- ๑
- ๒
- ๓
- ๔
- ๕
- ๖
- ๗
- ๘
- ๙
- ๑๐
- ๑๑
- ๑๒
- ๑๓
- ๑๔
- ๑๕
- ๑๖
- ๑๗
- ๑๘
- ๑๙
- ๒๐
- ๒๑
- ๒๒
- ๒๓
- ๒๔
- ๒๕
- ๒๖
- ๒๗
- ๒๘
- ๒๙
- ๓๐
- ๓๑
- ๓๒
- ๓๓
- ๓๔
- ๓๕
- ๓๖
- ๓๗
- ๓๘
- ๓๙
- ๔๐
- ๔๑
- ๔๒
- ๔๓
- ๔๔
- ๔๕
- ๔๖
- ๔๗
- ๔๘
- ๔๙
- ๕๐
- ๕๑
- ๕๒
- ๕๓
- ๕๔
- ๕๕
- ๕๖
- ๕๗
- ๕๘
- ๕๙
- ๖๐
- ๖๑
- ๖๒
- ๖๓
- ๖๔
- ๖๕
- ๖๖
- ๖๗
- ๖๘
- ๖๙
- ๗๐
- ๗๑
- ๗๒
- ๗๓
- ๗๔
- ๗๕
- ๗๖
- ๗๗
- ๗๘
- ๗๙
- ๘๐
- ๘๑
- ๘๒
- ๘๓
- ๘๔
- ๘๕
- ๘๖
- ๘๗
- ๘๘
- ๘๙
- ๙๐
- ๙๑
- ๙๒
- ๙๓
- ๙๔
- ๙๕
- ๙๖
- ๙๗
- ๙๘
- ๙๙
- ๑๐๐
- ๑๐๑
- ๑๐๒
- ๑๐๓
- ๑๐๔
- ๑๐๕
- ๑๐๖
- ๑๐๗
- ๑๐๘
๙๑
ขณะนั้นศักราชพระเจ้าจิวอันอ๋องเสวยราชย์ได้สิบหกปี เมื่อโซจิ๋นไปถึงเมืองแล้วจึงทำหนังสือฉบับหนึ่งเป็นใจความว่า บัดนี้ท่านทั้งหกเมืองเข้าประนีประนอมยอมเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกันแล้ว ให้คนใช้ถือไปให้เจ้าเมืองจิ๋น ฮุยบุนอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นแจ้งความดังนั้นก็ตกใจ จึงปรึกษากับกงซุนเบี๋ยนผู้ป็นที่เสียงก๊กว่า ถ้าหกหัวเมืองเป็นดังนี้ เขตแดนเราจะมิคับแคบไปเสียหรือ เราจะคิดประการใดจึงจะให้หกหัวเมืองร้าวฉานกันได้ กงซุนเบี๋ยนจึงว่าความอันนี้เกิดขึ้นเพราะความคิดพวกเมืองเตียว เราควรจะยกกองทัพไปตีเมืองเตียวดูทีเมืองใดจะยกมาช่วยเมืองเตียว เราจึงแยกกองทัพไปตีเมืองนั้น ถ้าทำได้ดังนี้หกหัวเมืองก็จะไม่ปกติกันได้
ขณะนั้นเตียวหงีเฝ้าอยู่นั่นด้วย จึงนึกแต่ในใจว่าถ้าเรานิ่งเสียให้เจ้าเมืองจิ๋นยกไปตีเมืองเตียว เราจะเสียความสัตย์สัญญาไว้กับโซจิ๋น คิดแล้วจึงทูลว่าการซึ่งทั้งหกหัวเมืองกระทำสัตย์กันครั้งนี้ยังไม่นานนัก จะคิดให้ร้าวฉานแตกกันเหมือนคำกงซุนเบี๋ยนว่านั้นยากอยู่ ถ้าเรายกไปตีเมืองเตียว เมืองหันก็จะเข้าตีเมืองยิเอี๋ยง เมืองฌ้อก็จะเข้าตีบูก๋อน เมืองงุยก็จะเข้ามาทางโฮวัว เมืองเจ๋จะมาทางเฉงโห เมืองเอี๋ยนก็จะมาช่วยเพิ่มเติมทุกอย่าง เราก็จะมิขัดสนเสียหรือ ข้าพเจ้ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยเมืองงุยอยู่ใกล้กับเมืองเรา ท่านจงจัดคนดีมีสติปัญญาคุมเอาสิ่งของซึ่งมีราคาไปคำนับเจ้าเมืองงุยแล้วพูดจาเป็นทางไมตรีไว้ เจ้าเมืองงุยก็คงจะตอบแทนมาบ้าง แล้วท่านจงใช้ไปเมืองเอี๋ยนว่าท่านจะยอมยกบุตรหญิงของท่านให้กับลูกเจ้าเมืองเอี๋ยนเป็นเกี่ยวดองกัน
ฮุยบุนอ๋องได้ฟังเตียวหงีว่าก็เห็นด้วย จึงให้คนมีสติปัญญาไปหาเจ้าเมืองงุย แจ้งความแก่เจ้าเมืองงุยว่า หัวเมืองทั้งเจ็ดซึ่งขึ้นแก่เมืองงุยเราตีได้ไว้แต่ก่อนนั้น บัดนี้เราเห็นว่าเจ้าเมืองงุยเป็นคนดีมีใจเมตตาแก่อาณาประชาราษฎร์ เราหามีสิ่งใดจะชอบใจไม่ เราจะคืนหัวเมืองทั้งเจ็ดของท่านให้ไว้ตามเดิม งุยอ๋องแจ้งความแล้วมีใจยินดียิ่งนักจึงว่ากับคนใช้เจ้าเมืองจิ๋นว่า นายท่านมีใจเมตตาเราครั้งนี้ เราหามีสิ่งใดจะสนองคุณไม่ เราจะยกบุตรหญิงของเราให้กับบุตรชายเจ้าเมืองจิ๋น ว่าแล้วก็สั่งให้คนใช้ไปกับทูตที่เจ้าเมืองจิ๋นใช้มานั้น คนใช้เมืองจิ๋นก็พาทูตไปคำนับฮุยบุนอ๋อง
ฮุยบุนอ๋องมีความยินดีนัก ทูตเมืองงุยจึงทูลฮุยบุนอ๋องว่า ท่านมีความกรุณาแก่นายข้าพเจ้าครั้งนี้คุณท่านหาที่สุดมิได้ นายข้าพเจ้าหามีสิ่งใดจะสนองคุณท่านให้สมกับที่ท่านเมตตาไม่ นายข้าพเจ้าจะยกบุตรหญิงให้เป็นสะใภ้ท่าน จะได้เป็นพวกพ้องพึ่งพากันสืบไป เจ้าเมืองจิ๋นได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดีด้วยสมความคิด
ฝ่ายเจ้าเมืองเตียว ครั้นแจ้งความว่าชาวเมืองจิ๋นกับเมืองงุย เมืองเอี๋ยน ใช้คนไปมาหากันก็ตกใจ จึงสั่งให้หาโซจิ๋นเข้ามาแล้วว่า การซึ่งหัวเมืองทั้งหกประนีประนอมยอมกันก็เพราะสติปัญญาท่าน การยังไม่ทันจะล่วงปี เมืองงุยกับเมืองเอี๋ยนก็กลับใจไปเป็นพวกพ้องกับเมืองจิ๋นท่านหารู้ไม่หรือ ถ้าชาวเมืองจิ๋นยกทัพมาตีเมืองเราที่ไหนเมืองเอี๋ยนกับเมืองงุยจะมาช่วย โซจิ๋นได้ฟังก็สะดุ้งใจจึงทูลกับเตียวอ๋องว่า ขอไต้อ๋องจงให้ข้าพเจ้าไปต่อว่าเจ้าเมืองงุยเจ้าเมืองเอี๋ยนจะได้แจ้งความเท็จจริงด้วย เจ้าเมืองก็ยอมให้โซจิ๋นไปกระทำตามความคิด แล้วโซจิ๋นก็ลาเจ้าเมืองเตียวไปเมืองเอี๋ยนก่อน
ขณะนั้นเอี๋ยนบุนอ๋องถึงแก่กรรม เอกอ๋องผู้บุตรได้ขึ้นครองเมืองแทน โซจิ๋นก็เข้าไปคำนับเอกอ๋อง เอกอ๋องก็เล่าความให้โซจิ๋นฟังว่า เมื่อบิดาตายนั้นเจ้าเมืองเจ๋หาคงอยู่ในความสัตย์ไม่ ยกกองทัพมาตีเอาหัวเมืองเราไปได้ถึงสิบหัวเมือง ความคิดของท่านซึ่งจะให้ทั้งหกหัวเมืองเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกันนั้น เราเห็นจะป่วยการเสียเปล่าท่านจะคิดประการใด โซจิ๋นจึงตอบว่าความเกิดขึ้นทั้งนี้ข้าพเจ้าจะขอลาไปเมืองเจ๋ว่ากล่าวให้กลับคืนหัวเมืองแก่ท่าน ว่าแล้วโซจิ๋นก็ลาเอกอ๋องไปเมืองเจ๋คำนับเจ๋ซวนอ๋องแล้วว่า การซึ่งหกหัวเมืองไปทำความสัตย์กันครั้งนั้น ก็ปรากฏรู้ทั่วกันทั้งแผ่นดินว่าจะมั่นคงยืดยาวไปชั่วลูกหลาน เอี๋ยนบุนอ๋องกับท่านก็ยังหามีข้อขัดเคืองสิ่งใดไม่ เอี๋ยนบุนอ๋องตายลงครั้งนี้เหตุใดท่านจึงไปตีเอาหัวเมืองเขามาไว้ถึงสิบตำบล ท่านกระทำการครั้งนี้เห็นจะขัดเคืองไปถึงหัวเมืองทั้งปวงด้วย เจ้าเมืองเอี๋ยนคนใหม่นี้ก็เป็นบุตรเขยเจ้าเมืองจิ๋น ถ้าเจ้าเมืองทั้งปวงเขาพากันยกกองทัพมาลงโทษท่านว่าเสียความสัตย์ ท่านกับเมืองเตียวยังจะรับรองได้หรือ
เจ๋ซวนอ๋องได้ฟังโซจิ๋นว่า ก็รู้สึกตัวกลัวความนินทาจึงว่ากับโซจิ๋นว่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าก็จะคืนทั้งสิบหัวเมืองให้กับเจ้าเมืองเอี๋ยน ซินแสช่วยนำเอาข้อความนี้ไปแจ้งอย่าให้เจ้าเมืองเอี๋ยนขัดเคืองเราได้ โซจิ๋นก็รับคำคำนับลามาแจ้งความกับเจ้าเมืองเอี๋ยน เจ้าเมืองเอี๋ยนก็มีความยินดีสิ้นความขัดเคือง เจ้าเมืองเอี๋ยนคิดถึงบุญคุณโซจิ๋นก็ชวนโซจิ๋นให้อยู่ ณ เมืองเอี๋ยน เอกอ๋องเจ้าเมืองเอี๋ยนมีมารดาชื่อนางบุนฮูหยิน อายุประมาณสามสิบปีเศษแต่ยังสาวอยู่ ขณะเมื่อโซจิ๋นมาอยู่ ณ เมืองเอี๋ยนนั้น นางได้ยินเขาเล่าลือว่ามีสติปัญญา ทั้งรูปร่างก็สะอาด นางให้มีใจนึกรักอยู่เป็นนิจ เพลาวันหนึ่งโซจิ๋นเข้าไปคำนับเจ้าเมืองเอี๋ยนแล้วกลับไปบ้าน นางบุนฮูหยินจึงให้คนใช้ออกไปเชิญโซจิ๋นเข้ามาข้างในว่าจะปรึกษาราชการด้วย โซจิ๋นก็เข้าไปหานางบุนฮูหยิน บุนฮูหยินก็เชื้อเชิญพูดจาทำกิริยาให้โซจิ๋นรัก โซจิ๋นก็มีใจปฏิพัทธ์ด้วยสตรีให้ทีมาก่อนเหลือจะอดกลั้นก็รักใคร่ได้เสียกันแต่วันนั้นมา
ขณะนั้นเอกอ๋องผู้เป็นบุตรนางบุนฮูหยินก็รู้อยู่ว่ามารดากระทำชั่วแต่หารู้แห่งจะทำประการใดไม่ โซจิ๋นก็คิดกลัวระวังตัวอยู่เป็นนิจ จึงไปฝากตัวผูกไมตรีสนิทกับจู๋จี๋ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองเอี๋ยนก็ยังไม่วางใจ จึงให้โซต่ายโซหลีผู้เป็นน้องไปสาบานตัวเป็นพี่น้องกับจู๋จี๋ให้ไมตรีนั้นมั่นคง ฝ่ายนางบุนฮูหยินตั้งแต่รักใคร่กับโซจิ๋นก็ให้ผู้หญิงคนใช้ไปมาหาสู่ไม่ขาด โซจิ๋นกลัวความจะเกิดขึ้น คิดจะหนีตัวไปเสียเมืองอื่น เพลาวันหนึ่งโซจิ๋นจึงเข้าไปคำนับเจ้าเมืองเอี๋ยนแล้วอุบายว่า ข้าพเจ้าพิจารณาดูคนชาวเมืองเจ๋ใจมักกลับกลอก อนึ่งกับท่านก็จะเป็นอริกันอยู่เกลือกจะไว้ใจมิได้ ข้าพเจ้าจะต้องลาท่านไปกำชับกำชาดูงานการผิดชอบ ได้ความแล้วก็จะได้มีหนังสือลักลอบมาถึงท่านจึงจะมิได้มีอริร้าวราวกันต่อไป เจ้าเมืองเอี๋ยนก็ยอมให้ไปตามความคิด
ขณะเมื่อโซจิ๋นไปถึงเมืองเจ๋นั้น เจ๋ชวนอ๋องมีความยินดีออกมาต้อนรับ ต่างคำนับกันแล้วก็เชิญให้เข้าไปนั่งที่สมควรจึงพูดจาเกลี้ยกล่อมโซจิ๋นต่างๆ แล้วตั้งให้เป็นที่แคะเคง เป็นขุนนางนอกทำเนียบ เมื่อโซจิ๋นรับราชการอยู่ในเมืองเจ๋นั้น คอยปฏิบัติเจ้าเมืองมิให้ขัดอัชฌาสัย ด้วยปรารถนาจะให้การในเมืองเจ๋แปรปรวน ถ้าเจ้าเมืองจะชอบใจเล่นการสิ่งใด โซจิ๋นก็ประพฤติตามใจทุกประการ เจ้าเมืองเจ๋นั้นมัวเมารักใคร่ในการเสพสุราและฟังเสียงสตรีขับรำบำเรอ โซจิ๋นก็พลอยสรรเสริญชมเป็นสนุกสนานไปด้วย
