บทที่ ๓๒

รุ้งเดินท่องเที่ยวตามถนนต่างๆ เต็มสามชั่วโมง คำปฏิเสธของอุไรวรรณเกือบทำให้เขาเสียจริต แต่เขายังคงคิดอยู่นั่นเองว่าเขาเป็นฝ่ายถูก ถ้าหากอุไรวรรณไม่นับถือคุณสมบัติในกาย เธอก็เป็นแต่เพียงคนผิวเผิน ไม่มีปัญหาหยั่งรู้คุณค่าของสิ่งต่างๆ ให้ลึกซึ้งเกินไปกว่าเปลือกนอก เธอไม่ใช่สตรีที่น่าบูชา แม้ว่าเฉลียวฉลาดและมีความรู้กว้างขวาง แต่จิตใจของเธอก็มิได้สูงกว่าหญิงสามัญ ยังคงตกเป็นทาสแห่งความนิยมตามกาลสมัย และตะเกียกตะกายไปในกลุ่มของคนหมู่มาก รุ้งเสียใจในความผิดหวัง แต่เขาเศร้าใจยิ่งกว่านั้นที่ได้เห็นอุไรวรรณผู้เป็นเทวรูปบนแท่นบูชาแห่งหัวใจของเขาต้องตกลงมาจากแท่น

เพื่อดับความเสียใจ เขาเข้าไปในโรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง แต่ภาพยนตร์ทำให้เขาเวียนศีรษะ เขาซื้อตั๋วดูละคร แต่ออกจากโรงละครเมื่อได้ดูเพียงครึ่งฉาก ในที่สุดโรงเต้นรำเป็นสถานแห่งเดียวที่ทำให้เขาลืมอุไรวรรณ เมื่อเวลาใกล้สองยาม เขายังคงนั่งดื่มวิสกี้อยู่คนเดียว ต่อมาอีกหนึ่งชั่วโมงจึงกลับบ้านนั่งหลับมาในรถยนต์เช่า แล้วคลานเข้าที่นอนทั้งๆ ที่ไม่ได้ถอดรองเท้า

เขาตื่นขึ้นในตอนเช้าตรู่ รู้สึกอับอายในความประพฤติของตนเมื่อวานนี้โดยตลอด เขานึกถึงคำโต้ตอบกับอุไรวรรณด้วยความเศร้าหมองและเสียใจที่ได้ลั่นวาจาโดยหุนหันพลันแล่น ทำลายมิตรภาพสะบั้นลง แต่ก็ดูประดุจเป็นหนทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาพยายามเอาเหตุผลของเธอกับของเขามาชั่งน้ำหนักใหม่อีกครั้ง เมื่อวานนี้เขาเห็นเธอเป็นคนตื้น มองเขาเพียงผิวเผิน เดี๋ยวนี้กลับเห็นเธอเป็นฝ่ายถูกและเขาเป็นฝ่ายผิด เป็นธรรมดาที่กุลสตรีอย่างเธอจะต้องแต่งงานกับชายที่มียศศักดิ์อัครฐาน เป็นการผิดวิสัยที่เธอจะปลงใจแต่งงานกับเขาถ้าเขาเป็นคนจน เขาก็เชื่อว่ามันเป็นเพียงอารมณ์ของเธอที่ผ่านมาชั่วคราว ถ้าหากปฏิบัติไปตามอารมณ์เช่นนั้นก็จะทำให้เธอต้องเสียใจภายหลัง แต่เขาก็ไม่ติเตียนตนเองที่แสดงความรักต่อเธอ ดูคล้ายเป็นธรรมดาอีกเหมือนกันที่เขาจะต้องขอแต่งงานกับเธอ ในเมื่อเขาได้รักเธอถึงขีดสุดเพียงนั้นแล้ว เป็นอันเสร็จธุระกันที ไม่มีอะไรควรทำดีกว่าที่จะพยายามสลัดตัดสินใจให้สำเร็จ บางทีการไปต่างจังหวัดสักสองสามเดือน จะทำให้ความรักของเขามอดลงได้ หรือเอาความรักรายใหม่มาดับรายเก่า การแต่งงานเป็นสิ่งที่เขาต้องทำ ถ้าไม่สามารถแต่งงานกับหญิงที่เขารักเขา ก็จะหันไปทิศตรงข้าม คือแต่งงานกับหญิงที่รักเขา โดยไม่เลือกว่าเธอมีเปลือกนอกชนิดไร จะเพ่งเล็งเพียงน้ำใจของเธอเท่านั้น

