- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๑๒
ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงระตูจรกานาถา |
ตั้งแต่ให้ราชสารา | ไปกล่าวบุษบาได้ดังใจ |
พระยิ่งชื่นชมโสมนัส | ในจิตประดิพัทธ์พิสมัย |
มีแต่เปรมปริ่มกระหยิ่มใจ | ดังได้เสวยสวรรค์ชั้นฟ้า |
เวียนคลี่กระดาษวาดรูปนาง | ประทับกับทรวงพลางทางหวนหา |
ปานนี้พุ่มพวงดวงสุดา | จะคิดคอยพี่ยาทุกนาที |
พี่ก็ให้เร่งรัดจัดงาน | จะยกไปทำการภิเษกศรี |
แต่โหยหวนครวญคะนึงถึงเทวี | ไม่เป็นอันที่จะนิทรา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นรุ่งรังสีรวีวรรณ | พระทรงธรรม์อ่าองค์ทรงภูษา |
ย่างเยื้องยุรยาตรคลาดคลา | ออกมาพระโรงรัตน์ชัชวาล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้น | เสนาดาหาราชฐาน |
ก้มเกล้าประณตบทมาลย์ | ทูลแถลงแจ้งการทันที |
บัดนี้พระผู้ผ่านดาหา | ใช้ข้ามาทูลบทศรี |
ด้วยท้าวกะหมังกุหนิงภูมี | ให้เสนีนำราชสารา |
ไปกล่าวพระบุตรีโฉมยง | ให้องค์พระโอรสา |
สมเด็จพระราชบิดา | ตอบว่าได้ให้แก่ภูวไนย |
นัยว่าไม่ให้ไม่ฟังกัน | จะชิงตุนาหงันให้จงได้ |
ป่านนี้เห็นจะยกพลไกร | มาชิงชัยดาหาธานี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา๑บทที่ ๑
๏ เมื่อนั้น | ระตูจรกาเรืองศรี |
ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี | ดั่งอัคคีจี้จุดดวงใจ |
แผดเสียงสิงหนาทบรรหาร | เหม่มันอหังการหยาบใหญ่ |
จะชิงดวงยิหวาของกูไป | ดีแล้วจะได้เห็นกัน |
จึงตรัสสั่งดะหมังมนตรี | เร่งตรวจเตรียมโยธีทัพขันธ์ |
ม้ารถคชไกรครบครัน | ให้ทันจะยกยาตรา |
ตำมะหงงจงเร่งรีบไป | ทูลไทธิเบศร์เชษฐา |
ให้กรีธาทัพใหญ่ไคลคลา | ไปช่วยเข่นฆ่าไพรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสองเสนาบดีศรี |
รับสั่งแล้วรีบจรลี | มาตรวจเตรียมโยธีรี้พล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจาบทที่ ๒
ยานี
๏ กรมช้างผูกช้างชนะงา | กรมม้าผูกม้าโกลาหล |
เหล่าทหารจัดแจงแต่งตน | แต่ละคนแข็งขันเคยพันตู |
มาเข้ากระบวนทัพคับคั่ง | ซ้ายขวาหน้าหลังเป็นหมวดหมู่ |
ถือเสน่าเกาทัณฑ์ทวนธนู | โล่เขนหอกคู่ปืนไฟ |
พร้อมพรั่งตั้งพยุหโยธา | ดาษดาดังสายน้ำไหล |
ตำมะหงงเสนานั้นรีบไป | ยังกรุงไกรล่าสำธานี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ระตูจรกาเรืองศรี |
ครั้นใกล้พิชัยฤกษ์ดี | ก็จรลีมาสรงคงคา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ขัดสีสารพางค์สำอางองค์ | บรรจงทรงสุคนธ์โอ่อ่า |
ผัดพักตร์ลูบไล้ไปมา | ให้กลบผิวพักตราพระภูมี |
ใส่สนับเพลาทรงภูษา | งามวิจิตรรจนาระบายสี |
ฉลององค์ทรงกระสันอินทรีย์ | ซึ่งพ่วงพีให้เห็นเป็นทรวดทรง |
ห้อยหน้าผ้าทิพย์ขลิบสุวรรณ | ทับทรวงดวงกุดั่นดอกตันหยง |
ทองกรกาบกิ่งยิ่งยง | ธำมรงค์ร่วงรุ้งพาหุรัด |
ทรงชฎาเดินหนกุณฑลทอง | เรืองรองดอกไม้ไหวสะบัด |
ห้อยอุบะบรรจงทรงทัด | พระหัตถ์กุมกริชแล้วจรจรัล ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ เสด็จขึ้นทรงคอคชสาร | สอดชนักหน่วงพานผูกมั่น |
ได้ฤกษ์ยิงปืนเป็นสำคัญ | ให้เคลื่อนพลขันธ์มิทันนาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
โทน
๏ ช้างเอยช้างต้น | ชาญชนชนะงากล้าหาญ |
ใหญ่หลวงพ่วงพีพ้นประมาณ | เคยเป็นคชาธารที่นั่งทรง |
ทนปืนยืนสู้ศึกใหญ่ | เข้าไหนไล่ลุยเป็นผุยผง |
สำเนียงโกญจนาทอาจอง | งางอนดังจะส่งสอยดาว |
ผูกเครื่องเรืองรัตน์รายอร่าม | ห้อยหูพู่จามรีขาว |
ปกตระพองกรองแก้วแพร้วพราว | กระวิลวาวชนักถักทอง |
เครื่องสูงชุมสายรายเรียง | แซ่เสียงประโคมครึกกึกก้อง |
ช้างม้ารนร่านทะยานร้อง | ยกกองทัพรีบคลาไคล ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ เดินทางทั้งทิวาราตรี | หมายจะล้างไพรีให้ตักษัย |
รีบเร่งบทจรไม่นอนใจ | ถึงพิชัยดาหาธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ไสยาสน์ในราษราตรี | แสนทวีเทวษในวิญญาณ์ |
ม่อยหลับแล้วกลับผวาตื่น | คิดแต่จะคืนไปหมันหยา |
ปานนี้โฉมงานสามสุดา | จะละห้อยคอยท่าทุกคืนวัน |
เวลาดึกเดือนตกนกร้อง | ระวังไพรไก่ก้องกระชั้นขัน |
เสียงดุเหว่าเร้าเรียกหากัน | ฟังหวั่นว่าเสียงทรามวัย |
พระลุกขึ้นเหลือบแลชะแง้หา | เจ้าตามมาร้องเรียกหรือไฉน |
ลมชวยรวยรสสุมาลัย | หอมเหมือนกลิ่นสไบบังอร |
ยิ่งเคลิ้มคลุ้มกลุ้มจิตพิศวง | ทอดองค์ลงกับบรรจถรณ์ |
กลิ้งกลับสับสนทุรนร้อน | กรตระกองกอดหมอนถอนฤทัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๓
ร่าย
๏ ครั้นรุ่งรางสว่างเวหน | สุริยนแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล |
จึงอ่าองค์ทรงเครื่องอำไพ | ภูวไนยออกหน้าพลับพลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ได้ยินเสียงแตรสังข์ฆ้องกลอง | ครั่นครึกกึกก้องมาหนักหนา |
จึงดำรัสตรัสสั่งปูนตา | จงให้โยธาไปถามดู |
ใครยกทัพมาแต่เมืองไหน | เหตุใดจึงช้าล่าอยู่ |
หรือพวกอริราชศัตรู | จะมาพันตูต่อตี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงประณตบทศรี |
ออกมาสั่งกันทันที | ตามมีพระราชบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปะหรัดกะติกาใจกล้า |
คำนับรับคำแล้วอำลา | ขึ้นมาควบขับไปฉับไว ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงถามถ้วนถี่ | ทัพยกมานี้จะไปไหน |
อยู่ยังถิ่นฐานบ้านเมืองใด | คือใครเป็นจอมจัตุรงค์ |
ระเด่นมนตรีตรัสใช้ | มาถามไถ่ให้แจ้งโดยประสงค์ |
จงบอกเนื้อความตามตรง | จะได้ทูลองค์พระทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นายหมวดขุนพลคนขยัน |
จึงตอบคดีที่ถามนั้น | พระผู้ผ่านเขตขัณฑ์จรกา |
