เล่มที่ ๒๓

๏ เมื่อนั้น พระองค์ทรงพิภพสบสมัย
จึงสั่งยาสาเสนาใน ธิดาเราตกใจไพรี
ท่านจงจัดแจงแต่งการ จะสมโภชเยาวมาลย์ทั้งสองศรี
สั่งเสร็จเสด็จจรลี เจ้ามายังที่ข้างใน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ บัดนั้น ยาสาเสนาผู้ใหญ่
ออกมาจากท้องพระโรงชัย เร่งบัตรหมายไปดังบัญชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น ฝ่ายเจ้าพนักงานซ้ายขวา
แจกหมายวายวุ่นเป็นโกลา นายไพร่พร้อมหน้าจับเตรียมการ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ยานี

๏ บ้างปลูกโรงราชพิธี ยาวรีมีมุขสี่ด้าน
พรมเจียมปูลาดดาดเพดาน ห้อยพู่ผูกม่านลายสุวรรณ
แว่นเวียนเทียนทองแลบายศรี วางไว้ตามที่ทุกสิ่งสรรพ์
แล้วตั้งเบญจาห้าชั้น ราชวัติฉัตรสุวรรณรจนา
ประชุมเหล่าโหราราชครู พราหมณ์ชีบีกูประมาหนา
พนักงานของใครเร่งไตรตรา เสร็จโดยบัญชาพระภูมี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา

ร่าย

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี
ครั้นแสงทองส่องฟ้าธาตรี ก็เข้าที่สระสรงคงคาลัย
ทรงภูษาซ่าโบะฉลององค์ เครื่องทรงซึ่งได้ประทานใหม่
มาขึ้นอาชาคลาไคล เสด็จไปยังที่พิธีการ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ปันหยีฤทธิไกรใจหาญ
สำอางองค์ทรงเครื่องได้ประทาน ชัชวาลด้วยดวงจินดา
มาทรงอัสดรจรจรัล กิดาหยันโดยเสด็จพร้อมหน้า
พระเร่งกะระตะอาชา เสด็จมาโรงราชพิธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากมโนมัย ไปนั่งใกล้อุณากรรณเรืองศรี
พระหัตถ์ตบเพลาพลันว่าวันนี้ เจ้ากับพี่แต่งตัวดังนัดกัน
อุณากรรณผันพักตร์สะเทินอาย ปันหยียิ้มพริ้มพรายคมสัน
พลางตรัสสนทนาปราศรัยกัน คอยองค์ทรงธรรม์จรลี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ศรีปัตหราเรืองศรี
ครั้นใกล้ฤกษ์พานาที ก็เข้าที่สระสรงคงคา
ทรงสุคนธ์รวยรินกลิ่นเกลา แล้วสอดสนับเพลาภูษา
แต่งเครื่องประดับองค์ทรงชฎา ห้อยอุบะบุหงาปะกัน
พระหัตถ์กุมกริชฤทธิรงค์ ลีลามาทรงอุสงหงัน
เสนาแห่แหนแน่นนันต์ จรจรัลไปโรงพิธี ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงเสด็จยุรยาตร ขึ้นนั่งเหนืออาสน์อันเรืองศรี
พร้อมพระวงศาเสนี ต่างถวายอัญชลีพระราชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายมะเดหวีเสนหา
จึงพาสองราชธิดา เสด็จมายังที่สรงชล ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ให้สระสรงสนานสำราญกาย วารีโปรยปรายดังสายฝน
พี่เลี้ยงเข้าขัดสีนีฤมล แล้วให้ทรงสุคนธ์ปนทอง
ลิกูกับองค์มะเดหวี ผัดพักตร์พระบุตรีทั้งสอง
ให้โฉมยงทรงภูษาพื้นตอง เกี้ยวทองแย่งยกกระหนกใน
เข็มขัดรัดองค์ทรงสะพัก ตาดปักปีกแมงทับสลับไหม
เฟื่องห้อยสร้อยสุวรรณแววไว มะเดหวีช่วยใส่ให้เทวี
ทองกรแก้วกุดั่นบรรจง ธำมรงค์ค่าเมืองเรืองศรี
บรรจงทรงมงกุฎพระบุตรี ห้อยพวงมาลีต่างกัน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น องค์ประไหมสุหรีเฉิดฉัน
จึงพาสองศรีบุตรีนั้น มาทรงวอสุวรรณอำไพ
พร้อมเหล่าเถ้าแก่กำนัลนาง สาวสุรางค์นับร้อยน้อยใหญ่
เสด็จโดยมรคาข้างใน ตรงไปโรงราชพิธี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นถึงจึงประทับวอทอง แล้วนำสองธิดามารศรี
ออกไปเฝ้าองค์พระภูมี ยังที่มณฑลพิธีกรรม์ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉัน
เห็นสการะหนึ่งหรัดแจ่มจันทร์ ผิวพรรณผุดผ่องดังทองทา
ให้แสนประดิพัทธ์ประหวัดจิต ลืมคิดเกรงศรีปัตหรา
ตะลึงแลดูนางไม่วางตา เสนหาอาวรณ์ร้อนใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น พระโหราราชครูผู้ใหญ่
ได้ฤกษ์ก็ลั่นฆ้องชัย เสียงประโคมหวั่นไหวเป็นโกลา
พระบิตุเรศให้สองบังอร ทรงผลัดอาภรณ์ภูษา
แล้วนำนางยุรยาตรคลาดคลา ขึ้นบนเบญจาหน้าพระลาน
พราหมณ์ชีบีกูประมาหนา ถวายอาเศียรพาทสรงสนาน
แล้วอวยชัยให้จำเริญชนมาน เสวยสุขสำราญหฤทัย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบิตุรงค์ทรงภพเป็นใหญ่
ให้อะหนะทั้งสองทรามวัย ผลัดภูษาสไบฉับพลัน
ทรงเครื่องประดับองค์อลงการ์ งามเพียงนางฟ้ากระยาหงัน
ครั้นเสร็จก็พาจรจรัล มานั่งแท่นสุวรรณอันรูจี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น จึงมหาเสนาทั้งสี่
ครั้นได้ฤกษ์งามยามดี ให้ลั่นฆ้องสามทีเป็นสำคัญ
แล้วจุดเทียนเวียนแว่นไปเบื้องขวา รับส่งต่อมาเป็นหลั่นหลั่น
เสียงประโคมดนตรีนี่นัน สังข์แตรแซ่สนั่นเสนาะไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ มหาชัย

