- ปฐมบท
- คำอภิวันทนาการ (ในการพิมพ์ครั้งที่สาม)
- คำนำของผู้เขียน
- บทที่ ๑
- บทที่ ๒
- บทที่ ๓
- บทที่ ๔
- บทที่ ๕
- บทที่ ๖
- บทที่ ๗
- บทที่ ๘
- บทที่ ๙
- บทที่ ๑๐
- บทที่ ๑๑
- บทที่ ๑๒
- บทที่ ๑๓
- บทที่ ๑๔
- บทที่ ๑๕
- บทที่ ๑๖
- บทที่ ๑๗
- บทที่ ๑๘
- บทที่ ๑๙
- บทที่ ๒๐
- บทที่ ๒๑
- บทที่ ๒๒
- บทที่ ๒๓
- บทที่ ๒๔
- บทที่ ๒๕
- บทที่ ๒๖
- บทที่ ๒๗
- บทที่ ๒๘
- บทที่ ๒๙
- บทที่ ๓๐
- บทที่ ๓๑
- บทที่ ๓๒
- บทที่ ๓๓
- บทที่ ๓๔
บทที่ ๑
เช้าวันนี้อารมณ์ของท่านผู้อำนวยการเรือนจำบางขวางดูแจ่มใสผิดปกติ สีหน้าที่บึ้งตึงอยู่เสมอปรากฏอาการคล้ายยิ้ม อาจเป็นได้ว่าอกุศลกิจที่ปฏิบัติอยู่เป็นเนืองนิตย์ทำให้หน้ามนุษย์กลายเป็นยักษ์ และกุศลกิจเปลี่ยนหน้ายักษ์กลับคืนเป็นหน้ามนุษย์ การตระเตรียมส่งนักโทษการเมืองชั้นผู้น้อยไปรับการอบรมเพื่อปล่อยเป็นอิสรภาพได้ตระเตรียมกันมานานแล้ว วันนี้ท่านผู้อำนวยการได้เรียกบุคคลที่จะพ้นเคราะห์มาปฏิสันถารทีละคน หวังจะผูกมิตรกันไปเบื้องหน้า หลังจากที่ได้เคี่ยวเข็ญรังแกกันมาเป็นเวลาเกือบห้าปี
ที่โต๊ะทำงานของท่านผู้อำนวยการและผู้ที่นั่งหันหน้าเข้าหาท่านผู้รับการปฏิสันถาร คือชายหนุ่มในเครื่องแต่งกายนักโทษ นั่งเรียบร้อยในกิริยาสำรวม มิได้แสดงความยินดีในโอกาสซึ่งคนทั้งหลายเห็นเป็นบุญประเสริฐราวกับตายแล้วเกิดใหม่ อายุของเขาประมาณ ๓๒ ปี รูปร่างค่อนข้างสูง ลีบเล็ก ผอมบาง คิ้วดก หน้าแห้งคล้ายคนอดอาหารและอดนอน แต่สีหน้าของเขาบอกชัดลงไปอีกชั้นหนึ่งว่าสิ่งที่เขาอดจริงๆ ก็คือความพอใจ แววตาแข็งกร้าวซึ่งมองพุ่งเข้าใส่ผู้อำนวยการราวกับเล็งด้วยปืนนั้นทำให้ความสุภาพแห่งน้ำเสียงและท่าทางดูเป็นของเคลือบแฝงและเป็นสัญญาณแห่งอันตราย เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวอันเชื่องช้าและสีสลับมันขลับสวยสุดยิ่งกว่าสีแพรเป็นสิ่งลวงและปกปิดพิษร้ายของงูทับสมิงคลา หนุ่มนักโทษผู้นี้มีลักษณะอย่างเดียวกับอาบราฮัม ลิงคอล์น ผู้ทำสงครามเลิกทาส หรือซาโวนาโรวา ผู้เขย่าศาสนบัลลังก์ของสังฆราชแห่งคริสตจักร หรือโรแบสเปียร์ผู้จุดเทียนแห่งเสรีภาพ สมภาพ และภราดรภาพ หรือคัสซิอุสผู้ก่อการล้างชีพกษัตริย์แห่งสงครามจูเลียส ซีซาร์ ซึ่งเช็คสเปียร์ชี้ลักษณะไว้ว่า “คนเช่นนี้สิน่ากลัว”