รู้ข่าวว่าท้าวกะหมังกุหนิง | มารบชิงพระบุตรีดาหา |
จึงเตรียมทัพสรรพเสร็จเสด็จมา | หวังว่าจะช่วยชิงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๔
๏ บัดนั้น | ปะหรัดกะติกาอัชฌาสัย |
ได้ฟังจะแจ้งไม่แคลงใจ | ก็เร่งรีบกลับไปไม่รอรั้ง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงตรงไปหา | ปูนตาพี่เลี้ยงผู้รับสั่ง |
แล้วแถลงแจ้งความให้ฟัง | โดยดังคดีทุกประการ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ปูนตาฟังคำว่าขาน |
มายังพลับพลาพลันมิทันนาน | กราบกรานแล้วทูลพระทรงธรรม์ |
ว่าทัพนี้คือท้าวจรกา | ซึ่งมาขอพระธิดาตุนาหงัน |
แจ้งว่าปัจจามิตรติดพัน | จึงมาช่วยป้องกันเวียงชัย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประสันตาได้ฟังไม่นิ่งได้ |
จึงว่าเราลำบากยากใจ | สู้ทนปืนไฟแทบตาย |
ท่านมาชุบมือเอาสรรพ | นั่งกินสำรับเล่นง่ายง่าย |
เมื่อมีชัยท่านได้พลอยสบาย | แม้นแพ้ก็จะตายแต่พวกเรา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๕
๏ เมื่อนั้น | พระผู้เฉิดโฉมยงองค์อิเหนา |
จึงว่าอย่าพูดมากปากเบา | ใครเขาได้ยินจะนินทา |
ตรัสพลางทางเรียกอัสดร | เห็นทินกรเรืองแรงแสงกล้า |
จะเข้าไปถวายบังคมลา | สั่งเสร็จเสด็จมาอ่าองค์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ทรงสุคนธ์รวยรินกลิ่นเกลา | สนับเพลาเชิงกระหนกวิหคหงส์ |
ภูษิตวิจิตรบรรจงทรง | ฉลององค์ดุนกุดั่นรังแตน |
อินทรธนูติดต้นพระพาหา | ริ้วทองปัตหล่าปลายแขน |
ผ้าทิพขลิบริมทับทิมแทน | ชายไหวหัวแหวนสังวาลวาว |
ตาบประดับทับทรวงสายสร้อย | เฟื่องห้อยพลอยแดงเขียวขาว |
ทองกรวิเชียรช่วงดังดวงดาว | ธำมรงค์เพชรพราวไปทุกนิ้ว |
ทรงมงกุฎกรรเจียกจอนจำรัส | ผัดพักตร์นวลละอองผ่องผิว |
ห้อยอุบะลมชายปลายปลิว | ดูดังจะเลื่อนลิ่วลอยฟ้า ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ พระหัตถ์กุมกริชฤทธิรอน | กรายกรอ่อนระทวยทั้งซ้ายขวา |
ลงจากที่ประทับพลับพลา | เสด็จมาขึ้นทรงพาชี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
โทน
๏ ม้าเอยม้าต้น | ผ่านดำขำขนสลับสี |
สูงระหงทรงงามพ่วงพี | ท่วงทีขี่ขับเรียบร้อย |
เยื้องอกยกเท้าสอดซ้ำ | ติดพยศย่างย่ำทำถอย |
เปลี่ยนขวามาซ้ายซ้ำรอย | ถูกน้อยซอยเต้นไปตามทาง |
ผูกเครื่องสุวรรณวาวดาวจำหลัก | หมอนกำมะหยี่ปักหักทองขวาง |
สอดส่ายง่องง้ำประจำคาง | พนังข้างอย่างเทศโกลนทอง |
ม้าทหารแห่หน้าสง่างาม | ม้ากิดาหยันตามเป็นแถวถ้อง |
อนุชาขี่ม้าที่นั่งรอง | ม้าพี่เลี้ยงเคียงสองข้างไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๖
ร่าย
๏ บัดนั้น | ประชาชนชายหญิงน้อยใหญ่ |
รู้ว่าจะเสด็จเข้าเวียงชัย | เขม้นใจคอนดูด้วยโกรธา |
คับคั่งนั่งแน่นริมถนน | ผู้ดีปนเข็ญใจก็ไม่ว่า |
ครั้นเห็นพระองค์ทรงม้ามา | ที่แค้นขัดอัธยาก็ลืมไป |
บางตั้งตาพินิจพิศวง | ตะลึงแลรูปทรงหลงใหล |
บ้างบังคมชมโฉมภูวไนย | ความงามกระไรเหมือนเทวา |
บรรดาประชาชาวพระนคร | หญิงชายถวายพรถ้วนหน้า |
ให้ได้ครองกับพระธิดา | ไพร่ฟ้าจะได้พึ่งสืบไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๗
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
ครั้นถึงประเสบันทันใด | ภูวไนยลงจากพาชี |
จึงชวนสังคามาระตา | อนุชามาไปเป็นเพื่อนพี่ |
ตรัสพลางย่างเยื้องจรลี | เสด็จขึ้นยังที่มนเทียรทอง ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคม | องค์บรมกษัตริย์ทั้งสอง |
หฤทัยระทึกตรึกตรอง | ให้ระคายหมางหมองวิญญาณ์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | พระปิ่นภพพิชัยดาหา |
ทั้งประไหมสุหรีศรีโสภา | เห็นอิเหนาเข้ามาบังคมคัล |
ต่างแค้นเคืองขัดไม่ตรัสทัก | มึนเมินพระพักตร์ผินผัน |
ขับแต่สียะตราลูกยานั้น | จงไปอภิวันท์พระพี่ยา |
เราพ้นเป็นเชลยก็เพราะเขา | คุณอยู่แก่เราหนักหนา |
แม้นหาไม่พ่อจะมรณา | เจ้าจะไปเป็นข้าไพรี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๘
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | สียะตราหนึ่งหรัดเรืองศรี |
ลุกแล่นไปพลันทันที | ถึงระเด่นมนตรีก็บังคม ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระสุริย์วงศ์ทรงลักษณ์งามสม |
อุ้มองค์องค์อนุชาเชยชม | แล้วปรารมภ์รำพึงคะนึงใน |
แต่กุมารยังงามถึงเพียงนี้ | ถ้าบุตรีจะงามสักเพียงไหน |
ชมพลางทางชำเลืองแลไป | ดูทีท้าวไทเห็นโกรธา |
ยิ่งคิดครั่นคร้ามขามเขิน | ทั้งกลัวทั้งสะเทินเมินหน้า |
ม่อยเมียงเคียงแอบอนุชา | มิได้จำนรรจาพาที ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์ประไหมสุหรี |
จึงมีพจนารถเสาวนีย์ | สงครามครั้งนี้ไม่ควรเป็น |
เพราะลูกเจ้ากรรมทำแค้นขัด | จนวิบัติบ้านเมืองได้เคืองเข็ญ |
ทั้งทุกข์ทั้งอายไม่วายเว้น | เลือดตาจะกระเด็นอยู่เป็นนิจ |
มันช่างอาภัพอัปลักษณ์ | ไม่ได้พึ่งพำนักแต่สักหนิด |
ให้ซ้ำเสียวงศาสุราฤทธิ์ | เจ็บช้ำน้ำจิตเป็นพ้นไป |
นี่หากว่ามีนัดดา | ได้เป็นที่พึ่งพาอาศัย |
สังหารศัตรูกู้เวียงชัย | ภักดีมีใจช่วยเจ็บแค้น |
จึงมิได้เป็นเมืองขึ้นเขา | บุญคุณของเจ้าเป็นเหลือแสน |
ไม่มีของต้องใจจะตอบแทน | ถ้าแม้นบุษบาธิดาเรา |
ยังมิได้ให้แก่จรกา | จะยกให้เป็นข้าของเจ้า |
นึกว่าวิบากกรรมทำเนา | ลูกคนหนึ่งเราไม่เสียดาย ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองฉาย |
ได้ฟังเสาวนีย์อภิปราย | ให้ระคายระคางหมางใจ |
กราบบาทบังคมแล้วก้มหน้า | จะสนองพจนาก็หาไม่ |
ในอกร้อนรุมดังสุมไฟ | หฤทัยไหวหวั่นพันทวี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวดาหาเรืองศรี |
จึงตรัสแก่ระเด่นมนตรี | บัดนี้เสร็จศึกสงคราม |
เจ้าสิมีธุระร้อนรน | จะรีบร้นกลับไปเราไม่ห้าม |
