บทที่ ๓๑

แม้กิริยาภายนอกเป็นปรกติ แต่หัวใจของเขาเต้นอย่างรุนแรงในขณะเดินเข้าหาเธอ เป็นความรู้สึกอย่างเดียวกับเมื่อคอยฟังคำพิพากษาของศาลพิเศษ เธอกำลังนั่งเล่นเปียโนอยู่คนเดียว และหันมามองดูเป็นการเชื้อเชิญเขาพร้อมกับยิ้มน้อยๆ เธอเป็นผู้พิพากษาที่น่าเอ็นดู ผิดกับผู้พิพากษาของศาลพิเศษ เขานั่งลงบนเก้าอี้ใกล้เธอ และต้องคอยให้เธอเล่นเพลงจนจบด้วยความกระวนกระวายเป็นที่สุด

“คุณไม่ชอบเพลงนี้หรือ?” เธอถามเมื่อจบเพลงแล้ว

เขายิ้มแต่มิได้ตอบ

“คุณคงมีเรื่องร้อนใจสักอย่างหนึ่ง” เธอกล่าวต่อไปพลางมองดูหน้าของเขา

“เป็นเรื่องร้อนใจอย่างไม่เคยพบในชีวิต” เขาสารภาพ “ผมขอหารือกับคุณ แต่เราไปพูดกันในสวนจะได้ไหมครับ?”

เธอลุกขึ้นโดยฉับพลัน “ดิฉันนึกอยู่แล้วว่าจะออกไปเดินเล่น” เธอตอบ

เขาเดินเคียงกันตามถนนจะไปที่สวนกุหลาบ “ผมคิดว่า” รุ้งกล่าวขึ้น “คุณคงทราบแล้วว่า ผมตกลงกับอำนวยให้ส่งเรื่องของผมไปพิมพ์ต่างประเทศ”

“พี่วีรพันธุ์บอกดิฉันแล้ว เราเห็นว่าเป็นโชคดีของคุณที่จะได้ค่าลิขสิทธิ์จำนวนมิใช่น้อย”

“เงินจำนวนนี้ผมดีใจที่จะได้รับ ก็เพราะคิดว่ามันอาจเพียงพอที่จะทำให้ผมได้แต่งงาน”

“งั้นหรือคะ?” เธอพูดคล้อยตามคล้ายไม่สนใจ แต่รุ้งได้หยุดยืนอยู่ใต้ต้นกระดังงา ซึ่งทำให้เธอต้องหยุดด้วย

“ผมขอทราบคำตอบจากคุณ ผมต้องขอโทษถ้าหากการกระทำของผมเป็นการบังอาจ” สีหน้าของรุ้งตามที่อุไรวรรณสังเกตนั้นเต็มไปด้วยความวิตก สีหน้าของเขาซีดเหมือนคนจับไข้

เธอยิ้ม “เรื่องนี้หรือคะ ที่บอกดิฉันว่าเป็นเรื่องร้อนใจ เงินมักนำความร้อนมาให้เราเสมอ คุณจะได้เงินจึงคิดจะแต่งงาน ยังงั้นใช่ไหมคะ?”

“คุณอุไรวรรณ ผมจะแต่งงานได้อย่างไรถ้าไม่มีเงิน”

“และคุณเฉพาะเจาะจงจะแต่งงานกับดิฉันใช่ไหม?”

รุ้งยืนงงงวย คำพูดของอุไรวรรณแสดงว่าเธอเตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะเผชิญกับการแสดงความรักของเขา เขารู้สึกเหมือนตนเป็นเพียงเด็กนักเรียนต่อหน้าอุไรวรรณผู้เป็นครู พอเขาเผยอปากอุไรวรรณก็ “เห็นไรฟัน” เสียแล้ว

“คุณคงทราบแล้ว” เขาพูดอย่างเกรงขามและกระดากอาย “ว่าผมรักคุณ”

“เราไปนั่งที่ม้าตรงโน้นเถอะ” เธอชี้ไปทางต้นมะขามใหญ่ เขาเดินเคียงกันไปเงียบๆ แล้วนั่งลงบนม้า รุ้งไม่กล้านั่งชิดเธอ เพราะเขาสงสัยมากขึ้นทุกทีว่า ผลแห่งการพูดกันคราวนี้จะทำให้เขาถูกขับออกจากบ้านในฐานะไม่รู้จักเจียมตัว

