- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๙๗
ขณะนั้นมีชายผู้หนึ่งแซ่ฮวมชื่อซุย อันฮวมซุยคนนี้บ้านอยู่ในแดนเมืองงุย เป็นคนมีสติปัญญาหลักแหลม คิดจะเข้าทำราชการอยู่ด้วยงุยอายอ๋องเจ้าเมืองงุย ตัวก็จนหารู้ที่จะทำอย่างไรไม่ จึงไปอาศัยอยู่ด้วยซูเกียะซึ่งเป็นไตหูอยู่ในเมืองงุย
ฝ่ายงุยอายอ๋องเจ้าเมืองงุยออกว่าราชการจึงเรียกงุยฉีเข้ามาปรึกษาว่า แต่ก่อนเจ๋มินอ๋องเมืองเจ๋หลงไปด้วยอิสตรีมีแต่เสพสุราหาเอาใจใส่ในราชการไม่ งักเงอยู่เมืองเอี๋ยนรู้ดังนั้นก็ไปชวนเมืองหันเมืองเตียวหนึ่ง เมืองซองหนึ่ง กับเมืองเราให้ไปสมทบด้วยเมืองเอี๋ยนแล้วยกไปตีเมืองเจ๋ได้ เราเห็นว่าทุกวันนี้ฮวดเจี๋ยงได้เป็นเจ้าเมืองเจ๋ขึ้น ผู้มีสติปัญญาก็เข้าอยู่ด้วยเป็นอันมาก แม้นเรามิได้ทำไมตรีไว้ ถ้าเขาคิดขึ้นได้ถึงครั้งเราเข้าด้วยงักเงก็เห็นจะมาทำอันตรายแก่เราเป็นมั่นคง งุยฉีก็เห็นด้วยจึงว่าท่านว่านี้ก็ชอบแล้ว งุยอายอ๋องก็ใช้ให้ซูเกียะเอาของคำนับไปขอเป็นไมตรีกับเมืองเจ๋ ซูเกียะก็คำนับลาไป จัดแจงเครื่องบรรณาการได้พร้อมแล้วจึงเรียกเอาฮวมซุยไปด้วย ซูเกียะครั้นมาถึงเมืองเจ๋เอาของบรรณาการเข้าไปคำนับเจ๋เซียงอ๋อง ฮวมซุยก็ตามเข้าไปด้วย ซูเกียะจึงบอกแก่เจ๋เซียงอ๋องว่า เจ้าเมืองงุยให้ข้าพเจ้าเอาของมาคำนับจะขอเป็นเมืองขึ้นแก่ท่าน เจ๋เซียงอ๋องแจ้งดังนั้นจึงว่ากับซูเกียะว่า เมืองงุยกับเมืองเจ๋ครั้งเมื่อไปตีเมืองซองก็เป็นไมตรีกันแล้ว ครั้นภายหลังเจ้าเมืองเอี๋ยนมาตีเมืองเจ๋ เจ้าเมืองงุยก็ละความสัจเสีย กลับมาช่วยเจ้าเมืองเอี๋ยน เราคิดแค้นเป็นอันมากเราหาคบไม่ ซูเกียะได้ยินดังนั้นก็นิ่งอยู่ไม่รู้ที่จะตอบประการใด ฮวมซุยจึงตอบเจ๋เซียงอ๋องว่า ซึ่งท่านว่านั้นยังผิดอยู่ ด้วยเจ้าเมืองเจ๋แต่ก่อนหาอยู่ในยุติธรรมไม่ ครั้งไปตีเมืองซองกับนายข้าพเจ้าได้เมืองแล้ว ก็หาแบ่งหัวเมืองซองให้กับนายข้าพเจ้าไม่เอาเสียแต่ผู้เดียว ครั้นนานมาเจ้าเมืองเจ๋ก็เสพสุราหลงไปด้วยอิสตรีหาเอาใจใส่ราชการไม่ หัวเมืองทั้งปวงจึงทำอันตราย ซึ่งท่านเป็นเจ้าเมืองขึ้นใหม่ครั้งนี้ นายข้าพเจ้าเห็นว่าท่านอยู่ในยุติธรรม ทั้งมีใจโอบอ้อมแก่อาณาประชาราษฎร์เป็นอันมาก คิดว่าจะพึ่งได้จึงให้ขอเป็นไมตรี ซึ่งท่านมิได้รับไว้นี้หาควรไม่
เจ๋เซียงอ๋องได้ฟังฮวมซุยว่าก็นิ่งนึกอยู่เป็นครู่ จึงสั่งให้คนใช้รับของคำนับไว้ แล้วถามซูเกียะว่าคนที่มาด้วยท่านนั้นชื่อไร ซูเกียะจึงบอกว่าชื่อฮวมซุยมากับข้าพเจ้า เจ๋เซียงอ๋องแจ้งแล้วก็ให้คนใช้พาซูเกียะกับฮวมซุยให้ไปอยู่ที่กงก๊วนจงเลี้ยงดูให้สบาย จึงสั่งคนใช้ให้กระซิบเกลี้ยกล่อมฮวมซุยไว้ทำราชการด้วย คนใช้ก็คำนับลาพาซูเกียะกับฮวมซุยไปพักอยู่ที่กงก๊วน แล้วก็ยกโต๊ะมาเลี้ยงตามสมควร
คนใช้จึงกระซิบเรียกฮวมซุยออกมาข้างนอก แล้วจึงบอกว่าเจ๋เซียงอ๋องมีใจกรุณาท่านอยากจะได้ท่านไว้เป็นขุนนาง ท่านจะยอมอยู่หรือมิยอม ฮวมซุยจึงว่าตัวเรานี้มากับซูเกียะ ครั้นจะทิ้งเขาเสียไม่ได้ด้วยเหมือนเป็นคนหามีกตัญญูไม่ ซึ่งท่านจะให้เราอยู่นั้นยังไม่ได้ก่อน
คนใช้ได้ฟังดังนั้นก็เอาเนื้อความไปแจ้งกับเจ๋เซียงอ๋อง เจ๋เซียงอ๋องก็ให้เอาทองหนักสิบชั่ง เหล้าขวดหนึ่งกับเนื้อไปให้กิน ฮวมซุยก็มิได้รับไว้ คนใช้จึงว่าเจ๋เซียงอ๋องรักท่านจึงให้ทองไปใช้กลางทาง เหตุใดท่านจึงไม่รับ ฮวมซุยจึงตอบว่าเราหาได้มีคุณกับเจ๋เซียงอ๋องไม่ ซึ่งจะรับทองไว้นั้นผิดอยู่ แต่เจ๋เซียงอ๋องรักเราเราก็จะกินแต่สุรา แล้วฮวมซุยก็รับเอาแต่สุรากับเนื้อไว้ คนใช้เห็นดังนั้นก็นึกชมฮวมซุยว่าหาเป็นคนโลภไม่ก็รีบเอาความกลับเข้าไปแจ้งกับเจ๋เซียงอ๋อง
ขณะนั้นมีคนเข้าไปบอกแก่ซูเกียะว่า เจ๋เซียงอ๋องให้คนเอาทองมาให้ฮวมซุย ซูเกียะก็เรียกฮวมซุยเข้ามาถามว่า เจ้าเมืองเจ๋ใช้ให้คนมาหาท่านว่ากระไร ฮวมซุยจึงบอกว่าเจ๋เซียงอ๋องใช้คนเอาทองมาให้ข้าพเจ้า ครั้นไม่รับก็มิฟังจึงรับไว้แต่สุราขวดหนึ่ง ซูเกียะจึงว่าเหตุใดเจ๋เซียงอ๋องจึงจะเอาทองมาให้ท่าน ฮวมซุยจึงบอกว่า เจ๋เซียงอ๋องให้มาทั้งนี้ก็เพราะเห็นว่าข้าพเจ้ามาด้วยท่าน ซูเกียะจึงว่าเจ๋เซียงอ๋องคิดดังนั้นแล้ว เหตุใดจึงให้แก่ท่านแต่ผู้เดียว ท่านจะมิเอาความเมืองงุยมาบอกกับเจ๋เซียงอ๋องหรือ ฮวมซุยได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงบอกว่าซึ่งเขาเอาทองมาให้นี้หวังจะให้อยู่ด้วยเขา ข้าพเจ้าคิดถึงคุณท่านจึงมิได้รับไว้ ซึ่งข้าพเจ้าจะได้เอาความอื่นมาพูดนั้นหามิได้ ซูเกียะได้ฟังดังนั้นยังสงสัยอยู่ จึงชวนฮวมซุยเข้าไปคำนับลาเจ๋เซียงอ๋องกลับไป
ครั้นมาถึงเมืองงุย ซูเกียะก็เข้าไปคำนับงุยฉี เอาความซึ่งสงสัยฮวมซุยเล่าให้ฟังทุกประการ งุยฉีได้ฟังก็โกรธจึงให้คนใช้ไปเอาตัวฮวมซุยเข้ามาแล้วจึงถามว่า ตัวเองไปเมืองเจ๋ครั้งนี้เอาความอะไรไปบอกกับเจ้าเมืองเจ๋หรือ ฮวมซุยจึงตอบว่า ข้าพเจ้าหาได้เอาความสิ่งใดไปบอกไม่ งุยฉีจึงซักว่า ตัวมิได้เอาความไปบอกกับเจ้าเมืองเจ๋ เหตุใดเขาจึงเอาทองมาให้ตัวเล่า ฮวมซุยจึงว่า ข้อนี้ซึ่งเขาเอาทองมาให้นั้นข้าพเจ้าไม่รู้ แต่เมื่อเข้าไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋ ข้าพเจ้าได้โต้ตอบแทนซูเกียะ ครั้นกลับมากงก๊วนเจ้าเมืองเจ๋ก็เอาทองมาให้ข้าพเจ้าก็หาได้พูดจาสิ่งใดไม่ ทองก็มิได้รับไว้ เอาแต่เหล้ารับประทานพอสมควร งุยฉีได้ยินดังนั้นก็โกรธจึงว่าเอ็งนี้คงเอาความในเมืองงุยไปแลกเหล้าเขากิน แล้วจึงสั่งจออิวให้ยึดตัวฮวมซุยลงตีถามเป็นหลายยก ฮวมซุยเจ็บถึงสาหัสก็มิได้รับ งุยฉีจึงสั่งให้จออิวเอาเกือกเข้าตบฮวมซุยจนแก้มบวมหน้าฟันหักเป็นหลายซี่ก็มิได้ข้อความสิ่งใด จนเวลากลางวันฮวมซุยก็ยังยืนคำอยู่ พวกแคงเคงเห็นดังนั้นก็มีความเวทนาฮวมซุยนัก แต่เสียงก๊กงุยฉีกำลังโกรธก็หาอาจทัดทานไม่ งุยฉีจึงว่ากับซูเกียะว่า ฮวมซุยนี้เป็นคนใจแข็ง จำจะเฆี่ยนถามให้รับจงได้จึงจะชอบ แล้วก็เรียกคนใช้ยกโต๊ะมาเลี้ยงกัน กินพลางสั่งให้เฆี่ยนฮวมซุยถามพลาง จนฮวมซุยบวมเขียวไปทั้งตัวก็มิได้รับ คนที่เฆี่ยนนั้นก็โกรธตีด้วยโทโสหาทันดูไม่ พอฮวมซุยพลิกตัวขึ้นมาก็ตีถูกซี่โครงหักสลบนิ่งไป คนที่ตีนั้นก็สำคัญว่าตายจึงบอกกับงุยฉี งุยฉีก็สั่งให้เอาเสื่อมาห่อเข้า เอาไปทิ้งเสียที่เขาสำหรับถ่ายอุจจาระ แล้วก็ให้คนไปคอยระวังศพอยู่ พอเวลาโพล้เพล้ฮวมซุยก็ฟื้นหายใจดังขึ้นมา
คนที่เฝ้าอยู่นั้นได้ยินเสียงหายใจก็เข้าไปดู ฮวมซุยได้สติจึงว่ากับคนนั้นว่า ท่านช่วยสงเคราะห์เราด้วยเถิด ท่านจงพาเราไปถึงบ้าน เงินเรามีอยู่สิบตำลึงจะสมนาคุณท่าน ไหนๆ นายท่านก็ว่าเราตายแล้วหาเป็นไรไม่ คนที่เฝ้านั้นคิดเวทนาจึงว่าเขาให้เรามาคอยดูอยู่ ถ้าศพท่านหายไปโทษจะมิมีกับเราหรือ เราจะเข้าไปว่าให้นายเราเอาท่านไปทิ้งเสียกลางป่าก่อนจึงจะได้ ว่าแล้วก็เข้าไปคำนับงุยฉีบอกว่า ซึ่งท่านให้ข้าพเจ้าเอาศพฮวมซุยไปทิ้งไว้ที่ที่ถ่ายอุจจาระนั้น คนทั้งปวงรังเกียจหาอาจมาถ่ายอุจจาระไม่ จงเอาไปทิ้งเสียกลางป่าให้นกกากินเสียเถิด งุยฉีกำลังเสพสุราเมาอยู่เห็นชอบด้วย จึงสั่งให้เอาศพฮวมซุยไปทิ้งเสียในป่า แล้วงุยฉีก็เข้าไปในตึก ซูเกียะก็กลับไปบ้าน
