- คำอธิบาย ว่าด้วยบทละคร อิเหนาฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ
- เล่มที่ ๑
- เล่มที่ ๒
- เล่มที่ ๓
- เล่มที่ ๔
- เล่มที่ ๕
- เล่มที่ ๖
- เล่มที่ ๗
- เล่มที่ ๘
- เล่มที่ ๙
- เล่มที่ ๑๐
- เล่มที่ ๑๑
- เล่มที่ ๑๒
- เล่มที่ ๑๓
- เล่มที่ ๑๔
- เล่มที่ ๑๕
- เล่มที่ ๑๖
- เล่มที่ ๑๗
- เล่มที่ ๑๘
- เล่มที่ ๑๙
- เล่มที่ ๒๐
- เล่มที่ ๒๑
- เล่มที่ ๒๒
- เล่มที่ ๒๓
- เล่มที่ ๒๔
- เล่มที่ ๒๕
- เล่มที่ ๒๖
- เล่มที่ ๒๗
- เล่มที่ ๒๘
- เล่มที่ ๒๙
- เล่มที่ ๓๐
- เล่มที่ ๓๑
- เล่มที่ ๓๒
- เล่มที่ ๓๓
- เล่มที่ ๓๔
- เล่มที่ ๓๕
- เล่มที่ ๓๖
- เล่มที่ ๓๗
- เล่มที่ ๓๘
เล่มที่ ๓๔
๏ บัดนั้น | ฝ่ายดะหมังเสนีที่ถือสาร |
รอนแรมมาหลายวันวาร | ดั้นดัดดงดานรีบไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ผ่านพ้นหิมวาอารัญ | เข้าเขตประมอตันกรุงใหญ่ |
จึงบอกข่าวชาวด่านทันใด | ตามในเรื่องราชสารา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ขุนด่านซักไซ้ไล่หนักหนา |
ครั้นแจ้งความในแล้วไคลคลา | ขึ้นม้าควบขับเข้าธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงศาลาลูกขุนใน | จึงกราบไหว้เสนาทั้งสี่ |
แจ้งยุบลต้นความตามมี | โดยสำเนาสารศรีทุกสิ่งอัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ทั้งสี่เสนีคนขยัน |
แจ้งใจในสารพระทรงธรรม์ | ปรีดาพากันเข้ามา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงพระโรงรัตน์รูจี | ชลีกรเหนือเกล้าเกศา |
ทูลว่าพระผู้พงศ์เทวา | จะเสกองค์พระธิดายุพาพาล |
ให้เสนานำพระราชสารศรี | บัดนี้มาอยู่ปลายด่าน |
จะเข้ามาประณตบทมาลย์ | ถวายซึ่งราชสารที่ถือมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูประมอตันหรรษา |
ได้ฟังดังอมฤตฟ้า | มาโสรจสรงกายาผาสุกใจ |
จึงมีพระราชบัญชา | ตรัสสั่งเสนาผู้ใหญ่ |
จงเร่งเกณฑ์พลสกลไกร | ออกไปรับเขาเข้ามา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปาเตะรับสั่งใส่เกศา |
ก้มเกล้าถวายบังคมลา | ออกมาจากพระโรงทันที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๏ ให้ผูกช้างที่นั่งหลังคาทอง | สำหรับรับรองสารศรี |
ประดับเครื่องเรืองรองรูจี | หมอควาญขับขี่พร้อมกัน |
ม้าแห่แต่ล้วนถือธง | เครื่องสูงบรรจงจัดสรร |
ฆ้องกลองแตรสังข์ทั้งนั้น | ตรวจตราหากันวุ่นวาย |
บรรดาโยธาทุกกรม | แต่งตัวนุ่งห่มเฉิดฉาย |
เสร็จแล้วเคลื่อนพหลพลนิกาย | ตรงไปยังปลายด่านพลัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งเหตุผล | แก่ดะหมังนายพลคนขยัน |
ว่าบัดนี้พระองค์ทรงธรรม์ | แจ้งข่าวสารนั้นก็ยินดี |
จึงให้นำพลโยธา | ออกมารับราชสารศรี |
เข้าไปโดยการประเพณี | แล้วพาทีปราศรัยกันไปมา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังเสนีมียศถา |
จึงให้เชิญพระราชสารา | ขึ้นยังคชาช้างสำคัญ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปาเตะเสนาคนขยัน |
จึงให้เคลื่อนพลจรจรัล | เข้าในเขตขัณฑ์เวียงชัย |
บรรดาม้าแห่เป็นคู่คู่ | ล้วนเสื้อชมพูงามไสว |
อันทหารเดินเท้านั้นไซร้ | ใส่เสื้อเหน็บกริชเพราตา |
พระหลวงขุนหมื่นเป็นริ้วราย | แห่ตามเบื้องซ้ายฝ่ายขวา |
อร่ามเรืองเครื่องสูงเป็นหลั่นมา | เสียงประโคมโกลาธานี |
อันปาเตะดะหมังเสนา | ขึ้นม้าตามราชสารศรี |
ชาวเมืองมาดูมากมี | อึงมี่แออัดยัดเยียดกัน ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทมาลย์ | พระผู้ผ่านพิภพไอศวรรย์ |
ทูลเบิกดะหมังบังคมคัล | แล้วอ่านสารนั้นมิทันนาน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ ราชสารพระผู้พงศ์เทเวศร์ | มงกุฎเกศกุเรปันราชฐาน |
ทั้งท้าวดาหาชัยชาญ | กับภูบาลกาหลังอนุชา |
อีกท้าวสิงหัดส่าหรี | ทั้งสี่ทรงโสมนัสสา |
ระลึกถึงซึ่งคุณอุปการ์ | ของเจ้าพาราประมอตัน |
ซึ่งบำรุงบุษบาทรามวัย | โดยมิได้รังเกียจเดียดฉันท์ |
เลี้ยงดังราชบุตรบุญธรรม์ | ขอบคุณทั้งนั้นเป็นพ้นไป |
บัดนี้จะแต่งการสยุมพร | ในนครกาหลังกรุงใหญ่ |
ตามคู่ตุนาหงันกันไว้ | ในสี่สุริย์วงศ์เทวา |
ขอเชิญระตูภูมี | กับประไหมสุหรีเสนหา |
มาช่วยอวยพรบุษบา | ให้ลูกยาจำเริญชนมาน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | ระตูประมอตันได้ฟังสาร |
มีพระทัยใสสุดเบิกบาน | ดังได้ผ่านช่อชั้นไตรตรึงส์ |
จึงมีสุนทรบัญชา | แก่ดะหมังเสนาที่มาถึง |
เรานี้มีจิตคิดคะนึง | แสนรำพึงถึงองค์พระลูกรัก |
คิดจะใคร่ไปประณตบทบงสุ์ | พระผู้พงศ์เทวามีศักดิ์ |
พอได้เห็นโฉมฉายทายทัก | ความรักไม่เสียดายชีวัน |
พอพระองค์มีราชสารมา | ดังว่าทิพรสกระยาหงัน |
มาโสรจสรงให้สร่างจาบัลย์ | ความยินดีนั้นเป็นพ้นไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังผู้มีอัชฌาสัย |
จึงทูลสนองพลันทันใด | พระทรงชัยดำรัสตรัสมา |
ซึ่งพระองค์จงรักภักดี | บำรุงราชบุตรีเสนหา |
