- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๓๐
ฝ่ายจิ้นฮุยก๋งเจ้าเมืองจิ้น ครองเมืองเป็นสุขได้ห้าปีบังเกิดข้าวแพง ราษฎรอดอาหารจะซื้อหากันกินก็ขัดสน จิ้นฮุยก๋งจึงปรึกษาคับโยยว่า จะให้ไปขอซื้อข้าวก๋งจูบุนแต่ขัดอยู่ด้วยได้สัญญาไว้ว่าจะยกหัวเมืองขึ้นให้ห้าหัวเมือง ก็หาได้จัดแจงให้ตามสัญญาไม่ เกลือกก๋งจูบุนจะโกรธว่าเราเสียสัตย์ไม่ยอมให้ซื้อข้าวในเมืองจิ๋นก็จะได้ความอัปยศ คับโยยจึงว่า ซึ่งท่านมิยกห้าหัวเมืองให้เจ้าเมืองจิ๋นจะว่าท่านเสียสัตย์ยังมิได้ เหตุด้วยท่านพึ่งมาเป็นเจ้าเมืองใหม่บ้านเมืองยังไม่ราบคาบ บัดนี้ ควรจะให้ไปขอซื้อข้าวลองใจก๋งจูบุนดูพอเป็นที ถ้าไม่ให้ข้าวแก่เราสืบไปเมื่อหน้าจะว่าเราเสียสัตย์นั้นมิได้ เหตุด้วยทำให้สูญไมตรีก่อนเราจึงมิได้ยกห้าหัวเมืองให้ จิ้นฮุยก๋งเห็นชอบด้วย จึงแต่งหนังสือฉบับหนึ่งให้เคงเต้ถือไปถึงเจ้าเมืองจิ๋นว่าตั้งแต่ข้าพเจ้าได้สมบัติในเมืองจิ้นราษฎรและหัวเมืองขึ้นยังมิได้ราบคาบเป็นปกติเลย บัดนี้ข้าวในเมืองข้าพเจ้าแพงนักจึงให้เคงเต้มาขอซื้อข้าวในเมืองท่าน จะได้ไปแจกไพร่บ้านพลเมืองพอเลี้ยงชีวิต ก๋งจูบุนแจ้งในหนังสือดังนั้นจึงปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า จิ้นฮุยก๋งสัญญายกห้าหัวเมืองให้เราก็หาให้สมคำไม่ บัดนี้มาขอซื้อข้าวในเมืองเรา จะให้ดีหรืออย่าให้เลยใครจะเห็นประการใด
เป๊กลีเหว่า จิ้นฮุยก๋งก็จะว่าเพราะท่านไม่คิดเอื้อเฟื้อ ทำให้สูญไมตรีก่อน จึงมิได้ยกห้าหัวเมืองให้ตามสัญญา อนึ่ง จิ้นฮุยก๋งเป็นน้องนางเป๊กกีภรรยาท่าน ธรรมเนียมผู้ใหญ่ย่อมโอบอ้อมอารีต่อผู้น้อย ข้าพเจ้าคิดว่าจิ้นฮุยก๋งขัดสนมาพึ่งแล้ว จงให้ข้าวเอาบุญเถิด เมื่อจะไม่รู้จักคุณท่านถึงสองครั้งแล้วอยู่กับเขาเอง พีป๋าจึงว่า จิ้นฮุยก๋งฆ่าบิดาข้าพเจ้าเสียยังไม่หายแค้น แล้วก็เป็นคนอกตัญญูถึงจะทำคุณมากน้อยเท่าใด อุปมาเหมือนเอาศิลาไปทิ้งลงในท้องทะเลสำหรับแต่จะจมเปล่า ครั้งนี้เมืองจิ้นอดข้าวแพงได้ทีอยู่แล้ว จงยกไปตีเถิดเห็นจะได้โดยสะดวก
อิวอีจึงว่า เมืองจิ้นอดข้าวปลาอาหารหมายมาพึ่งเราและจะคิดกลับไปตีนั้น มาตรแม้นชนะก็ไม่มีเกียรติยศ ควรที่จะให้ข้าวกับจิ้นฮุยก๋งตามคำเป๊กลีเหว่า ถึงจิ้นฮุยก๋งจะไม่รู้จักคุณเรา ฝูงคนทั้งปวงที่สัตย์ซื่อก็จะคิดถึงคุณเราอยู่บ้าง ก๋งจูบุนเห็นชอบด้วย จึงให้ตวงข้าวในฉางให้สี่ร้อยเกวียนหาคิดเอาราคาไม่ แล้วให้บรรทุกเรือไปส่งถึงเมืองจิ้น จิ้นฮุยก๋งก็มีความยินดีสั่งให้ตวงข้าวแจกราษฎรชาวเมืองตามสมควร ฝ่ายคนทั้งปวงก็ยกย่องสรรเสริญก๋งจูบุนเป็นอันมาก
ครั้นรุ่งขึ้นปีใหม่เมืองจิ๋นก็บังเกิดข้าวแพงบ้าง ก๋งจูบุนปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า จะให้ไปขอซื้อข้าวจิ้นฮุยก๋ง พีป๋าจึงว่า จิ้นฮุยก๋งเป็นคนอกตัญญูไม่รู้จักคุณท่าน ซึ่งจะให้ไปขอซื้อข้าวนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าจิ้นฮุยก๋งจะหาให้ไม่ ก๋งจูบุนจึงว่า จิ้นฮุยก๋งไม่สัตย์ซื่อก็จริงอยู่แต่เราได้มีคุณถึงสองครั้ง เมื่อจะทำดังนั้นก็ให้ปรากฏแก่ราษฎรและหัวเมืองทั้งปวงไว้ แล้วก๋งจูบุนก็แต่งหนังสือให้เลงจีถือไปถึงจิ้นฮุยก๋งใจความว่าจะขอซื้อข้าว