ขณะนั้นขุนนางในเมืองชื่อเสียงก๊กเตียนเอ๋งคนหนึ่งกับเบ๋งโขเป็นที่แคะเคง สองคนนั้นเป็นคนมีสติปัญญากตัญญูต่อแผ่นดิน เห็นเจ้าเมืองเจ๋หลงเชื่อโซจิ๋นหาเอาใจใส่ในการแผ่นดินไม่ ก็เข้าไปเตือนสติห้ามปราม เจ้าเมืองเจ๋ก็ไม่เชื่อฟัง จนเจ้าเมืองเจ๋ป่วยลงก็ถึงแก่กรรม ขุนนางทั้งปวงจึงพร้อมใจกันตั้งไทจูขึ้นครองเมืองแทนชื่อเจ๋มินอ๋อง เจ๋มินอ๋องหามัวเมาเชื่อคำโซจิ๋นเหมือนบิดาไม่ จึงไปขอบุตรหญิงเจ้าเมืองจิ๋นมาเป็นที่อ้องโห แล้วตั้งให้เสียงก๊กเตียนเอ๋งเป็นที่สิก๋งตำแหน่งใหญ่ขึ้นกว่าแต่ก่อน และเตียนเอ๋งนั้นมีบุตรชายสิบคน อยู่มาภรรยาน้อยมีครรภ์ได้สิบเดือน ครบกำหนดก็คลอดบุตรผู้หนึ่งเป็นชาย เมื่อคลอดนั้นเป็นเดือนห้าขึ้นห้าคํ่า ผิวพรรณหมดจดกว่าเด็กทั้งปวง มารดาจึงอุ้มเอาบุตรนั้นมาหาเตียนเอ๋งผู้บิดาแจ้งความให้ฟังทุกประการ
เตียนเอ๋งได้ฟังภรรยาจึงพิเคราะห์ดูรู้ว่าฤกษ์ไม่ดี จึงบอกภรรยาว่าลูกเราเกิดวันนี้ฤกษ์ชั่วนัก มันจะมาผลาญโคตรผลาญวงศ์อย่าเลี้ยงไว้เลย ภรรยาเตียนเอ๋งพึ่งมีบุตรคนเดียวสุดรักสุดอาลัย ครั้นจะขืนเลี้ยงลูกก็กลัวสามีจึงมอบบุตรให้ป้าของตัวไปลอบเลี้ยงรักษาไว้ที่บ้านอื่น เตียนเอ๋งมิได้รู้ จนบุตรชายอายุถึงขวบ คนผู้เลี้ยงจึงให้ชื่อบุตรเล็กตามแซ่เรียกว่าเตียนบุ๋น แล้วพามาหามารดา ส่วนมารดาเห็นบุตรก็รักใคร่เป็นที่ยิ่ง ด้วยลูกนั้นน่ารักน่าชม ผิวพรรณหมดจดช่างพูดช่างเจรจาเฉลียวฉลาด จึงอุ้มลูกมาหาเตียนเอ๋งผู้บิดาแล้วบอกเล่าให้รู้ เตียนเอ๋งแจ้งความก็โกรธนัก ขึ้นเสียงอึงคะนึงว่ากับภรรยาว่าเอ็งรู้มากกว่าเราอีกหรือ ไม่ฟังถ้อยฟังคำขืนเลี้ยงลูกคนนี้ไว้จะแกล้งล้างพงศ์พันธุ์ของข้าให้สิ้นเสียจงได้หรือ
เตียนบุ๋นบุตรน้อยเห็นมารดาตกใจนักด้วยกลัวบิดา จึงตอบว่าท่านอย่าโกรธแค้นแม่ข้านักเลย อันตัวข้านี้ผิดกว่าคนทั้งหลายจะเปรียบกันไม่ได้ ด้วยจุติมาจากสวรรค์ เทวดาช่วยคุ้มครองรักษาอยู่ ทำไมกับปีเดือนฤกษ์ยาม เตียนเอ๋งได้ฟังบุตรเล็กว่าประหลาดกว่าเด็กทั้งปวงไม่เคยพบเคยเห็นก็มีความเมตตา เข้ารับบุตรมาจากเมียให้นั่งบนตักชมเชย แล้วสั่งภรรยาว่าลูกของเราคนนี้ชอบกลอยู่อุตส่าห์เลี้ยงไปเถิด จึงให้เงินทองเครื่องแต่งตัวกับทาสหญิงสำหรับเลี้ยงบุตร เตียนบุ๋นครั้นมาอยู่ด้วยบิดามารดาก็หลักแหลมมีสติปัญญายิ่งขึ้นทุกวันทุกเดือน อันเตียนเอ๋งผู้เป็นบิดาเป็นเสียงก๊กขุนนางผู้ใหญ่ บรรดาขุนนางกรมการหัวเมืองไปมาว่าถ้อยความมิได้ขาด เตียนบุ๋นแต่อายุสิบขวบก็ออกเชื้อเชิญแขกเลี้ยงดูพูดจารับส่งขุนนางเพื่อนฝูงของบิดาเป็นที่ไว้เนื้อไว้ใจ คนทั้งปวงก็รักใคร่สรรเสริญว่าเด็กผู้นี้เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ครั้นอายุเตียนบุ๋นได้สิบสี่ปี เตียนเอ๋งผู้บิดาตาย เจ๋มินอ๋องได้ตั้งโซจิ๋นเป็นเสียงก๊ก จึงให้ที่กับเตียนบุ๋น ครั้นเตียนบุ๋นเป็นเสียงก๊กแล้ว นํ้าใจยิ่งโอบอ้อมกว้างขวาง ให้ก่อตึกแถวออกไปข้างท้ายบ้านหลายหลังไว้สำหรับคนยากจนมาพึ่งพาอาศัย แล้วปลูกที่ทำครัวเลี้ยงคนเข็ญใจกินวันละสามเวลา จัดแจงเสื้อกางเกงให้นุ่งห่มทดลองเบี้ยเงินจนมีเรือกสวนไร่นา กิตติศัพท์ก็เล่าลือไปทุกบ้านทุกเมือง บรรดาคนยากจนไร้ญาติที่ทำกินเข้ามาพึ่งอยู่เตียนบุ๋นกว่าหมื่นคนสมัครเป็นทหารทั้งสิ้น ซึ่งเตียนบุ๋นคิดทำดังนี้หมายจะป้องกันรักษาบ้านเมือง แต่คำคนสรรเสริญจนหาเรียกเตียวบุ๋นว่าเสียงก๊กไม่ เรียกเสียว่าเบ๋งเสียงกุ๋น แปลคำไทยว่าสมเด็จเจ้าพระยา
ยังมีผู้หนึ่งเข้ามาพึ่งกินอยู่ในเบ๋งเสียงกุ๋น คิดสงสัยว่าของเลี้ยงคนยากยังมีดีถึงเพียงนี้ ที่ตัวเขากินจะยิ่งขึ้นไปอย่างไรเล่า แล้วแอบลักดูก็เห็นโต๊ะเบ๋งเสียงกุ๋นกินข้าวของเหมือนแต่งเลี้ยงคน คิดอดสูใจนัก ชวนกันกินของท่านเป็นเบี้ยเป็นเงินหนักหนา มิได้ทำงานอันใดตอบแทนคุณบ้างเลย เกิดเป็นลูกผู้ชายเสียเปล่าจะอยู่ไยไม่ต้องการ เพลาคํ่าจึงลอบเขียนหนังสือไว้ที่ฝาตึก สรรเสริญคุณเบ๋งเสียงกุ๋นกับบอกความน้อยใจของตัวให้รู้ แล้วขึ้นยืนบนม้าผูกคอเข้ากับแปลานเฉลียงโจนลงมาตายแขวนอยู่จนเช้า เบ๋งเสียงกุ๋นรู้มาร้องไห้รักคนตาย จึงทำโลงใส่ศพแล้วก็ตามไปส่งสักการเหมือนญาติจนถึงที่ฝัง บรรดาคนทั้งปวงแจ้งความยิ่งรักใคร่ สรรเสริญเบ๋งเสียงกุ๋นมากกว่าแต่ก่อน ขณะนั้นงุยอ๋องเจ้าเมืองป่วยตายลง ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยพร้อมกันเชิญบุตรผู้ใหญ่ขึ้นว่าราชการแทน ขนานนามเรียกงุยอายอ๋อง ครั้นห้าเจ้าเมืองรู้ก็ใช้ขุนนางคุมของมาเยี่ยมเยือนศพ
ฝ่ายซกอ๋องเมืองฌ้อจึงคิดว่าเรากับหกเมืองทแกล้วทหารมีมาก ตั้งแต่ร่วมใจกันเมืองจิ๋นก็ยำเกรงมิได้ยกมาทำอันตราย บัดนี้คิดเกลี้ยกล่อมเมืองเอี๋ยน เมืองงุยด้วยหมายจะให้เราร้าวฉาน ถ้าละไว้สมคะเนจะก่อสงครามขึ้นมั่นคง จะทำลายล้างความคิดเสีย จึงแต่งหนังสือให้ขุนนางถือไป ในหนังสือนั้นแจ้งความวิตกแล้วขอกองทัพเมืองละสามหมื่นบอกกำหนดยั้งทัพตำบลด่านหำก๊กกวน จะได้เข้าตีเมืองจิ๋นพร้อมกัน อันสี่เจ้าเมืองก็ยกทัพไปตามกำหนดนัด แต่เจ๋มินอ๋องเจ้าเมืองนั้นหารือขุนนางที่ปรึกษาทั้งปวง โซจิ๋นจึงว่า ข้าพเจ้าเห็นด้วยความคิดเจ้าเมืองฌ้อ ถ้าเราไม่ให้กองทัพไปบัดนี้จะผิดใจกันกับเจ้าเมืองทั้งห้า เบ๋งเสียงกุ๋นจึงว่าเกณฑ์ทัพป่าวร้องอย่างนี้ที่ไหนจะได้การงาน ด้วยแก่งแย่งถือชั้นเชิงจะให้เรากับเมืองจิ๋นเป็นข้อพยาบาทมากขึ้นอีก ถ้าขัดขืนอยู่เล่าจะผิดใจกันกับห้าเมืองเหมือนถ้อยคำโซจิ๋น ข้าพเจ้าจะอาสายกทัพไปครั้งนี้ท่านอย่าวิตกเลย สุดแต่มิให้ขัดใจทั้งสองฝ่าย เจ๋มินอ๋องก็ยินดีจึงจัดทัพให้เบ๋งเสียงกุ๋น เบ๋งเสียงกุ๋นก็ยกไป ครั้นเดินมาจากเมืองได้สามวันเบ๋งเสียงกุ๋นแกล้งทำป่วยยั้งทัพอยู่ที่นั่น จึงใช้คนมาแจ้งแก่เจ๋มินอ๋องขอหมอพยาบาล แล้วมีหนังสือบอกไปตำบลหำก๊กกวนทุเลาแม่ทัพทั้งห้าเมืองของดท่าเบ๋งเสียงกุ๋นก่อน อย่าเพ่อให้เข้าตีเมืองจิ๋นก่อน ฝ่ายแม่ทัพเมืองฌ้อ เมืองเตียว เมืองหัน เมืองงุย เมืองเอี๋ยนตั้งอยู่ ณ ด่านหำก๊กกวนรู้หนังสือเบ๋งเสียงกุ๋นป่วย ก็บอกตอบให้ผู้ถือหนังสือนั้นกลับมา ในหนังสือว่าเบ๋งเสียงกุ๋นคลายป่วยแล้วเร่งยกมาช่วยกัน
ฝ่ายฮุยบุนอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นแจ้งว่าทัพหกหัวเมืองยกมารบก็เกณฑ์ทหารสิบหมื่นให้กุลีจิดเป็นแม่ทัพ บรรดาพวกเมืองจิ๋นรู้ข่าวศึกก็รื่นเริงคะนองในการสงครามทั้งไพร่ทั้งนายด้วยเคยยํ่ายีทหารทั้งห้าเมือง ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกทัพมาถึงหำก๊กกวน กุลีจิดทำสง่าองอาจให้เปิดประตูด่านออกเสีย แม่ทัพห้าเมืองเห็นดังนั้นก็ไม่ยกเข้ารบถึงหกวันเจ็ดวัน กุลีจิดเข้าใจว่าทัพห้าเมืองนั้นยกมาจะรบกลับมาตั้งมั่นดังนี้เล่าผิดเชิงศึกเห็นจะครั่นคร้ามอยู่แล้ว กุลีจิดจึงยกออกไปหน้าด่าน ตั้งค่ายกระหนาบทางลงยี่สิบสองค่าย เรียงกันเป็นหน้ากระดานแต่เยื้องลูกค่ายเหมือนฟันปลา ชักค่ายปีกกาถึงกัน มีกองแล่นกองกลาง แล้วให้คนไปร้องเย้าพวกห้าเมืองทุกวัน แม่ทัพเมืองฌ้อ เมืองหัน เมืองเตียว เมืองงุย เมืองเอี๋ยน ปรึกษาจัดแจงกำหนดกันด้วยจะเข้าตีหน้า โอบข้าง หักท้าย ป้องหลัง ก็แก่งแย่งไม่ตกลงเลย อีกหกวันเจ็ดวันแม่ทัพเมืองเอี๋ยนเพลากลางคืนใช้ทหารลอบถือหนังสือมาหากุลีจิด ในหนังสือว่าเหตุทั้งนี้เพราะขัดห้าเมืองมิได้ กุลีจิดรู้ความก็ยินดี ต้อนรับปราศรัยผู้ถือหนังสือแล้วใช้ทหารลอบไปหาแม่ทัพเมืองเอี๋ยนบ้าง ไต่ถามกิจการทั้งปวง ครั้นได้กำหนดวันคืนลู่ทางทั้งสี่เมืองขนเสบียงมาส่งกัน จึงแต่งกองโจรไปก้าวสกัดตีกองลำเลียงได้สิ้นทั้งข้าวของจุดไฟเผาเสีย บรรดานายไพร่ทั้งสี่เมืองรู้ก็เสียใจย่อท้อนัก ไม่เป็นที่จะทำการงาน