ระหว่างเวลารับประทานอาหารเช้า เขาบอกน้าว่าพรุ่งนี้เขาจะไปอยู่อยุธยาเพื่อกิจส่วนตัว และสีหน้าของเขาตลอดเวลาเหล่านั้นไม่แต่เพียงแสดงความเดือดร้อนใจสาหัส แต่ยังแสดงด้วยว่าเขาจะเห็นว่าการซักถามหรือคำทักท้วงห้ามปรามมิให้เดินทางจะเป็นแต่เพียงการรบกวนเขาเท่านั้น

เขากำลังเตรียมของบรรจุกระเป๋า เมื่อได้ทราบว่าสาวใช้บ้านศาลาแดงนำจดหมายมาให้เขาจากอุไรวรรณ

“คุณผู้หญิงกำชับดิฉันให้ส่งจดหมายนี้แก่คุณโดยตรง” เป็นรายงานของสาวใช้ รุ้งถือจดหมายเข้าไปในห้องเขียนหนังสือแล้วจึงเปิดผนึกออกอ่าน

๔๒ ศาลาแดง

๓ ธันวาคม ๒๔๘๑

แคนเตอร์ที่รัก

ดิฉันเสียใจที่ได้พูดผิดพลาดไปหลายประการ เมื่อคิดทบทวนแล้วจึงเห็นว่าเหตุผลของคุณล้วนถูกต้อง มาหาดิฉันนะคะ

ของคุณ

แทนการลงนาม เธอใช้เครื่องหมายประทับไว้เป็นเครื่องหมายประหลาด สีแดงเหมือนสีของลิปสติคที่เธอใช้ และรูปร่างก็เหมือนรูปริมฝีปากของเธอ รุ้งเข้าใจว่าเธอใช้ริมฝีปากแทนชื่อ

ความปีติท่วมหัวใจ จดหมายนี้เป็นถ้อยคำของสตรีที่เขารัก ซึ่งบัดนี้ได้กางแขนของเธอออกเพื่อต้อนรับเขาเข้าสู่ดวงใจ เธอได้ส่งริมฝีปากของเธอมาให้เขาจูบ ริมฝีปากของเธอนี้คือสวรรค์ที่เขาแสวงอยู่ เขารู้สึกรสบรมสุขแห่งความสมปรารถนาและได้ประทับริมฝีปากของตนลงกับรูปริมฝีปากของอุไรวรรณครั้งแล้วครั้งเล่า

แต่เขาพยายามจะให้ตนเองเชื่อว่า นี่เป็นเพียงอารมณ์แห่งความรักที่ผ่านมาชั่วคราวในดวงจิต อุไรวรรณได้อธิบายให้เขาฟัง ว่ามันมีลักษณะวูบวาบ โฉบเฉี่ยวเหมือนนกจับกิ่งไม้ เป็นบันไดทองแห่งความฝัน ชีวิตสมรสต้องไม่เอาไปปะปนกับความฝัน

ด้วยความเศร้าใจที่เกิดจากบังคับตนเองโดยอำนาจจิตได้สำนึกให้รับเอาความคิดเห็นในแง่ใหม่นี้ เขานั่งลงที่โต๊ะเขียนหนังสือ และตอบจดหมายของเธอดังนี้