“นามสกุลของคุณว่ากระไรนะ คุณรุ้ง” ผู้อำนวยการถามเขา
“รุ้ง จิตเกษม ขอรับ”
“คุณเป็นคนหนึ่ง” ท่านกล่าวต่อไป “ในจำนวนผู้ที่จะได้รับการอบรมในรุ่นนี้ ศาลพิเศษให้จำคุกคุณ ๒๐ ปี เพิ่งได้รับโทษมาเพียง ๔ ปีเศษ การปลดปล่อยคราวนี้จึงนับว่าเป็นความกรุณาของรัฐบาลอย่างน่าขอบใจมาก”
“ผมขอบใจรัฐบาลมาก”
ผู้อำนวยการจ้องดูหน้าของเขา ท่านสงสัยว่าคำขอบใจนั้นกล่าวในอาการเยาะเย้ย แต่รุ้งไม่มีสีหน้าอย่างใดที่ยืนยันความสงสัยของท่าน
“รัฐบาลมิได้ถูกบังคับ” ผู้อำนวยการชี้แจงด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หรือมีพันธกรณีอันจำต้องกระทำอย่างที่เล่าลือกัน คำขอร้องของพระปกเกล้าฯ ไม่เป็นข้อผูกพันที่รัฐบาลจะต้องปฏิบัติตาม และเดี๋ยวนี้พระองค์ก็สละราชสมบัติไปแล้ว อิทธิพลของพระองค์เจ้าบวรเดชก็สูญสิ้น เจ้านายพระองค์อื่นที่ขัดขวางต่อวิถีทางรัฐธรรมนูญก็จะต้องประสบผลอย่างเดียวกัน มติมหาชนไม่เป็นเหตุที่จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ในเมื่อรัฐบาลมีกำลังทหารอยู่ในมือ และเดี๋ยวนี้มติมหาชนก็สนับสนุนรัฐบาลอยู่เต็มที่ รัฐบาลจึงมั่นคงมาก รัฐบาลปล่อยพวกคุณก็เพราะไม่กลัวว่าจะเกิดกบฏอีก ถ้าเกิดขึ้นก็ปราบ ความพยายามที่จะกบฏมีแต่จะเป็นภัยแก่ตนอย่างเดียว”
“กระผมเข้าใจดีแล้วขอรับ”
“เราทุกคนมีบทบาทอยู่ในเรื่องละครแห่งชีวิต จะทำอย่างไรได้เมื่อคุณถูกจัดให้แสดงบทบาทเป็นนักโทษ คุณคงโกรธแค้นรัฐบาลแน่ทีเดียว ไม่มากก็น้อย แต่เชื่อผมเถอะ ถ้ารักตัวแล้วพยายามลืมความหลังเสียดีกว่า เฉพาะตัวผมเองมีอะไรบ้างไหมที่ทำให้คุณโกรธแค้น ถ้ามีผมก็ขอโทษ เพราะผมเพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ไม่เคยมีเจตนาร้ายต่อพวกคุณเลย”
รุ้งนิ่งเฉยอยู่ ผู้อำนวยการจึงกล่าวต่อไปว่า “ระหว่างรับการอบรม คุณต้องประพฤติตนให้สมกับความไว้วางใจ อย่าให้เกิดเรื่องเสียหายมาถึงผม เพราะในการส่งตัวคุณไปนี้ ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ต้องรับรองความประพฤติของคุณ และเมื่อได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว ต้องระวังตัวให้ดี อย่าทำผิดรัฐธรรมนูญอีก ผมเตือนด้วยความหวังดี”
“กระผมขอบพระคุณ”
ผู้อำนวยการยื่นมือมาให้เขาเพื่อรับสัมผัส “ขอให้สวัสดี พรุ่งนี้เช้าเจ้าหน้าที่ทหารจะมารับตัวคุณเวลา ๐๖.๐๐ น.”