กุลีจิดเห็นท่วงทีทัพสี่เมืองรวนเรอยู่แล้ว จึงใช้คนไปบอกพวกเมืองเอี๋ยน ทัพเมืองเอี๋ยนพอพลบคํ่าก็ลอบล่าเสียก่อนมิให้เพื่อนกันรู้ ครั้นเพลาใกล้รุ่งกุลีจิดยกเข้าตีค่ายทั้งสี่ทัพ จุดประทัดโห่ร้องระดมยิงเกาทัณฑ์ พวกเมืองฌ้อ เมืองหัน เมืองเตียว เมืองงุย ก็แตกตื่นทิ้งค่ายคูเสียวิ่งกระจัดกระจายไป ทหารกุลีจิดได้ทีไล่ฆ่าฟันทหารสี่เมืองล้มตายเป็นอันมากแล้วยกติดตามกันมา ส่วนเบ๋งเสียงกุ๋นแกล้งเดินทางรั้งรออยู่ ให้แต่ทหารม้าใช้ผลัดเปลี่ยนกันไปสืบราชการมิได้ขาด ครั้นรู้ข่าวว่ากุลีจิดตีตัดเสบียงสี่เมืองได้ เบ๋งเสียงกุ๋นก็รีบเดินกองทัพมาสองสามวัน พอถึงทางร่วมพบทัพเมืองจิ๋นไล่พวกสี่เมืองเสียขบวนด้วยกันทั้งสองฝ่าย เบ๋งเสียงกุ๋นยกเข้าตีตัดกลางป้องทัพสี่เมืองไว้ได้ พวกกุลีจิดแตกกระจัดกระจายกลับหลังไป ทหารเมืองเจ๋จับทหารเมืองจิ๋นผูกมัดแล้วเก็บได้เครื่องศัสตราวุธเป็นอันมาก เบ๋งเสียงกุ๋นก็ให้แก้มัดทหารเมืองจิ๋นออกเสียสิ้น จึงมอบเครื่องอาวุธที่เก็บได้ทั้งตัวทหารปล่อยคืนมาให้กุลีจิด ทำหนังสือฝากมาด้วย ในหนังสือนั้นว่า นายเราร่วมคำสัญญากับห้าเมืองจึงขัดเจ้าเมืองฌ้อไม่ได้ เราทำการทั้งนี้เพราะจะรักษาความสัตย์นายขอท่านอย่าโกรธแค้น อันอาวุธและทหารเราก็คืนมาแล้ว กุลีจิดนายไพร่ทหารทั้งนั้นรู้ในหนังสือขอบใจเบ๋งเสียงกุ๋นทุกคน ทั้งสี่เมืองก็สรรเสริญว่าเรารอดชีวิตเพราะเบ๋งเสียงกุ๋น เบ๋งเสียงกุ๋นจึงกลับมาแจ้งความกับเจ๋มินอ๋อง เจ๋มินอ๋องก็ยินดีจึงถามเบ๋งเสียงกุ๋นว่า ท่านแกล้งเดินกองทัพรั้งรอแล้วเมื่อรู้ว่ากุลีจิดตัดเสบียงได้ทั้งสี่ทัพ เหตุใดจึงเร่งรีบไปอีกเล่า
เบ๋งเสียงกุ๋นจึงแจ้งความว่า ข้าพเจ้าพิเคราะห์เห็นว่าธรรมเนียมศึกยกมาทำเมืองเขาชอบจะจู่โจมตีบ้านช่อง ชิงกวาดเสบียงอาหารซ่องสุมไว้ก้าวสกัดผู้คนมิให้เดินเหินหากินได้จึงจะร้อนรวมเข้าทุกที เมื่อเจ้าบ้านกลับข่มขี่ทัพมาแตกเสียแล้ว ไหนจะสู้รบได้กี่วัน เจ๋มินอ๋องจึงถามว่าอันทัพห้าเมืองทหารถึงสิบหมื่นยังพ่ายแพ้เมืองจิ๋น ท่านมีทหารแต่สามหมื่นหมายชนะเขาข้อไหน เบ๋งเสียงกุ๋นจึงว่าเป็นประเพณีศึกแพ้และชนะย่อมเสียขบวนด้วยกัน ถึงข้าพเจ้าน้อยตัวก็หมายได้ทีพรักพร้อม เจ๋มินอ๋องกับขุนนางทั้งปวงก็สรรเสริญเบ๋งเสียงกุ๋นว่าคาดการสงครามแม่นยำเหมือนความคิดเทวดา ถ้าเราเชื่อถ้อยคำโซจิ๋นจะได้ความเดือดร้อนต่างๆ แล้วเจ๋มินอ๋องจึงให้เงินทองรางวัลแก่เบ๋งเสียงกุ๋นเป็นอันมาก ทหารที่มีความชอบก็ให้บำเหน็จตามสมควร
ฝ่ายกุลีจิดเมื่อกำจัดทัพห้าเมืองแตกพ่ายแพ้ไปจากด่านหำก๊กกวนแล้ว จึงกลับมาแจ้งความแก่ฮุยบุนอ๋องทุกประการ ฮุยบุนอ๋องขัดแค้นเมืองงุยนักว่าอ่อนน้อมต่อกันแล้วควรหรือยังร่วมคิดกับห้าเมือง จึงเกณฑ์ทหารสามหมื่นให้กงจูหัวเป็นแม่ทัพ ให้เตียวหงีเป็นปลัดทัพยกมารบเมืองงุย ตีได้เมืองขึ้นชื่อเมืองป๋กเอี๋ยง เตียวหงีเห็นว่าเมืองป๋กเอี๋ยงเป็นเมืองน้อยจึงทำหนังสือให้ทหารถือไปยังเมืองงุย ในหนังสือนั้นว่าจะคืนเมืองที่ตีได้นั้นให้ท่าน แต่เตียวหงีจะขอมาปรึกษาคิดอ่านกับงุยอายอ๋องก่อน เจ้าเมืองงุยรู้ความก็ยินดีจึงให้ขุนนางผู้ใหญ่สองคน นายทหารสิบคนมาไว้เป็นจำนำ ณ ค่ายเตียวหงี ตัวเตียวหงีนั้นรับมาเมืองงุย
เตียวหงีจึงว่าแก่งุยอายอ๋องว่า ครั้งก่อนฮุยบุนอ๋องก็คืนเมืองป๋กเอี๋ยงให้ท่าน ฝ่ายท่านเล่าใช้คนไปมาคำนับตามประเพณี เหตุไรจึงเข้าคิดกับเมืองฌ้อยกไปทำอันตรายเมืองจิ๋น ฮุยบุนอ๋องขัดเคืองให้ยกทัพมายํ่ายีข้างเมืองงุยบ้างก็ตีได้เมืองป๋กเอี๋ยงแล้ว ข้าพเจ้าคิดเห็นว่ารู้ไปถึงไหนไม่งามเลย ด้วยกลับรักกลับชังกันดังนี้เห็นไม่พ้นความนินทาทั้งสองฝ่าย จะคืนเมืองป๋กเอี๋ยงให้ท่านเสีย จะกลับไปว่ากล่าวอ้อนวอนนายข้าพเจ้าดูตามบุญ แต่ท่านจะให้ของสิ่งใดเป็นคำนับไปลุกะโทษพอสมควรคุ้มความผิดในตัวข้าพเจ้าบ้างเล่า
งุยอายอ๋องได้ฟังเตียวหงีเห็นชอบรับว่าผิดจริง แล้วถามหารือเตียวหงีว่าสิ่งอันใดฮุยบุนอ๋องนายท่านจะรักใคร่ เตียวหงีก็ทำบิดเบือนไม่บอกความ จนเจ้าเมืองงุยถามแล้วถามเล่าถึงสี่ครั้งห้าครั้งเตียวหงีจึงว่า นายข้าพเจ้าอันอื่นๆ ไม่เห็นชอบใจเหมือนเขตแดนแผ่นดิน แล้วเตียวหงีรำพันโอบอ้อมไปต่างๆ ว่าทำไมกับบ้านเมืองให้กินด้วยรักขอคืนกันด้วยรักก็ง่าย ไม่มีใครล่วงนินทา แต่ฝ่ายท่านจงถนอมความสัตย์ไว้เถิด จะต้องการอันใดในฮุยบุนอ๋องนั้นเป็นธุระของข้าพเจ้า งุยอายอ๋องปรึกษากับขุนนางเห็นพร้อมกันจึงตัดแดนเมืองขึ้นข้างเสเหลียงเมืองหนึ่งใหญ่กว่าเมืองป๋กเอี๋ยง ให้เป็นกำนัลเมืองจิ๋น เตียวหงีก็กลับทัพมาแจ้งความแก่ฮุยบุนอ๋อง ฮุยบุนอ๋องเห็นเตียวหงีมีสติปัญญาจริงๆ ใช้ไปครั้งไหนก็ได้ราชการทุกครั้ง จึงถอดกงซุนเซียนออกจากที่เสียงก๊ก ตั้งเตียวหงีเป็นแทน
ขณะนั้นเจ้าเมืองฌ้อป่วยตาย ขุนนางปรึกษาพร้อมกันเชิญไทจูเป็นเจ้าเมืองเรียกชื่อว่าฌ้อโหยอ๋อง เตียวหงีจึงใช้ให้คนถือหนังสือไปถึงเจ้าเมืองฌ้อ ในหนังสือนั้นกล่าวโทษเตียวเอี๋ยงเสียงก๊กเมืองฌ้อเป็นเนื้อความหนหลังว่า พาโลลงร้ายเอาเตียวหงีทำข่มเหงตีโบยนั้นสาหัสจึงต้องมาอยู่เมืองจิ๋น บัดนี้จะขอรับบุตรภรรยาไปให้พรักพร้อมกัน โหยอ๋องแจ้งความก็ขัดเคืองเตียวเอี๋ยงว่าไม่รู้จักคนดีคนชั่ว แกล้งปิดบังเตียวหงีเสียหาชี้แจงสมํ่าเสมอซกอ๋องผู้เป็นบิดาให้รู้ความไม่ อันบุตรภรรยาของเตียวหงีโหยอ๋องก็ยินยอมให้รับกันไปด้วยกลัวสติปัญญาเตียวหงีอยู่ คนถือหนังสือจึงพาบุตรภรรยาเตียวหงีมาเมืองจิ๋น บรรดาคนในเมืองฌ้อครั้นรู้หนังสือเตียวหงีก็ลงร้ายนินทาเตียวเอี๋ยงว่าไม่คิดถึงแซ่ถึงญาติ ทำข่มเหงด้วยมีวาสนา
ฝ่ายเตียวเอี๋ยงแจ้งความยิ่งละอายใจทุกข์ร้อนนัก จนป่วยลงไม่คิดรักษาตัว ตั้งแต่ล้มไข้เดินออกจากตึกมิได้ สิบสองวันเตียวเอี๋ยงก็ตาย ฝ่ายโซจิ๋นมาอยู่เมืองเจ๋ได้สามปีเศษ เมื่อจวนจะสิ้นวาสนาให้หงุดหงิดมักโกรธดุร้ายมากกว่าแต่ก่อน ถ้าผู้ใดผิดพลั้งล่วงเกินลงโทษโบยตีไม่มีปรานีเลย ขณะนั้นทหารเลวผู้หนึ่งอยู่ในเจ๋มินอ๋องโกรธโซจิ๋นว่าทำโทษแก่ญาติของตัวให้ล้นเหลืออาชญา ได้กระบี่สั้นสำหรับมือเล่มหนึ่งปลายเป็นสองคมถือซ่อนมาในเสื้อ เพลาโพล้เพล้ผู้คนสับสนก็ปลอมเข้าบ้านโซจิ๋น ลอบขึ้นไปได้บนตึกจึงแอบบังเงาประตูกำแพงกระเบื้องชั้นใน ส่วนโซจิ๋นครั้นเพลาขุนนางมาว่าราชการก็หิ้วโคมแก้วเดินส่องจะออกมาตึกรับแขก คนผู้แค้นสมคะเนก็แทงด้วยกระบี่ถูกอกโซจิ๋นตลอดออกไปข้างหลัง โซจิ๋นมือหนึ่งจับบิดแขนคนที่แทงตัวไว้เหวี่ยงลงด้วยโคมแก้ว ถูกแง่ศีรษะคนผู้แทงแตกโลหิตไหล โคมแก้วก็แตกเทียนจุดในโคมกระเด็นถูกหว่างคิ้วผู้นั้น คนผู้แทงวางกระบี่เสียปัดเพลิงติดหน้าแล้วโจนลงจากตึก วิ่งหนีออกไปจากบ้านได้
ขณะเมื่อโซจิ๋นเข้ายุดสู้กันอยู่ได้ร้องเรียกบ่าวไพร่ให้ช่วย คนทั้งปวงจึงรู้ ครั้นผู้ทำร้ายหนีไปช่วยกันกลุ้มรุมจับก็ไม่ได้ด้วยเพลาสับสน อันบ้านโซจิ๋นชิดกับกำแพงวังเจ๋มินอ๋องเป็นแต่ตรอกถนนเดิน เจ๋มินอ๋องได้ยินเสียงอื้ออึงตกใจสำคัญว่าเกิดเพลิง ครั้นไต่ถามก็รู้ว่าคนทำร้ายโซจิ๋นจึงออกมาบ้านโซจิ๋นสั่งให้ทหารค้นหายังไม่ได้ตัวผู้ผิด เจ๋มินอ๋องก็เข้าไปเยี่ยมโซจิ๋นถึงในตึก โซจิ๋นจึงคำนับเจ๋มินอ๋องแล้วเห็นว่าชีวิตตัวจะไม่รอดจึงบอกว่า หลังจากข้าพเจ้าตายแล้ว ให้ตัดศีรษะข้าพเจ้าไปป่าวร้องที่ประตูเมืองว่า บัดนี้เจ๋มินอ๋องรู้ว่าข้าพเจ้าทำผิดไปเข้าด้วยเจ้าเมืองเอี๋ยน ถ้าผู้ใดรู้ความมาแจ้งแก่เราจะให้ทองพันตำลึงเป็นรางวัล ถ้าท่านทำเช่นนี้จะจับตัวคนร้ายได้แน่นอน พอพูดจบโซจิ๋นก็ถึงแก่ความตาย
เจ๋มินอ๋องจึงให้ตัดศีรษะโซจิ๋นไปป่าวร้องว่าจะให้รางวัลกับผู้ที่มาแจ้งความ ก็มีผู้มาแจ้งว่าตนเป็นผู้ร้ายฆ่าโซจิ๋น เจ๋มินอ๋องจึงให้ขุนนางคุมตัวคนเหล่านั้นไปสอบสวนได้ความจริง และลงโทษผู้กระทำผิดได้ตามอุบายของโซจิ๋นที่ว่าไว้ก่อนตาย
ฝ่ายโก๊ะขุยขุนนางเมืองเอี๋ยนต้องการรวบรวมผู้มีสติปัญญา จึงจัดพนักงานสำหรับรักษาคอยเลี้ยงดูคนมาทางไกลเข้าหยุดยั้งหลับนอน ให้พูดจาไต่ถามถึงความรู้วิชา กิตติศัพท์โก๊ะขุยทำดังนี้เลื่องลือรู้ไปทั่วทุกเมือง อันคนมีสติปัญญาคือเกียนสินออกจากเมืองเตียว โซต๋ายออกจากเมืองตังจิว จ่อเขียนออกจากเมืองเจ๋ คุดเกงมาแต่เมืองโอย คนทั้งปวงนี้สมัครเข้าทำราชการอยู่กับเมืองเอี๋ยนสิ้น เตียวอ๋องจึงตั้งเป็นแคะเคงขุนนางสำหรับเป็นที่ปรึกษาทั้งสิ้น