พระคุณนั้นเป็นพ้นคณนา | ผ่านฟ้าจะสนองคลองไมตรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูประมอตันเรืองศรี |
ได้ฟังดะหมังก็ยินดี | จึงมีพระบัญชาการ |
ดูก่อนเสนาเร่งเตรียมพล | ผูกทั้งมงคลคชสาร |
รถประเทียบรถสนมบริวาร | ทวยหาญสี่หมู่ให้พร้อมกัน |
อันเครื่องสมโภชลูกรัก | เครื่องสำหรับยศศักดิ์เฉลิมขวัญ |
จงจัดแจงไปให้ครบครัน | แต่รุ่งสุริย์ฉันจะไคลคลา |
สั่งแล้วก็เรียกเอาสารศรี | มาจากเสนียาสา |
กรายกรลีลาศยาตรา | เข้ามหาปราสาทรูจี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงยื่นสาราให้ | แก่องค์ประไหมสุหรี |
แล้วมีสุนทรวาที | พรุ่งนี้จะพากันคลาไคล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ประไหมสุหรีศรีใส |
ทัศนาสาราแจ้งใจ | อรไทแสนเกษมเปรมปรา |
จึงทูลว่าบุญของเราแล้ว | จะได้พบลูกแก้วเสนหา |
ทั้งจะได้พึ่งพระเดชา | พระผู้พงศ์เทวาสี่นคร |
อันหมู่นักสนมกำนัล | แจ้งเหตุก็พากันสโมสร |
ต่างคนภักดีชลีกร | จะขอตามภูธรเสด็จไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | เสนีธิบดีผู้ใหญ่ |
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็คลาไคล | ตรงไปศาลาหน้าคลัง ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๏ เกณฑ์พหลพลแขกแจกอาวุธ | ปืนคาบชุดศรกำซาบดาบดั้ง |
พร้อมพรักพักที่ริมทิมชาววัง | สารวัดจัดตั้งตามตำรา |
ช้างดั้งสั่งให้ผูกเครื่องถมปัด | ที่ทรงจัดซื้อไว้ในคลังขวา |
เย็บใหม่ใส่หีบตีตรา | ขนมามากมายแล้วจ่ายไป |
เครื่องสูงสามชั้นคันถม | พนักงานอภิรมย์ตัดผมใหม่ |
กลองชนะมลายูดูตรวจไตร | ตำรวจใหญ่ในนอกถือหอกมา |
ช้างที่นั่งหลังดีสีประหลาด | เชื้อชาติคชสารหาญกล้า |
ผูกเครื่องทองจำหลักลงยา | เตรียมท่าคอยเสด็จพระภูมี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวประมอตันเรืองศรี |
ครั้นแสงทองส่องฟ้าธาตรี | สกุณีตื่นตาหากัน |
ทั้งดุเหว่าเร้าเร่งสุริย์ใส | เสียงไก่ปรบปีกกระพือขัน |
ฟื้นพระองค์ลงจากแท่นสุวรรณ | มาโสรจสรงสุคันธวาริน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ น้ำใสไขท่อปทุมทอง | โปรยปรายอายละอองกระแสสินธุ์ |
ทรงกระแจะเจือบุหงาเป็นอาจิณ | หอมประทิ่นกลิ่นเกลาน่าทรง |
สอดใส่สนับเพลาเชิงงอน | ภูษารูปกินนรงามระหง |
ไว้หางวางกลีบจีบจง | ฉลององค์เข้มขาบริ้วทอง |
ห้อยหน้าซ่าโบะโขมพัตถ์ | ชายไหวปลายสะบัดออกทั้งสอง |
เจียระบาดตาดปักกรุยกรอง | ปั้นเหน่งปรุฉลุช่องฝังพลอย |
ตาบทิศทับทรวงดวงระยับ | สังวาลบานพับสายสร้อย |
ทองกรประดับเพชรเม็ดไม่น้อย | ธำมรงค์สอดก้อยแก้วประไพ |
ทรงชฎาเดินหนกุณฑลทัด | กรรเจียกจอนงอนสะบัดดอกไม้ไหว |
ถือเช็ดหน้าเหน็บกริชฤทธิไกร | เสด็จขึ้นเกยชัยคชาธาร ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ ให้จุดปืนสัญญาหน้าที่นั่ง | คับคั่งโยธาทวยหาญ |
กองหน้านั้นออกนอกทวาร | พระภูบาลขับช้างออกจากเกย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ กราว
โทน
๏ ช้างเอยช้างศึก | เหี้ยมฮึกงวงคว้างาเสย |
ควาญท้ายหมายเขม้นเป็นคนเคย | ดูเปิดเผยผิวผ่องเพียงทองแดง |
สองหูพู่จามรีห้อย | ดาวกุดั่นเด่นพลอยพร้อยแสง |
พลม้าอาสาเกราะทองแซง | พวกปืนแดงดาษดาพนาลี |
รถประเทียบเป็นระเบียบหน้าหลัง | กรมวังกำกับให้ขับขี่ |
สารวัดเร่งรัดโยธี | ออกจากบุรีเรื่อยมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
ชมดง
๏ เดินทางมากลางสถลมาศ | ภูวนาถรื่นเริงหรรษา |
ชมสัตว์จัตุบาทนานา | โคกิเลนเลียงผาดาษแดง |
เสือสีห์หมีเม่นเร้นซ่อน | ตามชะง่อนศิลาเข้าแอบแฝง |
แรดช้างกวางทรายควายแซง | กรมแสงแทงตายเสียหลายตัว |
ค่างลิงวิ่งหาพวกพ้อง | ชะนีเหนี่ยวไม้ร้องหาผัว |
วิเวกใจในดงน่ากลัว | บ้างภาวนากันตัวรีบไป ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ รีบรัดจัตุรงค์ไม่หยุดยั้ง | ถึงนครกาหลังกรุงใหญ่ |
ให้หยุดรี้พลสกลไกร | อยู่นอกพิชัยธานี |
จึงมีพระราชบัญชาสั่ง | ดะหมังผู้ถือสารศรี |
จงเข้าไปทูลพระภูมี | ให้ทราบธุลีพระบาทา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ดะหมังรับสั่งใส่เกศา |
พาพวกบ่าวไพร่ไคลคลา | เข้าในนัคราด้วยพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | สี่กษัตริย์สุริย์วงศ์รังสรรค์ |
ทูลว่าระตูประมอตัน | แจ้งสารทรงธรรม์ก็ปรีดา |
จึงพาประไหมสุหรี | เสนีนิกรซ้ายขวา |
มาประทับอยู่นอกพารา | จงทราบบาทาพระภูมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ศรีปัตหราเรืองศรี |
ได้ฟังดะหมังเสนี | มีความยินดีเป็นพ้นไป |
จึงมีพระราชบัญชา | ตรัสสั่งเสนาผู้ใหญ่ |
จงเร่งจัดพหลพลไกร | ออกไปรับระตูเข้ามา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีรับสั่งใส่เกศา |
ก้มเกล้าถวายบังคมลา | มาเกณฑ์โยธาด้วยพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๏ บ้างให้ผูกช้างผูกม้า | ประดับเครื่องรถาเฉิดฉัน |
