเมืองฌ้อเสียเอียงอิวกีทหารเอกกับเรา มีแต่จะย่อท้ออย่างเดียว ซึ่งท่านประมาณการว่าจะเป็นอุบายนั้น ข้าพเจ้าขึ้นไปบนยอดเขาน้อยแลดูทั่วแล้วหามีกองทัพซุ่มไม่ เราพากันไล่ไปจับตัวมาฆ่าเสียอีกเถิด ว่าแล้วขับเกวียนไล่ไปกับทหารเลวประมาณพันเศษถึงที่เขาอุยสัน จือเกียงก็โบกธงนัดกองซุ่มให้ตีหุ้มเข้ามา จือเกียงก็กลับหน้าเข้ารบกับอีมุย ทหารเมืองฌ้อไล่ฆ่าฟันทหารเมืองหงอล้มตายเป็นอันมาก ขณะเมื่ออีมุยไล่ชาวเมืองฌ้อมานั้น คุดหูหยงคุมทหารขับเกวียนตามมา ครั้นเห็นชาวเมืองฌ้อล้อมอีมุยเข้าไว้เกือบจะเสียที ก็ขับทหารตีฝ่าเข้าไปแก้เอาอีมุยออกมาได้ เห็นทหารของตัวล้มตายมากก็เสียใจ เลิกทัพกลับไปเมืองหงอ

ฝ่ายเลงอินครั้นเห็นกองทัพเมืองหงอกลับไปแล้ว ก็สั่งทหารให้เข้าหักเอาเมืองซูขิวได้ ให้ฆ่าเจ้าเมืองกับขุนนางเสียให้สิ้น เก็บริบเอาทรัพย์สินเงินทองแล้วเลิกทัพกลับไปเมืองฌ้อ ฌ้อคังอ๋องก็มีความยินดี จึงว่าเดิมเมืองเรากับเมืองหงอก็ว่างศึกมาหลายปี บัดนี้เจ้าเมืองหงอมาคิดก่อการก่อนจำเราจะคิดตอบแทนบ้าง แต่ทหารเมืองเราน้อยจำจะไปขอกองทัพเมืองจิ้นมาช่วยจึงจะมีชัยชนะโดยเร็ว ว่าแล้วก็แต่งหนังสือให้คนใช้ถือไปขอทัพเมืองจิ้น

ฝ่ายจิ้นเก๋งก๋งเจ้าเมืองจิ้น ครั้นเห็นขุนนางเมืองฌ้อถือหนังสือมาขอกองทัพ จึงสั่งให้กองซุนหำคุมทหารสามพันยกไปช่วยเจ้าเมืองฌ้อตีเมืองหงอ ฝ่ายฌ้อคังอ๋องครั้นเห็นกองทัพเมืองจิ้นยกมาก็มีความยินดีจึงจัดแจงเกณฑ์กองทัพ ให้ชวนอองสุนไตหูกับก๋งจูอุ๋ยผู้น้องเป็นทัพหน้า เป๊กจิวหลีเป็นที่ปรึกษา ตัวฌ้อคังอ๋องเป็นทัพหลวงยกไปถึงแดนเมืองหงอหามีทางจะเข้าไปได้ไม่ ด้วยเจ้าเมืองหงอรู้การเกณฑ์ทหารออกรักษาไว้ทุกทาง จึงยกกองทัพอ้อมลงไปชายทะเลเข้าทางตำบลกังเค้า ปากนํ้าเมืองหงอ เจ้าเมืองหงอก็เกณฑ์ทหารลงมารักษาไว้มั่นคง ฌ้อคังอ๋องจึงสั่งให้ตั้งค่ายมั่นคงไว้ที่ตำบลกังเค้านั้นแล้ว จึงปรึกษาแก่นายทัพนายกองทั้งปวงว่า เดิมเราคิดจะมากระทำกับเมืองหงอจึงยกมา บัดนี้เจ้าเมืองหงอรู้ตัวจัดแจงบ้านเมืองด่านทางไว้กวดขัน หารู้แห่งจะทำประการใดไม่ ครั้นจะเลิกทัพกลับไปเมืองฌ้อเล่า ก็จะขาดทุนซึ่งเงินทองแจกจ่ายทหารเป็นอันมาก จำเราจะยกไปตีเมืองเตงแต่พอคุ้มค่าเบี้ยเลี้ยงเสบียงอาหารซึ่งลงทุนมา อนึ่งเมืองเตงก็มีโทษอยู่ ด้วยแต่ก่อนเป็นเมืองขึ้นของเรา บัดนี้มาขึ้นเสียกับเมืองจิ้น ก็ควรที่เราจะไปตีคืนมาไว้จึงจะชอบ ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด ขุนนางทั้งปวงก็เห็นด้วย ฌ้อคังอ๋องเลิกทัพจากกังเค้ายกไปทางเมืองเตง