ฝ่ายเจ๋มินอ๋อง แต่ใช้กงเจียงไปรบเมืองเอี๋ยนมีชัยชนะได้เจ้าเมืองใหม่มาฆ่าเสีย เจ้าเมืองเก่าผูกคอตาย กิตติศัพท์เลื่องลือเป็นที่นับถือเกรงกลัว เจ๋มินอ๋องกับโหยอ๋องเจ้าเมืองฌ้อรักใคร่กันใช้ผู้คนให้ข้าวของไปมาถึงกันมิได้ขาด ฝ่ายฮุยบุนอ๋องเจ้าเมืองจิ๋นรู้ข่าวก็มีความวิตก ด้วยเมืองฌ้อเคยชักชวนห้าเมืองยกมาทำอันตราย จึงปรึกษาเตียวหงีว่าเราจะทำประการใดให้เมืองเจ๋หน่ายแหนงผิดใจกัน เตียวหงีจึงว่าธุระของท่านครั้งนี้อย่าวิตกเลย ด้วยโหยอ๋องคนนี้เมื่อข้าพเจ้าอยู่เมืองฌ้อก็ได้พบพูดจากันอยู่บ้าง อันนํ้าใจของโหยอ๋องฉุนเฉียวไม่สู้หนักหน่วงตรึกตรอง ข้าพเจ้าจะอาสาไปเมืองฌ้อครั้งนี้แต่ตัวกับลิ้นยาวสี่นิ้วครึ่งจะสนองคุณท่านให้สิ้นความวิตกจงได้ เตียวหงีว่าแล้วก็คำนับลาฮุยบุนอ๋องกลับบ้าน จึงจัดสินค้าบรรทุกเกวียนยี่สิบเล่มให้บ่าวของตัวที่สนิทคุมไปจำหน่าย ณ เมืองฌ้อแล้วลอบสั่งความว่า เมื่อถึงเมืองเข้าแล้วเร่งขวนขวายหานายหน้าให้พาตัวกับของกำนัลจงมากไปให้คีเสียงขุนนางเมืองฌ้อ แล้วบอกความว่าเราลาฮุยบุนอ๋องออกจากที่เสียงก๊ก จะมาทำราชการสนองคุณโหยอ๋อง ซึ่งเตียวหงีสั่งให้ไปหาคีเสียงเพราะรู้ว่าคีเสียงคนนี้เป็นคนโลภมักได้ แต่โหยอ๋องเชื่อถ้อยคำคีเสียงมากกว่าขุนนางทั้งปวง คนใช้ของเตียวหงีคุมเกวียนมาเมืองฌ้อก็ทำตามเตียวหงีสั่ง
คีเสียงรู้ความก็ยินดีนัก หมายว่าเตียวหงีมีทรัพย์สินเงินทองมากด้วยเป็นที่เสียงก๊กเมืองจิ๋น ถ้าตกมาเมืองฌ้อที่ไหนจะไม่พึ่งอาศัยเรา จึงสั่งบ่าวเตียวหงีว่า จงกลับไปบอกนายให้เร่งมาเถิด ถ้าขัดสนสิ่งใดในเมืองนี้ไว้ธุระฝ่ายเรา บ่าวเตียวหงีก็กลับไปแจ้งความทุกประการ เตียวหงีจึงเอาตราสำหรับที่คืนไว้แก่ฮุยบุนอ๋องตัวก็มาเมืองฌ้อ ครั้นได้ไปหาสู่พูดจากับคีเสียงคุ้นเคยกันเป็นที่ชอบใจ คีเสียงจึงสรรเสริญเสนอเตียวหงีกับโหยอ๋องแล้วบอกว่าเตียวหงีมาอยู่เมืองเรา
โหยอ๋องรู้ความก็ยินดียิ่งนัก จึงให้หาเตียวหงีมายังตึกรับแขกเชิญให้นั่งที่ขุนนางผู้ใหญ่ แล้วพูดเป็นคำยกคำยอว่า ท่านอาจารย์อุตส่าห์มาถึงเมืองนี้จะช่วยสั่งสอนตักเตือนสิ่งใด จงว่ากล่าวเถิดอย่าเกรงใจเลย เตียวหงีจึงว่าท่านเอ็นดูนับถือข้าพเจ้าให้คนทั้งหลายปรากฏคุณหาที่สุดมิได้ เมื่อไม่ถือข้อล่วงเกินแล้วเห็นดีอย่างไรจะว่าแต่ตามจริง อันแผ่นดินทุกวันนี้ ยกเมืองหลวงเสียก็มีเมืองใหญ่อยู่เจ็ดเมือง แต่เมืองฌ้อ เมืองจิ๋น เมืองเจ๋ สามเมืองนี้ยิ่งขึ้นไปกว่าสี่เมือง ตั้งสู้รบกันมาหลายปีจนราษฎรได้ความเดือดร้อน อันห้าเมืองนั้นเหลือสติปัญญาอยู่แล้ว ซึ่งท่านกับฮุยบุนอ๋องมีคุณแก่ข้าพเจ้าทั้งสองฝ่าย จึงมาครั้งนี้จะให้เมืองฌ้อกับเมืองจิ๋นเป็นไมตรีกันด้วยหมายจะสนองคุณ
โหยอ๋องจึงว่า อันความจริงเดิมใจของข้าพเจ้าก็คิดอยู่จะให้เมืองจิ๋นกับเมืองฌ้อเป็นบ้านเมืองพี่น้องใช้ผู้คนไปมาถึงกัน แต่บ้านเมืองขึ้นฝ่ายข้าทำความผิดแล้วไปขึ้นเสียกับเมืองจิ๋นหลายครั้งข้างเมืองจิ๋นก็รับไว้ทุกที ข้าน้อยใจบ้างจึงมิได้เป็นไมตรีกับเมืองจิ๋น เตียวหงีจึงว่า อันเมืองจิ๋นนี้เขตแดนกว้างใหญ่ไปจนเมืองงุย เมืองเอี๋ยน ทิศตะวันออกไปจดแดนเมืองเจ๋ ตะวันออกเฉียงใต้จดแดนเมืองฌ้อ ทำไมกับเมืองขึ้นสี่เมืองห้าเมืองจะโลภเกียดกันไปข้างไหน อันเป็นข้าศึกกันอยู่แล้ว อย่าว่าถึงบ้านเมืองเลย แต่ทหารผู้คนถ้าสมัครไปพึ่งข้างผู้ใดก็จำยินดีรับไว้ อันความข้อนั้นอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าก็ได้บอกฮุยบุนอ๋อง ฮุยบุนอ๋องรู้ว่าน้ำใจท่านสัตย์ซื่อมั่นคง ฮุยบุนอ๋องก็จะใคร่เป็นไมตรีกับท่าน ออกปากอยู่เนืองๆ มิได้ขาดจะคืนเมืองขึ้นให้เมืองฌ้อเสีย หากขัดอยู่นิดหนึ่งด้วยรู้ว่าท่านกับเจ๋มินอ๋องใช้ผู้คนไปมาหากันรักใคร่สนิทอยู่จึงงดไว้
โหยอ๋องฟังเตียวหงีก็เชื่อถือสำคัญว่าจริง ยินดีหมายจะได้เมืองขึ้นคืนจึงว่า ทำไมกับเจ๋มินอ๋องเดี๋ยวนี้เราเห็นใจเสียแล้วไม่เป็นยุติเป็นธรรม มีแต่โลภมักได้ด้วยใช้กงเจียมไปกำจัดจู๋จี๋ ณ เมืองเอี๋ยน ครั้นปราบปรามสิ้นศึกสิ้นสงครามก็หาตั้งแต่งเชื้อวงศ์ลูกหลานเจ้าเมืองเอี๋ยนขึ้นครอบครองบ้านเมืองไม่ ขนเอาแต่ทองเงินของเข้ามาเมืองเจ๋ อันคนเช่นนี้ใครคบหาชั่วนัก เตียวหงีเห็นได้ท่วงทีก็พูดจาเลียบเคียงยุยงโหยอ๋องเนืองๆ หลายเพลาจนโหยอ๋องขัดแค้นเจ๋มินอ๋องเป็นอันมาก จึงหาชาวด่านเข้ามาสั่งว่า ทีนี้ถ้าพวกเมืองเจ๋จะมาข้างเมืองเรา เร่งขับไล่เสียอย่าให้มาเลย แล้วใช้ทหารไปร้องว่ากล่าวหยาบช้าแก่เจ๋มินอ๋องถึงหน้าด่านเมืองเจ๋ อันพวกขุนนางในเมืองฌ้อก็เชื่อถ้อยคำเตียวหงีสิ้น พากันสรรเสริญโหยอ๋องว่ามีวาสนาจริง เมืองขึ้นเป็นขบถไปพึ่งเมืองจิ๋นไม่พักตามรบตามตีก็จะได้มาโดยง่ายเพราะความคิดสติปัญญาเตียวหงี
ตันเจี๋ยนเป็นขุนนางผู้น้อยจึงว่าแก่โหยอ๋องว่า คนทั้งปวงเขาชื่นชมยินดีสรรเสริญว่าจะได้เมืองขึ้นคืนมาเพราะความคิดสติปัญญาเตียวหงี แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวยังแคลงใจอยู่ ซึ่งท่านจะด่วนตัดไมตรีเมืองเจ๋เสีย ขอท่านได้ดำริตรึกตรองดูก่อน ทุกวันนี้เมืองจิ๋นไม่มาเบียดเบียนด้วยรู้ว่าเมืองเจ๋กับเมืองฌ้อเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกันจึงเกรงขาม เกลือกถ้อยคำเตียวหงีจะเป็นกลอุบายเมืองจิ๋น เมืองขึ้นจะไม่ได้คืน ข้างเมืองเจ๋ก็ขัดแค้นคงจะยกมารบ ฝ่ายเมืองจิ๋นเล่าเห็นท่วงทีแล้วไหนจะนิ่งไว้ เขาก็จะซ้ำเติมมาทำอันตรายเรามั่นคง ด้วยศึกถึงสองกำลังดังนี้ ฝ่ายเราแรงเดียวจะมิอับจนเสียหรือ
โหยอ๋องหัวเราะแล้วจึงว่า คนทั้งปวงเห็นพร้อมกันมีความยินดีว่าจะได้เมืองขึ้นคืนมา เขตแดนกว้างยาวถึงหกร้อยลี้ ไม่ต้องยากลำบากแก่ทหารไพร่พล อันความวิตกของท่านผู้เดียวลึกซึ้งยิ่งนักแล้วจะเป็นคนเสียจิตไปดอกกระมัง ตันเจี๋ยนจึงว่า ซึ่งถ้อยคำข้าพเจ้าเพราะคิดถึงคุณได้ชุบเลี้ยงเป็นขุนนางกินเบี้ยหวัดเงินเดือน ครั้นพิเคราะห์เห็นเหตุผลอย่างไรจะไม่ว่ากล่าวนิ่งเฉยเสียก็เหมือนไม่มีกตัญญู ซึ่งเตียวหงีรับจะไปว่ากล่าวฮุยบุนอ๋องให้คืนเมืองขึ้นมา ขอท่านได้มีหนังสือใช้คนเรากับเตียวหงีไปเมืองจิ๋น ถ้าฮุยบุนอ๋องคืนเมืองขึ้นให้จริง ท่านจะตัดรอนไมตรีเมืองเจ๋ก็สมควร
คุดเป้งจึงว่าแก่โหยอ๋องว่า ถ้อยคำตันเจี๋ยนนี้ข้าพเจ้าเห็นชอบด้วย อันเตียวหงีผู้นี้คนทั้งหลายเลื่องลือรู้ทั้งแผ่นดินว่าเป็นคนฉลาดช่างพูดช่างเจรจา ท่านจะเชื่อฟังแต่ง่ายๆ ไม่หยุดยั้งดำริก่อนเห็นมิชอบ โหยอ๋องครั้นขุนนางสองคนทักท้วงเข้ามาก็นั่งคิดใคร่ครวญเป็นสองใจสามใจอยู่ คีเสียงจึงว่าแก่ตันเจี๋ยนคุดเป้งว่า เดิมเตียวหงีเขาได้บอกโหยอ๋องว่าเจ้าเมืองจิ๋นคิดจะคืนหัวเมืองให้ แต่ขัดด้วยเรากับเมืองเจ๋รักใคร่กัน เมื่อยังไม่ตัดไมตรีเมืองเจ๋เสีย ท่านจะมีหนังสือไปทวงเมืองขึ้นของเราเห็นว่าฮุยบุนอ๋องน่ารักยินดีตรงข้อไหน โหยอ๋องก็พลอยเห็นด้วยตามถ้อยคำคีเสียงจึงว่า เตียวหงีเขาเป็นเสียงก๊กขุนนางผู้ใหญ่อยู่เมืองจิ๋น ชื่อเสียงก็ปรากฏไปทั่วทุกเมือง จะมาล่อลวงดังนั้นไม่คิดหน้าคิดชื่อบ้างเจียวหรือ อันถ้อยคำตันเจี๋ยนกับคุดเป้งนี้ไม่ชอบ แล้วโหยอ๋องจึงให้หาเตียวหงีที่ตึกรับแขกมาก็ให้ทองพันตำลึงกับม้าสำหรับเทียมเกวียนยี่สิบม้า จึงใช้ห้องหอทิวไปเมืองจิ๋นกับเตียวหงีฟังฮุยบุนอ๋องดูจะว่ากล่าวประการใด เตียวหงีกับห้องหอทิวขึ้นเกวียนคนละเล่ม เกวียนอื่นบรรทุกสิ่งของนั้นหลายเล่ม ก็พากันไปจากเมืองฌ้อ ขณะเมื่อเดินทางมาจะหยุดพักกินอาหารหลับนอน ห้องหอทิวกับเตียวหงีอยู่แห่งเดียวกัน จนสนิทรักใคร่ไว้วางอารมณ์ เตียวหงีนั้นกินอาหารกับห้องหอทิวครั้งไรแกล้งทำให้เป็นรัก เสพสุราแกล้งทำเมา กินสุราถ้วยหนึ่งจอกหนึ่งแล้วเดินเหินไม่ตรงทาง จะว่ากล่าวอันใดก็ฟั่นเฟือนกลับหน้ากลับหลัง ห้องหอทิวเห็นเตียวหงีแกล้งทำเมาสำคัญว่าจริง ครั้งสร่างสุราแล้วจึงเตือนสติว่า ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ปรากฏชื่อเสียงทุกบ้านทุกเมือง เมื่อกินเหล้าทีไรเมาไม่สมประดีเลย พูดจาก็แชเชือน เดินเหินซวนๆ เซๆ เห็นงามแก่ใจอยู่แล้ว แต่บ่าวไพร่ของตัวมันก็ลักหัวเราะเล่น เตียวหงีทำเป็นยินดีย่อตัวลงหน่อยเหมือนจะคำนับแล้วว่าขอบใจท่าน ที่จริงก็คิดอยู่เนืองๆ ว่าจะทิ้งสุราเสียแต่อดมิใคร่ได้ ทีนี้แหละจะผ่อนกินให้น้อยลงทุกวัน