๏ ครั้นถ้วนคำรบครบเจ็ดรอบ โดยระบอบบาลีคัมภีร์ไสย
จึงดับเทียนทองทันใด แล้วโบกควันให้พระธิดา
เอาจุณเจิมเฉลิมพักตร์บังอร แซ่ซ้องอวยพรพร้อมหน้า
ให้จำเริญศรีสวัสดิ์วัฒนา ไพร่ฟ้าจะได้พึ่งพระบารมี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น องค์ท้าวกาหลังเรืองศรี
ครั้นเสร็จสมโภชพระบุตรี ภูมีเกษมศานต์สำราญใจ
จึงพาพระธิดาทั้งสององค์ พร้อมฝูงนางอนงค์น้อยใหญ่
เสด็จยุรยาตราคลาไคล เข้าในปราสาทรจนา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณกระหมันวิยาหยา
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็ลีลา กลับไปดาหาปาตี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีสุกาหราเรืองศรี
ครั้นพระองค์ผู้ทรงธรณี พาราชบุตรีเข้าวังใน
ให้ละห้อยสร้อยเศร้าสลดจิต ถอนหฤทัยคิดพิสมัย
พลางเสด็จลีลาคลาไคล มาทรงมโนมัยกลับมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

ช้าปี่

๏ ครั้นถึงห้องสุวรรณบรรจง ไม่ทันเปลื้องเครื่องทรงแลภูษา
ทอดองค์ลงกับที่ไสยา กรก่ายพักตราคำนึงครวญ
รสรักร้อนจิตพิศวาส ภูวนาถเศร้าสร้อยละห้อยหวน
คิดถึงโฉมยงอนงค์นวล ยิ่งรัญจวนจาบัลย์พันทวี
อกเอ๋ยจะแนะนำทำไฉน จึงจะได้เชยชมสมศรี
แม้นมิเกรงพระองค์ทรงธรณี อันจะละเทวีอย่าสงกา
นี่สุดรู้สุดฤทธิ์จะคิดหมาย แสนรักเสียดายดวงยิหวา
เมื่อไรจะได้เห็นพักตรา พอคลายร้อนอุราจาบัลย์

