- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๓๒
ขณะนั้นพระเจ้าจิวเซียงอ๋องเสวยราชย์ศักราชได้แปดปี เจ๋ฮวนก๋งเจ้าเมืองเจ๋ได้สี่สิบสองปี ราชการในเมืองเจ๋สิทธิ์ขาดอยู่กับเปาซกแหย ขุนนางผู้ใหญ่ได้บังคับบัญชาสิ้น ราษฎรชาวเมืองเจ๋ก็อยู่เย็นเป็นสุขมาช้านาน แต่เจ๋ฮวนก๋งนั้นตั้งแต่ขับเอ็ดแหย ซูเตียน ไคหอง ไปเสียจากเมืองก็หามีความสบายไม่ ด้วยเอ็ดแหยเคยตบแต่งอาหารที่ชอบปากให้กิน ซูเตียงไคหองเล่าก็ช่างพูดฟังเล่นเป็นที่ชอบอัชฌาสัย เจ๋ฮวนก๋งคิดถึงคนทั้งสามมิได้ขาด ทั้งแก่ตัวลงด้วยอาหารกินนั้นน้อยลงทุกวัน บุตรภรรยาทั้งปวงย้ายทำกับข้าวของกินต่างๆ กินก็มิได้มีรสชอบปาก จนเจ๋ฮวนก๋งผ่ายผอมผิดกว่าแต่ก่อน ครั้นจะรับเอ็ดแหยกลับคืนมาดังเก่า ก็กลัวเปาซกแหยขุนนางผู้ใหญ่จะไม่ยอม นางเตียวฮวยกีผู้ภรรยารู้อัชฌาสัยจึงว่า บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นท่านแก่ตัวลงหนัก จะกินข้าวปลาอาหารก็มิใคร่จะได้ โรคชราเล่าก็เกิดอยู่เนืองๆ คนทั้งปวงก็ตบแต่งอาหารให้กินก็ไม่ชอบปากท่าน จงให้ไปรับเอาเอ็ดแหยเข้ามาเถิด จะได้ปฏิบัติให้ชอบใจท่าน
เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า เราคิดอยู่ว่าจะให้หาเอ็ดแหย ซูเตียว ไคหองกลับมาแต่ขัดอยู่ด้วยเปาซกแหยจะไม่ยอม นางเตียวฮวยกีจึงว่า เปาซกแหยเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ยังมีคนสนิทสำหรับใช้สอย เหตุใดท่านมิได้ห้ามปราม ตัวท่านเป็นถึงเจ้าเมืองทั้งชราอยู่แล้ว ชอบแต่จะหาความสุขใส่ตัวบ้าง จะมาสู้อดออมกลัวขุนนางจะโกรธอยู่ฉะนี้ไม่ควร ขอให้รับเอ็ดแหยเข้ามาผู้เดียวก่อน ซูเตียว ไคหองนั้นก็คงจะติดตามกันเข้ามาเอง เจ๋ฮวนก๋งเห็นชอบด้วยจึงสั่งให้ไปหาเอ็ดแหยมา
เปาซกแหยจึงเข้าไปหาเจ๋ฮวนก๋งแล้วว่า เหตุใดท่านให้ไปรับเอาเอ็ดแหยมาอีกเล่า ลืมคำกวนต๋งผู้ตายสั่งไปหรือ อนึ่งเมื่อจะตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นขุนนาง ก็ได้ว่าให้ท่านขับคนทั้งสามเสีย ข้าพเจ้าจึงยอมทำราชการ เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า เอ็ดแหย ซูเตียว ไคหอง เป็นคนซื่อสัตย์รักเราอยู่ ซึ่งกวนต๋งผู้ตายสั่งให้เราขับเสียนั้นเพราะไม่รู้จักนํ้าใจคนทั้งสาม เจ๋ฮวนก๋งซ้ำให้ไปหาตัวซูเตียว ไคหองเข้ามา หาฟังคำเปาซกแหยไม่ เปาซกแหยก็เสียใจกลับมาบ้านตั้งแต่ทุกข์ตรอมใจไม่เป็นกินเป็นนอน บังเกิดโรคกำเริบมากขึ้นทุกวัน เปาซกแหยก็ตาย เอ็ดแหย ซูเตียว ไคหอง ก็ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่หามีผู้ใดเกินไม่ ยิ่งกำเริบอิสริยยศบังคับราชการบ้านเมืองตามอำเภอใจ ราษฎรแลขุนนางได้ความเดือดร้อน ถ้าผู้ใดฝากตัวให้ใช้สอยก็ยกย่องเสนอความชอบ ผู้ที่ไม่อ่อนน้อมนั้นก็แกล้งพาลเอาผิดพาโลลงโทษต่างๆ