หรือจะอยู่ยังนครก่อนก็ตาม | สุดแต่ความคิดของนัดดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อิเหนานบนิ้วเหนือเกศา |
จึงบ่ายเบี่ยงเลี่ยงทูลพระราชา | เมื่อมารีบร้นพลไกร |
เดินทั้งกลางคืนกลางวัน | จะได้พักพลขันธ์นั้นหาไม่ |
จะยับยั้งอยู่ยังเวียงชัย | สักสามวันจึงจะได้บังคมลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระปิ่นปักนัคเรศดาหา |
จึงมีสีหนาทบัญชา | ตรัสสั่งยาสาเสนาใน |
จงแต่งที่ประเสบันอากง | ให้องค์นัดดาอาศัย |
โภชนาสาลีจงส่งไป | กว่าจะได้กลับคืนธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ยาสารับสั่งใส่เกศี |
ก้มเกล้ากราบงามสามที | ไปจัดแจงแต่งที่ดังบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๙
๏ เมื่อนั้น | พระทรงภพลบโลกนาถา |
จึงสั่งสาวสรรค์กัลยา | จงไปบอกบุษบามาบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นวลนางกำนัลสาวศรี |
รับสั่งพระองค์ทรงธรณี | แล้วรีบจรลีลงไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงปราสาทนางโฉมยง | กราบลงแล้วทูลแถลงไข |
องค์ศรีปัตหราบัญชาใช้ | ให้เชิญอรไทเสด็จจร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบาดวงสมร |
ได้แจ้งรับสั่งพระบิดร | บังอรถวิลจินดา |
อิเหนากุเรปันมาเฝ้า | จะให้เราไปไหว้กระมังหนา |
คิดแล้วก็เข้าที่ไสยา | มิได้จำนรรจาประการใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงผู้มีอัชฌาสัย |
จึงชวนกันโลมเล้าเอาใจ | แม่มาเป็นใดดังนี้ |
พระบิดาให้หาขึ้นไปเฝ้า | เหตุผลหนักเบาไม่รู้ที่ |
ไปฟังดูให้รู้ว่าร้ายดี | ทูลเท่าไรเทวีไม่ลีลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๑๐
๏ เมื่อนั้น | องค์มะเดหวีเสนหา |
แต่คอยคอยอะหนะบุษบา | ไม่เห็นขึ้นมาช้าไป |
พรั่นจิตคิดกลัวสองกษัตริย์ | จะเคืองขัดวิญญาณ์อัชฌาสัย |
จึงยุรยาตราคลาไคล | ลงไปปราสาทพระบุตรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เผยม่านสุวรรณซึ่งกั้นกาง | เห็นนางบรรทมอยู่ในที่ |
พี่เลี้ยงโลมไล้ไม่ไยดี | มะเดหวีจึงเข้าไปว่าวอน |
พระบิตุเรศคอยท่าอยู่ช้านาน | เยาวมาลย์แม่จงขึ้นไปก่อน |
จะปลอบปลุกเท่าไรก็นิ่งนอน | จึงอุ้มองค์บังอรจากไสยา |
แล้วเอาสุคนธามาทรงให้ | อรไทกวดเกล้าเกศา |
พี่เลี้ยงทั้งสี่ก็ปรีดา | ช่วยแต่งกายาให้ทรามวัย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๑๑
ชมตลาด
๏ ให้ทรงภูษายกพื้นตอง | ห่มสไบตาดทองผ่องใส |
สองสีทับทิมซับใน | แล้วใส่สร้อยสะอิ้งสังวาลทรง |
ตาบประดับดอกดวงพวงเพชร | ทองกรแก้วกาบเก็จก่องก่ง |
เข็มขัดรัดรอบเอวองค์ | ธำมรงค์เพชรเรืองรูจี |
ทรงปรัดผัดพักตร์ปลั่งเปล่ง | ดังบุหลันวันเพ็งผ่องศรี |
ทรงมงกุฎสำหรับพระบุตรี | เสร็จแล้วเทวีไม่ลีลา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ องค์มะเดหวีจึงว่าไป | จิตใจกระด้างหนักหนา |
ว่าพลางผลักไสให้ไคลคลา | ขึ้นมายังปราสาทพระทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบาสาวสวรรค์ |
ทรุดองค์ลงแฝงม่านสุวรรณ | สะเทินจิตบิดผันไม่ออกไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
จึงตรัสแก่ธิดายาใจ | หามาจะให้ไหว้พี่ยา |
จะได้รู้จักไว้ว่าพี่น้อง | เกลือกมีเหตุเภทพ้องไปภายหน้า |
ยากจนจะได้พึ่งพา | มิใช่จรกาจะอายไย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บุษบาแค้นขัดอัชฌาสัย |
สะบัดพักตร์ผินผันเสียทันใด | ไม่ออกไปตามคำพระมารดา |
นางนั่งนิ่งแฝงม่านอยู่ | คิดละอายอดสูหนักหนา |
ชนนีซ้ำเตือนให้เคลื่อนคลา | ก็ผูกคิ้วนิ่วหน้าไม่พาที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มะเดหวี |
จึงตรัสปลอบบุษบานารี | มารศรีอย่าประหวั่นพรั่นใจ |
ไปเถิดจงฟังแม่ว่า | พี่ยาจะติโทษได้ |
ปลอบพลางผลักไสให้ออกไป | บุษบาก็ไม่ไคลคลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๑๒
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพดาหา |
จึงว่าเจ้าจงไปวันทา | จะละอายเชษฐาไปว่าไร |
หาบุญไม่มิได้เลี้ยงกันแล้ว | ลูกแก้วอย่าพรั่นหวั่นไหว |
แต่จะให้รู้จักกันไว้ | ด้วยได้มาร่วมเรียงวงศ์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บุษบาแน่งน้อยนวลหง |
กลัวพระบิตุเรศฤทธิรงค์ | ก็เผยม่านคลานตรงออกมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลี | พระชนกชนนีนาถา |
ให้ขามเขินสะเทินวิญญาณ์ | ก้มหน้านิ่งอยู่ไม่ดูไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สังคามาระตาอัชฌาสัย |
ค่อยกระซิบทูลองค์พระทรงชัย | เป็นไฉนไม่ดูกัลยา |
อันนางโฉมยงค์องค์นี้ | เลิศล้ำนารีในแหล่งหล้า |
นวลละอองผ่องพักตร์โสภา | เพียงจันทราทรงกลดหมดราคี |
งามดั่งโกสุมปทุมมาลย์ | บานอยู่ในท้องสระศรี |
แต่พร่ำทูลระเด่นมนตรี | ภูมีฮึดให้ไม่แลไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระพี่เลี้ยงกำนัลน้อยใหญ่ |
ทั้งเหล่าท้าวนางข้างใน | ต่างไปชิงช่องมองดู |
ชมโฉมระเด่นมนตรี | ไม่มีผู้ใดจะควรคู่ |
เปรียบกับพระบุตรีโฉมตรู | งามดูดั่งแก้วกับสุวรรณ |
บ้างว่าเหมือนอสัญแดหวา | กับนางเทพธิดากระยาหงัน |
บ้างว่าเหมือนสุริยากับพระจันทร์ | ถ้าได้ครองกันจะสมควร |
สมทั้งรูปทรงแลยศศักดิ์ | เสียดายนักพระมาคิดหักหวน |
ต่างคนก็ต่างรัญจวน | คร่ำครวญไปทุกหน้านารี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๑๓
๏ บัดนั้น | นวลนางบาหนันสาวศรี |
จึงห้ามฝูงกำนัลไปทันที | อย่าพูดเล่นเช่นนี้ไม่ชอบกล |
เจ้าเราหรือจะควรเป็นคู่เคียง | ถึงจะเลี้ยงก็ไม่เป็นผล |
ต่ำศักดิ์แล้วอย่าชักเข้ามาปน | ฝูงชนเขาจะเย้ยไยไพ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๑๔