ครั้นจิ้นฮุยก๋งแจ้งหนังสือ จึงปรึกษาคับโยยขุนนางทั้งปวงว่าก๋งจูบุนให้มาขอซื้อข้าวในเมืองเรา เราจะต้องจัดแจงให้ตามสมควร คับโยยจึงว่า ท่านจะให้ข้าวกับเจ้าเมืองจิ๋นนั้น และแผ่นดินเมืองจิ้นนี้ถ้าก๋งจูบุนจะเอาก็จะให้ด้วยหรือ เคงเต้จึงว่า ก๋งจูบุนจะขอเอาบ้านเมืองนั้นหามีธรรมเนียมไม่ เหตุด้วยครั้งก่อนได้ให้ข้าวแก่เรา ครั้งนี้ขัดสนจึงให้มาพึ่งบ้าง ถ้อยทีมีไมตรีต่อกันจำจะต้องให้ข้าวตอบแทนไปจึงจะชอบ คับโยยจึงว่า เจ้าเมืองจิ๋นทำนุบำรุงนายเราจนได้เป็นเจ้าเมือง ยังไม่ได้ยกห้าหัวเมืองให้ตามสัญญา ซึ่งตอบแทนทำแต่เท่านี้ข้าพเจ้าเห็นหามีประโยชน์ไม่
เคงเต้จึงว่าซ้ำกับจิ้นฮุยก๋งว่า เมื่อท่านใช้ข้าพเจ้าไปซื้อข้าวเจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นสัตย์ซื่อสุจริตรักท่านยอมให้ข้าวโดยง่ายมิได้คิดเอาราคา แล้วให้จัดแจงเรือบรรทุกข้าวมาส่งถึงเมืองเรา ซึ่งจะเชื่อฟังคับโยยนั้นเจ้าเมืองจิ๋นก็จะมีความน้อยใจทั้งจะติฉินนินทาท่าน ลีอี้เสงจึงว่า ก๋งจูบุนให้ข้าวแก่เรานั้น เห็นด้วยยังมิได้ห้าหัวเมืองตามสัญญา จึงแกล้งทำดีต่อหวังจะเอาประโยชน์หาให้โดยสุจริตรักเราไม่ ถึงจะตอบแทนให้ข้าวไปก็ดีไม่ให้ก็ดี ก๋งจูบุนคงจะติเตียนนินทาเป็นแท้ ฮันกันจึงว่า เรามีทุกข์ไปพึ่งเขา เขาช่วยทุกข์เรา ถึงทีเขามาพึ่งเราบ้างชวนกันพูดทัดทานเสียฉะนี้ ถ้าขัดสนไปเมื่อหน้า จะหมายพึ่งผู้ใดเล่า
เค็กเสียจึงว่า เมืองเราเป็นเมืองใหญ่ มีทแกล้วทหารเป็นอันมาก จะหมายพึ่งก๋งจูบุนต่อไปนั้นด้วยเหตุอันใด ข้าพเจ้าเห็นว่าก๋งจูบุนเป็นคนโฉดหาปัญญามิได้จึงให้ข้าวแก่เรา ครั้งนี้เมืองจิ๋นข้าวแพงได้ที่อยู่แล้ว ขอให้มีหนังสือออกไปถึงเมืองเลียง ให้ยกมาสมทบกองทัพเราไปตีเมืองจิ๋นเห็นจะได้โดยง่าย คนทั้งปวงก็จะสรรเสริญว่าเรามีสติปัญญา จะมิดีกว่าเสียข้าวตอบแทนให้ไปอีกหรือ จิ้นฮุยก๋งเห็นชอบด้วยจึงให้หาเลงจีผู้ถือหนังสือเข้ามาว่า เมื่อปีหลังเมืองเราข้าวแพงได้ข้าวเมืองจิ๋นมาก็หาพอกันไม่ บัดนี้ราษฎรยังทำไร่ไถนาได้น้อยนัก ซึ่งจะจัดข้าวให้ไปนั้นขัดสนอยู่ จงกลับไปบอกนายท่านเถิด
เลงจีจึงว่า เดิมท่านสัญญาว่าจะยกห้าหัวเมืองให้นายข้าพเจ้าเกินผัดมาจนคุ้มเท่าบัดนี้นายข้าพเจ้ามิให้มาทวงถาม ครั้งก่อนท่านให้ไปซื้อข้าว นายข้าพเจ้าก็มิได้คิดเอาราคาให้มาโดยสะดวก ถึงทีนายข้าพเจ้าขัดสนให้มาพึ่งบ้าง ท่านทำบิดพลิ้วเสียฉะนี้ ข้าพเจ้าจะกลับไปนั้นจะเอาความข้อใดไปแจ้งแก่นายข้าพเจ้าเล่า
ลีอี้เสง คับโยยได้ฟังก็โกรธ จึงตวาดเอาเลงจีผู้ถือหนังสือว่า ครั้งก่อนตัวกับพีเปงฮูไตหู สมรู้ร่วมคิดกันมาล่อลวงเรา หากเรารู้ถึงหาหลงด้วยเล่ห์กลอุบายไม่ ยังจะแต่งลิ้นมาล่อลวงเราอีกหรือ จงเร่งรีบไปบอกแก่นายท่านว่าถ้าจะใคร่ได้ข้าวเมืองจิ้นก็ให้ยกทัพมาตีเถิด เลงจีได้ฟังดังนั้นมีความน้อยใจนักหาคำนับลาจิ้นฮุยก๋งไม่ ลุกเดินออกไปโดยกำลังโกรธ เคงเต้เห็นดังนั้นก็ทอดใจใหญ่ลาจิ้นฮุยก๋งกลับไปบ้าน พอพบไทซือซินแสก็เล่าความให้ฟัง แล้วว่าจิ้นฮุยก๋งไม่ซื่อตรงต่อมิตร เห็นจะครองบ้านเมืองไปไม่ยืดยาวแล้ว ไทซือจึงว่า เมื่อฤดูหนาวเดือนสิบสอง ภูเขาซาหลกผู้แปลคำไทยว่าเขาสามร้อยยอดพังลง ต้นไม้ใหญ่น้อยหักโค่นล้มตาย เห็นบ้านเมืองจะมีอันตรายเหมือนคำท่าน