นายไพร่แต่งตัวพร้อมกัน | เสร็จแล้วจรจรัลมาทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปเฝ้า | ทูลท้าวประมอตันเป็นใหญ่ |
สี่กษัตริย์ปัตหรารับสั่งใช้ | มาเชิญเสด็จเข้าในธานี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูประมอตันเรืองศรี |
ได้ฟังเสนาก็ยินดี | ภูมีชวนอรรคชายา |
ชำระสระสรงทรงเครื่อง | อร่ามเรืองด้วยมณีมีค่า |
แล้วเสร็จเสด็จขึ้นอาชา | นางทรงรถาอำไพ |
พร้อมด้วยเสนาพลามาตย์ | แห่แหนเดียรดาษงามไสว |
เข้าสู่กาหลังเวียงชัย | ตรงไปยังนิเวศน์วังพลัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงจากอาชา | เสนานำเสด็จผายผัน |
มเหสีพระสนมกำนัล | ตามเสด็จจรจรัลเข้าไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงพระโรงคัลพรรณราย | จึงถวายบังคมประนมไหว้ |
สี่พระองค์ผู้วงศ์เทพไท | ทั้งประไหมสุหรีศรีโสภา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระจอมภพกุเรปันนาถา |
เห็นท้าวประมอตันผู้ศักดา | เข้ามาบังคมก็ยินดี |
จึงมีบัญชาอันสุนทร | ดูก่อนระตูผู้เรืองศรี |
ซึ่งท่านจงรักภักดี | มีจิตมิตรภาพเป็นพ้นไป |
บำรุงเลี้ยงอะหนะบุษบา | ดังหนึ่งลูกยาในไส้ |
มิให้เคืองระคายสิ่งใด | รักเพียงดวงใจนัยนา |
จึงรอดชีวามาพบกัน | คุณของท่านนั้นเป็นหนักหนา |
จงคิดว่าร่วมวงศ์กันมา | กว่าจะสิ้นดินฟ้าธาตรี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูประมอตันเรืองศรี |
ฟังราชบัญชาก็ยินดี | อัญชลีแล้วทูลสนองไป |
ซึ่งพระองค์ทรงโปรดมาทั้งนี้ | พระคุณนั้นหาที่สุดไม่ |
จะขอพึ่งเดชาพระภูวไนย | ปกไปทั่วแคว้นแดนเสมา |
อันตัวข้ากับประไหมสุหรี | เดิมมีแต่โทมนัสสา |
คิดว่าลูกแก้วแววตา | หนีไปชั้นฟ้าดุษฎี |
ครั้นเกิดศึกตำมะหงงไปแจ้งเหตุ | ค่อยคลายทุกข์เทวษหมองศรี |
แต่คิดสงสัยพันทวี | ไฉนเป็นสตรีเยาวลักษณ์ |
ต่อมีพระราชสารไป | จึงแจ้งตามความในแน่ตระหนัก |
ก็หมายใจจะใคร่พบลูกรัก | ทั้งจะพึ่งทรงศักดิ์สืบไป |
ยินดีนั้นดังว่าดับจิต | แล้วกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ |
ขอเห็นพระธิดายาใจ | ภูวไนยจงทรงพระเมตตา ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | พระองค์วงศ์อสัญแดหวา |
ฟังท้าวประมอตันจำนรรจา | พระผ่านฟ้าสงสารพันทวี |
จึงบัญชาสั่งสาวใช้ | เร่งไปปราสาทนางโฉมศรี |
บอกระเด่นบุษบานารี | ให้ขึ้นมาบัดนี้ฉับไว ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สาวศรีรับสั่งบังคมไหว้ |
รีบรัดลัดลงตรงไป | ยังปราสาทอรไทแจ่มจันทร์ ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ ชุบ
๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลี | ทูลองค์พระบุตรีสาวสวรรค์ |
ว่าท้าวเจ้ากรุงประมอตัน | มาบังคมคัลอัญชลี |
บัดนี้องค์ศรีปัตหรา | ให้ข้ามาเชิญโฉมศรี |
เสด็จขึ้นไปเฝ้าเจ้าธานี | ยังที่ท้องพระโรงรจนา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบาเสนหา |
ได้ฟังสาวใช้ทูลมา | กัลยาตริตรึกนึกใน |
จะไปก็ให้อดสู | มิรู้ที่จะทำกระไรได้ |
เอาพระคุณแลรักนั้นหักใจ | จำไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ |
คิดแล้วสระสรงทรงเครื่อง | อร่ามเรืองพรรณรายฉายฉัน |
ครั้นเสร็จเสด็จจรจรัล | พี่เลี้ยงสาวสรรค์ก็ตามมา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงจึงขึ้นพระโรงรัตน์ | บังคมสี่กษัตริย์ปัตหรา |
แลเห็นบิตุเรศมารดา | คลานมากอดบาทแล้วโศกี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้น | ระตูประมอตันเรืองศรี |
ทั้งองค์อรรคราชเทวี | เห็นราชบุตรีมาร่ำไร |
สองกษัตริย์ยิ่งแสนพิศวาส | มิอาจจะกลั้นกันแสงได้ |
ต่างองค์ทรงประคองธิดาไว้ | ชลนัยน์คลอคลองนัยนา |
จึงวินิจพิศทรงวงพักตร์ | นรลักษณ์วิไลดังเลขา |
ไม่ผิดอุณากรรณกุมารา | ทั้งจริตกิริยาก็เหมือนกัน |
จึงว่าแต่เจ้าจากไป | เฝ้าเทวษร่ำไรโศกศัลย์ |
กินแต่น้ำตาไม่ราวัน | ความทุกข์พ้นพรรณนาไป |
เป็นบุญได้มาพบลูกแก้ว | ดังตายแล้วกลับคืนมาใหม่ |
แม้นแจ้งตระหนักประจักษ์ใจ | ว่าทรามวัยเป็นราชธิดา |
ก็มิให้ดวงใจเจ้าไปจาก | ได้ความลำบากมาเดินป่า |
เหตุใดเจ้าจึงแกล้งแปลงมา | บอกบิดาว่าเป็นชาวดง ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นบุษบานวลหง |
จึงกราบลงแทบเบื้องบาทบงสุ์ | โศกทรงทูลแบ่งแถลงไป |
เมื่อตั้งมงคลการวิวาห์ | ในพิชัยดาหากรุงใหญ่ |
องค์ปะตาระกาหลาเรืองชัย | ซึ่งเป็นอัยกาธิบดี |
ให้เกิดพายุใหญ่เป็นโกลา | หอบข้ากับพี่เลี้ยงสองศรี |
ไปตกถึงชายป่าพนาลี | แดนราชธานีประมอตัน |
แล้วแปลงข้าให้เป็นชายชาญ | ประทานนามแลกริชรังสรรค์ |
ทั้งสามคนด้นไปในไพรวัน | พระบิตุรงค์ทรงธรรม์จึงได้มา |
พระเชษฐานั้นโศกแสนเข็ญ | จึงแปลงเป็นปันหยีมาตามหา |
พบกันในกาหลังพารา | ด้วยเดชพระอัยกาสาปไว้ |
