- ปฐมบท
- คำอภิวันทนาการ (ในการพิมพ์ครั้งที่สาม)
- คำนำของผู้เขียน
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
บทที่ ๒๐
ด้วยวิธีใดเล่า? จึงจะให้คนทุกคนได้ทำงานที่ตนถนัด มิใช่แต่เพียงในกรณีของรุ้ง แต่รัฐต้องคำนึงถึงคนอื่นอีกมากหลาย ไม่ใช่แต่เพียงว่าคนว่างงานเท่านั้น แม้แต่ในการบรรจุคนงาน ก็จะต้องให้ตรงกับความสามารถของเขาทุกรายไป รัฐที่รับผิดชอบเช่นนี้ไม่ได้ ก็ต้องนับว่าเป็นรัฐที่ไม่สมบูรณ์ และอยู่ในฐานะที่จะต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันความก้าวหน้าของโลกทางวิทยาศาสตร์
ท่าน เอช. จี. เวลส์ นักประชาคมวิทยา ผู้สนใจในอนาคตของโลกได้ให้แนวพิจารณาไว้ว่า “รัฐที่สมบูรณ์จะต้องกอปรด้วยชนทั้งปวง ซึ่งต่างก็มีหลักฐานอยู่ในรัฐนั้น ชนเหล่านี้ย่อมมีงานที่รัฐมอบให้โดยเฉพาะตัวทุกรายไป เขาทั้งหลายต้องแน่ใจว่าไม่มีภัยแก่ตนถ้าหากตนทำงานที่ได้รับมอบให้สำเร็จไปโดยควร เขาทั้งหลายต้องมีความเชื่อตัวเองว่าในหน้าที่ของตนนั้น ตนเป็นผู้ทำงานได้ดีกว่าผู้อื่น ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องมีนายมาเสี้ยมสอนหรือควบคุมเลย เขาทั้งหลายต้องรู้ด้วยว่าหน้าที่ของเขาเกี่ยวข้องโยงถึงหน้าที่ของผู้อื่นอย่างไร? เพราะแท้ที่จริง ในรัฐที่สมบูรณ์นั้น หน้าที่ของพลรัฐจะต้องเกี่ยวโยงกันหมด ดุจดังชิ้นส่วนของเครื่องจักรนาฬิกา ยิ่งกว่านั้น พลรัฐหนึ่งต้องรู้ว่ารัฐของตนเกี่ยวโยงกับรัฐอื่นอย่างไรอีกด้วย”
ท่านเวลส์เป็นมหาอาจารย์ของรุ้ง แต่อาจารย์ผู้นี้สอนวิชาแก่รุ้งโดยทางหนังสือที่ท่านเขียนเท่านั้น รุ้งเสียดายที่ท่านไม่ได้เป็นโปรเฟสเซอร์ในมหาวิทยาลัยลอนดอน ซึ่งทำให้เขามีโอกาสได้ศึกษาจากท่านโดยตรง เมื่อเขาเป็นนิสิต ท่านเวลส์ได้เป็นนักศึกษาชั้นมหายักษ์ขึ้นแล้ว ครั้งหนึ่งเขาไปรับประทานบะหมี่ในร้านจีนแห่งหนึ่งที่โซโห ได้เห็นท่านเวลส์นั่งรับประทานบะหมี่อยู่ก่อน เขาอยากเข้าไปหาท่าน แต่ระย่อเกรงกลัวเพราะคิดว่าคนอย่างท่านไม่ควรถูกรบกวนด้วยคำสรรเสริญเยินยอจากบุคคลอย่างเขาเลย
หลักของท่านเวลส์ในการพิจารณาความสมบูรณ์ของรัฐนี้ รุ้งเห็นพ้องกับนักศึกษาอื่นๆ ว่าเกิดจากความสามารถพิเศษของท่านในการมองอนาคต ปัจจุบันนี้ไม่มีรัฐใดเลยที่สมบูรณ์ ทุกๆ รัฐมีคนชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นสามัญ และชั้นทาส พวกสุดท้ายนี้ไม่มีหลักฐานอยู่ในรัฐ พวกสุดท้ายนี้อีกที่โดยมากไม่มีงานทำ ต้องท่องเที่ยวไปเป็นจรจัด เป็นยาจกวณิพก เป็นนักเลงโต นักการพนัน เป็นนักย่องเบา นักล้วงกระเป๋า และเป็นโจร เขาเหล่านี้ควรได้รับมอบงานของรัฐที่เหมาะแก่ตัวเขาซึ่งไม่มีใครทำได้ดีไปกว่าเขา งานหน้าที่ต่างๆ จะได้เตรียมไว้ให้เขา ภายใต้เศรษฐกิจระเบียบใหม่ของโลกตามที่มีผู้เสนอไว้แล้ว และอยู่ในระหว่างรอโอกาสใช้งานที่รัฐมอบให้นั้นจะทำให้เขาเกิดความเย่อหยิ่งในตน และเกิดความขยันเอาการเอางาน โดยไม่ต้องมีใครมาควบคุมบังคับ เมื่อเขาทำงานได้เรียบร้อย รัฐก็ต้องคุ้มครองให้ปลอดภัย