“คุณตัดสินใจตั้งแต่เมื่อไรคะ? ว่าจะพูดเรื่องนี้กับดิฉัน”

“ผมตัดสินใจวันนี้เอง”

อาการยิ้มเยาะปรากฏขึ้นทันทีในใบหน้าของเธอ

“ดิฉันคิดว่าคุณคงเห็นว่าเงินที่ได้เป็นค่าลิขสิทธิ์นั้นสามารถซื้อดิฉันได้”

รุ้งจ้องดูเธออย่างตะลึง สายฟ้าฟาดลงมาก็ยังไม่รุนแรงเท่าคำกล่าวหาข้อนี้

“โปรดกรุณาผม” เขาร้องอย่างผู้ทนทุกข์ “อย่ากล่าวหาผมเช่นนั้น มันเป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดเท่าที่มนุษย์จะกล่าวหากันได้ ผมทราบดีว่าไม่มีเงินจำนวนใดสามารถซื้อหาคุณได้ นอกจากนั้นคุณเป็นทายาทของมรดกกองใหญ่ เคยชินกับความสุขสบายและความฟุ่มเฟือยมาแต่เล็กแต่น้อย และคุณก็ไม่ใช่สตรีชนิดใดที่จะยอมให้ความรักฉุดคุณลงไปกินเกลือ ทางฝ่ายผมเล่า ถึงแม้ผมจะรักคุณเพียงใด ก็จำต้องนึกถึงคำครหาอันจะเกิดขึ้นว่าผมเป็นนักล่าสมบัติ การแต่งงานจะเป็นไปได้ก็ด้วยผมสามารถดำรงความฟุ่มเฟือยอย่างที่คุณเคยชินมานั้น ด้วยเงินของผมเอง ผมเพิ่งมองเห็นอนาคตของผมแจ่มใสขึ้นด้วยเงินค่าลิขสิทธิ์จากอำนวย และผมยังจะเขียนต่อๆ ไปอีก”

“คุณมาพูดกับดิฉันช้าไปหนึ่งวัน” อุไรวรรณพูด สีหน้ามิได้แสดงว่าเหตุผลของรุ้งเป็นสิ่งสำคัญ

รุ้งใจหายวาบ “ช้าไปหนึ่งวัน” เขาทวนคำ หน้ายิ่งซีดลงไปอีก “มีใครมาพูดกับคุณก่อนผมงั้นหรือครับ”

เธอหัวเราะ “เปล่าค่ะ ไม่มีใครกล้ามาพูด เขาคงรู้ว่าจะต้องถูกปฏิเสธ หลายคนแล้วที่เคยมาลอง แล้วดิฉันก็ส่งเขากลับพร้อมด้วยความเข้าใจดีขึ้น”

“ผมขอถามอีกคำหนึ่ง” รุ้งพูดด้วยอึดอัดใจเต็มที “เจ้าคุณพ่อคงเห็นดีจะให้คุณ...”

“เปล่า” เธอตัดบท “เจ้าคุณพ่อไม่เคยมีความคิดที่จะเกี่ยวข้องในเรื่องความสมัครรักใคร่ของดิฉัน และดูเหมือนท่านเข้าใจว่าเราชอบกัน ท่านเอ็นดูคุณมาก พี่วีรพันธุ์ก็แสดงความยินดีที่จะได้คุณมาเป็นสมาชิกในครอบครัวของเรา ใครๆ ก็รู้ว่าคุณรักดิฉัน” เธอหยุดมองหน้าเขา และยิ้มน้อยๆ อย่างสัพยอก ซึ่งทำให้รุ้งยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น “ดิฉันเองก็ทราบและคอยเวลาที่คุณจะเอ่ยปากขึ้น แต่คุณไม่เอ่ยจนกระทั่งดิฉันกลับใจเสียแล้ว วันนี้เองดิฉันตัดสินใจจะไม่แต่งงานกับคุณ”

“โธ่ อุไรวรรณ” รุ้งร้องเกือบเป็นเสียงคราง “คุณล้อผมหรือคุณพูดจริงๆ มีเหตุอะไรทำให้คุณหมดความเอ็นดู ผมทำความผิดอะไรบ้างเมื่อวานนี้”

