- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๙
ฝ่ายเจ๋ฮูก๋งเจ้าเมืองเจ๋แจ้งว่าก๋งจูฮุดได้ลูกสาวเจ้าเมืองตินเป็นภรรยาก็น้อยใจนัก จึงคิดว่านางบุนเกียงบุตรีเราก็งามถึงเพียงนี้จะวิตกอะไรที่จะหาคู่มิได้ เจ๋ฮูก๋งนั้นมีบุตรีสองคนพี่ชื่อซุนเกียง น้องชื่อบุนเกียง และนางซุนเกียงผู้พี่นั้นเจ้าเมืองโอยมาขอไปเป็นภรรยา ยังแต่บุนเกียงผู้น้องนั้นรูปร่างงาม อิสตรีในเมืองเจ๋ไม่มีเหมือน
เจ๋ฮูก๋งมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อก๋งจูหยี ต่างมารดากับนางบุนเกียง นางบุนเกียงอ่อนกว่าก๋งจูหยีสองปี ก๋งจูหยีนั้นรูปงามเฉลียวฉลาด มักเสพสุราเป็นนักเลงเล่นชู้สาว นางบุนเกียงกับก๋งจูหยีขณะเมื่อยังเด็กเล็กอยู่นั้นเล่นด้วยกัน ครั้นก๋งจูหยีรุ่นหนุ่ม นางบุนเกียงรุ่นสาว ก๋งจูหยีกับนางบุนเกียงก็ลอบรักสมัครสังวาสกันผู้ใดมิได้รู้ด้วยไม่สังเกต
เจ๋ฮูก๋งขณะเมื่อก๋งจูฮุดบุตรเจ้าเมืองเตงมาช่วยทำการศึกเมืองเจ๋นั้น เจ๋ฮูก๋งสรรเสริญต่อหน้านางบุนเกียงว่า ก๋งจูฮุดบุตรเจ้าเมืองเตงรูปร่างงามฝีมือรบพุ่งก็เข้มแข็ง บรรดาลูกเจ้าเมืองน้อยใหญ่หามีเสมอก๋งจูฮุดไม่ นางบุนเกียงได้ฟังบิดาสรรเสริญก๋งจูฮุดดังนั้น ก็คิดรักใคร่ผูกพันในก๋งจูฮุดนัก ครั้นรู้ว่าก๋งจูฮุดไปได้ลูกสาวเจ้าเมืองตินเป็นภรรยาแล้ว นางบุนเกียงก็เสียใจไม่เป็นอันกินอันนอนจนป่วยลงเพราะความตรอมใจ
ก๋งจูหยีครั้นแจ้งว่านางบุนเกียงป่วย ก็เข้าไปเยี่ยมถึงที่ข้างใน เห็นนางบุนเกียงนอนผินหลังออกมาข้างหน้าเตียง ก๋งจูหยีจึงนั่งลงข้างหลังเอามือพาดลงที่สะเอว นางบุนเกียงแล้วถามว่าเจ้าเจ็บป่วยประการใด นางบุนเกียงเหลียวมาเห็นก๋งจูหยีก็ทำเป็นโกรธผลักมือเสียแล้วว่า ถ้าตายก็ตายเสียเปล่า นี่หากว่าไม่ตายจึงได้มาเห็นหน้า ก๋งจูหยีจึงว่าถ้าเจ้าไม่ป่วยที่ไหนพี่จะได้พบเจ้า หญิงคนใช้ที่ปรนนิบัติรู้ทีก็ผ่อนกันออกมาเสียจากนอกฉาก ก๋งจูหยีกับนางบุนเกียงก็พูดจาถูกต้องกันตามเคยมาแต่ก่อน
ขณะนั้นเจ๋ฮูก๋งแจ้งว่านางบุนเกียงป่วยก็ลงไปเยี่ยม พบก๋งจูหยีกับนางบุนเกียงอยู่สองต่อสอง เห็นกิริยาประหลาดก็คิดกริ่งใจจึงว่ากับก๋งจูหยีว่า น้องเป็นสาวเจ้าเป็นหนุ่มเข้ามาอยู่ไยในที่ลับดังนี้ แต่บิดาแลจะเห็นใจเจ้า คนข้างนอกเขาจะมิครหานินทาหรือ ก๋งจูหยีมิได้ตอบประการใด เจ๋ฮูก๋งจึงกำชับหญิงคนใช้ให้ผลัดเปลี่ยนกันพยาบาลอย่าให้ขาดได้ แล้วเจ๋ฮูก๋งก็กลับมาที่อยู่ จึงให้ผู้มีสติปัญญาไปขอลูกสาวเจ้าเมืองซองให้ก๋งจูหยี เจ้าเมืองซองก็ยอมให้ ก๋งจูหยีแจ้งว่าบิดาไปขอลูกสาวเจ้าเมืองซองได้ก็มีความยินดีนัก แต่นั้นมาก็มิได้ให้คนใช้ไปถามข่าวนางบุนเกียงเลย นางบุนเกียงก็ยิ่งเสียใจป่วยหนักลง เจ๋ฮูก๋งก็ไม่สบายกำชับผู้พยาบาลทุกเวลา