ก่อนอื่นต้องให้เขามีฐานะทางเศรษฐกิจเสมอกับคนที่ออกแรงทำงานเท่ากัน โดยตัดปัญหาเรื่องเป็นผลแก่รัฐเท่ากัน นี้หมายความว่าคนกวาดถนนจะต้องมีรายได้สูงเท่าช่างตัดผม เท่าช่างไม้ คนขายขนม เท่าพลตำรวจและพลทหาร ทั้งต้องได้รับความนับถือเท่ากันหมด ยิ่งกว่านั้นคนงานทั้งหมดทุกหน้าที่ต้องได้รับความแน่ใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์อย่างใดเกิดขึ้นที่จะทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของเขาเปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้คือรัฐต้องสามารถป้องกันอุบัติเหตุทั้งมวลได้ เช่นมิให้เกิดอุทกภัย อัคคีภัย โจรภัย โรคระบาด และมิได้เกิดยึดอำนาจการปกครอง จลาจล และสงคราม
แต่ในปัจจุบันนี้ มิใช่เพียงชนชั้นทาสเท่านั้นที่ได้รับความเดือดร้อน แม้ชนชั้นสามัญก็มิได้พ้นจากคุกคามแห่งความอดอยาก กรรมกรในโรงงานทอผ้าซึ่งได้เงินเดือน ๓๐ บาท หากเป็นผู้มัธยัสถ์มีเงินฝากคลังออมสินไว้สัก ๒๐๐ บาท เวลาภรรยาคลอดบุตร เงินในคลังออมสินก็หมดไป นับแต่นั้นก็ไม่มีอะไรประกันความปลอดภัย ถ้าบุตรของเขาหรือตัวของเขาเองล้มป่วยลงจะเอาเงินที่ไหนเป็นค่ายา และเขาจะต้องวิตกอยู่เสมอว่าถ้าเขาเผอิญตายลงด้วยโรคปัจจุบัน ลูกเมียของเขาจะมิต้องกลายเป็นคนอนาถาไปทันทีหรือ? คนสามัญชนเหล่านี้แม้แต่ที่ทำงานขยันขันแข็งก็ไม่ได้รับสัญญาจากรัฐอย่างใดพอที่จะเชื่อได้ว่าชีวิตของตนจะปลอดภัย
ชนชั้นกลางบางทีจะมีเกณฑ์ปลอดภัยมากกว่าชนสองชั้นที่กล่าวแล้ว ชนชั้นกลางก็คือผู้มีรายได้มากพอที่จะใช้ของฟุ่มเฟือยบางอย่าง เขาอาจมีเครื่องรับวิทยุ มีหีบเพลง มีพัดลม มีตู้เย็น และอาจมีรถจักรยานหรือรถยนต์ ข้าราชการจัดเข้าอยู่ในพวกนี้ รวมกับเจ้าของที่นาย่อยๆ เจ้าของสวนขนาดย่อม เจ้าของร้านเล็กๆ และเจ้าของอุตสาหกรรมเล็กๆ เขาเป็นพวกมีหลักทรัพย์อยู่บ้างเล็กน้อย พอที่จะประกันได้ว่าเขาจะไม่ต้องอดตายในทันที หรือกลายเป็นคนอนาถาไปทันที แต่หลักทรัพย์นั้นไม่เพียงพอที่จะประกันได้ว่าเขาจะต้องไม่เป็นคนจน ความจนคอยชี้หน้าขู่เขาอยู่เนืองนิตย์ พวกชาวสวนกลัวน้ำท่วม ชาวนากลัวฝนแล้ง พ่อค้ากลัวโจรภัย เจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมกลัวอัคคีภัย คนทั่วไปกลัวโรคระบาด และข้าราชการกลัวเกิดยึดอำนาจการปกครอง ซึ่งจะทำให้เก้าอี้ของเขาโงนเงนเพราะเปลี่ยนนายใหม่
คนชั้นสูงคือพวกพระราชวงศ์ ขุนนางและเศรษฐี ซึ่งถูกชนชั้นอื่นริษยา ว่าเป็นชนจำพวกเดียวที่ได้ชื่นชมชีวิตอย่างแท้จริงนั้นกลับกลายเป็นพวกเจ้าวิตกเหมือนคนอยู่ในที่สูงย่อมกลัวแรงกระวิทัตจะทำให้หล่นลงมาตาย พระราชวงศ์บางองค์ พอได้ยินว่าบ้านเมืองจะปกครองด้วยลัทธิคอมมิวนิสต์ ก็นึกเห็นภาพราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซีย หรือราชวงศ์บัวบองแห่งฝรั่งเศสซึ่งพินาศหมดทั้งชีวิตของตน ของลูกเมีย ของผู้สวามิภักดิ์ อีกทั้งทรัพย์สมบัติก็ถูกริบ ความสูงสุดได้กลายเป็นความต่ำสุดไปในพริบตา พวกขุนนางอยู่บนต้นไม้ที่เตี้ยกว่ากษัตริย์ ก็วิตกน้อยลงตามส่วน แต่พวกที่ถูกเพ่งเล็งมากก็คือเศรษฐี เพราะส่วนมากของพวกนี้ผุดพ้นจากระดับคนจน ในชั่วอายุของคนๆ เดียว ด้วยความอุปการะของโชคงามยามปลอด จึงเป็นที่ริษยาของคนที่ยังจนอยู่ซึ่งพากันคิดว่า “โชคตัวเดียวแหละวะ! ที่ทำให้มันกลายเป็นคนชั้นสูงกว่าเรา” ชนชั้นมั่งมีทั้งสองประเภทนี้ แม้แวดล้อมด้วยของใช้ฟุ่มเฟือยก็มิได้มีความสุข ความริษยาของชนไร้หลักทรัพย์ซึ่งถูกพัดกระพือให้โชติช่วง ด้วยคำเทศนาอันเผ็ดร้อนของคาร์ลมาร์กซ์เป็นเข็มแหลมซ่อนปลายอยู่ในที่นอนแพร มักแทงเอาเมื่อเผลอ คนชั้นต่ำบางคนมายอมนอบน้อมให้เขาใช้อย่างทาส แต่เขานึกถึงคนชั้นต่ำอีกมากหลายที่ไม่ยอมลดราวาศอกให้เขา และบางคนก็ด่าว่าเขาในหนังสือพิมพ์และในที่ชุมชน ชนชั้นสูงนี้ยังปลอดภัยตราบเท่าที่ไม่มีการเปลี่ยนรัฐบาลด้วยการปฏิวัติอย่างถอนราก แลตราบเท่าที่ทรัพย์สมบัติของเขายังบริบูรณ์อยู่ เมื่อนายซัลวาลมองดูแหวนเพชรที่นิ้วของภรรยา หรือเมื่อมองดูบัญชีรายรับรายจ่ายของตน ก็คงหน้าตาแจ่มใส นึกยิ้มในใจว่า “ฐานะของเราก็มั่นคงดี” แต่นั่นเป็นความมั่นคงเพียงชั่วคราว เขาเป็นคนมั่งมีจริงในวันนี้ แต่พรุ่งนี้การจองล้างชนต่างเชื้อชาติอาจเริ่มขึ้นในประเทศไทยเหมือนที่กระทำในเยอรมนี หรือสงครามอาจเกิดขึ้น ซึ่งบ้านเรือนทรัพย์สมบัติของชนชั้นมั่งคั่งพินาศไปด้วยลูกระเบิด หรือรัฐบาลอาจทำให้เกิด เงินเฟ้อ จนเงินในธนาคารกลายเป็นเศษกระดาษ และอาจห้ามขึ้นราคาค่าเช่าบ้าน ในเมื่อสิ่งของและค่าแรงงานได้เพิ่มขึ้นแล้วอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการเก็บภาษีจากคนมั่งมีอย่างพูดเลือด เช่น ภาษีมรดกและภาษีที่ดิน เช่นนี้ก็คือ การตัดรอนทอนความสูงของคนชั้นสูงให้เสมอกับชนชั้นต่ำถ้าเป็นลัทธิโซชะลิสม์ หรือให้ต่ำกว่าชนชั้นต่ำถ้าเป็นลัทธิคอมมิวนิสต์
รัฐบาลทุกรัฐบาลได้พยายามให้ความปลอดภัยแก่ชนทุกชั้น และที่แล้วมานั้น ใครอยู่ชั้นไหนก็ยินดีให้คงอยู่ในชั้นเดิม บางรัฐบาลก็สามารถปราบปรามโจรผู้ร้าย ป้องกันหรือบำบัดอัคคีภัย อุทกภัย โรคระบาดและป้องกันการจลาจล แต่ไม่มีรัฐบาลใดสามารถให้ความมั่นใจแก่พลเมืองว่าจะไม่เกิดสงคราม
ไม่มีรัฐบาลใดสามารถให้ความคุ้มครองแก่ชนทุกชั้นได้เต็มที่ตามต้องการ ฉะนั้นก็จำเป็นต้องเพิกเฉยต่อคนบางคนบางชั้นเสียบ้าง รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์เอาใจใส่พวกราชวงศ์มากกว่าชนชั้นอื่น ในอังกฤษการปกครองตกอยู่ในมือพวกขุนนางมาหลายศตวรรษ และในเมืองไทยพวกขุนนางได้ยึดอำนาจการปกครองจากกษัตริย์
บัดนี้ ในอังกฤษได้เปลี่ยนแปลงไปเหมือนในยุโรปและอเมริกา คือพวกพ่อค้าและกรรมกรได้มีอำนาจมากขึ้น คนสามัญที่มีคุณความดีคนใดคนหนึ่งอาจได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของอเมริกาหรือฝรั่งเศส แล้วรัฐบาลก็สนใจในชนชั้นสามัญเป็นพิเศษอย่างเปิดเผย แต่ในสยามสมัยที่รุ้งมีฐานะเป็นคนสามัญผู้หนึ่งนี้ รัฐบาลยังคงเป็นรัฐของข้าราชการซึ่งเอาใจใส่ต่อความปลอดภัยของข้าราชการยิ่งกว่าชนชั้นอื่นทั้งปวง