ขณะนั้นมีหมอคนหนึ่งชื่อซีนมั่นมาแต่เมืองเตง อาศัยนั่งร้านอยู่ริมถนนตลาดลูฉิงในเมืองเจ๋ คนทั้งปวงเรียกซีนมั่นว่าหมอดู ฝ่ายเตี้ยงทรวงกุ๋นเทวดา เห็นซีนมั่นเป็นคนซื่อสัตย์ก็คิดเมตตา จึงแปลงตัวเป็นมนุษย์ลงมาหาซีนมั่น ซีนมั่นเห็นก็เชิญมาพูดจาปราศรัยโดยไมตรี เตี้ยงทรวงกุ๋นจึงให้คัมภีร์แพทย์สำหรับหมอผู้วิเศษแก่ซีนมั่นกับมนต์บทหนึ่งแล้วบอกว่า ถ้าท่านไปรักษาไข้จะใคร่รู้จักโรคหนักเบาก็อ่านมนต์อันนี้ขึ้น จักขุนั้นสว่างอุปมาเหมือนตาทิพย์ ถึงคนเป็นพยาธิวัณโรคแอบแฝงอยู่ในตับไตไส้พุง เท่าเมล็ดถั่วเมล็ดงาก็ดี ปีศาจเข้าซ่อนอยู่ก็ดีรู้เห็นสิ้น เหมือนเบียนเซียนซินแส แต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าอิวเต้ ว่าแล้วเตี้ยงทรวงกุ๋นเทวดาก็สูญไป
ซีนมั่นครั้นได้ตำราก็ยินดี จึงเที่ยวไปรักษา ณ เมืองเค็ก พอซีจูบุตรเจ้าเมืองเค็กป่วยมีอันเป็นสลบไป บิดามารดาก็ร้องไห้หาหมอมาแก้ไขก็ไม่ฟื้น ฝ่ายซีนมั่นเที่ยวแสวงหาคนไข้จะใคร่ลองคุณยาและมนต์ที่เตี้ยงทรวงกุ๋นเทวดาให้ คนทั้งปวงเห็นซีนมั่นหมอแปลกหน้ามาใหม่จึงถามว่า ท่านรักษาคนตายได้หรือไม่ ซีนมั่นจึงว่า เราจะขอไปให้เห็นตัวคนตายก่อนจึงจะรักษา ชาวเมืองก็พาซีนมั่นไปหาไตหู
ขุนนางผู้ใหญ่ไตหูก็เอาเนื้อความไปแจ้งแก่เจ้าเมืองเค็ก เจ้าเมืองเค็กก็มีความยินดี จึงให้พาซีนมั่นเข้ามาแล้วว่า ถ้าท่านรักษาบุตรเรารอดจากความตาย จะทดแทนคุณท่านให้ถึงขนาด ซีนมั่นหาได้ตอบประการใดไม่ จึงให้ลูกศิษย์เอาเข็มสักตัวผู้ไข้นั้นดู โลหิตไหลตามมือออกมา ซีนมั่นจึงฝนยากรอกปากคนผู้ไข้เข้าไปประมาณสองถ้วย คนไข้ก็ได้สติคืนมาดังเก่า ตั้งแต่นั้นคนทั้งปวงก็นับถือซีนมั่นว่าเบียนเซียนเกิดใหม่ แต่ซีนมั่นเที่ยวรักษาไข้หายกับมือเป็นหลายคน แล้วก็กลับไปเมืองเจ๋ เข้าไปหาเจ๋ฮวนก๋ง พิเคราะห์แล้วบอกว่า ท่านเป็นโรคเรื้อรังอยู่ในท้อง ข้าพเจ้าจะช่วยรักษาให้ ถ้าทิ้งไว้นานโรคแก่ขึ้นจะรักษายาก
เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า เมื่อเราสบายเป็นปกติอยู่ เหตุใดมาว่าดังนี้ จะให้เราบนหรือ ซีนมั่นเห็นเจ๋ฮวนก๋งยังไม่เชื่อก็ลากลับไป อยู่ประมาณห้าวัน ซีนมั่นมาหาเจ๋ฮวนก๋ง บอกว่า บัดนี้โรคท่านถอยมาอยู่ที่เส้นเทพจร เจ๋ฮวนก๋งก็นิ่งเสีย กำหนดอีกห้าวัน ซีนมั่นบอกเจ๋ฮวนก๋งว่า โรคกลับเข้าอยู่ในลำไล้ เจ๋ฮวนก๋งก็มิได้เชื่อ ครั้นซีนมั่นไปแล้วเจ๋ฮวนก๋งจึงว่า หมอทุกวันนี้คิดแต่จะล่อลวงเอาเงินทอง เราไม่เจ็บก็ว่าเจ็บ ครั้นอยู่มาอีกห้าวัน เจ๋ฮวนก๋งให้ไปหาซีนมั่นมา ซีนมั่นเข้ามา