ได้พูดเล่นเจรจาอยู่ทุกวัน | จะรู้จักทักกันก็หาไม่ |
ซึ่งมิได้ทูลองค์ภูวไนย | ด้วยอายใจเป็นพ้นพันทวี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวประมอตันฟังถ้วนถี่ |
จึงว่าอนิจจาน่าปรานี | พลัดบุรีได้ยากลำบากใจ |
หากปะตาระกาหลาช่วยแปลงกาย | เป็นชายไม่มีใครสงสัย |
ซ้ำทรงอานุภาพเกรียงไกร | เดินไพรจึงพบพระพี่ยา |
พลางดูอิเหนากุเรปัน | ผิวพรรณดังเทพเลขา |
โอษฐ์พริ้มเหมือนจะยิ้มจำนรรจา | ท่วงทีกิริยาสง่าครัน |
วงพักตร์ดังดวงบุหรันฉาย | ขนงเนตรขวาซ้ายก็คมสัน |
สมเป็นโอรสพระทรงธรรม์ | ผู้วงศ์เทวัญเลิศไกร |
ควรคู่พระราชบุตรี | ทั้งโลกไม่มีใครเปรียบได้ |
ดังแก้วแกมสุวรรณอันอำไพ | ดูไหนก็จำเริญนัยนา |
แล้วปราศรัยอิเหนากุเรปัน | ด้วยความเกษมสันต์หรรษา |
ซึ่งมีพระทัยกรุณา | ให้สังคามาระตาชัยชาญ |
กรีพลไปช่วยดับเข็ญ | ร่มเย็นประมอตันราชฐาน |
ขอบคุณเป็นพ้นจะประมาณ | ได้สำราญด้วยเดชพระภูมี ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระเด่นมนตรีเรืองศรี |
ฟังท้าวประมอตันพาที | จึงมีมธุรสตอบไป |
ซึ่งพระองค์ทรงพระเมตตา | แก่บุษบายาหยีศรีใส |
บำรุงเลี้ยงมิให้ร้อนใจ | รักใคร่เป็นฉันพระลูกยา |
อันความกรุณาปรานี | ก็เหมือนหนึ่งว่ามีแก่ตัวข้า |
จะสนองพระคุณพระราชา | ไปกว่าจะม้วยชีวัน ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สี่กษัตริย์สุริย์วงศ์รังสรรค์ |
มีพระทัยเมตตาผูกพัน | แก่ท้าวประมอตันเป็นพ้นไป |
จึงเรียกเอาเครื่องทรงอลงการ | มงกุฎสังวาลประทานให้ |
ทั้งภูษาผ้าทรงอำไพ | เครื่องใช้ต่างต่างอย่างดี |
อันประไหมสุหรีทั้งสี่องค์ | ต่างก็จัดเครื่องทรงถ้วนถี่ |
ประทานอรรคราชเทวี | องค์ประไหมสุหรีประมอตัน |
แล้วมีพระราชบัญชา | สั่งมหาเสนาคนขยัน |
จงนำระตูจรจรัล | ไปอยู่ปราสาทสุวรรณรจนา |
ถ้าคิดถึงลูกรักเมื่อไร | ก็แล้วแต่จะไปมาหา |
ด้วยได้เลี้ยงดูกันมา | อย่าเกรงว่าข้างหน้าข้างใน ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูประมอตันอัชฌาสัย |
ทั้งประไหมสุหรีทรามวัย | มีใจชื่นชมยินดี |
รับประทานเครื่องทรงอลงกต | ยอกรประณตบทศรี |
ตำมะหงงนำเสด็จจรลี | ไปอยู่ดังมีพระบัญชา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันนาถา |
ครั้นรุ่งอรุณเวลา | พระสุริยาจำรัสอัมพร |
ชวนสามอนุชาธิบดี | พร้อมด้วยมเหสีดวงสมร |
สระสรงทรงเครื่องอลงกรณ์ | บทจรออกพระโรงฝ่ายใน ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เสด็จเหนือแท่นสุวรรณบรรจง | ฝูงอนงค์หมอบเฝ้าอยู่ไสว |
งามดังบุหลันอันอำไพ | ดาษไปด้วยดวงดารา |
พระจอมภพกุเรปันเรืองยศ | มีมธุรสปรึกษา |
แก่สามพระราชอนุชา | สี่อรรคชายานงคราญ |
อันอิเหนากุเรปันนั้นไซร้ | ฤทธิไกรดังองค์พระสุริย์ฉาน |
กรุงกษัตริย์น้อยใหญ่ไม่ต้านทาน | เกรงเดชชัยชาญทุกนคร |
แล้วมีอิสตรีที่รัก | ประไพพักตร์เพียงเทพอัปสร |
ประกอบด้วยยศศักดิ์เรืองขจร | สถาวรเลิศล้ำธานี |
แต่สององค์ควรเป็นปิ่นสนม | ทุกกรมกำนัลสาวศรี |
แต่จะตั้งประการใดดี | จึงจะมีเกียรติยศสืบไป ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวดาหาผู้มีอัชฌาสัย |
ได้ฟังดำริตริไตร | แจ้งในกระแสพระบัญชา |
จึงกราบประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์พระบรมเชษฐา |
ซึ่งจะแต่งมงคลวิวาห์ | พระโอรสนัดดาลาวัณย์ |
เป็นการใหญ่หลวงยิ่งนัก | จะปรากฏยศศักดิ์ทุกเขตขัณฑ์ |
แต่อะหนะอิเหนากุเรปัน | มีอิสตรีนั้นล้วนโสภา |
ให้ระเด่นจินตะหราวาตี | เป็นประไหมสุหรีฝ่ายขวา |
อันองค์อะหนะบุษบา | เป็นอรรคชายาฝ่ายซ้าย |
ระเด่นสการะวาตี | มะเดหวีฝ่ายขวาโฉมฉาย |
นางมาหยารัศมีเพริศพราย | มะเดหวีฝ่ายซ้ายคู่กัน |
บุษบาวิลิศกัลยา | มะโตฝ่ายขวาเฉิดฉัน |
บุษบากันจะหนาลาวัณย์ | นั้นเป็นฝ่ายซ้ายเทวี |
ระหนากะระติกาโฉมตรู | เป็นลิกูฝ่ายขวามารศรี |
ฝ่ายซ้ายอรสานารี | ตามที่ลำดับกันมา |
อันสุหรันกันจาส่าหรี | เป็นเหมาหลาหงีฝ่ายขวา |
เบื้องซ้ายนั้นให้กัลยา | นางหงยาหยาควรกัน |
ครบที่ซ้ายขวาทั้งสิบองค์ | เป็นปิ่นอนงค์สาวสรรค์ |
ในราชธานีกุเรปัน | ไพร่ฟ้าทั้งนั้นจะเปรมปรีดิ์ |
อันระเด่นสุหรานากง | จะดำรงสิงหัดส่าหรี |
ให้สการะหนึ่งหรัดเทวี | เป็นประไหมสุหรีโสภา |
เอาธิดากษัตริย์ยศยง | สี่องค์มาตั้งให้ครบห้า |
ตามประเพณีวงศ์เทวา | จงทราบบาทาพระทรงธรรม์ ฯ |
ฯ ๒๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกาหลังรังสรรค์ |
ทั้งอนุชาสิงหัดส่าหรีนั้น | บังคมคัลแล้วทูลไปทันใด |
อันระเด่นสียะตราหนึ่งหรัด | ผ่านสมบัติดาหากรุงใหญ่ |
อะหนะวิยะดาทรามวัย | เป็นประไหมสุหรียุพาพาล |
ตำแหน่งที่มะเดหวีนั้น | ดะราหวันผู้ยอดสงสาร |
จินตะหรารัศมีเยาวมาลย์ | เป็นมะโตนงคราญถัดมา |
อันที่ลิกูโฉมยง | นั้นองค์จินดาอรสา |
ทีเหมาหลาหงีโสภา | รัตนาวาตีทรามวัย |
อันกะหรัดตะปาตีชัยชาญ | ผ่านกรุงกาหลังเป็นใหญ่ |