ฝ่ายคนใช้ก็กลับไปแบกฮวมซุยไปส่งยังบ้าน แล้วก็แก้ฮวมซุยออกจากห่อ ภรรยาฮวมซุยเห็นดังนั้นก็ร้องไห้ ฮวมซุยจึงห้ามภรรยาว่าอย่าร้องไห้เลยหาต้องการไม่ เจ้าจงไปเอาเงินทองเราสิบตำลึงที่เก็บไว้มาแทนคุณเขาที่มาส่งเถิด ภรรยาฮวมซุยก็เข้าไปหยิบเงินมาให้คนที่มาส่ง ฮวมซุยจึงสั่งว่า ท่านจงเอาเสื่อที่ห่อเรานี้ไปทิ้งเสียในป่าด้วย คนที่มาส่งนั้นก็หยิบเอาเสื่อแล้วลาไป ภรรยาฮวมซุยจึงจัดแจงเอานํ้ามาล้างเลือดชำระแผลฮวมซุยแล้วเอายามาใส่ให้ฮวมซุย ฮวมซุยจึงว่ากับภรรยาว่า เรามีเพื่อนรักอยู่คนหนึ่งชื่อแต้อันเผง บ้านอยู่นอกเมืองข้างทิศตะวันตกตรงประตูเมืองออกไป เจ้าจงไปบอกเขาให้มารับเราไปอยู่ด้วยจึงจะพ้นภัย แม้นเราอยู่ที่นี่ ถ้าพรุ่งนี้งุยฉีสร่างเมาจะให้คนมาดูศพ ถ้าไม่เห็นก็จะมาเอาตัวเราไปลงโทษอีก ภรรยาครั้นแจ้งดังนั้นก็รีบไปหาแต้อันเผงเล่าความตามผัวสั่งมาทุกประการ แต้อันเผงได้ฟังภรรยาฮวมซุยบอกเนื้อความสงสารนัก จึงเรียกบ่าวของตัวคนหนึ่งมาแล้วก็ไปกับภรรยาฮวมซุยแต่ในเวลากลางคืน ฮวมซุยครั้นเห็นแต้อันเผงมาก็ดีใจจึงสั่งภรรยาว่า ถ้าตัวข้าไปแล้วรุ่งขึ้นเวลาเช้าเจ้าจงเอากระดาษขาวเขียนหนังสือปิดประตูไว้แล้วทำให้เหมือนว่าเราตาย สั่งแล้วแต้อันเผงกับบ่าวก็เข้าพยุงฮวมซุยไปรักษาไว้ที่บ้านแต่ในเวลากลางคืน
ครั้นรุ่งเช้า ฝ่ายงุยฉีสร่างเมาตื่นขึ้นจึงคิดว่าวานนี้เราให้ตีฮวมซุยว่าตายนั้น ยังหาทันพิเคราะห์ไม่สงสัยอยู่ จึงให้คนใช้ไปดูศพก็หาเห็นไม่ แล้วกลับเอาความมาบอกว่าเห็นสุนัขจะคาบเอาศพไปเสียแล้ว มีแต่เสื่อทิ้งอยู่ งุยฉีก็ยังหาสิ้นสงสัยไม่ จึงให้คนไปสืบดูที่บ้าน เห็นภรรยาฮวมซุยสยายผมนั่งร้องไห้ เอากระดาษขาวเขียนหนังสือปิดประตูบ้านไว้ คนใช้ก็เอาความไปบอกกับงุยฉี งุยฉีก็สิ้นสงสัยหมายว่าฮวมซุยตายแน่แล้ว
ฝ่ายแต้อันเผงครั้นรักษาฮวมซุยหายเป็นปกติ จึงว่าเราอยู่ที่นี่เห็นจะมีภัย แม้นงุยฉีรู้ว่าท่านยังไม่ตายก็จะให้คนมาจับ เห็นจะไม่พ้นมือเขาเป็นมั่นคง เราเห็นว่าคนชอบกันกับเรามีอยู่แห่งหนึ่งที่ริมเขาจิวสัว ท่านจงไปอยู่ที่นั่นจึงจะพ้นอันตราย ฮวมซุยก็เห็นชอบด้วย แต้อันเผงก็พาฮวมซุยไปอาศัยอยู่ด้วยคนชอบกันที่ริมเขานั้น ฮวมซุยก็เปลี่ยนชื่อตัวเสียใหม่ชื่อว่าเตียวลก ชาวบ้านก็เรียกว่าเตียวลกด้วยไม่รู้จักฮวมซุย ฮวมซุยอาศัยอยู่ที่นั่นได้ประมาณห้าเดือนหกเดือน
ฝ่ายเฮงกีซึ่งเจ้าเมืองจิ๋นใช้มาสืบราชการเมืองงุย ครั้นมาถึงเมืองงุยก็เข้าไปอาศัยอยู่ที่กวนเอี๋ย แต้อันเผงรู้ดังนั้นก็ไปปฏิบัติหมายจะให้เฮงกีรู้จัก เฮงกีเห็นดังนั้นซักถามชื่อและแซ่ตำบลบ้านของแต้อันเผง แจ้งแล้วยินดีนักปราศรัยกันตามธรรมเนียม เฮงกีจึงถามแต้อันเผงว่าในเมืองงุยนี้ผู้มีสติปัญญาซึ่งมิได้ทำราชการนั้นยังมีอยู่บ้างหรือไม่ แต้อันเผงจึงตอบว่า คนมีฝีมือและสติปัญญาในเมืองงุยนี้ที่มิได้ทำราชการนั้นเห็นจะไม่มี ข้าพเจ้าพบอยู่คนหนึ่งแซ่ฮวมชื่อซุยมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดแต่หามีฝีมือไม่ ครั้งหนึ่งฮวมซุยไปเมืองเจ๋ด้วยกับซูเกียะ ซูเกียะกลับมาบอกกับงุยฉีว่าฮวมซุยเอาความไปบอกกับเจ้าเมืองเจ๋ งุยฉีจึงหาตัวเอามาเฆี่ยนถามก็ไม่รับ บัดนี้ตายเสียแล้ว เฮงกีได้ฟังก็มีความสงสาร จึงว่าถ้าฮวมซุยยังอยู่ในเมืองจิ๋นกับเราก็คงจะได้เป็นขุนนาง
แต้อันเผงจึงบอกว่า ข้าพเจ้าพบอาจารย์คนหนึ่งชื่อเตียวลกอยู่ที่เขาจิวสัว มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เปรียบกับฮวมซุยก็เหมือนกัน ถ้าท่านจะใคร่พบข้าพเจ้าจะไปบอก แต่จะมากลางวันนั้นไม่ได้ ด้วยเตียวลกคนนี้เป็นคนโทษอยู่ในเมืองงุย เฮงกีแจ้งดังนั้นก็ดีใจ จึงว่าคํ่าวันนี้ท่านจงไปพามาให้พบข้าพเจ้าสักหน่อยเถิด แต้อันเผงก็คำนับลาเอาความไปแจ้งแก่เตียวลกทุกประการ ครั้นเพลาคํ่า แต้อันเผงก็ให้เตียวลกแต่งตัวเป็นบ่าวไปคำนับเฮงกี เฮงกีจึงถามเตียวลกด้วยแผนที่หัวเมืองทั้งปวง เตียวลกก็บอกชี้แจงให้มิได้ขัดขวาง เฮงกีก็ดีใจ จึงชมเตียวลกว่าท่านมีสติปัญญาหลักแหลมนักหามีผู้เสมือนไม่ ท่านจงไปอยู่ด้วยกันเถิดจะได้เป็นขุนนาง เตียวลกจึงว่าซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้านี้คุณท่านหาที่สุดไม่ ตัวข้าพเจ้าก็เป็นคนโทษ ท่านจะไปเมื่อไรจึงจะตามท่านไปด้วย เฮงกีจึงว่าถ้าดังนั้นอีกห้าวันท่านจงไปคอยที่ริมแม่น้ำสำเพงกังเถิด แต้อันเผงกับเตียวลกก็คำนับลาไปที่อยู่ ครั้นครบห้าวันเฮงกีก็เข้าไปคำนับลาหันลีอ๋อง หันลีอ๋องก็ให้ขุนนางจัดแจงส่งเฮงกีไปจากเมืองแล้วพวกขุนนางก็กลับเมือง
ฝ่ายเฮงกีก็ขับเกวียนมาถึงที่สำเพงกังริมแม่นํ้า พอพบแต้อันเผงกับเตียวลกก็พากันไป เฮงกีมาตามทางกับแต้อันเผงและเตียวลกได้พูดจากันก็มีความรักเป็นอันมาก ครั้นใกล้แดนเมืองจิ๋นที่ฮูกวน เตียวลกแลไปข้างทิศตะวันตกเห็นขุนนางสองคนขี่ม้าพาทหารมาตามหนทางใหญ่ เตียวลกจึงถามเฮงกีว่านั่นผู้ใดขี่ม้าคุมทหารมาจะไปไหน เฮงกีจึงบอกว่าซึ่งขี่ม้ามาโน้นเป็นไจเสียงของเจ้าเมืองจิ๋น ออกมาเที่ยวดูบ้านเมือง เตียวลกจึงถามว่าอันที่ไจเสียงนี้ได้ว่าราชการในเมืองจิ๋นทั้งนั้นหรือ เฮงกีจึงบอกว่า แต่ก่อนเจ้าเมืองจิ๋นยังเด็กอยู่ มารดาเจ้าเมืองจิ๋นจึงเอาน้องชายชื่องุ่ยเยี้ยมให้เป็นที่ไจเสียง งุยฮูยงเป็นที่ฮอเยียงกุ๋นช่วยว่าราชการแทนเจ้าเมือง
ครั้นเจียวเสียงอ๋องโตขึ้นก็หาไว้ใจไม่ จึงเอาน้องของตัวชื่อกงจูลี้มาเป็นที่เกงยังกุ๋น ให้กงจูฉีเป็นที่เกาเลงกุ๋น แล้วก็คอยหาผิดน้าของตัวทุกวันมิได้ขาด อันที่ไจเสียงนี้เป็นใหญ่กว่าขุนนางทั้งปวงหมด ถ้าถึงปีก็ได้ออกมาตรวจตราบ้านเมืองแทนเจียวเสียงอ๋อง เตียวลกจึงว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์เขาว่างุ่ยเยี้ยมคนนี้หารักผู้มีสติปัญญาไม่ เป็นคนมักอิจฉาพยาบาท ครั้นงุ่ยเยี้ยมเกือบจะใกล้เข้ามา เตียวลกก็ชวนแต้อันเผงมุดเข้าซ่อนอยู่ในเกวียน เฮงกีก็ลงจากเกวียนเข้าไปคำนับงุ่ยเยี้ยม งุ่ยเยี้ยมก็ลงจากม้าคำนับกันตามธรรมเนียม งุ่ยเยี้ยมจึงถามเฮงกีว่าท่านไปเมืองงุยครั้งนี้ยังมีความสุขอยู่หรือ อนึ่งราชการในเมืองงุยท่านไปสืบแจ้งประการใดบ้าง
เฮงกีจึงตอบว่า ข้าพเจ้าไปคราวนี้หาภัยอันตรายมิได้ เข้าไปอยู่ในเมืองงุยก็มีความสุข ซึ่งข้อราชการนั้นก็ยังเงียบอยู่หามีอันใดไม่ งุ่ยเยี้ยมจึงถามว่าท่านไปได้ผู้มีสติปัญญามาบ้างหรือ เฮงกีก็ตอบว่าหามีไม่ ขณะเมื่องุ่ยเยี้ยมถามเฮงกีนั้น งุ่ยเยี้ยมแลไปดูข้างเกวียนเป็นหลายหน แต้อันเผงเตียวลกอยู่ใต้เกวียนนั้นกลัวงุ่ยเยี้ยมจะเห็นก็ร่นติดกันอยู่หารู้ที่จะทำอย่างไรไม่ งุ่ยเยี้ยมก็ลาเฮงกีขึ้นม้าไป แต้อันเผงกับเตียวลกเห็นงุ่ยเยี้ยมไปแล้วก็คลานออกมาจากเกวียนลุกขยับจะวิ่งไป
เฮงกีเห็นดังนั้นก็จับข้อมือแต้อันเผงไว้ เตียวลกก็หยุด เฮงกีจึงบอกว่างุ่ยเยี้ยมไปแล้ว ท่านอย่ากลัวเลยจะไปไหนเล่า เตียวลกจึงว่าไม่ได้ ท่านอย่ายุดแต้อันเผงไว้ เมื่อกี้ข้าพเจ้าอยู่ใต้เกวียนเห็นงุ่ยเยี้ยมพูดกับท่านแล้วมองมาข้างเกวียนมิได้ขาด เห็นจะมีความสงสัยเป็นมั่นคง ข้าพเจ้าจะไปคอยท่านอยู่ข้างหน้าก่อน ว่าแล้วเตียวลกก็พาแต้อันเผงรีบเดินหนีไป เฮงกีก็ขับเกวียนตามไปต่อภายหลัง
ฝ่ายงุ่ยเยี้ยมครั้นไปได้ทางประมาณสิบลี้ก็กลับคิดสงสัยว่าเฮงกีจะพาเอาพวกเมืองงุยมา จึงสั่งทหารยี่สิบคนกลับไปค้นดูอีก ทหารยี่สิบคนคำนับลาแล้วก็รีบไป ครั้นทันเกวียนจึงเข้าไปคำนับเฮงกีแล้วว่า เสียงก๊กงุ่ยเยี้ยมสงสัยท่านว่าจะพาเอาคนเมืองงุยมาจึงให้ข้าพเจ้ามาค้น เฮงกีแจ้งดังนั้นก็ยอมให้เข้าค้น ทหารยี่สิบคนค้นไม่พบแล้วกลับมาบอกแก่งุ่ยเยี้ยมทุกประการ