ฝ่ายเตงกันก๋งเจ้าเมืองเตงครั้นรู้ว่ากองทัพเมืองฌ้อยกมาตี จึงให้กงซุนเอกเป็นแม่ทัพ เลียงเชียวกับห้องกิดเป็นทัพหน้า คุมทหารพอสมควรยกออกไปรับกองทัพเมืองฌ้อ ฌ้อคังอ๋องเห็นกองทัพเมืองเตงยกออกมา จึงสั่งให้ก๋งจูอุ๋ยกับซุนฮองสุดสองคนคุมทหารออกมารบกับห้องกิด ห้องกิดเสียทีซุนฮองสุดจับตัวได้มัดมา บรรดาทหารเมืองเตงก็แตกตื่นไปสิ้น

ฝ่ายก๋งจูอุ๋ยเห็นซุนฮองสุดมัดห้องกิดมาก็อิจฉาจึงออกไปขอแล้วว่า ซึ่งท่านจับห้องกิดได้วันนี้จงขอให้เป็นความชอบแก่เราเถิด ด้วยเราเป็นน้องเจ้าเมืองฌ้อ ท่านเป็นแต่ทหารจะเอาความชอบก่อนนั้นหาควรไม่ ซุนฮองสุดจึงตอบว่าประเพณีทำการศึก ข้าราชการและทหารทั้งปวงต่างคนเอาชีวิตออกกระทำการสู้รบเพราะปรารถนาจะหาความชอบทุกตัวคน ถ้าผิดลงในการสงครามแม่ทัพนายกองก็กระทำโทษถึงชีวิต การผิดและชอบสองประการนี้ หามีธรรมเนียมว่าขอร้องแบ่งปันได้ไม่ วันนี้เราจับห้องกิดทหารเมืองเตงได้ก็เป็นความชอบของเรา

ก๋งจูอุ๋ยได้ฟังดังนั้นก็รีบไปหาฌ้อคังอ๋องกล่าวโทษซุนฮองสุดว่า เพลานี้ข้าพเจ้าเข้ารบกับข้าศึกจับห้องกิดทหารเมืองเตงได้ ซุนฮองสุดถือตัวว่ามีกำลังชิงเอาตัวห้องกิดมัดมาให้กับท่านจะชิงเอาความชอบ ฌ้อคังอ๋องยังหาทันจะว่าประการใดไม่ พอแลเห็นซุนฮองสุดมัดห้องกิดเข้ามาคำนับแล้วแจ้งความตามกระทำการมีชัยชนะให้ฌ้อคังอ๋องฟังทุกประการ

ฌ้อคังอ๋องจึงว่า ก๋งจูอุ๋ยเขากล่าวโทษว่าท่านชิงเอาความชอบของเขา เหตุใดจึงว่าเป็นของตัวเล่า ซุนฮองสุดจึงว่าเดิมข้าพเจ้าจับห้องกิดมัดมานั้น ก๋งจูอุ๋ยก็ได้ขอข้าพเจ้าหลายครั้ง ข้าพเจ้าหายอมให้ไม่ ก๋งจูอุ๋ยโกรธข้าพเจ้าจึงรีบเข้ามากล่าวโทษข้าพเจ้าดังนี้ ข้าพเจ้าเป็นแต่ทหาร ก๋งจูอุ๋ยเป็นน้องของท่าน สุดแล้วแต่ท่านจะชำระให้จริงเถิด