ฝ่ายเจ้าเมืองฬ่อได้สมบัติแต่อายุสิบห้าปี ยังไม่มีภรรยาหลวง ก๋งจูเต๊กกับขุนนางผู้ใหญ่จึงว่า ประเพณีเจ้าเมืองถ้าอายุสิบห้าปีก็จำจะหาภรรยาจะได้มีบุตรสืบแซ่ต่อไป เจ้าเมืองฬ่อจึงว่า ทุกวันนี้ก็คิดอยู่แต่มิได้แจ้งว่าลูกสาวเจ้าเมืองใดจะดี ก๋งจูเต๊กซึ่งเป็นที่ไทไจจึงว่า ข้าพเจ้าได้ยินคำลูกค้าไปขาย ณ เมืองเจ๋มาสรรเสริญว่าลูกสาวเจ้าเมืองเจ๋ชื่อนางบุนเกียงรูปงามนัก ทั้งสติปัญญาก็เฉลียวฉลาด ผู้รู้กล่าวกลอนและโคลงชมโฉมนางบุนเกียงไว้ว่า ผิวเนื้อหน้านวลเหมือนดอกโถเมื่อต้องแสงพระจันทร์ ทีจะยิ้มก็งามเหมือนดอกไม้เพิ่งจะแย้ม กิริยาอัชฌาสัยน่าชมเหมือนหยกอย่างดี สมกับที่ชื่อนางบุนเกียง
เจ้าเมืองฬ่อได้ฟังดังนั้นก็เกิดรักใคร่นางบุนเกียง จึงว่าทำประการใดเราจะได้นางบุนเกียงมาเป็นภรรยา ก๋งจูเต๊กจึงว่าเมืองเราก็เป็นเมืองใหญ่ ยศศักดิ์เสมอกันกับเมืองเจ๋ ท่านไปขอนางบุนเกียงเห็นเจ๋ฮูก๋งจะไม่ตัดไมตรีท่าน เจ้าเมืองฬ่อให้ก๋งจูเต๊กคุมเครื่องบรรณาการไปขอนางบุนเกียงจากเจ้าเมืองเจ๋ เจ๋ฮูก๋งก็ยอมให้แล้วว่า บัดนี้นางบุนเกียงบุตรเรายังป่วยอยู่ ถ้าหายแล้วท่านจึงแต่งคนมารับเถิด ก๋งจูเต๊กคำนับลามาแจ้งแก่เจ้าเมืองฬ่อทุกประการ เจ้าเมืองฬ่อก็มีความยินดีนัก จึงแต่งให้คนสนิทผลัดเปลี่ยนกันไปสืบข่าวนางบุนเกียงมิได้ขาด
ฝ่ายเจ๋ฮูก๋งครั้นถึง ณ วันฤกษ์ดี ก็แต่งการไปรับลูกสาวเจ้าเมืองซองมาให้อยู่กินกับก๋งจูหยีผู้บุตร เจ้าเมืองฬ่อก็แต่งเครื่องบรรณาการมาคำนับทำขวัญ เจ๋ฮูก๋งก็มีความยินดี ฝ่ายนางบุนเกียง ครั้นแจ้งว่าบิดายกให้เจ้าเมืองฬ่อแล้วก็สิ้นความทุกข์ป่วยก็คลายขึ้น คนสนิทเจ้าเมืองฬ่อให้มาสืบอาการก็กลับไปแจ้งกับเจ้าเมืองฬ่อว่านางบุนเกียงหายป่วยแล้ว เจ้าเมืองฬ่อก็มีความยินดียิ่งนัก จึงให้ก๋งจูเต๊กกำหนดนัดการ ณ เมืองเจ๋ เจ๋ฮูก๋งจึงว่าบุตรเราหายแล้ว ท่านจะรับไปเมื่อไรก็ตามเถิด ก๋งจูเต๊กก็มาแจ้งความแก่เจ้าเมืองฬ่อตามคำเจ๋ฮูก๋ง เจ้าเมืองฬ่อก็จัดแจงเตรียมการไว้พร้อม คอยวันฤกษ์ดีจะไปรับนางบุนเกียง
ฝ่ายก๋งจูหยีครั้นแจ้งว่าก๋งจูเต๊กมานัดงานจึงคิดว่านางบุนเกียงจะไปเมืองฬ่อเสียแล้ว ทำประการใดจะได้ชมเชยให้อิ่มใจ ก๋งจูหยีแต่งโคลงเป็นใจความว่า โถอูหัว แปลว่าดอกโถเกิดในดวงพระจันทร์ ซันกีแฮ ได้เคยชมเป็นที่ชื่นใจ ตองฮ่อบุตเทีย ใจไม่ลืมที่เคยชื่นเลย เผียวหยีฮุยเซีย จะต้องจำใจชมดอกหญ้า อูเจียฮีฮกจูเอีย ใจจะขาดคิดเสียดายไม่รู้ลืมเลยด้วยความอาลัย