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
จึงว่าเขามาช่วยชิงชัย | จึงพ้นภัยไม่เสียพารา |
เจ้าก็มีคู่ผู้อื่นแล้ว | จะอายไยลูกแก้วเสนหา |
เป็นพี่แล้วก็มีคุณมา | จงวันทาเสียเถิดนะบังอร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบาดวงสมร |
ฟังพระมารดาว่าวอน | ให้กลัดกลุ้มรุ่มร้อนฤทัย |
ยิ่งคิดความหลังคั่งแค้นนัก | นงลักษณ์มิใคร่จะไหว้ได้ |
จำเป็นด้วยกลัวก็จนใจ | จำไหว้นิดหนึ่งพอเป็นที ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
เหลียวไปรับไหว้เทวี | ภูมีดูนางไม่วางตา |
งามจริงยิ่งเทพนิมิต | ให้คิดเสียดายเป็นหนักหนา |
เสโทไหลหลั่งทั้งกายา | สะบัดปลายเกศาเนืองไป |
กรกอดอนุชาก็ตกลง | จะรู้สึกพระองค์ก็หาไม่ |
แต่เวียนจูบสียะตรายาใจ | สำคัญพระทัยว่าเทวี |
ความรักรุมจิตพิศวง | จนลืมองค์ลืมอายนางโฉมศรี |
ไม่เป็นอารมณ์สมประดี | ภูมีหลงขับขึ้นฉับพลัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
พัดชา
๏ เจ้าเอยเจ้าดวงยิหวา | ดั่งหยาดฟ้ามาแต่กระยาหงัน |
ได้เห็นโฉมฉายเสียดายครัน | ฉุกใจไม่ทันคิดเอย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ สังคามาระตาโฉมเฉลา | ค่อยสั่นพระเพลาพลางสะกิด |
หยิกเอาบาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์ | ภูวไนยได้คิดก็นิ่งไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บุษบาเยาวยอดพิสมัย |
ถวามบังคมลาคลาไคล | คลานเข้าไปในม่านทอง |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรียิ่งหม่นหมอง |
แลตามทรามวัยด้วยใจปอง | พลางร้องครวญขับขึ้นฉับไว ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ลีลากระทุ่ม
๏ เจ้าดวงยิหวาพี่ | เจ้าจะจรลีไปไหน |
พี่จะอุ้มไปส่งนะดวงใจ | ภูวไนยก็เคลื่อนองค์ เอย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ สังคามาระตาลอบสะกิด | เห็นทรงฤทธิ์เคลิ้มคลั่งกำลังหลง |
จึงยึดข้อพระบาทไว้มั่นคง | พระรู้องค์ได้คิดก็คืนมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงบอกองค์ขนิษฐา |
เท้าพี่นี้เป็นเหน็บชา | จะกลับกายาอย่ายึดไว้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ฝูงนางกำนัลน้อยใหญ่ |
เห็นอิเหนากุเรปันฟั่นเฟือนไป | นางในสรวลแล้วก็บอกกัน |
เมื่อกี้พระขับชมนาง | ได้ยินบ้างหรือไม่นะสาวสวรรค์ |
พระจริตก็ผิดไปทุกอัน | พระพักตร์นั้นก็ซีดสลดไป |
พระกรกอดพระกุมารก็เลื่อนลง | เสโทโซมองค์ลงหลั่งไหล |
ดูทีทำนองจะต้องใจ | จึงเคลิ้มไคล้ไม่เป็นสมประดี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๑๕
๏ เมื่อนั้น | ระตูจรกาเรืองศรี |
ครั้นมาถึงดาหาธานี | เสด็จทรงพาชีคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ รีบจะไปเฝ้าพระราชา | พอพบเสนาผู้ใหญ่ |
จึ่งว่าท่านจงทูลภูวไนย | ว่าเราจะเข้าไปบังคมคัล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงเสนาคนขยัน |
รับสั่งแล้วรีบจรจรัล | มายังพระโรงคัลทันที |
บังคมก้มเกล้ากราบทูล | พระผู้ผ่านไอศูรย์เรืองศรี |
บัดนี้จรกาธิบดี | จะมาเฝ้าธุลีพระบาทา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพดาหา |
จึ่งบรรหารให้หาจรกา | เข้ามายังท้องพระโรงชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่ |
รับสั่งบังคมภูวไนย | แล้วรีบออกไปทันที |
จึ่งแถลงแจ้งความตามกิจจา | ว่าพระปิ่นดาหากรุงศรี |
ให้มาเชิญเสด็จจรลี | เข้าไปยังที่พระโรงคัล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | จรกาได้ฟังเกษมสันต์ |
ลงจากอาชาฉับพลัน | แล้วเสด็จจรจรัลเข้ามา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีคิดริษยา |
แต่ได้ยินออกชื่อจรกา | ดังเอาไฟฟ้ามาจุดใจ |
ครั้นจะอยู่จนระตูเข้ามาเฝ้า | จะแลดูหน้าเขากระไรได้ |
จึ่งบังคมลาคลาไคล | ออกไปจากพระโรงรูจี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ กับสังคามาระตาลีลาศ | เสด็จมาโดยราชวิถี |
พอพบจรกาธิบดี | ยังที่หน้าพระลานโอฬาร์ |
ระตูทรุดนั่งลงบังคม | พระก้มองค์ลงรับหัตถา |
พลางขยับจับกริชฤทธา | อนุชาก็ยึดพระกรไว้ |
สะดุ้งจิตคิดได้แล้วเดินหนี | แกล้งกล่าววาทีแก้ไข |
กริชเคลื่อนจะเลื่อนตกไป | พี่จึงกุมไว้นะน้องรัก |
ตรัสพลางย่างเยื้องยุรยาตร | แสนสวาทวิตกเพียงอกหัก |
คะนึงถึงโฉมยงนงลักษณ์ | ตรงมายังตำหนักห้องใน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
พญาโศก
๏ ทอดองค์ลงกับที่บรรจถรณ์ | จะเปลื้องเครื่องอาภรณ์ก็หาไม่ |
ให้ระทวยระทดสลดใจ | แต่ตริตรึกนึกในไปมา |
โอ้ว่าโฉมเฉลาเยาวลักษณ์ | เสียดายศักดิ์อสัญแดหวา |
จะระคนปนศักดิ์จรกา | อนิจจาที่จะทำประการใด |
จะคิดไฉนดีนะอกเอ๋ย | จะได้เชยชมชิดพิสมัย |
พระเร่งร้อนร่านทะยานใจ | ดังเพลิงกาฬผลาญไหม้ทั้งกายา |
ฉุกใจได้คิดสิการแล้ว | ดังดวงแก้วตกต้องแผ่นผา |
ร้าวระยำช้ำจิตเจ็บอุรา | ประหนึ่งว่าจะวายชีวี |
แน่นอนถอนฤทัยใหลหลง | ถึงองค์บุษบายาหยี |
ลืมสามสุดานารี | ภูมีสร้อยเศร้าโศกาลัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายระตูจรกาอัชฌาสัย |
ครั้นถึงที่เฝ้าท้าวไท | ก็เข้าไปอภิวาทวันทา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพดาหา |
ทั้งสองมเหสีโสภา | เห็นระตูเข้ามาบังคมคัล |
พิศดูรูปร่างเหมือนอย่างไพร่ | เติบใหญ่กำยำล่ำสัน |
น่าชังชั่วช้าสารพัน | ไม่ควรคู่กันกับบุตรี |
สามกษัตริย์เศร้าเสียพระทัยนัก | เสียดายลูกรักแลศักดิ์ศรี |
จะผ่อนผันฉันใดก็ใช่ที | จำเป็นจึงมีบัญชา |
เจ้าค่อยอยู่สุขสำราญ | ครอบครองศฤงคารเป็นสุขา |
หรือทุกข์โศกโรคภัยพาธา | แต่คอยคอยเห็นช้าปรารมภ์ใจ ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | จรกากราบทูลแถลงไข |