พอแลเห็นเจ๋ฮวนก๋งซีนมั่นก็เดินกลับไป เจ๋ฮวนก๋งจึงให้ไปเอาตัวซีนมั่นมาถามว่า ท่านมาหาเรายังมิทันที่จะพูดจากันเหตุใดด่วนกลับไป ซีนมั่นจึงว่า เดิมข้าพเจ้ามาหาท่าน โรคท่านยังอ่อนอยู่พอจะหายารักษาได้ ข้าพเจ้าจึงหยุดนั่งพูดจาด้วย หวังจะรับรักษาให้ บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นโรคท่านแก่ลงกระดูกเสียแล้วก็เสียใจ จึงมิได้หยุดอยู่พูดจาด้วย อันโรคลงกระดูกเหมือนท่านนี้ อย่าว่าแต่มนุษย์จะรักษาเลยถึงเทวดาก็ไม่รักษาได้ ว่าแล้วซีนมั่นก็ลากลับมาบ้าน เก็บเอาเครื่องยาของตัวยักย้ายไปอยู่เมืองอื่น
เจ๋ฮวนก๋งตั้งแต่ซีนมั่นมาทายไว้ พอถ้วนคำรบอีกห้าวันก็ป่วยหนักลงให้ไปหาซีนมั่นก็มิได้พบ คนใช้กลับมาบอกว่าซีนมั่นหายไปจากเมืองประมาณห้าวันแล้ว ข้าพเจ้าสืบถามดูหาได้ความว่าไปแห่งใดไม่ เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็เสียใจนัก จึงว่าเพราะเราไม่เชื่อซีนมั่น โรคจึงกำเริบหนักขึ้นถึงเพียงนี้ จึงให้หาบรรดาหมอในเมืองมาประกอบยารักษาก็มิได้ถูกต้อง เจ๋ฮวนก๋งมีภรรยาสามคน ชื่อนางองกี นางฮอกี นางชัวกี นางองกี นางฮอกีนั้นตาย นางชัวกีเจ๋ฮวนก๋งไม่สู้รักใคร่ก็กลับไปอยู่เมืองชัวกับบิดาดังเก่า
เจ๋ฮวนก๋งจึงมีภรรยาอีกหกคน นางเตียวฮวยกีเป็นภรรยาเอกมีบุตรชื่อก๋งจูบอคุย ภรรยาที่สองชื่อนางเซียวฮวยกีมีบุตรชื่อก๋งจูหงวน ภรรยาที่สามชื่อนางเตงกี บุตรชื่อก๋งจูเจียว ภรรยาที่สี่ชื่อนางกัวเอ๋งบุตรชื่อก๋งจูผวน ภรรยาที่ห้าชื่อนางเจงกี มีบุตรชื่อก๋งจูเซียนหยิน ภรรยาที่หกชื่อนางฮัวสีมีบุตรชื่อก๋งจูหยง ภรรยาเจ๋ฮวนก๋งทั้งห้าคนนั้นเป็นบุตรเจ้าเมืองทั้งสิ้น แต่นางฮัวสีเป็นบุตรฮอตก ขุนนางเมืองซอง ภรรยาเจ๋ฮวนก๋งนอกนั้นก็หลายคน บุตรก็หลายคน เจ๋ฮวนก๋งรักใคร่นางเตียวฮวยกีนัก ตั้งให้เป็นใหญ่กว่าภรรยาทั้งปวง
ก๋งจูบอคุยบุตรนางเตียวฮวยกีก็เป็นบุตรผู้ใหญ่กว่าบุตรทั้งสิ้น นางเตียวฮวยกีก็อ้อนวอนเจ๋ฮวนก๋ง จะตั้งให้ก๋งจูบอคุยเป็นซีจูแปลว่าผู้สำเร็จราชการ ถ้าเจ๋ฮวนก๋งหาบุญไม่จะได้สมบัติในเมืองเจ๋ แต่น้ำใจเจ๋ฮวนก๋งนั้นเห็นว่า ก๋งจูเจียวบุตรนางเตงกีภรรยาที่สามมีสติปัญญา ได้ปรึกษากวนต๋งผู้ตายไว้ว่าจะให้ก๋งจูเจียวเป็นที่ซีจู แล้วคิดเกรงนางเตียวฮวยกีจะน้อยใจ หารู้ที่จะผ่อนปรนไม่ ครั้งเมื่อไปคุยขิวตั้งสัตย์กับหัวเมืองทั้งปวง เจ๋ฮวนก๋งก็ได้บอกเจ้าเมืองซองต่อหน้าขุนนางที่ไปด้วยว่า สมบัติในเมืองเจ๋นั้น เราปลงใจไว้กับก๋งจูเจียว ถ้าหาบุญเราไม่ท่านช่วยจัดแจงให้ดีด้วย ครั้นเอ็ดแหยซูเตียวได้กลับมาเข้าเป็นขุนนางก็ชอบกับก๋งจูบอคุย ถ้อยทีไปหามาสู่กันมิได้ขาด