บุษบารากาดวงใจ | เป็นประไหมสุหรีนงลักษณ์ |
ถัดนั้นจัดราชบุตรี | กษัตราทั้งสี่มีศักดิ์ |
ตั้งเป็นมเหสีที่รัก | ครอบครองนักสนมนารี ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี |
ฟังสามอนุชาก็ยินดี | ภูมีจึงตรัสตอบไป |
ซึ่งเจ้าจัดแจงดังนี้ | ต้องตามประเวณีธรรมวิสัย |
ว่าแล้วก็ชวนกันคลาไคล | เสด็จออกบัญชรชัยรจนา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงมีพระราชบัญชาการ | สั่งโหราจารย์ซ้ายขวา |
จงเร่งหาฤกษ์ยามเวลา | จะแต่งงานการวิวาห์บัดนี้ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | ปโรหิตโหราทั้งสี่ |
รับสั่งกราบงามสามที | ต่างแก้คัมภีร์ออกทันใด |
ดูโชคชั้นชันษาพระโอรส | ทั้งสี่องค์ทรงยศมาสอบใส่ |
เทียบกับราศีสี่เวียงชัย | ขับไล่ได้ความตามตำรา |
ครั้นแจ้งประจักษ์พรักพร้อมกัน | บังคมคัลทูลศรีปัตหรา |
ซึ่งจะแต่งงานการวิวาห์ | เวลานาทีประกอบกัน |
ยังอีกสิบห้าราตรี | ฤกษ์ดีศรีสวัสดิ์เป็นมหันต์ |
กอบทั้งอุษาโยคโชคชั้น | สิ่งสรรพ์อันตรายไม่ราคี |
บรรดาเทวาทั้งนั้น | ประชุมกันในเมษราศี |
เป็นนักขัตฤกษ์เปรมปรีดิ์ | ประเวณีเทวาสถาวร |
ชันษาทั้งสี่พระโอรส | จะปรากฏยศยิ่งสโมสร |
พระเดชจะฟุ้งเฟื่องเรืองขจร | ทุกนครจะมาบังคมคัล |
บรรดาปัจจามิตรจะครั่นคร้าม | แต่ออกนามก็ตระหนกอกสั่น |
ไพร่ฟ้าจะผาสุกทุกเขตคัน | พระทรงธรรม์จงทราบบาทา ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | องค์ท้าวกุเรปันนาถา |
ได้ฟังทั้งสี่โหรา | พระผ่านฟ้ายินดีเป็นพ้นไป |
จึงมีพระราชบัญชา | ตรัสสั่งเสนาน้อยใหญ่ |
จงตระเตรียมแต่งการฉับไว | ทั้งสี่เวียงชัยระดมกัน |
เร่งรัดจัดปราสาทราชฐาน | โดยการกำหนดทุกสิ่งสรรพ์ |
ทั้งข้างหน้าข้างในให้ครบครัน | โดยวันศุภฤกษ์เวลา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีธิบดีซ้ายขวา |
ก้มเกล้ารับสั่งแล้วออกมา | ยังที่ศาลาลูกขุนใน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ หาตัวนายกรมวังมาสั่งเวร | ให้หมายเกณฑ์ตามตำราพิธีใหญ่ |
นักการถือหมายรายออกไป | ตามในสลักหลังสั่งมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๏ แปดตำรวจได้ข่าวหาบ่าวไพร่ | ที่บ้านไกลใช้คนไปตามหา |
บ้างไปคลังในเบิกไม้มา | เอาขึ้นม้าเลื่อยถากแล้วลากลง |
บ้างเจาะเสาเกลาไม้อึงมี่ | ทำที่มุรธาภิเษกสรง |
มุงหลังคาช่อฟ้าเยียรยง | ยอดตรงสูงงามอร่ามวาว |
ดาดเพดานดาราระย้าย้อย | บุปผาห้อยร้อยเลือกล้วนสีขาว |
ทั้งสี่ทิศป้องปิดม่านราว | ตั้งโต๊ะสี่เท้าผ้าขาวปู |
ขันถมใหญ่ทำมาแต่นคร | ตั้งซ้อนคลุมฝาชีมีหู |
ราชวัติฉัตรทองน้ำตะกู | ลาดปูเสื่อสาดสะอาดตา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
สระบุหร่ง
๏ ตั้งเตียงมณฑลบนปราสาท | เพดานดาดห้อยย้อยพวงบุหงา |
เหล่ากำนัลนั้นเชิญพระแสงมา | ครบถ้วนอัษฎาสรรพาวุธ |
ชาวภูษามาลามาตั้งเครื่อง | กกุธภัณฑ์ค่าเมืองแลมงกุฎ |
สาตราคมเชิงธงกระบี่ครุฑ | สำหรับยุทธมาผูกเป็นคู่กัน |
ชาวที่ทอดที่ราชาอาสน์ | พรมเจียมปูลาดจัดสรร |
สำหรับให้ฤาษีบีกูนั้น | มานั่งพร้อมกันเมื่อวันงาน |
มีเหมือนกันหมดทั้งสี่แห่ง | ตกแต่งตามอย่างมหาศาล |
ตำมะหงงนั้นเที่ยวตรวจการ | ในสถานพร้อมเสร็จตามตำรา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ นอกวังตั้งระทาดอกไม้ | เรียงรายโรงโขนสิ่งละห้า |
หุ่นละครมอญรำนานา | พันจันท์นั้นหามาทุกงาน |
นอกวังดะหมังไปเที่ยวตรวจ | ทุกหมู่หมวดพลเรือนแลทหาร |
ให้กรมเมืองถางหญ้าหน้าพระลาน | จะมีงานการเล่นทั้งปวง |
ให้ปักราชวัติฉัตรธง | รอบวงพระนครเมืองหลวง |
ปักฉลากถากที่ทุกกระทรวง | ร้านรวงของใครให้จัดแจง |
แขวนโคมเรียงรายริมถนน | ประชาชนจะได้สุขทุกหนแห่ง |
เพลาย่ำค่ำให้จุดไฟแดง | ประเทืองแสงสอดสีชวาลา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ บัดนั้น | เสนีธิบดียาสา |
ให้หาสังฆ์การีเข้ามา | จงออกไปป่าอารัญ |
นิมนต์สังปะลิเหงะฤาษี | ทั้งพวกพ้องโยคีเข้ามาฉัน |
สวดมนต์เย็นตามเวลามาให้ทัน | แต่วันจันทร์เดือนสี่ปีระกา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สังฆ์การีรับคำยาสา |
กราบไหว้แล้วรีบไคลคลา | ไปยังอรัญวาพนาลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | องค์สังปะลิเหงะฤาษี |
แจ้งโดยกำหนดพิธี | นิมนต์พระมุนีทั้งปวงไป ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | ดาบสฟังแจ้งแถลงไข |
จึงตอบวาจาอย่าร้อนใจ | จะไปให้ทันการพระภูมี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | สังฆ์การีกราบลาพระฤาษี |
ดั้นดัดลัดป่าพนาลี | คืนเข้าบุรีมิได้ช้า ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาจะกล่าวบทไป | ถึงท้าวปันจะรากันเชษฐา |
ระตูปักมาหงันอนุชา | ต่างผ่านพาราเสมอกัน |
กับระตูผู้เชลยปันหยี | ทั้งสิบห้าธานีเขตขัณฑ์ |