ฝ่ายเฮงกีครั้นคนที่มาค้นกลับไปแล้ว ก็นึกชมเตียวลกว่าเป็นคนมีสติปัญญาแล้วก็เร่งขับเกวียนไป พอพบแต้อันเผงเตียวลกคอยอยู่ริมทาง จึงเล่าความซึ่งงุ่ยเยี้ยมให้คนกลับมาค้นให้แต้อันเผงกับเตียวลกฟัง แล้วก็รีบพากันเข้าไปในเมืองจิ๋น จึงให้บ่าวพาเตียวลกกับแต้อันเผงไปพักอยู่ที่บ้านของตัว เฮงกีก็เข้าไปคำนับเจียวเสียงอ๋องแจ้งความว่า ข้าพเจ้าสืบข่าวราชการในเมืองงุยก็เงียบสงบอยู่หามีสิ่งใดไม่ แต่ข้าพเจ้าได้เกลี้ยกล่อมผู้มีสติปัญญามาด้วยคนหนึ่งชื่อเตียวลก เห็นพอจะทำราชการเป็นขุนนางอยู่กับท่านได้ เจียวเสียงอ๋องแจ้งดังนั้นจึงว่าท่านพาผู้มีสติปัญญามาก็ชอบแล้ว แต่เรายังหาเห็นนํ้าใจไม่ ท่านจงพาไปยับยั้งอยู่ที่บ้านท่านก่อนเถิด เฮงกีก็คำนับลาไปที่อยู่ เอาความไปบอกกับเตียวลกว่าเจ้าเมืองจิ๋นยังไม่ว่างราชการให้ท่านคอยอยู่ที่บ้าน เตียวลกคอยอยู่ที่บ้านเฮงกีนั้นได้ปีหนึ่ง หาเห็นเจียวเสียงอ๋องมาเรียกไม่ เตียวลกก็ไม่มีความสบายจึงไปเที่ยวเล่น พอเห็นงุ่ยเยี้ยมจัดทัพจะยกไป แล้วเห็นคนแก่คนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่นั้นจึงถามว่านี่เสียงก๊กจะยกทัพไปข้างไหนหรือ คนแก่จึงบอกว่าท่านจะยกไปตีเมืองเจ๋ เตียวลกจึงถามคนแก่ต่อไปอีกว่าแต่ก่อนเมืองเจ๋ยกมาตีเมืองจิ๋นหรือเปล่า คนแก่จึงบอกว่าเมืองเจ๋หาได้มาตีเมืองจิ๋นไม่ เตียวลกจึงว่าเมื่อเขาไม่มาตีเมืองจิ๋น ก็ทำไมจะไปตีเมืองเขาเล่า อันเมืองเจ๋นี้ก็เป็นเมืองไกลอยู่ข้างทิศใต้ หนทางที่จะไปนั้น เมืองหันกับเมืองงุยคั่นกลางอยู่ หาควรที่จะไปตีเมืองเจ๋ไม่ คนแก่จึงว่าถ้าท่านจะใคร่รู้ก็มาไปที่สงัดด้วยเราเถิด
เตียวลกก็ตามคนแก่ไปถึงที่ว่างหามีใครเดินไม่ คนแก่จึงบอกว่าซึ่งทัพจะยกไปครั้งนี้ หาใช่ความคิดของเจ้าเมืองจิ๋นไม่ นี่เสียงก๊กงุ่ยเยี้ยมจะไปตีเองดอก ด้วยอยากได้ที่ตำบลกังสือซึ่งใกล้กับเมืองน่ำเอี๋ยงกุ๋น ถึงจะยกไปครั้งนี้คงจะสั่งให้แปะคี้ยกไป ตัวก็จะหาไปเองไม่ เตียวลกแจ้งแล้วก็ลาคนแก่กลับไปที่อาศัยของตัว เขียนหนังสือฉบับหนึ่งจึงพับเข้าผนึกดิบดีแล้วเอาเข้าไปให้เฮงกีบอกว่า ท่านจงช่วยเอาหนังสือขึ้นคำนับเจียวเสียงอ๋องให้ข้าพเจ้าด้วย เฮงกีเอาหนังสือเข้าไปให้เจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องรับหนังสือมาดูสลักหลังก็นึกขึ้นได้ถึงเตียวลก จึงฉีกผนึกออกอ่านได้ความว่า ข้าพเจ้าเตียวลกขอคำนับมาถึงเจียวเสียงอ๋อง ด้วยถ้าผู้ใดจะเป็นเจ้าเมืองก็ต้องปูนบำเหน็จแก่ผู้ทำราชการ เหน็ดเหนื่อยมากก็ให้ทวีเบี้ยหวัดขึ้น หนึ่งผู้ใดเรียนรู้รอบคอบในราชการโดยแท้แล้วก็ควรจะตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ ถ้าผู้ใดหามีสติปัญญามิได้ก็ไม่ควรที่จะให้เป็นขุนนางขึ้น บัดนี้ตัวข้าพเจ้ามาคอยท่านอยู่ปีหนึ่งแล้วก็หามีราชการสิ่งใดไม่ แม้นไม่เอาไว้ใช้ก็ให้กลับไปบ้านเสียเถิด ถ้าท่านจะใคร่รู้ว่ามีสติปัญญาและไม่มี วันใดว่างจงให้ไปหาตัวมาจะได้พูดให้ท่านฟัง ข้าพเจ้าก็เป็นแต่ผู้น้อย ถ้าพูดมิถูกผิดพลั้งประการใด ท่านจงให้เอาไปฆ่าเสียเถิด
เจียวเสียงอ๋องแจ้งดังนั้นก็หัวเราะ จึงสั่งคนใช้ให้ไปบอกเตียวลกให้เข้ามาที่เก๋งสำหรับแขกเมือง แล้วเจียวเสียงอ๋องก็ขึ้นเกวียนออกมา เตียวลกแจ้งดังนั้นก็มาคอยอยู่ก่อน ครั้นเห็นเจ้าเมืองจิ๋นมาจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้จักแล้วก็เดินตรงเข้าไป พวกไท้กํ้าเห็นดังนั้นก็ไล่เตียวลกว่าเจ้าเมืองมาให้หลีกไปเสีย เตียวลกจึงตอบว่า เรารู้อยู่ดอกว่างุ่ยเยี้ยมได้เป็นใหญ่ อันเจ้าเมืองเป็นแต่ผู้น้อยเราหาหลีกไปไม่ ไท้กํ้ากับเตียวลกต่างคนต่างเถียงกันอยู่ เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงว่า นี่จะมาเถียงกันด้วยอันใด ไท้กํ้าก็เอาความซึ่งเตียวลกว่านั้นแจ้งแก่เจียวเสียงอ๋องทุกประการ
เจียวเสียงอ๋องรู้ดังนั้น ก็สั่งให้เชิญเตียวลกเข้าไปในเก๋งรับแขก จัดแจงให้นั่งที่อันสมควร เตียวลกก็หานั่งไม่ เจียวเสียงอ๋องก็ไล่คนซึ่งมาด้วยนั้นให้ไปเสียข้างนอกหมดแล้ว เจียวเสียงอ๋องก็คุกเข่าลงคำนับเตียวลก แล้วก็ถามว่าอาจารย์มานี่จะสอนข้าพเจ้าอย่างไรก็สอนเถิด เตียวลกก็ยืนนิ่งเสีย เจียวเสียงอ๋องก็คำนับแล้วว่าดังนั้นถึงสามหน เตียวลกก็มิได้พูดประการใด เจียวเสียงอ๋องเห็นดังนั้นจึงว่า อาจารย์เห็นไม่สมควรจะสอนข้าพเจ้าหรือจึงนิ่งเสีย
เตียวลกจึงว่าหามิได้ แต่ก่อนข้าพเจ้าแจ้งอยู่ครั้งแผ่นดินห้องสิน เกียงจูแหยนั่งตกเบ็ดอยู่ที่แม่นํ้าอุยเปี้ยน บุนอ๋องมาเชิญตัวเกียงจูแหย เกียงจูแหยพูดแต่คำเดียวก็ตั้งให้เป็นที่เซียงหู เชิญมาไว้ที่เมืองบุนอ๋องก็ได้มีความสุข ครั้นบุนอ๋องหาบุญไม่แล้ว บู๊อ๋องได้เป็นที่แทนบิดา ก็ได้สติปัญญาเกียงจูแหยช่วยคิดกลอุบายให้จึงได้เมืองเซียง ต่อภายหลังก็ได้เป็นพระเจ้าบู๊อ๋องขึ้น ประการหนึ่งกีจื้อกับปิกันเป็นญาติของติวอ๋อง มีความกตัญญูเข้าไปเตือนพระเจ้าติวอ๋องให้ออกว่าราชการ มิให้หลงด้วยนางขันกี พระเจ้าติวอ๋องก็มิได้เชื่อ มาภายหลังคนทั้งปวงก็ไม่มีความสุขด้วยพระเจ้าติวอ๋องฆ่าเสียบ้างเอาไปจำตายเสียบ้าง ราษฎรจึงได้ความลำบาก อยู่มาเมืองก็เสียแก่พระเจ้าบู๊อ๋องเพราะไม่เชื่อกีจื้อกับปิกัน ซึ่งข้าพเจ้าพูดนี้ความมีอยู่สองอย่างว่าด้วยคนหนึ่งเชื่อ คนหนึ่งไม่เชื่อเท่านั้นเอง ด้วยแต่ก่อนพระเจ้าติวอ๋องได้เกียงจูแหยมาไว้แต่หานับถือไม่ก็ปล่อยไปเสีย พระเจ้าบู๊อ๋องได้เกียงจูแหยมาไว้ก็นับถือ จึงได้เป็นใหญ่มาจนหลายชั่วกษัตริย์ อันปิกันกับกีจื้อเป็นญาติก็จริงอยู่ แต่พระเจ้าติวอ๋องหาเชื่อไม่ ภายหลังอันตรายก็มีแก่ตัวปิกันกับกีจื้อเอง ทั้งเมืองก็เสียหาต้องการไม่ ตัวข้าพเจ้าก็เป็นคนมาแต่เมืองไกลยังไม่คุ้นเคยกับท่าน ครั้นจะพูดไปก็มีความอยู่สองข้อ ข้อหนึ่งจะให้บ้านเมืองท่านเป็นสุข ข้อหนึ่งจะต้องเสียคนในเมืองของท่าน การเป็นอย่างนี้จึงขัดขวางอยู่ ครั้นจะไม่พูดให้เห็นความเล่า ไปข้างหน้าบ้านเมืองของท่านก็จะไม่มีความสบาย แม้จะพูดออกก็กลัวเหมือนปิกันกับกีจื้อ ซึ่งท่านมาถามสามครั้งมิได้พูดก็เพราะกลัวท่านจะไม่เชื่อข้าพเจ้า
เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งคิดถึงคำซึ่งเตียวลกว่างุ่ยเยี้ยมเป็นใหญ่ อยากจะใคร่รู้ก็คุกเข่าลงคำนับอีกแล้วว่า ท่านอาจารย์ทำไมจึงว่าอย่างนั้นเล่า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านมีสติปัญญา จึงไล่คนไปเสียก็เพราะปรารถนาจะใคร่ให้ท่านสั่งสอน ท่านจะเอาสิ่งใดก็ว่าเถิดอย่าเกรงใจข้าพเจ้าเลย เตียวลกก็ก้มตัวลงคำนับจับมือเจียวเสียงอ๋องให้ยืนขึ้นคำนับกันตามธรรมเนียมแล้ว ต่างคนก็นั่งที่อันสมควร เตียวลกจึงว่าท่านเชื่อข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าก็จะพูดให้ท่านฟัง ด้วยเมืองจิ๋นนี้ก็เป็นเมืองใหญ่ ทหารก็มีเป็นอันมาก หัวเมืองทั้งปวงเห็นหาสู้ได้ไม่ แม้นท่านจะคิดเป็นใหญ่ก็คงจะสมคิด แต่ขุนนางที่มีสติปัญญาคิดการไม่ถูกจึงมิอาจตั้งตัวได้