ฝ่ายเลงจีครั้นถึงเมืองจิ๋นก็เข้าไปคำนับก๋งจูบุน เล่าความให้แจ้งทุกประการ ก๋งจูบุนจึงว่า แต่แรกเราหลงทำคุณจิ้นฮุยก๋งหาคิดว่าจะถึงเพียงนี้ไม่ แล้วปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่า จิ้นฮุยก๋งจะบอกไปถึงเมืองเลียง ให้ยกมาสมทบช่วยกันตีเมืองเรา ครั้นจะละให้กองทัพล่วงมาถึงแดนเรา ราษฎรชาวเมืองจะได้ความยาก จำจะต้องไปตีเมืองเลียงเสียก่อนอย่าให้ทันยกทัพมาสมทบกัน ถ้าได้เมืองเลียงแล้วจึงค่อยวกมาตีเมืองจิ้นต่อไป เป๊กลีเหจึงว่า เมืองเลียงกว้างขวางโตใหญ่ แต่ทแกล้วทหารน้อย ราษฎรได้ความเดือดร้อนระส่ำระสายอยู่ ซึ่งจะมาช่วยจิ้นฮุยก๋งนั้นข้าพเจ้าเห็นจะหามาไม่ จงยกไปตีเมืองจิ้นเสียทีเดียว จะกลัวอะไรกับจิ้นฮุยก๋งเป็นคนหาสติปัญญาไม่ ทุกวันนี้ได้อาศัยแต่ลีอี้เสงคับโยยทั้งสองเป็นที่ปรึกษา ขุนนางนอกนั้นแก่งแย่งกันอยู่หาเป็นปกติไม่
ก๋งจูบุนเห็นชอบด้วย จึงสั่งกวนซก อิวอี ให้อยู่รักษาเมืองกับซีจูเอ๋ง แล้วกำชับสั่งว่า เมืองหยงนั้นอยู่ใกล้กับเมืองเรา ถ้าเจ้าเมืองหยงรู้ว่าเราไปตีเมืองจิ้น เกลือกจะยกมาทำอันตรายแก่ราษฎรจะไว้ใจมิได้ จงให้เมงสีคุมทหารไปตั้งลาดตระเวนรักษาด่านไว้กว่าจะกลับมา แล้วสั่งเป๊กลีเหให้เกณฑ์กองทัพกับเกวียนสี่ร้อยเล่ม ครั้นได้ฤกษ์ดีก็ยกออกจากเมืองจิ๋นเดินทัพมาทางแดนเมืองไซพี เจ้าเมืองไซพีมีหนังสือให้ม้าใช้รีบไปแจ้งแก่จิ้นฮุยก๋งตามซึ่งทัพใหญ่ยกมา
จิ้นฮุยก๋งรู้หนังสือดังนั้น จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า บัดนี้ก๋งจูบุนยกมาตีเมือง ใครจะคิดอ่านรบพุ่งป้องกันประการใดบ้าง เคงเต้จึงว่า ก๋งจูบุนยกทัพมาทั้งนี้เพราะมีความน้อยใจ ด้วยท่านมิได้เอื้อเฟื้อคิดถึงไมตรีซึ่งมีมาแต่ก่อน แล้วลีอี้เสงคับโยยซ้ำท้าทายสั่งไปกับเลงจีผู้ถือหนังสืออีกเล่า ข้าพเจ้าคิดว่าอย่าให้ยากแก่ราษฎรทั้งปวงเลย จงออกไปอ่อนน้อมต่อเจ้าเมืองจิ๋น ยกห้าหัวเมืองให้เสียตามสัญญา เจ้าเมืองจิ๋นก็จะคลายโกรธเลิกทัพกลับไป จิ้นฮุยก๋งได้ฟังก็โกรธว่า เราเป็นใหญ่ในเมืองจิ้น ทแกล้วทหารและเกวียนสำหรับรบศึกเป็นอันมาก ตัวบังอาจพูดจาดูหมิ่นจะให้เราออกไปอ่อนน้อมต่อก๋งจูบุนนั้น โทษผิดถึงที่ตายจะเลี้ยงไว้มิได้ แล้วสั่งทหารให้เอาตัวเคงเต้ไปฆ่าเสีย เค็กเสียจึงว่า ศึกมาติดเมืองยังมิทันที่จะยกออกไปต่อสู้ และจะฆ่าทหารเสียนั้นข้าพเจ้าขอให้ยกโทษเคงเต้ไว้ให้รบศึกทำราชการแก้ตัว จิ้นฮุยก๋งจึงว่ากับเคงเต้ว่า ครั้งนี้เรายกโทษมิได้ให้ฆ่าเสีย สืบไปเมื่อหน้าอย่าพูดจาดังนี้ แล้วสั่งลีอี้เสง คับโยยให้เกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่เชิงเทินประจำไว้
ฝ่ายก๋งจูบุนเดินทัพมาพ้นแดนเมืองไซพี ถึงแม่นํ้าโฮตังก็ให้ตัดไม้ทำแพข้ามทหารมาถึงฝั่งฟากเมืองจิ้น แล้วสั่งให้ตั้งค่ายมั่นคงไว้ ณ ตำบลฮันงวน ไกลเมืองทางประมาณสามร้อยเส้น จิ้นฮุยก๋งจึงให้ฮันกันไปสอดแนมดูทหารในกองทัพก๋งจูบุนจะมีมากน้อยสักเท่าใด ฮันกันกลับมาแจ้งกับจิ้นฮุยก๋งว่า ทหารก๋งจูบุนน้อยกว่าเรา แต่มีกำลังมากกว่าพวกเราประมาณสิบส่วน จิ้นฮุยก๋งจึงว่า ท่านว่าทหารเมืองจิ๋นมีกำลังมากกว่าเรานั้นด้วยเหตุอันใด ฮันกันจึงว่า ขณะเมื่อท่านหนีบิดาไปอยู่เมืองเหลียง ครั้นบิดาถึงแก่กรรมก๋งจูบุนช่วยทำนุบำรุงท่านให้ได้กลับมาเป็นเจ้าเมืองครอบครองสมบัติแทนบิดา ครั้นข้าวแพงท่านให้ไปซื้อข้าว ก๋งจูบุนก็ให้ข้าวแก่ท่าน ได้มาแจกแก่อาณาประชาราษฎร์ชาวเมืองเมื่อคราวขัด ข้าพเจ้าเห็นว่าคนทั้งปวงคิดถึงคุณก๋งจูบุนอยู่เป็นอันมาก จะไม่พร้อมใจช่วยทำศึก อันกองทัพเมืองจิ๋นนั้นบรรดาทแกล้วทหารเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวหมายจะรบเอาเมืองเราให้จงได้ ถึงน้อยก็เหมือนมาก จึงเห็นว่ามีกำลังกว่าถึงสิบส่วน