ไคหองนั้นเป็นพวกก๋งจูหงวน ก๋งจูเซียนหยิน ก็รักใคร่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน นางเจงกีมารดาก๋งจูเซียนหยินเล่า เจ๋ฮวนก๋งรักใคร่เสมอกับนางเตียวฮวยกี ก๋งจูเซียนหยินเห็นเจ๋ฮวนก๋งรักใคร่มารดามากก็มีใจกำเริบ ราษฎรชาวเมืองก็เข้าพึ่งพาอยู่ด้วยก๋งจูเซียนหยินเป็นอันมาก แต่ก๋งจูหยงบุตรนางฮัวสีภรรยาที่หกคิดเจียมตัวด้วยมารดาเป็นบุตรขุนนาง ทั้งมิได้มีพวกพ้อง และบุตรเจ๋ฮวนก๋งห้าคนนั้นมีทแกล้วทหารเป็นอันมาก พวกหญิงชายชาวเมืองเรียกว่าเสือห้าตัว ต่างคนไปว่ากับมารดาให้อ้อนวอนเจ๋ฮวนก๋ง จะขอเป็นที่ซีจูเนืองๆ เจ๋ฮวนก๋งรำคาญคับอกใจไม่สบาย โรคชราก็เพียบลงทุกวัน
ฝ่ายเอ็ดแหยซูเตียวรู้ว่าเจ๋ฮวนก๋งจะไม่รอดแล้ว จึงปรึกษากันว่า ถ้าเจ๋ฮวนก๋งตายลงในขณะนี้ บุตรห้าคนต่างมุ่งหมายจะชิงสมบัติกัน เห็นจะเกิดรบพุ่งกันเป็นจลาจลขึ้น จำจะคิดอุบายตั้งก๋งจูบอคุยขึ้นเป็นเจ้าเมืองให้ได้ก่อน เราทั้งสองก็จะมีความสุขสืบไป ครั้นปรึกษาพร้อมใจกัน ซูเตียวเอ็ดแหยจึงเขียนหนังสือไปปิดไว้ที่ประตูตึก ใจความในหนังสือว่า เจ๋ฮวนก๋งป่วยอยู่ ถ้าเห็นหน้าคนได้ยินเสียงคนโรคนั้นกำเริบหนักขึ้น สั่งให้ห้ามปรามไม่ให้ผู้ใดไปมาเข้าออกเป็นอันขาดทีเดียว ให้อยู่รักษาพยาบาลแต่นางเตียวฮวยกี ก๋งจูบอคุย ซูเตียว เอ็ดแหย ถ้าใครขืนเข้ามาจะเอาตัวเป็นโทษ แล้วซูเตียวเอ็ดแหยกลัวว่าจะมีผู้มาลอบเข้าไปหาเจ๋ฮวนก๋ง จึงให้ก่อกำแพงสูงเจ็ดวาสองศอกล้อมรอบตึกเจ๋ฮวนก๋ง ปิดมิดไม่มีประตูเข้าออก แต่ทำท่อไว้ริมกำแพงแห่งหนึ่งพอสุนัขตัวใหญ่ลอดได้
ขณะนั้นมีหญิงคนหนึ่ง ชื่อนางอันหงอหยีภรรยาน้อยเจ๋ฮวนก๋งเป็นคนร่างเล็กคลานตามท่อเข้าไปถึงตึก เจ๋ฮวนก๋งป่วยอยู่ในตึกไม่มีผู้พยาบาลอดอยากนัก พอเห็นนางอันหงอหยีเข้ามาก็ขอข้าวน้ำกิน นางอันหงอหยีจึงว่า ข้าพเจ้าจะเอาน้ำหาไหนมาให้ท่านกิน ซูเตียวเอ็ดแหยขับบุตรภรรยาท่านไปเสียสิ้นแล้ว ซ้ำก่อกำแพงล้อมตึกไว้ หากข้าพเจ้าคิดถึงคุณท่านจึงอุตส่าห์เล็ดลอดเข้ามาหวังจะได้พบท่าน
เจ๋ฮวนก๋งจึงว่า เรามีภรรยาถึงหกคน ลูกรักก็มีถึงห้าคน บุตรภรรยานอกนั้นก็มีเป็นอันมากหามีใครเข้ามาเยี่ยมเยียนเราไม่ เจ้านี้เป็นภรรยาน้อยเราไม่สู้รักใคร่ ยังมีนํ้าใจเล็ดลอดเข้ามาพอให้เห็นหน้า การซึ่งเป็นทั้งนี้เพราะไม่เชื่อคำกวนต๋งสั่งไว้ ถ้าเราตายแล้วจะแบกหน้าไปหากวนต๋งได้หรือ
นางอันหงอหยีจึงว่า ข้าพเจ้าได้เข้ามาพบท่านครั้งนี้เป็นบุญตัวยิ่งนัก ถ้าท่านตายจะขอตายตามไปด้วย เจ๋ฮวนก๋งได้ฟังดังนั้นก็กลั้นนํ้าตาไว้มิได้ ก็ชักมือเสื้อปิดหน้าร้องไห้สะอื้นไปจนอาเจียนโลหิตออกมา เจ๋ฮวนก๋งก็ขาดใจตาย เมื่อเจ๋ฮวนก๋งตายอายุได้เจ็ดสิบสามปี