เตียวหงีทำกินสุราหย่อนลงให้ห้องหอทิวเห็น ครั้นมาใกล้เมืองจิ๋นก็หยุดอยู่นอกเมือง จึงลอบสั่งบ่าวของตัวให้รู้ความลับแล้วใช้คนเข้าไปบ้านจัดเหล้าเข้มกับโต๊ะออกมาชวนห้องหอทิวว่าวันนี้ข้าจะกินสั่งสุราเสียให้เต็มที่ ห้องหอทิวกับเตียวหงีนั่งกินโต๊ะเสพสุราด้วยกัน เตียวหงีแกล้งทำเมาหนัก ยืนขึ้นจะไปนอนที่เกวียน ขยับตัวก้าวเดินก็ซวนคะมำ เอามือท้าวลงบนโต๊ะถูกถ้วยชามแตกหลายใบ แล้วเดินสะดุดซวนเซมาซมซานปีนขึ้นบนเกวียนพลาดตกลงนอนกลิ้งอยู่กับดินร้องว่าเจ็บปวดนัก บ่าวเตียวหงีก็เข้าพยุงช่วยยกนายบอกกันอื้ออึงให้ห้องหอทิวรู้ว่าเตียวหงีตกเกวียนขาหัก แล้วพยุงขึ้นเกี้ยวหามเข้ามาบ้าน ห้องหอทิวก็ตามมาอาศัยอยู่ตึกหน้าบ้านเตียวหงีจึงขอเข้าไปเยี่ยมเตียวหงี เตียวหงีแกล้งผูกผ้าพอกขาไว้นอนครางอยู่บนเตียง แล้วบอกห้องหอทิวว่า อันตัวข้านี้นานจะหายป่วย ท่านคอยเห็นจะช้านัก ให้ขุนนางเขาช่วยพาเข้าหาฮุยบุนอ๋องเถิดจะได้กลับไปแจ้งความแก่โหยอ๋อง พูดเท่านั้นเตียวหงีก็พลิกหน้าเข้าข้างฝาทำครางไม่หยุดเลย
ห้องหอทิวเห็นเตียวหงีสำคัญว่าป่วยหนักจริงก็กลับมาที่ตึกอาศัย แต่คอยเตียวหงีอยู่แทบสองเดือนก็ยังไม่คลายเจ็บ จึงคิดแต่งหนังสือเทียบฉบับหนึ่งใจความว่า เตียวหงีไปบอกโหยอ๋องว่าฮุยบุนอ๋องจะคืนเมืองขึ้นให้เมืองฌ้อเขตแดนหกร้อยลี้ โหยอ๋องจึงให้ข้าพเจ้ามาฟังดูฮุยบุนอ๋องจะเมตตาประการใด ครั้นทำเทียบแล้วเสียสินบนแก่ขุนนางเมืองจิ๋น จึงนำหนังสือเข้าไปแจ้งแก่ฮุยบุนอ๋อง ฮุยบุนอ๋องก็ส่งเทียบให้เตียวหงีแต่งหนังสือตอบ ด้วยเตียวหงีทำป่วยอยู่บ้านกลางวัน กลางคืนลอบออกเดินทางประตูหลังบ้านเข้ามาปรึกษาราชการกับฮุยบุนอ๋องมิได้ขาด เตียวหงีก็แต่งหนังสือตอบใช้คนมาส่งให้ห้องหอทิวใจความในหนังสือนั้นว่า เมืองจิ๋นกับเมืองเจ๋เป็นเมืองคู่ศึกคู่สงคราม แต่เมืองฌ้อเมืองเจ๋รักใคร่กัน การไมตรียังผูกพันอยู่ทั้งสองฝ่าย ซึ่งจะให้เราคืนเมืองขึ้นกับเมืองฌ้อนั้นข้อนี้ว่าไม่ได้ ด้วยเตียวหงียังป่วยหนักต่อคลายก่อนจึงจะปรึกษากัน ห้องหอทิวรู้ในหนังสือแล้วจึงมาบ้านเตียวหงี สั่งเข้าไปว่าจะขอเข้ามาหาเตียวหงี เตียวหงีก็ออกมาบอกว่ายังป่วยหนักอยู่ ห้องหอทิวก็จนใจจึงกลับมาคอยฟังอาการเตียวหงีที่ตึกเคยอาศัยอีกสิบแปดวัน
ฝ่ายเตียวหงีขณะเมื่อไปอยู่เมืองฌ้อ ครั้นพูดจาให้โหยอ๋องหลงเชื่อถือจนสั่งทหารให้ไปว่ากล่าวหยาบช้าแก่เจ๋มินอ๋องถึงหน้าด่านเมืองเจ๋ก็เข้าใจว่าสมความคิด ไมตรีสองเมืองขาดจากกันแล้ว จึงลอบมีหนังสือลับมาถึงฮุยบุนอ๋อง ฮุยบุนอ๋องก็ทำตามหนังสือลับเตียวหงี จัดขุนนางที่มีสติปัญญาให้ปลอมเป็นคนค้าขายคุมของบรรทุกเกวียนไปจำหน่าย ณ เมืองเจ๋ จึงได้พูดจากับเจ๋มินอ๋องจนใช้ผู้คนให้ข้าวของไปมาตอบแทนกับเมืองจิ๋น ภายหลังมีหนังสือมาถึงฮุยบุนอ๋อง ในหนังสือว่าขัดแค้นโหยอ๋องนัก ถ้าเมืองจิ๋นจะยกไปรบเมืองฌ้อเมื่อใดเมืองเจ๋จะยกไปช่วยรบด้วย เตียวหงีรู้ความก็ยินดีจึงหายป่วยแกล้งทำ ให้ห้องหอทิวเข้ามากินโต๊ะ ครั้นกินโต๊ะแล้วห้องหอทิวก็เล่าความซึ่งเรื่องราวตัวแต่งเทียบเข้าไปแจ้งแก่ฮุยบุนอ๋อง และหนังสือของฮุยบุนอ๋องตอบออกมา เตียวหงีครั้นรู้ความทำตกใจเอามือลูบอก แล้วว่านี่มิเคราะห์กรรมของข้าหรือเผอิญให้โหยอ๋องได้ยินดังนี้เล่า ข้าว่าแต่ที่หกลี้ฮุยบุนอ๋องให้ขึ้นแก่ข้าเป็นบ้านส่วย คิดจะคืนสนองคุณโหยอ๋องเสีย อันเมืองขึ้นเขตแดนถึงหกร้อยลี้ใครเลยจะล่วงว่าไปก่อนได้ สุดแต่โหยอ๋องกับฮุยบุนอ๋องจะคิดอ่านขอกัน ห้องหอทิวก็ยังยืนว่าท่านยกที่หกร้อยลี้ให้โหยอ๋อง โต้ตอบอยู่ช้านานทุ่มเถียงไม่ไหวด้วยเตียวหงีเจ้าสำนวนกว่าห้องหอทิวมาก ห้องหอทิวก็จนใจจึงกลับมาแจ้งความทั้งปวงแก่โหยอ๋อง โหยอ๋องขัดแค้นนักจึงสั่งให้จัดกองทัพจะยกไปตีเมืองจิ๋นจับตัวเตียวหงีฆ่าเสีย ตันเจี๋ยนจึงว่าทีนี้ละข้าพเจ้ากับคุดเป้งอ้าปากออกได้บ้างแล้ว เพราะท่านเชื่อคีเสียงการจึงเป็นดังนี้ โหยอ๋องยังรักใคร่นับถือคีเสียงอยู่จึงว่าแก่ตันเจี๋ยนว่า ซึ่งท่านลงร้ายเอาคีเสียงไม่ต้องการ ตัวข้าผิดเองด้วยไม่เชื่อถ้อยคำท่าน คนร้ายโกหกจึงล่อลวงได้ อุบายของท่านมีอย่างไรบ้างหรือจะแก้แค้นของเราครั้งนี้ได้
ตันเจี๋ยนจึงว่า อันเมืองจิ๋นนั้นเห็นว่าเมืองเจ๋กับเมืองฌ้อรักใคร่กันก็เกรงขามอยู่ เขาแกล้งใช้เตียวหงีมาล่อลวงจนแตกฉานสมความคิด อันการเราครั้งนี้เปรียบเหมือนคนต้องเสี้ยม จำจะอาศัยหนามจึงจะรับเจ็บปวดได้ อันเมืองจิ๋นทุกวันนี้เล่าคิดแต่จะแผ่ขอบขัณฑ์กว้างขวาง ท่านจงยกเมืองขึ้นของเราสักสองเมืองไปเป็นกำนัลฮุยบุนอ๋อง จึงขอกองทัพให้ยกไปช่วยตีเมืองเจ๋ ถ้าสมความคิดคงจะได้บ้านเมืองเขตแดนมากกว่าเมืองขึ้นที่เป็นของกำนัลโดยน้อยสักเก้าส่วนสิบส่วน โหยอ๋องจึงตอบว่าเราแค้นเจ้าเมืองจิ๋นนัก เพราะเขาให้เตียวหงีมาล่อลวงจะทำอันตรายเมืองเจ๋ซึ่งไม่มีความผิดต่อกัน ถ้ารู้ถึงไหนจะมิติเตียนนินทาเราหรือ ท่านคิดทั้งนี้มิชอบ
โหยอ๋องก็ให้จัดทัพสิบหมื่น ให้คุดบู๊เป็นแม่ทัพ ห้องหอทิวเป็นปลัดทัพ ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกจากเมืองฌ้อ ออกจากด่านตะวันตกเฉียงเหนือเดินตามทางเข้าเทียนสาน ครั้นเข้าแดนเมืองจิ๋น คุดบู๊ให้ตั้งค่ายมั่นลงสี่สิบหกค่าย ณ ตำบลอีเอี๋ยม คำไทยว่าที่ลูกค้ามารับปลารับเกลือ ชาวด่านเมืองจิ๋นก็บอกข่าวราชการมาแจ้งแก่ฮุยบุนอ๋อง ฮุยบุนอ๋องจึงเกณฑ์ทัพสิบหมื่นให้งุยเจียงเป็นแม่ทัพ คำบอเปงเป็นปลัดทัพ ให้ยกไปรบศึกเมืองฌ้อ แล้วมีหนังสือแจ้งความมายังเมืองเจ๋ เจ๋มินอ๋องรู้ก็เกณฑ์ทหารห้าหมื่นให้กงเจียงเป็นแม่ทัพยกไปช่วยราชการเมืองจิ๋น ครั้นแม่ทัพทั้งสองฝ่ายมาถึงก็ปรึกษากำหนดนัดพร้อมกันจึงเข้าตีค่ายคุดบู๊ห้องหอทิว
ขณะนั้นทหารเมืองจิ๋นเมืองเจ๋ประกวดฝีมือทั้งไพร่นายไม่คิดแก่ชีวิต หักโหมฟันแทงกระหนํ่ายิงเกาทัณฑ์หนุนเนื่องปีนค่ายเข้าไป คุดบู๊ห้องหอทิวขับทหารต่อรบเป็นสามารถ เหลือกำลังด้วยอยู่ระหว่างศึกกระหนาบ ห้องหอทิวปลัดทัพตายในที่รบ ทหารทั้งนั้นก็แตกตื่นล้มตายเป็นอันมาก เสียทหารเอกเจ็ดสิบเอ็ดคน ทหารเลวแปดหมื่นเศษ งุยเจียงแม่ทัพเมืองจิ๋นก็ตามตีไล่หลังพวกเมืองฌ้อติดพันมา
ฝ่ายกงเจียงแม่ทัพเมืองเจ๋ ครั้นทัพเมืองฌ้อแตกแล้วก็ไม่ยกติดตาม ได้ผู้คนม้าเกวียนเครื่องอาวุธก็กลับคืนมาเมืองแจ้งความกับเจ๋มินอ๋องทุกประการ ฝ่ายคุดบู๊แม่ทัพเมืองฌ้อแตกทัพมาถึงเมืองฮันต๋งเข้าตั้งรับรักษาเมืองมั่นไว้ งุยเจียงก็ยกเข้าหักหาญตีเพลาเดียวก็ได้เมืองฮันต๋งกับเขตแดนหกพันเศษ แล้วยกทัพตามต่อไป จนเข้าตั้งค่ายมั่นลงในแดนเมืองฌ้อ คุดบู๊ครั้นถึงเมืองฌ้อก็แจ้งความแก่โหยอ๋อง โหยอ๋องรู้ก็ตกใจนัก จึงทำหนังสือให้คุดเป้งถือไปเมืองเจ๋ ในหนังสือนั้นรับสารภาพว่าผิดจริง ขอเจ๋มินอ๋องได้คิดไมตรีแต่ก่อนซึ่งได้รักใคร่กันมา แล้วแต่งหนังสือให้ตันเจี๋ยนถือไปเมืองจิ๋น กับแผนที่เมืองขึ้นสองเมืองเป็นของกำนัลฮุยบุนอ๋อง ตันเจี๋ยนรับหนังสือและแผนที่แล้วมาค่ายงุยเจียงก่อนแจ้งความให้รู้
งุยเจียงจึงจัดนายทหารสองคน ทหารเลวห้าสิบหกสิบคนพาตันเจี๋ยนมาเมืองจิ๋น แล้วทำหนังสือลับให้นายทหารถือมาด้วย ในหนังสือลับนั้นว่าโหยอ๋องให้เมืองขึ้นเป็นของกำนัล ทั้งสองเมืองนั้นเล็กนักผู้คนบ้านส่วยของมีภาษีอากรก็น้อย ขอท่านได้เปลี่ยนเอาเมืองเป๊กต๋งแต่เมืองเดียวดีกว่าสองเมืองมาก นายทหารงุยเจียงก็ลาพาตันเจี๋ยนมาถึงเมืองจิ๋นแล้ว พาตันเจี๋ยนเข้าไปคำนับบอกว่าหนังสือเจ้าเมืองฌ้อให้มา ในหนังสือว่า โหยอ๋องแจ้งความมาถึงฮุยบุนอ๋องขอท่านได้เมตตาแก่ราษฎรในแผ่นดินเมืองฌ้อ ได้สั่งให้งุยเจียงเลิกทัพกลับมาเมืองจิ๋นเถิด ถ้าจะทำศึกขับเคี่ยวกันไป ทหารก็ล้มตายทั้งสองข้าง แล้วส่งหนังสือลับงุยเจียงให้ฮุยบุนอ๋อง ฮุยบุนอ๋องแจ้งในหนังสือลับแล้วจึงว่าแก่ตันเจี๋ยนว่า เมืองขึ้นซึ่งโหยอ๋องให้สองเมืองนั้นเราไม่ชอบใจจะเปลี่ยนเสียจะขอแต่เป๊กต๋งเมืองเดียว ถ้ายินยอมตามถ้อยคำจึงจะสั่งให้งุยเจียงเลิกทัพมา
