บทที่ ๑๔

รุ้งพบรถรางคันที่เขาต้องการในรางหลีกหน้าสถานเสาวภา และเขาดีใจที่นางงามของเขายังคงอยู่บนรถ แต่เขาถูกคนทั้งหลายมองด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาลงจากรถยนต์มาขึ้ะะะ รนรถราง

“ผมขอร่วมทางไปกับคุณ” เขาพูดเชิงชี้แจงกับเธอ “ถ้าคุณไม่รังเกียจ”

แต่เธอไม่ได้ยินดีหรือแสร้งทำไม่ได้ยินและไม่ได้เชิญชวนให้รุ้งนั่ง เขาจึงเชิญตัวเองโดยเลือกเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ

เขาได้เฝ้ามองเธอเหมือนสุนัขเฝ้ามองนาย คอยดูว่าเมื่อไรเธอจะหันหน้ามาทางเขา แล้วเขาจะได้ชวนเธอสนทนา แต่ดูเหมือนเธอหันหน้าไปทางอื่นโดยเจตนา และรุ้งสังเกตได้ว่าสีหน้าของเธอแสดงความรำคาญ จึงออกจะเสียใจว่าความพยายามของเขาในการตามมานี้ น่าจะถูกแปลความหมายเป็นความทุจริต หรือเจตนาร้ายอย่างใดอย่างหนึ่ง

“คุณใช่ไหมที่ลงรถไปเมื่อตะกี้” เสียงหนึ่งพูดขึ้นข้างตัวเขา นั่นคือเสียงคนขายตั๋วซึ่งกำลังยื่นตั๋วให้เขา “คุณคงจะลืมอะไรไว้ในรถคันนี้กระมัง?” แล้วผู้พูดก็ชำเลืองไปทางนางแห่งนิยายของรุ้ง

“ศาลาแดง ศาลาแดง” คนขายตั๋วตะโกน “ใครจะลงบ้าง”

รุ้งลังเลว่าควรตามนางแห่งนิยายของเขาต่อไปหรือไม่ แต่เขาตกลงใจทันทีเมื่อเห็นเธอลุกขึ้นจากที่นั่ง ผู้ที่ลงจากรถมีเพียงเธอกับเขาสองคนเท่านั้น

เธอไม่แสดงว่าประหลาดใจเลย เมื่อรถรางแล่นพ้นไปแล้วที่ได้เห็นรุ้งยืนอยู่ใกล้เธอ

เธอเดินช้าๆ ไปตามถนนสีลม รุ้งเดินตามไปห่างๆ เธอเลี้ยวเข้าตรอกพระยาพิพัฒน์และรู้ตัวว่ารุ้งอยู่ห่างเธอเพียง ๒-๓ ก้าว เธอหันหน้ามาประจันหน้ากับเขาโดยฉับพลันและเขาก้าวเข้ามายืนตรงหน้าเธอ

“คุณตามดิฉันมาหรือคะ?” เธอถาม ยิ้มนิดๆ

“เปล่าครับ” เขาตอบ “ผมก็จะไปทางนี้เหมือนกัน”

เธอเดินต่อไปและเขาเดินไปด้วย เธอหยุดอีก เขาก็หยุดด้วย

“นั่นแน่! พอดิฉันหยุดคุณก็หยุด” เธอพูด “พอดิฉันเดิน คุณก็เดินบ้าง”

“ที่จริง” เขาทำท่าคล้ายสารภาพความผิด “ผมอยากจะพูดกับคุณสักสองสามคำ”

“ก็พูดออกมาซี” เธอออกคำสั่ง

“คุณคิดว่าเป็นการหยาบคายไหม ถ้าผมจะถามว่าคุณอยู่ที่ไหน”

“ไม่เป็นการหยาบคาย เท่าที่จะตามดิฉันไปจนถึงบ้าน”

“ผมตามคุณมาเพื่อจะถามถึงบ้านเพื่อนของผมคนหนึ่ง ถ้าหากคุณอยู่ถนนนี้ ผมเชื่อว่าคุณคงรู้จัก”

“ดิฉันอยู่ถนนนี้”

“เพื่อนของผมชื่อนาวาอากาศตรีวีรพันธุ์”

เธอช้อนสายตาขึ้นมองหน้าเขาทันที แล้วทิ้งมันไว้ที่นั่น

“คุณวีรพันธุ์นัดพบเพื่อนคนหนึ่ง” เธอจับสายตาอยู่ที่หน้าเขาไม่วางตา “ชื่อรุ้ง”