เจียวเสียงอ๋องจึงถามว่าท่านเห็นไม่ถูกนั้นประการใด เตียวลกจึงตอบว่า ข้าพเจ้ารู้ว่างุ่ยเยี้ยมจะยกทหารข้ามแดนเมืองหัน เมืองงุยไปตีเมืองเจ๋ ข้าพเจ้าจึงว่าไม่ถูก ด้วยทางนั้นไกลกันนัก แม้นท่านจะเอาไปมากก็จะลำบากป่วยการคนและเสบียงอาหาร ถึงจะตีเมืองเจ๋ได้ก็เหมือนเมืองงุยไปตีเมืองตงสันก็เหมือนกัน อันเมืองตงสันนั้นข้ามแดนเมืองเตียวไป เจ้าเมืองงุยตีได้ก็เหมือนเป็นของเจ้าเมืองเตียว เพราะเมืองเตียวใกล้กับเมืองตงสัน ซึ่งจะไปตีเมืองเจ๋ครั้งนี้ ถึงชนะก็ไม่เป็นของท่าน แม้นตีเมืองเจ๋ไม่ได้จะมิอายกับหัวเมืองทั้งปวงหรือ ข้าพเจ้าจะคิดให้ท่านใหม่ แม้นท่านเชื่อแล้วจงทำไมตรีไว้กับเมืองไกล ยกไปตีเมืองใกล้ไว้เป็นเมืองขึ้นจึงจะชอบ อาณาเขตของท่านจะได้กว้างขวางออกไป เจียวเสียงอ๋องจึงว่า ท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่ท่านจะให้ทำไมตรีกับเมืองไหน จะยกไปตีเมืองใดก่อน เตียวลกจึงตอบว่า แม้นท่านจะทำไมตรีก็ทำกับเมืองฌ้อ เมืองเจ๋ด้วยเป็นเมืองไกล ซึ่งจะต้องตีก็ให้ตีเมืองงุย เมืองหัน ถ้าตีได้หัวเมืองสองตำบลนี้แล้ว เมืองฌ้อเมืองเจ๋ก็อยู่ในเงื้อมมือเรา เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นดีใจนัก ตบมือหัวเราะด้วยเสียงอันดังจึงว่าท่านอาจารย์พูดนี้ถูกแล้ว เจ้าเมืองจิ๋นจึงตั้งเตียวลกให้เป็นขุนนาง ชื่อเตียวเคงเป็นที่ปรึกษา แล้วจัดแจงที่อยู่ให้ตามสมควร ทัพซึ่งจะยกไปตีเมืองเจ๋นั้นก็งดไว้ตามคำเตียวลกว่าทุกประการ
ฝ่ายงุ่ยเยี้ยมกับแปะคี้ ครั้นเจ้าเมืองจิ๋นห้ามมิให้ไปตีเมืองเจ๋ รู้ว่าเจ้าเมืองเชื่อคำเตียวลกก็นึกโกรธเตียวลกอยู่ แต่นั้นมาเจียวเสียงอ๋องก็นับถือเตียวลก จึงให้พาเข้าไปปรึกษาราชการทั้งกลางวันกลางคืนมิได้ขาด เตียวลกรู้ว่าเจ้าเมืองจิ๋นเชื่อคำตัว เวลาวันหนึ่งเตียวลกเข้าไปคำนับเจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นให้ไล่คนไปเสีย เตียวลกจึงว่าท่านนับถือข้าพเจ้าครั้งนี้หาคุณที่สุดมิได้ จะขอสนองคุณท่านไปกว่าจะสิ้นชีวิต อันข้าพเจ้าว่าจะให้บ้านเมืองเป็นสุขนั้นก็ยังทำหาสำเร็จไม่ เจียวเสียงอ๋องจึงว่าท่านอย่าเกรงใจเลย ราชการในเมืองจิ๋นนี้ข้าพเจ้าก็มอบให้ท่านแล้ว แม้นท่านอาจารย์จะให้ทำประการใดก็จะทำตามทุกอย่าง
เตียวลกจึงว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าอยู่บ้านชัวต๋งได้ยินว่าในเมืองเจ๋นั้นมีแต่เบ๋งเสียงกุ๋นเป็นใหญ่ ในเมืองจิ๋นนี้เล่าก็มีแต่ไท้โหมารดาของท่านคนหนึ่ง กับเซียงโหชื่องุ่ยเยี้ยมหนึ่ง ฮัวเหยียมโหชื่อฮูยงหนึ่ง สองคนนี้เป็นน้าท่าน เกงเอี๋ยงกุ๋นชื่อกงจูลี้หนึ่ง เกาเลงกุ๋นชื่อกงจูฉีหนึ่ง สองคนนี้เป็นน้องท่าน และคนห้าคนนี้ชื่อเสียงก็ปรากฏไปทุกหัวเมือง แต่ชื่อของท่านนั้นยังหาได้ยินไม่ ด้วยคนทั้งห้าคนนี้จะชำระข้อความและฆ่าผู้ใดก็ทำตามอำเภอใจหาเกรงกลัวท่านไม่ ด้วยอาญาสิทธิ์อยู่ที่เขา บัดนี้เขามั่งมีมากกว่าท่านเสียอีก ซึ่งจะนิ่งอยู่ฉะนี้หาชอบไม่ ด้วยข้าพเจ้าเห็นว่าในเมืองเจ๋นั้นซุยทู้ได้ว่าราชการสิทธิ์ขาด ภายหลังก็ฆ่าเจ้าเมืองเจ๋เสีย ครั้งหนึ่งหลีเคียดได้ว่าราชการในเมืองเตียวสิทธิ์ขาด ภายหลังก็ฆ่าเจ้าเมืองเตียวเสีย ทุกวันนี้ในเมืองจิ๋นไท้โหผู้มารดาท่านได้ว่าราชการข้างในสิทธิ์ขาด ข้างนอกเล่าเซียงโหงุ่ยเยี้ยมก็ได้ว่าราชการหมด ทำตามอำเภอใจของตัวเอง ผิดด้วยอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าภายหลังเมืองจิ๋นก็จะไม่มีความสุข ถ้าท่านหาบุญไม่แล้ว แซ่ของท่านก็จะไม่ได้เป็นเจ้าสืบไป เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็เห็นจริงถูกต้องกับใจตัวคิดไว้แต่เดิมก็ดีใจคำนับเตียวลกและสั่นศีรษะว่า ข้าพเจ้าได้ฟังคำสั่งสอนท่านวันนี้เปรียบเหมือนหนึ่งอยู่ที่มืดท่านช่วยจูงออกมาให้เห็นเดือนตะวันก็เหมือนกัน อันถ้อยคำนั้นควรจะจำใส่ใจไว้ แต่ก่อนข้าพเจ้าชั่วเองหาสติปัญญาไม่จึงมิได้ไปเชิญท่านมา จงงดโทษเสียเถิด เตียวลกก็รับคำแล้วคำนับลากลับไป เจ้าเมืองจิ๋นก็กลับเข้าไปข้างใน
ครั้นเพลาเช้าเจียวเสียงอ๋องออกว่าราชการ ขุนนางทั้งปวงก็เข้ามาคำนับพร้อมกัน เจ้าเมืองจิ๋นจึงว่ากับงุ่ยเยี้ยมว่า ท่านทำราชการอยู่ด้วยเรานี้ก็ได้รับความลำบากเหนื่อยใจเป็นอันมาก ท่านจงไปกินเมืองนํ่าเอี๋ยงกุ๋นอยู่ให้เป็นสุขเถิด จงเอาตราที่ไจเสียงมาให้คืนเรา งุ่ยเยี้ยมได้ยินดังนั้นเสียใจนักมิรู้ที่จะโต้ตอบประการใด จึงเอาตราที่สำหรับไจเสียงมาคืนให้เจ้าเมืองจิ๋นแล้วคำนับลาไปที่อยู่ จึงจัดแจงให้บ่าวขนของเงินและทองของที่ดีๆ ซึ่งงุ่ยเยี้ยมตีเมืองได้แบ่งเอาไว้เป็นของตัวนั้นมาบรรทุกเกวียนพันเล่ม พร้อมแล้วก็อพยพครอบครัวรีบไปอยู่เมืองนํ่าเอี๋ยงกุ๋น ภายหลังเจ้าเมืองจิ๋นก็ให้หาฮัวเหยียมโหฮูยง เกงเอี๋ยงกุ๋นกงจูลี้ เกาเลงกุ๋นกงจูฉี เข้ามาแล้วว่า ท่านทั้งสามจงไปหากินตามภูมิลำเนาของท่านเถิด จงคืนตราสำหรับที่มาให้เราเสีย กงจูลี้ฮูยงกงจูฉีก็มิได้โต้ตอบ จึงเอาตราสำหรับที่ของตัวมาคืนให้เจ้าเมืองจิ๋น ต่างคนก็คำนับลาไปที่อยู่ จึงพาบ่าวไพร่ของตัวให้ขนสิ่งของอพยพครอบครัวออกไปตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่นอกเมือง
ฝ่ายเจ้าเมืองจิ๋นตั้งแต่ถอดงุ่ยเยี้ยม ฮูยง กงจูลี้ กงจูฉีเสียจากที่แล้วก็มิให้ไท้โหผู้มารดาช่วยว่าราชการต่อไป แล้วตั้งเตียวลกขึ้นเป็นที่ไจเสียง ทั้งมอบเมืองเอียงเซียให้มาขึ้นกับเตียวลกด้วย อันคนในเมืองจิ๋นหารู้ว่าเตียวลกชื่อฮวมซุยไม่ แต้อันเผงรู้จักอยู่เตียวลกก็ห้ามเสียมิให้บอกชื่อแก่คนทั้งปวง ฝ่ายเจียวเสียงอ๋องตั้งแต่เป็นเจ้าเมืองจิ๋นมาอายุได้สี่สิบเอ็ดปี
ขณะนั้นศักราชพระเจ้าจิวลันอ๋องเสวยราชสมบัติได้สี่สิบแปดปี งุยอายอ๋องเจ้าเมืองงุยก็ตาย มีบุตรได้เป็นที่แทนบิดาชื่องุยอันลี้อ๋อง ครั้นงุยอันลี้อ๋องได้เป็นเจ้าเมืองงุยขึ้นแล้ว ได้ยินกิตติศัพท์ว่าเจ้าเมืองจิ๋นตั้งเตียวลกเป็นไจเสียงแล้วปรึกษากันว่าจะมาตีเมืองงุย จึงให้หาขุนนางทั้งปวงเข้ามาปรึกษา สินเลงชื่อกงจูบ่อกีจึงว่า อันเมืองจิ๋นมิได้มารบเมืองเราก็หลายปีแล้ว เขาเห็นว่าเมืองเรากำลังน้อยจึงจะยกมาตีเมืองเรา ก็ต้องตระเตรียมทหารไว้ป้องกันบ้านเมืองจึงจะชอบ เสียงก๊กงุยฉีก็บอกว่า ข้าพเจ้าแจ้งว่าเตียวลกซึ่งเป็นที่ไจเสียงนั้นเดิมอยู่เมืองงุยก่อน แม้นท่านใช้คนไปหาเตียวลก เตียวลกก็คิดว่าเมืองงุยนี้เป็นที่เกิดของตัว เห็นจะช่วยว่าเจ้าเมืองจิ๋นให้มาทำไมตรีกับท่าน
งุยอันลี้อ๋องได้ฟังงุยฉีว่าก็เห็นชอบด้วย จึงใช้ซูเกียะคุมเครื่องบรรณาการไปเมืองจิ๋น ซูเกียะก็คำนับลาออกมา จัดสิ่งของบรรทุกเกวียนพร้อมแล้วก็รีบไป ครั้นถึงเมืองจิ๋นจึงเข้าไปในเมือง พอเกวียนกระทบประตูหักเสียก็พักอยู่ที่กงก๊วน เตียวลกแจ้งว่าซูเกียะมาก็ดีใจด้วยคิดว่าจะได้แก้แค้น จึงแต่งตัวให้เหมือนคนขอทานแล้วบอกคนทั้งปวงว่าจะไปหาเพื่อน ก็รีบไปกงก๊วนที่ซูเกียะอยู่ ซูเกียะเห็นดังนั้นจำได้ว่าฮวมซุยก็ตกใจจึงถามว่าท่านนี้งุยฉีตีตายแล้ว เหตุไฉนจึงมาอยู่นี่เล่า ฮวมซุยก็บอกว่างุยฉีตีแล้วให้เอาไปทิ้งไว้ในป่า ครั้นฟื้นขึ้นมีพ่อค้าผู้หนึ่งขี่เกวียนมาพาข้าพเจ้ามาเมืองจิ๋น หาอาจไปบ้านไม่ ซึ่งได้เห็นหน้าท่านวันนี้ก็เป็นบุญหนักหนา แล้วซูเกียะจึงถามว่า ซึ่งท่านมาอยู่ที่นี่จะเข้าทำราชการในเมืองจิ๋นหรือ ฮวมซุยก็ทำเป็นตกใจจึงว่าท่านอย่าพูดไปเลยข้าพเจ้าเข็ดแล้ว ครั้งก่อนเพราะอยากเป็นขุนนางไม่ใช่หรือจึงได้เจ็บตัวถึงเพียงนี้ ซูเกียะจึงถามว่าท่านไม่อยากเป็นขุนนางแล้วทุกวันนี้ท่านหากินด้วยอย่างไรเล่า ฮวมซุยจึงแกล้งกล่าวว่า ข้าพเจ้าทุกวันนี้อาศัยเขากินพอเลี้ยงชีวิตหาได้ทำมาหากินไม่ ซูเกียะแจ้งดังนั้นมิได้รู้กลฮวมซุย มีใจกรุณาจึงให้บ่าวของตัวเอาข้าวมาสู่ฮวมซุยกิน