รุ้งคำนับแล้วเดินออกจากห้อง ผู้อำนวยการยิ้มอย่างพอใจขณะก้มหน้าทำงานต่อไป แต่ท่านต้องเงยหน้าขึ้นอีก บังตาซึ่งรุ้งเปิดออกไปนั้นถูกผลักกลับเข้ามาโดยแรง รุ้งหลีกทางให้แก่ผู้เข้ามาใหม่ ซึ่งแต่งเครื่องแบบนายพันตำรวจตรี ถือแฟ้มหนังสือราชการ รูปร่างของเขาอ้วนใหญ่ ความสง่าซึ่งมีอยู่ในความกำยำถูกเชิดให้เด่นสะดุดตา ด้วยการยืดอกและชูคอจนเกือบเป็นหงายหลัง เขาเดินลงเท้าหนักเกือบเป็นกระแทกส้นตรงเข้าไปหาผู้อำนวยการ
“อะไรกัน คุณแสวง”
นายตำรวจมิได้ตอบ เขาเดินเรื่อยเข้าไปจนถึงตัวผู้อำนวยการ แล้วก้มกระซิบเกือบชิดหู “นักโทษที่จะนำไปกระทรวงกลาโหมพรุ่งนี้ชื่อรุ้ง จิตเกษม มีไหม”
“มี”
“ผมได้รับคำสั่งจากอธิบดีให้มาติดต่อกับคุณว่าไม่ควรส่งคนๆ นี้ไปรับการอบรม”
“ทำไมครับ”
“อ้ายหมอนี่ยังไม่ละพยศ ผมเองเป็นคนสืบได้ความว่าแม้แต่อยู่ในคุก มันก็ยังพยายามเกลี้ยกล่อมหาพวกพ้องคิดโค่นล้มรัฐบาลอยู่เสมอ และได้เขียนเรื่องเสียดสีรัฐบาลไปลงหนังสือพิมพ์หลายครั้งหลายหน”
สีหน้าของผู้อำนวยการเผือดลง ในจำนวน ๔๐ คนที่จะไปรับการอบรมรุ่นนี้มีรุ้งคนเดียวเท่านั้นที่ท่านหยั่งน้ำใจของเขาไม่ถึง ความสุภาพเรียบร้อยของเขาทำให้ท่านเอ็นดู แต่ความเงียบขรึมทำให้ท่านระแวง จะเป็นการผิดพลาดของท่านกระมังในการขออภัยโทษให้คนผู้นี้
“ไม่จริงกระมัง” ผู้อำนวยการกล่าว เป็นการเถียงตนเองมากกว่าเถียงนายตำรวจ “ผมเห็นว่าเขาเป็นคนเรียบร้อย”
นายตำรวจแสดงความโกรธด้วยการถอดหมวกออกโยนไปบนโต๊ะ “แล้วกัน” เสียงของเขาเกือบเป็นตวาด “ผู้อำนวยการไม่เชื่อเกียรติของนายตำรวจสันติบาลบ้างเลย ผมบอกแล้วว่าผมเองเป็นคนสืบสวนมา”
“อย่างไรก็ตาม ผมยังนึกไม่ออกว่าจะแอบเขียนเรื่องไปลงหนังสือพิมพ์ได้อย่างไร”
“ผมมีหลักฐาน” แล้วนายตำรวจก็แสดงหลักฐานของเขาที่อยู่ในแฟ้ม พร้อมด้วยคำอธิบายประกอบหลักฐานนั้นอย่างยืดยาว
“คุณอย่าประมาทว่ามันเป็นเด็กคงจะทำอะไรรัฐบาลไม่ได้” เขากล่าวในตอนท้าย “อย่าลืมว่าอย่างน้อยมันก็เคยไปศึกษาต่างประเทศ อาจจะหาพรรคพวกได้ง่าย และหลักฐานเหล่านี้แสดงว่าอ้ายนี่เป็นศัตรูของรัฐบาลที่สำคัญคนหนึ่ง เราต้องช่วยกันป้องกันผู้นำของเรา ถ้าท่านปลอดภัย ไทยทั้งชาติก็เป็นสุข การส่งตัวเจ้ารุ้งไปอบรมเป็นการผิดพลาดที่อาจเกิดผลร้ายได้มาก ถ้าแก้ไขได้ ขอให้แก้ไข”
“เรื่องมันสายเสียแล้ว” ผู้อำนวยการตอบ “ถึงแม้หลักฐานตามที่คุณนำมาแสดงนี้เป็นความจริง ซึ่งที่จริงผมก็ยังสงสัยอยู่ เราก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่ได้อนุมัติมาแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นก็ลำบาก พวกผมจะต้องเหน็ดเหนื่อยขึ้นอีกมากในการปล่อยพวกนักโทษการเมืองเหล่านี้ ผมไม่อยากให้ปล่อยเลยให้ตายซี” ท่านส่ายศีรษะมองเขาอย่างเบื่อหน่าย แล้วก็หยิบหมวกขึ้นมา เอาหมวกกระพือลมต่างพัด