ทมยันตี ของผม

ผมเกิดความรู้สึกรุนแรงที่สุดสองประการ จดหมายของคุณนำสวรรค์มาให้ ซึ่งผมไม่กล้าเสียแล้วที่จะรับเอา ผมทราบว่าเป็นมารยาทไม่สมแก่สุภาพบุรุษ ที่จะปฏิเสธข้อตกลงที่ตนเองได้เสนอขึ้นก่อน แต่ผมยอมทำชั่วข้อนี้เพื่อมิให้ต้องทำชั่วมากกว่านี้ ในการทำลายอนาคตของสุภาพสตรีผู้เป็นที่รักของตนปานดวงใจ จะเป็นการผิดพลาดอย่างสิ้นทางแก้ไขถ้าหากเราตามใจตัวเอง ปล่อยให้ความรักเอาผ้ามาผูกตา จูงมือเรากระโจนเข้าสู่ที่มืดแห่งการแต่งงาน ซึ่งเราพอจะคาดคะเนได้ว่าเป็นความตกต่ำเสมือนเหวลึกแห่งความอัปยศ เป็นหลุมศพแห่งดวงใจ ของผู้หลงทางด้วยความชักนำของกามเทพ ความเศร้าใจอย่างสุดซึ้งได้เกิดขึ้นขนานกับความปลาบปลื้มที่ได้รับสารสวรรค์จากคุณ หลุมศพแห่งดวงใจนั้น สำหรับคุณคนเดียว หากผมจะมีทุกข์ก็พลอยทุกข์ไปตามคุณเท่านั้น ในผลเฉลี่ยผมคงเป็นสุขจนมากเกินเมื่อคุณเป็นเจ้าสาว ส่วนคุณสิจะกลืนน้ำตาด้วยรู้สึกความไม่เหมาะสมแห่งความผูกพันกับผู้ปราศจากสมบัติสิ่งต่างๆ ที่เรานับถือกันในชีวิตจริง จะต้องเป็นสิ่งสัมผัสรู้ดูเห็น ตามที่คุณว่าไว้เมื่อเย็นวาน มิใช่คุณพูดผิดพลาด ผมสิเป็นฝ่ายผิด เราจะเป็นได้ก็แต่เพียงเพื่อนกัน ผมจำเป็นต้องกล่าว แม้ด้วยความเสียใจเป็นอย่างมากว่า ผมต้องพยายามปิดประตูแห่งห้องหัวใจของผม จากความบุกรุกแห่งอานุภาพความรักของคุณ ผมกำลังจะไปจากกรุงเทพฯ แต่จะพาความระลึกถึงคุณใส่ดวงใจไปด้วย เราอาจไม่ได้พบกันอีก เพราะว่าผมจะไปสู่ที่ใดและเมื่อไรจะกลับนั้น ผมเองก็ไม่ทราบเลย

เพื่อนของคุณ

แคนเตอร์

หลังจากมอบจดหมายให้สาวใช้ของอุไรวรรณไปแล้ว รุ้งก็เตรียมตัวเดินทางต่อไป เขายังเหลือเงินอีกมากกว่าหนึ่งร้อยบาท ซึ่งเพียงพอเป็นค่าพาหนะและค่าใช้สอยไม่น้อยกว่าหนึ่งเดือน และเขาได้ตกลงกับนายอำนวยล่วงหน้าไว้แล้ว ให้เริ่มจ่ายเงินให้เขานับแต่เดือนหน้าเป็นต้นไปเดือนละ ๙๐๐ บาท และจ่ายให้น้าอีกเดือนละ ๑๐๐ บาท จนกว่าจะครบจำนวนหนึ่งหมื่นบาท ยิ่งกว่านั้น เขาสามารถเขียนบทประพันธ์ส่งหนังสือพิมพ์ ผดุงวิทยา ได้อีก ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะเป็นรายได้ที่มากพอแก่การดำรงชีพอย่างฟุ่มเฟือยแม้แต่ในต่างประเทศ แต่เขายังเป็นห่วงน้าผู้ชรา จึงไม่อยากจากไปไกล แม้เมื่อใดเขารักษาแผลดวงใจหายสนิทแล้ว หรือได้แต่งงานตามความมุ่งหมาย ก็ใคร่จะกลับกรุงเทพฯ การเดินทางคราวนี้ จึงคล้ายการท่องเที่ยวเผชิญโชค และไม่มีแผนความคิดแน่นอน เขาโดยสารเรือไปอยุธยา แล้วจึงตกลงใจต่อไปว่าจะโดยสารรถไฟไปนครราชสีมา และอุบลฯ หรือจะลงเรือไปสิงห์บุรีและสุพรรณบุรี

ธุระของเขายังมีอีกนิดหนึ่งที่จะบอกให้สมทรงทราบการเดินทางนี้ และผ่องก็ควรได้ทราบด้วย

เสียงฝีเท้าทำให้เขาเงยหน้าขึ้นจากการบรรจุของ ผ่องยืนยิ้มอยู่ที่ประตู

“นั่นอะไรกัน” ผ่องถาม ชี้มือไปยังเสื้อผ้าของรุ้งซึ่งกองล้อมกระเป๋าเดินทาง รุ้งเล่าความจำนงในการไปอยุธยาโดยมิได้แสดงเหตุผล

“อย่าเอาใจใส่เรื่องนี้เลย” เขาพูดในตอนท้าย “เมื่อเสร็จธุระตามความตั้งใจแล้วกันก็จะกลับ และเมื่อกันพักที่ไหนก็จะส่งข่าวให้แกทราบทุกแห่ง เล่าเรื่องของแกไปเถอะ สมทรงให้คำตอบอย่างไร ?”