ซึ่งขอออกครั้งดำเนินเดินอรัญ | ถวายต้นไม้สุวรรณบรรณาการ |
บ้างถวายพระโอรสา | ทั้งธิดาเยาวยอดสงสาร |
กับเมืองออกอุณากรรณชัยชาญ | ซึ่งถวายกุมารแลบุตรี |
เป็นยี่สิบเอ็ดพารา | แจ้งข่าวว่ามิสาระปันหยี |
มิใช่โจรป่าพนาลี | คือระเด่นมนตรีกุเรปัน |
อุณากรรณนั้นก็คือพระธิดา | ท้าวดาหาสุริย์วงศ์รังสรรค์ |
บัดนี้สี่พระองค์วงศ์เทวัญ | ประชุมกันในกาหลังพารา |
จะตั้งราชกิจพิธี | อภิเษกบุตรีโอรสา |
ซึ่งเป็นคู่ตุนาหงันกันมา | ตามวงศ์เทวาในธานี |
จำจะไปช่วยการพระภูวเรศ | เอาพระเดชปกเกล้าเกศี |
คิดแล้วทรงรถแลพาชี | ดั้นดัดลัดคิรีรีบไป ฯ |
ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด
๏ รีบร้อนนอนไพรไม่หยุดยั้ง | ถึงด่านกาหลังกรุงใหญ่ |
ให้หยุดรี้พลสกลไกร | อยู่นอกพิชัยธานี |
แล้วสั่งเสนาในชัยชาญ | ให้บอกข่าวชาวด่านกรุงศรี |
ว่าเราจะไปเฝ้าพระภูมี | ด้วยใจภักดีปรีดา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนีธิบดีซ้ายขวา |
ได้รับสั่งแล้วบังคมลา | เผ่นขึ้นหลังม้ามาพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งกิจการ | กับนายด่านสิ้นเสร็จทุกสิ่งสรรพ์ |
ตามซึ่งเมืองออกทั้งนั้น | จะเข้าไปบังคมคัลอัญชลี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | นายด่านกาหลังบุรีศรี |
แจ้งความตามคำเสนี | ขึ้นพาชีขี่ควบเข้าเวียงชัย ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงจากม้า | เข้าหาเสนาผู้ใหญ่ |
แจ้งความแต่ต้นจนปลายไป | ตามในยุบลกิจจา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | เสนีผู้มียศถา |
ได้ทราบคดีก็ปรีดา | เข้ามายังพระโรงรูจี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงทูลบาทบงสุ์ | สี่กษัตริย์สุริย์วงศ์เรืองศรี |
ระตูยี่สิบเอ็ดธานี | ซึ่งเป็นข้าธุลีพระบาทา |
ของระเด่นมนตรีฤทธิรงค์ | กับองค์พระบุตรีดาหา |
รู้แจ้งว่าจะแต่งการวิวาห์ | ทุกพารายินดีเป็นพ้นไป |
ต่างแต่งจัดเครื่องบรรณาการ | พุ่มสุวรรณกุสุมาลย์งามไสว |
มาถวายพระองค์ทรงภพไตร | โดยในขัตติยาประเพณี |
บัดนี้พักพลทวยหาญ | อยู่ยังปลายด่านบุรีศรี |
จะขอเข้ามาเฝ้าอัญชลี | พระภูมีจงทราบพระบาทา ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สี่พระองค์วงศ์อสัญแดหวา |
ได้ฟังเสนีก็ปรีดา | จึงมีบัญชาทันใด |
ดูก่อนเสนาสามนต์ | เร่งเกณฑ์รี้พลน้อยใหญ่ |
ไปรับเข้ามายังเวียงชัย | ให้เป็นเกียรติไว้ในครั้งนี้ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | เสนากาหลังทั้งสี่ |
รับรสพจนาวาที | ถวายอัญชลีแล้วออกมา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๏ กะเกณฑ์รี้พลอลหม่าน | ทั้งทหารพลเรือนซ้ายขวา |
ให้นายเวรหมายรับสั่งดังบัญชา | ตามตำราสำหรับรับแขกเมือง |
สัสดีเกณฑ์ไพร่มิได้ช้า | ทั้งช้างม้าโรงในให้ผูกเครื่อง |
เสนีนำพลออกจากเมือง | เดินเนื่องไปยังด่านชานบุรี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้นถึงลงจากอาชา | เข้ามาทูลระตูเรืองศรี |
ว่าพระองค์ผู้ทรงธรณี | ทั้งสี่สุริย์วงศ์เทวัญ |
ทราบใต้บาทบงสุ์พระทรงเดช | ว่าระตูทุกนิเวศน์เขตขัณฑ์ |
ภักดีมาถวายบังคมคัล | ถวายเครื่องสุวรรณบรรณาการ |
มีพระทัยยินดีปรีดา | จึงใช้ให้ข้าคุมทวยหาญ |
ออกมาเชิญเสด็จพระภูบาล | เข้าในราชฐานเวียงชัย ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | บรรดาระตูน้อยใหญ่ |
ได้แจ้งในคำเสนาใน | มีพระทัยโสมนัสเปรมปรีดิ์ |
ต่างองค์สระสรงทรงเครื่อง | อร่ามเรืองจำรัสรัศมี |
แล้วทรงคชาพาชี | รถแก้วมณีอลงการ์ |
พร้อมด้วยเสนาพลามาตย์ | เดียรดาษริ้วรายซ้ายขวา |
เครื่องสูงฉัตรชัยไสวมา | โกลาประโคมเสียงเกรียงไกร |
เสียงพลทั้งยี่สิบกอง | เสียงช้างม้าร้องหวั่นไหว |
เสียงกงรถลั่นสนั่นไป | คลาเคลื่อนเข้าในธานี ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงสนามหน้านิเวศน์วัง | ก็หยุดยั้งพลไกรชัยศรี |
ต่างองค์ลงจากรถแลพาชี | เสนีนำเข้าพระโรงคัล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคม | สี่กษัตริย์บรมรังสรรค์ |
ทั้งองค์อิเหนากุเรปัน | พร้อมกันในพระโรงรจนา ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สี่พระองค์วงศ์อสัญแดหวา |
เห็นระตูมาถวายวันทา | ก็ยินดีปรีดาเป็นพ้นไป |
จึงมีพระราชบัญชา | แก่ท้าวพระยาน้อยใหญ่ |
ทุกองค์ผู้ดำรงราชัย | ยังไพบูลย์พูนสุขสวัสดี |
หรือเกิดกลียุคทุกข์ร้อน | พระนครขุ่นข้องหมองศรี |
ซึ่งมาช่วยการทั้งนี้ | ขอบใจพ้นที่จะพรรณนา ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูนอบน้อมพร้อมหน้า |
ได้ฟังสี่กษัตริย์ตรัสมา | ต่างวันทาแล้วทูลสนองไป |
เพราะเดชพระโอรสบทเรศ | ปกเกศหาอันตรายไม่ |
อยู่เย็นเป็นสุขทุกกรุงไกร | ดังฉัตรชัยร่มเกล้าทั้งธาตรี |
บัดนี้พระเกียรติเลื่องลือชา | ทุกนานาประเทศบุรีศรี |
