บทที่ ๖

​ที่จริงเพียงครึ่งนาที แต่ดูนานตั้งชั่วโมงกว่ารุ้งจะเข้ามาในห้องของเธอ คุณหญิงเดินตามเข้ามาด้วย แต่หยุดยืนอยู่ครู่หนึ่งก็กลับออกไป รุ้งยืนชิดเตียงนอน สายตาจ้องจับหน้าคนไข้ หน้าของเขาดูเศร้ามิได้ยิ้มแย้ม และเธอก็เช่นเดียวกัน เธอประนมมือไหว้แล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเตียง เขาจับมือของเธอ เขาไม่เอ่ยอะไรเลยจนคำเดียว เพียงได้เห็นก็รู้แล้วว่าคำพูดอื่นจะไม่มีความสำคัญเลยนอกจากคำอำลา มฤตยูทำเครื่องหมายไว้แล้วแทบทั่วใบหน้าของคนไข้ เขาแทบจำเธอไม่ได้

“ขอบพระคุณ” สมส่วนพูดเสียงแผ่ว “ที่อุตส่าห์มาเยี่ยมน้อง น้องคิดถึงพี่เหลือเกิน ถ้าไม่มีหวังจะได้พบพี่อีก น้องคงตายเสียนานแล้ว”

มือขวาของรุ้งยกขึ้นปิดตาตนเอง มือซ้ายควักผ้าเช็ดหน้า เพราะรู้สึกว่าไม่ช้าน้ำตาก็คงไหลออกมาอีก ระหว่างนั่งรถสามล้อจากบ้านน้าสะอาดซึ่งเป็นที่พักของเขามายังบ้านนี้ เขาได้นึกถึงสมส่วนเหมือนกับนึกถึงคนไข้คนหนึ่งที่เขาไม่เคยรู้จัก หรือรู้จักเพียงห่างๆ รุ้งได้ร้องไห้เมื่อแรกรู้ว่าสมส่วนป่วยหนัก แล้วเขาหักใจว่าน้ำตาของเขาไม่ควรเสียให้แก่สตรีที่หาความสัตย์มิได้ เขามาเยี่ยมสมส่วนพอเป็นพิธี แต่ครั้นมาถึงตัวสมส่วนแล้ว เหตุผลและความตกลงใจอันเป็นผลิตผลของมันสมองได้พ่ายแพ้แก่ความรู้สึกของหัวใจอย่างราบคาบ

“น้องรักของพี่” เขาพูดเป็นเสียงสะอื้น “พี่อยากเอาชีวิตของพี่มาแลกกับชีวิตของเธอ รู้ไหมว่าเธอเป็นดวงใจของพี่...”

คำพูดของเขามิใช่เพียงแสดงว่าเขายกโทษให้เธอแล้วเท่านั้น มันแสดงด้วยว่าเขาลืมเรื่องที่เธอผละจากเขาไปหมั้นกับนายอำไพ ในระหว่างเธอกับเขา ณ บัดนี้มีความรักบริสุทธิ์ ปราศจากความพยศ และดูประดุจว่าเขายังเป็นคู่รัก​ของเธอเช่นเดียวกับห้าปีก่อน เขาจะได้แต่งงานกับเธอถ้าหากไม่มีวัณโรคในปอดของเธอ แม้แต่ยังมีนายอำไพอยู่ในโลกนี้

“น้องเสียใจเหลือเกินที่ได้ประพฤติผิดไป เราได้ให้สัญญาต่อกันเฉพาะพระพักตร์พระแก้วมรกต ท่านลงโทษน้องทันตาเห็น น้องรู้ว่าจะต้องตายก็เพราะถูกท่านลงโทษ”

รุ้งสั่นศีรษะ เขากำลังจะกล่าวคัดค้าน แต่ครั้นแล้วก็ระงับคำพูดไว้เสีย “นี่คือสตรีที่ได้ชื่อว่าเฉลียวฉลาด เคยเป็นดาราในสมาคมชั้นสูง” รุ้งนึกในใจ “แม้แต่สตรีเช่นนี้ผู้ได้รับการศึกษามาอย่างดีตามกาลสมัยก็ยังมีความเชื่อถือในอิทธิพลขลังของพระพุทธรูป” เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่การบำบัดโรคจะต้องอาศัยความเชื่อตามผลแห่งการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ว่า วัณโรคเกิดขึ้นได้ก็โดยร่างกายขาดธาตุปูน หรือขาดวิตามินซี ซึ่งสำหรับช่วยให้ร่างกายนำธาตุปูนไปใช้ประโยชน์ได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าในการแถลงความรู้นี้แก่คนจวนตาย