“กันมาขอบใจแก” ผ่องพูด หน้าแดงขึ้นทันที “เธอ...เรา...ตกลงกันแล้ว จะหมั้นในสัปดาห์หน้า และจะแต่งงานเร็วที่สุด”

“กันขอแสดงความยินดี” รุ้งพูด ยื่นมือไปให้ผ่องจับ “หวังว่าเจ้าสาวที่น่าเอ็นดูคนนี้ จะทำให้แกเป็นสามีที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่ง แกต้องอ้อนวอนอยู่นานไหม? กว่าจะเกิดผล”

ผ่องยิ้มอย่างปลาบปลื้ม “กันโง่มากพอใช้ ที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเธอก็เอาใจใส่กันมาก่อนแล้วเหมือนกัน”

“ถามอีกคำเถอะ” รุ้งยิ้มแย้ม “แกได้จูบเธอบ้างหรือเปล่า?”

ผ่องหน้าแดงยิ่งขึ้นจนดูราวกับผลชมพู เขามิได้ตอบ แต่เขาก้มศีรษะ กิริยาของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิอย่างไม่เคยปรากฏมาแต่ก่อน

ความคิดของรุ้งแล่นไปถึงอุไรวรรณ เขาควรจะมีความภูมิใจเช่นเดียวกับผ่อง ในการเป็นผู้ครองความรักของหญิงที่เขานิยม เขาได้ปฏิเสธโชคลาภของตัวเอง เป็นการกระทำอย่างเดียวกับที่ได้ปฏิเสธเงินเดือนของบริษัทเครื่องเขียน ตั้งแต่นี้ไป ความรักที่เขารู้สึกต่ออุไรวรรณ จะแสดงตัวเองด้วยลมแห่งการถอนใจ เขาอยากจูบอุไรวรรณเป็นที่สุด เขาได้จูบเธอแล้วบ่อยครั้งในความคิด และจูบเธอทั่วตัวในความฝัน แต่ในความจริงนั้น เขาไม่เคยจูบหญิงใดเลยนอกจากสมส่วนเมื่อเธอจวนจะดับชีพ

ทันใดนั้นผ่องกล่าวขึ้น “กันเห็นว่าแกไม่ควรไปไหนเวลานี้ เพราะอาจทำให้เจ้าหน้าที่เกิดความสงสัย กันนึกว่าเราอาจถูกสะกดรอยด้วยซ้ำไป หวังว่าแกคงรู้เรื่องดีแล้ว”

“รู้เรื่องอะไรกัน? ทำไมจะมาสะกดรอยเราอีกเล่า?”

“แกไม่รู้หรือว่าเมื่อคืนนี้ มีการจับกุมกันอีกแล้ว รถรบรถเกราะออกแล่นขวักไขว่”

รุ้งปล่อยมือจากการพับเสื้อผ้า “บ้าจริง” เขาร้องขึ้นอย่างเบื่อหน่าย “เมื่อไรหนอจะเลิกการปกครองแบบนี้กันเสียที”

“ระวังตัวหน่อย เราเพิ่งได้รับอภัยโทษใหม่ๆ อันตรายใกล้ตัวเรามาก และแกก็มือบอนไปเขียนเรื่องลงหนังสือพิมพ์ ทั้งๆ รู้อยู่แล้วว่า เขาคอยจ้องมองเราอยู่ การเขียนหนังสือพิมพ์เวลานี้เท่ากับยื่นเท้าไปหาตรวน”

รุ้งยักไหล่ “ถ้าเขาจะจับเราละก็ นอนอยู่บ้านเฉยๆ เขาก็ว่านอนคิดกบฏ ใครบ้างล่ะที่ถูกจับเมื่อคืนนี้ ?”

“ตั้ง ๒๐ กว่าคน ล้วนแต่พวกหนังสือพิมพ์ทั้งนั้น และสำนักงานหนังสือพิมพ์ทุกแห่งถูกค้น”

“สำนักงาน ผดุงวิทยา ถูกค้นหรือเปล่า?”