ขณะนั้นเป็นฤดูหนาว ฮวมซุยกินอาหารอยู่แกล้งทำเป็นหนาวมากจนตัวสั่นคางสั่น ซูเกียะเห็นดังนั้นก็มีความเวทนา จึงสั่งให้เอาเสื้อของตัวมาให้ฮวมซุย ฮวมซุยก็ไม่รับเอาเสื้อ จึงว่าข้าพเจ้าเป็นคนจนไม่ควรจะใส่เสื้อของท่าน ซูเกียะจึงว่าตัวเคยอยู่มาด้วยกันมาก่อน เราหาถือไม่ ท่านจงใส่เสื้อเสียเถิด ฮวมซุยก็รับเอาเสื้อมาใส่แล้วจึงว่าข้าพเจ้าขอบใจนัก จึงท่านมาเมืองจิ๋นนี้มีธุระสิ่งใดเล่า ซูเกียะจึงบอกว่าเรารู้ว่าเตียวลกบ้านอยู่เมืองงุย ได้เป็นไจเสียงอยู่ในเมืองจิ๋น เราจะมาหาแต่หามีผู้พาไปไม่ ท่านมาอยู่ที่นี่รู้ว่าใครชอบกับเตียวลกบ้าง ฮวมซุยจึงบอกว่านายข้าพเจ้ามีอยู่คนหนึ่งเป็นคนแก่ ชอบกับเตียวลกไจเสียงนัก แม้นนายข้าพเจ้าจะไปหากันเมื่อใดข้าพเจ้าก็ไปด้วยทุกครั้ง ไจเสียงก็ถามกิจการราชการขนบธรรมเนียมมิได้ขาด ถ้านายข้าพเจ้าพูดไปข้าพเจ้าก็ได้ตักเตือน ไจเสียงเห็นดังนั้นก็ให้ยกโต๊ะมาให้กินแล้วพูดด้วยเนืองๆ แม้นท่านจะไปหาข้าพเจ้าจะพาไป
ซูเกียะได้ฟังฮวมซุยว่าก็ดีใจ จึงว่าท่านจะกำหนดให้เราไปเมื่อใด ฮวมซุยแกล้งบอกว่าอันไจเสียงนี้ราชการมิได้ว่างถ้าวันอื่นเห็นจะไม่พบ ท่านจงไปกับข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้เถิด ซูเกียะจึงบอกว่าเรามาแต่ทางไกล เมื่อถึงประตูเมืองเกวียนกระทบเข้าหักเสียแล้ว เห็นจะจัดแจงไม่ทัน ฮวมซุยจึงตอบว่าท่านอย่าวิตกเลย เกวียนนายข้าพเจ้ามีอยู่จะยืมมาให้ท่านก่อน ว่าแล้วฮวมซุยก็กลับไปเอาเกวียนที่บ้านของตัวเทียมม้าเข้าแล้ว ก็รีบเอาไปให้ซูเกียะ ซูเกียะไม่รู้ว่าเกวียนของฮวมซุยก็ขึ้นเกวียน ฮวมซุยขับเกวียนมาตามทาง ชาวเมืองทั้งปวงเห็นก็จำได้ว่าไจเสียงเป็นคนขับเกวียนมา ต่างคนก็ยืนขึ้นคำนับตลอดหนทางไป ซูเกียะเห็นดังนั้นสำคัญว่าเขาคำนับตัว จึงคิดว่าชาวเมืองนี้นับถือและกลัวเกรงขุนนางเป็นอันมาก ครั้นเกวียนมาถึงบ้านฮวมซุย ฮวมซุยจึงบอกซูเกียะว่าให้อยู่ที่นี่ ข้าพเจ้าจะเข้าไปบอกไจเสียงก่อนจึงจะมารับท่าน ฮวมซุยก็เข้าไปบ้านหายไป
ฝ่ายซูเกียะคอยฮวมซุยไม่เห็นมา ขณะนั้นได้ยินเสียงกลองในบ้านตีสามทีก็มองเข้าไปดู เห็นแต่คนเดินไปมามิได้ขาดแต่หาเห็นฮวมซุยไม่ จึงวานนายประตูว่า ฮวมซุยเพื่อนข้าพเจ้าไปหาไจเสียงหายไป ท่านจงช่วยบอกให้มาหาหน่อยหนึ่ง นายประตูจึงว่าท่านเข้ามาเมื่อไร ซูเกียะจึงบอกว่าคนที่ขับเกวียนมาเมื่อตะกี้นั่นแหละ นายประตูจึงบอกว่า คนที่ขับเกวียนมานั้นมิใช่ฮวมซุย ชื่อเตียวลกเป็นไจเสียงขุนนางผู้ใหญ่ดอก ซูเกียะได้ยินนายประตูบอกก็ตกใจ เปรียบประหนึ่งนอนหลับได้ยินเสียงฟ้าสะดุ้งตื่นขึ้นก็เหมือนกัน ด้วยนึกได้ถึงความผิดซึ่งตัวทำไว้กับเขาไว้แต่ก่อน ก็คิดว่าครั้งนี้เราถึงที่ตายแล้ว ครั้นจะไม่เข้าก็หาได้ไม่ ด้วยตัวมาถึงที่นี่แล้วจะหนีไปก็ไม่พ้น จำจะเข้าไปรับผิดอ้อนวอนจึงจะชอบ คิดแล้วถอดเสื้อเปิดหมวกออกกองเสีย แล้วสั่งนายประตูว่า ท่านจงไปบอกไจเสียงด้วยเถิด ว่าเราผู้เป็นคนผิดจะขอเข้าไปลุกะโทษ ตามแต่ท่านไจเสียงจะเมตตา นายประตูก็เอาความไปแจ้งแก่เตียวลก เตียวลกก็สั่งให้ไปรับซูเกียะเข้ามา นายประตูคำนับลาออกมาบอกซูเกียะ ซูเกียะแจ้งดังนั้นกลัวนัก สยายผมคุกเข่าคลานเข้าไปจนถึงหน้าโต๊ะก็กราบลงเป็นหลายที จึงว่าข้าพเจ้านี้เป็นคนผิดตามแต่ท่านจะโปรดแล้วก็ซบหน้านิ่งอยู่
ขณะนั้นเตียวลกซึ่งเป็นไจเสียงนั่งอยู่กับพวกทหาร แกล้งทำเฉยเสียมิใคร่จะพูดด้วย จึงทำถามว่าท่านรู้สึกตัวว่าผิดแล้วหรือ ซูเกียะเงยหน้าขึ้นคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้ารู้สึกผิดแล้ว เตียวลกจึงถามต่อไปว่า ท่านรู้สึกผิดยังรู้ว่าโทษท่านจะมีประการใดบ้าง ซูเกียะจึงว่าอันข้าพเจ้าผิดนั้นเหลือผิดจึงทำตัวเข้ามาดังนี้ แล้วแต่ท่านจะโปรด เตียวลกจึงบอกว่า อันโทษท่านผิดถึงสามข้อ ข้อหนึ่งครั้งไปเมืองเจ๋นั้น ท่านก็เอาความมิจริงมากล่าวโทษให้งุยฉีขัดใจเรา ข้อหนึ่งงุยฉีโกรธ ตีเราถึงสาหัสจนสลบไปท่านก็มิได้ขอ ข้อหนึ่งครั้งงุยฉีให้เอาเราไปทิ้งที่เขาถ่ายอุจจาระท่านก็ไม่ห้าม เป็นสามข้อด้วยกัน เตียวลกก็ชักกระบี่ออกแล้วจึงว่า โทษท่านก็ควรจะตายด้วยกระบี่เล่มนี้
ขณะนั้นซูเกียะเห็นเตียวลกชักกระบี่ก็เสียวใจ เอามือปิดคอตัวสั่นอยู่ เตียวลกเห็นดังนั้นจึงว่า หากเราคิดอยู่ว่าท่านเอาเสื้อและอาหารมาให้ มีบุญคุณกับเราอยู่ จึงจะยกโทษเสียสักครั้งหนึ่ง แล้วใช้พวกทหารให้ขับซูเกียะไปเสียจากบ้าน
ซูเกียะตกใจก็รีบคลานก้มศีรษะถอยหลังมาจนนอกประตู จึงยืนขึ้นหยุดคิดถึงเมื่อเตียวลกชักกระบี่ก็แสยงขนหัวพอง เอามือลูบคอของตัวเข้าดูแล้วก็รีบไปกงก๊วน
ฝ่ายเตียวลกครั้นซูเกียะไปแล้ว ชาวเมืองก็รู้ว่าชื่อฮวมซุย ฮวมซุยกลัวเจ้าเมืองจิ๋นจะว่าตัวปด ก็รีบเข้าไปคำนับเจียวเสียงอ๋องแล้วบอกว่าเจ้าเมืองงุยให้ซูเกียะเอาของมาคำนับท่าน จะขอเป็นไมตรีครั้งนี้ก็เพราะบุญของท่าน เจียวเสียงอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นได้ฟังดังนั้นก็มีใจยินดีเป็นอันมากให้คิดอิ่มเอิบไปด้วยคำเตียวลก เตียวลกเห็นดังนั้นจึงบอกว่า ตัวข้าพเจ้ามีผิดอยู่ข้อหนึ่ง ขอท่านจงอดโทษเสียเถิด เจ้าเมืองจิ๋นได้ฟังเตียวลกว่าก็สงสัยจึงถามเตียวลกว่า โทษท่านผิดประการใดจงว่าไปเถิดอย่าวิตกเลย เรามิได้เอาโทษแก่ท่าน ฮวมซุยก็เล่าความต้นตั้งแต่ไปเมืองเจ๋ ซูเกียะเอาเท็จมากล่าวโทษ งุยฉีขัดใจข้าพเจ้าตีจนสลบแล้วเอาไปทิ้งเสีย ตัวฟื้นขึ้นจึงเปลี่ยนชื่อและแซ่เสียใหม่ แล้วจึงพาแต้อันเผงมาเมืองจิ๋นจนพบซูเกียะไล่เลี่ยให้เจ้าเมืองจิ๋นฟังทุกประการ แล้วว่าโทษข้าพเจ้าซึ่งอำพรางท่านมิได้บอกชื่อเดิมนั้น ข้าพเจ้าขอโทษไว้ครั้งหนึ่งเถิด เจียวเสียงอ๋องจึงว่าโทษท่านผิดแต่เพียงนี้เราหาถือไม่ แต่เหตุใดท่านจึงปล่อยซูเกียะไปไม่ฆ่าเสียให้สมแค้นเล่า ฮวมซุยจึงว่า ซึ่งจะให้ฆ่าซูเกียะเสียนั้นหาควรไม่ ด้วยธรรมเนียมแต่ก่อน ถ้าเมืองใดจะทำศึกและไมตรีกัน แม้นมีหนังสือมาแล้วก็ห้ามมิให้ฆ่าผู้ถือหนังสือเสีย ซึ่งมิได้ฆ่าซูเกียะนี้ก็เพราะเป็นทูตถือหนังสือมาเป็นทางไมตรี แม้นเราจะฆ่าเสียครั้งนี้ หัวเมืองทั้งปวงที่จะอ่อนน้อมยอมมาเป็นเมืองขึ้นก็หาอาจมาไม่ ข้าพเจ้าคิดจะแก้แค้นแต่งุยฉีผู้เดียวดอก เจียวเสียงอ๋องจึงว่า ท่านนี้มีสติปัญญาทั้งใจก็หนักแน่นถือขนบธรรมเนียมมั่นคงนักจะหาผู้เสมอมิได้ แล้วจึงว่าซึ่งท่านโกรธงุยฉีอยู่นั้น ถึงเราจะเป็นไมตรีกับเมืองงุยก็คงจะแก้แค้นของท่านให้จงได้ ท่านจงไปบอกซูเกียะว่า ถ้าจะเป็นไมตรีกันแล้วก็ให้ตัดศีรษะงุยฉีมาให้เรา ฮวมซุยก็คำนับลาไปที่อยู่ เวลาเช้าจึงสั่งคนใช้ให้ไปหาตัวซูเกียะมา
ฝ่ายซูเกียะครั้นแจ้งว่าเสียงก๊กให้หาตัวก็ตกใจ ด้วยหารู้ว่าจะเป็นประการใดไม่จึงรีบมากับคนใช้ ครั้นถึงประตูก็คุกเข่าคลานเข้าไปคำนับอยู่ตรงหน้าไจเสียงฮวมซุย ฮวมซุยเห็นดังนั้นจึงว่าท่านกับเราก็เป็นคนชอบกัน แต่เข้ามาอยู่ในเมืองจิ๋นนี้ก็นานแล้ว จงอยู่กินโต๊ะด้วยกับเราให้สบายก่อน จึงสั่งคนใช้ให้พาซูเกียะคอยที่ริมประตู
ฝ่ายซูเกียะนึกว่าฮวมซุยคิดถึงคุณจึงจะเอาโต๊ะมาเลี้ยงดีใจนัก ก็นั่งคอยอยู่จนกลางวัน เห็นคนยกโต๊ะมาตั้งก็คิดว่าเขาจะเอามาให้ตัวกินยิ่งมีความยินดีคอยดูอยู่ เห็นคนใช้คนหนึ่งเดินมาตรงประตูสำคัญว่าเขาจะมาร้องเรียก ครั้นเขาไม่เรียกจึงทักคนใช้ว่าท่านจะไปไหน คนใช้จึงบอกว่าไจเสียงให้ข้าพเจ้าไปเชิญขุนนางมากินโต๊ะ พูดแล้วคนใช้ก็ไป ส่วนซูเกียะจึงคิดแต่ในใจว่าเขาจะไปเชิญขุนนางมาพร้อมแล้วจึงจะเรียกเราดอกกระมัง อยู่ประมาณชั่วโมงหนึ่งขุนนางและพวกแคะเคงมาประชุมพร้อมกัน คนใช้ก็ตีระฆังเข้าสามที
ฝ่ายไจเสียงฮวมซุยได้ยินเสียงระฆังรู้ว่าขุนนางพร้อมกันแล้วก็ออกมาต้อนรับคำนับกันตามธรรมเนียม จึงเชิญให้นั่งกินโต๊ะตามสมควรแล้วสั่งพวกพนักงานขับร้องมาทำเพลงให้ขุนนางฟัง แต่หาเรียกซูเกียะไม่