เดชะพระเดชปกเกศไป | สำราญใจเป็นสุขทุกนิรันดร์ |
ครั้นรู้ข่าวว่าท้าวกะหมังกุหนิง | ยกมาช่วงชิงตุนาหงัน |
ก็กะเกณฑ์กองทัพฉับพลัน | รีบมาสิบห้าวันถึงพารา |
พระเชษฐาจะตามมาภายหลัง | ข้าสั่งเสนีให้คอยท่า |
อันพวกไพรีที่ยกมา | ม้วยชีวาแล้วหรือพระภูมี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ศรีปัตหราเรืองศรี |
จึงตรัสบอกจรกาธิบดี | อันไพรีพ่อลูกนั้นม้วยมิด |
ยังแต่ระตูผู้น้อง | ทั้งสองไม่รอต่อติด |
ขอออกแก่อิเหนาเรืองฤทธิ์ | ปัจจามิตรเลิกทัพกลับไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๑๖
๏ บัดนั้น | ฝูงสนมนารีศรีใส |
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่กำนัลใน | ต่างไปชิงช่องมองเมียง |
ครั้นเห็นจรกาเข้ามาเฝ้า | บรรดาเหล่าชะแม่แซ่เสียง |
บ้างตำหนิติว่าหน้าเพรียง | ดูดำดังเหนียงน่าชังนัก |
ไม่มีทรวดทรงองค์เอวอ้วน | พิศไหนเลวล้วนอัปลักษณ์ |
ใส่ชฎาก็ไม่รับกับพักตร์ | งามบาดตานักขี้คร้านดู |
บ้างว่าเสียงเพราะเสนาะเหลือ | แหบเครือเบื่อฟังรำคาญหู |
รูปร่างอย่างไพร่ใช่ระตู | ไม่ควรเคียงคู่พระบุตรี |
กระนี้หรือช่างมาตุนาหงัน | เห็นเกินหน้าไกลกันทั้งศักดิ์ศรี |
ดังเอาปัดขี้ร้ายราคี | ปนมณีจินดาค่าควรเมือง |
ลางคนว่าระตูจะคู่ครอง | ดั่งเพชรผูกเรือนรองด้วยทองเหลือง |
เหมือนทองคำธรรมชาติรุ่งเรือง | มารู่กับกระเบื้องไม่ควรกัน |
ลางนางบ้างโกรธแล้วพาที | เสียดายพระบุตรีสาวสวรรค์ |
ถ้าได้กับอิเหนากุเรปัน | น่าชมสมกันข้าชอบใจ |
อันระตูผู้นี้บัดสีนัก | จะร่วมเรียงเคียงพักตร์หาควรไม่ |
บ้างห้ามว่าอย่าอื้ออึงไป | บ้างบ่นพิไรไปมา ฯ |
ฯ ๑๖ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๑๗
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพดาหา |
จึ่งมีพระราชบัญชา | ตรัสแก่จรกาทันใด |
เจ้าจงไปคอยเชษฐา | ถึงให้เข้ามาที่อาศัย |
สั่งเสร็จพระเสด็จคลาไคล | เข้าในปราสาทแก้วแพร้วพราย ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองฉาย |
แน่นอนถอนใจไม่รู้วาย | กรก่ายพักตร์นึกตรึกไตร |
ซึ่งทูลไว้ว่าจะอยู่สามวัน | จะผ่อนผันให้นานออกจงได้ |
ด้วยอุบายสายสนกลใน | แล้วลุกไปจากไสยา |
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนี | พรุ่งนี้จงคุมพลอาสา |
ไปกะหมังกุหนิงพารา | ตรวจตราสิ่งของทั้งปวง |
แต่บรรดาพวกเผ่าเหล่าระบาด | จงริบราชกวาดส่งมาเป็นหลวง |
ทั้งเสนาโยธาทุกกระทรวง | ให้เข้าควงรัดรายบาญชีมา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีรับสั่งใส่เกศา |
มากะเกณฑ์กันดั่งบัญชา | แล้วออกจากพารารีบไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงอโณทัย | ภูวไนยสระสรงคงคา |
ทรงเครื่องเรืองจำรัสพรายพรรณ | ลงจากประเสบันที่ข้างหน้า |
ชวนระเด่นสังคามาระตา | ลีลาขึ้นเฝ้าพระภูมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
๏ เมื่อนั้น | ฝ่ายสุหรานากงเรืองศรี |
ทั้งองค์กะหรัดตะปาตี | จรกาธิบดีชาญชัย |
ต่างเข้าที่สรงทรงเครื่อง | เนาวรัตน์จำรัสเรืองแสงใส |
แล้วเสด็จลีลาคลาไคล | เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงหน้าตำหนักที่นั่งเย็น | พบระเด่นมนตรีอยู่ที่นั่น |
สามกษัตริย์ก็ถวายบังคมคัล | แล้วจรจรัลตามเสด็จเข้ามา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึ่งน้อมเศียรเกล้าอภิวาท | เบื้องบาทองค์ศรีปัตหรา |
พร้อมกษัตริย์สามนต์นานา | ต่างถวายวันทาทุกพระองค์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านไอศูรย์สูงส่ง |
ครั้นเห็นสุหรานากง | อีกองค์กะหรัดตะปาตี |
ทั้งกรุงกษัตริย์ถ้วนหน้า | เข้ามาประณตบทศรี |
พระชื่นชมภิรมย์ยินดี | ภูมีอำนวยอวยชัย |
จงจำเริญในราชสมบัติ | เสวยสุขศรีสวัสดิ์ผ่องใส |
ให้มีอานุภาพปราบไป | ทั้งในแผ่นพื้นภูวดล ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ แล้วมีมธุรสพจนา | ชวนสุหรานากงเป็นต้น |
กับกะหรัดตะปาตีสองคน | ธุระร้อนรนเจ้าไม่มี |
จงอยู่ไปใช้บนด้วยกันก่อน | อย่าเพ่อคืนนครทั้งสองศรี |
อันวิลิศมาหราคิรี | แสนสนุกพ้นที่จะพรรณนา |
แล้วสั่งเสนาให้จัดแจง | ตำหนักตำแหน่งที่ข้างหน้า |
ให้แก่สองราชนัดดา | เร่งเร็วอย่าช้าบัดนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กรมวังรับสั่งใส่เกศี |
ไปจัดแจงตำหนักทันที | แล้วเสร็จดังมีพระบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๑๘
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพดาหา |
ให้จัดสรรเครื่องทรงอลงการ์ | เอามาปูนบำเหน็จกองทัพ |
อันระเด่นมนตรีกุเรปัน | เป็นจอมพลขันธ์เคี่ยวขับ |
มีชัยไพรีระยำยับ | กะหมังกุหนิงนายทัพม้วยมุด |
ประทานสังวาลเพชรรัตน์ | จอนจำรัสธำมรงค์มงกุฎ |
สังคามาระตายงยุทธ์ | วิหยาสะกำบุตรบรรลัย |
เครื่องประดับทับทิมทั้งนั้น | สร้อยสุวรรณสังวาลประทานให้ |
อันสุหรานากงทรงชัย | ได้คุมทัพใหญ่ยกมา |
ทั้งระเด่นกะหรัดตะปาตี | ล้วนมีความชอบได้อาสา |
ประทานเครื่องประดับอลังการ์ | มรกตรจนาเหมือนกัน |
พวกพี่เลี้ยงเสนีทั้งสี่กอง | ให้เจียดเงินพานทองเป็นหลั่นหลั่น |
ทั้งเงินตราผ้าเสื้อแพรพรรณ | จัดสรรประทานทั่วทุกตัวนาย ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | แม่ทัพนายกองทั้งหลาย |
ได้ของประทานมากมาย | ต่างถวายประนมบังคมคัล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระผู้ผ่านนคเรศเขตขัณฑ์ |
ครั้นปูนบำเหน็จเสร็จพลัน | ก็จรจรัลเข้าสู่ปราสาทชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