“คุณไม่ได้ทำความผิด ดิฉันไม่แต่งงานกับคุณก็เพราะเงินค่าลิขสิทธิ์ได้ทำให้คุณพ้นจากความจน” เธอหัวเราะขึ้นอีกอย่างแจ่มใสร่าเริง “เป็นความตั้งใจของดิฉันมานานแล้วที่จะแต่งงานกับคนจนที่เฉลียวฉลาด และมีอัธยาศัยดีอย่างคุณ มันจะเป็นวิสามัญที่ทำให้ใครๆ พูดถึงไม่มีวันจบ เดี๋ยวนี้คุณไม่ใช่คนจนเสียแล้ว ลักษณะที่จะให้ความรักของเราเป็นวิสามัญก็หมดไป ดิฉันเสียใจที่เป็นเช่นนี้

“แต่เป็นการง่ายนิดเดียว” รุ้งบอกเธอด้วยหน้าตาขึงขัง “ที่จะทำให้ผมกลับจนตามเดิม ผมจะไม่รับเงินจำนวนนั้น และจะไม่เขียนหนังสือขายอีก ถ้าเพียงนี้ยังไม่พอใจคุณ ผมจะทำลายทรัพย์สมบัติที่ผมมีอยู่ หรือเอาแจกคนขอทาน เพื่อตัวของผมเองจะได้เป็นคนขอทาน การที่เป็นคนมั่งมีนั้นยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา แต่มั่งมีแล้วจะให้จนง่ายยิ่งกว่าเข็นครกลงภูเขา เท่าที่ผมทราบนั้น ไม่มีใครทำตนของตนให้จนโดยเจตนา นี่คุณต้องการให้ผมเป็นคนจนจริงๆ หรือ”

“ใครต้องการให้คุณเป็นคนจน?” เธอย้อนถาม “ดิฉันไม่ต้องการให้ใครเป็นคนจน เขาเป็นคนจนเองหรือเขาไม่ใช่คนจนเอง นั่นเป็นข้อที่ดิฉันเอาใจใส่ การที่คุณเป็นคนจน กับการที่คุณเจตนาทำให้ตัวเองกลายเป็นคนจน สองอย่างนี้ผิดกันมาก ลักษณะวิสามัญอยู่ตรงที่เป็นคนจน มันเป็นสิ่งแก้ไขไม่ได้”

“ผมยังคิดอยู่นั่นเองว่าคุณล้อผม”

“ดิฉันไม่เคยหมายความจริงจังในเรื่องอื่นอีกมากไปกว่านี้เลย”

รุ้งมองเธออย่างวิงวอน เป็นการยากที่จะทำความเข้าใจให้ตระหนักได้ว่าอุไรวรรณได้ตัดสินโชคชะตาของเขาแล้วจริงๆ เหตุผลที่เธอปฏิเสธความรักของเขา ดูคล้ายเหลวๆ ไหลๆ ไม่น่าจะเอามายึดถือเป็นอารมณ์ แต่รุ้งรู้จักอุไรวรรณดีพอที่จะทราบว่าเธอมิได้สัพยอก เขารู้สึกสะท้านและสมองตื้นตัน เขาพยายามจะวิงวอนเธออีกสักสองสามคำ ก่อนที่จะยอมรับสภาพไร้ความสุขตลอดชีวิตตามคำพิพากษาของเธอ แต่นึกคำพูดออกมาไม่ได้ จึงได้แต่มองดูเธอ เฉยอยู่อย่างสิ้นสติปัญญา

ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ลมพัดโชยมาไกวกิ่งและแกว่งใบของต้นไม้ในสวน พร้อมกับส่งเสียงคล้ายเห่กล่อมด้วยถึงเวลาแล้วที่ต้นไม้ทั้งหลายจะหลับนอน แต่ต้นมะขามใหญ่ที่รุ้งเข้าไปอาศัยนั้นยืนนิ่ง คล้ายสนใจใคร่จะฟังคำพูดของรุ้ง อากาศเริ่มมืดครึ้มอยู่ปานกัน “ไม่มีวันอีกแล้ว” รุ้งคิด “ที่หัวใจเราจะสว่างขึ้นด้วยความรักได้อีก”

ทันทีนั้นเขานึกคำพูดขึ้นมาได้

“คุณไม่ได้พูดถึงความรักเลย” เขากล่าวขึ้น “ดูราวกับว่าคุณอาจแต่งงานกับใครๆ ก็ได้โดยไม่ต้องมีความรัก ขอแต่ให้เขาเป็นคนจนเท่านั้น”

“คุณเข้าใจผิด” เธอพูดอย่างรู้สึกเคือง “มีอะไรบ้างที่ดิฉันขาดอยู่ที่ความมั่งมีของผู้อื่นจะทำให้ดิฉันบริบูรณ์ได้...ไม่มีเลย! ดิฉันไม่ต้องการแต่งงานกับคนจน บุคคลอาจมีลักษณะดีเด่นกันคนละอย่าง ซึ่งดิฉันเคยนำมาพิจารณา เฉพาะตัวคุณนั้น ลักษณะที่ทำให้คุณเด่นก็คือความจน คุณเป็นผู้มีคุณสมบัติหลายประการ มีความรู้กว้างขวาง ซื่อตรงต่อตนเอง และซื่อสัตย์ต่อคนอื่น แต่คุณสมบัติเหล่านี้จะมีผู้มองเห็นได้ก็ต่อเมื่อคุณเป็นคนจน จะประหลาดอะไรถ้ามีความรู้แล้วร่ำรวย และถ้าร่ำรวยแล้วยากอะไรที่จะรักษาความซื่อสัตย์ ดิฉันจึงยกเอาความจนของคุณมาเป็นเงื่อนไขในการแต่งงาน การแต่งงานก็คือการทำสัญญาแลกเปลี่ยนประโยชน์ ดิฉันจะไม่ทำสัญญากับคนที่ให้อะไรดิฉันไม่ได้เลย ดิฉันเป็นคนมั่งมีคนหนึ่ง ดิฉันไม่ต้องการเงินอีก แต่โดยที่ดิฉันเป็นผู้หญิง ย่อมมีโอกาสน้อยที่จะแสวงหาชื่อเสียงเกียรติคุณ ดิฉันจะแต่งงานกับคนที่สามารถทำให้ดิฉันมีชื่อเสียงเกียรติคุณ”

“แล้วเรื่องความรักล่ะครับ ว่าอย่างไร?”

“ความรัก ดิฉันแยกไว้คนละเรื่องกับการแต่งงาน ความรักเข้ามาเกาะหัวใจเราครู่หนึ่งยามเดียว มันเหมือนเมรัย เรากระหายเมื่อใดก็เลือกดื่มเอาตามใจ เราชอบความรักก็เพราะเราชอบถูกลวง เหมือนกับเราชอบสุราเพราะติดใจรสเมา ดิฉันคิดว่าความรักไม่ใช่สิ่งสำคัญอันเป็นหลักควรยึดถือได้ มันมีลักษณะวูบวาบโฉบเฉี่ยวเหมือนนกจับกิ่งไม้ ไม่ถาวรยั่งยืน คนที่แต่งงานด้วยความรักนั้น เหมือนจูงมือกันขึ้นบันไดทองแห่งความฝัน ต้องตื่นพร้อมกับความรู้สึกว่าตนตกบันได ชีวิตสมรสเป็นสิ่งจริงจังและมีความผูกพันต่อสังคม ต้องไม่เอาไปปะปนกับความฝัน”

“ถึงหากความรักเป็นความฝัน” รุ้งคัดค้าน “แต่คุณไม่นึกหรือว่าคนที่คุณรักนั้นต้องมีคุณสมบัติบางอย่างอันเป็นของจริงและยั่งยืน คุณสมบัติของเขาซึ่งอาจเป็นความสวยงามของร่างกาย หรือความว่องไวของมันสมองก็ตาม อาจทำให้เขาอยู่ในฐานะที่จะทำสัญญาแลกเปลี่ยนประโยชน์กับคุณได้ ทำไมคุณจึงไม่พยายามแต่งงานกับคนที่มีคุณสมบัติน่ารัก ซึ่งอาจทำให้คุณรัก”

“เพราะว่า” อุไรวรรณตอบอย่างว่องไว “คุณสมบัติประจำตัวเป็นสิ่งหยิบยื่นให้กันไม่ได้ ใครดีก็ตัวผู้นั้นรับผลดี ดิฉันต้องการผู้มีสมบัติภายนอก เช่นชื่อเสียง ตำแหน่ง อำนาจ หรือเกียรติยศ เพราะสิ่งเหล่านี้ย่อมเฉลี่ยมาถึงภรรยาของเขาได้”

“อ๋อ ผมเข้าใจแล้ว” รุ้งพูด น้ำเสียงเป็นเชิงเยาะเย้ย ความหมดหวังทำให้เขาสิ้นความเกรงใจ “ถ้าคุณเป็นคนจน คุณก็คงทำให้เหมือนคนทั้งหลาย คือเลือกแต่งงานกับคนมีเงิน แต่เมื่อคุณมีเงินแล้วเช่นนี้ คุณก็หมายจะแต่งงานกับมหาบุรุษ เพื่อจะอาศัยเกาะชื่อเสียงของเขาไปสู่ความมีหน้ามีตาด้วย”

“ดิฉันกำลังคอยให้คุณเป็นมหาบุรุษ แล้วมาขอแต่งงานกับดิฉันอีกครั้ง”

รุ้งนึกถึงคำพูดของเขาที่ได้กล่าวกับสมทรงเมื่อตอนเย็น คำแนะนำนั้นใช้ได้ไม่เฉพาะกับสมทรง แต่ยังใช้กับอุไรวรรณได้อีกด้วย เป็นความรู้ใหม่ของเขา ว่าอุไรวรรณเป็นสตรีที่มีจิตใจระดับเดียวกับสมทรง

“ความคิดเหล่านี้ผิดทั้งนั้น” รุ้งกล่าวเน้นเสียง “เดี๋ยวนี้ผมเข้าใจแล้วว่าคุณก็เช่นเดียวกับผู้หญิงอื่นทั้งหลายที่แสวงหาประโยชน์ มิอย่างใดก็อย่างหนึ่ง จากการแต่งงาน คนจนมุ่งจะเอาเงิน คนมั่งมีมุ่งเอาเกียรติยศ พวกผู้ชายเรารู้ตัวดีว่าถ้าเรารุ่งเรืองขึ้นผู้หญิงก็ตามหาตัวเรา ใครมีวาสนาได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ ผู้หญิงก็มาถวายตัวดุจเดียวกับแมลงเม่าที่แสงตะเกียงล่อให้เข้ามาหา และพร่าชีวิตของตนเองในกองเพลิง ขอให้เราพูดกันตรงไปตรงมาเถอะครับ ชื่อเสียงเกียรติคุณอย่างของมหาบุรุษมีประโยชน์อะไรแก่คุณ”

เธอลังเล “มันไม่ใช่ของมีค่าเป็นสมบัติที่ใครๆ ก็แสวงหาและช่วงชิงกันดอกหรือคะ?”

รุ้งตอบเรียบๆ ว่า “คนโง่เท่านั้นที่แสวงหา เพราะชื่อเสียงก็คืออากาศธาตุ ไม่ใช่ของจริงของแท้”

“ไม่จริงค่ะ มันเป็นของจริงเช่นเดียวกับทรัพย์สมบัติเงินทองซึ่งเราแตะต้องและเอามานับได้”

รุ้งได้เปลี่ยนฐานะแล้วจากความเป็นเด็กนักเรียน โดยมีอุไรวรรณเป็นครู บัดนี้เขารู้สึกตนเป็นอิสระเท่าเทียมกับเธอ และเตรียมจะนึกต่อไปว่าที่แท้อุไรวรรณก็เป็นหญิงที่ยังเขลาต่อโลกคนหนึ่งเท่านั้น

“ตรงนี้แหละคุณเข้าใจผิด” เขาชี้แจง “ชื่อเสียงและความมั่งมีเป็นเพียงของสมมติ ซึ่งสังคมมอบให้แก่บุคคลเพื่อประกอบกับฐานะที่อุปโลกน์กันขึ้น คุณคิดว่าชื่อเสียงเกียรติคุณของบารอน ฟอน ริชโธเฟ่น เป็นของจริงและยั่งยืน และความมั่งคั่งของร็อคกี้เฟลเล่อร์ ก็เช่นเดียวกันใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ”

“พูดกันตรงไปตรงมาตามความจริง บารอน ฟิอน ริชโธเฟน ก็คือผู้มีฝีมือทางฆ่ามนุษย์ เขาได้รับความนิยมจากพวกบ้าสงคราม แต่รับความเหยียดหยามจากพวกรักสันติภาพ เดี๋ยวนี้มีสักกี่คนที่นิยมริชโธเฟน? ส่วนมหาเศรษฐีร็อคกี้เฟลเล่อร์นั้น มิได้มั่งมีเสมอด้วยพระโคดมพุทธเจ้า หรือพระเยซูแห่งนาซาเรธ พระบรมศาสดาสองพระองค์นี้ เป็นผู้มั่งคั่งจริงก็ด้วยทรงความสันโดษ เหมือนผู้สวมรองเท้าหนัง ย่อมรู้สึกคล้ายพื้นโลกปูลาดด้วยหนัง สสารสมบัติของร็อคกี้เฟลเล่อร์ อาจสูญไปในเวลามินานด้วยการพนัน หรือขาดทุนในการค้าขาย หรือถูกโจรปล้น ไฟไหม้ อุทกภัยหรือภัยสงคราม ทรัพย์สมบัติเป็นของไหลได้ยิ่งกว่าของเหลว อย่าสำคัญผิด อุไรวรรณ! ความมั่งมีด้วยคุณสมบัติในกายย่อมเป็นของเที่ยงถาวรยิ่งกว่าสมบัตินอกกาย นโปเลียนได้รับความยกย่องมาชั่วสองร้อยปีในฐานะเป็นผู้ชาญฉลาดทางยุทธวิธี เป็นคุณสมบัติของมันสมอง มิใช่ยกย่องในฐานะราชาธิราช มาร์คแอนโตนีได้รับคำสดุดีว่าเป็นคู่รักที่รักซึ้ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติของใจ และคลีโอพัตราเป็นสตรีเจ้าเสน่ห์ซึ่งเป็นคุณสมบัติของกาย คุณเป็นศิลปินมากกว่าเป็นสุภาพสตรีมีศักดิ์สูง ความยากจนและความต่ำตระกูลเป็นเพียงเปลือกนอกของผม ที่แท้ผมเป็นนักศึกษาและนักประพันธ์ ผู้ที่ดูแต่เปลือกนอก อาจเห็นว่าผมต่ำทรามกว่าคุณ แต่เมื่อพิจารณาถึงคุณสมบัติในกายตัวด้วยแล้ว ผมก็เป็นคนชั้นสูงอยู่คนหนึ่ง และไม่ต่ำทรามกว่าคุณเลย”

“คุณเป็นคนทะนงตัว” อุไรวรรณกล่าวขึ้นบ้าง มิได้หวั่นหวาดต่อคำทักท้วงของรุ้ง “และคุณเข้าใจผิดทั้งนั้น สิ่งต่างๆ ในโลกนี้มันไม่เหมือนกับที่คุณสาธยายมานั้นดอก โลกของคุณเป็นโลกแห่งความฝัน ตัวคุณเป็นนักอุดมคติ คำสาธยายของคุณ ก็คือความฝันของนักอุดมคติคนหนึ่งเท่านั้น คนทั้งหลายตามความเป็นจริง มิได้นับถือสมบัติในกายตัวของคุณ และความรักของคุณดิฉันก็ไม่นับถือสมบัติที่สัมผัสไม่รู้ดูไม่เห็นเป็นสิ่งที่เอามานับกันไม่ได้ ใครอวดอ้างทรัพย์สมบัติเช่นนี้ก็เป็นคนอวดลมๆ แล้งๆ ตามฐานะของคุณเวลานี้เราจะเป็นได้ก็เพียงเพื่อนกัน การที่เรารักกันเพียงใดนั้นไม่ต้องเอามาคำนึง”

“นี่เป็นข้อตัดสินใจของคุณหรือ?”

“ถูกแล้ว”

รุ้งลุกขึ้นยืนทันที “ผมคิดว่า” เขาพูดช้าๆ “นอกจากมีทรัพย์มีวิชา คุณคงมีหัวใจด้วย ผมเข้าใจผิด เราเป็นไม่ได้แม้แต่เพื่อนกัน!”

เขาน้อมศีรษะคำนับเธออย่างต่ำ แล้วหันหลังเดินไปโดยไม่เหลียวมาดูเธออีก

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