ครั้นทำโคลงแล้ว จึงให้หญิงคนสนิทเอาซ่อนใส่ในกระเช้าดอกไม้ ลอบไปให้นางบุนเกียง นางบุนเกียงรับมาอ่านดูได้ความแล้ว จึงเขียนโคลงตอบไปใจความว่า โถอูเฮง แปลว่าดอกโถเกิดในดวงพระจันทร์ ฮ่อหัวกีเลง แต่ก่อนมีผู้คอยชมรัศมี กิมจือบุตเทีย บัดนี้ก็หาเป็นที่ต้องการไม่ กีขอไหลฉุน เห็นฤดูดอกโถจะไม่กลับมา ฮูหลงฮูฮกฮูเหลง ถึงสั่งก็สั่งเสียเปล่า เขียนแล้วจึงพับผนึกส่งให้คนเอาไปให้ก๋งจูหยี ก๋งจูหยีอ่านแจ้งความแล้วก็ยิ่งรักนางบุนเกียงหนัก นอนรำพึงหาเหตุจะได้พบพูดจากันสักครั้งหนึ่งก็ไม่สมความคิด
ก๋งจูหยีมีความร้อนใจนัก จึงคิดทำจะอาสาไปส่งนางบุนเกียงเห็นจะได้ส่งนางสมความคิด ก๋งจูหยีจึงเข้าไปคำนับเจ๋ฮูก๋งแล้วว่า ซึ่งบิดาจะไปส่งนางบุนเกียงครั้งนี้ เจ้าเมืองฬ่อหาได้มารับเองไม่ การบ้านเมืองก็มีมากขอจงอยู่รักษาเมืองเถิด ข้าพเจ้าจะขอไปส่งนางบุนเกียงเอง
เจ๋ฮูก๋งจึงว่า เราได้ออกปากว่าจะไปส่งนางบุนเกียงแล้ว ครั้นจะมิไปเจ้าเมืองฬ่อก็จะน้อยใจ ขณะเมื่อพูดกันอยู่พอมีผู้มาแจ้งแก่เจ๋ฮูก๋งว่าก๋งจูเต๊กขุนนางเมืองฬ่อจะมารับบุตรีท่าน เจ๋ฮูก๋งก็ได้จัดทรัพย์สิ่งของบรรทุกเกวียนไว้เป็นอันมาก แล้วให้นางบุนเกียงไปเที่ยวลาญาติพี่น้องทั้งปวง นางบุนเกียงก็ไปลาก๋งจูหยี ก๋งจูหยีรู้ว่านางบุนเกียงมาก็มารับเชิญให้นั่งที่อันเดียวกัน จึงสั่งให้หญิงคนใช้ยกโต๊ะมาตั้งแล้ว ก๋งจูหยีว่ากับนางบุนเกียงว่า เจ้ากับพี่แต่ก่อนเคยเสพสุราด้วยกันบัดนี้จะจากพี่ไปแล้ว จงเสพสุราด้วยกันกับพี่ให้สบายสักเวลาหนึ่งเถิด แล้วก๋งจูหยีก็รินสุราส่งให้นางบุนเกียง นางบุนเกียงจึงว่า ข้าพเจ้าป่วยครั้งนี้ยังหาหายสนิทไม่ ยังเป็นเม็ดตอดอยู่ในคอจะเสพสุราที่พี่รินนี้ที่ไหนจะกลืนเข้าไปได้
ก๋งจูหยีได้ฟังนางบุนเกียงพูดจาเหน็บแนมดังนั้นก็ยิ้มอยู่ ครั้นจะโต้ตอบก็เห็นหญิงคนใช้ตามมามากเกรงจะเกิดความ จึงว่า ครั้งนี้เจ้าจะมีแต่วันไกลแล้วหนอ นางบุนเกียงจึงตอบว่า ถ้าปีเดือนวันดีจะกลับมามีอยู่ แล้วนางบุนเกียงคำนับลาก๋งจูหยี ก๋งจูหยีแลตามจนลับตาคิดเศร้าใจ ฝ่ายเจ๋ฮูก๋งครั้นถึง ณ วันฤกษ์ดีก็ไปส่งนางบุนเกียง ณ เมืองฬ่อ
ขณะนั้นพระเจ้าฮวนอ๋องครองเมืองหลวงได้สิบแปดปี มีผู้มาทูลว่า หงอเสงแอบรับสั่งเที่ยวตีหัวเมืองทั้งปวงได้ความเดือดร้อนก็ทรงพระโกรธ จึงตรัสกับขุนนางทั้งปวงว่า หงอเสงคิดทำการดังนี้ จำเราจะยกทัพไปกำจัดหงอเสงเสียจากเมืองเตง เค็กก๋งหลิมฮูจึงทูลว่า หงอเสงนั้นตั้งแต่ปู่และบิดาจนตัวหงอเสงได้ทำความชอบไว้ต่อแผ่นดินหลายครั้ง ซึ่งหงอเสงทำผิดก็ขอให้มีรับสั่งไปหาตัวมาทำโทษพอสมควร ที่จะยกทัพไปนั้นจะเสียพระเกียรติยศ