ตันเจี๋ยนจึงว่า ท่านมิได้รับแผนที่สองเมืองไว้ขอเปลี่ยนเมืองเป๊กต๋ง ข้าพเจ้าจะขอไปแจ้งแก่โหยอ๋องก่อน ฮุยบุนอ๋องก็สั่งให้ยกโต๊ะมาเลี้ยงตันเจี๋ยน ตันเจี๋ยนกินโต๊ะแล้วก็คำนับลามาแจ้งความทั้งปวงแก่โหยอ๋อง โหยอ๋องนั้นขัดแค้นเตียวหงีว่าล่อลวงจนเสียบ้านเมืองรี้พลเป็นอันมาก ครั้นตันเจี๋ยนมาบอกด้วยเมืองจิ๋น เหมือนเตือนให้โกรธเตียวหงียิ่งขึ้นอีกจึงสั่งตันเจี๋ยนว่า ท่านรีบกลับไปบอกฮุยบุนอ๋องว่า ฮุยบุนอ๋องจะใคร่ได้เมืองเป๊กต๋งนั้นเรายอมให้แล้ว แต่จะเปลี่ยนเตียวหงี ถ้าส่งเตียวหงีมาให้เมื่อใด ก็จัดขุนนางเมืองจิ๋นมารักษาเมืองเป๊กต๋งตามใจเถิด จึงเขียนหนังสือเรื่องราวเหมือนถ้อยคำเข้าผนึกปิดตราส่งให้ตันเจี๋ยน ตันเจี๋ยนก็ไปเมืองจิ๋น เข้าไปคำนับฮุยบุนอ๋องแล้วอ่านหนังสือให้แจ้งความ ฮุยบุนอ๋องจึงว่าแก่ตันเจี๋ยนเป็นทีเยาะเย้ยว่า โหยอ๋องกับขุนนางเมืองฌ้อโกรธแค้นเตียวหงีนักว่ารู้ไม่เท่าเตียวหงีหรือ จึงจะขอเปลี่ยนเมืองเป๊กต๋ง ว่าแล้วก็ลงจากเก้าอี้เดินเข้าไปเสียข้างใน ตันเจี๋ยนก็กลับมาอยู่ที่ตึกรับแขกเมือง
ฝ่ายเตียวหงีเพลานั้นอยู่บ้านมิได้เข้าไปปรึกษาราชการ ครั้นแจ้งความทั้งปวงก็ยินดีรีบมาหาฮุยบุนอ๋องจึงว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าเมืองฌ้อจะเปลี่ยนเมืองเป๊กต๋งกับตัวข้าพเจ้า ทำไมท่านจึงมิรับเปลี่ยนกับเขาเล่า อันเมืองเป๊กต๋งมีเมืองขึ้นเป็นหลายเมือง บ้านส่วยก็มากเขตแดนก็กว้างขวาง เขายกให้เปล่าๆ ควรหรือท่านไม่ยินดี ฮุยบุนอ๋องจึงว่าซึ่งจะเปลี่ยนตัวท่านไปฆ่าเสีย ทำไมกับเมืองเป๊กต๋ง อย่าว่าแต่เมืองเดียวเลย ถึงจะเติมเมืองอื่นอีกสักยี่สิบเมืองก็ไม่คู่ควรจะแลกเปลี่ยนกับตัวท่าน เตียวหงีจึงว่าท่านชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นขุนนางผู้ใหญ่ปรากฏชื่อเสียงไปทั่วทุกเมืองคุณหาที่สุดมิได้ อันชีวิตข้าพเจ้านั้นอย่าได้วิตกเลย ถ้าการอันใดเป็นประโยชน์ในท่านแล้ว จะขออาสาสนองคุณไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต อนึ่ง ตัวข้าพเจ้าคนทั้งหลายก็เลื่องลือว่าศิษย์มีครู เมื่อเหตุผลรู้อยู่ดังนี้ จะวิ่งเข้าหาที่จนให้ตายลงในเงื้อมมือศัตรู ใครจะเรียกว่าเตียวหงีชำนิชำนาญวิชาสืบไปเล่า แล้วเตียวหงีว่ากล่าวอ้อนวอนฮุยบุนอ๋องต่างๆ ให้ส่งตัวไปเมืองฌ้อ จะถ่ายเทเอาเมืองเป๊กต๋งมาจงได้
ฮุยบุนอ๋องห้ามปรามก็ไม่ฟัง ฮุยบุนอ๋องจึงว่าอันความรู้สติปัญญาของท่านย่อมเป็นที่นับถือด้วยทำให้ปรากฏมาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้คับขันนัก อันท่านจะเอาชีวิตเข้ารับคมอาวุธหมายแต่จะได้เมืองเป๊กต๋งนั้นเรายังไม่เห็นด้วย ซึ่งจะคิดแก้ไขประการใดจงว่ากล่าวให้เต็มใจก่อน เตียวหงีจึงว่าซึ่งโหยอ๋องจะทำอันตรายไม่ได้ ด้วยข้าพเจ้ารู้จักอารมณ์เป็นแท้ว่าเป็นคนใจเร็วไม่ตรึกไม่ตรอง แล้วก็อยู่ในถ้อยคำนางอ๋องฮูหยินผู้เป็นภรรยา อันนางอ๋องฮูหยินคนนี้เป็นหญิงรูปงามประกอบทั้งจริตกิริยาแต่เป็นคนมักหึงหวง โหยอ๋องนั้นรักใคร่เกรงกลัวนางอ๋องฮูหยินนัก แม้นรักและชิงชังผู้ใด ถ้านางอ๋องฮูหยินว่าดีและชั่วโหยอ๋องก็กลับเห็นจริงไปด้วย ฝ่ายขุนนางนั้นเล่าจะว่ากล่าวสิ่งใดก็สิทธิอยู่แต่คีเสียง ถึงคํ่าคืนจะไปมาที่ข้างไหนก็ไม่มีใครห้ามปราม ด้วยคีเสียงเป็นคนสูงอายุ กับนางอ๋องฮูหยินก็รักใคร่เหมือนบุตรเหมือนบิดา แต่คีเสียงเป็นคนโลภ นางอ๋องฮูหยินเป็นคนหึง คนทั้งสองนี้เมื่อไปครั้งก่อนข้าพเจ้าได้ฝากตัวก็มีความเมตตายิ่งนัก โหยอ๋องหรือจะทำร้ายแก่ข้าพเจ้าได้ อย่าว่าแต่ไปล่อลวงครั้งนี้เลย สืบไปเบื้องหน้าจะมีกิจการสิ่งใดในเมืองฌ้อก็จะอาสาไปมิให้โหยอ๋องทำอันตรายได้ แต่ราชการครั้งนี้อันกองทัพงุยเจียงนั้นอย่าเพิ่งให้เลิกมาคอยฟังข้าพเจ้าก่อน ข้อหนึ่งท่านจงจัดขุนนางที่มีสติปัญญากับทหารพอสมควรจะรักษาเมืองเป๊กต๋งได้ปลอมเป็นลูกค้าคุมของไปจำหน่ายคอยท่าข้าพเจ้าอยู่ ณ เมืองเป๊กต๋ง แล้วท่านจะได้มีหนังสือกำหนดจะส่งตัวข้าพเจ้าไปเมืองฌ้อ ให้ตันเจี๋ยนกับขุนนางของเราถือไปก่อน ฮุยบุนอ๋องก็ทำตามเตียวหงีทั้งสิ้น แต่หนังสือซึ่งจะไปถึงเมืองฌ้อให้เตียวหงีตรึกตรองทำตามชอบอารมณ์ เตียวหงีจึงทำหนังสือใจความว่า เมืองเป๊กต๋งท่านยอมให้แล้วจึงจะจัดขุนนางไปรักษา ซึ่งเตียวหงีเป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองจิ๋นท่านจะขอให้ช่วยสั่งสอนกิจการทั้งปวง เราจะจัดแจงส่งไป แต่จะอยู่เมืองฌ้อช้านักไม่ได้ แล้วทำหนังสือให้ไปถึงคีเสียงฉบับหนึ่งใจความว่า แต่จากเมืองจิ๋นมีวิตกรำลึกถึงท่านมิได้ขาด คิดจะฝากสิ่งของมาให้ตามความรักยังหาคนที่ไว้วางใจจะคุมนั้นมิได้ บัดนี้โหยอ๋องให้ตันเจี๋ยนเอาเมืองเป๊กต๋งไปขอเปลี่ยนตัวข้าพเจ้าจะให้มาช่วยตักเตือนกิจการในเมืองฌ้อ ฮุยบุนอ๋องก็ยินยอมแล้ว ขอท่านจงจัดแจงบ่าวใช้สอยในเรือนซึ่งเป็นคนสัตย์ซื่อมาคอยรับสิ่งของอยู่ที่ด่านให้ทันความรักความวิตกของข้าพเจ้า
ครั้นทำหนังสือสองฉบับแล้ว ฉบับที่จะไปถึงโหยอ๋องส่งให้ตันเจี๋ยน ที่จะไปถึงคีเสียงส่งให้ขุนนางเมืองจิ๋น แล้วสั่งความทั้งปวงให้รู้ ตันเจี๋ยนกับขุนนางเมืองจิ๋นมาถึงเมืองฌ้อจึงส่งหนังสือให้คีเสียง คีเสียงรับหนังสือมาดูเห็นตรายี่ห้อเตียวหงีก็แกะผนึกหนังสือออกนั่งอ่านรู้เรื่องราวก็ดีใจด้วยจะได้ข้าวของ แล้วเลิกสงสารเตียวหงีสำคัญว่าไม่รู้ตัวจะถึงตาย คีเสียงจึงให้ขุนนางเมืองจิ๋นยั้งอยู่บ้านตัวก่อน พาตันเจี๋ยนเข้าหาโหยอ๋อง แล้วอ่านหนังสือฮุยบุนอ๋องให้รู้ความ
ฝ่ายโหยอ๋องยินดีนัก ด้วยจะได้เตียวหงีมาทำโทษให้สมที่ขัดแค้น จึงสั่งคีเสียงให้จัดทหารมีฝีมือสามร้อยคนออกไปคอยเตียวหงีอยู่ค่ายที่ด่าน ถ้ามาถึงก็ให้จับตัวฆ่าเสียตัดศีรษะใส่ถังมา คีเสียงได้ฟังโหยอ๋องก็ตกใจ กลัวว่าผู้ไปฆ่าเตียวหงีจะยักย้ายเอาของกำนัลของตัวไว้จึงอุบายว่ากับโหยอ๋องว่า ซึ่งท่านจะให้ไปฆ่าเตียวหงีถึงปลายแดนโดยกำลังโกรธเห็นไม่ควร กิตติศัพท์จะเลื่องลือรู้ถึงฮุยบุนอ๋องก็จะเป็นความพยาบาทขัดเคืองกัน ข้าพเจ้าจะขอไปคอยเตียวหงีอยู่ที่ด่านจับตัวจำมาเมืองเราจงได้ จึงไล่เลียงให้เห็นชอบและเห็นผิด เมื่อฆ่าเสียแล้วเราจึงยกข้อความบอกไปยังฮุยบุนอ๋อง ฮุยบุนอ๋องจะขึ้งโกรธก็แก้ได้ โหยอ๋องก็เห็นด้วยตามถ้อยคำคีเสียง คีเสียงก็ไปคอยท่าเตียวหงีอยู่ที่ด่าน
ฝ่ายเตียวหงีก็ให้ตันเจี๋ยนถือหนังสือไปเมืองฌ้อสองสามวันตัวก็ออกจากเมืองจิ๋นตามมา ครั้นถึงด่านได้ความว่าคีเสียงมาคอยรับก็เข้าใจว่าสมคิดครั้งนี้ไม่ตายแล้ว จึงลงจากเกวียนเดินเข้าไปในค่าย คีเสียงเห็นก็มารับเตียวหงีต่างคำนับกัน เตียวหงีพอนั่งลงยังมิทันจะพูดสิ่งใดก่อน เอาเงินทองของมีราคาให้แก่คีเสียง คีเสียงครั้นได้ลาภสมความคิดโดยกำลังเป็นคนโลภก็รักใคร่เตียวหงียิ่งขึ้น จึงขับบ่าวให้ไปเสียจากที่นั่น แล้วบอกความทั้งปวงแก่เตียวหงี เมื่อเล่านั้นนํ้าตาไหลเล่าความพลาง เตียวหงีก็ทำตกใจ เอามือเสื้อเข้าปิดหน้าเหมือนคนร้องไห้แล้วว่ากับคีเสียงว่า ถ้าท่านมิบอกเล่าครั้งนี้ไหนเลยจะรอดชีวิต จึงว่าเดิมข้าพเจ้ารับโหยอ๋องจะอ้อนวอนให้ฮุยบุนอ๋องคืนเมืองขึ้นทั้งปวงเป็นที่ถึงหกร้อยลี้ โหยอ๋องจึงให้ห้องหอทิวไปด้วย ครั้นถึงเมืองจิ๋นข้าพเจ้าป่วยลง ห้องหอทิวไม่ปรึกษาหารือคิดทำหนังสือเทียบเข้าไปให้ฮุยบุนอ๋อง เหมือนแกล้งกล่าวโทษข้าพเจ้าว่ายกเมืองขึ้นหกร้อยลี้ให้แก่โหยอ๋องจนฮุยบุนอ๋องขัดเคือง ห้องหอทิวจึงกลับมาเล่าความให้รู้ ท่านจงพิเคราะห์ดูเถิด ด้วยเป็นข้าชีวิตอยู่ในเงื้อมมือนาย เมื่อผู้ร่วมคิดกันกลับไปยั่งยืนเป็นโจทก์ความผิดมากระทั่งถึงแล้ว ใครจะสู้นิ่งตาย จำจะแก้ไขชีวิตไว้ก่อน