อุ้มองค์สียะตรายาใจ | กลับไปประเสบันมิทันช้า ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึ่งวางเหนือตัก | แสนรักสนิทเสนหา |
แล้วบัญชาสั่งเสนา | เร่งจัดเครื่องเล่นมาทุกสิ่งอัน |
โล่ดั้งดาบเขนหอกคู่ | ง้าวทวนธนูกั้นหยั่น |
กริชกระบี่เสน่าเกาทัณฑ์ | ให้สมกันกับองค์พระกุมาร |
ประสันตาจงพาไปเที่ยวเล่น | ให้เป็นผาสุกเกษมศานต์ |
ผูกม้าให้ทรงจงสำราญ | กิดาหยันบริวารเร่งตามไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ประสันตารับสั่งบังคมไหว้ |
อุ้มองค์สียะตราคลาไคล | เร่งให้ผูกม้าที่นั่งมา |
อันพวกกิดาหยันน้อยน้อย | ก็พลอยเกษมสันต์หรรษา |
พระกุมารขึ้นทรงอาชา | ประสันตาพาเที่ยวเล่นสำราญ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด เจรจาบทที่ ๑๙
๏ บัดนั้น | เสนีตัวนายฝ่ายทหาร |
มาจัดเครื่องเล่นหลายประการ | ใส่พานไปถวายพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตราหนึ่งหรัดเรืองศรี |
ครั้นเห็นเครื่องเล่นก็ยินดี | ลงจากพาชีวิ่งตามมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา |
จึ่งประทานเครื่องเล่นกับสาตรา | แก่พระอนุชาทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตรายินดีจะมีไหน |
กราบลงเหนือตักภูวไนย | หอบอาวุธวิ่งไปฉับพลัน |
จึ่งขี่ประสันตาต่างพาชี | เล่นคลีกับเหล่ากิดาหยัน |
แล้วเล่นยุทธ์ยิงชิงชัยกัน | โห่ร้องนี่นันบันเทิงใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วมาเชยชมพระเชษฐา | จะไปเล่นอยู่ช้าก็หาไม่ |
กลางคืนก็ไม่เข้าไป | บรรทมด้วยท้าวไทที่ในวัง |
ลืมชนกชนนีพี่นาง | ของเล่นต่างต่างมาแต่หลัง |
เวลาเฝ้าเข้าไปแต่ละครั้ง | แล้วกลับมายังพระพี่ยา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเชษฐา |
แสนสนิทพิศวาสอนุชา | ดังดวงนัยนาภูวไนย |
ความถนอมฤทัยเป็นสุดคิด | จะระคายสักนิดก็หาไม่ |
จึ่งอุ้มสียะตรายาใจ | กอดไว้แล้วกระซิบพาที |
จงไปขอชานที่พี่นางเจ้า | ได้แล้วจงเอามาให้พี่ |
เป็นเจ้าขอเองดังทุกที | อย่าออกชื่อพี่นี้นะน้องรัก ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตรารับสั่งพระทรงศักดิ์ |
วิ่งวางมายังที่สำนัก | ตำหนักพี่นางนงคราญ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงนอนลงเหนือเพลา | คลึงเคล้าเย้าหยอกเกษมศานต์ |
แล้วบังคมทูลขอชาน | จงประทานให้น้องบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบามารศรี |
ไม่รู้กลอนุชาพาที | เทวีคายชานให้ทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตราจึ่งทูลแถลงไข |
ว่าชานเก่าจืดไม่ชอบใจ | พี่นางจงได้เมตตา |
เคี้ยวประทานชานอื่นให้น้องใหม่ | เอาเครื่องหอมใส่ให้หนักหนา |
ว่าพลางทางหยิบเอาหมากมา | ป้อนระเด่นบุษบาฉับพลัน |
แล้วรับชานหมากจากพี่นาง | วิ่งวางออกไปขมีขมัน |
บาหยันฉวยได้พระองค์พลัน | พระกำชานสลานั้นซ่อนไว้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | บาหยันผู้มีอัชฌาสัย |
ทูลว่าไม่เสวยนี้ว่าไร | จะกำชานไปไหนจงบอกพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระกุมารจึงตอบบาหยัน |
ชานใหม่ยังสดพึ่งสบกัน | ข้ากลัวจะยันจึ่งกำไว้ |
จะให้เย็นเสียก่อนจึ่งจะกิน | ว่าพลางทางดิ้นเข้าผลักไส |
ทำไมมายึดข้าไว้ | เขาจะไปเที่ยวเล่นก็จัณฑาล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | บาหยันยิ้มแล้วจึงว่าขาน |
แม้นจะใคร่ไปเที่ยวให้สำราญ | เสวยชานเสียก่อนจึ่งคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียาตราแค้นขัดอัชฌาสัย |
สะบัดพลัดมือก็วิ่งไป | บาหยันแล่นไล่มาไม่ทัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงประเสบันอากง | วิ่งตรงเข้ามาขมีขมัน |
เอาชานซ่อนป้อนให้พี่ยาพลัน | แล้วทูลเอาบาหยันทุกประการ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเกษมศานต์ |
กอดประทับรับขวัญพระกุมาร | แสนสำราญภิรมย์ชมเชย |
พาไปให้บรรทมบนแท่นทอง | เอนแอบแนบประองเคียงเขนย |
เสสรวลชวนพลอดกอดก่ายเกย | พระชื่นเชยชมต่างนางบุษบา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ชมโฉม
๏ ครั้นพระกุมารหลับสนิท | พระโอบอุ้มจุมพิตขนิษฐา |
โลมเล้าลูบไล้ไปมา | สำคัญว่าบุษบานารี |
พิศพักตร์พักตร์ผ่องดังเดือนฉาย | พิศทรงทรงคล้ายนางโฉมศรี |
พิศปรางเหมือนปรางพระบุตรี | รัศมีสีเนื้อละกลกัน |
ทั้งโอษฐ์องค์ขนงเนตรนาสา | ละม้ายแม้นบุษบาทุกสิ่งสรรพ์ |
พระกอดจูบลูบไล้เกี่ยวพัน | จนบรรทมหลับสนิทไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
ร่าย
๏ ครั้นรุ่งรางสว่างเวหน | สุริยาแจ่มแจ้งแสงใส |
จึงตรัสสั่งสียะตรายาใจ | ไปขอชานมาให้เหมือนวานนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตราหนึ่งหรัดเรืองศรี |
ลุกแล่นจากแท่นมณี | ครั้นมาใกล้ถึงที่ก็ลีลา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เข้าไปเคารพอภิวาท | ทำสนิทพิศวาสเป็นหนักหนา |
สำรวลสรวลเล่นเจรจา | แล้วพระอนุชาก็ขอชาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บุษบาเยาวยอดสงสาร |
คลางแคลงแหนงใจพระกุมาร | คายชานทิ้งเสียมิได้ช้า ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตราโกรธกริ้วเป็นหนักหนา |
กลิ้งเกลือกเสือกซบโศกา | เอาชานมาจะกินบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | โฉมยงองค์มะเดหวี |
จึงตรัสแก่บุษบาเทวี | ยังว่าจะมีสิ่งใด |
แต่ชานหมากจะทิ้งเสียเปล่า | น้องจะเอายังว่าไม่ให้ได้ |
แม้นประไหมสุหรีรู้ไป | จะว่าใจทำได้ถึงเพียงนี้ |
พี่น้องไม่รู้จักรักกัน | ดังเดียดฉันท์ขุ่นข้องหมองศรี |
น้องกะจิ๊ดไม่คิดปรานี | เทวีร่ำไปทุกประการ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บุษบาขัดใจไม่ว่าขาน |