จิ้นฮุยก๋งได้ฟังก็โกรธจึงว่า ตัวพูดจาดังนี้เพราะเป็นพวกเดียวกับเคงเต้ ครั้งนี้ก๋งจูบุนกับเราคงจะรบกันให้ถึงแพ้และชนะ ท่านจงไปบอกก๋งจูบุนว่าเรามีเกวียนรบถึงหกร้อยเล่ม ทแกล้วทหารที่มีฝีมือก็มีเป็นอันมาก ให้ก๋งจูบุนเร่งเลิกทัพกลับไปเสีย ถ้ามิฟังคำเราก็ให้ระวังตัวจงดี ฮันกันก็ไปบอกเจ้าเมืองจิ๋นตามคำจิ้นฮุยก๋งทุกประการ เจ้าเมืองจิ๋นจึงว่า อีฮูเป็นลูกเล็กไม่เจียมตัวพูดจาองอาจนัก แล้วซ้ำสั่งฮันกันให้ไปบอกจิ้นฮุยก๋งว่า เดิมอีฮูจะใคร่เป็นเจ้าเมืองนั้น เราก็ตั้งแต่งให้ตามใจ ครั้นข้าวแพงให้มาขอเอาข้าวเรา เราก็ให้มาโดยสะดวก สั่งให้เรามาตีเมืองจิ้น เราก็ยกทัพมาตามสั่ง นายท่านถือตัวว่าดีแล้วก็ให้เร่งยกออกมารบกับเรา ถ้าช้าอยู่จะให้ทหารเข้าหักเอาเมืองจับตัวฆ่าเสีย
ฮันกันก็คำนับลามาแจ้งแก่จิ้นฮุยก๋ง จิ้นฮุยก๋งจึงสั่งให้เกณฑ์กองทัพทหารเอกทหารเลวเป็นอันมาก กับเกวียนหกร้อยเล่ม โต๊ะไงอีเป็นทัพหน้า ฮันกันเป็นปีกขวา แต่ปีกซ้ายนั้นยังขาดอยู่ จิ้นฮุยก๋งจึงถามกวยกิวหมอดูว่า จะได้ใครเป็นปีกซ้ายดี กวยกิวจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นเคงเต้มีสติปัญญาพอจะเป็นได้อยู่ จิ้นฮุยก๋งจึงว่า เคงเต้นับถือก๋งจูบุนไม่สัตย์ซื่อสุจริตรักเรา ซึ่งจะให้คุมทหารไปรบศึกนั้นจะไว้ใจมิได้ แล้วจิ้นฮุยก๋งตั้งแกปกถูเป็นปีกซ้าย จิ้นฮุยก๋งเป็นแม่ทัพหลวงขี่เกวียนเทียมด้วยม้าเซียวซี มีฝีเท้าและกำลังมากกว่าม้าซึ่งเทียมคู่กันนั้น
เคงเต้เห็นดังนั้นจึงว่ากับจิ้นฮุยก๋งว่า ม้าเซียวซีตัวนี้มีฝีเท้าและกำลังมากแต่ไม่สู้สันทัดเทียมเกวียนออกรบศึก จงจัดม้าในเมืองเราที่ชำนิชำนาญมาเปลี่ยนเสีย จิ้นฮุยก๋งจึงตวาดเอาเคงเต้ว่า ตัวบังอาจอวดรู้สั่งสอนเรา เราจะให้ฆ่าเสียทีหนึ่งแล้ว ยังจะมาทัดทานไม่ให้เอาม้าเซียวซีเทียมเกวียนอีกเล่า ว่าแล้วก็ขับเกวียนยกทหารออกจากเมืองให้หยุดทัพตั้งมั่นอยู่ตำบลฮันหงวน ไกลค่ายก๋งจูบุนประมาณห้าสิบเส้น
ฝ่ายเป๊กลีเหอยู่บนหอคอยเห็นดังนั้นก็ลงมาแจ้งความแก่เจ้าเมืองจิ๋นว่า จิ้นฮุยก๋งยกออกมาจะรบด้วยท่านครั้งนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าเคราะห์ท่านร้ายอยู่ ถ้าออกไปรบจะตกใจเจียนจะถึงที่อับจน จงแต่งให้ทหารออกรบก็เห็นว่าจะมีชัยแก่พวกเมืองจิ้น ท่านอย่าออกไปให้ได้ความยากเลย
เจ้าเมืองจิ๋นจึงว่า จิ้นฮุยก๋งเป็นแม่ทัพออกมาเอง ครั้นจะอยู่รักษาค่ายให้ผู้อื่นออกไปรบ ทหารทั้งปวงก็จะพลอยขยาดหย่อนมือไม่เต็มใจรบพุ่ง จำจะต้องกำกับออกไปด้วย ทหารเราจึงจะไม่ย่อท้อต่อข้าศึก แล้วเจ้าเมืองจิ๋นให้เป๊กอิดเปียเป็นทัพหน้า กงซุนกีเป็นปีกขวา ซีคิดสุดเป็นปีกซ้าย เจ้าเมืองจิ๋นเป็นทัพหลวง คุมทหารออกไปตั้งอยู่หน้าค่าย
จิ้นฮุยก๋งจึงให้โต๊ะไงอีคุมทหารออกไปตีทัพหน้าเมืองจิ๋น ฮันกันแกปกถูก็เข้าตีปีกซ้ายขวาคนละด้าน เป๊กอิดเปีย กงซุนกี ซีคิดสุด ทหารเมืองจิ๋นก็ออกเป็นสามกอง ทหารทั้งสองฝ่ายสู้กันจนถึงตะลุมบอน