รุ้งก้มศีรษะ “ผมเอง”

กิริยาท่าทางของเธอเปลี่ยนไปทันที “เชิญทางนี้ค่ะ” เธอกระวีกระวาดนำเขามาตรงหน้าประตูบ้านแห่งหนึ่งใกล้ๆ ที่นั่น แล้วกดปุ่มไฟฟ้า “นี่ค่ะบ้านคุณวีรพันธุ์”

“ผมขอบคุณมาก” รุ้งพูด

“คุณจะให้ดิฉันช่วยอะไรอีกไหมคะ?”

“ไม่มีครับ ผมได้รบกวนคุณมากแล้ว”

เธอก้มศีรษะแล้วก็เดินต่อไป รุ้งยืนลังเลสุดจะหักห้ามความอาลัยได้ เธอห่างไปไม่ถึงสิบก้าว เขาก็รีบเดินสาวเท้าตามเธอไปอีก

“โปรดอย่าเพ่อไป” รุ้งพูดกระหืดกระหอบ “ผมยังต้องขอรบกวนคุณอีก”

เธอหยุดยืนอยู่ และรุ้งกล่าวทวนคำพูดของเขา

“อะไรล่ะคะ?”

“ผมได้บอกชื่อของผมแก่คุณแล้ว ผมขอทราบนามของคุณบ้าง?”

เธอหัวเราะเสียงกังวานสดใส “คุณควรถามคนอื่นถ้าคุณเอาใจใส่”

แล้วเธอก็เดินหนีห่างเขาออกไป รุ้งยังจับตาอยู่ที่เธอ คาดว่าเธอคงจะเลี้ยวเข้าบ้านของเธอ ซึ่งน่าจะอยู่ไม่ไกลนัก เขาอยากเดินตามเธอไปให้รู้จักบ้าน แต่ประตูบ้านของวีรพันธุ์เปิดออก สาวใช้คนหนึ่งออกมามองซ้ายมองขวา ทำท่าหาตัวผู้กดกระดิ่งไฟฟ้า ระหว่างเวลาที่รุ้งถูกดึงความสนใจไปทางอื่นนี้ นางแห่งนิยายของเขาหายไปโดยไม่มีร่องรอยราวกับล่องหน

“ขอประทานโทษค่ะ” หญิงสาวกล่าวกับเขา “คุณใช่ไหมคะชื่อคุณรุ้ง?”

รุ้งพยักหน้า

“เชิญค่ะ คุณวีรพันธุ์กำลังคอยคุณอยู่ทีเดียว”

ขณะรุ้งกำลังผ่านประตูซึ่งทำด้วยไม้สักประกอบเหล็กดูหนาหนักและมั่นคง ความสงสัยของเขาเกิดขึ้นว่า เขาได้ยินเสียงประตูเปิดโดยถนัด แต่เหตุใดจึงไม่ได้ยินเสียงถอดสลักกลอน ยิ่งกว่านั้น เขาได้สังเกตอีกด้วยว่าสลักกลอนสำหรับประตูเหล็กมีสนิมจับ

“ฉันไม่ได้ยินเสียงเธอถอดสลักกลอน” รุ้งพูดกับสาวใช้

“ก็ประตูบานนี้ไม่ได้ใส่กลอนนี่คะ เราใส่แต่กลอนประตูบานใหญ่เท่านั้น”

“เธออยู่ที่ไหน เมื่อฉันกดกระดิ่ง”

“คุณกดกระดิ่งหรือคะ? กระดิ่งก็ไปดังบนตึกซิคะ แต่ดิฉันไม่ได้ยิน ดิฉันเปิดประตูออกมา เพราะได้ยินเสียงพูดกัน คุณกำลังพูดกับใครคะ?”