“น้องคงไม่ป่วยหนักถึงเพียงนี้” สมส่วนกล่าวต่อไป “ถ้าหากน้องไม่ได้รับความช้ำใจจากนายอำไพ หรือน้องอาจหายก็ได้ถ้ามีโอกาสได้พบพี่ ได้กราบพี่ และรับอภัยโทษจากพี่”

รุ้งนึกในใจว่าสมส่วนอาจหายก็ได้ ถ้าหากได้พบเขาตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าเป็นวัณโรค เพราะเขาคงไม่ยอมให้รักษาตัวด้วยยาต้มหรือน้ำมนต์ แต่คงจะมอบการรักษาให้แก่นายแพทย์ผู้ชำนาญเฉพาะโรคปอด และปฏิบัติพยาบาล โดยหลีกเลี่ยงความกระเทือนทั้งทางกายและทางใจ บำรุงด้วยอาหารอันมีคุณค่าสูง ให้อยู่ในที่มีลมโกรกอยู่เสมอ และได้รับแสงแดดในเวลาเช้าซึ่งปราศจากเมฆหรือหมอกที่จะกีดกั้นแสงอุลตราไวโอเล็ต

อีกประการหนึ่ง ถ้าหากจะสามารถชะลอชีวิตของสมส่วนไว้ได้สักสองสามปี ก็อาจจะมีนักวิทยาศาสตร์สักคนหนึ่งที่ค้นพบวิธีกำจัดวัณโรค ตามที่เชื่อกันว่าวัณโรคเป็นโรคที่ไม่รู้จักหายนั้น ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดยอมเห็นพ้อง วิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความลับหลายร้อยหลายพันประการ และเปิดหูเปิดตา​ของเราสู่ความจริงซึ่งขัดแย้งกับคำสอนของปรัชญาเมธีแห่งโบราณกาล ทั้งปฏิเสธหลักการของปรัชญาเหล่านั้น ที่ว่าในโลกนี้มีความจริงที่เด็ดขาด สัจจะทางวิทยาศาสตร์ซึ่งค้นพบใหม่ได้ถมทับสัจจะเก่าๆ และยังดำเนินเช่นนี้ต่อไป ในโลกนี้ไม่มีความจริงข้อใดเลยที่จริงเด็ดขาด การที่สมส่วนจะตายภายในหนึ่งเดือน จึงไม่ใช่ความเชื่อของรุ้งว่าจะจริงตามนั้นโดยเด็ดขาด

“พี่อยากมีความสามารถเอาโรคร้ายออกจากเธอให้หมด” รุ้งบอกเธอ “บางทีเราจะทำได้ด้วยการผ่าตัด”

“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ สายเสียแล้ว”

“พี่จะลองปรึกษาแพทย์”

แล้วรุ้งนึกถึงแพทย์บางคนที่เขาได้เคยสนทนา ซึ่งเพิ่งกลับจากการศึกษาหรือจากการดูงานในอเมริกา กล่าวยืนยันว่าการแพทย์ในสหรัฐฯ นั้นเจริญรุดหน้าไปมากไม่เฉพาะในทางผ่าตัด แม้แต่ทางบำบัดโรคด้วยยาก็กำลังนำหน้าประเทศในยุโรป วัณโรคเป็นพยาธิที่ศาสตราจารย์หลายท่านกำลังคิดหาหนทางปราบ ทันทีนั้นปัญหาหลายข้อเกิดขึ้นแก่สมองซึ่งรักการทดลองของเขา แสงอุลตราไวโอเล็ตซึ่งเคยใช้ได้ผลดีในการฆ่าเชื้อวัณโรคที่ผิวหนังจะส่องถึงปอดได้ ด้วยเครื่องมือและวิธีการอย่างไรบ้างหรือไม่ ถ้าหากใช้ยาฆ่าเชื้อวัณโรคพ่นเข้าไปในช่องหลอดเยื่อบุหลอดลมและจุลินทรีย์ของปอด เชื้อโรคซึ่งหลบหนียาพิษโดยวิสัยอาจกินยาพิษเข้าไปได้เมื่อเคล้าอยู่กับอาหารของมัน และ ฯลฯ

สมส่วนทำลายความคิดคำนึงของรุ้งโดยกล่าวด้วยอาการสะอื้นอุบอิบ เป็นความว่าเธออยากตายมากกว่าอยากอยู่ “น้องเบื่อเต็มที” เธอพูด “เบื่อชีวิตอันเป็นทุกข์ทรมาน”

รุ้งแย้งว่า “ชีวิตที่แวดล้อมด้วยคนที่เรารักและรักเราย่อมมีค่าควรอยู่”

“นั่นยิ่งทำให้น้องเศร้าใจ เพราะรู้อยู่ว่าตนไม่มีค่าควรแก่ความรัก...น้องมีบาปหนา”