ฝ่ายนางอันหงอหยี ครั้นเจ๋ฮวนก๋งสิ้นใจลงในขณะนั้นมีความอาลัยนัก จึงถอดเสื้อที่ใส่ออกจากตัวคลี่คลุมศพเจ๋ฮวนก๋งไว้ แล้วนางก็ซบศีรษะลงคำนับพลางร้องไห้รำพันว่า ข้าพเจ้ามาพบท่านแต่ยังไม่สิ้นชีวิตได้สัญญาไว้กับท่านว่าจะตายไปด้วย ท่านจงคอยท่าข้าพเจ้าก่อน ว่าแล้วนางอันหงอหยีก็เอาศีรษะโดนเสาตึกศีรษะแตกตาย
ฝ่ายซูเตียว เอ็ดแหย จึงให้คนสนิทลอดท่อเข้าไปลอบดูเจ๋ฮวนก๋งในตึกให้รู้อาการหนักเบา พอคนใช้เยี่ยมเข้าไปถึงประตูตึกเห็นนางอันหงอหยีศีรษะแตกนอนตายอยู่ สำคัญว่าเจ๋ฮวนก๋ง ก็รีบเอาเนื้อความเข้ามาบอกซูเตียวเอ็ดแหย ซูเตียวเอ็ดแหยได้แจ้งดังนั้น จึงสั่งให้พังกำแพงเสีย พากันเข้าไปในตึกที่เจ๋ฮวนก๋งอยู่ เห็นนางอันหงอหยีศีรษะแตกนอนตายอยู่ริมเสาตึกก็จำได้ จึงเข้าไปดูเจ๋ฮวนก๋ง เจ๋ฮวนก๋งก็ตาย ซูเตียว เอ็ดแหยก็ปิดความเสียมิให้ผู้ใดรู้แพร่งพรายไป แล้วพากันเข้าไปหานางเตียวฮวยกี บอกความว่า บัดนี้เจ๋ฮวนก๋งหาบุญไม่แล้ว ครั้นข้าพเจ้าจะยกก๋งจูบอคุยบุตรท่านขึ้นเป็นเจ้าเมืองแทนก็กลัวขุนนางทั้งปวงจะไม่ยอม จำจะปิดความไว้ก่อน เวลาคํ่าวันนี้ข้าพเจ้าจะคุมทหารไปล้อมจับก๋งจูเจียวฆ่าเสีย จึงจะตั้งก๋งจูบอคุยขึ้นเป็นเจ้าเมืองได้โดยสะดวก หามีผู้ใดทัดทานไม่ นางเตียวฮวยกีจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นอิสตรี สติปัญญานั้นน้อย ซึ่งจะคิดการทั้งนี้ตามแต่ท่านทั้งสองจะเมตตากับก๋งจูบอคุย ซูเตียวเอ็ดแหยก็คำนับลานางเตียวฮวยก็กลับมาบ้าน จัดแจงทหารให้ใส่เกราะถืออาวุธเตรียมไว้แต่เวลาเย็น
ฝ่ายก๋งจูเจียว ตั้งแต่ซูเตียวเอ็ดแหยคิดอุบายมิให้เข้าไปเยี่ยมเยียนพยาบาลเจ๋ฮวนก๋งผู้บิดาก็หามีความสบายไม่ เป็นทุกข์ถึงเจ๋ฮวนก๋งมิได้ขาด เวลาวันนั้น พอพลบคํ่าลงก๋งจูเจียวตามตะเกียงนอนดูหนังสืออยู่ในตึกเคลิ้มหลับไป นางอันหงอหยีปีศาจที่เอาศีรษะโดนเสาตึกตายมาเข้าฝันว่า ข้าพเจ้าชื่อนางอันหงอหยีเป็นภรรยาเจ๋ฮวนก๋งบิดาท่าน บัดนี้บิดาท่านตายแล้ว ข้าพเจ้าตายตามไปอยู่ด้วย เจ๋ฮวนก๋งมีความเมตตาแก่ท่านใช้ให้ข้าพเจ้ามาบอกให้ท่านรีบหนีไปจากเมืองในเวลานี้ ถ้าช้าอยู่จะมีผู้มาทำร้ายท่าน แล้วปีศาจก็ปลุกก๋งจูเจียวให้รู้สึกตื่นขึ้น ก๋งจูเจียวตกใจนักกับบ่าวห้าคนพากันรีบไปบ้านกอฮีขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งพระเจ้าจิวเซียงอ๋องตั้งมาแต่เมืองหลวง แจ้งความซึ่งนางอันหงอหยีปีศาจมาเข้าฝันให้ฟังทุกประการ