ว่าพระจอมอิศโรโมฬี | ทั้งสี่สุริย์วงศ์เทวัญ |
เสด็จมาพร้อมกันในกาหลัง | จะตั้งการสยุมพรเป็นมหันต์ |
ต่างแต่งบรรณาการเนืองนันต์ | ทั้งพุ่มพวงดวงสุวรรณรจนา |
มาถวายใต้เบื้องบทรัช | ด้วยความโสมนัสหรรษา |
ขอพึ่งพระเดชเดชา | ไปกว่าชีวันจะบรรลัย ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | สี่พระองค์ทรงภพเป็นใหญ่ |
ได้ฟังชื่นชมภิรมย์ใจ | ภูวไนยจึงมีพระบัญชา |
ซึ่งระตูทั้งปวงภักดี | จงมีศรีสวัสดิ์ไปภายหน้า |
ศัตรูหมู่เข็ญอันหยาบช้า | ให้พ่ายแพ้ฤทธาราวี |
แล้วสั่งมหาเสนา | จงนำเหล่ากษัตราเรืองศรี |
ไปอยู่มนเทียรอันรูจี | ให้มีความสุขสถาวร ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ระตูทั้งหลายสโมสร |
ก้มเกล้าคำนับรับพร | ชลีกรถวายบังคมคัล |
ออกจากพระโรงรัตนาใน | เสนานำไปขมีขมัน |
ไปอยู่ปราสาทแก้วแพรวพรรณ | พร้อมกันซึ่งระตูบรรดามา |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ บัดนั้น | ฝ่ายเจ้าพนักงานถ้วนหน้า |
ครั้นถึงกำหนดการวิวาห์ | ต่างมาจัดแจงทุกแห่งไป |
เหล่าพวกกรมวังตั้งบายศรี | เจ็ดชั้นล้วนมณีศรีใส |
หุ้มตาดสุวรรณอันอำไพ | แว่นชัยสำหรับเวียนติดเทียนทอง |
บ้างตั้งเครื่องบูชาระย้าแก้ว | เป็นถ่องแถวสดสีไม่มีหมอง |
คลังสมบัติจัดขันน้ำพานรอง | กระโถนทองเหลืองตั้งเป็นแถวทิว |
กรมท่าต้มน้ำชาเร็วรวด | น้ำตาลกรวดลูกกาแฝ่แก้หิว |
ใส่ถ้วยอย่างใหม่ลายริ้วริ้ว | มีหูหิ้วลายทองรองจาน |
เหล่าพวกเกณฑ์แห่แตรสังข์ | คับคั่งธงชัยธงฉาน |
อุสงหงันนั้นพวกราชยาน | พนักงานหามมาไว้หน้าเกย |
ทั้งสีวิกากาญจน์ยานุมาศ | มีกระจังบังสาดเปิดเผย |
กิดาหยันนั้นคอยอยู่ตามเคย | เรียกหมากเสวยมาเตรียมไว้ ฯ |
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | องค์สังปะลิเหงะอาจารย์ใหญ่ |
คอยเวลานาทีที่จะไป | ครั้นว่าได้เวลาเที่ยวหากัน |
แต่ล้วนโยคีชีไพร | ต่างครองเปลือกไม้แล้วผายผัน |
ตาลิปัตรป้องหน้าเข้าอารัญ | รีบไปให้ทันเวลา ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงกาหลังวังสถาน | องค์พระอาจารย์ฌานกล้า |
พาเหล่าโยคีลีลา | ขึ้นยังมหาปราสาทพลัน ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่นเหนือสังฆอาสนะ | สังฆ์การีประเคนกระบะเภสัชฉัน |
ที่ฟันหักยักถวายหมากตะบัน | นั่งเป็นหลั่นตามกิจพิธี ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | องค์ศรีปัตหราทั้งสี่ |
กับประไหมสุหรีห้าธานี | ครั้นแสงสุริย์ศรีอโณทัย |
จึงมีมธุรสเสาวนีย์ | แก่สี่พระโอรสพิสมัย |
ทั้งห้าพระธิดายาใจ | นางกษัตริย์ทรามวัยสิบองค์ |
จวนจะใกล้เพลานาที | จงเข้าที่ชำระสระสรง |
ทรงเครื่องวิจิตรบรรจง | อันปรากฏยศยงอลงการ์ ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | อิเหนากุเรปันหรรษา |
กับสุหรานากงสียะตรา | ทั้งกะหรัดตะปาตีชาญชัย |
ระเด่นบุษบาวิยะดา | นางสการะหนึ่งหรัดศรีใส |
บุษบารากาทรามวัย | บังคมไหว้รับราชบัญชา |
แต่ระเด่นจินตะหราวาตี | จำใจกลัวศรีปัตหรา |
อสุชลคลอคลองนัยนา | เบือนพักตรามาสรงวารี ฯ |
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ทั้งยี่สิบเก้าองค์สรงชล | ทรงสุคนธ์ปนทองผ่องศรี |
พระทรงสนับเพลารูจี | พระบุตรีทรงภูษาพรรณราย |
พระทรงสะอิ้งแก้วสุรกาญจน์ | นางทรงสังวาลเฉิดฉาย |
พระทรงฉลององค์พรรณราย | พระธิดาทั้งหลายทรงสไบ |
พระทรงทับทรวงตาบทิศ | นางทรงสร้อยวิจิตรแสงใส |
พระทรงพาหุรัดอำไพ | ทรามวัยสอดทรงทองกร |
พระทรงมหาธำมรงค์ | นางทรงศิโรเพฐน์ประภัสสร |
สี่องค์ทรงมงกุฎกรรเจียกจร | ดวงสมรทรงกุณฑลรจนา |
ระเด่นทั้งยี่สิบเก้าองค์ | ต่างทรงอุบะบุหงา |
ดังเทเวศร์กับเทวธิดา | ครั้นเสร็จเสด็จมาบังคมคัล |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
ร่าย
๏ เมื่อนั้น | สี่กษัตริย์สุริย์วงศ์รังสรรค์ |
จึงนำโอรสาลาวัลย์ | จรจรัลจากปราสาทอำไพ |
มเหสีทั้งห้าธานี | ก็พาราชบุตรีน้อยใหญ่ |
สาวสรรค์ตามเสด็จคลาไคล | ตรงไปเกยแก้วรูจี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ จึงให้พระโอรสทั้งสี่องค์ | ขึ้นทรงอุสงหงันสดสี |
พร้อมด้วยหมู่พหลมนตรี | แห่โดยตำแหน่งที่คู่กัน |
เครื่องสูงฉัตรชัยเรืองรอง | แตรสังข์ฆ้องกลองไหวหวั่น |
พวกระเด่นกับระตูทั้งนั้น | เดินตามอุสงหงันเป็นริ้วราย |
บรรดาพระราชบุตรี | ทรงสีวิกากาญจน์เฉิดฉาย |
ขอเฝ้าแห่แหนมากมาย | เบื้องท้ายสาวสรรค์ตามไป |
อันศรีปัตหราทั้งสี่องค์ | ทรงยานุมาศกงผ่องใส |
มเหสีทั้งหกเวียงชัย | ทรงวอตามไปทันที ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงขึ้นปราสาทแพรวพราย | ต่างถวายนมัสการพระฤาษี |
แล้วจุดเทียนบูชาโยคี | สังฆ์การีเผดียงขึ้นทันใด ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | องค์สังปะลิเหงะอาจารย์ใหญ่ |
ตั้งนโมสวดโร่ตามกันไป | กว่าจะได้ฤกษ์พานาที ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้น | พระโหราหาฤกษ์ดิถี |