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ จึงคิดได้ว่าวันพรุ่งนี้ พระบุตรีเคยประพาสสะตาหมัน
จะไปก่อนซ่อนอยู่ในสวนนั้น คอยดูสาวสวรรค์กัลยา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ คิดแล้วจึงสั่งกิดาหยัน จงไปยังอุณากรรณวิยาหยา
บอกว่าพรุ่งนี้ให้ไคลคลา ไปชมสวนมาลาเล่นด้วยกัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กิดาหยันรับสั่งแล้วผายผัน
ออกจากติกาหรังวังจันทน์ ไปยังอุณากรรณทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ พอเสด็จออกหมู่กิดาหยัน จึงเข้าไปบังคมคัลแถลงไข
ปันหยีให้มาเชิญคลาไคล ไปชมสวนดอกไม้ในพรุ่งนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี
จึงตอบกิดาหยันทันที ถ้าไม่มีธุระก็จะไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น กิดาหยันครั้นแจ้งก็กราบไหว้
ลาองค์อุณากรรณทันใด กลับไปติกาหรังพระราชา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไปเฝ้า ก้มเกล้าบังคมเหนือเกศา
ทูลตามอุณากรรณว่ามา ให้ทราบบาทาพระภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น จึงองค์มิสาระปันหยี
ชื่นชมโสมนัสยินดี ก็เสด็จเข้าที่บรรทมใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กล่อม

๏ ครั้นรุ่งอรุณรางสร่างแสง สุริยาแจ่มแจ้งจำรัสไข
พระฟื้นองค์สรงสนานสำราญใจ ลูบไล้สุคนธารทา
แล้วทรงเครื่องเรืองรัตน์รูจี สั่งให้ผูกพาชีเตรียมท่า
พระเสด็จนั่งมายังเกยลา ตั้งตาคอยองค์อุณากรรณ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณทรงโฉมเฉิดฉัน
ไสยาสน์เหนืออาสน์พรายพรรณ ให้ผูกพันถวิลจินดา
พรุ่งนี้ปันหยีมาชวนไว้ จำจะไปให้สิ้นกังขา
ครั้นรุ่งรางสว่างเวลา ก็สระสรงคงคาอ่าองค์
ทรงเครื่องเรืองงามอร่ามรัตน์ แล้วทัดอุบะตันหยง
พระหัตถ์กุมกริชฤทธิรงค์ มาทรงอาชาคลาไคล ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ปันหยีผู้มีอัชฌาสัย
เห็นอุณากรรณมาก็ดีใจ ยิ้มแล้วว่าไปด้วยวาจา
เป็นไฉนมิใคร่จะจากบ้าน พี่คอยท่าช้านานนักหนา
ตรัสพลางทางทรงอาชา ต่างกะระตะม้าไปพลัน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงลงจากพาชี จรลีเข้าในสะตาหมัน
พวกพี่เลี้ยงเสนาที่มานั้น ต่างแสนเกษมสันต์สำราญใจ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า

ชมดง

๏ ชี้ชมพุ่มพวงดวงบุหงา ช่อช้อยย้อยระย้าอยู่ไสว
บ้างตูมบานกลีบแย้มแนมใบ ทุกพรรณมิ่งไม้มากมี
สัพยอกหยอกเย้าอุณากรรณ สำคัญว่าบุษบามารศรี
แล้วเก็บพวงบุปผามาลี ยื่นเย้าเซ้าซี้ไปมา
อุณากรรณก็คิดถึงพระพี่ ปันหยีคิดถึงขนิษฐา
ต่างชลเนตรคลอนัยนา ต่างผันพักตราหนีกัน
แกล้งเบือนเชือนชมมิ่งไม้ หฤทัยวิโยคโศกศัลย์
แล้วทำชื่นขืนใจจรจรัล เสด็จเลียบขอบคันสระมา ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ เพลงฉิ่ง

ร่าย

๏ พระหักก้านโกมุทบุษบง ถือทรงต่างกระบี่เงื้อง่า
ชวนองค์อุณากรรณอนุชา ร่ายรำทำท่าแทงฟัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กลอง

๏ พวกระเด่นก็เล่นเป็นคู่คู่ พี่เลี้ยงแลหมู่กิดาหยัน
เหล่าทหารจัดคู่เจ้าสู้กัน ป้องปัดผัดผันกันไปมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ กลอง