จำเป็นจึงจำเคี้ยวชาน | ให้พระกุมารทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตรายิ้มแย้มแจ่มใส |
รับชานหมากมาจากอรไท | พาวิ่งออกไปประเสบัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เห็นสี่พี่เลี้ยงเฝ้าอยู่ | กับหมู่เสนากิดาหยัน |
โถมเข้ากอดพระศอทรงธรรม์ | มิให้คนทั้งนั้นสงกา |
จึงเอาชานซ่อนป้อนให้ | จูบปรางภูวไนยทั้งซ้ายขวา |
แล้วนั่งเหนือตักพระพี่ยา | ก้มเกล้าวันทาด้วยยินดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระโฉมยงทรงสวัสดิ์รัศมี |
เสนหาพูนเพิ่มพันทวี | ในองค์พระศรีอนุชา |
จึงอุ้มสียะตราพาลีลาศ | ไปปราสาทองค์ศรีปัตหรา |
พบสุหรานากงจรกา | ก็เข้าไปวันทาพร้อมกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้น | องค์ศรีปัตหรารังสรรค์ |
ครั้นเห็นอิเหนากุเรปัน | ทรงธรรม์จึงมีพจมาน |
การศึกก็สำเร็จเสร็จสรรพ | เมื่อไรเจ้าจะกลับไปราชฐาน |
จะยับยั้งอยู่ไยให้เนิ่นนาน | ป่วยการรี้พลสกลไกร ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
ทูลว่าข้าใช้เสนาใน | ให้ไปกะหมังกุหนิงพารา |
จะงดอยู่ท่าเสนาก่อน | พระภูธรจงโปรดเกศา |
เมื่อไรผู้ไปนั้นกลับมา | จึงจะบังคมลาจรลี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูจรกาเรืองศรี |
เห็นพระกุมารก็ยินดี | ภูมีจึงพยักเรียกไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตราจะไปก็หาไม่ |
ต่อพระเชษฐาให้คลาไคล | จึงไปบังคมคัลวันทา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูเกษมสันต์หรรษา |
จึงโอบอุ้มองค์กุมารา | พิศเพียนไปมาน่าชม |
ดวงพักตร์ลักขณาราศี | ถ้าเป็นกุมารีจะงามสม |
กล้องแกล้งแน่งน้อยเพราคม | แต่กอดจูบลูบชมไปมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อิเหนาแค้นขัดสหัสสา |
พิศเพ่งเขม็งนัยนา | ให้สบเนตรสียะตราผู้ร่วมใจ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตรารู้แจ้งอัชฌาสัย |
จึงกลับมากอดเชษฐาไว้ | เห็นพระเมินพักตร์ไปก็โศกา |
แต่แรกเรียกน้องก็ไม่จร | ภูธรขืนขับให้ไปหา |
แล้วพระมากริ้วโกรธา | โทษาน้องผิดสิ่งใด ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
ปิดโอษฐ์สียะตราหนึ่งหรัดไว้ | ปลอบว่าดวงใจอย่างจาบัลย์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๒๐
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ผู้ทรงเขตขัณฑ์ |
จึงถามอิเหนากุเรปัน | ว่าไรนั้นให้น้องร่ำไร ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีก็แก้ไข |
ทูลว่าวอนขี่อาชาไนย | รบจะให้พาไปบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวดาหาเรืองศรี |
จึงตรัสแก่ระเด่นมนตรี | จงพาน้องไปขี่ให้สำราญ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อิเหนาคำนับรับบรรหาร |
อุ้มองค์สียะตรากุมาร | ออกจากราชฐานมิทันช้า ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงโลมเล้าเอาใจพระน้องรัก | อย่าร้องไห้ไปนักฟังพี่ว่า |
ทีนี้จะไปหาจรกา | เขาจะจูบเจ้าอย่าตามใจ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ฝ่ายมหาเสนีผู้ใหญ่ |
ซึ่งไปกะหมังกุหนิงกรุงไกร | กลับคืนมาพิชัยธานี |
พอพบดะหมังทั้งสองเมือง | คุมเครื่องบรรณาการสองกรุงศรี |
ซึ่งขอขึ้นแก่ระเด่นมนตรี | มาถึงบุรีพร้อมกัน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ต่างคนเข้าไปอภิวาท | ถวายของระบาดทุกสิ่งสรรพ์ |
กับโอรสธิดาลาวัณย์ | อีกเครื่องราชบรรณาการ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเกษมศานต์ |
จึงจัดเครื่องอุปโภคศฤงคาร | ล้วนตระการต่างต่างอย่างดี |
สำหรับถวายองค์พระทรงเดช | กับองค์อัคเรศมเหสี |
แล้วสั่งกิดาหยันทันที | จงไปหาเสนีทั้งสี่มา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | กิดาหยันรับสั่งใส่เกศา |
ไปบอกมหาเสนา | แล้วพามาเฝ้าภูวไนย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีจึงปราศรัย |
ตรัสแก่เสนีทั้งสี่ไป | เราจะให้ช่วยนำของนี้ |
ไปถวายแก่องค์พระทรงธรรม์ | เหล่านั้นของประไหมสุหรี |
ท่านทูลผ่อนผันให้จงดี | อย่าให้เคืองธุลีบทมาลย์ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีรับราชบรรหาร |
จึงให้ขนเครื่องบรรณาการ | มาสถานท้องพระโรงรูจี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงกราบบังคมทูล | นเรนทร์สูรสุริย์วงศ์เรืองศรี |
ถวายของระเด่นมนตรี | ให้ทราบธุลีพระบาทา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพดาหา |
จึงมีมธุรสพจนา | อิเหนาเอามาให้เราไย |
แต่ช่วยปราบไพรีแล้วมิหนำ | ยังซ้ำเอาของมาให้ |
ชอบเราจะสนองให้ต้องใจ | จงคืนของไปให้พระนัดดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีรับสั่งใส่เกศา |
จึงให้ขนของคืนมา | ยังตำหนักผ่านฟ้าทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไปเฝ้า | ต่างคนก้มเกล้าบังคมไหว้ |
ทูลแถลงให้แจ้งพระหฤทัย | ตามในบัญชาทุกสิ่งอัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเฉิดฉัน |
จึงตอบเสนีทั้งสี่นั้น | พระทรงธรรม์ไม่รับของนี้ |
จงให้แก่ระเด่นบุษบา | กับองค์สียะตรายาหยี |
ท่านกลับไปทูลพระภูมี | จงเอาของทั้งนี้คืนไป ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสี่เสนาผู้ใหญ่ |
ถวายบังคมลาคลาไคล | ขนของคืนไปดังบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงพระโรงรัตน์รูจี | เสนีกราบงามสามท่า |
ทูลความตามสั่งพระนัดดา | องค์ศรีปัตหราจึงรับไว้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๒๑
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงอโณทัย | ก็เข้าไปเฝ้าองค์พระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาสุริย์วงศ์เรืองศรี |