“เราทุกคนมีบาปติดตัวมาตั้งแต่เกิด”

​“พี่ไม่เชื่อหรือคะว่ามีนรกจริงๆ”

“พี่ยังไม่พบหลักฐานว่ามันอยู่ที่ไหน”

สมส่วนชี้ที่อกของเธอ “มันอยู่ในหัวใจน้อง”

“มันอยู่ในหัวใจน้อง หรือมันอยู่ในสมอง ถ้าหากมันเป็นของจริงมันต้องมีตัวตนซึ่งอาศัยเนื้อที่และเวลาในโลกแห่ง Space-time Dimensions และมันต้องขึ้นอยู่ภายใต้กฎแห่งความเกิดความตาย ถ้านรกอาศัยสังขารเราเป็นที่เกิด ครั้นเราตายมันจะยังคงอยู่ได้อย่างไร เชื่อพี่เถอะ นรกที่พี่รู้จักอย่างแน่ใจ ก็คือคุกตะรางที่พี่ได้ไปผ่านมานั่นแหละ”

สมส่วนรู้สึกตัวคล้ายฟังเทศนา แต่เป็นคำเทศน์ที่แปลกหูและไม่น่าเชื่อ เธอต้องการความปลอบใจ ต้องการความหวังและความเกาะเกี่ยว ในทะเลแห่งความตาย ถ้าไม่มีพวงชูชีพก็ขอให้เธอได้เกาะชิ้นฟาง วิทยาศาสตร์จะส่งเธอจากโลกนี้ไปสู่ความแตกสลายโดยสิ้นเชิง สิ้นชาติ สิ้นภพ แต่ศาสนาได้ยื่น “บุญกุศล” มาให้เธอเกาะ สัญญาว่าจะพาเธอข้ามห้วงนรกไปสู่สวรรค์ “เธอต้องเชื่อศาสนา”

แต่รุ้งเอาอะไรมาพูด ทำไมเขาจึงไม่เลือกพูดสิ่งที่ถูกใจเธอ ความขุ่นเคืองทำให้เธอหลับตาเบือนหน้าหนีไปจากเขา เธอคิดว่าเขาควรกล่าวคำอภัยให้เธอ ซึ่งอาจปลดเธอลงส่วนหนึ่งจากบาปที่ผิดสัญญา มิฉะนั้นการที่เขามาพบเธอก็ไม่เป็นผลดีแก่เธอมากนัก

“น้องกลัว กลัวว่าเราจะไม่ได้พบกันอีก”

“แต่พี่ตั้งใจจะมาหาอีกทุกๆ สัปดาห์

เธอยิ่งร้องไห้มากขึ้น สะอึกสะอื้นไม่ยอมฟังคำปลอบของเขา “น้องสิ้นกำลังวังชาแล้ว” เธอบอก “น้องกำลังจะตาย น้องรู้ตัว น้องกลัวว่าจะไม่ได้พบพี่อีก และคุณแม่และน้องและทุกๆ คนที่รักใคร่กัน น้องกลัวว่าจะต้องไปนรก”

“พี่จะตามไปที่นั่น ในที่ที่น้องเรียกว่านรก”

เธอสั่นศีรษะ “ไม่เอาคะ เราต้องไปสวรรค์ด้วยกัน น้องจะได้ไปสวรรค์ ถ้าพี่ยกโทษให้”

“พี่ยกโทษให้น้องหมดแล้ว ตั้งแต่น้องออกปากขอ”

​สายตาของทั้งสองจ้องจับกันอยู่เกือบหนึ่งนาทีโดยไม่ปริปาก สีหน้าของหญิงสาวค่อยแช่มชื่น แต่เธอยังมีเรื่องที่จะบอกเขาอีก “ทำยังไงคะ” เธอฉะอ้อนเอียงอาย “น้องจึงจะทราบได้ว่าพี่ยกโทษให้น้อง”

เขาฉงน แล้วก็หัวเราะ “พี่ไม่เคยนึกว่าจะใช้คำสบถสาบาน”

หญิงสาวสั่นศีรษะอีก “น้องเกลียดคำสาบาน น้องอยากให้แสดงอาการยกโทษด้วยกิริยา...ด้วยการกระทำ...”