เตียวหงีว่ากล่าวลงร้ายห้องหอทิวต่างๆ พูดจาถนัดปากเพราะรู้ว่าห้องหอทิวตายเสียแล้ว คีเสียงฟังเตียวหงีเล่าความเสมอต้นเสมอปลายเห็นเป็นจริงไปสิ้นไม่มีความสงสัย จึงว่าธุระของท่านครั้งนี้จะแก้ไขให้ปลดเปลื้องจงได้ แล้วจะอ้อนวอนนางอ๋องฮูหยินให้ช่วยด้วย เตียวหงีจึงว่าอันนางอ๋องฮูหยินข้าพเจ้าก็คิดถึงคุณอยู่เนืองๆ เมื่อมาคราวก่อนท่านได้ให้ของกินหลายอย่าง ครั้งนี้เป็นการด่วน จะหาสิ่งอันใดมาสนองคุณก็ไม่ทัน แต่เมื่อข้าพเจ้าจวนจะมาถึงเมืองจิ๋น ฮุยบุนอ๋องปรึกษาขุนนางทั้งปวงว่าบุตรสาวฮุยบุนอ๋องผู้หนึ่งรูปทรงงามนัก ครั้นจะยกให้เป็นภรรยาชายคนใดก็ไม่คู่ควร คิดจะยกให้โหยอ๋อง เมืองฌ้อเมืองจิ๋นไมตรีจึงจะยั่งยืน ขุนนางที่ปรึกษาเห็นพร้อมกับฮุยบุนอ๋องสิ้น แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวคิดถึงคุณนางอ๋องฮูหยินอยู่ เพราะเห็นว่าบุตรสาวฮุยบุนอ๋องรูปโฉมก็งาม ถ้าได้มาอยู่กับโหยอ๋อง แม้นรักใคร่ลุ่มหลงไปจะเกิดความรำคาญ อันประเพณีหญิงโกรธแค้นทุกข์ตรอมสิ่งใด ไม่เหมือนสามีได้ภรรยาอื่นแล้วเลิกร้างตัวไว้ ข้าพเจ้าคิดดังนี้จึงทัดทานฮุยบุนอ๋องว่าซึ่งจะยกบุตรสาวให้โหยอ๋องเห็นไม่ควรด้วยมิได้มาขอสู่ ข้อหนึ่งภรรยาก็มีอยู่แล้ว จะเป็นที่คนทั้งหลายล่วงนินทาว่าท่านกลัวเมืองฌ้อนัก จนสิ้นความละอายนำบุตรสาวมายกให้ ฮุยบุนอ๋องก็เห็นด้วยจึงมิได้ยกลูกสาวให้โหยอ๋อง แต่ข้าพเจ้ามาเมืองฌ้อเสียแล้ว อยู่ภายหลังท่านจะปรึกษาอย่างไรอีกไม่ล่วงรู้ ความข้อนี้ขอท่านได้บอกเล่าแก่นางอ๋องฮูหยินให้แจ้งด้วย
ฝ่ายคีเสียงรักใคร่สงสารเตียวหงีเป็นอันมาก ครั้นเตียวหงีว่ากล่าวประการใดก็เชื่อถือไม่สงสัย จึงบอกเตียวหงีว่า ข้าจะรีบไปแจ้งความกับโหยอ๋องก่อนว่าทำโทษท่านจำให้คนคุมมาข้างหลัง ท่านจงซ่อนไปในเกวียนแต่เอาเครื่องจำไปด้วย เกลือกจะมีคนชันสูตรท่านจงทำโทษตัวให้เขาเห็น คีเสียงก็ขึ้นเกวียนรีบมาก่อน เตียวหงีก็ตามมาทำเหมือนถ้อยคำคีเสียง คีเสียงลงจากเกวียนเข้าไปหาโหยอ๋อง โหยอ๋องจึงถามว่าได้เตียวหงีมาหรือ มันพูดจาอย่างไรบ้าง คีเสียงว่าข้าพเจ้ารีบมาก่อน เตียวหงีนั้นทำโทษมั่นคงคนคุมมาข้างหลัง กำชับให้ถึงคํ่าวันนี้ แล้วเล่าความตามถ้อยคำเตียวหงีช่วยเสนอความชอบว่าเบี่ยงบ่ายต่างๆ ลงร้ายเอาห้องหอทิวผู้ตายว่าคนของเราใช้ไปไม่ดีเองจึงเสียท่วงที จะโกรธโทษเขาแต่ฝ่ายเดียวมิชอบ ขอท่านได้ตรึกตรองให้จงหนัก อย่าทำตามขัดแค้น การข้างหน้ายังจะมี
ฌ้อโหยอ๋องครั้นคีเสียงว่ากล่าวกลบความผิดของเตียวหงีเบี่ยงบ่ายความชอบ ซึ่งขัดเคืองคิดจะฆ่าเตียวหงีเสียนั้นก็ค่อยเสื่อมคลายลง คีเสียงเห็นดังนั้นก็คำนับลาโหยอ๋องเข้ามาหานางอ๋องฮูหยินถึงตึกข้างใน นางอ๋องฮูหยินจึงถามคีเสียงว่า ท่านไปได้ตัวเตียวหงีมาหรือไม่ เขาว่ากล่าวอย่างไรบ้าง โหยอ๋องทำโทษทัณฑ์ประการใด ข้านี้คิดสงสารอยู่ คีเสียงก็แจ้งตามเรื่องความแล้วเล่าซึ่งเตียวหงีบอกว่าฮุยบุนอ๋องปรึกษาขุนนางจะยกบุตรสาวรูปงามให้โหยอ๋อง ไปจนเตียวหงีคิดถึงบุญคุณนางอ๋องฮูหยินแกล้งทัดทานห้ามเสียมิให้ฮุยบุนอ๋องยกบุตรสาวให้กับฌ้อโหยอ๋อง นางอองฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าถ้าดังนั้นท่านจงช่วยแก้ไขอย่าให้เตียวหงีตายเสียเลย ให้ได้กลับไปบ้านเมืองเถิดจะได้ว่ากล่าวทัดทานฮุยบุนอ๋อง คีเสียงจึงว่าเวลาคํ่าวันนี้ท่านจงช่วยอ้อนวอนกับฌ้อโหยอ๋องให้ปล่อยเตียวหงีเสีย ข้าพเจ้าจะว่ากล่าวข้างนอก แล้วคีเสียงก็ลากลับมาบ้าน
ครั้นเวลาคํ่านางอ๋องฮูหยินเข้าไปปฏิบัติฌ้อโหยอ๋อง จึงแกล้งทำเป็นร้องไห้แล้วแจ้งความว่า ได้ยินกิตติศัพท์เขาเล่าลือว่าไตอ๋องจะเอาหัวเมืองไปแลกเอาตัวเตียวหงีมาฆ่าเสียนั้น ข้าพเจ้าคิดเสียดายนัก อนึ่งบ้านเมืองเราก็ยังไม่ปกติ ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูหาเห็นขุนนางผู้ใดที่จะซื่อสัตย์รักใคร่ท่านช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขสืบไปไม่ นี่มีแต่จะสอพลอประจบประแจงหาความสุขใส่ตัว ยุยงให้เจ้านายของตัวเอาเมืองเป๊กต๋งซึ่งมีเขตแดนกว้างขวางไปแลกเอาตัวเตียวหงีมาฆ่าเสียนั้น จะประโยชน์สิ่งใดเหมือนหนึ่งเอาหยกไปแลกกับศิลานั้นเห็นหาคู่ควรกันไม่ ถึงมาตรว่าจะฆ่าเตียวหงีเสียนั้น ใช่ขุนนางในเมืองจิ๋นผู้มีสติปัญญาจะหมดแต่เท่านั้นและหรือ อนึ่งท่านจะเอาตัวเตียวหงีมาฆ่าเสียก็ดี กิตติศัพท์รู้ไปถึงฮุยบุนอ๋องก็จะขัดเคือง รวบรวมหัวเมืองสองตำบลของเราซึ่งได้ไปนั้น ก็จะเป็นกำลังมากขึ้นยกมาตีเมืองเราเป็นมั่นคง ท่านผู้เดียวจะคิดสู้ทัพเมืองจิ๋นได้หรือ ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามิได้นอนหลับเหมือนหนึ่งหนามยอกอยู่ในอกมีความวิตกเป็นอันมาก ข้าพเจ้าเป็นผู้หญิงก็หาควรที่จะพูดจาด้วยการบ้านเมืองไม่ แต่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่าให้ท่านคืนเตียวหงีให้แก่ฮุยบุนอ๋อง ฮุยบุนอ๋องกับท่านก็จะเป็นไมตรีกัน ข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ขอท่านจงดำริดูจงควรเกิด
ขณะเมื่อนางอ๋องฮูหยินพูดกับฌ้อโหยอ๋องนั้น แกล้งทำชายตาไปให้ปะตาฌ้อโหยอ๋อง ทำถอนใจใหญ่แล้วก้มหน้านิ่งอยู่ ฌ้อโหยอ๋องเห็นดังนั้นยิ่งมีความกรุณา จึงนึกว่านางกตัญญูซื่อสัตย์โดยสุจริต จึงตอบว่าเจ้าอย่าวิตกทุกข์ร้อนไปเลย จงหลับนอนเสียให้สบายเกิด เวลาพรุ่งนี้เราจะปรึกษาขุนนางทั้งปวงดูก่อน
ครั้นรุ่งเช้าฌ้อโหยอ๋องออกว่าราชการปรึกษาด้วยเรื่องเตียวหงี คีเสียงได้ยินฌ้อโหยอ๋องปรึกษาดังนั้น คำนับแล้วจึงว่าซึ่งท่านเอาเมืองเป๊กต๋งไปแลกเอาเตียวหงีมาฆ่าเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นหามีประโยชน์ไม่ ถ้าเอาเตียวหงีเลี้ยงดูไว้ให้ปกติแล้วคืนไปให้ฮุยบุนอ๋องเป็นทางไมตรีไว้กับท่าน ก็เห็นว่าดีกว่าฆ่าเตียวหงีเสีย ท่านกับฮุยบุนอ๋องก็จะเป็นไมตรีกันสืบไป ฌ้อโหยอ๋องได้ฟังคีเสียงทัดทานต้องกับคำภรรยาดังนั้นเห็นชอบด้วย จึงสั่งให้ไปถอดเตียวหงีมาเลี้ยงดูไว้ในที่ขุนนาง
เตียวหงีจึงว่ากับฌ้อโหยอ๋องว่า ถ้าท่านไปผูกไมตรีรักใคร่อยู่กับฮุยบุนอ๋องนายข้าพเจ้าก็จะได้เป็นกำลังขึ้นทั้งสองหัวเมืองด้วยกัน ฌ้อโหยอ๋องได้ฟังเตียวหงีว่าดังนั้นหาทันคิดไม่ เห็นชอบด้วย จึงให้เตียวหงีกลับไปเมืองแล้วสั่งว่า ท่านจงแจ้งความแก่ฮุยบุนอ๋องว่า ตั้งแต่นี้ไปจงเป็นทางไมตรีอย่าได้คิดรังเกียจกันสืบไปเลย เตียวหงีรับคำแล้วรีบไปทั้งกลางวันกลางคืน
ฝ่ายคุดเป้งซึ่งไปเยี่ยมเยือนเจ้าเมืองเจ๋กลับมาเมืองฌ้อ ครั้นมาถึงกลางทางได้ยินกิตติศัพท์ว่าฌ้อโหยอ๋องปล่อยเตียวหงีกลับไปเมืองจิ๋นก็ตกใจรีบเข้าไปหาฌ้อโหยอ๋องจึงว่า เมื่อเดิมนั้นข้าพเจ้าทราบว่าท่านคิดจะฆ่าเตียวหงีอยู่เนืองๆ ครั้นได้ตัวเตียวหงีมาสมดังท่านนึกแล้วเหตุใดจึงปล่อยเตียวหงีไปเสีย ท่านปล่อยเตียวหงีเสียครั้งนี้ อุปมาเหมือนปล่อยปลาลงหนองก็จะมีกำลังมากขึ้นคงจะกลับทำอันตรายแก่ท่าน ขอท่านจงให้ไปติดตามตัวเตียวหงีมาฆ่าเสีย เมืองเราจึงจะมีความสุขสืบไป ฌ้อโหยอ๋องได้ฟังดังนั้นคิดขึ้นได้ก็เห็นชอบด้วย จึงจัดแจงทหารที่มีฝีมือให้ยกรีบไปติดตามจับตัวเตียวหงีมาให้จงได้ ทหารคำนับลารีบไปตามจนปลายแดนเมืองฌ้อก็หาทันไม่ แจ้งว่าเตียวหงีล่วงพ้นแดนไปได้สองวันแล้วก็ยกกลับมา ณ เมืองฌ้อ
ฝ่ายเตียวหงีมาถึงกลางทางพอพบค่ายงุยเจียงก็แจ้งความให้ฟังแล้วก็พากันยกทัพกลับเมืองจิ๋น จึงเข้าไปคำนับฮุยบุนอ๋อง ฮุยบุนอ๋องเห็นเตียวหงีกลับมาดีใจนัก เตียวหงีจึงว่าเมื่อข้าพเจ้าจะมาฌ้อโหยอ๋องสั่งให้ข้าพเจ้ามาว่ากับท่าน จะขอแบ่งหัวเมืองฮันต๋งสักครึ่งหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้รับคำฌ้อโหยอ๋องมา ขอท่านได้กรุณาแบ่งหัวเมืองให้กับฌ้อโหยอ๋องเถิด เมืองจิ๋นกับเมืองฌ้อจะได้เป็นไมตรีกันสืบไป ข้าพเจ้าจะมิได้เป็นคนปดกับฌ้อโหยอ๋องด้วย ประการหนึ่งจะได้ไปเกลี้ยกล่อมห้าหัวเมืองให้มาเป็นไมตรีกับท่าน เมืองเราก็จะได้เป็นใหญ่ขึ้น
ฮุยบุนอ๋องเห็นชอบด้วยจึงจัดแจงให้ขุนนางคุมเครื่องบรรณาการไปขอลูกสาวฌ้อโหยอ๋องให้กับไทจูต๋ง แล้วก็แบ่งที่หัวเมืองฮันต๋งให้กับฌ้อโหยอ๋องครึ่งหนึ่ง ขุนนางก็คำนับรับเครื่องบรรณาการรีบไปยังเมืองฌ้อ จึงเข้าไปคำนับฌ้อโหยอ๋อง แจ้งความแก่เจ้าเมืองฌ้อทุกประการ ฌ้อโหยอ๋องแจ้งดังนั้นมีความยินดีนัก จึงว่าเตียวหงีพูดจาซื่อสัตย์นักควรจะเป็นผู้ใหญ่ได้ แล้วให้ขุนนางคุมเครื่องบรรณาการไปขอลูกสาวเจ้าเมืองจิ๋นให้กับกงจูลัน ขุนนางก็คำนับลากลับไปเมืองจิ๋น แจ้งความแก่ฮุยบุนอ๋องทุกประการ