๏ แล้วหยุดยั้งนั่งเล่นที่กลางสวน ใต้ร่มลำดวนหรรษา
พระพายชายพัดรำเพยพา หอมกลิ่นมาลาตลบไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ฝ่ายองค์มะเดหวีศรีใส
เคยพาสองธิดาดวงใจ เสด็จไปชมสวนมาลี
ครั้นถึงเวลาก็อ่าองค์ สระสรงทรงเครื่องเรืองศรี
ขึ้นทรงวอสุวรรณอันรูจี ฝูงนารีโดยเสด็จจรดล ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ กลองโยน

๏ ครั้นมาถึงที่สะตาหมัน โขลนจ่าพากันวิ่งสับสน
บ้างทักถามไล่ห้ามผู้คน ขับไปให้พ้นอุทยาน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ เมื่อนั้น ปันหยีมีใจเกษมศานต์
จึงขับพี่เลี้ยงแลบริวาร ออกจากอุทยานทันใด
ทั้งพระองค์ก็ทำเป็นผายผัน มิให้อุณากรรณนั้นสงสัย
แล้วแอบอ้อมมาซุ่มอยู่พุ่มไม้ ตั้งใจจะดูพระบุตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผู้รุ่งรัศมี
แต่องค์เดียวไปรับพระชนนี ยังประตูสวนศรีทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคม นบนิ้วประนมสนองไข
ขอเชิญพระมารดาคลาไคล ประพาสพรรณมิ่งไม้นานา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มะเดหวีได้ฟังก็หรรษา
จึงชวนราชบุตรีลีลา อุณากรรณนำหน้าพาไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า

ชมดง

๏ เข้าในอุทยานสวนขวัญ ร่มรื่นพื้นพรรณพฤกษาไสว
ที่พวงย้อยดังห้อยผูกไว้ บ้างตูมแย้มแนมใบแบ่งบาน
มะเดหวีเด็ดดอกสาวหยุด พุทธิชาดชาตบุษย์หอมหวาน
มาแซมเกล้าให้สองเยาวมาลย์ แล้วประทานมิสาอุณากรรณ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เพลงฉิ่ง

ร่าย

๏ จึงขึ้นนั่งยังแท่นศิลาอาสน์ ทรงเลือกบุปผชาติทุกสิ่งสรรพ์
พลางดูบุตรีกับกำนัล ชิงกันเก็บพรรณมาลา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

พระทอง

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดเสนหา
กับระเด่นบุษบารากา เที่ยวชมบุหงาบรรดามี
ฝ่ายฝูงสุรางค์นางใน ต่างเที่ยวเลี้ยวไปในสวนศรี
เลือกสรรเก็บพรรณมาลี มาถวายพระบุตรีทั้งสององค์
ลางนางได้ไม้น้อยน้อย สอดสอยจำปากาหลง
ลำดวนตกดอกดวงพวงประยงค์ โน้มน้าวกิ่งลงชิงกัน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เพลงฉิ่ง

ร่าย

๏ แต่สะกะระหนึ่งหรัดเทวี กับสาวศรีพี่เลี้ยงบาหยัน
เที่ยวเพลินเกินฝูงกำนัล จนกระชั้นปันหยีเข้าไป
แลลอดสอดดูแต่บุหงา จะเหลียวซ้ายแลขวาก็หาไม่
เห็นดอกไม้แบ่งบานละลานใจ อรไทเก็บพลางทางขับครวญ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

สมิงทอง

๏ วันนี้น้องสำราญใจ ชมพรรณมิ่งไม้ในสวน
รสสุคนธ์ตลบอบอวล หอมหวนชวนชื่นชูใจ
พิกุลจะกรองอุบะห้อย ลำดวนจะร้อยเป็นสร้อยใส่
จะทำบุหงารำไป วางไว้ข้างที่ไสยา
จำปาจะแตระเป็นสร้อยสน จะประสุคนธ์ให้หนักหนา
แม้นใครจงใจเจตนา จึงจะให้บุหงานี้ เอย ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