โต๊ะไงอีถือทวนหนักร้อยชั่งเศษขับเกวียนไล่ลุยแทงทหารเมืองจิ๋นท้อถ้อยออกไป เป๊กอิดเปียเห็นดังนั้นก็ขับเกวียนเข้ารบกับโต๊ะไงอีได้ห้าสิบเพลงไม่แพ้ชนะกัน โต๊ะไงอีจึงว่า เรารบกันบนเกวียนแล้วต่างคนหาเพลี่ยงพลํ้าไม่ ทีนี้ท่านกับเราวางอาวุธเสียทั้งสองฝ่ายลงจากเกวียนสู้กันมือเปล่าจะได้เห็นว่าใครมีกำลังมากกว่ากัน ว่าแล้วก็ทิ้งอาวุธเสียโจนลงจากเกวียน เป๊กอิดเปียก็วางอาวุธเสียบ้าง ลงจากเกวียนสู้กับโต๊ะไงอี นายทหารทั้งสองถ้อยทีมีกำลังปลํ้ากันคลุกคลีอยู่
ฝ่ายแกปกถูนายกองปีกซ้ายกับกงซุนกีรบกันได้สามสิบเพลง แกปกถูสิ้นกำลังเสียที กงซุนกีเอาทวนแทงถูกแกปกถูตกลงจากเกวียน ทหารกงซุนกีจับได้แกปกถู
จิ้นฮุยก๋งเห็นดังนั้นก็ขับเกวียนคุมทหารเข้ามาจะรบชิงเอาแกปกถู กงซุนกีเห็นดังนั้นจึงร้องตวาดด้วยเสียงดังดุจฟ้าผ่า ม้าเซียวซีก็ตกใจวิ่งตื่นแตกข้ามคลอง ม้าสามม้าซึ่งเทียมเกวียนอยู่นั้นกำลังน้อยกว่าม้าเซียวซีก็พลอยวิ่งกระเจิงพาเกวียนจิ้นฮุยก๋งอ้อมไปทางหลังเขากิวเลงสัน เกวียนจิ้นฮุยก๋งก็ติดหล่มอยู่ จิ้นฮุยก๋งร้องเรียกเคงเต้ให้ช่วย เคงเต้จึงว่าเพราะท่านไม่เชื่อข้าพเจ้าขืนเอาม้าเซียวซีเทียมเกวียนจึงเป็นดังนี้ ซึ่งข้าพเจ้าจะช่วยท่านนั้นเห็นเหลือกำลังนักจะไปบอกฮันกันมาช่วยท่าน ว่าแล้วเคงเต้ก็ขับเกวียนรีบไปตามฮันกัน ทหารกงซุนกีก็เข้าล้อมจิ้นฮุยก๋งไว้
ฝ่ายฮันกันคุมทหารเข้าตีทัพเมืองจิ๋นด้านหนึ่ง สู้กับซีคิดสุดได้ยี่สิบเพลง ยังไม่แพ้ชนะกัน พอซุนเซ็กเลียงอิวมีหนุนซ้ำมาอีกก็เข้าช่วยกันรบกับซีคิดสุดเป็นสามารถ ฮันกันเอาทวนแทงซีคิดสุดตกลงจากเกวียนแล้วก็ละซีคิดสุดเสีย พาซุนเซ็กเลียงอิวมีคุมทหารเข้าล้อมเจ้าเมืองจิ๋นไว้ ขณะเมื่อทหารจิ้นฮุยก๋งล้อมเจ้าเมืองจิ๋นไว้นั้น กงซุนกีกับทหารทั้งปวงสาละวนรบสู้ด้านหนึ่งหารู้ว่าเจ้าเมืองจิ๋นอยู่ในที่ล้อมไม่ เจ้าเมืองจิ๋นตกใจนัก จึงเงยหน้าแหงนดูฟ้าแล้วว่า ข้าพเจ้ารักษาสัตย์สุจริต เหตุใดเทพยดาจึงไม่ช่วย จะให้พวกจิ้นฮุยก๋งซึ่งไม่อยู่ในสัตย์จับข้าพเจ้าได้แล้วหรือ
ขณะนั้นมีพวกโจรสามร้อยเศษ ล้วนลํ่าสันโตใหญ่เที่ยวอยู่ในป่า ผมยาวสยายลงปกหน้า เห็นทหารจิ้นฮุยก๋งล้อมก๋งจูบุน พวกโจรจึงร้องประกาศว่า ใครอย่าทำอันตรายก๋งจูบุนเจ้านายเรา ว่าแล้วก็ถืออาวุธกรูกันเข้าไล่ฆ่าฟันทหารจิ้นฮุยก๋งล้มตายเป็นอันมาก ฮันกัน ซุนเซ็ก เลียงอิวมี ก็รบพุ่งป้องกันเป็นสามารถ
ฝ่ายเคงเต้ขับเกวียนรีบมาตามฮันกัน พอเห็นฮันกันคุมทหารเข้ารบอยู่กับพวกโจรสามร้อย เคงเต้จึงร้องบอกฮันกันว่าเกวียนจิ้นฮุยก๋งติดหล่มอยู่ในที่ล้อม ท่านจงเร่งไปแก้นายเราให้ทันทีเถิด
ฮันกันได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ พาทหารทั้งปวงผละออกจากพวกโจรแต่ซุนเซ็กนั้นต้องอาวุธลำบากอยู่จะไปด้วยมิได้ ก็ลงซ่อนตัวอยู่ในหล่มแห่งหนึ่ง ฮันกัน เลียงอิวมี ก็ขับเกวียนรีบไปตามจิ้นฮุยก๋ง พลทหารเมืองจิ้นมาบอกฮันกันว่ากงซุนกีจับจิ้นฮุยก๋ง แกปกถู เค็กเสีย ขับโป้เหยียง บังปิดได้
ฮันกันเสียใจนักเอามือตบเข่าลงแล้วว่า เพราะเคงเต้ทำให้เสียการหาไม่เราก็จะจับเจ้าเมืองจิ๋นได้เหมือนกัน แล้วปรึกษาเลียงอิวมีว่าเราจะนิ่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้ จะกลับเมืองจิ้นก็ไม่ดี จำจะตามไปให้พบจิ้นฮุยก๋ง ถึงเจ้าเมืองจิ๋นจะจับฆ่าเราเสียด้วยก็จะยอมตายตามจิ้นฮุยก๋ง แล้วฮันกันเลียงอิวมีก็รีบไปตามจิ้นฮุยก๋งถึงค่ายเมืองจิ๋น ฝ่ายเคงเต้ครั้นรู้ว่าทหารเมืองจิ๋นจับจิ้นฮุยก๋งไปได้ก็ตกใจ รีบหนีออกมาพบซุนเซ็กต้องอาวุธนอนครางอยู่ในหลุม ซุนเซ็กเห็นเคงเต้ก็ร้องว่าท่านช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย เคงเต้ก็เข้าพยุงยกซุนเซ็กขึ้นใส่เกวียนพากลับไปเมืองจิ้น