ฌ้อคังอ๋องได้ฟังจึงสั่งให้เป๊กจิวหลีซึ่งเป็นที่ปรึกษาชำระความอันนี้ให้เห็นเท็จและจริงจงได้ เป๊กจิวหลีคนนี้เป็นคนมีสติปัญญาก็จริง แต่ชอบพออยู่กับก๋งจูอุ๋ยด้วยเป็นน้องของเจ้า ขณะเมื่อฌ้อคังอ๋องสั่งดังนั้นเป๊กจิวหลีจึงว่า การแต่เพียงนี้หาสู้ยากไม่ ด้วยห้องกิดทหารเมืองเตงนี้มิใช่ราษฎรเสเพล เป็นถึงขุนนางนายทหารใหญ่ ถ้าหาตัวเข้ามาถามคนกลางดูก็คงจะได้ความจริง ฌ้อคังอ๋องก็เห็นด้วย จึงสั่งให้ไปเอาตัวห้องกิดเข้ามา ห้องกิดเข้ามาถึงแล้วคุกเข่าลงคำนับฌ้อคังอ๋อง แล้วหมอบก้มหน้านิ่งอยู่ เป๊กจิวหลีนั้นคิดจะให้ก๋งจูอุ๋ยชนะซุนฮองสุด จึงแสร้งประกาศกับห้องกิดว่าเพลาวันนี้ทหารเราจับตัวท่านได้มาเป็นเชลย แต่มีความเกี่ยวข้องกันเล็กน้อย เราจะขอคำท่านเป็นคนกลาง จงว่าแต่ความจริงจะรอดชีวิต ด้วยซุนฮองสุดผู้เป็นไตหูเขาจับท่านได้ ก๋งจูอุ๋ยผู้เป็นน้องฌ้อคังอ๋องก็จับท่านได้เอง ซุนฮองสุดแกล้งมาชิงเอา ท่านเป็นคนกลางว่าแต่ความตามจริงไป เป๊กจิวหลีว่าดังนั้นแล้วก็ทำชายตาให้ห้องกิดรู้ในที

ฝ่ายห้องกิดครั้นได้ฟังดังนั้นก็รู้ในถ้อยคำแลท่วงทีของเป๊กจิวหลีแล้วว่า ขณะเมื่อข้าพเจ้ายกออกมารบกับทหารท่านเพลาวันนี้หามีผู้ใดไปรบกับข้าพเจ้าไม่ เห็นแต่ก๋งจูอุ๋ยผู้เดียวออกมารบกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเสียทีก๋งจูอุ๋ยก็จับข้าพเจ้าได้ ซุนฮองสุดเห็นดังนั้นก็ออกไปช่วย ว่าท่านเป็นน้องเจ้านายจับข้าศึกได้ก็เป็นเกียรติยศมากแล้วจงส่งตัวมาให้ข้าพเจ้าจะมัดไปให้เอง ซุนฮองสุดได้ฟังดังนั้นก็โกรธเป็นกำลังจนพูดไม่ออกลุกขึ้นฉวยทวนแล้วว่า ใครถือตัวว่าดีมีกำลังก็จงมาสู้กันให้แพ้แลชนะก็จะเห็นความจริง ว่าแล้วก็เงื้อทวนจะแทงเอาก๋งจูอุ๋ย ก๋งจูอุ๋ยก็ลุกขึ้นวิ่งหนี ซุนฮองสุดก็วิ่งไล่ออกไปนอกค่าย เป๊กจิวหลีเห็นจะเกิดความวุ่นวายก็ร้องห้ามซุนฮองสุดออกไปว่าท่านอย่าโกรธวุ่นวายไปเลย เข้ามานี่เราจะบอกความให้

ซุนฮองสุดได้ยินดังนั้นก็กลับเข้ามาหาเป๊กจิวหลี เป๊กจิวหลีจึงว่าการทั้งนี้มิใช่เราจะไม่รู้ความ แต่ก๋งจูอุ๋ยเป็นน้องของฌ้อคังอ๋อง อยากจะใคร่ได้ความชอบบ้าง ฌ้อคังอ๋องจึงสั่งให้เราเป็นตุลาการ ครั้นเราจะว่าแต่ตามตรงก็ขัดใจก๋งจูอุ๋ย เหมือนกับขัดใจฌ้อคังอ๋องก็เหมือนกัน ฝ่ายท่านเล่าจะเอาชัยชนะก๋งจูอุ๋ยก็เหมือนเอาชัยชนะฌ้อคังอ๋อง การทั้งนี้ท่านจงแบ่งความชอบให้ก๋งจูอุ๋ยกึ่งหนึ่งจึงจะสมควร