พระเจ้าฮวนอ๋องจึงตรัสว่า หงอเสงดูหมิ่นเราหลายครั้งแล้ว ซึ่งจะไปหาตัวมานั้น ถ้าหงอเสงมิมาเราจะได้อัปยศแก่หัวเมืองทั้งปวง เราจะไปเองจึงจะได้ตัวหงอเสง แล้วพระเจ้าฮวนอ๋องสั่งให้เกณฑ์กองทัพยกไปตีเมืองเตง
ฝ่ายหงอเสงรู้จึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า พระเจ้าฮวนอ๋องให้ทหารยกกองทัพมาตีเมืองเรา ท่านทั้งปวงจะคิดประการใด
ชัวจกที่ปรึกษาจึงว่า ครั้งนี้พระเจ้าฮวนอ๋องเสด็จมาเอง ครั้นเราจะรบพุ่งต้านทานก็เหมือนหากตัญญูไม่ ขอท่านจงแต่งเครื่องบรรณาการไปอ้อนวอนรับผิดแต่โดยดีจึงจะชอบ หงอเสงจึงว่า ปู่และบิดาเราก็ได้ทำความชอบมาสามแผ่นดินแล้ว ตัวเราก็ได้ทำความชอบเป็นอันมาก ซึ่งพระเจ้าฮวนอ๋องยกมาครั้งนี้ด้วยกำลังโทโส จะให้เอาดีต่อนั้นแม้นไม่สมคิดแล้วจะแก้ตัวยาก จำจะคิดรบพุ่งพอรักษาชีวิตและกระดูกบิดามารดาไว้ก่อน
โกกีนีจึงว่า พระเจ้าฮวนอ๋องยกทัพมาครั้งนี้ จะทำอะไรได้กับเมืองเรา ด้วยพระเจ้าฮวนอ๋องให้ทัพเมืองชัว เมืองโอยเป็นปีกซ้าย ให้ก๋งจูโถเมืองตินคุมทหารเข้ากองหลวง และก๋งจูโถกับเราก็ชอบกัน ซึ่งยกมานี้เพราะขัดรับสั่งพระเจ้าฮวนอ๋องไม่ได้ ประการหนึ่งก๋งจูโถฆ่าก๋งจูเมียนผู้พี่เสีย ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมืองตินใหม่ ทหารเอกทหารเลวก็ยังหาพร้อมใจกันไม่ ข้าพเจ้าคิดว่าจะออกโจมตีทัพหลวงทีเดียว ทหารก๋งจูโถไม่เป็นใจรบก็จะแตกไปโดยง่าย ถ้าทัพหลวงแตกแล้วทัพเมืองชัว เมืองโอย ก็จะพลอยแตกไปเอง หงอเสงก็เห็นชอบด้วย พอชาวด่านมาแจ้งว่าทัพพระเจ้าฮวนอ๋องยกมาตั้งค่ายมั่นอยู่ตำบลฮิกก๊ก หงอเสงจึงจัดทัพให้ทันเซ็กเป็นปีกซ้าย ชัวจกเป็นปีกขวา ให้โกกีนีจ๊กเยียมเป็นทัพหน้า ให้หงวนหวนกับแฮซกเองอยู่ในกองทัพ หงอเสงก็ยกมาตั้งค่ายมั่นลง ณ ตำบลฮิกก๊กใกล้ค่ายพระเจ้าฮวนอ๋อง ประมาณห้าสิบเส้น
พระเจ้าฮวนอ๋องเห็นกองทัพหงอเสงยกมาก็ยิ่งทรงพระโกรธนัก จึงสั่งให้เตรียมทหารจะเสด็จออกไปรบ เค็กกงหลิมฮูจึงทูลว่าพระองค์เป็นกษัตริย์ซึ่งจะออกรบกับทหารเมืองเตงถึงจะมีชัยชนะก็ไม่เป็นเกียรติยศ ขอให้แต่งทหารที่มีฝีมือออกรบไปก่อน พระเจ้าฮวนอ๋องก็เห็นด้วย จึงให้ก๋งจูโถ เค็กก๋ง หลิมฮูออกไปรบ นายทหารทั้งสามก็ยกทหารไปถึงหน้าค่ายหงอเสงแล้วให้ตีกลองรบและม้าล่ออื้ออึงขึ้น
หงอเสงเห็นดังนั้น ก็ให้กำชับนายทหารปีกซ้ายขวาให้คอยดูธงสำคัญค่ายแม่ทัพ ถ้าเห็นธงใหญ่ยกขึ้นก็ให้พร้อมกันระดมตีตะลุมบอนให้กระทั่งถึงทัพหลวง นายทหารทั้งสามกองก็เตรียมตัวคอยดูธงสัญญาอยู่