ฝ่ายพวกโจรสามร้อยครั้นช่วยเจ้าเมืองจิ๋นออกจากที่ล้อมแล้ว เห็นซีคิดสุดทหารเมืองจิ๋นต้องอาวุธลำบากอยู่ก็ชวนกันเข้าพยุงพาไปหาเจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นถามพวกโจรว่า ท่านทั้งปวงนี้อยู่แห่งใดจึงมาช่วยเราเมื่ออับจนเราขอบใจนัก นายโจรจึงว่าท่านลืมไปหรือ ครั้งท่านไปไล่เนื้อที่ภูเขาเลียงสัน ข้าพเจ้ากับสมัครพรรคพวกไปลักม้าท่านมาฆ่ากินประมาณสามสิบตัว ท่านให้ทหารตามไปพบก็มิได้ทำอันตรายแก่ข้าพเจ้าซ้ำให้เอาสุรามาให้ข้าพเจ้าสี่สิบเท ข้าพเจ้าคิดถึงคุณท่านอยู่มิได้ขาด เห็นทหารจิ้นฮุยก๋งล้อมท่านไว้จึงชวนกันมาช่วยหวังจะสนองคุณท่าน เจ้าเมืองจิ๋นได้ฟังดังนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าเป็นคำเปรียบว่าปลูกแตงก็ได้แตง ปลูกถั่วก็ได้ถั่ว เราทำคุณแก่ท่านทั้งปวงเป็นคนป่าก็รู้จักคุณเรา จิ้นฮุยก๋งจะได้เป็นเจ้าเมืองจิ้นก็เพราะเรายังหาคิดถึงคุณเราไม่ แล้วถามพวกโจรสามร้อยว่าท่านเหล่านี้จะรักทำราชการเป็นขุนนางบ้างหรือไม่
พวกโจรจึงว่า ซึ่งท่านจะเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นขุนนางทำราชการนั้นบุญคุณหาที่สุดมิได้ แต่พวกข้าพเจ้าเป็นคนป่า เคยอยู่ในซอกห้วยธารเขาหารักยศศักดิ์ไม่ จะขอลาท่านกลับไปป่าที่อาศัย เจ้าเมืองจิ๋นจึงสั่งให้เอาทองมาแจกให้พวกโจรทั้งสามร้อยแล้วว่า เราให้เป็นรางวัลแก่ท่าน จงเอาไปขายซื้อตามชอบใจเถิด พวกโจรจึงว่า ข้าพเจ้ามาช่วยทั้งนี้เพราะคิดถึงคุณท่านหาเห็นแก่บำเหน็จรางวัลไม่ ท่านเอาทองไว้แจกทหารในกองทัพเถิด ว่าแล้วก็คำนับลาพากันกลับไปที่อยู่
เจ้าเมืองจิ๋นจึงให้ตรวจตราทหารในกองทัพ เหลืออยู่ประมาณสิบส่วนตายเสียส่วนหนึ่ง แต่เป๊กอิดเปีย แม่ทัพหน้าหายไปในที่รบหารู้ว่าตายเป็นไม่ จึงสั่งทหารให้เที่ยวตามไปถึงที่หลุมแห่งหนึ่ง ได้ยินเสียงคนหายใจรวนอยู่ก็ชวนกันเข้าไปดูเห็น เป๊กอิดเปีย โต๊ะไงอีกอดกันล้มกลิ้งอยู่ในหลุม ต่างคนสิ้นกำลังพูดหาออกไม่ ทหารทั้งปวงชวนกันเข้าพยุงยกเป๊กอิดเปีย โต๊ะไงอี ขึ้นใส่เกวียนแล้วพากลับมาค่ายเข้าไปคำนับเจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นเห็นเป๊กอิดเปีย โต๊ะไงอี ถ้อยทีจับกันไว้มั่นคงหาวางมือไม่ จึงถามว่าทหารจิ้นฮุยก๋งคนนี้ชื่อใด ก๋งจูจีจึงว่า ชื่อโต๊ะไงอีเป็นนายทหารเอกของจิ้นฮุยก๋ง เจ้าเมืองจิ๋นจึงชมว่า มิเสียทีทหารทั้งสองสู้กันจนสิ้นกำลังแล้วยังไม่ละลด ใจคอสามารถ และโต๊ะไงอีนี้เราคิดว่าจะเลี้ยงไว้เป็นทหารไม่ฆ่าเสียขุนนางทั้งปวง จะเห็นประการใด
ก๋งจูจีจึงว่า โต๊ะไงอีคนนี้ที่ฆ่าโต๊ะจูลีเค็กตาย โทษผิดอยู่จะเลี้ยงไว้มิได้ ขอให้ประหารชีวิตเสียจึงจะชอบ เจ้าเมืองจิ๋นได้ฟังดังนั้นจึงสั่งทหารให้เอาตัวโต๊ะไงอีไปตัดศีรษะเสียบประจานไว้ แล้วเจ้าเมืองจิ๋นถอดเสื้อที่ใส่ให้เป๊กอิดเปียเป็นรางวัล แล้วให้เป๊กลีเหพาเป๊กอิดเปียไปรักษาตัวอยู่เมืองจิ๋นก่อน ขณะเมื่อเป๊กอิดเปียสู้กับโต๊ะไงอีนั้นบอบชํ้านัก ครั้นกลับไปถึงเมืองจิ๋นก็รากโลหิตออกมาถังหนึ่ง อยู่ประมาณครึ่งปีจึงหายเป็นปกติ เจ้าเมืองจิ๋นจึงให้หากงซุนกีมาปรึกษาว่า เรามีชัยชนะครั้งนี้ เพราะเทพยดาช่วย ด้วยเดชะความสัตย์ของเรา อีฮูเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อเรา เราจะฆ่าเสีย