ร่าย

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี
พิศโฉมพระราชบุตรี สมประดีเดือดดิ้นแดดาล
ทั้งฟังสุรเสียงขับครวญ โหยหวนเฉื่อยฉ่ำคำหวาน
ลำลำจะใครตอบพจมาน แล้วภูบาลหยุดยั้งชั่งใจ
ให้กระสันรัญจวนป่วนจิต สุดคิดที่จะหักรักได้
จึงเอาพลูรอยกัดซัดไป อรไทเหลือบแลแปรมา
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายเพราพักตร์ พลางพยักเรียกองค์ขนิษฐา
ง่าหัตถ์เหมือนจะรับกัลยา เอารสนาสาเป็นกลใน ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดศรีใส
อัปยศอดสูสุดใจ อรไทสะเทินเมินเมียง
ลัดแลงเข้าแฝงพุ่มพฤกษา ครั้นแลสบหลบตาหลีกเลี่ยง
ทำชม้อยชม้ายอายเอียง หยิกตีพี่เลี้ยงด้วยมารยา
แล้วว่าพี่บาหยันนี้ชั่วจริง เห็นแล้วช่างนิ่งไม่บอกข้า
เหมือนจะแกล้งแสร้งชักชวนมา เวทนาอัประมาณเป็นพ้นไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันทูลตอบแถลงไข
ข้าน้อยมิได้แจ้งใจ ว่าปันหยีอยู่ในพุ่มไม้นี้
ว่าพลางเดินร่ายชายมา จนใกล้มิสาระปันหยี
แล้วกล่าวคำไปให้เป็นที เจ้านี้หยาบหยามลามลวน
อาจองทะนงศักดิ์หนักหนา ไม่รู้หรือพระธิดามาชมสวน
หรือผู้ใดจงรักชักชวน มาซุ่มอยู่ดูควรแล้วหรือไร ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีกล่าวแกล้งแถลงไข
ข้านี้สิ้นสมประดีไป บาหยันจงได้เอ็นดูเรา
โทษผิดที่ล่วงพระอาญา จะรอดชีวาก็เพราะเจ้า
แล้วถอดธำมรงค์ให้นงเยาว์ จงเอาไว้เถิดเป็นไมตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น นวลนางบาหยันสาวศรี
เยื้อนยิ้มรับแหวนมาทันที แล้วรีบจรลีกลับไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงชวนพระธิดา ลีลาจากพุ่มพฤกษาใหญ่
ฝูงกำนัลทั้งสิ้นไม่กินใจ ก็คลาไคลไปยังพระชนนี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น โฉมยงองค์มะเดหวี
ครั้นสุริย์ฉายบ่ายคล้อยคิรี จึงชวนพระบุตรีลีลา
ทั้งสามองค์ขึ้นทรงวอทอง ชักม่านปิดป้องทั้งซ้ายขวา
สาวสรรค์กำนัลในดาษดา โดยเสด็จไคลคลาเข้าวังใน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น ปันหยียิ่งคิดพิสมัย
ครั้นพระบุตรีเสด็จไป ให้รัญจวนป่วนใจจาบัลย์
จึงชวนอุณากรรณอนุชา ลีลาออกจากสะตาหมัน
ขึ้นทรงพาชีฉับพลัน เสนากิดาหยันก็ตามมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ปันหยีเดินพลางทางครวญคิด ให้รันทดสลดจิตหวนหา
คล้ายคล้ายเหมือนจะเห็นพักตรา นางสการะหนึ่งหรัดยาใจ
แว่วแว่วเหมือนเสียงสำเนียงขับ ครั้นตรับเงี่ยฟังก็มิใช่
พระรีบเร่งกะระตะอาชาไนย หฤทัยกระสันรัญจวน ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงลงจากม้าที่นั่ง ไปยังตำหนักน้อยในสวน
จึงร่างสารใส่กระดานชนวน เป็นคำคร่ำครวญถึงเทวี
เสร็จแล้วจำลองทรงลงกระดาษ จึงสั่งพี่เลี้ยงราชเป็นถ้วนถี่
เอาไปให้บาหยันในวันนี้ จงดีอย่าให้ใครสงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตารับสั่งใส่เกศา
รับสารานั้นแล้ววันทา ไปตามบัญชาพระภูวไนย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นเห็นนางสาวศรีพี่เลี้ยง ยิ้มแล้วเดินเคียงเข้าไปใกล้
นี่แน่หยุดก่อนอย่าเพ่อไป นายใช้มาแถลงแจ้งกิจจา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันครั้นแจ้งก็แกล้งว่า
เจ้านี้บ่าวใครใช้มา มีธุรกิจจาจะว่าไร ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาจึงตอบแถลงไข
พี่เป็นบ่าวปันหยีชาญชัย อันในธุระของนายนั้น
เจ้าก็ย่อมแจ้งอยู่ได้รู้เห็น เมื่อเสด็จไปเล่นสะตาหมัน
ว่าแล้วส่งสารสำคัญ ให้แก่บาหยันทันใด ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันตอบตามอัชฌาสัย
วันนี้เย็นแล้วจงกลับไป ถ้ากระไรพรุ่งนี้มาคอยฟัง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตายิ้มรับคำสั่ง
ครั้นบาหยันคลาไคลเข้าในวัง ก็กลับมาติกาหรังทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงประณตบทเรศ ทูลเหตุให้แจ้งแถลงไข
บาหยันนัดข้าว่าไว้ ให้ไปคอยฟังดูพรุ่งนี้ ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา

๏ บัดนั้น บาหยันพี่เลี้ยงนางโฉมศรี
ไปยังปราสาทพระบุตรี อัญชลีถวายสารอรไท ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดศรีใส
รับสารานั้นมาทันใด ทรามวัยคลี่ออกทัศนา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ ในเรื่องรสพจมานสารศรี ว่ามิสาระปันหยีสุกาหรา
แสนสวาทมาดหมายพระธิดา แต่รัญจวนหวนหาไม่เว้นวัน
เมื่อสมโภชอรไทนั้นได้เห็น เป็นสองครั้งทั้งไปเล่นสะตาหมัน
ยิ่งอาวรณ์ร้อนใจจาบัลย์ ครวญใคร่ใฝ่ฝันทุกเวลา
อกเอ๋ยจนจิตคิดขัดสน ด้วยเป็นคนบุญน้อยวาสนา
เหมือนกระต่ายหมายชมจันทรา อันสูงสุดสายตาอยู่เต็มไกล
แม้นมิได้สมสนิทไม่คิดขาม จะสู้ม้วยด้วยความพิสมัย
โฉมยงจงเห็นที่จริงใจ อย่าสลัดอาลัยให้จำตาย ฯ

ฯ ๘ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นในสารา กัลยากระสันมั่นหมาย
ให้รักในคำร่ำบรรยาย คิดจะตอบก็อายอดสูใจ
แต่เรรวนครวญใคร่ไปมา จนเวลาจวนใกล้ประจุสมัย
จึงร่างสารใส่กระดานชนวนไว้ แล้วบรรทมหลับไปในราตรี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ ตระ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณผู้เฉิดโฉมศรี
ครั้นถึงเวลาเฝ้าพระภูมี ก็เข้าที่สระสรงคงคา
สอดใส่เครื่องประดับสำหรับองค์ กุมกริชแล้วทรงเช็ดหน้า
มาขึ้นมโนมัยไคลคลา กิดาหยันโยธาก็ตามไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงลงจากพาชี จะเฝ้าศรีปัตหราก็หาไม่
ยุรยาตรเข้ายังวังใน รีบไปปราสาทพระธิดา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ ครั้นถึงห้องสุวรรณบรรจง จึงดำเนินเดินตรงเข้าไปหา
เห็นองค์อรไทยังไสยา สาราอยู่ข้างนงคราญ
เร่งตริตรึกนึกถวิลกินใจ จึงเข้าไปให้ชิดพินิจอ่าน
ครั้นสิ้นซึ่งเขียนไว้ในกระดาน แล้วเห็นสารปันหยีที่ให้มา
คลี่ออกอ่านดูรู้ประจักษ์ รสรักผูกพันกันหนักหนา
น้อยจิตคิดแค้นพระธิดา จะมาปนศักดิ์ด้วยโจรไพร
ทั้งคู่ตุนาหงันนั้นก็มี หรือมาเป็นเช่นนี้ก็เป็นได้
เสียแรงเป็นวงศาสุราลัย ไม่รักศักดิ์จะให้เขานินทา
แล้วคิดแค้นขัดใจปันหยี ไม่เจียมตัวกลัวศรีปัตหรา
แม้นพระองค์ทรงทราบกิจจา จะพลอยพาเรานี้ให้ชั่วไป
คนอะไรที่ไหนทะนงศักดิ์ อหังการเกินพักตร์มักใหญ่
คิดพลางวางสารนั้นลงไว้ แล้วกลับไปดาหาปาตี ฯ

ฯ ๑๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาพี่เลี้ยงปันหยี
ครั้นรุ่งก็รีบจรลี ไปคอยฟังคดีดังสัญญา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดเสนหา
ครั้นฟื้นตื่นจากนิทรา จึงทรงสาราที่ร่างไว้
ค่อยเขียนตัวผจงลงกระดาษ มิให้ผิดเพี้ยนพลาดพลั้งได้
แล้วส่งให้บาหยันทันใด พี่คิดอ่านเอาไปให้จงดี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันครั้นได้สารศรี
ถวายบังคมลาจรลี ออกไปยังที่ทวารา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เพลง