“กันไม่รู้ แต่เขาลือว่าถูกค้นในเวลาเดียวกันหมดโดยส่งตำรวจแยกย้ายกันออกทำการเป็นสายๆ ไป แกเกี่ยวอะไรกับ ผดุงวิทยา ล่ะ?”

“กันส่งเรื่องไปที่นั่นสองสามเรื่อง”

“ถ้ายังงั้น ก็ยิ่งต้องระวังตัวมากขึ้น งดการเดินทางเสียเถอะเพื่อนยาก เชื่อกันดีกว่า”

คำแนะนำของผ่อง แม้จะไม่กอปรด้วยเหตุผลอันมีน้ำหนักพอที่จะเปลี่ยนความตั้งใจของรุ้ง ก็ยังพอที่จะทำให้รุ้งต้องนำมาไตร่ตรองทบทวน เขาได้ให้คำตอบแก่ผ่องว่า เขายังตกลงใจที่จะเดินทาง แต่การที่สำนักงาน ผดุงวิทยา ถูกค้นและอำนวยถูกจับ อาจมีผลกระทบกระเทือนถึงตัวเขา อย่างน้อยก็ในทางการเงิน หนังสือเรื่อง The Sight of Future Siam อาจถูกยึด เงินที่หวังจะได้รับจากอำนวยก็จะกลายเป็นเรื่องเหลวไป เงินเพียงหนึ่งร้อยบาทเศษที่เขามีอยู่เดี๋ยวนี้ จะต้องถนอมใช้จนกว่าเหตุการณ์จะกระจ่างแจ้งขึ้น ฉะนั้นเขาอาจต้องงดความคิดที่จะเดินทางท่องเที่ยวไกลเกินกว่าอยุธยา

เมื่อผ่องไปแล้ว รุ้งก็ซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านและคุยกับน้าของเขาต่อไป ตลอดเวลาบ่ายวันนั้น “การที่อำนวยถูกจับ” รุ้งบอกน้าของเขา “ก็คงเป็นทำนองพลอยติดร่างแหไปด้วย” รุ้งยืนยันว่าคนอย่างอำนวยคงไม่เขลาพอที่จะคิดล้มล้างรัฐบาลด้วยกำลังอาวุธ ซึ่งไม่มีทางหวังจะสำเร็จได้เสียเลย แม้แต่การคัดค้านรัฐบาลในสภาผู้แทนหรือในหนังสือพิมพ์ รุ้งก็เข้าใจว่าอำนวยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง หนังสือพิมพ์ ผดุงวิทยา ไม่เคยลงบทประพันธ์ที่กระทบกระเทือนต่อการปกครองของรัฐบาลชุดปัจจุบัน เรื่องของรุ้งที่ส่งไปลงก็เป็นเพียงเรื่องเผยแพร่วิทยาการ แม้แต่เรื่อง The Sight of Future Siam ก็มิใช่เรื่องที่เขียนขึ้นเพื่อวิพากษ์วิจารณ์กิจการของรัฐบาลสยามชุดนี้ ถ้าหากมันแสดงความบกพร่องของเครื่องจักรแห่งการเมืองและเศรษฐกิจ เขาก็ได้แสดงสาเหตุแห่งความบกพร่องไว้ว่าเป็นกรณีที่เกิดทั่วไปทั้งโลก ซึ่งการแก้ไขจะต้องอาศัยความร่วมมือของมหาประเทศ และไม่จำเป็นต้องกระทำในรูปปฏิวัติ ฉะนั้นเมื่อน้าของเขาตั้งคำถามขึ้นว่าการจับกุมพวกหนังสือพิมพ์คราวนี้ จะเกี่ยวข้องมาถึงเขาด้วยหรือไม่? เขาจึงตอบด้วยความมั่นใจว่า ไม่เกี่ยวข้อง

ก่อนเวลาเข้านอน เขาได้พบน้าของเขาอีกครั้งหนึ่ง และได้กราบลาท่านเพื่อเดินทางแต่เช้าตรู่ ท่านอวยพรให้เขาเดินทางโดยสวัสดี แต่ท่านกล่าวพรโดยมีน้ำตาคลอดวงตา ซึ่งทำให้รุ้งรู้สึกคล้ายพรนั้นเป็นคำเตือนให้ระวังตัวต่อเหตุร้าย ซึ่งผ่องเตือนไว้ว่าใกล้ตัวเข้ามามากแล้ว

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