ฝ่ายก๋งจูโถกับเค็กก๋งหลิมฮูมิได้เห็นทหารหงอเสงออกมารบ ก็ให้ทหารเลวเข้าไปร้องท้าทายหงอเสงเป็นข้อหยาบช้าต่างๆ ทหารในค่ายหงอเสงก็สงบอยู่ ทหารก๋งจูโถเข้าไปร้องท้าทายแต่เช้าจนเวลาบ่าย ฝ่ายหงอเสงนั่งเสพสุราอยู่บนหอรบ ครั้นเห็นทัพก๋งจูโถ ทั้งม้าทั้งคนอิดโรยกำลังด้วยต้องแสงแดดร้อน หงอเสงก็ให้แฮซกเองโบกธงสัญญาขึ้น โกกีนีก็ยกทหารออกจากค่ายเข้ารบกับทัพก๋งจูโถ ก๋งจูโถไม่เป็นใจรบพุ่งก็แตกถอยมาปะทะทัพหลวง โกกีนีได้ทีก็พาทหารไล่ฆ่าฟันทหารก๋งจูโถเข้าประตูค่ายมิทัน ก็พังค่ายหลวงทลายลงทั้งสี่ด้าน ทหารในกองทัพก็แตกตื่นหนีออกจากค่ายเป็นอลหม่าน
หงอเสงรีบยกหนุนโกกีนีไป ทหารเมืองเตงฆ่าฟันทหารในกองทัพหลวงล้มตายเป็นอันมาก พระเจ้าฮวนอ๋องเห็นจะต้านทานมิได้จึงให้เค็กก๋งหลิมฮูมาป้องกันทหารข้างหลัง พระเจ้าฮวนอ๋องก็พาทหารถอยรบไปทางประมาณสามสิบเส้น จ๊กเยียมนายทหารเมืองเตงเห็นได้ทีคุมทหารออกจากชายป่ารบสกัดต้านหน้าไว้ ทหารในกองทัพหลวงเห็นกองทัพมาสกัดต้นทางก็ตกใจ ต่างทิ้งม้าและเครื่องสาตราวุธ วิ่งบุกป่าไปเหยียบกันตายเป็นอันมาก เค็กก๋งหลิมฮูเห็นดังนั้นก็ทิ้งทวนเสียถอดกระบี่ออกโจนจากเกวียนวิ่งสกัดทหารซึ่งหนีเข้าป่านั้น ฟันตายลงเป็นหลายคน แล้วตัดเอาศีรษะชูขึ้นประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่า ศึกเสียทีแต่เพียงนี้หาควรที่จะตกใจวุ่นวายไม่ ถ้าผู้ใดไม่เป็นใจจะรบพุ่งข้าศึกเราจะตัดศีรษะเสียเหมือนทหารคนนี้ ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นกลัวอาญากลับหน้ามารบพุ่งกับทหารจ๊กเยียมเป็นสามารถ
จ๊กเยียมแลไปเห็นพระเจ้าฮวนอ๋องทรงเกราะทองกั้นสัปทนยืนอยู่กลางทหาร จึงเอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกพระเจ้าฮวนอ๋องล้มลง ทหารซึ่งรักษาพระองค์ก็เข้าไปประคองไว้ และลูกเกาทัณฑ์นั้นตัดเกราะเข้าไปพอถึงฉลองพระองค์ชั้นในมิได้เป็นอันตรายพระองค์
ขณะเมื่อพระเจ้าฮวนอ๋องล้มลงนั้น จ๊กเยียมขับม้าฝ่าทหารเข้าไปจะจับพระเจ้าฮวนอ๋อง เค็กก๋งหลิมฮูก็กลับเข้ารบกับจ๊กเยียม พอหงวนหวนกับทหารหงอเสงตามเข้าไปทัน ก็เข้าช่วยจ๊กเยียมรุมรบกับเค็กก๋งหลิมฮูเป็นสามารถ
หงอเสงเร่งทหารหนุนมาข้างหลัง แลไปเห็นทัพพระเจ้าฮวนอ๋องแตกยับเยิน จึงคิดว่าถ้าจะให้ทหารตามตีซ้ำเติมไปบัดนี้ เห็นพระเจ้าฮวนอ๋องจะเป็นอันตรายในกลางศึกเป็นมั่นคง แม้นพระเจ้าฮวนอ๋องเป็นอันตรายลงเพราะทหารเรา คนทั้งแผ่นดินก็จะติเตียนว่าเราหามีกตัญญูไม่ หงอเสงให้ตีม้าล่อเรียกทหารกลับ จ๊กเยียมหงวนหวนทันเต๊กได้ยินเสียงม้าล่อสัญญาก็ละจากเค็กก๋งหลิมฮูพาทหารถอยมา แต่จ๊กเยียมคิดเสียดายที่ได้ทีมิรู้แล้ว
