บทที่ ๑๑

“เป็นความโง่ของผมเอง” รุ้งกล่าวเพิ่มเติมหลังจากได้เล่าเรื่องการสมัครงานแก่น้าของเขาในเย็นวันนั้น “นายห้างคงจะตั้งเงินเดือนให้ผมสักสามสิบสี่สิบบาท ถ้าหากผมเพียงแต่นิ่งอยู่เท่านั้น”

“เงินเดือนสามสิบบาทจะเอามาทำไม?” น้าของเขาพูดขึ้นทันที “เรื่องแต่จะขายหน้า มันทำให้เห็นว่าเธอด้อยกว่าเพื่อนๆ ที่รับราชการซึ่งได้เงินเดือนคนละแปดสิบบาทหรือกว่านั้นก็มี ถ้าเธอไม่สามารถจะได้มากกว่าเขาก็อย่ารับเงินเดือนเสียดีกว่า น้าเชื่อว่าเธอจะต้องอดทนอีกเพียงไม่นาน นายห้างก็คงเห็นว่าเธอเป็นคนดีจริงๆ ห้างนี้รวยจะตาย! จ้างเธอเดือนละพันบาทก็ไม่เห็นประหลาดอะไร?”

“ผมไม่ได้หวังว่าจะได้รับเงินเดือนตั้งพันบาท ผมไปทำงานที่นั่นเพื่อเอาความรู้มากกว่าจะเอาเงินเดือน แต่ถ้าไม่ได้เงินเดือนเลยก็จะกลายเป็นเรื่องเดือดร้อนถึงคุณน้า เพราะผมคงจะต้องรบกวนเงินคุณน้าต่อไปอีก”

“ไม่เป็นไร น้าตั้งใจอยู่แล้วว่าจะให้เงินเดือนเธอเดือนละ ๓๐ บาท จนกว่าเธอจะมีรายได้มากกว่านี้”

รุ้งเต็มตื้นด้วยความขอบคุณ เขาจึงก้มลงกราบ

สมทรงเป็นคนที่สอง ที่ได้ฟังเรื่องราวของรุ้งในเย็นวันนั้น เธอตั้งใจฟังและยิ้มน้อยๆ คล้ายๆ เยาะตลอดเวลาที่เขาเล่า

“เธอเห็นน่าขัน” รุ้งพูดดักคอ “เมื่อพี่กล่าวว่าพี่จะไปทำงานเพื่อความรู้ และมิใช่หวังไปเอาเงินเดือน แต่เธอไม่รู้ว่าพี่เป็นคนใจใหญ่ เงินเดือนเท่าไรล่ะจึงจะพอใจคนอย่างพี่? พันบาท หมื่นบาทก็ยังน้อยอยู่นั่นเอง เพราะคนอื่นเขามีกันมากกว่านั้น พี่ต้องการมีมากกว่าคนอื่น นายซัลวาลเป็นเศรษฐีได้อย่างไร พี่ก็ควรเป็นได้บ้างเหมือนกัน”

“คนที่จะรวย” สมทรงพูด “ดิฉันเห็นเขาเป็นคนตระหนี่เหนียวแน่น คิดเล็กคิดน้อย ดิฉันยังจำภาษิตได้บทหนึ่ง ‘ระวังสตางค์ให้ดีแล้วเงินบาทก็จะไม่หนีไปไหน’ ถ้าไม่รู้จักใช้เงินหนึ่งบาทแล้ว อย่างไรจะได้เงินแสน ได้มาสตางค์เดียว ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย พี่ผิดไปเสียแล้วที่ไม่เรียกเงินเดือน”

“พี่เห็นว่าอาจไม่ยุติธรรม เพราะพี่อาจทำประโยชน์ให้เขาไม่ได้คุ้มเงินเดือนจึงยอมทำงานให้เขา”

“ถ้าพี่ทำงานกับคนซื่อตรง มีความยุติธรรม คำพูดของพี่ก็เหมาะดี แต่เจ้าของห้างชนิดนี้ ไม่ให้ความยุติธรรมแก่ลูกจ้าง พยายามจะใช้งานให้มากโดยจ่ายค่าจ้างน้อย ยิ่งไม่ต้องจ่ายเลยยิ่งดี เมื่อพี่เป็นนายจ้างแล้วจะทำอย่างไรก็ตามใจ แต่เมื่อเป็นลูกจ้างก็ต้องโก่งค่าจ้างให้มากเข้าไว้ ทำงานให้เขาก็ต้องเอาเงิน งานกับเงินเป็นของคู่กัน”