ซุนฮองสุดได้ฟังเป๊กจิวหลีว่ากล่าวชี้แจงดังนั้นก็เห็นด้วย จึงยอมยกความชอบอันนั้นให้ก๋งจูอุ๋ยกึ่งหนึ่งเป็นใจความว่า ช่วยกันทั้งสองคนจึงจับห้องกิดทหารเมืองเตงได้ ครั้นเป๊กจิวหลีชำระความอันนี้เสร็จแล้วฌ้อคังอ๋องก็มีความยินดี จึงปูนบำเหน็จรางวัลกับนายทัพนายกองทั้งปวงแล้วสั่งให้เตรียมการซึ่งจะเข้าหักเอาเมืองเตง

ฝ่ายเตงกันก๋ง ครั้นแต่งกองทัพออกรบทหารเมืองฌ้อ ทหารเมืองฌ้อตีแตกจับห้องกิดได้ก็เสียใจ จึงแต่งหนังสือและเงินทองของกำนัลบรรทุกเกวียนให้ขุนนางคุมออกไปคำนับขอโทษกับเจ้าเมืองฌ้อ แล้วยอมเป็นเมืองขึ้นเหมือนแต่ก่อน ฌ้อคังอ๋องรับแล้วก็เลิกทัพกลับไปเมืองฌ้อ

ฝ่ายเมืองอวด ตั้งอยู่ข้างทิศตะวันออกเมืองหงอนั้น เดิมเหอูอ๋องเป็นกษัตริย์ใหญ่อยู่ในแผ่นดินจีนมีพระราชบุตรหลายพระองค์ให้ไปครองเมืองสิ้น แต่เมืองอวดนี้ให้ปูอือพระราชบุตรสุดท้องไปเป็นเจ้าเมือง ลูกหลานปูอือลงมาถึงจุ้นเสียง ได้เป็นเจ้าเมืองอวดในเลียดก๊กสามสิบชั่วคนด้วยกัน จุ้นเสียงคนนี้เป็นคนมีสติปัญญาอารี รู้จักการงานทั้งปวง จึงแผ่เขตแดนออกไปได้มาก

ฝ่ายอีเจ้ซึ่งได้เป็นเจ้าเมืองหงอได้สี่ปี เห็นเมืองอวดแผ่อาณาเขตกว้างขวางดังนั้นก็มีใจอิจฉา จึงยกกองทัพไปตีเมืองอวด จับได้เชื้อสายเมืองอวดคนหนึ่งแล้วเลิกทัพกลับมาเมือง จึงสั่งให้เอาตัวคนซึ่งจับได้มาตัดขาเสียทั้งสองข้าง แล้วเอาตัวไปขังไว้ในเรือรบใหญ่ลำหนึ่ง จอดอยู่ที่ทางพวกพ่อค้าเมืองอวดไปมา หวังจะให้กิตติศัพท์รู้ไปถึงเจ้าเมืองอวด เจ้าเมืองอวดจะได้ความอับอาย อันเรือรบลำนี้เป็นเรือสำหรับเจ้าเมืองขี่ไปรบ รักใคร่มาก ถ้าไม่สบายใจแล้วมักลงไปกินโต๊ะและนั่งนอนเนืองๆ เพลาวันหนึ่งเจ้าเมืองหงอลงไปเสพสุราเล่นในเรือรบเมานัก คนใช้ก็พยุงเข้าไปนอนอยู่ในห้องแล้วคนใช้ทั้งปวงก็แยกกันไปเที่ยวเล่นตามสบาย