“ฉันเข้าใจว่าคนอยู่แถวนี้ ฉันถามเขาถึงบ้านวีรพันธุ์ เขาก็ชี้ให้ และกดกระดิ่งให้ด้วย”

“ดิฉันคิดว่าเป็นคุณผู้หญิงของดิฉันเสียอีก แต่เมื่อออกมาดูก็มองไม่เห็น”

ขณะที่รุ้งเดินจากประตูบ้านมาตามถนนโรยกรวด ซึ่งอ้อมไปตามโค้งของสนามหญ้า อีกด้านหนึ่งของถนนเป็นสวนกุหลาบ ตัวตึกซึ่งอยู่ห่างออกไปราว ๕๐ วา และถูกบังอยู่ส่วนหนึ่งด้วยหมู่ต้นกระดังงาและต้นมะขามนั้นเป็นตึกขนาดใหญ่แบบทันสมัย โบกปูนสีฟ้าอ่อน อากาศภายในเขตบ้านดูสดชื่น ลมรำเพยอยู่ตลอดเวลา พาเอากลิ่นกุหลาบมาสู่นาสิกประสาท และอยู่ห่างไกลเสียจากถนน เป็นสถานที่อันน่าจะให้ทั้งความรื่นรมย์และความสงบ

“คุณผู้หญิงของเธอ” รุ้งพูดกับสาวใช้ต่อไป “ชื่ออุไรวรรณใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ”

“คุณอุไรวรรณมีธุระไปทางหัวลำโพง เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่กลับใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ เธอไปรับเพื่อนที่สถานีหัวลำโพง ทำไมคุณทราบ?”

รุ้งยิ้ม เขานึกถึงแหวนเพชรสีน้ำเงินที่เขาได้เห็นในนิ้วก้อยของ “นางในนิยาย” นึกถึงคำพูดของน้าสะอาดว่าอุไรวรรณสวมแหวนเพชรสีน้ำเงินน้ำงามหนักหนา บัดนี้เรื่องราวทั้งหมดได้มาปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องเดียวแล้ว

“ยังอีกข้อหนึ่ง” รุ้งพูดกับสาวใช้ “บ้านนี้มีประตูหลังบ้าน ซึ่งมีทางเดินผ่านข้างหลังด้านขวานี้ไป”

“ถูกละค่ะ แต่ทำไมคุณจึงทราบ”

“ฉันจะบอกอะไรให้ ถ้าเธอเดินล่วงหน้าไปก่อนฉัน เธอจะได้พบคุณอุไรวรรณคอยพบฉันอยู่ในห้องรับแขกแล้ว”

คำทายของรุ้งปรากฏว่าถูกต้อง สาวใช้คิดว่าเมื่อตนได้รายงานถึงการที่รุ้งได้กล่าวกับหล่อน คงทำให้อุไรวรรณและวีรพันธุ์ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันที่ระเบียงหน้าตึก เห็นรุ้งเป็นมนุษย์มหัศจรรย์ แต่อุไรวรรณเพียงแต่ยิ้มกับพี่ชายผู้ซึ่งยิ้มตอบ และพยักหน้าด้วยความพอใจ

“กันรู้เรื่องที่แกพบอุไรวรรณบนรถรางตลอดแล้ว” วีรพันธุ์กล่าวขึ้นเป็นคำแรกเมื่อลงจากบันไดมาต้อนรับรุ้ง “เป็นเรื่องน่าสนุก อุไรวรรณไม่ค่อยชอบไปรถราง และไม่เคยไปไหนคนเดียว มันเป็นเรื่องเผอิญทั้งนั้น”

“ดิฉันหวังว่า” อุไรวรรณพูด “คุณรุ้งคงไม่ถือโทษที่ดิฉันหนีเข้าประตูหลังบ้าน”

“ผมเพียงแต่สงสัย” รุ้งตอบ “ว่าทำไมคุณจึงหลอกผมเช่นนั้น”

วีรพันธุ์วุ่นวายในการที่จะให้รุ้งดื่มวิสกี้ที่เตรียมไว้ เขาเห็นว่าควรจะย้ายโต๊ะเครื่องดื่มจากในห้องรับแขกมาที่ระเบียง และกำลังสั่งคนรับใช้ในเรื่องเหล่านี้

“การหลอก” อุไรวรรณตอบ “เป็นผลที่คุณควรจะได้รับจากการเดินตามดิฉันมา”

“ผมทายว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณถูกติดตาม คุณมีความผิดที่เกิดมาเป็นคนสวย”

“คำพูดของคุณทำให้ดิฉันนึกถึงเอ็ดดี้ แคนเตอร์”

“แต่คุณทำให้ผมนึกถึงทมยันตี”

“ทำไมผู้ชายจึงชอบตามผู้หญิง”

“เพราะผู้หญิงชอบเดินหนีเรา”

อุไรวรรณยิ้ม และรุ้งหัวเราะ

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