ฝ่ายซูเกียะ ขณะเมื่อขุนนางทั้งปวงเสพสุราแลฟังเพลงอยู่นั้น ซูเกียะเห็นยิ่งหิวอาหารเป็นกำลังด้วยยังไม่ได้กินข้าวเช้า จึงนึกว่าไจเสียงเห็นจะลืมเราเสียแล้ว ครั้นจะเข้าไปให้เห็นก็กลัวฮวมซุยอยู่ หารู้ที่จะทำอย่างไรไม่ ก็นั่งแลไปแลมาคอยทีจะให้เขาเรียก
ฝ่ายฮวมซุยกินโต๊ะด้วยขุนนาง แต่พิศดูซูเกียะมิได้ขาด เห็นกิริยานั้นหิวนักแล้วจึงแกล้งว่ากับขุนนางว่า เรากินโต๊ะนี้ลืมเพื่อนเสียคนหนึ่ง ขุนนางซึ่งนั่งกินโต๊ะได้ยินฮวมซุยว่าดังนั้นจึงลุกยืนขึ้นคำนับแล้วว่า ถ้าดังนั้นข้าพเจ้าทั้งปวงจะต้องคอยอยู่จึงจะชอบ ฮวมซุยจึงตอบขุนนางทั้งปวงว่า ถึงจะเป็นเพื่อนก็จริงแต่หาควรกินด้วยท่านไม่ จึงสั่งคนใช้ให้เอาเสื่อปูลงที่กลางชานแล้วยกโต๊ะสี่เหลี่ยมเตี้ย มีแต่ถั่วชามหนึ่งเอามาตั้งไว้ จึงเรียกซูเกียะเข้ามากิน ซูเกียะครั้นมานั่งลงเห็นของในโต๊ะมีแต่ถั่วหามีอะไรไม่ จนชั้นแต่ตะเกียบก็ไม่เห็นมี นึกเสียใจแล้วคิดว่าเขาทำดังนี้เพราะจะให้เราเจ็บใจ ก็ต้องนั่งกินด้วยหิวทั้งกลัวเป็นอันมาก ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้นมีความเวทนานัก จึงถามว่าเสียงก๊กโกรธแค้นสิ่งใดหรือจึงทำแก่เขาถึงเพียงนี้ ฮวมซุยได้ยินดังนั้นก็เล่าความซึ่งซูเกียะทำผิดมาแต่หลังให้ฟังทุกประการ ขุนนางทั้งปวงแจ้งความแล้วจึงว่า ท่านทำทั้งนี้พอสมควรกับคนผิด ว่าเท่านั้นต่างคนต่างก็ดูหน้าซูเกียะ ซูเกียะมีความละอายนักก็นิ่งอยู่ ฮวมซุยจึงร้องว่ากับซูเกียะว่า แต่งุยฉีนั้นทำเรา เราจะแก้แค้นให้จงได้ ชีวิตท่านครั้งนี้เล่าก็อุปมาเหมือนชีวิตมดตัวหนึ่ง ถ้าจะบีบขยี้เสียเดี๋ยวนี้ก็จะตายเปล่า เราจะปล่อยท่านไปเอาบุญ แม้นท่านกลับไปเมืองงุย จงบอกนายท่านให้ตัดศีรษะงุยฉีมาส่ง ทั้งครอบครัวของเราท่านจงนำมาด้วย แม้นมิยอมดังนั้นก็จะยกทัพไปตีเมืองงุยให้จงได้
ซูเกียะได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ แต่ต้องรับคำไจเสียง คำนับลากลับมากงก๊วนก็พาพวกของตัวรีบขึ้นขี่เกวียนกลับไปเมืองงุย ครั้นมาถึงก็เข้าไปคำนับงุยอันลี้อ๋อง เอาความซึ่งไจเสียงฮวมซุยสั่งมาเล่าให้ฟังทุกประการแล้วว่า ท่านมิส่งศีรษะงุยฉีกับครอบครัวของฮวมซุยไปภายหลังอันตรายก็จะมีแก่ท่านเป็นมั่นคง งุยอันลี้อ๋องแจ้งดังนั้นก็มิรู้ที่จะคิดประการใด แต่ตรึกตรองอยู่ ขณะนั้นมีผู้เอาความไปบอกไจเสียงงุยฉี งุยฉีรู้ความดังนั้นคิดกลัวเจ้าเมืองงุยจะฆ่าเสียก็อพยพครอบครัวพากันหนีไปเมืองเตียว เข้าอาศัยอยู่กับเตียวสินซึ่งเป็นที่เพงง่วนกุน
ฝ่ายงุยอันลี้อ๋องแจ้งว่างุยฉีหนีไปอยู่เมืองเตียวก็ดีใจ จึงสั่งให้เอาทองร้อยก้อน แพรพันไม้กับครอบครัวฮวมซุย ให้ขุนนางคนหนึ่งซึ่งมีสติปัญญานำไปเมืองจิ๋นให้ฮวมซุย แล้วสั่งไปให้แจ้งความซึ่งงุยฉีหนีด้วย ขุนนางซึ่งมีสติปัญญาก็คำนับลาพาครอบครัวของฮวมซุยกับสิ่งของทั้งปวงรีบไป ครั้นถึงเมืองจิ๋นก็เข้าไปคำนับเสียงก๊กฮวมซุยแล้วบอกว่า เจ้าเมืองงุยให้ข้าพเจ้านำครอบครัวของท่านกับสิ่งของมาคำนับ ด้วยงุยฉีเป็นคนผิดบัดนี้หนีไปอยู่เมืองเตียวแล้ว ซึ่งจะเอาตัวส่งไปนั้นไม่ได้ ขอท่านจงได้เมตตาเถิด เสียงก๊กฮวมซุยแจ้งดังนั้นจึงสั่งให้ รับของกับครอบครัวของตัวไว้แล้วก็เอาความไปแจ้งแก่เจ้าเมืองจิ๋นทุกประการ
เจียวเสียงอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นได้ยินฮวมซุยว่างุยฉีหนีไปอยู่เมืองเตียวก็โกรธ จึงเอามือตบโต๊ะลงแล้วว่า เราจะเล่าความหลังให้ท่านฟัง เรากับเตียวฮุยอ๋องมาทำไมตรีกันที่เมืองจิ๋นตี๋ เราให้กงซุนอิหยินไปเป็นจำนำด้วย ครั้นเราให้ฮูเซียงไปตีเมืองหัน เจ้าเมืองเตียวก็เสียสัจ ใช้ให้เตียวเฉียมาช่วยตีทัพฮูเซียงแตกมา มิหนำซ้ำรับงุยฉีซึ่งเป็นคนผิดไว้ครั้งนี้ เหมือนเขาทำความแค้นให้แก่เราก็เหมือนกัน จำจะยกไปตีเมืองเตียวทวงเอาศีรษะงุยฉีให้จงได้จึงจะชอบ เจ้าเมืองจิ๋นก็ลุกเดินออกมาสั่งให้ตีกลอง เรียกทหารยี่สิบหมื่นมาพร้อมแล้วก็จัดเข้าขบวนศึกเสร็จ จึงสั่งให้อองเจี๋ยนเป็นทัพหน้า เจ้าเมืองจิ๋นก็คุมทหารยี่สิบหมื่นเป็นทัพหลวงรีบยกไป ครั้นมาถึงแดนเมืองเตียวก็ให้ทหารเข้าระดมตีหัวเมืองได้หลายตำบล
ขณะนั้นเตียวฮุยอ๋องเจ้าเมืองเตียวตาย บุตรชื่อไทจูต้งเป็นเจ้าเมืองแทนบิดา ชื่อเฮาเซงอ๋องแต่ยังเป็นเด็กอยู่ ฮุยบุนไทโหผู้เป็นมารดาว่าราชการแทน ครั้นแจ้งว่าเมืองจิ๋นยกมาตีเมืองขึ้นแตกสามตำบลก็ตกใจ ลันเซียงหยีชราลงออกเสียจากที่ไจเสียงแล้วหงอเคงได้เป็นไจเสียง ฮุยบุนไทโหจึงเรียกหงอเคงเข้ามาปรึกษาว่าเจ้าเมืองจิ๋นยกมาตีหัวเมืองเรา ท่านจะคิดประการใด
หงอเคงแจ้งดังนั้น จึงสั่งให้เลียมโพยกไปขัดทัพเมืองจิ๋นไว้ เลียมโพคำนับลามาจัดทหารพร้อมก็รีบยกไปตั้งขัดทัพเมืองจิ๋น อยู่ได้ประมาณเดือนหนึ่งแล้วหาอาจจะยกมารบไม่ หงอเคงแจ้งดังนั้นก็เข้าไปปรึกษาฮุยบุนไทโหว่า ข้าพเจ้าจะขอเอาเซียงอันกุ๋นบุตรท่านไปเป็นจำนำไว้ที่เมืองเจ๋ จะได้ขอกองทัพมาช่วย ฮุยบุนไทโหแจ้งดังนั้นก็คิดว่ามารดาเจ้าเมืองเจ๋ก็เป็นญาติของเรา จึงยอมให้หงอเคงพาเอาเซียงอันกุ๋นผู้บุตรไป หงอเคงก็คำนับลาฮุยบุนไทโหพาเซียงอันกุ๋นรีบไปเมืองเจ๋ จึงเข้าไปคำนับเจ้าเมืองเจ๋เล่าความให้ฟังทุกประการ ไทจูเกียนเจ้าเมืองเจ๋ยังเด็กอยู่ กุนอองไทโหผู้มารดาว่าราชการแทน ครั้นแจ้งว่าเจ้าเมืองเตียวให้เซียงอันกุ๋นมาเป็นจำนำจะขอกองทัพไปช่วย จึงคิดว่าฮุยบุนไทโหภรรยาเจ้าเมืองเตียวเป็นพี่น้องกันก็จัดทหารให้ แล้วสั่งชั่นตั๋นให้เป็นแม่ทัพคุมทหารสิบหมื่นยกไปช่วยเจ้าเมืองเตียว ชั่นตั๋นก็คำนับลาพาหงอเคงออกมาจัดทัพเสร็จแล้วก็รีบยกไป
ฝ่ายอองเจี๋ยนซึ่งเป็นทัพหน้าเมืองจิ๋น รู้ข่าวว่าเจ้าเมืองเจ๋ยกทัพมาช่วยเจ้าเมืองเตียวก็ตกใจ จึงเอาความไปแจ้งแก่เจียวเสียงอ๋องทุกประการ แล้วจึงว่า ซึ่งท่านจะตั้งมั่นอยู่ฉะนี้ ถ้าทัพเมืองเจ๋มาสมทบทัพเมืองเตียวเข้าเห็นเราจะสู้ไม่ได้ จงยกทัพกลับไปเมืองเสียก่อน ต่อได้ทีเมื่อใดจึงยกมา เจียวเสียงอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านจะให้เรากลับไปเมืองครั้งนี้ ศีรษะงุยฉียังไม่ได้มา เราจะแบกหน้าไปดูฮวมซุยอย่างไรได้ จำจะให้คนเข้าไปทวงเอาตัวงุยฉีมาให้ได้จึงจะชอบ แล้วเจ้าเมืองจิ๋นจึงสั่งขุนนางผู้ฉลาดเจรจาให้เข้าไปทวงเอาตัวงุยฉีซึ่งเตียวสินรับเอาไว้ให้จงได้
ขุนนางผู้ฉลาดก็คำนับรับคำเจ้าเมืองจิ๋นแล้วก็รีบไปยังเมืองเตียว จึงให้ขุนนางในตำแหน่งพาแขกบ้านแขกเมืองนำเข้าไปหาเจ้าเมืองเตียวยังที่ว่าราชการ แล้วคำนับตามธรรมเนียม จึงว่าเจ้าเมืองจิ๋นให้ข้าพเจ้ามาว่า ซึ่งยกทัพมาตีหัวเมืองเตียวนั้น ใช่จะปรารถนาทรัพย์สมบัติหามิได้ ยกมาทั้งนี้ก็เพราะงุยฉีผู้ผิดหนีมาแต่เมืองงุยเข้าอาศัยอยู่กับท่านเตียวสิน แม้นท่านส่งตัวงุยฉีให้แล้วนายข้าพเจ้าก็จะยกทัพกลับไป เตียวสินอยู่ที่นั่นแกล้งทำเป็นไม่รู้จึงว่าผู้ใดไปบอกเจ้าเมืองจิ๋นว่าเรารับงุยฉีไว้นั้นความอันนี้หาจริงไม่ ท่านจงกลับไปบอกเถิดว่าเรามิได้รับไว้ อย่าให้นายท่านเชื่อถือคำผู้อื่นเลย ขุนนางเมืองจิ๋นเห็นเตียวสินไม่รับก็คำนับลากลับเอาความมาแจ้งกับเจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องก็ใช้ให้ขุนนางผู้นั้นกลับเข้าไปซักอีกถึงสามครั้ง เตียวสินก็มิได้รับยืนคำอยู่ ขุนนางเมืองจิ๋นก็เอาความมาแจ้งกับเจ้าของตัวทุกประการ