ฝ่ายคนเชลยเมืองอวดซึ่งต้องตัดขามาอยู่ในเรือนั้นมีใจพยาบาทอีเจ้อยู่เป็นนิจ ครั้นเห็นอีเจ้เมาสุรานอนหลับหาผู้พิทักษ์รักษาไม่ ได้ทีก็ค่อยคลานถัดเข้าไปในห้อง เห็นอีเจ้หลับสนิทอยู่บนเตียง ก็ชักกระบี่ของอีเจ้ซึ่งผูกอยู่กับเอวได้แล้วก็เขย่งตัวขึ้นแทงลงตรงอีเจ้ อีเจ้ร้องได้คำเดียวก็ขาดใจตาย คนใช้ทั้งปวงได้ยินเสียงนายร้องต่างคนก็ตกใจมาดู เห็นดังนั้นก็พากันโกรธแค้น ชวนกันกลุ้มรุมทุบตีคนเท้าด้วนนั้นจนตาย แล้วขุนนางทั้งปวงก็ตั้งอีมุยน้องอีเจ้เป็นเจ้าเมืองแทน อีมุยจึงตั้งกุยจับน้องที่สามเป็นผู้สำเร็จราชการทั้งทหารพลเรือน กุยจับจึงว่ากับพี่ชายว่า ท่านพึ่งได้เป็นเจ้าเมืองใหม่ อาณาประชาราษฎร์ยังไม่ปรกติ เราอย่าเพ่อยกกองทัพไปทำศึก แต่ทว่าให้หัวเมืองทั้งปวงให้มาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวรักใคร่เราไว้ แล้วดูเมืองใดมิได้มานบนอบกับเราจึงค่อยยกทัพไปตี อีมุยก็เห็นชอบด้วย

กุยจับก็คำนับลาไปเมืองฬ่อ ด้วยปรารถนาจะใคร่ดูตำราฉบับธรรมเนียมของกษัตริย์ห้าพระองค์ ซึ่งเสวยราชสมบัติแต่ก่อน ว่าพระองค์ใดจะรักษาอาณาประชาราษฎร์อยู่ในยุติธรรม ก็จะได้เอาเป็นตัวอย่างสืบไป ขณะเมื่อไปถึงเมืองฬ่อก็เข้าคำนับเจ้าเมือง แล้วขอดูตำราลำดับกษัตริย์ เจ้าเมืองฬ่อก็หยิบเอาออกมาให้ดู กุยจับก็พิจารณาในตำราโบราณรู้การสิ้นแล้วชี้แจงให้เจ้าเมืองฬ่อฟังว่า กษัตริย์องค์นั้นดี องค์นั้นไม่ดี ถูกต้องทุกประการ เจ้าเมืองฬ่อได้ฟังสรรเสริญว่า ท่านนี้เป็นคนดีมีสติปัญญาโดยแท้ กุยจับก็พูดจาเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองฬ่อให้เป็นไมตรีกับเมืองหงอต่อไป แล้วก็คำนับเจ้าเมืองฬ่อไปหาวันเอ๋ง ณ เมืองเจ๋ ผูกสมัครรักใคร่กันแล้วก็ลาไปเมืองเตง เข้าหากงซุนเซียวผู้สำเร็จราชการแล้วไปเมืองโอย เข้าหาคีเอิ๋น ขุนนางผู้ใหญ่ แล้วไปเมืองจิ้นเข้าหาเตียวบู๊ ฮันขี งุยสู สามคนนี้ล้วนเป็นคนดีมีสติปัญญาอารีรอบคอบ กุยจับคนนี้เป็นคนเฉลียวฉลาดรู้จักคนดีคนชั่ว ไปเมืองใดก็คบหาแต่ล้วนผู้มีสติปัญญาทั้งนั้น ครั้นพูดจาเกลี้ยกล่อมขุนนางและหัวเมืองทั้งปวงได้สมความคิดแล้วก็กลับไปเมืองหงอ