รุ้งพูดเสียงอ่อนๆ ว่า “ที่เธอพูดนี้ก็ถูกแล้ว ในโลกปัจจุบันนี้มนุษย์หายใจเป็นเงิน พี่จำเป็นต้องดำเนินชีวิตเหมือนเขาทั้งหลาย แต่กายของพี่อยู่ในโลกปัจจุบัน เมื่อจิตของพี่บางคราวหนีไปอยู่ในโลกอนาคต ไปอยู่ในโลกอันน่าปรารถนา...ในโลกอุดมคติของนักคิดและนักวิทยาศาสตร์” เขาหยุดพูด นัยน์ตาเกิดประกายแข็งกร้าว มองมุ่งตรงไปข้างหน้า และเมื่อเขาพูดต่อไปนั้น เสียงของเขาดังและหนักแน่น “มนุษยชาติได้ก้าวมาถึงสมัยเปลี่ยนแปลงแล้ว นี่คือยุคปฏิวัติ! เราได้เคยมียุคปฏิวัติทางธรณีวิทยามาแล้ว เช่นยุคภูเขาและทะเลกับยุคที่พื้นโลกกลายเป็นน้ำแข็ง เดี๋ยวนี้คือยุคปฏิวัติทางชีววิทยา เป็นการปฏิวัติเพื่อความเจริญสูงสุดของมนุษยชาติ ไม่ใช่การปฏิวัติด้วยอิทธิพลของดินฟ้าอากาศ แต่ปฏิวัติด้วยอำนาจมันสมอง มนุษย์เดี๋ยวนี้กำลังทำสิ่งน่าหัวเราะร้อยสิ่งร้อยอย่าง พี่เบื่อโลกปัจจุบันเต็มที อยากให้สภาพอนาคตมาถึงเสียเร็วๆ”

สมทรงอ้าปากค้าง มองตะลึง นี่เป็นการพลุ่งโพล่งของอารมณ์ขุ่นแค้นน้อยใจ ซึ่งเธอควรฟังไว้แล้วปลอบโยน หรือเป็นความคิดเห็นในเวลาปกติธรรมดา เธอเกือบจะร้องออกมาว่าโลกอนาคตที่ไหนกัน นั่นเป็นความเพ้อคลั่ง เป็นความฝัน...ความวิกลจริต!

แต่สมทรงเพียงแต่ยิ้มอย่างขบขัน หันเรื่องสนทนามาหาโลกปัจจุบันต่อไป “พี่คะ” เธอกล่าว “คุณผ่องได้เงินเดือน ๑๐๐ บาท และเพื่อนของคุณผ่องที่เข้ารับราชการบางคนก็ได้มากกว่านี้ ทำไมพี่ไม่ลาออกจากห้างแขกนี่เสียล่ะคะ ถ้าไม่อยากรับราชการ ก็ไปทำงานห้างเดียวกับคุณผ่องยังจะดีกว่า แต่ดิฉันอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมพี่จึงไม่สมัครทำงานของรัฐบาล”

“พี่ได้บอกเธอแล้ว” รุ้งพูดหน้านิ่ว “ว่าพี่หมายจะเป็นพ่อค้าเครื่องเขียน” แล้วรุ้งก็อธิบายเหตุผลที่ทำให้เขาไม่อยากรับราชการเท่าที่จะหาข้อแก้ตัวได้

เขาไม่ได้บอกเธอว่านั่นเป็นเพียงคำปลอบใจตนเองเท่านั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาย้อนสงสัยว่าเป็นความฉลาดหรือที่ปฏิเสธความหวังดีของหลวงพิบูลฯ ที่ชวนให้รับราชการ? เป็นความฉลาดหรือในการแลกตำแหน่งกับผ่อง? และในที่สุด เป็นความฉลาดหรือที่เขายอมทำงานโดยไม่คิดค่าจ้าง?

รุ้งต้องการคำยืนยันว่าเขาคิดถูกและทำถูก เขาจะไม่ฟังคำยืนยันนี้จากบุคคลเช่นน้าสะอาด ซึ่งพอที่จะเห็นอกเห็นใจเขาได้ เขายอมรับแก่ใจตนเองว่า เขาได้กระทำไปอย่างโง่เขลา แต่เขายังไม่ยอมถอยหลัง ฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องการบัดนี้ก็คือคำปลอบ เขาปลอบใจตนเองไม่สำเร็จจึงมาที่นี่ โดยหวังรับคำปลอบจากสมทรง ด้วยว่าในบรรดาคุณสมบัติของสตรี ไม่มีสิ่งใดจะเลิศประเสริฐกว่าความสามารถที่จะรักษาแผลดวงใจของบุรุษในเวลาเขาย่อยยับอับโชค และเชิดชูชุบย้อมน้ำใจเขา ให้แกล้วกล้ายิ่งขึ้นเมื่อคราวจะเอาชัย แต่รุ้งรู้สึกผิดหวัง

ดูประดุจว่าขณะอำลาสมทรงนั้น เขาแจ่มใสรื่นเริงดี แต่ขณะนั่งรถสามล้อกลับบ้าน คำพูดของสมทรงมาสะท้อนก้องอยู่ในหู “ฉันเคยนึกสงสัยว่าทำไมพี่จึงไม่สมัครทำงานของรัฐบาล” มันเป็นคำพูดที่ทำให้เขาปวดร้าวในใจ และทำให้คิดเห็นไปว่า สมทรงก็เป็นหนึ่งในจำนวนกลุ่มใหญ่ที่เห่อนิยมผู้มีอำนาจ รุ้งพูดออกมาภายใต้ฟันที่ขบกันอยู่ว่า “เสือ เฮ! The fool multitude!”