รุ้งเข้าใจทันทีว่าเธอหมายความว่าอย่างไร เขาเหลียวมองรอบตัว ประตูยังเปิดอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดอยู่ในสายตา เขาก้มลงไปหาเธอ ตั้งใจจะจุมพิต แต่เธอเบือนหนีไป

“อย่าค่ะ...ไม่ใช่ที่ปาก...ที่หน้าผากเถอะค่ะ เขาว่ากันว่าน้องเป็นวัณโรค พี่ก็ทราบอยู่แล้ว”

เขาหัวเราะในลำคอ “จะเป็นไรไป” เขาพูดอย่างไม่แยแส “พี่ไม่ได้บอกน้องดอกหรือว่าพี่จะตามน้องไปลงนรก” แล้วเขาก็จุมพิตริมฝีปากของเธออย่างรักใคร่ เธอหลับตาด้วยความซ่านสุข เป็นการจุมพิตครั้งแรกของเขาซึ่งเธอคาดหวังมาตลอดกาลอันนาน เขาไม่เคยจูบเธอในวันอันผาสุกครั้งกระโน้น เดี๋ยวนี้ เขาจูบเธอในวันแห่งความวิบาก เขายับยั้งที่จะจูบเธอเมื่อริมฝีปากของเธอเป็นสีแดงสดเหมือนกลีบกุหลาบ ซึ่งน่าจะมีรสอร่อยและหวานชุ่มเหมือนน้ำผึ้ง แต่เขาไม่ยับยั้งเมื่อถูกเตือนให้ตื่นภัยแห่งโรค และเมื่อกุหลาบสดแห่งริมฝีปากได้กลายเป็นกุหลายแห้งสิ้นสวยสิ้นกลิ่นสิ้นหวาน “จะเป็นการจูบครั้งสุดท้ายไหมหนอ?” เขาสงสัย แล้วเขาจูบเธออีกครั้งอย่างหนักหน่วงเหมือนครั้งแรก

นี่เป็นอารมณ์ประหลาดซึ่งแม้แต่รุ้งเองก็รู้สึกในภายหลังว่า ขณะอยู่เฉพาะหน้าสมส่วนนั้น ความรักอย่างที่รู้สึกเมื่อห้าปีก่อนได้กลับคืนมาสู่ดวงจิต ความรักนั้นได้พาเขาข้ามห้วงแห่งเวลา และมองผ่านธรรมชาติแห่งความเสื่อมโทรมของสังขาร ความรักเกิดจากอะไร เราได้รับคำตอบจากนักจิตวิภาคว่ามีเหตุต่างกันเป็นรายบุคคลไป ความรักจึงกลายเป็นสิ่งที่มีขนาดต่างๆ มีความเข้ม​ต่างๆ สีสันวรรณะต่างๆ และระดับต่างๆ ความรักของรุ้งมีลักษณะอย่างที่กวีชอบหยิบยกมารำพัน เชคสเปียร์กล่าวไว้ในโคลงบทหนึ่งดังนี้

Love is not love

Which alters when it alteration finds,

Or bends with the remover to remove

O no! it is an ever fixed mark :

That looks on tempests, and is never shaken;

รักที่มิใช่แท้ ก็ปรวนแปรเมื่อเกิดการ
เปลี่ยนแปลง หรือร้าวราน เมื่อกระทบกระเทือนถึง
อ๋อ แน่! รักแท้เป็น ที่หมายเช่นถูกตอกตรึง
ฟันฝ่าพายุซึ่ง ร้ายแรงได้ไม่โคลงคลอน

และรุ้งรู้สึกตัวในภายหลังว่า ถ้าหากรูปสวยของสมส่วนเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาเกิดรักเธอ ก็ต้องมิใช่เหตุนี้อย่างเดียว และความสวยมิใช่สิ่งที่รักษาความรักไว้ได้ เพราะว่าเขาคงไม่จูบดอกกุหลาบที่เน่าด้วยหนอนบ่อนและแห้งเหี่ยวเช่นนี้ถ้าหากรักความสวย

ความรักที่กวีรำพันนี้น่าจะเกิดได้จากจิตที่มีกระแสแรงเท่านั้น และผู้ได้รับความรักคงไม่พ้นที่จะรู้สึกรสประหลาดในดวงจิตซึ่งอิ่มเอิบเป็นทิพย์ ดวงตาของสมส่วนจึงเกิดประกายวาวแก้มปลั่งขึ้นทันที ดูราวกับการจูบนั้นได้นำชีวิตใหม่มาให้เธอ ถ้าหากเธอได้ตายไปแล้ว เธอก็นึกว่าเพียงแต่การจูบของเขาเท่านั้นก็ทำให้เธอฟื้นคืนชีพขึ้นอีกได้ บัดนี้ดูเหมือนมัจจุราชเองก็ครั่นคร้ามต่อความรักจริงในหัวใจของรุ้ง จึงถอยห่างออกไปอย่างน้อยก็ชั่วคราว สมส่วนจับตาอยู่ที่รุ้ง ยิ้มละไม ปลื้มใจ ชื่นใจ สมใจ รสจุมพิตติดปากของเธออยู่ เดี๋ยวนี้เธอพร้อมแล้วที่จะตาย การจูบนี้จะส่งตัวเธอตรงไปสวรรค์

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