ฝ่ายพระเจ้าจิวเลงอ๋องซึ่งเสวยราชสมบัติเมืองหลวงนั้น มีพระราชบุตรใหญ่องค์หนึ่งชื่อจิ้นมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดนัก แต่มักพอใจเป่าชวยเซง ชวยเซงนั้นสันนิษฐานคล้ายกับแพนลาว เป่าเป็นเพลงเสียงดังเหมือนหงส์ร้องเพราะนัก พระเจ้าจิวเลงอ๋องโปรดปรานรักใคร่มากจึงตั้งให้จิ้นเป็นที่ไทจู ไทจูนี้มีอายุสิบเจ็ดปี เพลาวันหนึ่งลงไปเที่ยวเล่น ณ เมืองลกเอี๋ยงแล้วกลับมาถึงอนิจกรรมหามีโรคภัยสิ่งใดไม่ พระเจ้าจิวเลงอ๋องโศกเศร้าเสียดายนัก ครั้นอยู่มาสองสามวัน มีผู้เอาเนื้อความมาทูลว่าพบไทจูขี่กาขาวเป่าชวยเซงอยู่ ณ ตำบลที่ก๋าวเนี้ย ภาษาไทยว่าเกาะวานร อยู่ในทะเลนํ้าจืดแดนเมืองลกเอี๋ยง สั่งมาว่าให้ทูลพระบิดาเราด้วย อย่าให้ทรงพระวิตกโศกเศร้าถึงเราเลย เราหาตายไม่ เทวดาผู้ใหญ่ชื่อภูขิวก๋งพาเรามาอยู่ ณ เขาซงสัน สบายเป็นสุขมากยิ่งกว่าอยู่ในเมืองอีก

พระเจ้าจิวเลงอ๋องได้ทรงฟังก็ประหลาดพระทัย จึงให้คนไปขุดดูในโลงที่เอาไปฝังก็หาเห็นร่างกายของไทจูไม่ อยู่แต่โลงเปล่า ก็รู้ว่าไทจูไปเป็นเทวดา ตั้งแต่นั้นมาก็สิ้นความเศร้าโศกเสวยราชสมบัติได้สี่สิบสองปีประชวรหนักลง แพทย์ประกอบยารักษาหลายขนานหาคลายไม่ เพลาวันหนึ่งบรรทมหลับทรงพระสุบินนิมิตเห็นไทจูจิ้นซึ่งเป็นพระราชบุตรขี่กาขาวเป่าชวยเซงมา ณ ที่บรรทมแล้วว่า ตั้งแต่พระองค์มาเสวยราชสมบัติ อยู่ ณ เมืองมนุษย์มาช้านาน เหน็ดเหนื่อยมาก บัดนี้ถึงวาระสมควรแล้วขอเชิญเสด็จพระองค์ไปอยู่ด้วยข้าพเจ้า ณ เขาซงสันเถิด จะได้เห็นหน้ากันสืบไป อันเขาซงสันนั้นเป็นที่รโหฐาน สนุกสบายยิ่งกว่าในพระราชฐานของพระองค์ พระเจ้าจิวเลงอ๋องก็ตกพระทัยตื่นขึ้น ยังได้ยินเสียงชวยเซงอยู่จึงตรัสว่าพระเจ้าผู้เป็นบุตรที่รัก มีนํ้าใจมารับแล้วบิดาก็จะยอมไป ตรัสแล้วก็ให้หาพระราชบุตรที่สองชื่อกุยเข้ามามอบราชสมบัติให้ แล้วพระโรคซึ่งประชวรก็ไม่คลาย เพลาคํ่าลงก็สวรรคต

ไทจูกุยพระราชบุตรก็ได้ครองราชสมบัติ ทรงพระนามชื่อว่าพระเจ้าจิวเกงอ๋อง แล้วโปรดปล่อยคนโทษและลดส่วยสาอากร และตั้งแต่งขุนนางตามอย่างธรรมเนียม ในปีนั้นฌ้อคังอ๋องเจ้าเมืองฌ้อป่วยหนักลงก็ถึงแก่กรรม เลงอินคุดเกี๋ยนกับขุนนางทั้งปวงจึงตั้งน้องชายเจ้าเมืองฌ้อคนหนึ่งชื่อกูน เป็นเจ้าเมืองได้สามเดือน เลงอินคุดเกี๋ยนก็ถึงแก่ความตาย เจ้าเมืองฌ้อจึงตั้งก๋งจูอุ๋ยแทนที่เลงอินรับราชการสืบไป

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