๏ ครั้นถึงที่ทิมริมประตู เหลียวดูผู้คนซ้ายขวา
เห็นสุหรันปาตีก็เรียกมา ส่งสาราให้ฉับพลัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาพี่เลี้ยงคนขยัน
ได้สารแล้วรีบจรจรัล ไปปันจะรากันทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ ครั้นถึงจึงถวายอภิวาท กราบลงแทบบาทบทศรี
ทำเปรมปริ่มยิ้มย่องยินดี ถวายสารพระบุตรีที่ตอบมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเกษมสันต์หรรษา
รับสารมาจากประสันตา พระราชาคลี่อ่านทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

ช้า

๏ ในลักษณ์ว่าทำทะนงนัก ไม่เกรงศักดิ์สุราฤทธิ์เรืองศรี
แล้วคู่ตุนาหงันของเรามี จะให้รับไมตรีกลใด
แม้นทราบถึงองค์พระทรงธรรม์ ที่จะคงชีวันนั้นหาไม่
เราไม่ปลดปลงลงใจ อย่าได้พะวงสงกา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

ร่าย

๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นในอักษร ภูธรแสนโสมนัสสา
ยิ่งพูนเพิ่มพิสมัยในกัลยา เสนหาสนิทติดพัน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดสาวสวรรค์
ให้รักใคร่ในองค์ปันหยีนั้น จึงบรรจงแตระมาลี
ทำสิ้นฝีมือนางแล้ววางไว้ ตั้งจิตคิดจะให้ปันหยี
พวงหนึ่งนั้นแตระแต่พอดี เทวีจะให้อุณากรรณ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณเพราเพริศเฉิดฉัน
ครั้นเวลาเฝ้าพระทรงธรรม์ ก็ทรงม้าผายผันเข้าวังใน ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ ครั้นถึงจึงลงจากพาชี ไปเฝ้าพระบุตรีศรีใส
เห็นอุบะจึงทูลถามไป แตระอุบะทำไมพระพี่นาง ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบุตรีตริตรึกนึกขนาง
หยิบบุหงามาซ่อนเสียงพลาง แล้วคิดจะระคางเคืองใจ
จึงทำเป็นแย้มยิ้มพริ้มพักตร์ นงลักษณ์กล่าวแกล้งแถลงไข
พวงอุบะบุหงามาลัย พี่ทำจะให้อนุชา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณยิ้มพลางทางว่า
พวงไหนจะประทานก็ส่งมา เวลาเฝ้าจวนจะด่วนไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระบุตรีผินพักตร์แถลงไข
จงงดท่าอย่าเพ่อคลาไคล ครั้นเสร็จส่งให้มิได้ช้า ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณรับพวงบุหงา
ทรงทัดแล้วถวายบังคมลา ออกมายังท้องพระโรงชัย ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ

๏ เมื่อนั้น นางสการะหนึ่งหรัดศรีใส
ครั้นองค์อนุชาลาไป จึงหยิบดอกไม้พวงนั้นมา
อุหรับร่ำรสสุคนธ์ปนปรุง ให้หอมฟุ้งประทิ่นกลิ่นกล้า
แล้วส่งให้บาหยันกัลยา อย่าช้าเร่งรีบเอาไป ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ บัดนั้น บาหยันบังคมประนมไหว้
เอาอุบะซ่อนใส่กลีบสไบ แล้วรีบคลาไคลไปทันที ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ

๏ มาถึงที่ทิมริมวัง หยุดนั่งคอยพี่เลี้ยงปันหยี
ครั้นพบสุหรันปาตรี จึงส่งห่อมาลีให้ทันใด ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ บัดนั้น ประสันตาผู้มีอัชฌาสัย
ครั้นได้ห่อบุหงามาลัย ดีใจก็เร่งรีบมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ เชิด