กอฮีได้ฟังดังนั้นจึงว่า เจ๋ฮวนก๋งบิดาท่านป่วยมากว่าเดือนแล้ว เอ็ดแหย ซูเตียวคิดอุบายห้ามมิให้พวกเราเข้าไปรักษาพยาบาล จึงมิได้รู้จักอาการหนักเบาดีและร้าย ซึ่งนางปีศาจมาเข้าฝันดังนี้ข้าพเจ้าเห็นจริงมากกว่าเท็จ ครั้นจะมิเชื่อเล่าฉวยมีอันตรายจะแก้ตัวยาก ซึ่งท่านจะอยู่ในเมืองนี้เห็นจะไม่พ้นภัย จงหนีไปหาซองเซียงก๋งเจ้าเมืองซองเถิด ด้วยเจ๋ฮวนก๋งบิดาท่านได้สั่งเจ้าเมืองซองไว้ให้ช่วยทำนุบำรุงท่าน เห็นว่าเจ้าเมืองซองคงจะเอาธุระอยู่ พูดกันยังไม่ขาดคำพอมีผู้มาบอกว่าซูเตียว เอ็ดแหยคุมทหารเข้าล้อมบ้านก๋งจูเจียวไว้ ก๋งจูเจียวก็ตกใจสิ้นสติตะลึงอยู่ กอฮีจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่งส่งให้ก๋งจูเจียวสั่งว่า ท่านจงเอาหนังสือนี้ไปให้ซุยเอียวนายประตูข้างทิศตะวันออกจะได้เปิดประตูส่งท่าน หนีไปเมืองซองในเวลาคํ่าวันนี้ แล้วให้ก๋งจูเจียวผลัดเสื้อกางเกงเสีย นุ่งห่มทำอย่างไพร่รีบออกจากบ้านกอฮีเดินปนไปกับบ่าวที่ตามมาด้วยนั้น ครั้นถึงประตูเมืองจึงเอาหนังสือส่งให้ซุยเอียว ซุยเอียวรับหนังสือมาอ่านได้ความว่า กอฮีให้มาถึงซุยเอียว บัดนี้เจ๋ฮวนก๋งตายแล้ว ซูเตียว เอ็ดแหยจะจับก๋งจูเจียวฆ่าเสีย ให้ซุยเอียวเปิดประตูส่งก๋งจูเจียวหนีไปเมืองซองในเวลาคํ่าวันนี้ให้จงได้ ครั้นซุยเอียวแจ้งความในหนังสือนั้นก็เปิดประตูให้โดยสะดวก ตัวซุยเอียวก็สมัครตามก๋งจูเจียวไปด้วย
ฝ่ายซูเตียว เอ็ดแหย ครั้นเวลาประมาณสามยามเศษ จึงสั่งทหารเข้าค้นดูในตึกก๋งจูเจียวก็มิได้พบจึงคิดว่าชะรอยก๋งจูเจียวหนีไปจากเมืองแล้ว ซูเตียว เอ็ดแหย ก็กลับมา พอสว่างขึ้นเข้าไปหานางเตียวฮวยกี แจ้งความซึ่งได้ไปล้อมบ้านก๋งจูเจียว ฝ่ายกอสี กวนสี ก๊กสี บวยสี ตันสี สิบสี กับขุนนางทั้งปวงรู้ว่าเจ๋ฮวนก๋งตายแล้ว ก็นุ่งขาวห่มขาวพากันเข้ามาจะคำนับศพ ซูเตียว เอ็ดแหย จึงออกไปสกัดบอกว่า บัดนี้เจ๋ฮวนก๋งหาบุญไม่แล้ว เมื่อสิ้นใจนั้นได้สั่งไว้กับเรา ให้มอบสมบัติให้ก๋งจูบอคุย เราจะเชิญก๋งจูบอคุยออกมานั่งที่เจ้าเมือง ท่านทั้งปวงจงเข้าไปคำนับ ถ้าผู้ใดยังขัดขวางอยู่เราจะฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็โกรธร้องด่าซูเตียว เอ็ดแหย เป็นข้อหยาบช้า แล้วว่าเจ๋ฮวนก๋งปลงใจจะมอบสมบัติให้ก๋งจูเจียวขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็รู้อยู่สิ้น ซึ่งตัวมาว่ากล่าวดังนี้เชื่อฟังมิได้
กวนเผงบุตรกวนต๋งผู้ตายจึงเอาไม้ซือหุดสำหรับตำแหน่งที่ขุนนาง เงื้อตีศีรษะซูเตียว ซูเตียวเอากระบี่รับไว้ได้ ก็ไล่ฟันแทงกวนเผงกับขุนนางทั้งปวงเจ็บป่วยล้มตายเป็นอันมาก ที่ยังเหลืออยู่นั้นต่างคนวิ่งหนีกระจัดพลัดพรากกันไป ซูเตียว เอ็ดแหย ก็เชิญก๋งจูบอคุยออกมานั่งที่เจ้าเมือง จึงมอบสมบัติพัสถานในเมืองเจ๋ให้ก๋งจูบอคุยว่าราชการสืบไป ก๋งจูบอคุยจึงว่า ขุนนางทั้งปวงยังไม่พร้อมใจกัน ครั้นจะจัดแจงทำการฝังศพก็มิสะดวก ท่านทั้งสองจะคิดอ่านประการใดเล่า ซูเตียวจึงว่า