ความขุ่นใจตามเขาเข้าในที่นอน แต่ในตอนเช้า เขาตื่นด้วยความสดชื่นทั้งกายและใจ เขาไม่ต้องการคำปลอบจากใครอีกแล้ว เขาได้พูดและได้ทำทุกสิ่งตามที่ได้ไตร่ตรองล่วงหน้าไว้แล้ว ไม่มีทางอื่นนอกจาก “หน้าเดิน” ต่อไป

ห้างสยามเครื่องเขียนตั้งอยู่ถนนทรงวาด รุ้งเดินจากบางขุนพรหมไปขึ้นรถรางที่บางลำพู ก่อนขึ้นรถเขาได้พบผ่อง เขาทั้งสองต่างเล่าเรื่องของตนแลกเปลี่ยนกัน หัวหน้าของผ่องเป็นชาวอเมริกันเพิ่งสำเร็จจากมหาวิทยาลัย อัตราเงินเดือนของผ่องตั้งแต่ ๑๐๐ ถึง ๒๕๐ บาท และยังมีเงินบำเหน็จอีกด้วย แต่รุ้งให้ถ้อยคำยืนยันกับผองว่า เขาไม่เสียใจในการแลกตำแหน่งกันนั้นเลย

เมื่อขึ้นรถราง เขานั่งรถรางในชั้นที่สอง หากมีรายได้เดือนละหนึ่งร้อยบาท เขาก็คงซื้อความฟุ่มเฟือยอันเล็กน้อยในที่นั่งชั้นหนึ่งได้ ข้อนี้เห็นถนัดว่าเขาเสียเปรียบ เทียบกับฐานะของผ่อง เขาคิดว่าถ้าไปถึงที่หมายได้พร้อมกันแล้วนั่นรถรางชั้นที่หนึ่งหรือที่สองก็เหมือนกัน ความฟุ่มเฟือยหรูหราต่างๆ เช่น เก้าอี้มีเบาะรอง ที่นอนและหมอนสะอาดอ่อนนุ่ม อาหารไม่เพียงรสอร่อย แต่ยังปรุงประณีต มิใช่เพียงให้เกิดกำลังแต่ยังจัดลงจานและชามให้ดูสวยงามเจริญตา เหล่านี้ผู้ที่เอาใจใส่ก็คือผู้มีประสาทไว รู้สึกได้มากจากความสัมผัสเพียงเบาๆ และรุ้งเป็นคนชนิดนั้น แต่ความฟุ่มเฟือยเป็นสิ่งที่ต้องซื้อด้วยเงิน และคนมีเงินยุคนี้ ไม่ใช่พวกที่มีประสาทที่เคยชินกับความเบา ความอ่อน ความนุ่ม เขากอบโกยสมบัติที่ดีเกินตัวจะใช้ไปเป็นของตนทำนองไก่ได้พลอย แต่ในที่นี้พลอยที่ไก่ได้ไว้ ทำให้ไก่มีหน้ามีตาสูงขึ้น รุ้งระลึกถึงคำพูดของน้าสะอาดที่ว่าเงินเดือน ๓๐ บาทจะเป็นเครื่องวัดความสามารถของเขาด้อยกว่าเพื่อนฝูง แต่สมทรงยังพูดตรงความจริงยิ่งขึ้น เมื่อกล่าวว่าได้มาสตางค์เดียวดีกว่าไม่ได้เลย

เดี๋ยวนี้ไม่มีอะไรเลยที่รุ้งจะยึดถือได้ว่าตนเป็นคนสามารถ แม้แต่จะนึกว่าเขาเป็นคนในระดับเดียวกับผ่อง ก็มิอาจจะนึกได้โดยมีความมั่นใจ ทุกๆ สิ่งที่เขาประสบจะเตือนให้รู้สึกนึกตัวว่าต่ำต้อยกว่าเพื่อนฝูง สสารวัตถุทั้งปวงรุมกันบอกเขาว่า มนุษย์จะได้รับความนับถือเพียงใด ก็สุดแต่จำนวนทรัพย์ของผู้นั้น คนจนก็คือคนไร้ความสามารถ โลกได้รับนับถือมานานวันแล้วว่ามาตราความสามารถก็คือ เงิน

 

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