ลอยขันนาฬิกาบนวารี | จมลงถึงที่ให้ลั่นฆ้อง |
เสียงประโคมดนตรีนี่นัน | สังข์แตรแซ่สนั่นกึกก้อง |
พนักงานเชิญภูษามาสำรอง | ใส่พานทองถมยาราชาวดี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ สาธุการ
๏ เมื่อนั้น | จอมกษัตริย์ปัตหราทั้งสี่ |
พาโอรสนัดดาจรลี | ไปปราสาทพิธีสรงชล ฯ |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ พนักงานไขท่อปทุมทอง | โปรยปรายอายละอองเป็นฝอยฝน |
สี่พระองค์ทรงหม้อพุทธมนต์ | รดบนเศียรเกล้าทั้งสี่องค์ |
พราหมณ์ชีบีกูประมาหนา | ถวายอาเศียรพาทภิเษกสรง |
น้ำสังข์น้ำกลศรดลง | ใบมะตูมถวายทรงทัดกรรณ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เสร็จสรงทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ | ตำมะหงงบรรจงจัดเลือกสรร |
เสด็จมาตามชาลาหน้าอัฒจันทร์ | โปรยสุวรรณมาลีทีละฟาย |
เสนากิดาหยันนั้นคอยเก็บ | แย่งกันจนเล็บหักหาย |
เสด็จขึ้นปราสาทแก้วแล้วโปรยปราย | เจ้านายเชื้อพระวงศ์ทรงแย่งกัน |
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ นั่งเหนือแท่นสุวรรณบัลลังก์รัตน์ | ภายใต้เศวตฉัตรเฉิดฉัน |
ทั้งสี่องค์นั่งเรียงเคียงกัน | อนงค์นางที่จัดสรรมานั่งล้อม |
ฯ ๒ คำ ฯ
สระบุหร่ง
๏ ตำมะหงงตรงเข้าไปจุดเทียน | ติดแว่นวิเชียรเจิมจันทน์หอม |
เสนากิดาหยันพรั่งพร้อม | นั่งล้อมรอบองค์พระทรงธรรม์ |
ตำมะหงงส่งต่อตามลำดับ | เวียนวงส่งรับเป็นหลั่นหลั่น |
มโหรีดีดสีขึ้นพร้อมกัน | เสียงสนั่นบันลือฆ้องกลอง |
ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี
ร่าย
๏ ครั้นครบเสร็จเจ็ดรอบตามลำดับ | ตำมะหงงบรรจงจับทีละสอง |
มาปักลงไว้ในขันทอง | ใบพลูรองดับอัคคีแล้วคลี่คลาย |
จึงโบกควันจันทน์เจิมเฉลิมพักตร์ | เอาช้อนตักมะพร้าวอ่อนป้อนถวาย |
จำเริญศรีอย่าให้มีอันตราย | ข้าศึกแพ้พ่ายไปทุกทิศ ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้น | ท้าวประมอตันบันเทิงจิต |
จึงถวายของขวัญพระทรงฤทธิ์ | กระบี่กริชครบเครื่องสรรพาวุธ |
ทั้งเครื่องทรงอย่างกษัตริย์ตรัสเตร็จ | ทับทรวงประดับเพชรแลมงกุฎ |
สร้อยสังวาลบานพับชมพูนุท | ทั้งพหลพลยุทธห้าพัน |
อันระเด่นบุษบานารี | สร้อยสนมณีล้วนจัดสรร |
สำหรับองค์พระธิดาลาวัลย์ | นางกำนัลน้อยน้อยแปดร้อยปลาย |
อันระตูทั้งยี่สิบเอ็ดเมือง | ก็จัดเครื่องบรรณามาถวาย |
ดอกไม้เงินทองมากมาย | เรียงรายทั่วท้องพระโรงชัย ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | ฝ่ายพวกมหรสพน้อยใหญ่ |
โขนละครมอญรำระบำใน | แทงวิสัยไต่ลวดประกวดกัน |
หกคะเมนสามต่อดูคอแหงน | รำแพนน่ากลัวตัวสั่น |
นอนดาบคาบค้อนขบฟัน | ห่วงพันผ้าชุบน้ำมันยาง |
สิงโตญวนควรเล่นแต่การใหญ่ | หกคะเมนต่อขึ้นไปได้หลายอย่าง |
มงครุ่มกลองตั้งอยู่หว่างกลาง | ระเบงวางศรไปไล่นกยูง |
ช่องระทาหุ่นจีนงิ้วเจ๊ก | ละครแขกเล็กเล็กใส่หัวสูง |
ชาตรีมีแต่ล้วนชาวตะลุง | ซัดกันนุงตามถนนแห่กรวดลาว |
ต่างเล่นเป็นการประกวดกัน | เสียงสนั่นโกลาฉ่าฉาว |
เสียงกลองกึกก้องด้วยเชิดกราว | เสียงส้าวสะเทือนทั้งพารา ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้น | หญิงชายชาวเมืองถ้วนหน้า |
แต่งตัวตามมีแล้วลีลา | มาตามรัถยามากมี |
ลางคนอุ้มลูกจูงหลาน | ดูงานสมโภชอึงมี่ |
เบียดเสียดไม่เป็นสมประดี | บ้างทะเลาะด่าตีนี่นัน |
พวกข้าหลวงชาววังรังเขาเกี้ยว | พอใจเที่ยวดูโขนที่โลนขัน |
หนุ่มหนุ่มกลุ้มล้อมพัลวัน | ผูกพันเบียดสีเป็นทีไป |
เหล่าหญิงแม่หม้ายไร้ลูกผัว | แต่งตัวเต็มประดาหน้าเป็นไข่ |
เห็นเจ๊กเจ้าภาษีก็ดีใจ | แวะเข้าไปนั่งเคียงเรียงบนม้า |
ปะเมียเจ๊กเจ้าภาษีนั้นขี้หึง | ก็โกรธขึ้งเคืองขัดสะบัดหน้า |
โต้ตอบเปรียบปรายกันไปมา | พอละครคนซาลาโรง ฯ |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นสนธยาราตรีก็มีหนัง | พิณพาทย์ฆ้องกลองดังทั้งเกราะโกร่ง |
บนร้านใส่ไต้จุดไฟโพลง | เบิกโรงลิงจับหัวค่ำมา |
ดอกไม้พุ่มพ้อมใหญ่แขวนจุด | คนแน่นอุตลุดกันหนักหนา |
นกบินจุดบนช่องระทา | ดอกไม้ม้าคนวิ่งหญิงชายเกรียว |
พะเนียงใหญ่ให้เสียงส่องแสง | ไม้กระถางดอกแดงใบเขียว |
โคมมังกรเดินย้อนลดเลี้ยว | โคมญวนเดินเกี่ยวเป็นคู่กัน |
พวกโหยกเหยกกินเหล้าเมาหรา | เดินพูดจาอึงอื้อถือไม้สั้น |
เข้าโรงหมี่ตีเจ๊กพัลวัน | นครบาลมาทันจับตัวไป ฯ |
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้น | สี่กษัตริย์ปัตหราเป็นใหญ่ |
ครั้นเห็นสำเร็จเสร็จการพิธีชัย | ภูวไนยยินดีปรีดา |
จึงชวนราชสุริย์วงศ์มเหสี | โอรสบุตรีเสนหา |
เสด็จกลับเข้ายังปรางค์ปรา | เสนาตามเสด็จมากมี ฯ |
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
https://vajirayana.org/system/files/%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B2_264950.pdf