และขณะเมื่อโกกีนีเข้าตีก๋งจูโถนั้น ชัวจกก็ตีทัพเมืองชัวเมืองโอย ทหารเมืองชัวเมืองโอยเห็นทัพหลวงแตกแล้วก็มิได้สู้รบต่างคนต่างหนีเอาตัวรอด ทันเต๊กทหารหงอเสงก็ตีทัพจิวก๋งเฮ็กเตียนแตกฆ่าทหารเลวล้มตายเป็นอันมาก
ฝ่ายพระเจ้าฮวนอ๋องครั้นทหารหงอเสงถอยไปแล้ว ก็ล่าทัพมาตั้งค่ายมั่นอยู่ไกลแดนเมืองเตงประมาณสองร้อยเส้น พอจิวก๋งเฮ็กเตียนไปถึง เข้าไปเฝ้าทูลความที่เสียทีแก่ข้าศึกนั้นทุกประการ แล้วว่าซึ่งทัพหลวงแตกยับเยินครั้งนี้เพราะทัพเมืองตินไม่เป็นใจรบ พระเจ้าฮวนอ๋องจึงตรัสว่า เราใช้คนผิดเสียแล้ว
ฝ่ายทหารหงอเสงครั้นมาถึงค่ายพร้อมกัน ต่างก็เล่าความซึ่งมีชัยชนะให้หงอเสงฟังทุกประการ แต่จ๊กเยียมนั้นว่า ข้าพเจ้าเอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกพระเจ้าฮวนอ๋องล้มลงเจียนจะได้ตัวอยู่แล้ว หากท่านให้ตีม้าล่อขึ้นพระเจ้าฮวนอ๋องจึงได้รอดตัวไปได้ หงอเสงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ คิดจะเอาโทษจ๊กเยียม ก็เกรงว่าทหารทั้งปวงจะเสียใจ จึงเรียกชัวจกไปใกล้แล้วกระซิบว่ากับชัวจกว่า พระเจ้าฮวนอ๋องเป็นกษัตริย์แซ่พระเจ้าบู๋อ๋องแต่เราแข็งเมืองสู้รบก็ผิดหนักหนาแล้ว จ๊กเยียมทหารเราซ้ำยิงเอาพระเจ้าฮวนอ๋องอีกเล่า ถ้าพระเจ้าฮวนอ๋องเป็นอันตรายลงเพราะมือทหารเรา ความชั่วจะติดชื่ออยู่ชั่วพระจันทร์พระอาทิตย์ เรามีความวิตกนักจะทำประการใดดี
ชัวจกจึงว่า ท่านว่านี้ควรนัก แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าครั้งนี้พระเจ้าฮวนอ๋องจะคิดเกรงฝีมือความคิดท่านยิ่งนัก ในฤดูนี้เห็นยังไม่คิดมาแก้แค้นท่าน ถ้าท่านแต่งเครื่องบรรณาการไปอ่อนน้อม ถึงพระเจ้าฮวนอ๋องเสียทแกล้วทหารลงครั้งนี้มากนัก ถ้าท่านมิได้กตัญญูยกตามไปตีเมืองหลวงที่ไหนพระเจ้าฮวนอ๋องจะรักษาสมบัติไว้ได้
หงอเสงก็เห็นด้วยจึงว่า อันจะให้ผู้อื่นคุมเครื่องบรรณาการไปเราไม่เต็มใจเลย จะใคร่ให้ท่านไปเองจะได้สืบพระอาการพระเจ้าฮวนอ๋องที่ถูกเกาทัณฑ์นั้นด้วย แล้วหงอเสงให้จัดโคสิบสองตัว แพะร้อยตัว ข้าวโพดสาลี และสิ่งของทั้งปวงร้อยเกวียน ให้ชัวจกรีบไปแต่ในเวลากลางคืน ชัวจกครั้นไปถึงค่ายหลวง พอพบเค็กกงหลิมฮู ชัวจกก็เล่าความที่หงอเสงใช้มานั้นให้เค็กกงหลิมฮูฟังทุกประการ
เค็กกงหลิมฮูก็เข้าไปเฝ้าทูลพระเจ้าฮวนอ๋องว่า หงอเสงแต่งให้ขุนนางเมืองเตงคุมเครื่องบรรณาการมาถวาย จะขอเฝ้าพระเจ้าฮวนอ๋อง พระเจ้าฮวนอ๋องก็สั่งให้หาชัวจก ชัวจกก็เข้าไปถวายบังคมแล้วจึงกราบทูลว่า ซึ่งหงอเสงทำให้พระองค์ขัดเคืองพระทัยนั้น บัดนี้รู้โทษผิดจึงให้ข้าพเจ้าคุมเครื่องบรรณาการมาถวายรับพระราชทานโทษ ขอเป็นข้าขึ้นกับเมืองหลวงตามอย่างแต่ก่อน พระเจ้าฮวนอ๋องคิดแค้นพระทัยขึ้นมามิได้ตรัสประการใด