เจียวเสียงอ๋องแจ้งดังนั้นก็คิดวิตกอยู่ด้วยไม่ได้ศีรษะงุยฉี ก็นั่งตรึกตรองอึดอัดใจนักจนหน้าแดงไปเป็นครู่แล้วคิดได้ จึงสั่งให้เขียนหนังสือฉบับหนึ่งเป็นกลอุบายบอกเลิกทัพให้ขุนนางถือไปให้เจ้าเมืองเตียวเป็นใจความว่า เจ้าเมืองจิ๋นกับเจ้าเมืองเตียวผู้ตายนั้นได้เป็นไมตรีกันแล้วแต่ครั้งตำบลจิ๋น ครั้งนี้จะยกมาชิงสมบัติเมืองเตียวนั้นหามิได้ ด้วยคนทั้งปวงเขาเห็นว่างุยฉีหนีมาอยู่ที่บ้านเตียวสินซึ่งเป็นที่เพงง่วนกุนจึงได้ยกมาทวงเอาตัว งุยฉีมิได้อยู่ในเมืองแล้ว เราก็จะยกทัพกลับไป หัวเมืองสามตำบลซึ่งตีไว้ได้นั้นจะคืนให้กับท่าน จงเป็นไมตรีกันตามเดิมเถิด
ฮุยบุนไทโหกับขุนนางทั้งปวงก็ปรึกษากันทำหนังสือขอบคุณและยอเกียรติยศให้ชอบใจ เข้าผนึกแล้วส่งให้ผู้ถือหนังสือ ผู้ถือหนังสือก็เอาหนังสือกลับมาคำนับส่งให้เจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นฉีกผนึกออกอ่านแจ้งความแล้วก็ตรวจเตรียมทหารพร้อมกันแล้วก็ยกไป
ขณะนั้นชั่นตั๋นแจ้งว่าเจ้าเมืองจิ๋นยกกลับไปแล้วก็ยกทัพกลับไปเมืองเจ๋ เจียวเสียงอ๋องครั้นเดินทัพมาถึงหํ้าก๊กกวนจึงเขียนหนังสืออีกฉบับหนึ่งให้ม้าใช้รีบไปให้กับเตียวสิน เป็นใจความสรรเสริญเตียวสินว่าสัตย์ซื่อทั้งมีสติปัญญามาก เรานี้อยากจะใคร่ชอบพอกันไว้จะได้พึ่งกันภายหน้า จึงให้มีหนังสือมาเชิญท่านไปเสพสุราพูดจากันเล่นที่เมืองเราสักสิบวันเถิด เตียวสินแจ้งดังนั้นก็เอาหนังสือเข้าไปให้ฮุยบุนไทโห ผู้ได้ว่าราชการแทนเจ้าเมือง ฮุยบุนไทโหก็เชิญขุนนางเข้ามาพร้อมกันจึงเอาหนังสือนั้นอ่านให้ฟัง แล้วว่าซึ่งเจ้าเมืองจิ๋นจะให้เตียวสินไปกินโต๊ะที่เมืองเขา ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด
หงอเคงจึงว่า อันเจ้าเมืองจิ๋นนี้ ข้าพเจ้าดูใจเหมือนหนึ่งเสือย่อมจะคอยทำร้ายสัตว์อยู่เป็นธรรมดา ครั้งก่อนเบ๋งเสียงกุ๋นเจ้าเมืองจิ๋นให้มาเชิญไปเมือง แล้วกลับคิดร้ายเบ๋งเสียงกุ๋น เบ๋งเสียงกุ๋นเจียนจะกลับมาเมืองมิได้ แม้นจะให้เตียวสินไปครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย เลียมโพจึงว่าซึ่งท่านว่านั้นหาชอบไม่ ครั้งก่อนลันเซียงหยีไปทวงเอาแก้วแต่ผู้เดียว ก็คืนเอาแก้วของเรากลับมาได้ ภายหลังชาวเมืองจิ๋นก็มิอาจมายํ่ายีเมืองเตียวด้วยเกรงฝีปากลันเซียงหยีอยู่ แม้นท่านมิให้เตียวสินไปครั้งนี้ ก็เห็นว่าชาวเมืองจิ๋นจะประมาทได้ ฮุยบุนไทโหกับขุนนางทั้งปวงก็เห็นพร้อมด้วยกัน เตียวสินก็คำนับลาฮุยบุนไทโหมาจัดแจงบ่าวของตัวพร้อมแล้วก็รีบไปกับผู้ถือหนังสือ เตียวสินครั้นมาถึงเมืองจิ๋น คนที่พามานั้นก็นำเข้าไปคำนับเจียวเสียงอ๋อง เจียวเสียงอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นเห็นดังนั้นมีความยินดีนักจึงต้อนรับกันตามธรรมเนียม แล้วสั่งให้ยกโต๊ะมาเลี้ยง จึงชวนเตียวสินเสพสุราพูดจากันเล่นเป็นหลายวัน
เวลาวันหนึ่งเจ้าเมืองจิ๋นกินโต๊ะอยู่ด้วยเตียวสิน เจ้าเมืองจิ๋นรินสุราใส่ถ้วยส่งให้เตียวสินแล้วจึงว่า ท่านกับเราเสพสุรามาด้วยกันก็หลายเวลาแล้ว บัดนี้เรามีความข้อหนึ่งจะพูดด้วยท่าน ท่านจงกินสุราถ้วยนี้เสียก่อนเถิด เตียวสินก็คำนับรับถ้วยสุรามากินหมดแล้ว จึงว่าท่านจะพูดสิ่งใดก็พูดเถิด เจ้าเมืองจิ๋นจึงว่า แต่ครั้งแผ่นดินห้องสิน จิ้นบุนอ๋องได้เกียงจูแหยมาไว้เป็นที่ปรึกษา ฝ่ายเมืองเจ๋แต่ก่อนเล่า เจ๋ฮวนก๋งได้กวนต๋งมาเป็นที่ปรึกษา บ้านเมืองจึงได้ความสุข เจ้าเมืองทั้งสองก็รักที่ปรึกษาทั้งสองคนนั้น ตามใจมิให้ขัดเคืองสิ่งใด ครั้งนี้เราได้ฮวมซุยมาเป็นที่ปรึกษาเมืองเราก็มีความสุข เหมือนหนึ่งกวนต๋งกับเกียงจูแหย ครั้งนี้ฮวมซุยมีความแค้นงุยฉี งุยฉีก็หนีไปที่บ้านท่าน แม้นท่านให้คนไปเอาตัวงุยฉีมาให้เราได้ คุณท่านก็จะมีแก่เราเป็นอันมาก
เตียวสินจึงตอบว่า อันธรรมดาเพื่อนฝูงก็ย่อมเป็นที่พึ่งกันเมื่อยามยาก ครั้งนี้งุยฉีเพื่อนข้าพเจ้าถึงจะเห็นมาอยู่ที่บ้านจริงก็หาอาจจับมาส่งท่านได้ไม่ นี่งุยฉีมิได้มาอยู่ที่บ้านดอก เป็นความจริงของข้าพเจ้าดังนี้ เจียวเสียงอ๋องได้ฟังเตียวสินว่าถึงจะอยู่จริงก็ไม่ส่ง ยิ่งมีความแค้นเป็นอันมาก จึงว่าแก่เตียวสินว่า แม้นท่านมิส่งตัวงุยฉีมาให้เรา เราก็ไม่ให้ท่านกลับไปเมือง เตียวสินได้ฟังดังนั้นมิได้กลัว จึงตอบว่าซึ่งจะให้ไปและมิให้ไปนั้นก็ตามใจท่านเถิด ท่านให้ไปเรียกเรามากินโต๊ะแล้วจะฆ่าเราเสียเราก็มิได้เสียดายชีวิต คนทั้งปวงก็ย่อมรู้ดอกว่าผู้ใดผิดและชอบ เจ้าเมืองจิ๋นเห็นว่าเตียวสินไม่ยอม ก็ให้ทหารคุมเอาตัวไปขังไว้ที่กงก๊วนในเมืองหํ้าเอี๋ยง แล้วเจียวเสียงอ๋องจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งให้ขุนนางถือไปให้เจ้าเมืองเตียว ขุนนางนั้นก็รับหนังสือแล้วคำนับลาออกมาขึ้นม้าเร็วรีบไปถึงเมืองเตียว จึงให้ขุนนางเจ้าพนักงานนำเอาหนังสือเข้าไปให้แก่เตียวเฮาเซงอ๋องเจ้าเมืองเตียว
เตียวเฮาเซงอ๋องเจ้าเมืองเตียวรับเอาหนังสือมาฉีกผนึกออกอ่านใจความว่า เตียวสินเป็นที่เพงง่วนกุน อาของท่านตกไปอยู่เมืองจิ๋น ฮวมซุยโกรธงุยฉี งุยฉีจึงหนีมาอยู่ที่บ้านเตียวสิน ท่านจงจับตัวงุยฉีตัดศีรษะส่งไปเมืองจิ๋น เราจึงจะให้เตียวสินมา แม้นมิได้ศีรษะงุยฉีส่งไป เราก็จะยกทัพใหญ่มาตีเมืองเตียวให้แตกจงได้ ทั้งตัวเตียวสินอาท่านเราก็มิให้กลับไปเมือง เจ้าเมืองเตียวแจ้งดังนั้นก็ตกใจจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า เจ้าเมืองจิ๋นคุมตัวเตียวสินไว้จะแลกศีรษะงุยฉี อันงุยฉีนี้ก็มิใช่เป็นคนอยู่ในเมืองเตียว หนีมาแต่เมืองงุยต่างหาก เตียวสินอาเรานั้นตกไปอยู่เมืองจิ๋น จำจะต้องตัดศีรษะงุยฉีส่งไปเปลี่ยนเอาตัวเตียวสินมาจึงจะชอบ เตียวเฮาเซงอ๋องก็สั่งทหารจะให้ไปจับตัวงุยฉี
ขณะนั้นมีผู้เอาความไปบอกงุยฉี งุยฉีมีความกลัวเป็นอันมากจึงรีบไปหาหงอเคงซึ่งเป็นที่ไจเสียง จะให้ช่วยว่ากล่าวเจ้าเมืองเตียวอย่าให้ส่งตัว หงอเคงจึงว่าแก่งุยฉีว่า ซึ่งจะห้ามเจ้าเมืองนั้นมิได้ ด้วยเขากลัวเจ้าเมืองจิ๋นราวกับเสือที่ไหนจะฟัง ท่านจงหนีกลับไปเมืองงุยเข้าหาสินเลงกุ๋น ด้วยเขาเป็นคนกว้างอยู่เห็นจะสงเคราะห์ท่านดอก ทั้งเป็นน้องเขยเตียวสินด้วย งุยฉีจึงว่าตัวข้าพเจ้าเป็นคนโทษ จะกลับไปแต่ผู้เดียวเห็นจะไม่ได้ หงอเคงจึงตอบว่าท่านอย่าวิตกเลยเราจะไปด้วย หงอเคงก็เขียนหนังสือฉบับหนึ่งส่งให้คนใช้ไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเตียว แล้วหงอเคงกับงุยฉีสองคนก็พากันหนีออกจากเมืองเตียวรีบไปเมืองงุย ครั้นมาถึงนอกกำแพงเมืองงุย หงอเคงจึงว่าแก่งุยฉีว่า ท่านจงหยุดอยู่ที่นี่ก่อน เราจะเข้าไปหาสินเลงกุ๋น ถ้ารับธุระเราแล้ว เราจึงจะกลับมารับท่าน ว่าแล้วหงอเคงก็รีบเดินเข้าไปในเมืองงุยแต่ผู้เดียว ครั้นมาถึงบ้านสินเลงกุ๋นก็ขอกระดาษนายประตูมาเขียนหนังสือบอกชื่อและแซ่ว่ามาแต่เมืองเตียวส่งให้นายประตู นายประตูก็รับเอาหนังสือเข้าไปคำนับส่งให้สินเลงกุ๋น
ขณะนั้นสินเลงกุ๋นกำลังสระผมอยู่ จึงรับหนังสือมาอ่านแจ้งดังนั้นก็ตกใจ คิดว่าหงอเคงคนนี้เป็นที่ไจเสียงอยู่เมืองเตียวทิ้งที่ไจเสียงเสียมาหาเรานี้ เห็นจะมีข้อความสำคัญเป็นมั่นคง จึงสั่งนายประตูให้ออกไปบอกว่า เรายังสระผมไม่แล้ว จงนั่งคอยอยู่ที่นั่นก่อน นายประตูก็เอาความมาบอกหงอเคง แล้วก็เชิญให้นั่งที่สมควร นายประตูจึงถามว่า ท่านนี้มีธุระอะไรหรือ หงอเคงจึงเล่าความให้ฟังว่า งุยฉีซึ่งหนีไปจากเมืองงุย ฮวมซุยยังมีความพยาบาทอยู่ งุยฉีก็หามีที่พึ่งไม่จึงกลับมาจะอยู่ด้วยนายท่าน ถึงตัวข้าพเจ้าเป็นไจเสียงก็จริง แต่หารักทำราชการในเมืองเตียวไม่ มาทั้งนี้ก็จะอยู่ด้วยนายท่านเป็นสองคนกับงุยฉี นายประตูแจ้งดังนั้นก็เอาเนื้อความหงอเคงเข้าไปบอกแก่สินเลงกุ๋นทุกประการ สินเลงกุ๋นได้ยินนายประตูออกชื่องุยฉีก็นึกกลัวเจ้าเมืองจิ๋น ครั้นจะรับธุระงุยฉีไว้ก็ไม่ได้ ครั้นจะมิรับไว้เล่าก็นึกเสียดายหงอเคงซึ่งเป็นที่ไจเสียงนัก แต่นิ่งตรึกตรองอยู่ยังหาตกลงไม่