กงซุนกีจึงว่า เมืองจิ้นเป็นเมืองใหญ่ จะฆ่าเจ้าเมืองเสียนั้นขุนนางและราษฎรชาวเมืองจะมีใจเจ็บแค้นท่านเป็นเสี้ยนหนามต่อไป อนึ่งนางเป๊กกีรู้ว่าท่านฆ่าจิ้นฮุยก๋งเสียก็จะมีความน้อยใจนัก ก๋งจูจีจึงว่า จิ้นฮุยก๋งเป็นคนเสียสัตย์ มิได้รักษาบ้านเมืองโดยสุจริตซึ่งจะฆ่าเสียนั้นควรอยู่แล้ว ขอให้ตั้งต๋งนีผู้พี่จิ้นฮุยก๋งเป็นเจ้าเมืองแทน ใครจะมีใจเจ็บแค้นเราต่อไปอีกเล่า กงซุนกีจึงว่า จะฆ่าน้องเสียตั้งพี่แทนนั้นเห็นผิดธรรมเนียมอยู่ เจ้าเมืองจิ๋นจึงว่า เมื่อท่านทั้งสองแก่งแย่งกันอยู่ฉะนี้จะให้ปล่อยจิ้นฮุยก๋งเสียหรือ หรือจะให้เอาไปจำใส่ตรุไว้เมืองเรา
กงซุนกีจึงว่า ให้จิ้นฮุยก๋งยกห้าหัวเมืองให้เราตามสัญญาไว้กับท่าน ขอตัวซีจูหงีผู้บุตรจิ้นฮุยก๋งไปไว้เป็นขุนนางอยู่ในเมืองเราด้วย ตัวจิ้นฮุยก๋งนั้นให้ไปเป็นเจ้าเมืองดังเก่า ถึงจะคิดคดต่อท่านก็ขัดอยู่ด้วยบุตรอยู่ในเงื้อมมือเรา เจ้าเมืองจิ๋นสั่งให้กงซุนกีไปเอาตัวจิ้นฮุยก๋งกับทหารจิ้นฮุยก๋งเข้ามาพร้อมกัน แล้วว่ากับจิ้นฮุยก๋งว่า เดิมตัวหนีบิดาไปอยู่เมืองเหลียง เราช่วยทำนุบำรุงจนได้เป็นเจ้าเมืองก็มิได้ยกห้าหัวเมืองให้ตามสัญญา ข้อนี้ตัวเสียสัตย์ ครั้นให้ไปขอซื้อข้าวเราก็ให้โดยง่าย ถึงทีเราให้ไปพึ่งบ้างกลับท้าทายว่าถ้าจะใคร่ได้ข้าวก็ให้ยกมาตีเมืองจิ้น บัดนี้เราก็มาจับตัวได้จงไปอยู่กินข้าวเมืองเราเถิด จิ้นฮุยก๋งก็ก้มหน้านิ่งอยู่ ฮันกันจึงว่า จิ้นฮุยก๋งนายข้าพเจ้าไม่ซื่อสัตย์ต่อท่านจึงเป็นดังนี้ แต่ข้าพเจ้าทั้งปวงสัตย์ซื่อคิดถึงคุณท่านอยู่มิได้ขาด เจ้าเมืองจิ๋นจึงให้กงซุนกีคุมเอาตัวจิ้นฮุยก๋งกับทหารจิ้นฮุยก๋งล่วงหน้าไปไว้ ณ เขาไทสันนอกเมืองจิ๋นที่จับหลีเตงเป็นที่สำนักรับแขกเมืองแล้วเจ้าเมืองจิ๋นก็ยกตามมา
ฝ่ายนางเป๊กกีตั้งแต่รู้ข่าวว่าก๋งจูบุนผู้ผัวจับจิ้นฮุยก๋งผู้น้องคุมมาไว้กองทัพ ก็เป็นทุกข์กลัวจะฆ่าจิ้นฮุยก๋งเสียหาเป็นกินเป็นนอนไม่ หญิงคนใช้จึงว่า เจ้าเมืองจิ๋นได้มีคุณไว้ต่อจิ้นฮุยก๋งเป็นอันมาก น้องท่านหากเสียสัตย์หารู้จักคุณไม่ ถึงเจ้าเมืองจิ๋นจะฆ่าเสียก็ควรอยู่แล้ว อย่าเศร้าโศกคิดอาลัยถึงเขาเลย นางเป๊กกีจึงว่า จิ้นฮุยก๋งน้องเราเป็นเด็กถึงจะทำผิดประการใดก็ดี ประเวณีพี่น้องฆ่ากันไม่ตาย ทั้งนี้เพราะเจ้าเมืองจิ๋นไม่คิดถึงเราจึงทำให้ได้ความอัปยศ จะดูหน้าชาวเมืองจิ๋นไปกระไรได้ ครั้นเพลาเช้านางเป๊กกีก็ออกไปอยู่ที่ตำหนักห้องกลางสวนดอกไม้ แล้วให้เอาฟืนมากองไว้ใต้ตำหนักห้องเป็นอันมาก สั่งให้ขุนนางซึ่งอยู่รักษาเมืองนั้นนุ่งขาวห่มขาวสิ้น ถ้ารู้ว่าก๋งจูบุนฆ่าจิ้นฮุยก๋งเสียเมื่อใดนางก็จะจุดไฟเผาห้องฆ่าตัวเสียเมื่อนั้น
ฝ่ายก๋งจูบุนครั้นมาถึงแดนเมืองจิ๋นก็ยับยั้งนอกเมือง ขุนนางซึ่งอยู่ในเมืองรู้ก็ชวนกันออกมารับ ก๋งจูบุนเห็นขุนนางนุ่งขาวห่มขาวก็มีความสงสัย จึงถามว่าเหตุใดท่านทำดังนี้ ขุนนางทั้งปวงก็แจ้งความซึ่งนางเป๊กกีคิดจะฆ่าตัวเสียให้ฟัง ก๋งจูบุนได้แจ้งดังนั้นตกใจนัก จึงว่าหากกงซุนกีทัดทานไว้จึงมิได้ฆ่าอีฮูเสีย หาไม่นางเป๊กกีจะฆ่าตัวเสียด้วย ท่านจงกลับไปบอกนางเป๊กกีว่า เราจะปล่อยจิ้นฮุยก๋งกลับไปเมืองแล้วอย่าน้อยใจเลย ให้นางคืนเข้าไปอยู่ที่ข้างในเถิด ขุนนางทั้งปวงก็คำนับลามาแจ้งความแก่นางเป๊กกีตามคำก๋งจูบุนสั่ง นางเป๊กกีมีความยินดีกลับเข้าไปอยู่ข้างในดังเก่า