๏ เข้าในห้องทองที่บรรทม ก้มเกล้าบังคมเหนือเกศา
แล้วทูลว่าสร้อยสนจำปา พระธิดาถวายพระภูมี ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น พระโฉมยงองค์มิสาระปันหยี
รับมาแก้ออกด้วยยินดี มาลีหอมฟุ้งจรุงใจ
พระหยิบดมชมรสแล้วทรงทัด ค่อยคลายโทมนัสที่หม่นไหม้
ดังได้ชมองค์อรไท แล้ววางไว้ในพานสลานั้น ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณทรงโฉมเฉิดฉัน
ครั้นออกจากเฝ้าพระทรงธรรม์ ก็จรจรัลมาทรงพาชี
เดินพลางทางตรึกนึกใน จะใคร่ไปยังบ้านปันหยี
จะได้ดูอุบะพระบุตรี คิดแล้วจรลีรีบมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ เชิด

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
เหลือบเห็นอุณากรรณก็ปรีดา จึงลีลาไปรับฉับพลัน
จูงกรมานั่งบัลลังก์อาสน์ ตรัสประภาษปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
ให้พี่เลี้ยงยกพานสลานั้น มาสู่อุณากรรณอนุชา
พลางพูดจาปราศรัยไต่ถาม โดยความแสนสนิทเสนหา
คลึงเคล้าเย้าหยอกกันไปมา กายาเอนอิงพิงไป ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณก้มพักตร์ผลักใส
พิศดูพวงอุบะมาลัย จำได้ยิ้มแย้มไปมา ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น มิสาระปันหยีสุกาหรา
แจ้งใจในทีกิริยา จึงมีวาจาว่าไป
เจ้าดูอุบะไม่วางเนตร แล้วแย้มยิ้มสังเกตเป็นไฉน
ของชาวป่าไม่เหมือนของชาวใน ประสาเข็ญใจก็จำมี ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณจึงตอบปันหยี
ข้าเห็นว่าบุหงาพวงนี้ งามดีชอบกลเป็นพ้นไป
ต้องตาต้องจิตจึงพิศดู เหมือนจะรู้จักจำเจ้าของได้
มิใช่ฝีมือชาวพงไพร เป็นฝีมือชาวในบรรจงมา ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยียิ้มพลางทางว่า
เจ้าเห็นที่ไหนอนุชา จงบอกพี่ยาแต่จริงไป ฯ

ฯ ๒ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณตอบตามอัชฌาสัย
จะว่าลองผิดต้องอย่าถือใจ เห็นอยู่ในตำหนักพระธิดา
ที่แตระนั้นละม้ายคล้ายคลึง ประหนึ่งฝีมือเดียวกับของข้า
แม้นผิดจงคิดเมตตา ขออภัยเถิดอย่าถือโทษทัณฑ์ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยีเพราเพริศเฉิดฉัน
ทำเอนอิงพิงองค์อุณากรรณ สำรวลสรวลสันต์กันไปมา
อนุชาว่าไยอย่างนี้ เห็นผิดท่วงทีนักหนา
พี่หรือจะอาจเอื้อมเอาดอกฟ้า เกินหน้านักน้องอย่ากินใจ ฯ

ฯ ๔ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น อุณากรรณยิ้มแล้วแถลงไข
ถ้าดอกฟ้าน้อมกิ่งลงมาไซร้ จะถึงมือหรือไม่ให้ว่ามา
นี่หรือรักใคร่ไว้ใจกัน ยังมิทันไรหมางระคางข้า
อย่าพักเอื้อนอำทำมารยา น้องแจ้งกิจจาอยู่เต็มใจ
แล้วว่าพี่เป็นไรไม่ไปเฝ้า ทุกข์โศกโรคเร้าหรือไฉน
หรือธุระกังวลกลใด ดูทีเหมือนจะไข้ในอุรา ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ

๏ เมื่อนั้น ปันหยียิ้มพลางทางว่า
พูดไยอย่างนั้นอนุชา เหมือนไม่เมตตาก็เหมือนกัน
แม้นใครได้ยินความไป ดังแกล้งฆ่ากันให้อาสัญ
พี่ป่วยไปไม่สบายมาหลายวัน จึงขาดเฝ้าทรงธรรม์ธิบดี
วันนี้ค่อยคลายจะคลาไคล อนุชามาไปเป็นเพื่อนพี่
ว่าพลางต่างองค์ทรงพาชี จรลีมายังวังใน ฯ

ฯ ๖ คำ ฯ เชิด

https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf

แชร์ชวนกันอ่าน

แจ้งคำสะกดผิดและข้อผิดพลาด หรือคำแนะนำต่างๆ ได้ ที่นี่ค่ะ