ซึ่งเป็นเหตุทั้งนี้ด้วยก๋งจูทั้งสามยังขัดแข็งอยู่ การครั้งนี้อุปมาเหมือนจับเสือมัด ใครมีกำลังมากกว่ากันก็จะสมความคิด ขอให้ตรวจทแกล้วทหารใส่เกราะถืออาวุธเตรียมไว้ให้พร้อม ถ้าก๋งจูทั้งสามเข้ามาคำนับศพก็ให้จับฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงก็จะพลอยยกสมบัติให้ท่าน ก๋งจูบอคุยเห็นชอบด้วย จึงให้จัดแจงทหารออกเป็นสี่กอง แยกย้ายกันอยู่คอยจับก๋งจูทั้งสาม แล้วกำชับให้นั่งยามตามไฟระวังรักษาอยู่มิให้ผู้ใดแปลกปลอมเข้ามาได้
ฝ่ายไคหองครั้นแจ้งดังนั้น จึงว่ากับก๋งจูผวนว่า บัดนี้เจ๋ฮวนก๋งบิดาท่านตายแล้ว ซูเตียว เอ็ดแหย กำจัดก๋งจูเจียวไปเสียจากเมืองคบคิดกันมอบสมบัติให้ก๋งจูบอคุย แต่ขุนนางทั้งปวงยังไม่ยอม ก๋งจูบอคุยก็คิดจะฆ่าท่านกับก๋งจูหงวนและก๋งจูเซียนหยินเสีย ท่านอย่าเข้าไปคำนับศพเจ๋ฮวนก๋งผู้บิดาเลย จงตรวจตราทแกล้วทหารมั่วสุมกันเข้าเป็นกระบวนทัพ ตั้งค่ายมั่นลงไว้สู้กับก๋งจูบอคุยให้ถึงแพ้และชนะ ซึ่งจะให้ก๋งจูบอคุยเป็นเจ้าเมืองนั้นเหมือนท่านหามีสติปัญญาไม่ ก๋งจูผวนก็เห็นด้วย จึงให้ไคหองคุมทหารไปตั้งค่ายอยู่ข้างประตูเมืองทิศใต้ ก๋งจูหงวน ก๋งจูเซียนหยิน ก็ตรวจตราทแกล้วทหารสมทบกันไปตั้งค่ายอยู่ข้างประตูทิศเหนือ ต่างคอยทีคุมเชิงกันอยู่เป็นสามพวก แต่ก๋งจูหยง บุตรนางฮัวสีภรรยาเจ๋ฮวนก๋งที่หก มิได้มีพรรคพวกก็หนีไปพึ่งก๋งจูบุน เจ้าเมืองจิ๋นก็ตั้งให้เป็นขุนนาง
ขณะเมื่อก๋งจูทั้งสี่คุมทหารตั้งเป็นกระบวนทัพอยู่นั้น ราษฎรและขุนนางทั้งปวงต่างตกใจกลัว ปิดประตูบ้านเรือนเสียมิได้ออกทำมาหากิน บังเกิดโจรผู้ร้ายฆ่าฟันกันตายเป็นอันมาก แต่ก๋งฮีต๋งกอฮี ขุนนางผู้เฒ่าทั้งสองนั้นเป็นทุกข์หนัก อุปมาเหมือนคมมีดเข้าเสียดแทงอยู่ในอกจึงปรึกษากันว่า แต่เจ๋ฮวนก๋งตายก็ได้ถึงสองเดือนกับเจ็ดวันแล้ว ยังหาได้จัดแจงทำการศพไม่ ด้วยก๋งจูทั้งสี่คิดจะช่วงชิงสมบัติกันอยู่ เสียแรงเราทั้งสองเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าจิวเซียงอ๋องตั้งมาแต่เมืองหลวง จะทิ้งศพไว้ให้เปื่อยเน่าทรุดโทรมอยู่ฉะนี้ก็เหมือนหามีกตัญญูต่อเจ๋ฮวนก๋งผู้ตายไม่ บัดนี้ก๋งจูเจียวก็หนีไปจากเมืองแล้ว ก๋งจูบอคุยเป็นบุตรผู้ใหญ่ถึงจะเป็นเจ้าเมืองแทนบิดาก็ควรอยู่ จะทำประการใดก๋งจูทั้งสามจึงจะยอมช่วยทำการศพ กอฮีจึงว่า การทั้งนี้แต่ท่านกับข้าพเจ้าสองคนเห็นจะไม่ตกลง จะต้องบอกบรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยไปประชุมกัน ช่วยว่ากล่าวก๋งจูทั้งสามจึงจะได้ ก๋งฮีต๋งเห็นชอบด้วย จึงให้ไปบอกขุนนางทั้งปวงให้นุ่งขาวห่มขาวมาพร้อมกัน ณ บ้านกอฮีสิ้น ก๋งฮีต๋งกอฮีก็พาขุนนางทั้งปวงเข้าไปถึงที่อยู่เจ๋ฮวนก๋ง
ซูเตียว เอ็ดแหยเห็นดังนั้น ก็ออกมายืนขวางไว้แล้วถามว่าท่านมาด้วยธุระสิ่งใด กอฮีจึงว่า เราพาขุนนางทั้งปวงมาหวังจะมอบสมบัติให้ก๋งจูบอคุย ท่านจงบอกก๋งจูบอคุยให้ออกมาหาเราเถิด แล้วกอฮีก็สั่งให้ไปบอกก๋งจูทั้งสามว่าบัดนี้ขุนนางทั้งปวงมาพร้อมกัน จะจัดแจงทำการศพเจ๋ฮวนก๋งให้ก๋งจูทั้งสามรีบเข้ามาในเวลาวันนี้ อย่าคิดกลัวก๋งจูบอคุยเลย กอฮีกับเราเป็นประธานอยู่แล้ว จะช่วยว่ากล่าวให้ประนีประนอมกันเป็นปกติ คนใช้ก็แยกไปแจ้งความแก่ก๋งจูทั้งสามตามคำกอฮีว่า
ครั้นก๋งจูทั้งสามแจ้งดังนั้นต่างคนปรึกษากันว่า ก๋งฮีต๋งกอฮีเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ให้มาบอกเราไปช่วยทำการศพ ครั้นจะขัดขืนอยู่บัดนี้เล่าก็ไม่ควร ก๋งจูทั้งสามก็สั่งให้ทหารถืออาวุธตามไปด้วย หาไว้ใจก๋งจูบอคุยไม่ กอฮีจึงให้ออกไปห้ามทหารก๋งจูทั้งสามไว้แต่นอก ให้พาแต่ตัวก๋งจูทั้งสามเข้าไป ก๋งจูบอคุยก็มาพร้อมกัน ก๋งฮีต๋งจึงว่ากับก๋งจูทั้งสามว่า คุณบิดามารดาหนักเหมือนฟ้าและดิน ไม่ช่วยกันจัดแจงทำการศพจนช้านานถึงเพียงนี้ แต่ข้าพเจ้าเป็นขุนนางยังมีใจสัตย์ซื่อคิดถึงคุณเจ๋ฮวนก๋งบิดาท่าน ซึ่งข้าพเจ้าให้หาท่านมาทั้งนี้หวังจะกล่าวมิให้ขึ้งโกรธกันกับก๋งจูบอคุยจะได้ช่วยกันทำการศพ เดิมเมื่อเจ๋ฮวนก๋งมีชีวิตอยู่นั้น สมบัติอันนี้ปลงใจไว้กับก๋งจูเจียว บัดนี้ก๋งจูเจียวหนีไปจากเมืองแล้ว ก๋งจูบอคุยเป็นบุตรผู้ใหญ่ควรที่จะได้สมบัติแทนบิดา ถ้าก๋งจูทั้งสามขัดขืนอยู่ไม่ยอม จะเอาตัวเป็นโทษ ก๋งจูผวน ก๋งจูหงวน ก๋งจูเซียนหยินจึงว่า ท่านผู้เฒ่าทั้งสองจัดแจงแล้ว ข้าพเจ้าก็ยอมหาขัดขืนไม่ จะช่วยกันทำการศพโดยปกติ ก๋งฮีต๋งกอฮีก็ยกก๋งจูบอคุยขึ้นเป็นเจ้าเมือง ขุนนางทั้งปวงก็คุกเข่าลงคำนับตามตำแหน่ง แล้วก๋งฮีต๋งกอฮีก็หาก๋งจูบอคุยกับก๋งจูทั้งสามเข้าไปคำนับศพเจ๋ฮวนก๋งเห็นซากศพทรุดโทรมยังแต่ร่างกระดูก หนอนเข้าบ่อนกินคลํ่าไปเหมือนหมู่มด
แต่นางอันหงอหยีนั้นนอนหลับตาอยู่เหมือนเป็น เนื้อหนังหน้าตาสดชื่นมิได้มีกลิ่นอาย ต่างคนสรรเสริญนางอันหงอหยีว่าซื่อสัตย์ต่อเจ๋ฮวนก๋งจริง ซากศพมิได้เปื่อยเน่าเหมือนคนทั้งปวง แล้วให้เอาผ้าขาวห่อซากศพเจ๋ฮวนก๋งใส่หีบปิดฝาผนึกตั้งไว้ในตึก ศพนางอันหงอหยีนั้นก็ใส่หีบวางเคียงกันกับศพเจ๋ฮวนก๋ง ก๋งฮีต๋งกอฮีจัดขุนนางให้เปลี่ยนผลัดกันรักษากว่าจะถึงกำหนด จะได้เชิญศพไปฝังตามธรรมเนียม ขุนนางทั้งปวงก็ชวนกันสรรเสริญก๋งอีต่งกอฮีว่า มิเสียทีที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีสติปัญญา ทั้งสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ควรที่เราทั้งปวงจะเอาเป็นที่พึ่งสืบไป