ฝ่ายจิ้นฮุยก๋งต้องคุมอยู่ ณ เขาไทสัน จึงปรับทุกข์กับฮันกันว่า ขณะเมื่อก๋งจูบุนให้ไปขอนางเป๊กกีต่อบิดาเรา เราได้ให้โหรดูว่านานไปเมืองจิ๋นกับเมืองจิ้นจะต้องรบพุ่งกัน ซึ่งเราได้มาทนทุกข์ทั้งนี้เพราะบิดาเราไม่ฟังโหรทาย ยกนางเป๊กกีพี่เราให้ก๋งจูบุน ฮันกันจึงว่า ซึ่งว่าเพราะบิดาท่านยกนางเป๊กกีให้เป็นภรรยาเจ้าเมืองจิ๋นเราจึงได้ความยาก ก็ครั้งเมื่อท่านหนีบิดาท่านมา ใครเล่าทำนุบำรุงท่านจนได้เป็นเจ้าเมืองจิ้น เมื่อท่านมาทำโทษใส่ตัวเองอย่าน้อยใจเลย จิ้นฮุยก๋งก็นิ่งอยู่
ฝ่ายก๋งจูบุนจึงสั่งกงซุนกีว่า ท่านจงไปบอกจิ้นฮุยก๋งให้ยกห้าหัวเมืองให้เราตามสัญญา กับจะขอให้ซีจูหงีผู้บุตรมาไว้เมืองเราด้วย ถ้าจิ้นฮุยก๋งยอมให้ดังนี้จึงจะปล่อยตัวไปเมืองจิ้น กงซุนกีก็ไปบอกจิ้นฮุยก๋งตามสั่ง แล้วว่า ขุนนางทั้งปวงกับเรามีความแค้นท่านนักจะใคร่ให้เจ้าเมืองจิ๋นฆ่าเสีย ซึ่งท่านรอดชีวิตอยู่ทั้งนี้ก็เพราะบุญนางเป๊กกีผู้พี่ท่าน จิ้นฮุยก๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งคับอิดว่า ท่านจงกลับไปเมืองจิ้นเอาบัญชีหัวเมืองทั้งห้าตำบล กับพาก๋งจูหงีมาโดยเร็ว คับอิดก็คำนับลาจิ้นฮุยก๋งไป ครั้นถึงเมืองจิ้นจึงเข้าไปบอกขุนนางซึ่งอยู่ในเมืองตามคำจิ้นฮุยก๋งสั่งทุกประการ
ขุนนางจึงปรึกษากันว่า ซึ่งจะยกห้าหัวเมืองให้แก่เจ้าเมืองจิ๋นตามสัญญานั้นควรอยู่แล้ว แต่ตัวซีจูหงียังไม่ยอมให้ไปก่อน ต่อจิ้นฮุยก๋งได้กลับมาเมื่อใดจึงจะส่งตัวซีจูหงีไปให้เจ้าเมืองจิ๋น ครั้นปรึกษาพร้อมใจกันแล้วก็ให้คนใช้รีบไปเอาบัญชีผู้คนข้าวของบรรดาซึ่งอยู่ในหัวเมืองทั้งห้าตำบล ครบจำนวนแล้วมอบให้ลีอี้เสงเอาไปให้เจ้าเมืองจิ๋น เจ้าเมืองจิ๋นจึงถามลีอี้เสงว่า ท่านเอาแต่บัญชีหัวเมืองห้าตำบลมาให้เรา ซีจูหงีนั้นเหตุใดไม่มาด้วยเล่า ลีอี้เสงคำนับแล้วเล่าความซึ่งขุนนางทั้งปวงไม่ยอมให้ซีจูหงีมานั้นให้เจ้าเมืองจิ๋นฟัง
เจ้าเมืองจิ๋นจึงว่า ขุนนางเมืองจิ้นคิดการทั้งนี้ จะไม่รักให้จิ้นฮุยก๋งไปเป็นเจ้าเมืองหรือ ลีอี้เสงจึงว่า ขุนนางพวกหนึ่งสัตย์ซื่อรู้จักคุณท่าน จะให้ซีจูหงีมาเปลี่ยนเอาจิ้นฮุยก๋งไปเป็นเจ้าเมือง พวกที่ไม่สัตย์ซื่อนั้นหารักให้จิ้นฮุยก๋งกลับไปเมืองไม่ จะตั้งซีจูหงีขึ้นเป็นเจ้าแทน แล้วจะยกมารบแก้แค้นท่าน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านจับจิ้นฮุยก๋งมาได้ทั้งนี้ ก็เป็นสง่าแก่หัวเมืองทั้งปวงอยู่แล้ว ถ้าท่านปล่อยจิ้นฮุยก๋งกลับไปเมือง ก็จะมีผู้สรรเสริญท่านว่าใจบุญเมตตาสัตย์ เจ้าเมืองจิ๋นได้ฟังก็หัวเราะว่า ลีอี้เสงพูดต้องกับความคิดเรา แล้วสั่งเป๊กลีเบ้งเบ๋งให้ไปจัดแจงดูหัวเมืองทั้งห้าตำบลให้ราบคาบเป็นปกติ เจ้าเมืองจิ๋นจัดขุนนางที่สนิทวางใจได้ห้าคนรายกันไปอยู่เป็นเจ้าเมืองทั้งห้าตำบล และจิ้นฮุยก๋งกับทหารซึ่งคุมไว้นั้นก็ให้เข้ามาอยู่เมืองจัดแจงเลี้ยงดูเป็นปกติอย่างแต่ก่อน อยู่ประมาณสามเดีอน จิ้นฮุยก๋งก็ลาก๋งจูบุนกลับไปเมืองจิ้น ก๋งจูบุนก็ให้หมูร้อยหนึ่ง โคร้อยหนึ่ง แพะร้อยหนึ่งเป็นเสบียงไปกินกลางทาง แล้วให้กงซุนกีตามไปส่งจิ้นฮุยก๋ง แต่เค็กเสียทหารจิ้นฮุยก๋งนั้นป่วยเป็นไข้ตายเสียกลางทาง