เค็กก่งหลิมฮูเห็นพระจริตพระเจ้าฮวนอ๋องขัดเคืองหงอเสงนัก จึงว่ากับชัวจกว่า เมื่อหงอเสงรู้จักโทษตัวแล้วก็แล้วไปเถิด พระเจ้าแผ่นดินทรงพระเมตตา มิได้ถือโทษ
ชัวจกก็กราบถวายบังคมลาออกมา แล้วแวะไปหาจิวก๋งเฮ็กเตียน จิวก๋งเฮ็กเตียนก็ออกไปรับคำนับกัน แล้วก็พามานั่งที่อันสมควร ชัวจกจึงถามจิวก๋งเฮ็กเตียนว่า ซึ่งพระเจ้าฮวนอ๋องถูกเกาทัณฑ์นั้น ท่านได้เห็นบาดแผลมากหรือน้อยประการใด จิวก๋งเฮ็กเตียนจึงบอกว่า ลูกเกาทัณฑ์นั้นมิได้ทำอันตรายพระองค์ ตัดแต่เกราะเข้าไปพอถึงฉลองพระองค์ชั้นใน ชัวจกก็มีความยินดีจึงว่า หงอเสงนายข้าพเจ้าทุกวันนี้เป็นทุกข์นัก กลัวว่าพระเจ้าฮวนอ๋องประชวรมาก ข้าพเจ้าลาท่านไปแจ้งความให้นายข้าพเจ้าสิ้นวิตก
จิวก๋งเฮ็กเตียนจึงว่า ท่านจงบอกหงอเสงด้วยเถิดว่า เมื่อแรกจะยกมานั้นเราก็ได้ทูลทัดทานหลายครั้ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ทั้งนี้ก็สำหรับกรรมของเราและไพร่ฟ้าทั้งปวงที่จะได้ความลำบาก ชัวจกก็คำนับลามาแจ้งแก่หงอเสงทุกประการ หงอเสงก็มีความยินดี
ฝ่ายพระเจ้าฮวนอ๋องครั้นชัวจกกลับไปแล้ว เวลารุ่งเช้าก็เลิกทัพกลับไปเมืองหลวง พระเจ้าฮวนอ๋องคิดจะแก้แค้นหงอเสงมิได้ขาด จึงตรัสปรึกษาเค็กก๋งหลิมฮูว่า เราคิดจะมีหนังสือไปถึงหัวเมืองทั้งปวง ให้ยกกองทัพมาบรรจบทัพเราไปแก้แค้นหงอเสงเสียให้จงได้ เราจึงจะนอนตาหลับ
เค็กก๋งหลิมฮูจึงทูลว่า พระองค์เสียทีหงอเสงมาครั้งนี้ก็ได้ความอัปยศแก่เมืองตินเมืองชัวอยู่แล้ว ซึ่งจะให้มีหนังสือรับสั่งไปแจ้งแก่หัวเมืองทั้งปวงนั้น เหมือนเอาความอายไปเที่ยวป่าวร้องให้รู้ทั้งแผ่นดิน และบรรดาหัวเมืองฝ่ายเหนือเล่า ก็เป็นพวกพ้องหงอเสงสิ้น แม้นเมืองใดไม่มาตามรับสั่ง ก็จะซ้ำเสียเกียรติยศไปอีก อันหงอเสงได้อ่อนน้อมรับผิดนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่าดีอยู่แล้ว พระเจ้าฮวนอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นก็เคืองพระทัยจึงตรัสว่า แต่นี้เราไม่ออกชื่อหงอเสงเลยแล้วเสด็จเข้าข้างใน
ฝ่ายเจ้าเมืองชัวขณะเมื่อยกทัพมาบรรจบทัพพระเจ้าฮวนอ๋องไปตีเมืองเตงนั้น ชัวกุยผู้น้องเจ้าเมืองชัวไปพูดจากันกับทหารเมืองตินที่ก๋งจูโถคุมมานั้น ได้ความว่าก๋งจูโถฆ่าก๋งจูเมียนผู้พี่เสียตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้าเมือง ก็ตกใจนัก คิดวิตกถึงก๋งจูเมียนผู้หลาน ด้วยก๋งจูเมียนเจ้าเมืองตินนั้นเป็นบุตรเขยเจ้าเมืองชัว เจ้าเมืองชัวเป็นพี่ชายชัวกุย ครั้นมาถึงเมืองชัว ชัวกุยก็เอาความก๋งจูโถฆ่าก๋งจูเมียนเจ้าเมืองเสียนั้นเล่าให้ชัวกีเจ้าเมืองชัวผู้พี่ฟังทุกประการ