ฝ่ายหงอเคงเห็นนายประตูเข้าไปบอกสินเลงกุ๋นหายไปก็รู้ว่าสินเลงกุ๋นกลัวเจ้าเมืองจิ๋น เห็นจะไม่รับเราไว้เป็นแน่แล้วจึงไม่ออกมาหา หงอเคงมีความแค้นเป็นอันมาก ก็ลุกจากเก้าอี้รีบกลับไป ส่วนสินเลงกุ๋นรู้ว่าหงอเคงไปแล้ว จึงถามเกาเซงซึ่งเป็นแคะเคงที่ปรึกษาของตัวว่า อันหงอเคงคนนี้เป็นคนมีสติปัญญาหรือไม่ เกาเซงได้ยินสินเลงกุ๋นถามดังนั้นก็หัวเราะ จึงกล่าวคำว่าท่านไม่รู้จักคนดีหรือจึงถาม อันหงอเคงคนนี้ได้เป็นไจเสียงอยู่เมืองเตียวก็เพราะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดจึงได้เป็นขุนนาง ซึ่งทิ้งที่ไจเสียงเสียมาหาท่านนี้ก็เพราะด้วยงุยฉีเพื่อนกันเป็นคนผิดหนีไปพึ่งเมื่อตกยากจึงต้องติดตามกันมา แม้นจะหาคนเช่นนี้ในแผ่นดินจะมีสักกี่คน ท่านจงตรึกตรองดูเถิด สินเลงกุ๋นแจ้งดังนั้นคิดได้เสียใจนัก นึกอายคนสนิทก็ลุกจากที่สระผมรีบแต่งตัวขึ้นเกวียนตามหงอเคงไป
ฝ่ายงุยฉีตั้งใจคอยหงอเคงอยู่ก็หาเห็นกลับมาไม่ จึงนึกว่าหงอเคงบอกเราแต่ก่อนว่าสินเลงกุ๋นเป็นคนกว้างขวางคงจะรับธุระเรา ซึ่งหงอเคงเข้าไปหาช้านานแล้วยังไม่กลับมา เห็นจะไม่รับเราไว้ดอกกระมัง ครั้นเห็นหงอเคงเดินร้องไห้มาก็เสียใจ หงอเคงเดินน้ำตาไหลเข้าไปบอกงุยฉีว่าสินเลงกุ๋นนี้หาเป็นลูกผู้ชายได้ไม่ ด้วยกลัวเจ้าเมืองจิ๋นอยู่จึงไม่นับถือเราจะอยู่พึ่งบุญเขาทำไม ท่านจงมาไปเมืองฌ้อด้วยกันเถิด
งุยฉีได้ฟังดังนั้นก็ถอนใจใหญ่ แล้วว่าแต่ก่อนข้าพเจ้าเหมือนคนไม่มีจักษุ จึงมิได้รู้จักฮวมซุยว่ามีสติปัญญา มาทำโทษกับเขาจนพลอยให้เตียวสินตกไปอยู่เมืองจิ๋นได้ความลำบาก ทั้งตัวท่านก็มาตกยากถึงเพียงนี้ ยังจะให้ต้องพาไปเมืองฌ้ออีกนั้นหาควรไม่ ถ้าเจ้าเมืองฌ้อมิรับไว้ท่านก็จะได้ความทุกข์เป็นอันมาก ตัวข้าพเจ้าจะอยู่ไปไยให้ท่านได้ความลำบาก ตายเสียดีกว่า ว่าแล้วงุยฉีก็ชักมีดออกเชือดคอตัวเอง หงอเคงเห็นดังนั้นก็ตกใจ ผวาเข้าไปจะจับมืดก็หาทันไม่ งุยฉีก็ล้มลงขาดใจตายอยู่กับที่ หงอเคงเห็นงุยฉีตายร้องไห้รักเป็นอันมาก ขณะนั้นหงอเคงเห็นสินเลงกุ๋นขับเกวียนตามมายิ่งแค้นนักจึงหลบตัวเข้าไปซ่อนเสีย
ฝ่ายสินเลงกุ๋นขับเกวียนตามมาและหาหงอเคงก็ไม่พบ เห็นแต่ศพงุยฉีทิ้งอยู่รู้ว่าเชือดคอตายก็ตกใจลงจากเกวียนตรงเข้ากอดศพงุยฉีไว้ร้องไห้รำพันว่า ซึ่งท่านตายครั้งนี้ก็เพราะเรามิได้รับตัวไว้ ความชั่วของเราครั้งนี้มีเป็นอันมาก แล้วสินเลงกุ๋นก็จัดแจงฝังศพงุยฉีอยู่
ฝ่ายเจ้าเมืองเตียวให้ทหารไปจับงุยฉีก็หาพบไม่ กลับเอาความมาบอก คนใช้ของหงอเคงก็เอาหนังสือมาให้เจ้าเมืองเตียว เจ้าเมืองเตียวแจ้งดังนั้นก็รู้ว่าหงอเคงพางุยฉีหนีไปจากเมือง ก็คงจะไปเมืองงุยเป็นมั่นคง จึงสั่งขุนนางซึ่งพูดจาดีทั้งสี่คนให้ไปเที่ยวค้นทั้งสี่ทิศ ขุนนางทั้งสี่ก็คำนับลามาขึ้นม้าเร็วแยกกันออกจากประตูเมืองเตียวทั้งสี่แห่ง ต่างคนก็เที่ยวค้นสืบหาตัวงุยฉีกับหงอเคงไปทุกตำบล ส่วนขุนนางผู้หนึ่งซึ่งไปสืบแดนเมืองงุยครั้นแจ้งว่างุยฉีเชือดคอตาย จึงเข้าไปคำนับเจ้าเมืองงุยบอกความว่า เตียวเฮาเซงอ๋องเจ้าเมืองเตียวรู้ว่างุยฉีตาย จึงให้ข้าพเจ้ามาขอศีรษะไปแลกตัวเตียวสิน งุยอันลี้อ๋องแจ้งดังนั้นจึงสั่งให้คนไปบอกสินเลงกุ๋นแล้วให้หาตัวมาด้วย คนใช้ก็ไปแจ้งกับสินเลงกุ๋น
ขณะนั้นสินเลงกุ๋นกำลังจะฝังศพงุยฉีอยู่ พอคนใช้มาบอกก็รีบเข้าไปคำนับงุยอันลี้อ๋องแล้วว่าหายอมให้ศีรษะงุยฉีไม่ ขุนนางเมืองเตียวจึงตอบว่า อันเตียวสินกับท่านก็มิใช่คนอื่น ซึ่งตกไปอยู่เมืองจิ๋นก็เพราะรักงุยฉีมิได้ส่งตัวไปด้วยยังมีชีวิตอยู่ นี่งุยฉีก็ตายแล้วท่านจะมารักศพยิ่งกว่าคนเป็นหาชอบไม่ นายข้าพเจ้าให้มาขอแต่ศีรษะจะไปเปลี่ยนตัวเตียวสินซึ่งยังตกอยู่เมืองจิ๋น ท่านจงให้ศีรษะงุยฉีไปจึงจะควร สินเลงกุ๋นก็เห็นชอบด้วย จึงไปตัดเอาศีรษะงุยฉีใส่หีบมาให้ ส่งขุนนางที่มาแต่เมืองเตียวกลับไปเสร็จแล้วก็จัดแจงฝังศพงุยฉีตามสมควร
ฝ่ายหงอเคงตั้งแต่หนีสินเลงกุ๋นมาก็หาเข้าทำราชการไม่ ไปอาศัยอยู่ที่เขาแปะหุมซัว ฝ่ายเตียวเฮาเซงอ๋องเจ้าเมืองเตียว ครั้นได้ศีรษะงุยฉีมาแล้วก็ให้คนรีบเอาไปให้เจ้าเมืองจิ๋น จะขอคืนเอาตัวเตียวสินมา เจียวเสียงอ๋องครั้นได้ศีรษะงุยฉีดีใจนัก จึงสั่งคนใช้ให้ยกศีรษะงุยฉีไปให้ฮวมซุย ฮวมซุยเห็นดังนั้นจึงว่า งุยฉีตีเราทั้งซ้ำเอาไปทิ้งที่เขาถ่ายอุจจระ ครั้งนี้งุยฉีตายแล้วจำจะให้กินมูตรเราทุกวันจึงจะสมน้ำหน้า ฮวมซุยก็สั่งให้คนใช้เอาศีรษะงุยฉีไปโกนผมลงรักตากแดดแห้งไว้รองมูตรของตัว
ฝ่ายเจ้าเมืองจิ๋นก็จัดแจงส่งเตียวสินคืนกลับไป เตียวสินครั้นมาถึงเมืองเตียว เจ้าเมืองเตียวก็ให้เป็นที่ไจเสียงแทนหงอเคง ฝ่ายฮวมซุยครั้นรุ่งเช้าไปคำนับเจ้าเมืองจิ๋นแล้วจึงว่า แต่ก่อนข้าพเจ้าเป็นคนจนหามีผู้ใดนับถือไม่ ท่านชุบเลี้ยงให้ข้าพเจ้าเป็นที่ไจเสียงขึ้น ทั้งแก้แค้นแทนข้าพเจ้าครั้งนี้คุณหาที่สุดไม่ แต่ข้าพเจ้าอยู่ในเมืองงุยนั้นถ้าไม่ได้พึ่งแต้อันเผงแล้วก็คงจะตาย ประการหนึ่งเฮงกีไม่รับมาข้าพเจ้าก็หาได้มาเป็นข้าท่านไม่ คนสองคนนี้มีคุณเป็นอันมาก ซึ่งเบี้ยหวัดของข้าพเจ้าได้มากน้อยเท่าใด ท่านจงโปรดยกให้แก่เฮงกีกับแต้อันเผงเถิด ข้าพเจ้าจึงจะตายเป็นสุข เจียวเสียงอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่าเราลืมไปดอก ต่อท่านว่าจึงนึกได้ ว่าแล้วก็ตั้งให้เฮงกีขึ้นเป็นที่ฮอตงซิว ให้ไปกินเมืองฮอตง แต้อันเผงนั้นตั้งเป็นที่เพียงเจียงกุ๋นทหารเอก แล้วจัดแจงที่และเครื่องใช้ให้แต้อันเผงตามสมควร
ครั้นเสร็จจึงปรึกษาฮวมซุยว่า เราจะยกไปตีเมืองหัน เมืองงุย กับจะทำไมตรีกับเมืองฌ้อ เมืองเจ๋ในครั้งนี้ ท่านจะเห็นเป็นประการใด ฮวมซุยจึงตอบว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่ากุนอองไทโหมารดาเจ้าเมืองเจ๋มีสติปัญญามาก ท่านจงเอาแก้วซึ่งเป็นกำไลพวงเก้าเส้นผูกกลเม็ดไว้แล้วเอาไหมสอดเข้าในวงนั้น ถ้าคนไม่มีสติปัญญาแล้วก็เห็นจะแก้ของเราไม่ออก แม้นท่านเอาไปลองสติปัญญากุนอองไทโหดู คงจะรู้ว่าดีและชั่ว เจ้าเมืองจิ๋นเห็นชอบด้วยจึงจัดแจงทำแก้วตามคำฮวมซุยเสร็จแล้ว ก็สั่งให้จออิวรีบเอาไปให้มารดาเจ้าเมืองเจ๋ แล้วบอกว่าใครมีสติปัญญาแก้ได้ เจ้าเมืองจิ๋นก็จะยอมเป็นเมืองขึ้นกับคนนั้น กุนอองไทโหแจ้งความแล้วก็รับเอากำไลซึ่งใส่ไหมร้อยไว้มาพิจารณาดูก็หาเห็นรอยที่จะแก้ได้ไม่ จึงสั่งหญิงคนใช้ให้หยิบเอากระบองทองออกมาส่งให้กุนอองไทโห กุนอองไทโหก็ทุบกำไลนั้นป่นไปแล้วบอกแก่ผู้เอากำไลมาว่า ให้บอกเจ้าเมืองจิ๋นเถิดว่าเรานี้คือผู้หญิงแก่ มีสติปัญญาแก้ได้แต่อย่างนี้ ผู้เอากำไลมาก็คำนับลากลับไปเมืองจิ๋น เอาความเข้าไปแจ้งแก่เจียวเสียงอ๋องกับฮวมซุยทุกประการ ฮวมซุยก็สรรเสริญกุนอองไทโหว่ามีสติปัญญา แล้วว่าเราจะยกไปตีเมืองเจ๋นั้นเห็นจะไม่ได้ จงทำไมตรีกันไว้จึงจะเป็นสุข เจ้าเมืองจิ๋นเห็นชอบด้วย ก็เขียนหนังสือให้คนถือไปทำไมตรีกับเมืองเจ๋ แต่นั้นมาเมืองเจ๋กับเมืองจิ๋นก็สิ้นอริต่อกัน ภายหลังเจ้าเมืองจิ๋นจึงให้คนไปทำไมตรีกับเมืองฌ้อด้วย บ้านเมืองก็หามีศึกไม่ เป็นสุขมาช้านานถึงสี่สิบปี