ฮุยบุนอ๋องแจ้งดังนั้นมีความยินดี ก็ยอมยกลูกสาวให้กงจูลันตามคำฌ้อโหยอ๋องว่ามานั้น แล้วจึงว่าเตียวหงีมีความชอบมาก ก็ตั้งให้เป็นที่บู๊ซินกุนตำแหน่งนายทหาร แล้วให้บ้านส่วยห้าตำบลกับทองพันตำลึง แพรผ้าม้าเกวียนเป็นอันมาก ทั้งเกวียนใหญ่เทียมม้าสี่ม้าสำหรับจะได้ขี่ไปมาทำราชการ แล้วก็ใช้เตียวหงีไปเกลี้ยกล่อมห้าหัวเมืองให้มาเป็นไมตรีด้วย เตียวหงีก็คำนับลามาขึ้นเกวียนใหม่ที่ได้ประทานกับบ่าวไพร่ประมาณสิบสี่คนสิบห้าคนออกจากเมือง ครั้นถึงเมืองเจ๋ก็ไปบอกนายประตูว่า เราชื่อเตียวหงีมาแต่เมืองจิ๋นจะขอเข้าไปคำนับเจ๋มินอ๋อง นายประตูรู้ดังนั้นก็เข้าไปแจ้งแก่เจ๋มินอ๋อง เจ๋มินอ๋องจึงให้เข้ามายังที่ว่าราชการ นายประตูก็ออกไปบอกเตียวหงี เตียวหงีก็เข้าไปคำนับแล้วจึงว่ากับเจ๋มินอ๋องว่า ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเห็นท่านจะเป็นใหญ่อยู่ ทำไมจึงไม่เป็นไมตรีกับหัวเมืองใหญ่ทั้งปวงเล่า อนึ่งหัวเมืองจิ๋นกับเมืองฌ้อก็เป็นหัวเมืองเอก แล้วก็เป็นเกี่ยวดองกันด้วย ข้าพเจ้าเห็นว่าเมืองจิ๋นนั้นภูมิฐานบ้านเมืองก็กว้างขวาง ทั้งทแกล้วทหารเล่าก็มีฝีมือเป็นอันมาก ซึ่งท่านจะขัดเคืองกับเมืองจิ๋นนั้นหาควรไม่ บัดนี้ฮุยบุนอ๋องก็ได้เมืองเตียว เมืองงุย เมืองหันทั้งสามหัวเมืองมาเป็นไมตรีแล้ว ถ้าฮุยบุนอ๋องให้สามหัวเมืองยกมาทางแม่นํ้าฮวงโห มาตีเอาลืมจูเจกเบกทั้งสองตำบล ถ้าและยกกองทัพมาตีหัวเมืองทั้งสองได้แล้ว ถึงท่านจะไปเป็นไมตรีกับฮุยบุนอ๋องก็เห็นจะหายอมไม่ อันทุกวันนี้ถ้าหัวเมืองใดมิได้เป็นไมตรีกับเมืองจิ๋นแล้วหามีความสุขไม่ ขอท่านจงตรึกตรองดูให้ควรเถิด
เจ๋มินอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงว่า ซึ่งท่านมาว่ากล่าวทั้งนี้ก็สมควรอยู่ ข้าพเจ้าจะทำตาม แล้วก็จัดแจงสิ่งของเงินทองให้แก่เตียวหงีพอสมควร เตียวหงีก็ลากลับไปเมืองเตียว แจ้งความแก่เตียวอ๋องว่า ฮุยบุนอ๋องนายข้าพเจ้าให้มาเชิญท่านไปกระทำสัตย์เป็นทางไมตรีไว้ ณ ที่ตำบลกำตั๋น ด้วยเดิมนั้นข้าพเจ้าแจ้งว่าท่านก็นับถืออยู่ในถ้อยคำโซจิ๋น โซจิ๋นคิดอ่านไปชักชวนหกหัวเมืองมาประนอมพร้อมใจกันจะไปทำศึกกับเมืองจิ๋น โซจิ๋นที่ท่านนับถือว่ามีสติปัญญานั้นก็มีผู้มาลอบฆ่าเสียแล้ว หามีผู้ใดจะเป็นที่ปรึกษากิจการต่อไปไม่ ข้าพเจ้าจะขอเตือนสติท่าน ด้วยเมืองฌ้อ เมืองเจ๋ก็ไปเป็นไมตรีกับเมืองจิ๋นแล้ว อันเมืองหัน เมืองเอี๋ยน เมืองงุยนี้ข้าพเจ้าก็แจ้งอยู่ว่าจะเป็นไมตรีกับเมืองจิ๋น ด้วยทุกวันนี้เมืองจิ๋นกำลังชะตาขึ้น ถ้าเมืองจิ๋น ประนีประนอมพร้อมใจกับเมืองเหล่านี้ยกมาตีเมืองท่าน ท่านเมืองเดียวจะสู้กำลังฝีมือทหารเมืองจิ๋นได้แล้วหรือ อันธรรมเนียมคนน้อยจะสู้คนมากไม่ได้นั้นท่านก็ย่อมแจ้งอยู่ ขอท่านจงดำริแต่ควรเถิด
เตียวอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงตอบว่า ซึ่งท่านมาช่วยเตือนสติเราครั้งนี้ก็ชอบแล้ว เราจะทำตามคำท่าน ท่านจงช่วยว่ากล่าวนายท่านให้เห็นกับไมตรีของเราบ้างเถิด เตียวหงีก็คำนับลาไปเมืองเอี๋ยน ครั้นมาถึงเมืองเอี๋ยนก็เข้าไปคำนับเอี๋ยนเจาอ๋อง จึงแจ้งความแก่เอี๋ยนเจาอ๋องเหมือนว่ากับเจ้าเมืองเตียวให้เอี๋ยนเจาอ๋องทุกประการ เอี๋ยนเจาอ๋องได้ฟังดังนั้นให้นึกครั่นคร้ามแก่เมืองจิ๋นนัก จึงตอบเตียวหงีว่า เรานึกอยู่แต่ก่อนแล้วว่าจะไปเป็นไมตรีกับเมืองจิ๋น พอท่านมาตักเตือนสติเรา บุญคุณท่านอยู่กับเราหาที่สุดมิได้ เราก็จะยอมยกตำบลบ้านเฮงสันซึ่งเป็นบ้านส่วยขึ้นแก่เมืองเรานั้นให้แก่นายท่านเป็นกำนัลคำนับไว้ตามประเพณี เตียวหงีได้ฟังเอี๋ยนเจาอ๋องว่าอ่อนน้อมดังนั้นสมกับที่คิดไว้ก็คำนับลาไปเมืองจิ๋น พอมาถึงกลางทางได้ยินกิตติศัพท์ว่าฮุยบุนอ๋องตาย ขุนนางในเมืองยกไทจูต๋งซึ่งเป็นบุตรฮุยบุนอ๋องขึ้นเป็นเจ้าเมืองชื่อจิ๋นบุนอ๋อง
ฝ่ายเจ๋มินอ๋องครั้นรู้ว่าเมืองเตียว เมืองหัน เมืองงุย ทั้งสามเมืองนี้หาได้ไปขึ้นกับเมืองจิ๋นไม่ ก็นึกโกรธเตียวหงีอยู่ ครั้นรู้ว่าฮุยบุนอ๋องตายจึงแต่งหนังสือเป็นใจความว่า เราทั้งปวงประนีประนอมกันยกไปตีเมืองฌ้อเสียก่อน ด้วยเมืองฌ้อกับเมืองจิ๋นยังเป็นไมตรีกันอยู่ ถ้าเราตีเมืองฌ้อได้แล้วจึงไปตีเมืองจิ๋นต่อภายหลังเห็นจะได้โดยง่าย แล้วก็เอาหนังสือให้เบ๋งเสียงกุ๋นถือไปถึงสามหัวเมือง เบ๋งเสียงกุ๋นก็คำนับลาไปตามคำเจ๋มินอ๋องสั่งทุกประการ ฝ่ายหัวเมืองทั้งสามครั้นแจ้งความดังนั้นก็จัดทแกล้วทหารเตรียมพร้อมไว้
ฝ่ายฌ้อโหยอ๋องแจ้งความว่าเจ๋มินอ๋องไปนัดสามหัวเมืองจะยกมารบ เห็นจะสู้มิได้ จึงให้ไทจูอ๋องซึ่งเป็นบุตรไปเป็นจำนำแทนตัวอยู่เมืองเจ๋ เจ๋มินอ๋องก็มิได้ยกมาทำอันตราย แต่คิดแค้นเตียวหงีอยู่จึงว่า ถ้าผู้ใดได้ตัวเตียวหงีมา เราจะให้เมืองขึ้นสิบหัวเมืองเป็นรางวัล ฝ่ายจิ๋นบุนอ๋องตั้งแต่ได้เป็นเจ้าเมืองแล้วก็มีใจกำเริบขึ้น อันจิ๋นบุนอ๋องคนนี้เป็นคนโทโสมาก เมื่อยังมิได้เป็นเจ้าเมืองนั้นให้นึกชังเตียวหงีนัก แต่บรรดาขุนนางก็อิจฉาชิงชังเตียวหงี แกล้งยุยงจิ๋นบุนอ๋องจะให้เอาโทษเตียวหงีอยู่เนืองๆ เตียวหงีก็เข้าใจว่าจิ๋นบุนอ๋องหารักใคร่ตัวไม่ คอยพาลจะเอาผิดอยู่ เตียวหงีจึงเข้าไปว่ากับจิ๋นบุนอ๋องว่า ตั้งแต่ท่านได้ว่าราชการเมืองจิ๋นมา ข้าพเจ้าก็ยังหาได้ทำราชการเป็นความชอบในท่านไม่ ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขอทำความชอบไว้ในท่าน ให้ท่านได้เป็นเมืองเอกใหญ่กว่าเมืองทั้งปวง
จิ๋นบุนอ๋องจึงว่าท่านจะคิดอ่านเป็นประการใดจึงจะให้เราเป็นหัวเมืองเอกได้ เตียวหงีจึงว่าบัดนี้เจ๋มินอ๋องชิงชังข้าพเจ้านัก รู้ว่าข้าพเจ้าไปอยู่เมืองไหนก็จะยกไปตีเมืองนั้นจับตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะอาสาลาท่านไปเมืองงุย เจ๋มินอ๋องรู้ก็จะยกไปตีเมืองงุย ท่านจงเกณฑ์ทหารไปตีเมืองหัน ด้วยทัพเมืองเจ๋ยกไปตีเมืองงุยอยู่ จะมิได้ยกมาช่วยเมืองหัน ทัพเมืองเราก็จะตีเมืองหันได้โดยง่าย ถ้าได้เมืองหันแล้วถึงท่านจะยกไปตีเมืองตังจิวก็จะได้โดยสะดวก ด้วยหนทางเมืองตังจิวนั้นก็ต้องไปตามทางเมืองหัน จิ๋นบุนอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงจัดแจงเกวียนกับผู้คนพอสมควรให้กับเตียวหงี เตียวหงีก็คำนับลาจิ๋นบุนอ๋องไปยังเมืองงุย งุยอายอ๋องรู้ว่าเตียวหงีมาถึงเมืองก็ให้ไปเชิญเตียวหงีเข้ามา พูดจาเกลี้ยกล่อมตั้งเตียวหงีให้เป็นที่เสียงก๊กแทนที่กองซุนเซียน กองซุนเซียนครั้นต้องถอดจากที่ก็เสียใจ พาสมัครพรรคพวกของตัวกลับไปอยู่เมืองจิ๋น
เจ๋มินอ๋องครั้นได้ยินกิตติศัพท์ว่าเตียวหงีไปอยู่เมืองงุยคิดโกรธเตียวหงีนัก จึงจัดกองทัพจะยกไปตีเมืองงุย ฝ่ายงุยอายอ๋องรู้ข่าวว่าเจ๋มินอ๋องจะยกกองทัพมาตีเมืองจึงปรึกษากับเตียวหงี เตียวหงีจึงว่า ซึ่งเจ๋มินอ๋องจะยกทัพมาตีเมืองเรานั้นท่านอย่าวิตกเลยไว้เป็นธุระข้าพเจ้า ว่าแล้วก็ลางุยอายอ๋องกลับมาบ้าน จึงแต่งคนสนิทของตัวชื่อปังฮี้ปลอมเป็นพ่อค้าเมืองฌ้อไปเมืองเจ๋ ปังฮี้ครั้นไปถึงเมืองแล้วจึงแต่งของกำนัลเข้าไปคำนับเจ๋มินอ๋องแล้วว่า ข้าพเจ้าไปค้าขายเมืองฌ้อมากลางทาง ได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านโกรธเตียวหงีนัก เตียวหงีไปอยู่เมืองงุยท่านจะยกทัพไปตีเมืองงุย ถ้าท่านยกไปแล้วก็จะต้องกลอุบายของเตียวหงี ด้วยเดิมเตียวหงีจะมาจากเมืองจิ๋นนั้นเพราะจิ๋นบุนอ๋องส่งเตียวหงีมา หวังจะให้ท่านยกกองทัพไปเมืองงุย ถ้าเมืองงุยกับเมืองเจ๋กระทำศึกติดพันกันอยู่แล้ว จิ๋นบุนอ๋องก็จะเกณฑ์ทหารไปตีเมืองหัน ถ้าได้เมืองหันแล้วก็จะตีไปถึงเมืองตังจิวทีเดียว จิ๋นบุนอ๋องก็จะได้เป็นเมืองเอกสมคะเนที่จิ๋นบุนอ๋องคิดกันไว้นั้น ถ้าท่านมิได้ยกไปตีเมืองงุยก็จะไม่ต้องกลอุบายของเตียวหงี จิ๋นบุนอ๋องก็จะไม่เชื่อเตียวหงีต่อไป ขอท่านจงพิเคราะห์ความที่ข้าพเจ้าว่านี้ให้ควรแก่การของท่านเถิด เจ๋มินอ๋องได้ฟังปังอี้ว่าดังนั้นก็สั่งให้งดกองทัพมิได้ไปตีเมืองงุย
งุยอายอ๋องก็นับถือมากขึ้นกว่าแต่ก่อน พอประมาณได้ปีหนึ่งเตียวหงีก็ถึงแก่กรรมตายอยู่ในเมืองงุย งุยอายอ๋องให้จัดแจงฝังศพไว้ตามตำแหน่งที่ขุนนาง ขณะนั้นในเมืองเจ๋นางบอเอี๋ยมซึ่งเป็นภรรยาเจ๋มินอ๋องถึงแก่ความตาย เจ๋มินอ๋องก็ให้จัดแจงฝังศพไว้ตามธรรมเนียม