ครั้นเห็นระเด่นมนตรี | จึงมีพจนารถประภาษมา |
เจ้ามาอยู่ดาหาราชฐาน | หลายทิวาช้านานหนักหนา |
เมื่อไรจะไปพระนัดดา | ทิ้งพาราไว้ไม่ชอบกล ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีก็ขัดสน |
อัดอั้นอาวรณ์ร้อนรน | จะผ่อนปรนคิดอ่านให้นานไป |
แต่บังคมก้มหน้านิ่งอยู่ | เป็นครู่จึงทูลขึ้นได้ |
จะอยู่ไปใช้บนด้วยภูวไนย | กลับมาจึงจะไปพารา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์ทรงพิภพดาหา |
ฟังระเด่นมนตรีทูลมา | พระราชาเข้าใจในทำนอง |
ให้คิดสงสารพระหลานรัก | พิศพักตร์หม่นไหม้มัวหมอง |
ไม่ทัดอุบะดอกไม้กรอง | จึงสั่งนางฉลองพระโอษฐ์ไป |
จงบอกแก่อะหนะบุษบา | เร่งแตระอุบะมาจงได้ |
เราจะให้อิเหนาชาญชัย | แต่ในเวลาเฝ้าวันนี้ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นวลนางกำนัลสาวศรี |
รับสั่งพระองค์ทรงธรณี | แล้วรีบจรลีลงมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | โฉมยงเยาวยอดเสน่หา |
แล้วกราบทูลความตามกิจจา | โดยดังพระบัญชาภูวไนย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บุษบาแค้นขัดอัชฌาสัย |
เข้าที่บรรทมเสียทันใด | ไม่แตระอุบะให้ดังบัญชา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสี่พี่เลี้ยงเสนหา |
จึงโลมเล้าเอาใจพระธิดา | แม่อย่าคิดเคียดรังเกียจการ |
รับสั่งใช้จะไม่ทำถวาย | ดังโฉมฉายแกล้งขัดพระบรรหาร |
จะเคืองข้องละอองบทมาลย์ | ขอประทานตริดูด้วยปรีชา |
เราจงจิตทำให้เมื่อไรเล่า | ใครจะล่วงเข้ามาสอดว่า |
แต่อ้อนวอนปลอบไปมา | กัลยามิได้ไยดี |
นางกำนัลก็เร่งจะให้ทัน | พี่เลี้ยงช่วยกันทั้งสี่ |
แตระอุบะพลางทูลเทวี | มิโปรดเกศีจะมีภัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจาบทที่ ๒๒
๏ เมื่อนั้น | พระปิ่นภพดาหากรุงใหญ่ |
คอยอุบะบุหงาเห็นช้าไป | จึงใช้พระกุมารไปเร่งมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตราหนึ่งหรัดโอรสา |
ก้มเกล้ารับราชบัญชา | แล้ววิ่งวางมาทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเข้าในปราสาท | เห็นอรไทไสยาสน์อยู่บนที่ |
พี่เลี้ยงนั้นแตระมาลี | ขัดใจจึงมีวาจา |
พระพี่นางนี้ขัดรับสั่ง | ไม่ฟังปาปะอะหยีว่า |
ไม่แตระดอกไม้ให้พี่ยา | มานิ่งนิทราอยู่ว่าไร |
ให้แต่พี่เลี้ยงทำนี้ | เห็นดีอยู่แล้วหรือไฉน |
แต่ล้วนรอยมือข้าไท | ไม่ควรจะให้พระภูมี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | นวลนางพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
จึงบังคมคัลอัญชลี | พันปีอย่าทูลภูวไนย |
จะหาของถวายให้หนักหนา | แกะแพะอาชานกไก่ |
แต่อย่าว่าองค์อรไท | อยู่ในแท่นที่ศรีไสยา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตราทำโกรธเป็นหนักหนา |
ไม่ฟังจะทูลพระบิดา | ว่าแล้ววิ่งมาทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคม | กรานก้มกราบทูลแถลงไข |
พวงอุบะบุหงามาลัย | จะใกล้ได้อยู่แล้วบัดนี้ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | จึงพระพี่เลี้ยงทั้งสี่ |
เร่งแตระอุบะมาลี | เสร็จแล้วสาวศรีใส่พานมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ พอพบเสด็จองค์พระทรงธรรม์ | จรจรัลจากพระโรงข้างหน้า |
นวลนางบาหยันกัลยา | ถวายพวงบุหงาพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาจึงว่าแก่สาวศรี |
เราให้แตระอุบะมาลี | ให้ระเด่นมนตรีชาญชัย |
ตั้งแต่แรกนัดดามาเฝ้า | คอยเท่าไรเท่าไรก็ไม่ได้ |
จนอิเหนาก็ลาคลาไคล | จงเอาตามไปให้นัดดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | บาหยันนบนิ้วเหนือเกศา |
กราบบาทบทศรีชลีลา | รีบมาประเสบันทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึงแอบฉากกั้น | เอาพานอุบะนั้นส่งให้ |
ปูนตาถวายภูวไนย | แล้วลอบเข้าไปเมียงมอง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตราปรีชาไวว่อง |
จึงหยิบดอกไม้ในพานทอง | ทูลฉลองว่าอย่าทรงอุบะนี้ |
พระพี่นางจะแตระก็หาไม่ | แกล้งใช้แต่พี่เลี้ยงทั้งสี่ |
น้องจะทูลพระองค์ทรงธรณี | สาวศรีวิงวอนจึงอ่อนใจ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีศรีใส |
โอบอุ้มน้องรักใส่ตักไว้ | พิสมัยในองค์พระกุมาร |
เจ้าดวงยิหวายาใจพี่ | ผู้ใดไม่มีเสมอสมาน |
พลางหยิบอุบะดมมิทันนาน | แล้ววางไว้ในพานสลานั้น ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สียะตราหนึ่งหรัดเฉิดฉัน |
ฉุดพานดอกไม้มาพลัน | จนถึงบาหยันกัลยา |
แล้วพระจึงกล่าวคำไป | ว่าองค์ทรงชัยเชษฐา |
ไม่ทรงอุบะมาลา | ด้วยรอยมือขี้ข้าไม่มีดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | นวลนางบาหยันสาวศรี |
ขัดใจกลัวภัยไม่พาที | ฉวยพานมาลีกลับมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ บัดนั้น | ประสันตาทำทุกข์เป็นหนักหนา |
จึงกราบทูลถามกิจจา | ผ่านฟ้าจะเสด็จไปวันใด |
เห็นแต่เวียนเฝ้าอยู่เช้าค่ำ | ได้ร่ำลาแล้วหรือไฉน |
หรือยังข้องขัดจึงผัดไป | เมื่อไรเล่าจะคืนไปธานี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ได้ฟังคำประสันตาพาที | ภูมีจึงตอบไปทันใด |
ธรรมดาว่าคนปากคัน | ที่จะนิ่งอยู่นั้นไม่ได้ |
จำจะแคะค้อนค่อนว่าไป | ให้เขาขัดใจจึงว่าดี |
ถึงจะอยู่จะไปมิใช่การ | รำคาญเคืองหูอย่าจู้จี้ |
ตรัสพลางย่างเยื้องจรลี | ชวนพระน้องเข้าที่ไสยา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
-
๑. เจรจาแต่บทที่ ๑ ถึง ๖๘ คือคำเจรจาพระราชนิพนธ์ที่พิมพ์ไว้ในสมุดเล่ม ๑ ต่างหาก ขอให้พลิกดูในสมุดเล่มนั้น ↩
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf