บทที่ ๔

ระหว่างเวลารับการอบรมอยู่ที่กระทรวงกลาโหมนั้น นักโทษการเมืองเหล่านี้ได้ชิมรสอิสรภาพภายในขอบเขตคล้ายชีวิตของนักเรียนนายร้อย กล่าวคือลาไปพักที่บ้านได้ในวันปลายสัปดาห์ และในวันธรรมดาก็ได้รับอนุญาตให้พบพี่น้องและมิตรสหายได้โดยไม่ต้องมีการควบคุม

ผู้มาเยี่ยมรุ้งในวันแรกก็คือน้าสะอาด ซึ่งรุ้งได้เขียนจดหมายแจ้งกำหนดวันไปให้ทราบล่วงหน้า น้ากับหลานสนทนาหารือกันในเรื่องงานอาชีพและที่อยู่อาศัย ยังมิทันสิ้นกระบวนความ ก็มีผู้มาแสดงตัวเป็นญาติของรุ้งอีกรายหนึ่ง ทั้งน้าและหลานรู้สึกประหลาดใจเท่าๆ กันเมื่อได้ฟังรายงานนี้จากผ่องซึ่งรับส่งข่าวล่วงหน้าด้วยความหวังดี

“ใครบ้างนะที่มาบอกว่าเป็นญาติ” รุ้งซัก

“ผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงสาว” แล้วเขาก็ก้มลงกระซิบต่อไป “ผู้ชายท่าทางกวนๆ หน่อย แต่น้องสาวของแกสวยจัง ตาคมชะมัดเลย”

“ไปเชิญเข้ามาที่นี่ซี” น้าสะอาดแนะนำ

รุ้งได้พบญาติทั้งสองตามที่ผ่องกล่าวนั้นที่ระเบียง เครื่องแต่งกายสากล ผ้าปาล์มบีชซึ่งรีดเรียบร้อย และวิธีผูกผ้าผูกคอให้อยู่ที่หน้าอก เป็นสิ่งที่บอกรุ้งว่าญาติผู้ชายของเขาเป็นคนวิ่งตามสมัย และเมื่อสังเกตเครื่องแต่งกายของหญิงสาวที่มาด้วย รุ้งก็เชื่อว่าเป็นเช่นเดียวกัน เขาไม่ทราบว่าเธอคือใครและได้รับไหว้ของเธออย่างสุภาพ แต่ชายที่มากับเธอยื่นมือมาสัมผัสกับเขาและยิ้มแย้มอย่างเบิกบาน แสดงท่าทางเป็นเพื่อนสนิท

“รุ้ง” เขาร้องทัก “ผอมไปนิดหน่อย แต่ขาวขึ้น เป็นยังไง? สบายแล้วซีนะ”

รุ้งจำเขาได้ทันที มีบางคนที่เสียงของเขาน่ารู้จัก ถ้าหากรูปร่างและกิริยาของเขาน่ารังเกียจ สมศักดิ์เป็นคนหนึ่งในจำพวกนี้

“สมศักดิ์” รุ้งร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ “แหม ไม่นึกเลยว่าเราจะได้พบกันที่นี่ และในวันแรกที่ผมมาถึงเสียด้วย ขอบใจมากที่มาเยี่ยม” รุ้งกล่าวถ้อยคำเหล่านี้เกือบติดต่อเป็นประโยคเดียวกันหมด ความดีใจทำให้จังหวะแห่งการกระทำของเขาถี่ขึ้น เขารู้สึกตัวจึงชะงักคำพูดไว้แล้วหันมาทางหญิงสาว

“งั้นเธอก็คือสมทรงน่ะซี” เขาถามโดยเพิ่งนึกได้

“พี่จำฉันไม่ได้หรอกหรือคะ?”

“ยายจิ๋ว โถ น้องของพี่ โตเป็นสาวถึงเพียงนี้เชียวหรือ ใครเล่าจะนึกออกว่ายายจิ๋วของพี่เป็นสาวสวย พี่นึกว่ายังเป็นเด็ก”

หญิงสาวอายม้วนเข้าไปใต้แขนพี่ชาย แต่ลอดสายตาดำแจ๋วมาที่รุ้ง “พี่รุ้งคะ ฉันนึกแล้วว่าพี่รุ้งจะลืมพวกเรา”

“พี่น่ะหรือจะลืมเธอได้”

“ไม่เห็นถามถึงพี่สมส่วนบ้างเลย?”

“พี่กำลังจะถามเธออยู่เดี๋ยวนี้ทีเดียว แต่เธอต้องตอบพี่ก่อนว่าคุณแม่ท่านสบายดี”

“ค่ะ ท่านสบายดี”

“และสมส่วนด้วย”

หญิงสาวหันไปสบตากับพี่ชาย และพี่ชายเป็นผู้พูด “สมส่วนป่วยอาการค่อนข้างหนัก เราจึงต้องรีบมาบอกคุณ”

“เราจึงต้อง” เป็นคำที่สะดุดใจรุ้ง ทำไมจึง “ต้อง”? เหตุใดจึงถือว่าเขามีความสำคัญแก่สมส่วนอยู่อีก เขาเพลินนึกในข้อนี้จนลืมเรื่องการป่วยของสมส่วน

“ผมไม่ได้รู้เรื่องราวของสมส่วนเลย” รุ้งกล่าว “เป็นเวลา ๓ ปีเศษมาแล้ว ตั้งแต่ผมได้รับจดหมายฉบับสุดท้ายว่าได้หมั้นกับนายอำไพ”

“บางที” สมศักดิ์พูด “จะเป็นเพราะใครๆ ก็คิดว่าไม่ควรรบกวนคุณในเรื่องราวต่อมาซึ่งน่าเศร้าทั้งนั้น”

“เรื่องน่าเศร้า หลังแต่งงานแล้วงั้นหรือครับ?”

“แต่งงานอะไรได้คะ” สมทรงพูดเน้นเสียงอย่างขุ่นเคือง “เขาบอกเลิกทันที เราก็ยอมให้เขาถอนหมั้น”

“เพราะอะไร ?”

รุ้งมองหน้าสมทรงเขม็ง แต่สมทรงไม่อยากเป็นผู้ตอบ พี่น้องมองสบตากันอีก

“สมส่วนเป็นวัณโรค” สมศักดิ์ชี้แจง “เริ่มต้นด้วยอาการไอ ร่างกายซูบผอมลง น้ำหนักตัวลด นอนไม่หลับและอ่อนเพลีย คู่หมั้นของเขาพาไปฉายเอ็กซเรย์ปรากฏว่าเป็นอย่างแรงที่ปอดทั้งสองข้าง ก็เลยต้องถอนหมั้น แกป่วยมาตั้ง ๒ ปีกว่าแล้ว”

สมองของรุ้งเอาคำพูดของสมศักดิ์มาทบทวนเรื่องราวกับละเมอ “แกป่วยมาตั้ง ๒ ปีกว่าแล้ว...อาการค่อนข้างหนัก...เราจึงต้องรีบมาบอกคุณ...” เขายังไม่เข้าใจความมุ่งหมายในการที่พี่น้องคู่นี้มาหาเขา แต่เขาเพิ่งเริ่มเข้าใจขึ้นทีละน้อย และความเข้าใจนั้นทำให้เขาโกรธ

“แล้วคุณก็มาหาผมเมื่อนายอำไพได้ถอนหมั้นไปแล้ว” รุ้งพูดเสียงห้วนๆ ถ้าหากไม่เกรงใจสมศักดิ์ เขาก็คงพูดให้ชัดลงไปอีกว่า การที่จะให้เขาไปรับหน้าที่ปฏิบัติพยาบาลแทนนายอำไพคู่หมั้นของเธอนั้นเขาต้องขอปฏิเสธ

“เธอคิดหรือว่าเป็นความยุติธรรม” เขาพูดกับสมทรง “ในการที่มาเรียกร้องความช่วยเหลืออย่างใดๆ จากพี่ ในเมื่อพี่ได้ถูกเตะออกไปนอกทาง และถูกลืม...”

“โธ่ พี่ขา พี่ไม่เคยถูกลืมเลย คุณแม่และใครๆ พากันติเตียนสมส่วน เราบ่นถึงพี่ คิดถึงพี่กันทุกคน สมส่วนก็รู้สึกตัวยอมรับผิด เขาฝากกราบมาถึงพี่ ถ้าเขาจะไม่ได้พบกับพี่อีกก็ขอลาตาย”

“แล้วจะให้พี่ช่วยได้อย่างไร”

“เพียงแต่ไปเยี่ยมเท่านั้นแหละค่ะ”

“เพื่อ?”

สมศักดิ์คลำกระเป๋าเสื้อ “ดูเหมือนผมไม่ได้เอามา สมส่วนพยายามเขียนจดหมายถึงคุณ แต่เขียนเกือบไม่เป็นตัวหนังสือ แม้แต่ยกมือก็เกือบไม่ขึ้นแล้ว จะเขียนจดหมายอย่างไรได้ อ้อ! อยู่นี่เอง” เขาหยิบกระดาษชิ้นหนึ่งจากกระเป๋าของเขาออกมาส่งให้รุ้ง ผู้ซึ่งรีบรับมาอ่าน

“พี่ขา น้องป่วยคราวนี้เห็นจะไม่รอด ขอกราบลาพี่ ถ้าหากน้อง...”

จดหมายนั้นขาดห้วนไปเฉยๆ และรุ้งต้องใช้ความพยายามเป็นอันมาก ในการอ่านให้ได้ใจความ เห็นได้ว่าคนไข้สิ้นความสามารถที่จะบังคับมือของตนให้ลากเส้นดินสอไปตามความต้องการ

แขนของรุ้งทอดลงมาวางอยู่บนตัก สายตาทอดทะลุผนังตึกออกไปเห็นบ้านหลังใหญ่แบบโบราณที่ถนนหลานหลวง ในห้องของสมส่วนซึ่งเจ้าของห้องกำลังนอนกระสับกระส่ายร้อนรุ่มด้วยพิษโรค เขานั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่น้ำตาจะซึมออกมาคลอดวงตา ควักผ้าเช็ดหน้าออกซับหน้าแล้วพับจดหมายเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อชั้นบน

“ผมจะไปเยี่ยมที่บ้าน” เขาบอกกับสมศักดิ์ด้วยเสียงเครือ “โปรดบอกเธอว่าผมจะไปในวันอาทิตย์เวลาประมาณเที่ยง...”

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