ชัวกีได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า เราจำจะไปกำจัดก๋งจูโถเสียจึงจะได้ ชัวกุยจึงว่าก๋งจูโถมักเสพสุราและเที่ยวไปไล่เนื้อมิได้ขาด ข้าพเจ้าคิดว่าจะแต่งคนให้ลอบไปฟังดู ถ้าก๋งจูโถออกมาไล่เนื้อ เราจึงแต่งทหารจู่ไปจับเอาตัวมาฆ่าเสียเห็นจะได้โดยง่าย ชัวกีก็เห็นด้วยจึงให้คนสนิทไปสืบดู ณ เมืองติน คนสนิทชัวกุยไปสืบได้ความแล้วก็รีบกลับมาบอกกับชัวกุยว่า บัดนี้ก๋งจูโถออกมาไล่เนื้ออยู่ปลายแดนเมืองตินได้สองวันแล้ว ชัวกุยแจ้งดังนั้นจึงจัดทหารม้าห้าร้อยแบ่งเป็นสี่กองแต่งเป็นชาวป่า กำหนดให้ถึงพร้อมกัน ณ ปากทางที่จะไปเมืองติน ทหารทั้งสี่กองก็แยกกันลัดไปในป่า ตัวชัวกุยนั้นก็คุมทหารกองหนึ่งรีบไปตามทางใหญ่ ครั้นไปถึงแดนเมืองตินพร้อมกันก็แยกรายกันซุ่มอยู่ในป่า
ฝ่ายก๋งจูโถ ครั้นเวลาเช้าก็ขึ้นม้าพาทหารเกาทัณฑ์ออกจากซุ้มร่มไม้ เที่ยวยิงเนื้อในป่าปลายแดน พอเนื้อตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้าม้าก๋งจูโถมา ก๋งจูโถก็เอาเกาทัณฑ์ยิงเนื้อล้มลง ชัวกุยเห็นดังนั้นก็ขับม้าเข้าไปชิงเอาเนื้อ ก๋งจูโถสำคัญว่าชาวป่าก็โกรธ ชักกระบี่ออกจะฟันชัวกุย ชัวกุยก็ทำขับม้าหนีไปตามทางที่ซุ่มทหารอยู่ ก๋งจูโถก็ควบม้าไล่ตามไป
ทหารทั้งสี่กองซุ่มอยู่เห็นดังนั้น ก็ขับม้ากลุ้มรุมกันฟันแทงก๋งจูโถตาย ชัวกุยก็ตัดเอาศีรษะก๋งจูโถชูขึ้นร้องประกาศแก่ทหารก๋งจูโถว่า เราชื่อชัวกุยเป็นทหารเจ้าเมืองชัว เจ้าเมืองชัวแจ้งว่าก๋งจูโถฆ่าก๋งจูเมียนพี่ชายเสีย เจ้าเมืองชัวจึงให้เรามาฆ่าก๋งจูโถผู้ทำผิดเสียบ้าง ท่านทั้งปวงมิได้มีความผิดก็อย่าตกใจเลย ทหารก๋งจูโถได้ฟังดังนั้นต่างก็แลดูรู้จักจำได้ว่าชัวกุยน้องชายเจ้าเมืองชัว ต่างคนเข้าไปคำนับชัวกุยสิ้น
ชัวกุยเอาศีรษะก๋งจูโถผูกกับอานม้าพาทหารทั้งปวงเข้าไปในเมืองติน บรรดาทหารที่ตามไปนั้นก็ร้องประกาศแก่ชาวเมืองทั้งปวงว่า ก๋งจูโถทำทรยศหยาบช้า ฆ่าเจ้าเมืองตินซึ่งมีคุณแก่ราษฎรทั้งปวงเสีย บัดนี้ชัวกุยนายเรามาฆ่าก๋งจูโถเสียแล้ว จะยกก๋งจูเอียกบุตรก๋งจูเมียนผู้ตายขึ้นเป็นเจ้าเมืองตินแทนบิดา ชาวบ้านชาวเมืองและขุนนางทั้งปวงได้ยินดังนั้นต่างคนยินดีนักพากันไปคำนับชัวกุยสิ้น ชัวกุยตั้งก๋งจูเอียกขึ้นเป็นเจ้าเมืองตินแทนบิดา ขณะนั้นพระเจ้าฮวนอ๋องเสวยราชสมบัติได้สิบแปดปี